เรื่องเล่าจากปิงปอง ‘ใครโทรมาครับ’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากปิงปอง ‘ใครโทรมาครับ’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

08 มิ.ย. 2024

       เมื่อเสียงโทรศัพท์ของพ่อที่ตายไปแล้วดังขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันหลอนตรงที่โทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้ชาร์ตแบตมาเป็นเดือน! เรื่องราวนี้ ‘คุณปิงปอง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ใครโทรมาครับ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย

       คุณปิงปองเล่าว่า มีวันหนึ่งที่คุณปิงปองได้มีโอกาสไปเล่าเรื่องผีกับแก๊ง ‘Powerpuff GAY’ แต่ตัวคุณปิงปองนั้นไม่เคยเจอผีตัวเป็น ๆ จนนึกได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงที่พ่อของคุณปิงปองเสีย ก็ได้จัดงานศพให้คุณพ่อ หลังจากงานจบทุกคนก็แยกย้ายกันไป คุณปิงปองได้เล่าว่าคุณพ่อได้ให้สมบัติที่จับต้องได้ไว้สองอย่าง คือ นาฬิกาทองที่คุณปิงปองยังเก็บไว้ไม่ได้ขายไปไหน และโทรศัพท์ที่พ่อใช้

       คุณปิงปองคิดว่าจะเอาโทรศัพท์ของพ่อมาใช้เพราะตอนนั้นตนไม่มีโทรศัพท์ใช้ แต่โทรศัพท์นั้นหน้าจอแตก ทำให้เวลาใครโทรมาก็จะไม่เห็นว่าคนที่โทรมานั้นเป็นใครและหน้าจอจะเป็นแสงสีส้ม คุณปิงปองก็เอาโทรศัพท์ไว้ที่ปลายเตียงทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ

       จนวันหนึ่ง คุณปิงปองกลับมาที่บ้านก็อาบน้ำและกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของพ่อที่อยู่ปลายเตียงก็สั่นและเป็นหน้าจอสีส้ม ทั้ง ๆ ที่คุณปิงปองวางทิ้งไว้ 2-3 เดือนและไม่ได้ชาร์จแบตไว้เลย ตอนนั้นคุณปิงปองเล่าว่ากลัวผีพ่อตัวเองมาก และไม่รู้ว่าใครโทรมาเพราะหน้าจอโทรศัพท์ของพ่อแตก เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์คุณปิงปองก็กรี๊ดและรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่อยู่อีกตึกหนึ่ง

       แต่ระหว่างทางเจอพี่ขายนมปั่นร้านประจำจึงขอให้ช่วย

       “พี่เอ๋ ช่วยดูให้หน่อยค่ะว่าโทรศัพท์นี้ใครโทรมา”

       พี่เอ๋จึงบอกให้คุณปิงปองใจเย็นและให้เอาซิมจากเครื่องของพ่อมาใส่เครื่องพี่เอ๋เพื่อที่จะได้ดูข้อมูลการโทรว่าใครโทรมา แต่เมื่อแกะโทรศัพท์ของพ่อออกมาปรากฏว่า โทรศัพท์ของพ่อนั้นไม่มีทั้งแบตและซิม! คุณปิงปองที่ตกใจมากจึงรีบโทรหาแม่และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แม่คุณปิงปองจึงตอบกลับมาว่า

       “อ๋อ วันนี้ครบรอบ 100 วันที่พ่อเสีย”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

21 มี.ค. 2023

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา คืนหนึ่ง.. ต้องไปส่งเอกสารด่วน ขากลับขับผ่านโค้งหักศอก ตรงนั้นมีศาลตั้งอยู่ด้วย! พยายามมองแค่ทางตรงแล้ว แต่หางตาดันสะดุด ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น! สติหลุด ทั้งกรี๊ด ทั้งร้องไห้ ขับต่อแทบไม่ไหวจนต้องจอดพัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เรารู้จักและหวาดกลัวอย่าง ‘สึนามิ’ พัดถล่มเข้าชายฝั่งหลายจังหวัดทางภาคใต้ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกไม่อาจลืมเลือน หนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์เต็ม ๆ คือ จ.พังงา และยังเป็นจุดหมายปลายทางของ ‘คุณแนน’ สายจากทางบ้านที่พบเจอกับประสบการณ์หลอนทันทีที่ได้มาถึง ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถึงกับอ้าปากค้างในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (14 มีนาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ย้ายไปพังงา’ คุณแนนเล่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนั้นคุณแนนได้บรรจุเป็นราชการครั้งแรก ได้ทำงานอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา แต่เดิมนั้นคุณแนนอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงใช้เวลาเดินทางไปที่พังงานานหลายชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน รวมทั้งบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยทะเลที่สวยงาม และความเหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ทำให้คุณแนนไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยทันทีที่เดินทางไปถึงบ้านพักข้าราชการ.. ทันทีที่หลับ คุณแนนก็ฝันว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ สักพักก็มีคนโยนศพขึ้นมาบนรถ! โยนมาจนเต็มหลังกระบะและเบียดพื้นที่ของคุณแนน ตอนนั้นคุณแนนรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อึกอัก อึกอัก” ไม่เป็นภาษา จนพี่ที่อยู่บ้านพักเดียวกันตื่นขึ้นมาเขย่าตัวคุณแนนและตะโกนเรียกเสียงดังจนคุณแนนตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น และบอกว่า “เห้ยพี่ หนูฝันร้าย” เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ถามขึ้นมาว่า “พอลงเกาะมาเนี่ย ได้ไหว้ ได้ขอเจ้าที่เจ้าทางบ้างหรือเปล่า” คุณแนนก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ขอเลยค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นก็พาคุณแนนไปที่หน้าหาดเพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ทำงานและอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างราบรื่น คุณแนนเล่าเสริมอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม จำนวนประชากรที่เกานี้มีประมาณ 500 - 600 คน จนปีที่คุณแนนบรรจุเข้าไปทำงาน เหลือประชากรเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นอกจากจะไปไหว้ที่หน้าหาดแล้ว ชาวบ้านยังพาคุณแนนไปไหว้ที่ศาลพ่อตาหินกอง ลักษณะคือเป็นศาลที่ตั้งอยู่บนหิน ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่โดนสึนามิแม้จะตั้งอยู่หน้าหาดก็ตาม หลังจากนั้นคุณแนนก็ไม่เจออะไรพิศวงจนกระทั่ง.. เวลาผ่านไปสักพัก ในคืนที่คุณแนนต้องนอนคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราชบ้าง สุราษฎร์ธานีบ้าง พัทลุงบ้าง เขาก็จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณแนนเล่าว่าทุกครั้งที่ต้องนอนคนเดียว จะรู้สึกเหมือนว่าถูกผีอำ แล้วก็จะเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ปลายเท้า บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นผู้ชายแก่ หรือคนท้องบ้าง เรียกได้ว่ามาทุกรูปแบบ ทุกครั้งที่เจอคุณแนนก็จะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ตลอด บางคนก็ไปง่าย แต่กับบางคนก็ต้องใช้เวลาสวดนาน คุณเล่าเสริมอีกว่าเขาจะมาปรากฏโดยที่ไม่ได้พูดหรือสื่อสารอะไร เหมือนมายืนมองเราเฉย ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่หลอนขนลุกจนคุณแนนจำได้ถึงทุกวันนี้.. คุณแนนเล่าให้ฟังว่าอำเภอที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง แถมที่นี่ยังมีฝนตกแทบจะตลอดเวลา วันนั้นต้องไปส่งเอกสารด่วนในตัวเมือง คุณแนนจึงรีบออกเดินทางเพราะรู้ดีว่าเส้นทางขากลับที่จะต้องผ่านหากว่ายิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย เส้นทางที่ว่าจะมีลักษณะเป็นทางโค้งหักศอกหากหลุดโค้งก็เท่ากับตกเหว นอกจากนั้นยังมีศาลตั้งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผ่านคุณแนนก็จะรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง แต่ด้วยงานที่ยังค้างคาและกว่าจะสะสางเสร็จ เวลากลับก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คุณแนนตั้งใจว่าจะไม่วอกแวกและจะตั้งสติในการขับรถเพียงอย่างเดียว พี่ที่นั่งมาด้วยก็รู้ดีว่าคุณแนนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็พยายามหาเรื่องอื่นคุยกับคุณแนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเครียด พอใกล้จะถึงทางโค้ง พี่เขาก็จับขาคุณแนน แล้วก็บอกว่า “พี่อยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วยกัน” คุณแนนก็พยายามมองแค่ทางตรง แต่ก็ต้องเสียสมาธิเพราะมีอะไรบางอย่างดึงความสนใจอยู่ที่หางตา! คุณแนนเผลอหันไปมองเข้าเต็ม ๆ ภาพที่เห็นคือศพหน้าเละที่ถูกผ้าห่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดงยืนอยู่ตรงศาล! คุณแนนเห็นแบบนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาทันที สติแทบไม่อยู่กับตัว! พี่ที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยตั้งสติ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ คุณแนนพอเริ่มได้สติก็พยายามขับรถให้ผ่านตรงนั้นไปแม้จะยังร้องไห้และช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อขับผ่านจุดนั้นก็จอดรถและรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็ขับรถกลับที่พักอย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้คุณแนนได้ย้ายกลับมาทำงานที่จังหวัดสุพรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ขอแค่ถ้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอกดี ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

12 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘โนอาร์ ล่าท้าผี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นางรำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โนอาร์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจอมาก่อนที่จะทำล่าท้าผี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนวัด ช่วงประมาณ ม.2 - ม.3 ซึ่งรั้วโรงเรียนกับรั้ววัดคือรั้วเดียวกัน แต่ฝั่งรั้วของวัดจะมีรูปผู้ที่เสียชีวิตติดอยู่รอบรั้ว ส่วนฝั่งโรงเรียนไม่มี โนอาร์เป็นเด็กกิจกรรมที่สนิทกับครูนาฏศิลป์ แม้ว่าตนจะไม่ได้เป็นเด็กนาฏศิลป์ แต่ก็มักจะเข้าไปช่วยงานหากชมรมนาฏศิลป์มีงานแสดงทั้งข้างนอกและข้างในโรงเรียน เช่น ยกของ หรือช่วยจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในตอนนั้น โนอาร์มีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่ 2 คน ในขณะนั้นทางโรงเรียนได้จัดงานประจำสัปดาห์ เป็นงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีประมาณ 3 - 5 วัน ในคืนแรก โนอาร์ได้รับหน้าที่จัดอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที เมื่องานวันแรกจบ คนก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงโนอาร์กับเพื่อนอีก 2 คนที่อยู่เก็บของ ระหว่างที่โนอาร์กำลังเก็บของอยู่บนเวที อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง เหมือนเสียงดนตรีไทยที่ดังมาจากห้องนาฏศิลป์ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอยู่ในช่วงวันงาน และคิดว่าคงจะเป็นพวกนางรำมาซ้อมตามปกติ ในตอนนั้นก็ได้ยินทั้งเสียงเครื่องดนตรีไทย มีทั้ง เสียงระนาด เสียงปี่ เสียงฉิ่ง ครบทุกอย่างบรรเลงเป็นเพลง โนอาร์ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร จากนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็พูดว่า “โชว์ของนาฏศิลป์วันนี้เขาโชว์จบไปแล้วนะ แล้วทำไมเขาถึงยังซ้อมอยู่” โนอาร์ตอบไปตามประสาเด็กห้าวที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีว่า “เขาก็อาจจะซ้อมงานอื่นหรือเปล่า?” แล้วพูดต่อว่า “นี่มัน 5 ทุ่มแล้วนะ มึงอย่าไปคิดมาก รีบเก็บของให้เสร็จจะได้กลับบ้าน” ระหว่างที่คุยกับเพื่อนอยู่นั้น เสียงดนตรีไทยจากห้องนาฏศิลป์ก็ยังคงบรรเลงอยู่ตลอด โนอาร์กับเพื่อนก็รีบเก็บของเอาไว้หลังเวที เพราะงานวันที่ 2 ก็ต้องนำออกมาจัดใหม่ หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน ถัดมาคืนที่ 2 โนอาร์รองานจบเพื่อที่จะเก็บของ โนอาร์คิดในใจว่า ‘หากได้ยินเสียงหรือว่ายังมีคนอยู่ในห้องนาฏศิลป์อีก จะไปแอบดู’ จากนั้นก็บอกกับเพื่อนไปว่า “เดี๋ยวพวกเรา 3 คน จะเข้าไปดูหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้ว” เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและตอบตกลง เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม คนก็เริ่มทยอยกลับ เมื่อโชว์สุดท้ายจบ โนอาร์กับเพื่อนก็เก็บของเหมือนเมื่อวาน ระหว่างที่เก็บของก็ได้ยินเสียงมาจากห้องนาฏศิลป์อีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเครื่องดนตรีแบบวันแรก แต่เป็นเสียง ‘เอื้อน’ ที่ถูกเปล่งออกมาจากผู้หญิง หลังจากได้ยินเสียงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชาย โนอาร์คิดในใจว่า ‘ขอไปดูหน่อยดีกว่า เพราะเป็นนางรำด้วยคงจะสวยน่าดู’ จากนั้นก็เอ่ยปากชวนเพื่อนว่า “เห้ยพวกมึง เสียงผู้หญิงว่ะ” จากนั้นโนอาร์และเพื่อนก็รีบเก็บของ แล้วรีบเดินไปตามเสียงเอื้อนที่ได้ยิน ซึ่งต้นเสียงมากจากห้องนาฏศิลป์ ห้องนาฏศิลป์กับเวทีอยู่ไม่ไกล ห่างกันแค่ช่วงตึกเท่านั้น ลักษณะประตูของห้องนาฏศิลป์จะเป็นแบบบานเลื่อน ฟิล์มกระจกห้องเป็นแบบทึบ หากจะดูก็ต้องเอาหน้าทาบกระจกเพื่อที่จะได้เห็นข้างใน ภายในห้องนาฏศิลป์ก็จะมี ชุดไทย อุปกรณ์แต่งหน้าแต่งตัว เครื่องดนตรีไทย เศียรพ่อแก่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ทั่วไป เมื่อเดินมาถึง โนอาร์ก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในห้องไม่ได้เปิดไฟ ถ้ามีคนมาซ้อมอย่างน้อยก็ต้องเปิดไฟ จะได้ซ้อมแบบสะดวก แต่ในห้องนาฏศิลป์ตอนนั้นกลับมืดสนิท ที่สำคัญคือยังมีเสียงเอื้อนดังออกมาจากห้อง โนอาร์ก็บอกกับเพื่อนว่า “เขาอาจจะซ้อมแบบไม่เปิดไฟหรือเปล่า?” เขายังคิดในแง่บวก แล้วก็บอกกับเพื่อนต่อว่า “เห้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้เอง” ตอนนั้นเอง โนอาร์และเพื่อนยังยืนอยู่ที่หน้าห้องนาฏศิลป์ เสียงเอื้อนยังดังอยู่ แต่มองไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดมาก โนอาร์บอกกับเพื่อนอีกว่า “เห้ย เราแอบดูดีกว่า” พูดจบ โนอาร์และเพื่อนก็เอาหน้าทาบไปตรงกระจกเพื่อดู ก็ได้เห็นเหมือนเป็นผู้หญิง นั่งท่าเทพธิดาหันหลังไม่เห็นหน้า เธอมีผมยาวเกือบจรดพื้น ชุดที่ใส่ท่อนบนเป็นเสื้อนักเรียน ส่วนท่อนล่างจะนุ่งเป็นโจงกระเบนสีแดง แล้วเธอก็ทำท่ารำ พร้อมกับเปล่งเสียงเอื้อนออกมา ผู้หญิงคนนั้นทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ โนอาร์แปลกใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่เปิดไฟ โนอาร์ส่งซิกกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวกูจะเลื่อนประตูนะ แล้วมึงก็เอามือเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟ” เนื่องจากสวิตช์ไฟอยู่ข้างประตูสามารถเอื้อมมือเข้าไปเปิดได้ เธอคนนั้นยังคงรำแล้วเอื้อนเสียงอยู่ โนอาร์มองไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ก็มีจังหวะที่เธอกระแทกเสียงที่เปล่งออกมาให้ดังขึ้นกว่าเดิม จังหวะนั้นเธอก็ค่อย ๆ หันหน้ามา แต่โนอาร์กับเพื่อนก็ยังไม่เห็นหน้าของเธออยู่ดี เห็นแค่เสี้ยวหูกับมือที่รำอยู่เท่านั้น พอเห็นแบบนั้น โนอาร์ก็ส่งสัญญาณ 1 2 3 พอถึง 3 โนอาร์ก็เลื่อนประตู เพื่อนก็เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟตามที่วางแผนกันเอาไว้ พอเปิดไฟจนห้องสว่าง แต่กลับไม่พบใครนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั้นเลยแม้แต่คนเดียว! พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้เปิดสวิตช์ไฟและไม่ได้เปิดประตูก็ช็อค เพราะเพื่อนเห็นตอนจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียง แล้วเธอกำลังหันหน้ามา เพื่อนคนนี้เห็นว่าเธอคนนี้ไม่มีหน้า ในจังหวะที่เปิดไฟพอดี พอเห็นแบบนั้นก็ยืนค้างไปเลย แต่โนอาร์กับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนเปิดสวิตช์ไฟก็รีบวิ่งหนีออกไปทันที! เช้าวันต่อมา ก็เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ไม่นานเรื่องนี้ก็หลุดไปถึงหูครูนาฏศิลป์ ครูก็บอกว่า“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากด้านนอก เหมือนประมาณว่า เขาเป็นเด็กนาฏศิลป์เนี่ยแหล่ะ แล้วเขาใส่เสื้อนักเรียน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ตามที่เห็นเลย แล้วเขาก็ไปเสียชีวิตด้านนอกเพราะอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็มีการทำบุญห้องนาฏศิลป์กันยกใหญ่เลย คนในโรงเรียนก็เริ่มกลัวเริ่มหลอนเพราะมันติดวัดด้วย” หลังจากคืนนั้นก็ทำให้โนอาร์และเพื่อน ๆ ที่ชอบแอ๊วสาวหลอนไปเลย ไม่กล้าไปแอบดูสาวที่ไหนอีกแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

30 มิ.ย. 2023

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

วันนี้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ รับหน้าที่จัดรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิ.ย. 66) เช่นเคย คนที่โทรมาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ชื่อว่า ‘คุณแบงค์’ เขามาพร้อมกับภารกิจตามหารักแท้ ซึ่งต้องแลกมากับเรื่องเขย่าขวัญในค่ำคืนนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์อาศัยอยู่ในคอนโดที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ ‘คลีน’ ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวอาศัยอยู่ เขากับน้องสาว 1 คนพักด้วยกันที่ห้องบนชั้น 14 ของตึก ด้วยความที่คอนโดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองและคุณแบงค์เองก็นอนอยู่ฝั่งข้างที่ติดผ้าม่าน เขาจึงสามารถเห็นบริเวณภายในห้องตอนกลางคืนผ่านแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ในคืนหนึ่งขณะที่คุณแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ เขาฝันว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะบุกเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งบนหลังคา ทุบห้อง ข่วนห้อง คล้ายพยายามจะทำให้เขากับน้องกลัว และมันก็ได้ผลจริง ๆ ในฝันน้องสาวบอกให้แกล้งหลับกัน เพื่อหลอกตัวอะไรก็ตามที่กำลังพยายามจะพังเข้ามาในห้อง แล้วพอเขาข่มตาหลับลง ‘มัน’ ก็ได้เข้ามาในห้อง! เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นที่ลอยผ่านตัวเขาไปมา แล้วสักพักหนึ่งก็มีเหมือนเศษผ้าปาดผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแส้หางม้า ทันใดนั้นน้องสาวคุณแบงค์กรีดร้องและพูดขึ้นว่า “มีอะไรไม่รู้มาจับอวัยวะเพศ” คุณแบงค์รับรู้ว่ามีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มาจั๊กจี้ที่รักแร้ของเขาและในเวลาต่อมาก็มาตะครุบอวัยะเพศของเขา! คุณแบงค์ตกใจจนตื่นขึ้นจากฝัน ณ ขณะนั้นห้องทั้งห้องของเขาก็เปลี่ยนจากสีดำมืดเป็นสีแดงเหมือนกับห้องเชือด ตัดภาพไปด้านซ้ายของเขา ฝั่งที่เป็นผ้าม่าน เขาเห็นลิงหน้าสีแดงสดกำลังแหวกม่านโผล่หัวของมันเข้ามา ระหว่างเขากับลิงตัวนี้อยู่ห่างกันเพียงเมตรเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะเริ่มตกตะกอนทางความคิดกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นคน ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าจะใช้ของไทยแน่นอน! “หรือว่าจะเป็นของที่เราเอาเข้ามา” คุณแบงค์คิดกับตัวเอง พอเขาเริ่มตั้งสติได้ จึงขยับตัวสะบัดผ้าม่านและผ้าห่ม สักพักห้องของเขาจากสีแดงก็กลับกลายเป็นความมืดดังเดิม หน้าของเจ้าจ๋อที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามลำดับ ดีเจแนนถามคุณแบงค์ว่าน้องสาวของเขาเห็นเหมือนกับที่เขาเห็นด้วยรึเปล่า คุณแบงค์จึงตอบกลับว่าตอนแรกเขาคิดว่าน้องน่าจะเห็นด้วย แต่พอถามถึงเรื่องลิงตัวนี้ตอนเช้า น้องสาวของเขากลับตอบว่า เธอนั้นหลับอยู่ตลอดเวลาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่คุณแบงค์เห็นและประสบพบเจอในค่ำคืนนั้น มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงได้ ดีเจทั้งสองพยายามสอบถามคุณแบงค์ต่อว่า แล้วคุณแบงค์พอจะทราบที่มาที่ไปของลิงตัวนี้หรือไม่ คุณแบงค์ก็บอกว่าเมื่อเขากลับมาย้อนนึกดูแล้วก็พบว่าคืนนั้น เขาได้เอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งสอดไว้ใต้หมอนก่อนนอน ย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์พึ่งจะเลิกกับแฟน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เขาไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อนพอดี เขาเดินทางไปวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก สิ่งที่เขาได้กลับมาจากวัดในวันนั้นคือด้ายแดง ขณะที่เขาไปขอพรเขาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาได้ขอพรว่า หากแฟนคนที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันเป็นคนที่ใช่จริง ก็ขอให้คบกันไปตราบนานเท่านาน แต่ถ้าไม่ใช่คู่กันจริงก็ขอให้เลิกกันโดยเร็วที่สุด แล้วหลังกลับจากไต้หวันได้สองสัปดาห์ เพื่อนของเขากับแฟนก็เลิกกัน... คุณแบงค์ได้อธิษฐานขอคนรักพร้อมบอกชื่อที่อยู่ของตนไปด้วย เขาเลยสันนิษฐานน่าจะเป็นเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เทพท่านมาหาเขาตอนกลางคืน เขาคิดว่าท่านน่าจะมาหาเขาเพื่อ ‘ดูตัว’ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ในภายหลังว่าวัดแห่งนั้นที่เขาไปไหว้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเลย แต่ทั้งเพื่อนที่เป็นหมอดูที่เป็นเพื่อนของเขามีข้อเสนอว่า ลิงตัวนี้อาจมาในลักษณะของการเป็นคำใบ้บอกถึงเนื้อคู่ของเขา และเมื่อลองตรวจตามปีนักษัตร เขาสามารถวิเคราะห์ได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นคนอายุ 19 หรือ 31 ปี แต่เรื่องนี้คุณแบงค์ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันทีว่ามันเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ คงต้องรอดูกันไปเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

22 ก.ย. 2023

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถมาติดตามความหลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จากเรื่อง ‘แฝงร่างจนตาย’ โดย ‘คุณเป้’ สายจากรายการอังคารคลุมโปงX (19 กันยายน 2566) ถ้าพร้อมแล้วปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับน้าสาว นามสมมุติ ‘คุณเอ๋’ เมื่อ 10-12 ปี ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสามีของคุณเอ๋เป็นคนเจ้าชู้และมีผู้หญิงเข้าหาเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายคุณเอ๋ก็ได้สามีคนนั้นมาครอบครอง จากการที่คุณเอ๋แย่งมาจากผู้หญิงอื่น ต่อมาไม่นานลูกของคุณเอ๋เริ่มเข้าสู่ช่วงประถมวัย คุณเอ๋อยากมีรายได้เพิ่ม จึงเข้าไปสมัครงานในตัวอำเภอ เมื่อได้งานทำแล้ว ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณเอ๋ทำงานครบ 1 ปี ก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามสวัสดิการของบริษัท ปรากฏว่าหลังจากที่เธอตรวจสุขภาพเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น หมอได้แจ้งกับเธอว่าเธอป่วยเป็นวัณโรค นั่นทำให้คุณเอ๋เกิดความกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปตรวจเช็คอีกรอบในโรงพยาบาลประจำจังหวัด เรื่องสุดช็อคก็ได้เกิดกับเธอหลังจากทางโรงพยาบาลแจ้งกับเธอว่าเธอพบมะเร็งปอด หลังจากที่คุณเอ๋ทราบผลตรวจแล้ว เธอรู้สึกกังวลและเกิดอาการเครียด จากชีวิตการงานและครอบครัวที่กำลังดำเนินไปได้ดีก็หยุดลง จากนั้นเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และกลับมารักษาตัวที่บ้านกับครอบครัว คุณเป้บอกว่า น้าเอ๋มีการรักษาโรคมะเร็งปอดนี้ด้วยยาหม้อ ซึ่งสมัยนั้นมีความเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วจะมีอาการดีขึ้น และทางครอบครัวของคุณเอ๋ก็มีการรักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ แต่ในชนบทเมื่อ 10-12 ปีก่อน มักมีความเชื่อกันว่ามะเร็งจะรักษาไม่ได้ หลังจากคุณเอ๋ตรวจพบโรคมะเร็งปอด สามีของเธอก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยการไปคบหากับผู้หญิงใหม่ แล้วทิ้งคุณเอ๋ให้อยู่กับลูกตามลำพังในช่วงเวลากลางคืน ต่อมาคุณเป้จึงตัดสินใจพาคุณเอ๋มาอยู่ที่บ้านของยายเพื่อจะได้ดูแลใกล้ชิดขึ้น จากอาการของคุณเอ๋ที่ทรุดตัวลง คุณเป้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติว่าจากที่กินอะไรได้น้อย เดินไม่ไหว ก็กลับมากินอะไรได้เยอะมากกว่าปกติและมีพฤติกรรมแปลกจากเดิม ตามปกติแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านแถบนั้นก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของคุณยาย มาถามไถ่อาการและดูอาการของคุณเอ๋ ในคืนหนึ่งเมื่อทุกคนมารวมตัวกันครบ คุณเอ๋ก็พูดว่า “มึงมากันทำไม มาทำอะไรกันมากมาย” คุณเอ๋ด่าทอทุกคนที่อยู่ที่บ้าน มีคนนึงที่มีรอยสักเต็มตัวเข้าใกล้เธอ เธอก็พูดว่า “ไอ้มารหัวขน มึงเข้ามาทำไม กูร้อน กูอึดอัด กูรู้สึกกลัวมึงจังเลย!” นี่คือลักษณะนิสัยที่คุณเป้ไม่เคยเห็นคุณเอ๋เป็นมาก่อน หลังจากคุณเอ๋มีอาการแปลกไป ก็มีการเรียนเชิญหลวงตามาพรมน้ำมนต์ และมีการฟาดไม้หวายลงกับพื้นตามความเชื่อสมัยนั้น แต่หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คุณเอ๋ ก็พูดท้าทายไปว่า “ไอ้พระแก่ ตีกู ดีนะกูโดดหลบทัน ถ้ากูโดดหลบไม่ทันกูเจ็บแน่เลย” หลังจากนั้นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณเอ๋มีอาการทรุดลงทำให้ปวดท้องรุนแรง จนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็กลับฟื้นขึ้นมา แล้วพุ่งตัวไปกอดแม่ของเธอพร้อมกับพูดว่า “แม่ ต่อไปนี้ลูกจะอยู่กับแม่นะ ลูกจะไม่ไปไหนแล้วนะ” ทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวคุณเอ๋ เพราะเธอมีอาการแลบลิ้นปลิ้นตา และขอกินทุกอย่างที่เธออยากจะกิน หลังจากวันนั้นคุณเป้ได้ไปปรึกษากับหลวงพี่ที่เป็นญาติกัน หลวงพี่ได้แนะนำให้โทรไปปรึกษาวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีพระอาจารย์ที่เก่งเรื่องดูว่าคนนี้เป็นคนจริง ๆ หรือมีอะไรแฝงในตัวหรือไม่ พระอาจารย์บอกกับเธอว่าคุณเอ๋มีผีสิงในตัวและกินคนมาเยอะแล้ว และพระอาจารย์ก็ยังบอกกับคุณเป้อีกว่าสิ่งที่เธอขอและกินเข้าไปนั้น ห้ามกินต่อเด็ดขาดให้นำไปทิ้งที่ป่าช้าเท่านั้น ถ้ากินแล้วจะได้รับเคราะห์แทน หลังจากคุณเป้ได้โทรไปปรึกษาพระอาจารย์แล้วนั้น ตากับยายก็ได้เดินทางไปยังวัดดังกล่าว แต่พระอาจารย์ไม่ว่างจึงให้สายสิญจน์และน้ำมนต์มาให้คุณเอ๋ดื่ม ในขณะที่เธอดื่ม เธอบอกว่ามันร้อน จนเธอต้องนั่งเป่าให้เย็น ทุกคนที่เห็นก็งง เพราะน้ำมันก็ไม่ได้ผ่านการต้มมาแต่อย่างใด ผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าในตัวของคุณเอ๋ไม่ใช่คุณเอ๋อีกต่อไป จึงพากันรุมเค้นถามว่าคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเธอเลย จนกระทั่งคุณเอ๋รู้ว่าพระอาจารย์จะมา จึงได้พูดออกมาว่า “กูไปละ” จากนั้นเธอก็เสียชีวิตไป เพื่อให้ทางครอบครัวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ หลังจากจบงานศพของคุณเอ๋ไม่กี่วัน สามีของคุณเอ๋ก็พาผู้หญิงเข้าบ้าน จนคุณเป้และครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจที่สามีของคุณเอ๋ทำเช่นนี้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง สามีของคุณเอ๋ได้ไปรับสัปเหร่อมาทำพิธีสะกดวิญญาณในห้องน้ำ ทำให้ร่างของคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ และต่อมาสามีของคุณเอ๋ก็หนีหายไปกับผู้หญิงใหม่ และคุณเป้ก็ยังได้ฝันหลายครั้งว่าคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ เธออยู่ในห้องน้ำ จนคุณเป้มารู้ทีหลังว่าสามีของน้าสาวและสัปเหร่อได้สะกดวิญญาณของเธอไว้ในชักโครกห้องน้ำ ซึ่งมีรูปและมีดอยู่ในชักโครก นั่นทำให้คุณเป้รู้สึกสงสารคุณเอ๋เป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้นคุณเอ๋ก็ได้กลับมาเข้าฝันอีกครั้ง และได้บอกเธอว่าใครที่แฝงในร่างของเธอ ในฝันเธอบอกว่ามีบ้านเยื้องไปไม่กี่หลัง จะเป็นบ้านของหมอธรรมที่ภรรยาของเขาเป็นผีปอบและได้เสียชีวิตไป ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งก็ตรงกับช่วงที่เธอดวงตกจนทำให้วิญญาณผีตนนั้นมาแฝงในตัวของคุณเอ๋นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1