พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

03 พ.ค. 2025

       สมัครงานพาร์ทไทม์ที่โรงหนัง แต่พนักงานด้วยกันชอบแกล้งเรื่องผีอยู่เป็นประจำ จนได้มามาทำงานตำแหน่งฉายหนัง ที่ต้องเอาพวงมาลัย น้ำ นม มาไว้ที่ห้องฉายทุกครั้งในวันพระ แต่วันที่เกิดเรื่องดันลืม…! จึงได้เจอดีเข้าให้!

       ไปติดตามเรื่องเล่าจาก ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ที่ได้นำเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ เรื่องของ ‘คุณดิ๊ก’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(29 เมษายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’

 

       ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณดิ๊กอยากหางานพิเศษทำ ในตอนนั้นมีห้างหนึ่งกำลังถูกสร้าง ซึ่งเป็นห้างที่มีโรงหนังทั้งหมด 3 โรง หลังจากห้างสร้างเสร็จเรียบร้อย คุณดิ๊กจึงได้ไปยื่นใบสมัครไว้ เผื่อว่ามีงานที่พอจะทำได้ 

       หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็มีสายจากโรงหนังโทรเข้ามา โดยสอบถามกับคุณดิ๊กว่าพร้อมจะมาทำงานที่โรงหนังหรือไม่ คุณดิ๊กก็ตกลงที่จะทำงานเป็นพาร์ทไทม์ของโรงหนังนี้ เมื่อไปถึงคุณดิ๊กก็ได้เจอกับผู้จัดการ ผู้จัดการจึงพาแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงหนัง และกำหนดตำแหน่งที่คุณดิ๊กจะได้ทำคือ ตำแหน่งฉีกตั๋ว 

       คุณดิ๊กทำงานมาได้ 1 อาทิตย์ ผู้จัดการก็โทรมา ให้คุณดิ๊กลองมาอยู่กะกลางคืน โดยผู้จัดการจะเพิ่มชั่วโมงในการทำงานให้คุณดิ๊ก

       กะดึกคืนนั้น มีพนักงานทั้งหมด 7 คน (รวมคุณดิ๊กแล้ว) ในกลุ่มพนักงงานนั้นจะมี 3 คนรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งชอบแกล้ง-ชอบอำคนอื่น ในกลุ่มนั้นมี ‘คุณแมน’ และ ‘คุณหนุ่ม’ ทำหน้าที่ฉายหนัง และ ‘คุณเอก’ เป็นพนักงานฉีกตั๋วเหมือนคุณดิ๊ก

       เมื่อแมน หนุ่ม และเอกเห็นว่ามีเด็กใหม่มา ก็เริ่มแผนการแกล้งทันที..

       โดยเริ่มจากคุณเอกได้พาทัวร์ในโรงหนังรอบกลางคืน และบอกว่า

       “โรง 3 มึงต้องระวังนะ โรง 3 เจอกันเยอะ ผีดุ”

       นอกจากนี้ คุณเอกก็เล่าเรื่องผีให้ฟัง แต่คุณดิ๊กไม่ได้เป็นคนกลัวผีมากจึงไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเอกก็ยังบอกต่ออีกว่า 

       “เดี๋ยวกูขอเช็คโรง 1 โรง 2 ละกันนะ โรงสามกูกลัวผี กูไม่กลัาไป”

       คุณดิ๊กจึงตอบตกลงและไปดูเอง

       พอมาถึงโรง 3 ก็เปิดประตูเข้าไป และเดินมาจนถึงที่นั่ง ก็ได้มีเสียงว.มาจากห้องฉายด้านบน โดยคุณหนุ่มกับคุณแมนก็ว.มาบอกว่า

       “ดิ๊ก ลองเช็คแขกดูหน่อย มีทั้งหมดกี่คน” คุณดิ๊กเดินไปเช็คตามที่บอก และตอบทั้งสองคนไปว่า

       “แถว I มีทั้งหมด 7 คน”

       “เฮ้ย นับดูดี ๆ 7 คนแน่หรอ”

       คุณดิ๊กก็เริ่มนับใหม่ และตอบย้ำไปว่า “7 คนพี่ แถว I”

       เสียงจากว.แย้งขึ้นมาทันทีว่า “เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว มันมีแถวหลังอีก 2-3 คนไม่เห็นหรอ”

       คุณดิ๊กมองตามที่ทั้งสองคนบอก และเงยหน้ามองไปบนห้องฉาย ก็เห็นทั้งสองคนนั่งหัวเราะกันอยู่ คุยดิ๊กก็คิดในใจว่า ‘พวกที่ชอบอำผม วันไหนขอให้โดนเอง’

       หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปกติ คุณดิ๊กก็ยังทำงานเหมือนเดิม จนกระทั่งคุณแมนมาบอกกับทุกคนว่าลาออกแล้ว โดยไม่บอกเหตุผลว่าออกเพราะอะไร แต่ก่อนที่จะออกก็ยังไปบอกกับคุณดิ๊กอีกว่า 

       “ถ้าต้องขึ้นไปทำงานห้องฉายอะ ระวังโรง 3 ไว้นะ”

       คุณแมนบอกไว้เท่านี้และออกไป หลังจากนั้นคุณดิ๊กก็ยังโดนคุณเอกและคุณหนุ่มแกล้งอำเรื่องผีมาโดยตลอด

 

       วันหนึ่งผู้จัดการโทรมาหาคุณดิ๊กให้มาช่วยงานที่ห้องฉาย เพราะตอนนี้เหลือแค่คุณหนุ่มคนเดียว จึงให้คุณดิ๊กไปเรียนรู้งานกับคุณหนุ่ม เมื่อไปถึงห้องฉาย คุณหนุ่มก็พาดูภายในห้องฉายว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีห้องฉาย 3 ห้อง หนึ่งห้องต่อหนึ่งโรงอยู่เรียงกัน และคุณหนุ่มก็ได้บอกกฎกติกากับคุณดิ๊กว่า

       “สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้เลย หนึ่งคือทุกวันพระจะต้องเอาพวงมาลัย เอาน้ำ เอานม มาไว้ที่เครื่องฉายทุกครั้ง ห้ามลืมเด็ดขาด สองคือห้ามพาบุคคลภายนอกเข้ามาภายในห้องฉายเด็ดขาด และสามคือห้ามเตรียมไฟล์หนังผิดเด็ดขาด”

       คุณดิ๊กก็รับทราบ และถามคุณหนุ่มว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องรู้อีกไหม คุณหนุ่มจึงบอกไปว่า

       “ถ้าวันไหนที่มึงมาทำงาน แล้วเปิดเข้ามาที่ห้องฉายหนัง ถ้าเห็นเส้นผมอยู่ตรงพื้น อยู่ตรงเครื่องฉาย ไม่ต้องตกใจ มองให้เป็นเรื่องปกติ”

       คุณดิ๊กก็คิดในใจว่าคุณหนุ่มแกล้งกันอีกแล้ว คุณดิ๊กก็ถามกลับไปว่า “พี่ปั่นผมปะเนี่ย”

       คุณหนุ่มจึงตอบกลับมาทันทีว่า “มึงเชื่อกู ไม่เชื่อมึงลองไปดูตามห้องก่อนก็ได้”

       คุณดิ๊กจึงเดินถือว.ไปตามห้องฉายต่าง ๆ

       คุณดิ๊กเดินไปห้องแรก ก็เจอกับเส้นผม แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจเป็นเส้นผมของแม่บ้าน ซึ่งห้องฉายที่ 2 ก็มีเหมือนกัน และเมื่อเปิดไปห้องที่ 3 ก็มีเส้นผมเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เส้นผมเส้นเล็ก ๆ แต่เป็นกระจุกเส้นผมที่กองอยู่ตามพื้น

 

       และในวันหนึ่ง คุณดิ๊กก็ฉายหนังตามปกติที่โรง 2 แต่ผ่านไป 30 นาทีก็ไม่มีคนดู คุณดิ๊กจึงปิดเครื่องฉาย ปิดไฟและกำลังจะเดินออกมาจากห้องฉาย แต่อยู่ ๆ ก็มีว.มาว่า

       “เฮ้ย ดิ๊ก ปิดเครื่องฉายหรอโรงสอง มีคนดูอยู่”

       คุณดิ๊กก็บอกไปว่า “ผมเช็คแล้วนะ โรงสองไม่มีลูกค้า” 

       “ไม่มีบ้าอะไร ลูกค้าเดินออกมาบอกว่าเขานั่งดูอยู่”

       คุณดิ๊กก็คิดว่าโดนผีหลอกแล้วหรือเปล่า จึงเดินไปดูที่นั่ง ก็เห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่แถว A ซึ่งเป็นจุดบอดที่มองเห็นได้ยาก 

       และวันต่อมา ขณะที่คุณดิ๊กกำลังฉายหนังโรง 3 อยู่ ซึ่งวันนั้นมีคนมาดูหนังน้อยมาก คุณดิ๊กจึงคอยสังเกตว่าจะมีคนเข้ามาหรือไม่ พอใกล้ 30 นาที คุณดิ๊กก็เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาแถวกลาง แต่ก็ไม่ได้นั่ง จนเดินลงไปนั่งแถวหน้าสุด คุณดิ๊กจึงสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไปนั่งตรงนั้น จากนั้นก็ว.ไปหาคุณเอกให้เช็คว่ามีลูกค้ามาในรอบนี้หรือไม่ แล้วทำไมถึงนั่งแถวหน้าสุด ทั้งที่โรงก็ว่างอยู่

       จากนนั้นคุณเอกก็เช็ครอบหนัง ณ เวลานั้นให้คุณดิ๊ก และพบว่า หนังในรอบนั้นไม่มีคนซื้อตั๋วไว้เลย คุณดิ๊กจึงตอบกลับไปว่า “จะไม่มีคนจองได้ยังไง ก็เห็นคนนั่งอยู่ ลองเข้าไปดูให้หน่อย”

       คุณเอกจึงตอบตกลงจะเข้าไปเช็คให้ และถ้าถึงแล้วจะบอกว่าอยู่ตรงไหน คุณดิ๊กจึงรออยู่บนห้องฉาย จากนั้นไม่นานมีแสงเลเซอร์สว่างเข้ามาในห้อง คุณดิ๊กจึงโผล่ไปที่ช่องกระจก ที่สามารถมองเห็นข้างล่างได้ คุณดิ๊กจึงว.ไปบอกคุณเอกว่า “เขานั่งอยู่นี่ไง แถวหน้าสุด ตรงกลาง”

       คุณเอกจึงชะเง้อมองและเดินไปตามทางที่คุณดิ๊กบอก 

       “ตรงไหน” คุณเอกถาม

       “ตรงนี้ ๆ เก้าอี้ตัวนั้นแหละ เขานั่งอยู่ข้างหน้ามึงเลย”

       “นั่งอยู่ข้างหน้าบ้าอะไร ไม่เห็นใครสักคน”

       คุณดิ๊กคิดในใจว่า ‘อีกแล้ว โดนแกล้งอีกแล้ว’ คุณดิ๊กจึงพยายามส่องเลเซอร์ลงไปว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ เมื่อคุณเอกไม่เชื่อ คุณดิ๊กจึงเปิดไฟให้ดู ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทางประตูหนีไฟ จากนั้นคุณเอกก็ตกใจแล้ววิ่งออกมา คุณดิ๊กจึงวิ่งลงมาจากห้องฉายและตามคุณเอกไป ในตอนนั้นคุณเอกก็ได้บอกกับคุณดิ๊กว่า “เห็นเหมือนกูใช่ไหม ผู้หญิงเมื่อกี้ ที่อยู่ๆ ลุกขึ้นมา แล้ววิ่งออกไป”

       คุณดิ๊กจึงตอบทันทีว่าใช่ เพราะมีลูกค้านั่งอยู่

       คุณเอกจึงบอกกับคุณดิ๊กว่า “ตอนที่ลูกค้านั่งอยู่มันไม่เท่าไหร่ แต่พอไฟเปิด อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้”

       คุณดิ๊กก็ตอบกลับไปว่า “ก็เรื่องปกติ วิ่งออกไปดูสิ เผื่อเป็นคนสติไม่ดีหรือใครแอบเข้ามา”

       คุณเอกจึงบอกว่า “มึงดูดี ๆ ประตูหนีไฟ มันไม่ได้เปิดนะ มันเป็นประตูที่ล็อกไว้อยู่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งหนีไปจริง ๆ ก็คงวิ่งไปอีกฝั่งที่ประตูมันเปิดอยู่”

       คุณดิ๊กจึงเดินไปดูตรงประตูหนีไฟที่ผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไป และพบว่ามันล็อกอยู่จริง ๆ

 

       วันรุ่งขึ้นคุณดิ๊กจึงได้เล่าเรื่องที่เจอให้คุณหนุ่มฟัง คุณหนุ่มก็สงสัย เมื่อค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด จนคุณหนุ่มถามขึ้นมาว่า “เมื่อวานลืมอะไรปะ”

       คุณดิ๊กจึงตอบกลับทันทีว่า “ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ ผมก็ทำงานปกติ” 

       “เมื่อวานวันพระ มึงลืมอะไรเปล่า” คุณหนุ่มถามต่อ

       คุณดิ๊กก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองลืมซื้อดอกไม้ ซื้อพวงมาลัย ซื้อน้ำ ซื้อนมมาไว้ และคิดว่าครั้งนี้ที่ได้เห็นเพราะเขามาเตือนที่ไม่ได้ทำตามที่บอก และคุณหนุ่มยังเล่าให้ฟังต่อว่า มีอยู่พนักงานคนหนึ่งที่เคยฉายหนังปกติแบบนี้ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่มีคนมาดูหนังจนเต็มโรง ระหว่างที่พนักงานคนนั้นฉายหนังอยู่ก็ได้มองลงมาข้างล่าง พนักงานคนนี้เห็นลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่ได้มองไปที่จอหนังที่กำลังฉาย แต่หันหน้าขึ้นมามองพนักงานคนนั้นแล้วก็ยิ้มให้ เมื่อจอหนังลูบดับไปและสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ที่ตรงนั้นกลับไม่มีคนนั่งอยู่..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

21 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบิ๊ก สุโขทัย’ ได้นำเรื่องราวสุดลึกลับ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณภานุมาศ’ เรื่องราวจะลึกลับ น่าตื่นเต้นอย่างไรนั้น ไปติดตามได้เลย! ‘คุณบิ๊ก’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วย่านใจกลางรัชดา คุณบิ๊กจะทำหน้าที่เป็นคนที่คอยดูแลเจ้าหน้าที่ อย่าง ลุง ๆ และพี่ ๆ รปภ. วันนั้นคุณบิ๊กได้ไปนั่งคุยกับพี่รปภ.ที่ชั้น 18 คุยไปคุยมาพี่รปภ.ก็ได้ขออนุญาตลงไปซื้อข้าว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 – 4 ทุ่ม คุณบิ๊กจึงจำเป็นต้องนั่งประจำจุดนั้นให้แทนก่อน แต่แล้ว ก็ดันมีสัญญาณเตือนดังมาจากหน้าลิฟต์ชั้น 19 ดังลงมาถึงชั้น 18 คุณบิ๊กจึงได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนวัยรุ่น พึ่งจบใหม่ ใส่กางเกงยีนส์ขาด เสื้อเอวลอย หันมายิ้มให้และพูดคุยด้วยปกติว่า “พี่มาทำใหม่หรอคะ” คุณบิ๊กจึงได้ตอบกลับไปว่า “ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” จากนั้นน้องผู้หญิงก็ยิ้มให้ และกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสอง ตัวคุณบิ๊กเองเล่าต่ออีกว่า เขารู้สึกแปลกตรงที่น้องอยู่ชั้น 19 จะกดมาที่ชั้น 18 ทำไม ทำไมถึงไม่กดจากชั้น 19 ไปที่ชั้น 2 ทีเดียวตั้งแต่แรก ทำไมถึงมาแวะก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้เอะใจหรือสงสัยอะไร หลังจากนั้นทุกวัน ช่วงเวลาประมาณ 4 – 5 โมง คุณบิ๊กก็ได้เจอกับน้องเขาทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่งคุณบิ๊กเล่าว่า ก่อนจะเกิดเหตุขึ้น น้องเขาได้ยื่นน้ำเปล่ามาให้หนึ่งขวด และพูดกับคุณบิ๊กว่า “เอาไปทานค่ะ’’ คุณบิ๊กจึงตอบขอบคุณไป กระทั่งคืนวันศุกร์ ปกติเลิกงานคุณบิ๊กจะออกกะทุกตี 1 ซึ่งโดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะใช้ยานพาหนะคือ รถจักรยานยนต์ วันนั้นคุณบิ๊กได้ขับรถบนถนนเส้นรัชดา-ลาดพร้าวตามปกติ แต่จู่ ๆ ดันมีลุงคนหนึ่งขับรถมาบีบแตร์ใส่ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนไปขับรถปาดหน้าหรืออะไรใส่เขา คุณบิ๊กจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘อะไรวะ ลุงเป็นอะไร เมาหรือเปล่า’ แต่คุณบิ๊กไม่อยากจอดรถ เพราะวันนั้นฝนดันตก น้ำท่วมหนักมาก ถ้าหากเอาขาลงพื้นจะทำให้เท้าเปียกได้ จึงไม่อยากเอาขาโดนน้ำ แต่แล้วด้วยความที่ตัวของคุณบิ๊กเองเป็นคนคนใจร้อน รอไม่ได้ จึงได้ทำการดับเครื่องรถจักรยานยนต์ของตน และจอดรอ ลุงคนนั้นจึงลดกระจกลงและได้พูดออกมาอย่างโมโหว่า “ไอ่หนุ่ม เอ็งเล่นอะไรกันเนี่ย ให้แฟนไปยืนที่ท้ายเบาะรถ แล้วกระโดดมาเนี่ย เกือบเฉี่ยวหน้ารถลุง” หลังจากลุงพูดจบ คุณบิ๊กกลับไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเพราะน้ำท่วมด้วยจึงไม่ได้รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน จากนั้นลุงเขาก็พูดออกมาอีกว่า “มาชี้หน้ากูแล้วหัวเราะอีก มึงเล่นอะไรกันหรือทะเลาะกันหรือยังไง?” คุณบิ๊กกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ลุงกลับปิดกระจกใส่และขับรถออกไปอย่างโมโห ลุงเหยียบคันเร่งจนทำให้ล้อรถของลุงปาดน้ำบนถนนมาทางที่คุณบิ๊กอยู่ จนทำให้คุณบิ๊กโกรธจนเลือดแทบจะขึ้นหน้า และได้แต่สงสัยในเรื่องที่ลุงคนนั้นพูดมา ซึ่งปกติแล้ว คุณบิ๊กมักจะไปจอดรถที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นประจำ และจะได้เจอกับพี่คนหนึ่ง อายุประมาณ 40 กว่า เขาทำอาชีพขายลูกชิ้นทอด เป็นร้านที่คุณบิ๊กมักจะไปจอดแวะซื้อตลอด วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้คุณบิ๊กพูดคุยกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะคุย “พี่ พี่เคยเจอผีบ้างไหม?” พี่เขาจึงตอบกลับคุณบิ๊กมาว่า “โอโห ช่างถามได้เหมาะเจาะจริง ๆ เลย” และได้พูดต่ออีกว่า “น้องลองหันไปด้านหลังสิ” คุณบิ๊กจึงได้หันไปตามที่พี่เขาบอกและถามออกไปอีกว่า“ทำไมหรอพี่” พี่เขาจึงตอบกลับมาว่า “นั่นแหละ เห็นเสาไฟฟ้านั่นไหม มีน้องพนักงานออฟฟิศประสบอุบัติเหตุ” คุณบิ๊กเล่าว่าตนเองได้ไปสืบข่าวเพิ่มเติมมาว่าน้องเขาโดนพวกโรคจิตขับรถตาม ขณะที่เขากำลังจะขับรถหนี แต่ดันคุมสติตัวเองไม่ได้ จึงทำให้รถเสียหลักล้ม หัวฟาดกับฝาท่อที่เป็นเหล็กกลม ๆ น้องเขาจึงเสียชีวิตที่นั่น แต่ตัวคุณบิ๊กเองยังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับน้องผู้หญิงที่เจอบนตึก แต่พึ่งเริ่มมาปักใจตอนพี่เขามาทักต่อจากเมื่อกี้ว่า “พี่ว่าพี่เคยเห็นน้องคนที่เสียชีวิตไปคนนี้ซ้อนท้ายน้องเมื่อวานนะ แต่พี่ไม่กล้าทัก พี่คิดว่าพี่ตาฝาด แต่พี่จำลักษณะน้องเขาได้” หลังจากนั้นทั้งคุณบิ๊กและพี่เขาจึงได้ช่วยกันนึกถึงลักษณะของน้องผู้หญิงคนนั้น จนมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันกับคนที่เจอบนตึก ด้วยความที่คุณบิ๊กอยากรู้เรื่องราวของน้องเขาว่าเป็นอย่างไร จึงได้ไปสืบกับแม่บ้านที่ตึก และเขาก็ได้บอกว่า “อ๋อ น้องคนนี้ชื่อนุ๊ก ชื่อจริงชื่อ ‘ภานุมาศ’ น้องเขาเป็นเด็กจบใหม่ น่าจะมีเชื่อสายมอญ และเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี” และได้บอกต่ออีกว่า “แต่ที่บ้านน้องเขามาเรียนเชิญดวงวิญญาณให้กลับบ้านไปแล้วนะ น้องเขายังอยู่อีกหรอ” หลังจากได้ยินข้อมูลทั้งหมด คุณบิ๊กก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกลับไป กระทั่งมาถึงวันเสาร์ โดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะทำอาชีพเสริม คือการขายพระเครื่อง ซึ่งตลอดเวลาที่ขายมา ตั้งแต่คุณบิ๊กเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ วัน ๆ หนึ่ง ขายได้ไม่เกิน 500 บาทต่อวัน แต่วันนั้นกลับขายดีมาก เกือบ 1,500 บาท ขายดีถึงขั้นที่ว่าลูกค้าหยิบและซื้อไปแบบไม่มีคำถามเลย ทำให้คุณบิ๊กรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และกลับมาจนจะถึงที่พัก ทว่าระหว่างทางก่อนจะถึงที่พักอีกเพียงนิดเดียว ดันมีกลุ่มวัยรุ่นขับรถเล่นหยอกล้อกันไปมา และคืนนั้นฝนตกทำให้ถนนลื่นมาก ตัวคุณบิ๊กเองที่ขับรถอยู่ท้ายรถของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้น เขาดันเบรกซ้ายกะทันหัน ทำให้รถเสียหลัก ทำให้ตัวและหัวฝั่งซ้ายของคุณบิ๊กล้มไปอยู่ใต้รถเมล์ ทำให้คุณบิ๊กได้แผลตรงที่ปลายนิ้ว และตาตุ่มด้านซ้ายยังได้แผลถลอกจนเห็นถึงเนื้อกระดูกอีกด้วย เหตุการณ์นี้รถของคุณบิ๊กทั้งดับและล้อไม่หมุน แต่คุณบิ๊กเล่าว่าจู่ ๆ กลับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกเครื่องรถแล้วสตาร์ทขึ้นมา และได้ลากตัวของคุณบิ๊กจากเลนขวาไปที่เลนซ้าย ดึงตัวเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง หากไม่ได้ถูกลากเข้าไปข้างทางคงถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน และด้วยความที่คุณบิ๊กถูกรถทับไปข้างนึง จึงทำให้ไม่รู้สึก ไม่มีความชาไปเลย จากนั้นก็มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แล้วแฟนน้องหล่ะ?” ตอนนั้นตัวคุณบิ๊กจึงรู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว จึงค่อย ๆ ขับคลำทางมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่พัก หลังจากนั้นก็ไปล้างหน้า เอาน้ำลูบตัว เพราะเหนื่อยมาก ไม่อยากอาบน้ำ และได้เข้านอน แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา จับแขน มีลมคล้ายกับลมหายใจมารดใบหน้ารดต้นคอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่คนเดียว คุณบิ๊กได้เล่าทิ้งท้ายต่ออีกว่า ตนเองปักใจเชื่อว่าน้องผู้หญิงคนนั้นเป็นคนมาช่วยให้รอดชีวิต และเชื่อว่าตั้งแต่เจอน้องชีวิตของตนเองก็ดีขึ้นมาก ๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

14 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ครูเอก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังมาจาก ‘พี่เอก’ ซึ่งเรื่องนี้ย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่พี่เอกกำลังบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พี่เอกนั้นจะมีรถส่วนตัวคันเก่า จึงใช้รถคันนั้นขับไปรายงานตัวที่โรงเรียน โดยเดินทางออกจากจังหวัดกาญจนบุรี สมัยนั้นยังไม่มี GPS จึงเกิดการหลง ทำให้เสียเวลาพอสมควร พี่เอกถามคนข้างทางไปเรื่อย แต่ละคนต่างบอกไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ถึงโรงเรียนประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อขับไปถึง ลักษณะประตูโรงเรียนจะเป็นประตูเลื่อนบานเดียว พี่เอกก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเงียบผิดปกติ จึงไปยืนดูหน้าประตู และเห็นว่าประตูสามารถเลื่อนได้ พี่เอกจึงเลื่อนประตูแล้วขับรถเข้าไป เมื่อขับเข้าไป ก็เห็นสนามบอลอยู่ตรงกลางของโรงเรียน พี่เอกขับเข้าไปอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอล และหลังสนามฟุตบอลจะมีอาคารไม้สูงสองชั้น มีบันไดอยู่ 3 ขั้นเพื่อขึ้นชั้น 1 และมีทางเข้าออกซ้ายขวา ซึ่งพี่เอกไปจอดอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอลที่มีโรงอาหารเก่า ๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเสร็จ พี่เอกก็รู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วโรงเรียนประถมควรจะคึกครื้นกว่านี้ แต่โรงเรียนนี้กลับเงียบผิดปกติ พี่เอกมองหาคนเพื่อสอบถาม แต่มองไปมองมาก็เห็นอาคารเล็ก ๆ เหมือนบ้านชั้นเดียวที่อยู่ข้างตึกเรียน จู่ ๆ บ้านหลังนั้นก็เปิดประตูมา แล้วก็มีคนเดินอกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมลากของออกมาหน้าบ้าน พี่เอกจึงเดินผ่านตึกเรียนไปที่บ้านหลังนั้น ก็เห็นว่าเป็นคุณลุงใส่เสื้อเก่า ๆ พี่เอกจึงตะโกนเรียกคุณลุง คุณลุงหยุดการกระทำแล้วหันมามองพี่เอก แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร” พี่เอกจึงตอบว่า “ผมเป็นครูใหม่ที่จะมารายงานตัวครับ” คุณลุงถามว่า “ทำไมมาเวลานี้ ผอ.ก็รอจนกลับไปแล้ว” พี่เอกรีบอธิบายว่าตนหลงทาง คุณลุงจึงให้กุญแจบ้านพักครูที่อยู่บริเวณหลังที่พี่เอกจอดรถ และให้ไปห้องที่ไม่ได้ล็อกกุญแจ เมื่อพี่เอกไปถึง ก็เห็นว่าทั้ง 2 ห้องดันล็อคกุญแจอยู่ พี่เอกจึงลองไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นห้องไหน จากนั้นก็เอาของเข้าไปเก็บ เมื่อเก็บของเสร็จ พี่เอกก็คิดจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาของกิน ในตอนที่ออกจากห้องก็ยังเห็นคุณลุงขนของอยู่ พี่เอกจึงทักทายทำความรู้จักกับคุณลุง ได้ความมาว่าคุณลุงชื่อ ‘สังเวียน’ และคุณลุงยังบอกให้พี่เอกรีบไปรีบกลับอย่ากลับดึกมาก หลังจากทักทายกันเสร็จ พี่เอกก็ขอตัวออกไปหาอะไรกินในหมู่บ้านตามแผน คนในละแวกนั้นไม่เคยเห็นหน้าจึงถามว่าเป็นใคร พี่เอกก็บอกว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียน เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนพี่เอกก็แปลกใจว่า ‘ทำไมไม่มีไฟสักดวง’ แต่ก็กลับไปที่ห้องพักแล้วกินข้าวที่ซื้อมา จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน แต่พี่เอกรู้สึกไม่คุ้นที่จึงออกมาเดินเล่น ในขณะที่เดินเล่นก็มีเสียง โครม! ดังมาจากอีกฝั่งของสนามบอล ก็คือหน้าห้องของลุงสังเวียน และก็เห็นว่าลุงสังเวียนเปิดประตูออกมาพร้อมถือไม้กวาดกับถังใส่ของ เมื่อเห็นว่าลุงสังเวียนไม่ได้เป็นอะไร พี่เอกก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ และมองไปที่อาคารไม้พร้อมกับชื่นชมตัวอาคารเพราะมันสวยดี แต่เมื่อแหงนมองไปชั้น 2 ก็แปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเห็นนักเรียนยืนเอามือท้าวขอบระเบียงอยู่บนระเบียง พี่เอกจึงตะโกนถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นหันมามองพี่เอกแล้วยิ้มให้แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก็วิ่งหายไปในความมืด พี่เอกจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อเอาไฟฉายแล้ววิ่งตามไป แต่จังหวะที่กำลังขึ้นไปไฟฉายดันดับ สักพักได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ พี่เอกก็หันไปดูพร้อมหันไปฉายไปและไปฉายก็ติดพอดี เห็นหัวเด็กอยู่ตรงพื้นบันไดชั้น 2 ลักษณะเหมือนนอนละเอาหัวโผล่มา แล้วเด็กคนนั้นก็ลุกแล้วก็วิ่งย้อนไปอีกฝั่งนึง! พี่เอกก็วิ่งตามไปแต่ก็หาไม่เจอ จนไปถึงห้องสุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีอะไร ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเท้าพี่เอกจึงหันกลับไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร พี่เอกเริ่มกลัวแล้วก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง พี่เอกเลยหันไปดู สิ่งที่เห็นคือเด็กวิ่งเข้ามาใส่ พี่เอกตกในจนเสียหลัก พอตั้งหลักได้เด็กคนนั้นกลับไปยืนอยู่กลางอาคาร พี่เอกจึงถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องเรียน พี่เอกก็ตามเด็กไปอีก พี่เอกเปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง พี่เอกก็เรียกให้เด็กคนนั้นมาคุย แต่สิ่งที่เห็นคือเด็กกระโดดลงหน้าต่างไป! พี่เอกรีบวิ่งไปดูแต่ก็ว่างเปล่า จากนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าตนโดนผีหลอกจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดจะกลับห้อง ก็ได้ยินเสียง โครม! อีกครั้ง ดังมาจากบ้านลุงสังเวียน แล้วก็เห็นประตูบ้านของลุงสังเวียนเปิด จากนั้นพี่เอกก็เห็นว่ามีมือและหน้าเด็กโผล่ออกมา ซึ่งก็คือเด็กคนนั้นแล้วชี้เข้าไปในบ้าน พี่เอกจึงเดินไปหา แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินบนอาคารเมื่อหันไปก็ไม่มีใคร พอถึงหน้าบ้านลุงสังเวียน พอเข้าไปบรรยากาศในบ้านมีของวางเต็มไปหมด และมีห้องที่ปิดประตูอยู่ พี่เอกจึงตะโกนถามว่า “ลุงอยู่ไหม เป็นอะไรรึเปล่า” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พี่เอกจึงเดินไปที่ห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไปจนเตะเข้ากับขวดเหล้าขาวเต็มไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลุงสังเวียนแขวนคอตายลิ้นจุกปาก พอตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากห้องลุงสังเวียน แล้วก็เอากุญแจรถที่ห้อง เมื่อจะขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีรถหลายคันขับเข้ามา แล้วถามพี่เอกว่าเป็นใคร ตนก็รีบอธิบายว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียนนี้ ซึ่งคนที่ถามคือครูเวรที่ไปตามตำรวจมา แล้วตำรวจก็พาเดินไปหน้าห้องลุงสังเวียน เพื่อชันสูตร แต่พี่เอกก็ต้องขนลุกเมื่อมองไปที่รูปภาพข้างเตียงของลุงสังเวียนเป็นเด็กคนนั้นที่มีคำว่าชาตะมรณะ ที่ตายยังไม่ถึง 1 อาทิตย์! และได้ความจากครูเวรว่าลุงสังเวียนเป็นปู่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้พ่อแม่ทิ้ง ลุงสังเวียนจึงเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ซึ่งสาเหตุการตายของเด็กคนนี้คือเล่นกับเพื่อนแล้วผลัดตกหน้าต่างไปแปลงผักที่มีไม้ไผ่เสียบอยู่ ซึ่งเด็กคนนี้ตกลงไปแล้วคอเสียบไม่ไผ่ตายคาที่ และวันนี้ครูเวรก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นลุงสังเวียน ก็ได้พบว่าลุงสังเวียนฆ่าตัวตาย เมื่อครูเอกได้รู้เรื่องราวก็เลือกที่จะไปเช่าบ้านอยู่นอกโรงเรียนแทน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

18 พ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

เมื่อต้องไปเรียนไกลถึงต่างประเทศ ต้องพบเจอกับความยากลำบาก แต่ระหว่างที่ทำวิจัยอยู่นั้น งานทุกอย่างกลับราบรื่นไปได้ด้วยดี ..หรืออาจเป็นเพราะมีบางอย่างช่วยเหลืออยู่! นี่คือเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ จาก ‘อาจารย์มิ้นท์’ ที่ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 พฤษภาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจเเนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ‘ดีเจมดดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! อาจารย์มิ้นท์ได้เล่าว่า ตนเองได้ทุนไปทำวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 2 เดือน แม้จะอยู่ญี่ปุ่นแล้วอาจารย์มิ้นท์ก็ยังต้องเรียนภาษาจีนกับเหล่าซือที่ไทยอยู่ เธอจึงเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์แทน แต่วันแรกที่ไปทำวิจัยที่นั่นกลับพบว่าอินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือแทน นอกจากนี้อาจารย์มิ้นท์ยังเล่าอีกว่า เหล่าซือที่สอนภาษาจีนของตนนั้นเป็นลูกหลานครูหมอโนราห์และเป็นคนเห็นผี ระหว่างที่กำลังเรียนภาษาจีนอยู่นั้น ในช่วงแรกเหล่าซือก็มีอาการตกใจแปลก ๆ อาจารย์มิ้นท์ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เมื่อเรียนเสร็จก็ถามเหล่าซือว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าซือบอกว่า “มีผู้หญิงผมยาว ชุดขาวอยู่นอกหน้าต่าง” จากนั้นเหล่าซือก็บอกให้อาจารย์มิ้นท์เดินไปดูที่ระเบียง ปรากฏว่าที่ตึกแห่งนี้ไม่มีระเบียง ทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีทางที่จะมีคนยืนอยู่ข้างนอกหน้าต่างอย่างแน่นอน เนื่องจากเหล่าซือคนนี้สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ จึงบอกกับอาจารย์มิ้นท์ว่าผีสาวตนนั้นเป็นวิญญาณที่อยู่ที่นั่นมาหลายร้อยปีแล้ว และในวันนั้นเอง อาจารย์มิ้นท์ก็มีงานที่ต้องส่งด่วนในวันรุ่งขึ้น แต่อินเทอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้ จึงคิดอยากท้าทายวิญญาณสาวตนนั้นว่า “ถ้าทำให้อินเทอร์เน็ตติดได้ จะถวายอาหารชุดใหญ่ให้” ปรากฏว่าอินเทอร์เน็ตกลับมาใช้งานได้ปกติ และสามารถส่งงานได้ทัน อาจารย์มิ้นท์จึงได้เตรียมอาหารชุดใหญ่เอาไว้สำหรับวิญญาณสาวตนนั้น และทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ชีวิตของอาจารย์มิ้นท์วนเวียนอยู่กับห้องนี้วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งคืนหนึ่ง อาจารย์อีกคนได้เดินมาที่โต๊ะอาจารย์มิ้นท์ในระหว่างที่กำลังทานข้าวอยู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้าตกใจ พออาจารย์มิ้นท์ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกว่า “เห็นเหมือนคนกำลังนั่งกินข้าวกับอาจารย์มิ้นท์อยู่” อาจารย์มิ้นท์รู้ทันทีว่าเป็นวิญญาณสาวตนนั้นอย่างแน่นอน เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะในห้องทำงานห้องเดิม เธอก็เกิดความสงสัยว่าวิญญาณตนนั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่?และ วิญญาณสาวตนนั้นรู้หรือไม่ว่าเธอไปที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง จึงได้ลองถามเหล่าซือที่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณดูอีกครั้ง สรุปว่าวิญญาณสาวตนนั้นสามารถบอกกับเหล่าซือได้หมดว่าอาจารย์มิ้นท์ทำอะไรมาบ้าง อาจารย์มิ้นท์ก็ได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอเคยขอวิญญาณตนนั้นว่า ‘ขอให้งานที่ทำอยู่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี’ เธอจึงคิดว่าที่ผ่านมาระหว่างที่ทำงานวิจัย ไม่ว่าจะติดต่อสถานที่ไหนในญี่ปุ่นก็เรียบง่าย อาจเป็นเพราะวิญญาณสาวช่วยเอาไว้ก็เป็นได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

16 มิ.ย. 2023

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ได้แขกรับเชิญสุดพิเศษที่เล่าเรื่องหลอนได้ถึงพริกถึงขิงอย่าง ‘คุณตั้น The Shock’ พร้อมกับเรื่องที่ชวนขนหัวลุกของรถตู้ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ คิ้วขมวดตลอดทั้งเรื่อง! แต่จะหลอนชวนปริศนาแค่ไหน แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณเอ’ (นามสมมุติ) ปัจจุบันเป็นสต๊าฟงานอีเวนต์จึงได้รู้จักกับคุณตั้น แล้ววันนั้นก็ต้องนั่งรถตู้ไปพร้อมกับคุณตั้นพอดี คุณตั้นจึงบอกคุณเอไปว่า “เอนั่งข้างหน้าต่างแล้วกัน พี่รู้ว่าเอชอบนั่งริมหน้าต่าง แล้วพี่จะนั่งเบาะกลางเอง” แต่คุณเอกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เอาพี่ เราเว้นที่นั่งเบาะกลางไว้ดีกว่า ผมจะนั่งริมหน้าต่าง ส่วนพี่นั่งริมประตูละกัน” ด้วยความสงสัยคุณตั้นก็ถามไปว่า “ทำไมล่ะ?” คุณเอก็บอกว่า “เดี๋ยวขึ้นรถแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง” หลังจากนั้น คุณเอก็เริ่มเล่า..ย้อนกลับไปตอนที่คุณเอยังเป็นนักดนตรีแบคอัพ มีงานเดินสายเล่นดนตรีแทบทุกคืน คืนหนึ่ง คุณเอต้องเดินทางไปเล่นดนตรีที่ภาคอีสาน โดยการนั่งรถตู้ไปพร้อมกับนักดนตรีแบคอัพวงเดียวกัน แต่รถตู้ของน้าคนขับคู่ใจดันเสีย จึงต้องใช้รถตู้คันอื่นโดยสารไปแทน เมื่อรถมาถึง นักดนตรีก็แยกย้ายกันขึ้นไปนั่ง แบ่งเป็นแถวละ 1 คน ส่วนเบาะที่ยังว่างก็ใช้วางอุปกรณ์ดนตรีแทน คุณเอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแถวหลังคนขับ เมื่อจัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย รถตู้ก็ออกเดินทางตามกำหนดเดินทางออกไปได้สักพัก คุณเอก็เริ่มเคลิ้มหลับ แต่เพราะนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้หัวมักจะชนกับหน้าต่างบ่อย ๆ และจะรู้สึกตัวเป็นพัก ๆ กระทั่งเวลา 2 ทุ่ม หัวคุณเอชนเข้ากับหน้าต่างจนสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ข้างทางเป็นต้นไม้ มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนเป็นระยะ คุณเอเหลือบหางตาไปทางด้านขวามือ เห็นเป็นหน้าผู้ชายในกระจก! คุณเอตกใจสะดุ้งแล้วขยี้ตา มองไปอีกที สิ่งนั้นก็หายไป! คุณเอคิดว่าคงเป็นเงาของตัวเอง ไม่ก็คิดมากไปเองเพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ จึงไม่ได้คิดอะไรมากและกำลังจะหลับต่อ สักพักก็มีเสียงดังก้องในหูว่า “ตื่น.. มีของจะฝาก” คุณเอลืมตาขึ้นมาและมองไปที่กระจกอีกครั้ง ก็เห็นเป็นหน้าผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนอยู่ คุณเอพยายามตั้งสติและมองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เป็นเพื่อนจากข้างหลังที่ย้ายมานั่งข้าง ๆ กันหรือเปล่า ระหว่างที่คิดนั้น คุณเอก็พยายามหลบสายตาผู้ชายในกระจก แล้วเบี่ยงหน้าทางซ้าย ปรากฏว่าสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เบาะกลางด้านซ้ายมือของคุณเอ มีผู้ชายแปลกหน้านั่งอยู่!คุณเอคิดในใจว่า “มึงใครวะ” หลังจากสติเริ่มเข้าที่ ก็เริ่มประมวลภาพข้างหน้า ลุงคนนี้ใส่เสื้อลายสก็อต มีย่ามสะพายคาด นั่งมองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “เห็นใช่มั้ย?” คุณเอและคิดในใจว่า “ก็คนน่ะ ก็เห็นสิ” แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป ลุงคนนั้นถามอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นว่า “เห็นใช่มั้ย?” จากนั้นก็หันหน้ามา ทำให้เห็นว่าหน้าอีกฝั่งเละไปทั้งแถบ! ตอนนั้นคุณเอคิดว่าต้องตะโกนแล้ว แต่พอกำลังจะอ้าปาก มือของลุงคนนั้นก็มาตบที่ต้นขาของคุณเอดังป๊าบ! แล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องกลัว” คุณเอสับสนในหัว ไม่รู้จะทำยังไงต่อ และคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือหลับดีกว่า! หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมานั่งตรงเพื่อที่จะหลับต่อ แต่ความรู้สึกที่ต้นขายังสัมผัสได้ว่ามือของลุงคนนั้นยังจับอยู่ที่ขา จากนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็น จะเล่าให้ฟัง..”เวลาผ่านไปสักพัก คุณเอไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่ต้นขาแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไร จึงลืมตาขึ้น แต่ก็พบว่าสภาพแวดล้อมในรถมันไม่เหมือนเดิม! รอบข้างกลายเป็นเวลากลางวัน คนขับรถตู้ก็ไม่ใช่คนเดิม คนในรถก็ไม่ใช่เพื่อน ทางด้านซ้ายกลายเป็นลุงคนนั้นนั่งอยู่ตรงเบาะกลาง ถัดไปเป็นผู้หญิง และที่นั่งในรถตู้คันนี้ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสารเต็มคัน คล้ายกับรถตู้คันนี้เป็นรถตู้โดยสารข้ามจังหวัด! คุณเอมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามมองว่าลุงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจะสื่อสารอะไรกับคุณเอกันแน่ ภาพที่เห็นคือ คุณลุงหยิบรูปถ่ายออกมาจากย่าม เป็นรูปถ่ายผู้หญิงใส่ชุดรับปริญญา คุณลุงอมยิ้มให้กับรูปถ่าย แล้วก็หยิบแหวนขึ้นมา คุณเอยังไม่เข้าใจความหมายของภาพตรงหน้า สักพักก็มีเสียง “เอี๊ยดดดดดด!” จากนั้นก็รู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในรถที่เสียการทรงตัว “โคร้มมม!” รถตู้หยุดแน่นิ่ง ภาพตัดมาที่คุณเอกำลังยืนมองดูรถตู้คันนั้นอยู่ข้างทาง เสียงร้องโอดครวญจากคนในรถ และมีหลายคนพยายามตะเกียกตะกายออกมา คุณเอคิดในใจว่าอยากจะเข้าไปช่วย แต่กลายเป็นว่าคุณเอจับแขนใครไม่ได้เลย เหมือนกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า มีลุงคนนึงที่นั่งมาด้วยกัน ตอนนี้ลุงคนนั้นอยู่ไหน คุณเอขึ้นไปยืนบนรถตู้ที่นอนตะแคงอยู่แล้วมองผ่านกระจกรถที่แตก ก็เห็นว่าคุณลุงยังอยู่ตรงนั้น เศษกระจกบาดใบหน้าจนเละ และมีเสียงหายใจบวกกับกระอักเลือดอยู่ แทนที่คุณลุงจะตะเกียกตะกายเพื่อออกจากรถ กลายเป็นคุณลุงยื่นมือส่งแหวนให้คุณเอกำไว้ในมือ! หลังจากนั้นก็เหมือนอาการวาร์ป คุณเอรู้สึกตัวอีกทีบนรถตู้คันเดิมที่นั่งมา คุณเอหันไปมองข้าง ๆ ก็ไม่เจอคุณลุงคนนั้นแล้ว เมื่อพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ พอคลายมือก็พบว่ามันคือแหวน! คุณเอทั้งตกใจทั้งมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงร้านที่จะต้องไปเล่นดนตรีแล้ว จึงเก็บแหวนใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปทำงาน จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเล่นดนตรี ทุกคนก็กำลังสนุกสนานไปกับบรรยากาศในร้าน มีแว๊บนึงที่คุณเอนึกขึ้นได้ว่า “แหวนยังอยู่มั้ยวะ?” แล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกงเพื่อเช็คแหวน จังหวะนั้นก็เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าเวทีกำลังสนุกสนาน คุณเอรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก หรือเธอจะสวยจนเตะตา แต่ก็ไม่ใช่สเปกขนาดนั้น คุณเอรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนสักที่ หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีต่อจนจบ เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ ได้ วงของคุณเอไม่ได้มีงานต่อ ที่ร้านจึงจองโต๊ะไว้ให้นั่งสังสรรค์ต่อ ระหว่างนั้นเรื่องแหวนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังติดอยู่ในใจคุณเออยู่ กระทั่งคนในวงเอ่ยทัก เพราะคุณเอดูไม่ร่าเริง แต่คุณเอก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น จึงคิดในใจว่า “หรือผู้หญิงคนนี้ จะเป็นคนที่อยู่ในรูป” และคิดว่าจะเอาแหวนไปให้เธอดู อาจจะคลายปมปริศนาที่สงสัยอยู่ก็เป็นได้จากนั้น คุณเอก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในวงที่ส่งเสียงแซวตามหลัง เมื่อมาถึงที่โต๊ะ คุณเอก็ถามผู้หญิงคนนั้นว่า “น้องครับ พี่ขอเวลาสักครู่ได้มั้ย?” ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกจริงจัง จากนั้นก็หยิบแหวนขึ้นมา แล้วพูดว่า “น้องเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย?” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ แล้วก็วิ่งออกจากร้านไป! เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะก็เริ่มโวยวาย คิดว่าคุณเอเป็นคนไม่ดี แต่คุณเอก็รีบปฏิเสธว่าตนยังไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็วิ่งตามออกไป พอออกไปข้างนอกก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อยู่ตรงทางเท้า เพื่อนก็เข้าไปปลอบ เธอร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ หลังจากเธอเริ่มได้สติ คุณเอก็เริ่มเข้าไปคุยด้วยว่า “น้อง.. มันเกิดเรื่องอะไรกับพี่ไม่รู้ แต่มันมีแหวนวงนี้มาอยู่ที่พี่ น้องรู้มั้ยว่ามันคืออะไร?” จากนั้นเธอก็เริ่มตั้งสติ และบอกว่า “แหวนวงนี้ เป็นของพ่อหนู คือตอนนั้นหนูเรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ถ่ายรูปใส่ชุดรับปริญญาส่งไปให้พ่อดู พ่อหนูไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินให้หนูเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด แล้วพ่อก็บอกว่าพ่อจะกลับไปงานรับปริญญา แล้วก็จะมีของขวัญไปให้ด้วย” แล้วเธอก็เปิดรูปที่พ่อส่งมาให้ในไลน์ เห็นเป็นคุณพ่อถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับแหวนส่งมาให้ แต่ระหว่างที่คุณพ่อเดินทางกลับ รถตู้ที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ค้นหาแหวนยังไงก็ไม่เจอ นั่นทำให้คุณเอพอจะเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น จากนั้นก็มอบแหวนคืนน้องผู้หญิงไปแต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจคือ “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วยวะ?” คุณเอจึงไปหาน้าคนขับรถตู้เพื่อถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่น้าคนขับรถก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะรถตู้คันนี้ก็เช่ามาอีกทีเหมือนกัน จึงโทรกลับไปหาเจ้าของรถตู้ ได้เรื่องว่ารถตู้คันนี้พึ่งซ่อมเสร็จ กำลังใหม่เอี่ยม แถมยังให้เช่าราคาถูกอีกด้วย นั่นจึงทำให้รู้ว่ารถตู้คันนี้คือต้นเรื่องราวทั้งหมด เป็นรถคันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง!สุดท้ายแล้วคุณตั้นได้มานั่งวิเคราะห์กับคุณเอว่า หรือจริง ๆ แล้ว แหวนวงนี้ มันอยู่ในรถตั้งแต่แรก แต่ไม่มีใครหาเจอ แล้วคุณเออาจจะไปสัมผัสโดนแหวน ทำให้คุณพ่อสามารถสื่อสารกับคุณเอได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเอมีความคิดว่า ถ้ารักใคร จะไม่ให้คนนั้นนั่งเบาะกลาง.. แล้วคุณล่ะ ชอบนั่งตรงไหน แต่เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งด้วยนะ ด้วยความหวังดีจาก อังคารคลุมโปง X(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1