เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

อังคารคลุมโปง RECAP

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

11 เม.ย. 2023

     ไปทำงานต่างจังหวัดจึงเลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีเสียงเปิด-ปิดประตูตลอดเวลา! แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก! จะออกไปทำบุญก็เจออุปสรรค พอทำบุญให้ก็ยังไม่หายไปไหน! ..ต้องทนนอนด้วยความหวาดผวาถึง 8 คืน!

     หลายคนคงไม่เชื่อว่าประสบการณ์ขนหัวลุกจะเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังนอนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวได้ เรื่องราวสุดหลอนนี้มาจากสาย ‘คุณแดน’ ที่ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 เมษายน 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เป็นเรื่องที่ทั้งสตูต้องร้อง “ห๊า!” ไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันได้เลย!

     คุณแดนเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ไปทำงานที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 9 วัน 8 คืน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน จึงวางแผนว่าจะนอนพักที่โรงแรม 5 ดาว เพื่อความปลอดภัย แต่จังหวัดนั้นมีโรงแรม 5 ดาวอยู่เพียง 2 แห่ง จึงเลือกโรงแรมที่เป็นแบรนด์ที่เคยใช้บริการ

     ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ คุณแดน พี่สาว บัดดี้ของพี่สาว และทีมงานอีก 2 คน ทั้งหมดได้จองห้องพักไว้ 3 ห้อง โดยคุณแดนนอนคนเดียว ส่วนพี่สาวนอนกับบัดดี้ ทั้ง 2 ห้องนี้จะอยู่ติดกัน ส่วนอีกห้องเป็นของทีมงานที่เหลือ ตำแหน่งของห้องอยู่ตรงข้ามห้องของพี่สาว

     เมื่อมาถึงโรงแรม ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามที่คาดหวังสมมาตรฐานระดับ 5 ดาว บรรยากาศในโรงแรมดูคึกคักเพราะช่วงนั้นมีการจัดสัมมนาด้วย ส่วนห้องพักเองก็ดูใหม่ มีผนังห้องน้ำเป็นกระจกและมีผ้าม่านช่วยเพิ่มความหรูหรา และยังมี Daybed (เตียงนอนเล่น) ให้นั่งพักผ่อนอย่างสะดวกสบาย ส่วนด้านนอกมีระเบียงหลอก ๆ ที่ทำขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่ไม่สามารถออกไปยืนข้างนอกได้

     แม้ในห้องจะดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัว แต่ในคืนแรก เวลาประมาณ ตี 1 – 2 คุณแดนก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเปิด-ปิดประตูเสียงดังอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่าอาจเป็นเพราะมีสัมมนาจึงทำให้คนเยอะกว่าปกติ และเดินเข้าออกบ่อย จากนั้นคุณแดนก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูดังมาจากห้องของพี่สาว จึงคิดว่าพี่สาวและบัดดี้คงออกไปเที่ยวกันแน่ ๆ จากนั้นก็หลับต่อจนถึงเช้า เมื่อเจอพี่สาวตอนเช้าก็ได้ถามไปว่า “เมื่อคืนออกไปไหนกันมาหรอ เห็นเปิด-ปิดประตูเสียงดัง” แต่เธอก็ปฏิเสธ จากนั้นก็ถามคุณแดนกลับ เพราะเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องคุณแดนเหมือนกัน คุณแดนตอบปฏิเสธไป เพราะไม่ได้ออกไปไหนจริง ๆ ส่วนห้องของทีมงานอีก 2 คนที่เหลือ เขากลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คุณแดนและพี่สาวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก

     คืนที่สอง ก็ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเหมือนเดิมคือมีเสียงเปิด-ปิดประตูอยู่แทบจะตลอดเวลา ก่อนหน้านี้คุณแดนก็ได้ไปเช็คกิจกรรมภายในโรงแรม ซึ่งก็มีตารางค่อนข้างเยอะ จึงพอจะเข้าใจได้และทำใจนอน แต่ยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับ คุณแดนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมดังขึ้นมาจากห้องพี่สาว แล้วเสียงนั้นก็ดังมาที่ห้องคุณแดนแทน เป็นเสียงที่เหมือนมีใครพยายามเข้ามาในห้องแต่เปิดประตูไม่ได้ เนื่องจากประตูมีโซ่ล็อคอยู่อีกชั้นหนึ่งจากประตูดิจิทัล สักพักอีกประมาณ 10 นาที ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินลากเท้าเข้ามาในห้อง และมาหยุดที่ปลายเตียงของคุณแดน คุณแดนขนลุกกลัวไปหมดจนไม่กล้าลืมตา และก็รู้สึกว่าเขายืนแบบนั้นอยู่ ประมาณ 5 นาที คุณแดนจึงพูดในใจว่า “ผมกลัวนะ อย่าทำอะไรผม” แล้วเขาก็หายไป..!

     เช้าของวันถัดมา พี่สาวคุณแดนก็มาสะกิดถามว่า “เมื่อคืนเธอเจออะไรมั้ย” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟัง และเธอก็บอกว่าเจอเหมือนกัน โดยเขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่แสงไฟเล็ดลอดออกมา (พี่สาวเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก่อนนอน) เธอจึงเหลือบตามอง และพบว่าเป็นผู้ชายยืนมองเธออยู่! เพื่อให้แน่ใจจึงรวบรวมความกล้าเปิดไฟหรี่ที่หัวเตียงขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน! เพราะมองไม่เห็นส่วนของใบหน้า เป็นเพียงเงาลาง ๆ ดำ ๆ และยังยืนมองมาอยู่ประมาณ 5 นาที เหมือนกับเวลาที่เขายืนมองคุณแดนด้วยเช่นกัน!

     คุณแดนกับพี่สาวจึงตัดสินใจว่าจะปลีกตัวออกไปทำบุญ ซึ่งมีบัดดี้ติดรถมาด้วย เมื่อซื้อสังฆทานเสร็จ ก็กำลังจะนำไปทำบุญตามที่ตั้งใจ คุณแดนก็เดินจ้ำไปที่รถ จู่ ๆ ก็มีรถอีกคันมาจอดแนบตรงประตูฝั่งคนขับ ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถได้ คุณลุงเจ้าของรถลงมาเห็นพอดี จึงกล่าวขอโทษและย้ายรถออกให้ จากนั้นคุณแดนก็รีบนำสังฆทานไปยังวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที แต่พอไปถึงปรากฏว่าวัดเงียบมาก คุณแดนวนรถหากุฏิเจ้าอาวาสก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจหาวัดใกล้ ๆ อีกแห่ง พอมาถึง พระที่นั่นกลับไม่รับถวายสังฆทาน โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้เขาจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมไปสอบ” คุณแดนก็คิดในใจว่า “ทำไมอุปสรรคเยอะจัง” สุดท้ายก็ไปอีกวัด และคิดว่าถ้าไม่ได้ถวายสังฆทานในวัดนี้ คืนนี้ก็คงต้องกล้ำกลืนอดทนกันไป แต่ในที่สุดก็สามารถถวายสังฆทานได้เป็นที่เรียบร้อย

     คืนที่สามนี้ คุณแดนและพี่สาวพยายามดื่มกันหนักมาก เพื่อที่จะได้หลับแบบไม่รู้สึกตัว ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จึงคิดว่าเขาน่าจะได้รับส่วนบุญกุศลที่พึ่งทำไปให้ไปแล้ว แต่พอตกคืนที่สี่ คุณแดนและทีมงานทั้งหมดออกไปเที่ยวกลางคืน และกลับมานอนตามปกติ ซึ่งงานสัมมนาและงานประชุมใด ๆ ที่โรงแรมจัดได้หมดไปแล้ว ทำให้บรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างเงียบ และเหตุการณ์เดิม ๆ ก็วนมาอีกครั้ง หนึ่งในผู้ร่วมชะตาหลอนคนใหม่ คือบัดดี้ของพี่สาวนั่นเอง..

     ต่อมาในคืนที่ห้า คุณแดนและทีมงานยังคงอยู่ระหว่างการคุยงานเนื่องจากลูกค้าอยากนัดทานข้าวไปด้วย ซึ่งทางลูกค้าก็ถามว่า “นอนพักที่ไหนกัน” พอคุณแดนตอบไป เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า “คนที่นี่เขาไม่นอนที่โรงแรมนั้นกันหรอกนะ” เนื่องจากตึกของโรงแรมมันเคยร้างมา 10 กว่าปี จนได้เจ้าของใหม่มารีโนเวทและเปิดกิจการโรงแรม ซึ่งก็ถูกเทคโอเวอร์ไปเป็นแบรนด์ปัจจุบันนี้ และเล่าต่ออีกว่า เพื่อนของลูกค้าเคยมาพักที่นี่ เป็นห้องและชั้นเดียวกันกับที่คุณแดนพัก แถมยังเจอเหตุการณ์เดียวกันแบบเป๊ะ ๆ อีกด้วย

     คุณแดนได้ยินก็ตกใจและกลัวมาก จึงดื่มแอลกอฮอล์เพื่อมอมตัวเอง ทำให้กลับมาถึงห้องพักเกือบตี 2 พอออกจากลิฟต์ หางตาก็มองไปสุดทางเดิน ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาคนยืนอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เจอตลอดเกือบทุกคืน ทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายพากันเข้าห้องทันที ระหว่างนั้นสุนัขก็พากันหอนเสียงดังมาจากหลังโรงแรม แต่ความหลอนมันก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะกลางดึกคืนนั้น คุณแดนสะดุ้งตื่นเนื่องจากพี่สาวโทรมาขอให้เปิดประตูห้อง เมื่อไปเปิดก็เห็นพี่สาวและบัดดี้เดินหน้าซีดเข้ามาในห้องพร้อมกับหมอนผ้าห่ม ทั้งสองเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบเดิมเลย แต่บัดดี้ดันเห็นว่าเงานั้นเดินชนเก้าอี้ ทำให้มีเสียงดัง บัดดี้จึงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และพากันหนีมานอนที่ห้องคุณแดนแทน!

     พอเช้าวันถัดมา คุณแดนได้มอบผ้ายันต์พระเวสสุวรรณให้กับบัดดี้เพื่อนำไปติดในห้อง และขอให้แผนกต้อนรับของโรงแรมแจ้งกับแม่บ้านว่าอย่าขยับเขยื้อนผ้ายันต์เด็ดขาด ซึ่งพอวันใกล้จะกลับกรุงเทพฯ ก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกซ้ำ ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงเคาะมาจากกระจกฝั่งระเบียงห้องคุณแดน 3 ครั้ง! ซึ่งตอนนั้นมีผ้าม่านกั้นไว้อยู่ คุณแดนแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมเปิดผ้าม่าน จนผ่านไปสักพัก เสียงเคาะนั้นก็ดังและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จากก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็น ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ คุณแดนกลัวมาก จึงตัดสินใจเปิดไฟนอน สักพักพี่สาวก็ไลน์มาถามว่า “เค้ามาเคาะกระจกห้องเธอหรือเปล่า” คุณแดนเลยตอบกลับไปว่า “ใช่” 

     จนมาถึงวันสุดท้ายที่กำลังจะกลับ พี่สาวเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ปรากฏว่ามีน้ำอัดลมที่ถูกดื่มไปแล้วประมาณ 1/4 ของขวดถูกแช่อยู่ในตู้เย็น ซึ่งพอสอบถามกันไปมา ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของน้ำอัดลมที่ว่าเลยสักคน จึงสันนิษฐานกันว่า หรือแม่บ้านอาจจะรู้ ว่าในห้องนี้มีอะไรจึงนำน้ำอัดลมมาให้สิ่งนั้น.. และขณะที่กำลังเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก คุณแดนได้ถามพนักงานต้อนรับว่าที่ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า เขาก็ไม่ยอมบอก และถามกลับว่าเจออะไร คุณแดนจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่พนักงานต้อนรับกลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ถามต่อว่า “ทำไมไม่แจ้งตั้งแต่แรก จะได้ย้ายห้องให้” คุณแดนจึงบอกไปว่า “ตอนแรกผมคิดว่าทำบุญให้จะไม่เจออีก แต่ใครจะไปคิดว่าจะเจอเกือบทุกวัน”

     เมื่อออกจากโรงแรมมาแล้ว คุณแดนและพี่สาวจึงตัดสินใจกลับไปเจอลูกค้าอีกครั้งเพื่อสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้ จนรู้คำตอบว่าตอนที่ตึกมันร้าง วิญญาณตนนั้นอาจจะมาเสียชีวิตตรงเตียงห้องของพี่สาว นั่นเลยทำให้เขากลับมายังที่ตรงนั้นตลอดวนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ซึ่งคุณแดนเองก็คิดว่าที่เขามาบ่อยก็เพราะเขาตายมานานแล้วไม่มีใครทำบุญให้ ทางลูกค้าก็ได้เล่าต่ออีกว่า อย่างน้อยโรงแรมแห่งนี้ยังดีกว่า 5 ดาวอีกแห่งหนึ่ง ตรงนั้นเจอหนักกว่านี้เยอะ เพราะเพื่อนลูกค้าที่เคยไปพัก ถึงขั้นต้องอุ้มลูกวิ่งหนีออกมาจากห้องพักเลย เพราะมีเงาผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินออกมาจากผนังห้อง

     คุณแดนยังทิ้งท้ายอีกว่า “การที่โรงแรมดาวเยอะ ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เจอเรื่องอะไรแบบนี้เสมอไป”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

บ้านที่อุบลสุดหลอนของม้าม่วง!

07 เม.ย. 2024

บ้านที่อุบลสุดหลอนของม้าม่วง!

‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ กับประสบการณ์หลอนที่บ้านหลังเก่า ตอนแรกไม่เชื่อจนได้มาเจอกับตัวเอง! เรื่องนี้ ‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผู้หญิงในบ้าน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณม้าม่วง’ โดยเล่าว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ เมื่อตอนเป็นเด็ก ทุกคนจะอยู่รวมกันทั้งเครือญาติเป็นครอบครัวใหญ่ เมื่อทุกคนแยกย้าย คุณม้าม่วงจึงได้ไปอีกอยู่จังหวัดหนึ่ง แล้วบ้านหลังนี้ก็ถูกทิ้งร้างเป็นปี แต่ก็กลับมาทำความสะอาดเดือนละ 1 ครั้ง จนกระทั่งมีช่วงหนึ่ง คุณม้าม่วงเริ่มย้ายกลับเข้ามา ซึ่งเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นคุณม้าม่วงไปเที่ยวแล้วกลับมาที่บ้าน จึงมองขึ้นไปบนบ้าน (ข้างบนบ้านมีระเบียง มีห้องพระ) ก็เห็นว่ามีเงาหนึ่งยืนมอง เหมือนคนรอให้กลับบ้าน ตอนแรกม้าม่วงคิดว่าเป็นป้าหรือคนในบ้านมารอด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อขึ้นไปบนบ้าน ปรากฏว่าทุกคนนอนกันหมดแล้ว ม้าม่วงก็คิดว่าคงไม่มีอะไร วันต่อมา คุณม้าม่วงเลิกเรียนประมาณ 4-5 โมงเย็น ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนบ้าน เวลาเดินบนพื้นไม้จะมีเสียงแอ๊ด ๆ ของไม้ดังขึ้น คุณม้าม่วงก็คิดว่ามีคนอยู่ข้างบน จึงตะโกนบอกไปว่า “หนูกลับมาแล้วนะ หนูกลับมาแล้วจ้า เย็นนี้กินอะไรกันดี?” เมื่อพูดจบก็ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ก็ได้ยินเสียงแอ๊ด ๆ อีก คุณม้าม่วงสงสัยจึงถามอีกว่า “ทำอะไรกัน” จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนบ้าน ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่ คุณม้าม่วงก็คิดว่า “เอาแล้ว ใช่แล้วแหละ” คุณม้าม่วงก็คิดว่านี่คือบ้านเรา แล้วก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนชิน และรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง คุณป้าก็เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเจอ แต่คุณม้าม่วงไม่เชื่อเพราะยังไม่ได้เจอกับตัวเอง จนวันหนึ่ง คุณม้าม่วงนอนอยู่ในห้องกับน้องสาวและรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ก็สงสัยว่าตนเป็นอะไร ขณะที่คุณม้าม่วงกำลังจะหันไปหาน้องสาว ซึ่งน้องสาวนอนหันหลังให้ คุณม้าม่วงก็เห็นผู้หญิงนอนมองหน้าอยู่ข้างหน้าตน ด้วยความที่ปิดไฟจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ผมของผู้หญิงคนนั้นจะปิดเหนือตาข้างหนึ่ง ตอนนั้นคุณม้าม่วงกลัวมากจึงสวดมนต์ ปรากฏว่าเขาก็ไม่ไป คุณม้าม่วงโมโหเลยบอกว่า “ไป ๆ ไม่ไปจะด่าแล้วนะ” จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็หายไป คุณม้าม่วงลุกขึ้นนั่งและปลุกน้องสาวแล้วถามว่า “มึง เมื่อกี้มึงหันหน้ามาป่ะ?” น้องสาวบอกว่า “ฉันนอน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” คุณม้าม่วงก็คิดว่าช่างมัน ‘ยังไงมันก็คือบ้านเรา’ หลังจากนั้นระหว่างที่น้องสาวของคุณม้าม่วงกำลังอาบน้ำ อยู่ ๆ ก็มีหน้าผู้หญิงลอดออกมาจากช่องอาบน้ำ น้องสาวกรี๊ดลั่น คุณม้าม่วงที่กำลังกินข้าวอยู่ก็วิ่งมาดูน้องสาวแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” น้องสาวก็บอกว่า “เห็นผู้หญิงมาก้มมอง” คุณม้าม่วงเลยเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกว่า “ฉันเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่หน้าประตู เห็นแค่ช่วงบน ไม่เห็นช่วงล่าง เป็นผู้หญิงสวยมาก มายืนมองว่าคนนี้คือใคร ตอนที่คุณแม่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ใหม่ ๆ” คุณม้าม่วงก็คิดว่าคงเป็นผีที่บ้าน จนเวลาผ่านไป วันนั้นคุณม้าม่วงเลิกเรียนประมาณ 4-5 โมงเย็นเหมือนเดิม คนที่บ้านจะชอบบอกว่า ห้ามนอนตอนเย็น แต่คุณม้าม่วงก็นอนเพราะง่วง ระหว่างที่นอนอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็คลานมาบนที่นอน แต่เห็นแค่เงากับผม คุณม้าม่วงจึงพยายามหลับตาและสวดมนต์ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “สวดมนต์ก็ไม่ถูก สวดใหม่!” พูดท้าคุณม้าม่วง ตอนนั้นคุณม้าม่วงยอมรับว่าสวดมนต์ไม่ถูกจริง ๆ เพราะตกใจมาก ด้วยความโมโหคุณม้าม่วงก็เลยด่าว่า “อีผี ถ้ามึงไม่ไปกูจะสาปแช่งมึง ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย” หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็หายไป คุณม้าม่วงจึงรีบลุกแล้ววิ่งไปหน้าบ้าน คนที่บ้านก็บอกว่า “ไม่มีหรอก ถ้าอยู่ เขาคงมาเล่น มาหยอกหรือเปล่า?” และเสียงที่เดินบนพื้นไม้ก็ยังมีเหมือนเดิม หลังจากเหตุการณ์วันนั้นน้องสาวอีกคนก็นอนในห้องที่คุณม้าม่วงเจอกับผู้หญิงคนนั้น ระหว่างที่นอนอยู่ น้องสาวก็โดนดึงแขน จากนั้นก็กรี๊ดแล้วร้องไห้ แต่คุณม้าม่วงคิดว่าบ้านเราจึงไม่กลัว มีวันหนึ่ง คุณย่าของคุณม้าม่วงออกไปใส่บาตรหน้าบ้าน พระก็ยืนมองและถามว่า “โยม ผู้หญิงในบ้านคือใคร? ที่ยืนอยู่ตรงนั้น” คุณย่าก็บอกว่า “อ๋อ หลานใส่วิก” จนล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณม้าม่วงจะมีการดูดวงปีละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ไปดูดวงกับหมอดูท่านหนึ่ง โดยวิดีโอคอลไปหาหมอดูและบอกว่า “มึงดูให้กูหน่อยดิ บ้านกูมีอะไรบ้างวะ?” หมอดูก็เลยบอกว่า “โอเค” คุณม้าม่วงก็แพลนกล้องให้ดูรอบ ๆ บ้าน หมอดูก็พูดว่า “พี่หนุ่มขึ้นไปห้องพระหน่อยสิ” คุณม้าม่วงจึงเดินขึ้นไปบนห้องพระ หมอดูก็บอกว่า “พี่หนุ่ม หนูเห็นผู้ชายตัวใหญ่ เขารู้ว่าหนูเห็นเขา” คุณม้าม่วงก็พูดว่า “หรอ?” หมอดูก็บอกอีกว่า “จริงพี่หนุ่ม หนูไม่รู้ว่าใคร ไม่รู้สึกว่าเป็นญาติพี่หนุ่มด้วยซ้ำ แต่อยู่ในห้องพระ เป็นผู้ชายตัวใหญ่มาก” คุณม้าม่วงก็เลยบอกว่า “เออ ๆ ช่างมัน” แล้วถามต่อว่า “หิ้งพระทำอะไรผิดไหม?” หมอดูก็บอกว่า “พี่หนุ่มมันแปลก ๆ ตรงพานนั้นมันมีอะไรหนูบอกไม่ถูก มันไม่ดีเลย พี่หนุ่มช่วยดูให้หน่อย” คุณม้าม่วงดูในพานและเจอกับถุงใบหนึ่งเลยเปิดดู เห็นเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ แต่หักตรงคอ หมอดูบอกว่า “เนี่ย เอาไปทิ้งเลย” จากนั้นคุณม้าม่วงก็ถามคุณย่าของตนว่า “อะไรเนี่ย?” คุณย่าบอกว่า “เก็บไว้ เสียดาย” จากนั้นคุณม้าม่วงก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์นำพระพุทธรูปที่คอหักโยนเข้าวัดแล้วพูดว่า “ไปเลยไป ของไม่ดีออกไปจากบ้านกู” ตกดึกคืนถัดมา ถึงรอบที่จะต้องดูดวงกับหมอดูอีกครั้ง หมอดูก็พูดทักขึ้นมาว่า “พี่หนุ่ม คนนั้นเขารู้ว่าหนูเห็นเขา เขายืนมองใหญ่เลยอยู่บนบ้าน” คุณม้าม่วงก็แหงนกล้องแล้วพูดว่า “ไหนอะ เขามองหรอ มองกันซิ จ้องตากัน” หมอดูคนนั้นก็พูดว่า “พี่หนุ่มอย่าทำเป็นเล่นนะเว้ย เดี๋ยวเขาลงมาหาจริง ๆ นะ” คุณม้าม่วงก็บอกว่า “มาหาเธอหรือมาหาฉัน” หมอดูคนนั้นก็บอกว่า “พี่หนุ่มอย่าเล่น เขารู้นะว่าหนูเห็นเขา เขาจะลงมาจริง ๆ ตอนนี้เขามองหนูแบบโมโหเลย” คุณม้าม่วงก็ไม่เชื่อ จนเวลาผ่านไปไม่ถึง 1 นาที คุณม้าม่วงก็ได้ยินเสียงหมาหอนที่บ้านของหมอดู เพราะผู้ชายคนนั้นไปหาหมอดูที่บ้าน! หมอดูบอกว่า “พี่หนุ่มบอกเขากลับบ้านเลย” คุณม้าม่วงก็เรียกเขาให้กลับบ้าน สักพักทุกอย่างก็เงียบ หมอดูบอกอีกว่า “เขากลับแล้ว พี่หนุ่มอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ” หลังจากนั้นก็เช็คดวงกันจนเสร็จ ซึ่งหมอดูก็บอกว่า “คนนี้อยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างบ้าน เป็นเจ้าที่อยู่ตรงที่ดินนี้มานานแล้ว เมื่อมีห้องพระ เขาจึงขึ้นมาอยู่บนห้องพระที่บ้าน” ตอนนั้นหมอดูเห็นแค่ผู้ชายแต่ไม่เห็นผู้หญิงที่คุณม้าม่วงเคยเห็น ด้วยความสงสัยคุณม้าม่วงจึงไปถามคุณย่าของตนเพราะอยากรู้ว่า ผู้หญิงที่เคยเห็นคือใคร คุณย่าก็บอกว่า “ไม่ใช่แม่ตะเคียนหรอ?” แล้วคุณม้าม่วงก็พูดว่า “แล้วมาจากไหนอะ?” คุณย่าก็บอกว่า “นี่ไง ไม้แผ่นนี้ไงเป็นไม้ตะเคียน” คุณม้าม่วงก็ตกใจที่คุณปู่นำไม้ตะเคียนมาปูเป็นพื้นบ้านชั้น 2 คุณม้าม่วงก็เล่าว่า คุณปู่เป็นทหารมาก่อน แล้วจึงมาเป็นตำรวจ คุณปู่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ และไม่กลัวอะไร จึงนำไม้นี้มาสร้างพื้นที่บ้าน และคนในบ้านก็จะเจอเหมือนคุณม้าม่วง แต่เพื่อนของคุณม้าม่วงหรือคนข้างนอก เมื่อไปนอนบ้านคุณม้าม่วงก็จะนอนไม่ได้เลย ถ้าไม่ขออนุญาตก่อน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

31 มี.ค. 2024

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

การรับน้องใหม่ที่หลอนจนจำไม่ลืม เมื่อรุ่นพี่พาไปทำกิจกรรมแต่เกิดเหตุไฟไหม้ศาลไม้ จนทำให้มีแต่เรื่องแปลก เกิดขึ้น! เรื่องนี้ ‘คุณแรก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนสยองรับน้องใหม่’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณแรก’ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงไปรับน้องใหม่ออกค่ายอาสา ประมาณยุค 90s ช่วงนั้นคุณแรกเข้าไปเรียนปี 1 สมัยนั้นจะมีช่วงปิดเทอมฤดูหนาว รุ่นพี่ก็จะใช้ช่วงนี้เพื่อรับน้องใหม่ไปออกค่ายอาสาพัฒนา ครั้งนี้คุณแรกได้ไปต่างอำเภอ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง คุณแรกและเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าตรงนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าทางเข้าเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เมื่อทุกคนไปถึงที่นั่น ก็จะมีต้นไทรใหญ่ผูกผ้าแพร มีศาลไม้เก่ามาก และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมารับตรงจุดนั้น เมื่อมาถึงก็ไปไหว้ศาลก่อนเป็นอันดับแรก รุ่นพี่ก็แจกธูปให้รุ่นน้องอธิษฐานขอพรให้กิจกรรมผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นรุ่นพี่จะเก็บรวบรวมธูปทั้งหมดไปปักไว้ที่กระถางธูป แต่ในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ เมื่อลมหนาวพัดมา ธูปที่รวมกันเป็นกำใหญ่ก็เกิดไฟลุกลามไปติดที่ศาลไม้ ทุกคนต่างตกใจและพยายามช่วยกันดับไฟ เมื่อไฟดับลง ปรากฏว่าศาลไม้เสียหายไปส่วนหนึ่ง ทุกคนจึงตกลงกันว่าจะช่วยออกเงินเพื่อบูรณะซ่อมแซม แต่คุณแรกกับเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าเป็นลางไม่ดีแน่ ๆ เมื่อไหว้ศาลเสร็จ ทุกคนก็เข้าไปในโรงเรียน กำหนดการทำกิจกรรมที่นี่คือ 3 วัน 2 คืน เมื่อเข้าไปก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทาสีห้องน้ำ ถางป่า ตัดต้นไม้ เริ่มพัฒนาพื้นที่และแบ่งหน้าที่กันทำ หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ รุ่นพี่ก็บอกว่า “คืนนี้เราจะมีการเข้าสู่ฐานเพื่อวัดกำลังใจ เตรียมใจให้พร้อมนะ” ซึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีท่อซีเมนต์ รุ่นพี่เห็นท่อซีเมนต์เรียงกันอยู่จึงเลือกตรงนี้เป็นฐานแรกในการทำกิจกรรม โดยจะขุดหลุมตรงทางออกและนำผ้ายางมารองทำให้มีน้ำขังเป็นแอ่ง จากนั้นรุ่นพี่ก็ไปซื้อปลาไหลจากชาวบ้าน เพื่อนำมาทำกับข้าวให้รุ่นน้องกิน แต่ก่อนจะทำอาหารนั้น ก็นำปลาไหลมาปล่อยลงในแอ่งน้ำเต็มไปหมด เพื่อให้รุ่นน้องทำกิจกรรม เวลามุดออกมาจากท่อจะต้องผ่านแอ่งปลาไหลนี้ก่อน พอตกกลางคืน คุณแรกก็เข้าสู่กิจกรรม รุ่นพี่ปล่อยรุ่นน้องครั้งละ 2 คน เพื่อให้คลานเข้าไปในท่อ ทุกคนจะมีไฟฉายพลาสติกอันเล็กติดตัวคนละอัน เมื่อคลานเข้าไปภายในท่อจะแคบมาก คุณแรกเป็นคนตัวโตก็ไม่อยากมุดท่อนี้ พอถึงคิว คุณแรกก็ถอยหลังไปต่อท้ายตลอด จนกระทั่งเหลือแค่คุณแรกกับเพื่อน ในที่สุดก็ต้องมุดเข้าไป รุ่นพี่บอกว่า “ถึง 2 คนสุดท้ายแล้ว ปิดฐานนี้เข้าไปได้เลย” คุณแรกก็คลานเข้าไปช้า ๆ เพราะว่าใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ถ้าคลานเร็วมาก ข้อศอกกับหัวเข่าอาจจะถลอกได้ คุณแรกคลานไปเรื่อย ๆ แล้วเพื่อนอีกคนก็คลานตามหลังมา เมื่อถึงช่วงกลางท่อเพื่อนก็ตีก้นคุณแรกแล้วพูดว่า “แรก ๆ เร็ว ๆ รีบหน่อย!” คุณแรกจึงหันไปมองเพื่อนแล้วพูดว่า “อะไรวะ แค่นี้ก็เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อศอกแล้วเนี้ย” เพื่อนก็พยายามดันก้นคุณแรกและบอกว่า “แรก เร็ว ๆ มีคนคลานตามเรามา” คุณแรกก็คิดว่าจะมีคนคลานตามมาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองและเพื่อนคือ 2 คนสุดท้าย เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิง มีอายุ คลานติดเรามาเลย” สักพักเพื่อนของคุณแรกก็โวยวาย คุณแรกจึงรีบคลานจนพ้นท่อผ่านแอ่งปลาไหลออกมา เพื่อนก็รีบคลานตามมา แต่ยังไม่ขึ้นมาจากแอ่งปลาไหล รีบหันไปแล้วพยายามส่องไฟฉายเข้าไปในท่อ ตอนนั้นเพื่อนของคุณแรกกลัวมาก รุ่นพี่ก็พาขึ้นมาข้างบนแล้วถามว่า “เป็นอะไร?” เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิงแก่คลานตามหลังมาติด ๆ แล้วหน้าของผู้หญิงคนนี้ก็มาดมอยู่ที่ก้น แล้วมีเสียงพูดว่า หอมน่ากินจังเลย แล้วเอาหน้ามาดมตรงก้นอีก” เพื่อนของคุณแรกก็เลยพยายามเอาเท้าดันข้างหลังเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นออกไป เขาก็ตกใจและเร่งให้คุณแรกคลานออกมาให้เร็วที่สุด แต่พอมองดูเข้าไปในท่อ ปรากฏว่าไม่มีใครตามออกมาเลย หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็บอกว่า “เปื้อนกันแล้ว ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวยังมีด่านต่อไปอีก วันนี้จะมีด่านวัดกำลังใจ 2 ด่าน จะมีด่านบ้านพักครูที่จะทำเป็นด่านเล่นผีถ้วยแก้ว แล้วรุ่นน้องทุกคนจะต้องมานั่งล้อมรอบกองไฟ ลานอเนกประสงค์ด้านหน้า แล้วเมื่อก่อไฟแล้วจะมีรุ่นพี่นำเนื้อชิ้นใหญ่ ๆ ปิ้งให้น้องกินระหว่างรอเข้าฐาน” จากนั้นรุ่นพี่ 4 คนก็ไปที่บ้านพักครู ซึ่งเป็นบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อไปเตรียมฐานเล่นผีถ้วยแก้ว และทำผีหลอกน้องตรงนี้ เมื่อรุ่นพี่ขึ้นไปก็ไม่เปิดไฟ จุดเทียนสร้างบรรยากาศและวางแผนกันว่า รุ่นพี่ 2 คน จะพารุ่นน้องเล่นผีถ้วยแก้ว รุ่นพี่จะเป็นคนลากแก้วให้เลื่อนตามที่เขาต้องการ ซึ่งทุกอย่างถูกเซ็ทไว้หมด แล้วจะให้น้องเข้าไปหาของในห้องนอน จะมีรุ่นพี่อีกส่วนหนึ่งปลอมเป็นผีอยู่ในห้องนั้นเพื่อหลอกน้อง ระหว่างที่รุ่นพี่ทั้ง 4 คนกำลังเตรียมฐาน อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนชั้น 2 ของบ้านพักครู เป็นผู้ชายใส่เสื้อห่านคู่ ใส่กางเกงสีกากี แล้วก็ยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่อยู่บ้านนี้ รุ่นพี่ก็ตกใจและถามว่า “ไหนว่าบ้านนี้ไม่มีใคร พี่อยู่บ้านนี้หรอครับ?” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า “อ๋อ ครูไม่ได้อยู่บ้านนี้หรอก แต่เห็นมีเด็กมาทำกิจกรรม ครูเลยมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าเป็นยังไงกันบ้าง เดี๋ยวขออนุญาตเข้าไปในห้องนอนหน่อยนะจะไปเอาของ แล้วเดี๋ยวครูก็ไปละ พวกเธอทำกันเต็มที่เลย” จากนั้นครูก็เปิดประตูเข้าไปในห้องนอน รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็เตรียมอุปกรณ์จนเสร็จในบริเวณด้านหน้า เหลือแค่ในห้องนอนที่รอให้คุณครูคนนี้ออกมา รุ่นพี่คนหนึ่งไปเคาะประตูเรียก “ครูครับ ๆ พวกผมจะต้องเซ็ทห้องต่อนะครับ” สักพักประตูห้องก็เปิดเอง ภาพในห้องจะเห็นพัดลมเพดาน คุณครูคนนี้มีเชือกผูกคอแล้วห้อยอยู่กับพัดลม รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็มองเหวอด้วยความตกใจ คุณครูก็พูดว่า “เนี่ย หลอกผีมันต้องหลอกแบบนี้!” แล้วทั้งหมดก็วิ่งหนีลงบันไดไปลานอเนกประสงค์ จนกระทั่งในที่สุดรุ่นพี่ก็สั่งยกเลิกด่านบ้านพักครู หลังจากนั้นก็ให้รุ่นน้องทำกิจกรรมรอบกองไฟ มีรุ่นพี่ที่ย่างเนื้อให้รุ่นน้องชื่อว่า ‘พี่บ๊อบ’ ซึ่งพี่บ๊อบเป็นคนผมยาว เฮฮา และชอบดื่ม เขาแอบพกเหล้ามาดื่มด้วย พี่บ๊อบปวดฉี่เลยบอกรุ่นน้องว่า “เดี๋ยวพี่ไปฉี่ก่อนนะ มาหมุนเนื้อแทนหน่อย” พี่บ๊อบก็ไปฉี่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างไปไม่ไกลมาก เมื่อเสร็จพี่บ๊อบก็มานั่งย่างเนื้อต่อ แต่พฤติกรรมของพี่บ๊อบเปลี่ยนไปตรงที่ว่า เมื่อเลาะเนื้อที่สุกด้านนอกออกไป เนื้อด้านในที่ยังไม่สุก พี่บ๊อบก็เลาะเนื้อส่วนนั้นออกมาจับใส่ปากแล้วเคี้ยว ทุกคนมองและคิดว่าทำไมถึงกินเนื้อดิบแบบนั้น แต่ก็คิดว่ากินซอยจุ๊แบบอีสานเลยไม่แปลกใจ เมื่อกินไปสักพัก พี่บ๊อบก็เริ่มเอามีดที่เลาะเนื้อมาจับผมยาว ๆ หั่นผมของตัวเองออกแล้วโยนเข้ากองไฟ พร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “ไหน ๆ ใครคนไหนวะตัดต้นไม้กู?” แล้วก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ รุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนกันก็เข้ามาช่วยล็อคตัวพี่บ๊อบ แย่งมีดกันจนมีดบาดเพื่อน กว่าพี่บ๊อบจะได้สติก็พักใหญ่ เมื่อมีสติก็เล่าให้ทุกคนฟังว่า ตนไปฉี่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วรู้สึกว่าเหมือนมีน้ำหยดใส่หัว ก็เลยแหงนขึ้นไปดู ปรากฏว่าบนต้นไม้มีผู้ชายผูกคอห้อยอยู่ และฉี่ใส่หัวของตน หลังจากนั้นภาพก็ตัด มารู้สึกตัวอีกทีก็ในวงกองไฟ พี่บ๊อบจึงได้สติและจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เช้าวันรุ่งขึ้น รุ่นพี่ตัดสินใจกลับทันที ซึ่งนอนได้แค่คืนเดียว แล้วทิ้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ทำต่อ พร้อมกับบริจาคเงินเพื่อจะซ่อมแซมศาลที่เกิดไฟไหม้ ตอนกลับรุ่นพี่ก็พาทุกคนไปไหว้ศาลอีกครั้งเพื่อขอขมา แล้วเดินทางกลับ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

22 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน อยู่ดี ๆ ก็พิมพ์ข้อความมาหากลางดึกว่า อยากฟังเรื่องผีมั๊ย? พอตอบตกลงก็ทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวความหลอน! เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ‘ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่ากลัวมาก ถ้าพร้อมเเล้วก็ไปอ่านกันเลย! พี่เเจ็คเล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณลมหนาว’ เเฟนคลับจากรายการ The Ghost Radio โดยตัวของคุณลมหนาวในสมัยเรียนก็มีเพื่อนเยอะเเยะมากมาย เเต่พอจบการศึกษาก็ทำให้เเต่ละคนก็ต้องเเยกย้ายกันไป ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ มีอยู่คืนหนึ่ง คุณลมหนาวได้รับข้อความจากเพื่อนที่มีชื่อว่า ‘คุณบี’ ตอนแรกคุณลมหนาวก็ไม่ได้สนใจข้อความนั้น จนมีข้อความที่สองตามมา เเต่คราวนี้เป็นการเรียกชื่อของคุณลมหนาวเเทน จึงเอะใจคิดว่า เพื่อนจะมีธุระด่วน คุณลมหนาวจึงกดเข้าไปอ่านเเละตอบกลับไป ทั้งคู่ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ในตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว คุณลมหนาวจึงถามว่า ทำไมคุณบีถึงยังไม่นอน คุณบีตอบกลับมาว่า ‘พอดีทีวีที่บ้านเสีย’ คุณลมหนาวก็คิดอยู่ในใจว่าแล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร จากนั้นคุณบีก็ได้เงียบหายไปสักพักเเละพิมพ์ข้อความกลับมาอีกครั้งว่า ‘อยากฟังเรื่องผีมั๊ย?’ เเละด้วยความอยากรู้ คุณลมหนาวจึงตอบตกลงไป ไม่นานหลังจากนั้น คุณบี ก็โทรมาเเละเล่าให้คุณลมหนาวฟังว่า.. หลังจากที่เรียนจบไปก็ได้เเยกกับเพื่อน ๆ เพื่อไปชีวิตของตัวเอง ซึ่งตัวของคุณบีก็มีคุณยายหนึ่งคน คุณยายเคยให้สัญญากับคุณบีไว้ว่า ถ้าคุณบีเรียนจบก็จะสร้างบ้านให้ 1 หลัง บนที่ดินที่ไปซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อน ปรากฎว่าหลังคุณบีเรียนจบ คุณยายก็สร้างบ้านให้จริง ๆ ในตอนนั้นชีวิตของคุณบีรู้สึกว่าทุกอย่างลงตัวมาก เพราะที่ทำงานก็อยู่ใกล้กับครอบครัว บ้านก็อยู่ใกล้กัน แต่เเล้วคืนหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นภายในบ้านของคุณบี ส่วนตัวของคุณบีจะเป็นคนที่ชอบเปิดเสียงฝนเเบบธรรมชาติเพราะช่วยให้นอนหลับได้ เเต่วันนั้น กลับมีเสียงของคนสูงอายุเเละเด็กเเทรกเข้ามาด้วย แม้จะเป็นเสียงที่เบามากจนจับใจความไม่ได้ ทำให้อีกใจก็คิดไปว่าตนนั้นอาจจะหูแว่วไปเอง แต่เสียงที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก คุณบียังคงได้ยินเสียงแทรกเข้ามาแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็มีเสียงคนกระแอมแทรกเข้ามา พักหลังคุณบีเริ่มนอนไม่ค่อยหลับบ่อยขึ้น จึงเลือกที่จะเปิดทีวีเพื่อใช้กลบเสียงเหล่านั้นไป พอทุกอย่างผ่านไปจนถึงในช่วงที่คุณบีได้หยุดงาน คุณบีจึงทำงานบ้านทุกอย่างให้เสร็จเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อน ระหว่างที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น คุณบีก็ได้ยินเสียงกรนของใครบางคน ในตอนเเรกเหมือนต้นเสียงนี้จะอยู่ไกลจากคุณบี เเต่มันก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ข้างหู ทำให้คุณบีสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เเละพยายามมองหาต้นเสียงภายในห้อง เเต่เสียงนั้นก็เงียบหายไป คุณบีรู้สึกเหมือนว่าเจ้าของเสียงกรนรู้ตัวว่าคุณบีพยายามที่จะมองหา หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้คุณบีเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งเสียงเท้าที่เดินในบ้าน เสียงเด็กวิ่ง เสียงของคนเเก่เเละเด็กคุยกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณบีเลิกงานดึกเเล้วกลับมาที่บ้าน ในตอนนั้นคุณบีกำลังจะทำอาหาร เเต่อยู่ ๆ ทีวีที่อยู่บริเวณห้องโถงก็เปิดขึ้นเอง เเละมันก็เร่งเสียงเองจนดังไปทั่วทั้งบ้าน คุณบีตกใจเเละจะเดินเข้าไปปิดทีวี เเต่ก็ต้องหันหลังกลับเพราะชามที่วางไว้อยู่บนเคาเตอร์อยู่ ๆ ก็ตกเเละเเตกทีละใบ คุณบีที่จะรู้อยู่เเล้วว่าบ้านหลังนี้มีอะไรเเปลก ๆ วันนั้นจึงหมดความอดทนเเละตะโกนด่าไปว่า “ถ้าพวกมึงจะทำให้กูกลัวเเบบนี้เพราะหวังให้กูทำบุญให้ ตั้งศาลให้ กูไม่ทำหรอกนะ ที่นี่บ้านกู..” แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยค ไฟในบ้านทุกดวงก็ได้ดับลง เเละมีเสียงของคนเเก่มาพูดจากด้านหลังของคุณบีว่า “กูได้ยินมึงนะ” คุณบีได้ยินดังนั้นก็ทิ้งทุกอย่างเเละวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องนอนชั้น 2 ผ่านไปได้ประมาณ 2 - 3 นาที ไฟในบ้านก็ได้ติด เเต่หลังจากเจอเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้คุณบีเลือกที่จะนอนทันที ไม่ทำอาหารแล้ว เเต่ในระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับ คุณบีก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังขึ้นจากชั้นล่างเดินขึ้นมาเเละหยุดที่หน้าประตูของห้องนอน แล้วเสียงก็เงียบไป คุณบีคิดว่าทุกอย่างคงจบเเค่นี้ เเต่เสียงนั้นกลับดังอีกครั้ง กลับกันคราวนี้เสียงนั้นอยู่ในห้องนอนบริเวณรอบเตียงเเทน เสียงเดินสลับกับเสียงเด็กวิ่งไปมารอบ ๆ เตียง เเต่ด้วยความที่คุณบีปิดไฟนอนเเล้วทำให้ไม่มองไม่เห็นอะไรมาก เเต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่างให้หันไปมองที่ปลายเท้า พอคุณบีหันไปมอง ก็ได้เห็นร่างคนเเก่หลังค่อม ดวงตากลวงโบ๋ยืนยิ้มอยู่ที่บริเวณปลายเท้า! คุณบีไม่สามารถส่งเสียงร้องหรือลุกขึ้นยืนได้จึงพยายามที่จะหันหน้าหนี เเต่พอหันหน้าหนีมาอีกฝั่ง คุณบีก็ได้เห็นเด็กคนหนึ่งยืนเกาะอยู่ที่บริเวณขอบเตียง พอเห็นเเบบนั้นคุณบีก็รู้สึกเหมือนภาพตัดเเละหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งเเรกที่คุณบีทำคือขับรถไปที่บ้านของคุณยาย เเละเล่าเรื่องให้คุณยายฟัง เเต่คุณยายก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไร เพราะบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านที่พึ่งสร้างใหม่ คุณยายจึงเเนะนำให้ไปหาพ่อหมอคนหนึ่งที่รู้จัก คุณบีรีบเดินทางไปหาพ่อหมอคนนั้น พอถึง คุณบีก็ได้เล่าทุกอย่างให้พ่อหมอฟัง พ่อหมอจึงตัดสินใจที่จะมอบยันต์ที่ปลุกเสกให้กับคุณบี เพื่อที่จะให้นำกลับไปติดไว้ที่บ้าน เเต่ข้อเเม้ก็คือ คุณบีต้องเเปะยันต์นี้ก่อนที่ตะวันจะตกดิน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นเเล้ว คุณบีรีบขับรถกลับบ้านเเละเเปะยันต์ทันที หลังจากเเปะเสร็จ ก็ไปอาบน้ำ และรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าเสียงทุกอย่างเงียบสงัดไม่มีเสียงเดิน ไม่มีเสียงคนคุยกัน คุณบีจึงตัดสินใจที่จะนอนหลับ ถึงเเม้ว่าจะไม่มีเสียงอะไรก็ตาม แต่คุณบีก็ได้เห็นร่างคนแก่ชัดมากยิ่งขึ้น คนเเก่คนนั้นได้ยืนจ้องเเละชี้นิ้วมาทางคุณบี เเละคุณบีก็ไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนเสียงฝีเท้าของเด็กที่วิ่งรอบเตียงเปลี่ยนมาวิ่งบนเตียง ที่หลอนกว่านั้นคือมีแค่ข้อเท้ากับกระพรวนไม่มีตัว! จากนั้นคุณบีก็ได้สลบไป เช้าวันถัดมาพอคุณบีตื่นขึ้น ก็รีบขับรถไปที่ตำหนักของพ่อหมออีกครั้งเพื่อที่จะขอให้พ่อหมอช่วย เเต่คราวนี้พ่อบอกว่า “กูช่วยไม่ได้เเล้วละ” จากนั้นพ่อหมอก็ได้เริ่มเล่าให้ฟังว่า.. บ้านของคุณบีถูกสร้างบนที่ดินของคนเเก่คนหนึ่งที่เคยอยู่ตรงนั้น เเล้วโดนฟ้าผ่าตาย ทำให้จิตผูกเอาไว้กับที่นั้น ส่วนเด็กคนนั้นเป็นกุมาร ซึ่งตัวของคุณบีเป็นคนไปเรียกเขามาเอง ทำให้คุณบีนึกขึ้นได้ว่า คุณบีเคยไปงานศพของครอบครัว ในตอนที่กำลังจะกลับ คุณบีก็ได้ตะโกนถามญาติผู้ใหญ่ไปว่า ‘ใครจะกลับด้วยกันไปเร็ว ขึ้นรถเลย’ จากเหตุการณ์นี้ทำให้มีวิญญาณตามคุณบีกลับมาด้วย พ่อหมอจึงเเนะนำว่า ให้ไปหาท้าวเวสสุวรรณมาตั้งไว้ในบ้านเเละบอกให้คุณบีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย เพราะตั้งแต่อยู่มา คุณบียังไม่เคยทำบุญบ้าน หลังจากคุยกับพ่อหมอเสร็จ คุณบีก็ขับรถกลับมาที่บ้านของคุณยายเเละพูดคุยกันในเรื่องนี้ ซึ่งคุยยายได้ฟังก็ตกใจเพราะไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อ จะมีเจ้าของที่คนเก่าเสียชีวิต หลังจากคุยกันเสร็จคุณยายก็ตัดสินใจว่าจะนำท้าวเวสสุวรรณมาให้คุณบีเเละบอกกับคุณบีให้นอนที่บ้านนี้ก่อน เเล้วในวันรุ่งขึ้นก็ได้นิมนต์หลวงพ่อเพื่อมาทำพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น ในกลางดึกคืนนั้น คุณบีก็ได้ฝันเห็นเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเเละพูดว่า “พ่อ หนูขออยู่ด้วยได้ไหม ไหน ๆ พ่อก็เรียกหนูมาเเล้ว หนูขออยู่ด้วยนะ” ซึ่งในความฝันนั้น คุณบีได้ตอบตกลงไป หลังจากสิ้นคำตอบคุณบีก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้น หลังจากผ่านคืนนั้นไป บ้านทั้งหลังก็ปกติ เเต่ก็ยังคงมีเสียงวิ่ง เสียงคนเเก่บ้างในบางวัน จนทำให้ทุกวันนี้คุณบีต้องนอนเปิดทีวีทุกคืนตลอดมา..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’ เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ” เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ” เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ” เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง” พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู “เฮ้ย! ดูนั้นดิ” เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง” เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ” ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ” เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด” ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ” ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว” คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ” เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน” คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย” เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ” คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว” เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง ตือโป๊ยก่ายและซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก! จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง” เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ” เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่” เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป” พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ” เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1