ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

11 ส.ค. 2023

       งานแต่งงานขึ้นชื่อว่าเป็นงานที่คู่บ่าวสาวและแขกในงานต้องเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ หลายครั้งเราอาจจะต้องเจอรูปแบบงานที่ออกจะแปลกไปซะบ้าง แต่คงจะไม่แปลกเท่ากับเรื่องที่ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘งานแต่งสุดเพี้ยน’

       เจ้าของเรื่องนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘คุณฮารุ’ เธอได้รับสายจากเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้คุยกันนาน นามสมมุติว่า ‘คุณโนริ’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ โนริก็บอกว่ากำลังจะแต่งงาน แต่ยังกังวลอยู่เพราะไม่มีแขกมาร่วมงานและไม่รู้จะเชิญใครมา จึงชวนฮารุมาร่วมงานแต่ง ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ฮารุก็ตอบตกลงเพราะเห็นแก่มิตรภาพ โนริกล่าวขอบคุณและบอกว่าจะออกค่าที่พักและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ขอแค่มาร่วมงานก็พอ หลังจากวางสาย ฮารุก็รู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ส่วนใหญ่เจ้าภาพมักจะดูแลค่าใช้จ่ายให้เฉพาะญาติสนิทหรือเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แต่กับเธอนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างเหิน “ทำไมโนริจะต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ด้วย ?” แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ

       กระทั่งถึงวันงาน ฮารุออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังสถานที่จัดงาน เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเป็นอาคารที่เอาไว้ใช้สำหรับจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ แต่พอเดินเข้าไปก็หาห้องที่จัดงานแต่งของโนริไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายงานแต่งของโนริติดไว้ ฮารุเดินต่อไปจนเห็นฮอล์นึงที่ประตูเปิดแง้มไว้ ฮารุชะเง้อมองเข้าไปก็เห็นภายในงานที่เก้าอี้วางเรียงราย มีคนนั่งอยู่แค่ 2 – 3 คน จากนั้นโนริก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ทั้งสองทักทายกันพอเป็นพิธีโนริก็พาฮารุเดินเข้าไปในงาน ในจังหวะนั้นฮารุก็คิดในใจว่า ปกติเจ้าสาวจะต้องเก็บตัว แต่นี่มารับแขกเองถึงหน้างาน แล้วคนในงานก็ยังนิ่ง ไม่ได้หันมามองเลยว่าเจ้าสาวมาต้อนรับใคร ทุกคนในนั้นนั่งหันมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา ฮารุจึงบอกโนริไปว่า “เธอไปเตรียมตัวเข้าพิธีดีกว่า เราดูแลตัวเองได้” โนริก็ตอบกลับมาว่า “โอเค ๆ งั้นเราไปเตรียมตัวก่อนนะ อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเลยนะ” หลังจากโนริเดินจากไป ฮารุก็เลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อความสบายใจของตัวเอง

       เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูฮอล์นั้นก็ปิดลง พิธีกรขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำพิธี (พร้อมทั้งเป็นบาทหลวงไปในตัว) จากนั้นก็เชิญเจ้าสาว ประตูเปิดออกมา โนริที่เป็นเจ้าสาวก็เดินออกมาคนเดียว ตอนนั้นเองฮารุก็สงสัยว่าทำไมไม่มีคนในครอบครัวเดินมาส่งตัวเจ้าสาวเลย แต่ก็เพราะไม่ได้ติดต่อกันนาน ครอบครัวของโนริอาจจะไม่สะดวกมาร่วมพิธีก็เป็นได้ ฮารุคิดไว้เพียงเท่านั้น หลังจากโนริเดินขึ้นไปบนเวที พิธีกรก็กล่าวเชิญเจ้าบ่าว ประตูเปิดอีกครั้ง ฮารุได้ยินเสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าด พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่แล้วมีพนักงานเข็น แต่ด้วยความที่เห็นจากที่ไกล ๆ จึงคิดแค่ว่าเจ้าบ่าวอาจจะพิการหรือป่วยอยู่จึงเดินไม่ได้ จนกระทั่งรถเข็นเลื่อนไปถึงข้างหน้า เจ้าสาวก็เดินลงมาจับมือเจ้าบ่าวให้ยืนขึ้น แล้วเจ้าบ่าวก็ยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง! จากนั้นเจ้าสาวก็จับขาให้ยืดตรง จับหลังให้ยืดตรง จนเจ้าบ่าวอยู่ในท่าตรง วินาทีนั้นทำให้ฮารุได้เห็นว่าเจ้าบ่าวคือหุ่น!

       พิธีกรมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาคงจะรู้อยู่แล้ว จึงทำหน้าที่ต่อให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงตอนสุดท้าย เจ้าสาวก็จูบหุ่นที่เป็นเจ้าบ่าว ซึ่งปกติแล้วคนในงานจะต้องพากับปรบมือร่วมยินดี แต่กลายเป็นว่าทั้งฮอล์นี้ มีเพียงฮารุที่ปรบมืออยู่คนเดียว! ฮารุคิดในใจว่า “อย่าบอกนะ ว่าเราเป็นคนคนเดียวที่เป็นแขกในงานนี้” คิดได้ดังนั้นก็เตรียมลุกออกจากงาน พอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังออกมา เป็นโนริที่วิ่งออกมา เธอบอกว่า “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ ถ้าเป็นไปได้อยู่ปาร์ตี้ต่อคืนนี้ที่โรงแรมด้วยกันนะ” สีหน้าของโนริดูอ้อนวอนสุดขีด แต่ฮารุก็จำต้องปฏิเสธและให้เหตุผลว่าเกรงใจ แต่โนริก็ไม่ยอมแพ้ เธอบอกว่า “นะ ๆ อยู่ต่อเถอะนะ มีเธอเป็นแขกเพียงคนเดียวเลยนะ” นั่นทำให้ฮารุคิดได้ว่าแขกที่นั่งอยู่ในฮอล์ไม่กี่คนนั้น ไม่ใช่คน! หรือมันจะเป็นหุ่น! ฮารุจึงถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอโอเคใช่มั้ย?” โนริตอบกลับว่าเธอโอเค และขอร้องให้ฮารุอยู่ร่วมงานปาร์ตี้คืนนี้อีกครั้ง ฮารุจึงตอบตกลง

       ฮารุเปลี่ยนชุดมาร่วมงานปาร์ตี้ที่จะเริ่มประมาณ 2 ทุ่ม สถานที่จัดงานคือโรงแรมริมทะเล ในงานมีเก้าอี้เรียงรายจัดเตรียมไว้แต่ไม่มีใครมาร่วมงาน ฮารุไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เพราะไม่มีพนักงานมาต้อนรับ เธอจึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนึง แต่ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าสาวก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทักทายฮารุแต่อย่างใด เธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางทะเลด้านหน้าสุด ฮารุเห็นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เพราะบนโต๊ะไม่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เลย มองซ้ายขวาหาพนักงานก็ยังไม่เจอใคร ฮารุจึงคิดว่าถือซะว่ามาร่วมงานแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเตรียมจะเดินกลับห้อง ทันใดนั้นเอง เสียงเพลงประจำงานแต่งก็ดังขึ้น จากนั้น เจ้าสาวอย่างโนริก็ลุกขึ้นส่งยิ้มแล้วหันมาโบกมือให้รอบ ๆ ราวกับว่ามีแขกมาร่วมงานอย่างไรอย่างนั้น! ฮารุสังเกตเห็นว่าโนริยิ้มไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย และโนริยังพูดขึ้นมาอีกว่า “ไปก่อนนะทุกคน เรากำลังจะไปมีความสุขแล้ว” สิ้นเสียงโนริ เธอก็ค่อย ๆ เดินลงไปในทะเล! ฮารุตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวไม่ถูก พอมองไปรอบ ๆ จากตอนแรกที่ไม่มีใครก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตามโต๊ะทั่วงาน! เงาดำเหล่านั้นทำท่าปรบมือแสดงความยินดีกับโนริอีกด้วย! พอฮารุหันไปมองโนริอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีเงาคนมาดึงโนริลงไปในทะเล ฮารุตกใจสุดขีดกรี๊ดลั่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองทันที!

       กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที มีคนมาเคาะประตูห้องของฮารุ “เป็นพนักงานโรงแรมนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า อยากให้เราแจ้งตำรวจมั้ย” ฮารุยอมเปิดประตูและเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง จากนั้นพนักงานก็ค่อย ๆ เล่าให้ฮารุฟังว่า “ผมก็ไม่ได้รู้จักคุณโนริเป็นการส่วนตัวอะไร แต่เห็นว่าเขาน่าสงสาร เขาบอกว่าขอให้จัดงานให้ตามปกติ ไม่ต้องมีอาหารอะไรเลย พอถึงวันงานก็เห็นว่าไม่มีแขกมาร่วมงานเลย” นอกจากนี้พอเอาชื่อของโนริไปเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูก็พบข่าวที่น่าตกใจว่า โนริเป็นคนเดียวที่ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากการที่โนริและครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน มี (ว่าที่) สามีเป็นคนขับรถ นั่นอาจทำให้โนริรู้สึกเสียใจที่ดันเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เธออาจจะอยากไปอยู่กับครอบครัวและว่าที่สามีในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนโรงแรมก็พยายามตามหาโนริที่หายตัวไปในทะเลอยู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ

       หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฮารุไม่เข้าไปช่วยหรือห้ามโนริ ดีเจเจ็มก็เสริมว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่อยู่ตรงนั้น แล้วเห็นเงาคนที่อยู่รอบ ๆ อาจจะคิดได้ว่าหรือตัวเจ้าสาวก็อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้ หรือถ้าเป็นคนจริง ๆ เราที่เจอเรื่องราวแบบนั้นก็คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดก็เป็นได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

29 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

คุณเคยฝันเห็นอะไรแปลก ๆ ไหม? แล้วเคยไหม ที่ฝันเห็นสิ่งนั้นหลายคืนติดกัน แล้วมันก็กลายมาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราไป! เรื่องราวนี้ ’คุณดิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กูไม่ให้อยู่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณดิวเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ให้ชื่อสมมุติว่า ‘คุณแพท’ เรื่องเริ่มที่คุณแพทสอบติดมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กปี 1 ส่วนใหญ่จะอยู่หอใน ข้างในหอเป็นเตียง 2 ชั้น มีห้องน้ำในตัว และมีรูมเมท 1 คน ซึ่งคุณแพทก็จะเรียนภาคพิเศษโดยเลิกเรียนประมาณ 2-3 ทุ่ม ผ่านเทอมแรกไปก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น พอเข้าเทอมที่ 2 มีอยู่คืนหนึ่ง คุณแพทฝันว่าอยู่ในหอพัก เห็นตัวเองกับรูมเมทนอนที่เตียง แพทนอนชั้น 2 และมีกลุ่มควันสีดำอยู่ที่ปลายเตียง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ คืนที่ 2 ก็ฝันแบบเดิม เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียงอีก คุณแพทเอะใจว่ามันแปลก ๆ ทำไมฝันแบบเดิม 2 คืน พอตื่นเช้ามาก็ไปทำบุญใส่บาตร คืนที่ 3 ก็ยังฝันเห็นกลุ่มควันดำแบบเดิมอีก แต่ครั้งนี้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็สวดมนต์บทชินบัญชร ปกติคุณแพทสวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว พอเช้ามาก็ไปใส่บาตรอีก พอคืนที่ 4 ก็ยังคงฝันเหมือนเดิม แต่กลุ่มควันดำค่อย ๆ ปรากฎภาพให้เห็นในฝัน เป็นผู้หญิงนั่งชันเข่าอยู่ที่ปลายเท้า สภาพโทรม ผมยาวรุงรัง แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ซึ่งทุกคืนที่ฝันคุณแพทก็จะบอกรูมเมทตลอด แล้วรูมเมทก็จะตื่นมาอยู่ด้วยกันตลอด พอคืนที่ 5, 6 และ 7 มันก็เริ่มแปลกไปกว่านั้น.. ในฝันครั้งนี้ ผู้หญิงคนเดิมจับเตียงและพูดว่า “ออกไป! กูไม่ให้อยู่” ด้วยความที่คุณแพทกลัวมาก ๆ จึงหาวิธีหลายอย่าง เช่น เอาเหรีญมาไว้ที่ปลายเตียง ทำทุกอย่าง แต่ก็ยังคงฝันแบบนี้ไปอีก 3 คืน และโทรไปปรึกษาครอบครัวว่าควรทำอย่างไรดี ทางครอบครั้วจึงบอกให้ลองไปถามเจ้าของหอว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คุณแพทจึงลงไปถามคุณป้าที่ดูแลหอ ป้าบอกว่า “ที่นี่มีศาลเพียงตาอยู่ข้างหอนะ ลองไปไหว้ดูหน่อยมั้ย เพราะหนูเพิ่งเข้ามาอยู่ปีแรก” วันนั้น คุณแพทจึงรีบโทรหาคุณแม่หลังเลิกเรียน คุณแม่ก็เตรียมของไหว้มาให้ แล้วก็ไปไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘เรามาขออาศัย เรามาขออยู่’ จากนั้นก็จะเอาพวงมาลัยแขวน แต่ที่ศาลไม่มีที่แขวน แต่ก็สังเกตเห็นว่าข้าง ๆ มีรั้วคล้ายกับให้แขวนตรงนี้ จึงนำพวงมาลัยไปแขวนไว้ตรงนั้น แล้วก็เดินหันหลังกำลังจะกลับ ก็ได้ยินเสียง ฟุ้บ! หันกลับไปก็เห็นว่าพวงมาลัยหล่น! คุณแพทจึงเดินกลับไปหยิบพวงมาลัยไปแขวนอีกครั้ง แต่พอหันหลังกลับพวงมาลัยก็ตกอีก รอบที่ 3 คุณแพทก็หยิบขึ้นไปแขวน แต่คุณแม่บีบมือแน่นแล้วกระชาก แล้วบอกว่า “ไปเถอะลูก เรามาไหว้เขาแล้ว” จากนั้นคุณแม่ก็รับคุณแพทกลับไปนอนที่บ้าน 1 คืน ส่วนรูมเมทก็ไปขอเพื่อนอีกห้องนอนด้วยเพราะความกลัว วันถัดมาก็ไม่ได้ฝัน จึงคิดว่าทุกอย่างคงกลับมาปกติแล้ว คืนถัดมาจึงนัดกับรูมเข้าห้องพร้อมกัน ครั้งนี้คุณแพทบอกว่าไม่ได้ฝันแล้ว แต่รู้สึกเหมือนผีอำ เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียง สุดท้ายก็สะดุ้งลุกขึ้นมาได้ จึงสวดมนต์บทชินบัญชร แล้วก็เป็นแบบนี้หไปอีก 3 คืน ทั้งคุณแพทและรูมเมทกลัวกันมาก ๆ ถึงขั้นเวลาเข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำก็ต้องเข้าพร้อมกัน ไม่ก็ให้คนนึงอาบคนนึงรอ คุณแพทเล่าว่าครั้งนี้ระหว่างอาบน้ำ ไฟก็ดับ แต่ช่วงที่ไฟกระพริบก่อนที่จะติดกลับมา คุณแพทกับรูมเมทก็เห็นผู้หญิงคนนั้นที่ผมยาวพะรุงรังห้อยหัวตรงหน้าต่างห้องน้ำ มองมาที่ 2 คน และพูดว่า “กูไม่ให้อยู่!” ทั้งคู่ช็อคกันมาก รีบคว้าผ้าขนหนูวิ่งออกมาจากห้อง คุณแพทกลัวถึงขนาดดรอปเรียนและไปถือศีลเป็นเวลา 1 เดือนเลยทีเดียว หลังจากคุณแพทกลับมาก็มาสืบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตอนนั้นคุณแม่เล่าว่า ที่คุณแม่บีบมือ เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงตัวดำ ๆ นั่งชันเข่าอยู่ตรงขอบรั้วและทิ้งพวงมาลัยที่เพื่อนแขวนลงพื้น และก็มีเด็กผู้หญิงที่อยู่อีก 3 ห้องถัดไปก็ฝันเหมือนกัน 7 คืน ว่ามีผู้หญิงมาเขย่าเตียง แล้วก็พูดว่า “กูไม่ให้อยู่!” หลังจากนั้นก็รู้มาว่าหอพักนี้เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่ได้ทุบทิ้งแค่เอามาปรับปรุงใหม่ ซึ่งคุณแพทก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนทำอะไรผิด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

15 ธ.ค. 2023

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

พี่ในบริษัทรักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน จนเสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอบริษัทมีน้องใหม่เข้ามา ยังมาช่วยสอนงานให้น้องอีก เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘พี่สา’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าบอกว่าเรื่องนี้ ‘Base on true story’ เป็นเรื่องจากเพื่อนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บางนา ในบริษัทจะมีพี่คนหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่สา’ เป็นพี่ที่ดีและเป็นที่รักของคนในทีมมาก เพราะพี่สาจะคอยอาสาช่วยงานคนในทีมอยู่เสมอ แม้ว่าตัวพี่สาเองจะป่วยเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ตอนนั้นเอง อาการพี่สาไม่สู้ดีนักและกำลังรักษาตัวด้วยการทำคีโมอยู่ ผลข้างเคียงของการทำคีโมนั้นเอง ทำให้พี่สาต้องใส่วิกผมมาทำงานทุกวัน จนกระทั่งมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พี่สาไม่มาทำงานที่บริษัทเลย แต่ทุกคนในทีมไม่ได้รู้สึกสงสัยหรือตั้งคำถามอะไร เพราะคิดว่าพี่สาคง work from home พร้อมกับรักษาตัวอยู่ที่บ้านไปด้วย ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจ เพราะทราบข่าวว่าพี่สาเสียชีวิตแล้ว ทุกคนเสียใจมากเพราะรู้สึกรักและผูกพันกับพี่สา อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งที่แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต พี่สายังมอบให้กับการทำงาน ด้วยความที่ทุกคนเสียใจ และเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับพี่สา คนในทีมจึงนำดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของพี่สา พร้อมพูดออกไปว่า “พี่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้องใหม่ที่มา พวกผมจะดูแลกันเอง พี่พักผ่อนให้เต็มที่เลย พี่ทำงานมาหนักมากแล้ว” ในวันนั้นเป็นวันที่ทางทีมต้องไปโรงงาน ซึ่งโรงงานจะอยู่คนละที่กับสำนักงานใหญ่ พอตอนเย็นถึงเวลาเลิกงาน คนในทีมก็ได้ชวนกันไปดื่มสังสรรค์ตามปกติ แต่มีพี่คนหนึ่งชื่อ ‘พี่เสือ’ เขาอาสานำอุปกรณ์ไปเก็บที่สำนักงานใหญ่ให้ พอเวลาผ่านไป ร้านก็ใกล้จะปิดเพราะดึกมากแล้ว ปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรหาคนในทีม ซึ่งคนที่โทรมานั่นก็คือพี่เสือนั่นเอง เขาโทรมาแล้วบอกว่า “มารับกูที กูออกจากห้องน้ำไม่ได้ พี่สาเขามา ไม่กล้าออกจากห้องน้ำ” ทุกคนจึงไปรับพี่เสือที่สำนักงานใหญ่ เพราะปกติแล้วพี่เสือเป็นคนแมน ๆ ทะมัดทะแมง ตั้งใจทำงาน แต่น้ำเสียงที่โทรมาเหมือนกับว่าเขากำลังกลัวมากจริง ๆ เมื่อทั้งทีมไปถึงสำนักงานใหญ่ ทั้งชั้นปิดไฟมืดสนิท จึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ แล้วเข้าไปรับพี่เสือที่ห้องน้ำ ปรากฏว่าพี่เสือไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดิน แขนขาอ่อนแรง ต้องเดินเกาะแขนคนในทีมออกมา ระหว่างนั้น คนในทีมก็คะยั้นคะยอให้พี่เสือเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พี่เสือบอกว่าขอออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง พอเดินออกมาจากโซนออฟฟิศแล้ว พี่เสือก็เริ่มเล่าว่า ตอนมาเก็บอุปกรณ์เขาแสกนนิ้วเข้าตามปกติ แต่รู้สึกปวดท้องจึงไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนแสกนนิ้ว แล้วก็เสียงเดิน ต๊อก ต๊อก ต๊อก .. เดินตรงมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่พี่เสือเข้าอยู่ จากนั้นเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก .. พี่เสือนึกว่าเป็นพี่ยามจึงตะโกนบอกว่า “พี่ยามรึเปล่าครับ พอดีเอาของมาเก็บแปปนึง เดี๋ยวก็ไปละพี่ อย่าพึ่งปิดไฟนะ” แต่ก็ยังมีเสียงเคาะประตูอยู่ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “เสือ..พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง” ณ ตอนนั้นพี่เสือคิดว่าคงเป็นพี่สาแน่ ๆ เพราะในออฟฟิศไม่มีใครใส่วิกนอกจากพี่สา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง ช่วยหยิบวิกให้พี่หน่อยได้มั้ย พี่สูงไม่พอ มันขึ้นไปอยู่ตรงนั้น ช่วยหยิบให้หน่อย” พี่เสือรู้สึกกลัวแต่ด้วยความอยากรู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฎว่าเห็นเป็นวิกผมวางไว้อยู่ตรงนั้นในห้องน้ำจริง ๆ! แต่พี่เสือก็ไม่กล้าหยิบ รวมไปถึงไม่กล้าเปิดประตูออกไปด้วย พี่สาจึงพูดต่ออีกว่า “เร็วเสือ..หยิบให้พี่หน่อย พี่หยิบไม่ถึง ไม่รู้ว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง” พี่เสือนั่งกลัวจนตัวสั่นอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกไปไหน จึงได้โทรไปหาทีมให้รีบมาหานั่นเอง เมื่อพี่เสือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบ คนในทีมก็อยากรู้ว่ามีวิกผมในห้องน้ำจริงหรือไม่ จึงเข้าไปหาในห้องน้ำ ปรากฏว่ามีวิกผมวางไว้ตรงตำแหน่งที่พี่เสือเล่าจริง ๆ จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายปิดไฟกลับ ทุกคนในทีมก็สังเกตว่าในเมื่อไฟปิดหมดแล้ว แต่ทำไมในออฟฟิศยังคงมีแสงสว่างอยู่ ปรากฏว่าจอคอมของพี่สายังเปิดอยู่ พอเห็นแบบนั้นทำให้ทุกคนในทีมต่างรีบแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างรวดเร็ว! ถัดมาเช้าของอีกวัน พี่เสือยังคงรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องเมื่อคืน จึงได้ขอเช็คประวัติการแสกนลายนิ้วมือเข้าออฟฟิศ ปรากฏว่าคนที่แสกนลายนิ้วมือต่อจากพี่เสือเมื่อคืนนั่นก็คือพี่สานั่นเอง! พอเวลาผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ถูกนำไปเล่าต่อกันในออฟฟิศ ทำให้ทุกคนกลัวกันมาก ขนาดที่หัวหน้าสั่งให้ย้ายไปนั่งที่พี่สา เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้หัวหน้ามากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครยอมย้าย กระทั่งมีพนักงานน้องใหม่เข้ามา ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงให้น้องใหม่ไปนั่งโต๊ะของพี่สา เวลาผ่านไปไม่กี่วัน พนักงานน้องใหม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า “ทำงานยากมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเครียดงาน หรืออาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่คือหนูได้ยินเสียงกระซิบข้าง ๆ หูตลอดว่า ‘ทำตรงนี้สิ...กดตรงนี้สิ’ เหมือนมีคนมาสอนข้าง ๆ หูอยู่ตลอด” จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีใครกล้าไปนั่งโต๊ะของพี่สา รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ของพี่สาก็ยังคงอยู่ในตู้เก็บของ และวิกผมก็ยังคงอยู่ในตู้เหมือนเดิม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

03 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ ‘ทวงสัญญา’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณคิงส์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอน มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘ทวงสัญญา’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณคิงส์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองตอน 10 ขวบ (เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว) ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีที่เล่นอะไรมากมาย นอกจากไปโรงเรียนหรือไปวัด และไฮไลท์สำคัญคือการไปเล่นน้ำคลอง ซึ่งคุณคิงส์มีเพื่อนรักที่สนิทกัน ชื่อ ‘นพ’ (นามสมมติ) ที่มักจะเล่นด้วยกัน ไปโรงเรียนด้วยกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันหยุดไม่ได้ไปโรงเรียน ทั้งสองคนจึงชวนกันไปเล่นน้ำคลองตามประสาเด็กบ้านนอก ตอนแรกก็เล่นกันที่น้ำตื้น สักพักก็เริ่มไปที่ลึกเรื่อย ๆ ในขณะที่แหวกว่ายเล่นน้ำกันสนุกสนาน คุณคิงส์ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนเรียกให้ช่วย ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพื่อนแกล้งให้เข้าไปใกล้ ๆ เพราะคุณนพก็ว่ายน้ำเป็น คุณคิงส์จึงตอบกลับไปว่า “ก็ว่ายขึ้นฝั่งสิ” แต่คุณนพก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ เป็นตะคริว” เมื่อเห็นท่าไม่ดี คุณคิงส์คิดว่าน่าจะจริง ก็เลยว่ายเข้าไปหา พอเข้าไปถึงใกล้ ๆ ด้วยความที่คุณนพยังเด็กก็ตกใจ กระโดดกอดคอแล้วก็กดคุณคิงส์เหมือนพยายามจะขึ้นมายืนบนบ่า เพื่อให้ตัวเองพ้นน้ำตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด พอคุณคิงส์โดนกดก็จะจมด้วยเลยสลัดเพื่อนออก แล้วรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง พอไปถึงฝั่งก็มองหาไม้เพื่อมาช่วย แต่ว่าหันมาอีกที เพื่อนก็หายไปแล้ว คุณคิงส์ตะโกนเรียกหาก็ไม่มีสัญญาณตอบ พอหาไม่เจอ จึงตะโกนขอความช่วยเหลือ คนแถวนั้นที่ทำไร่ทำนาอยู่วิ่งรีบมาช่วยกัน พอมาถึงก็ช่วยกันงมคุณนพที่จมน้ำขึ้นมาแล้วรีบปฐมพยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล คุณนพเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านงานศพของคุณนพไป พ่อและแม่ของคุณคิงส์ก็สั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นน้ำคลองอีกโดยเด็ดขาด เวลาผ่านไปหลายเดือน คุณคิงส์ได้ฝันว่าตนเองยืนอยู่ริมคลอง เห็นคุณนพ นั่งกอดเข่าหนาวสั่นอยู่ เขาก็หันมามองหน้า แล้วถามว่า “ทำไมถึงทิ้งกูไป ทำไมถึงทิ้งกูไป” และขณะที่กำลังจะตอบไป คุณคิงส์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแม่มาปลุก แม่บอกว่า “ทำไมไม่ล้างเท้าก่อนเข้านอน ดูสิคราบดินคราบโคลนเปื้อนพื้นหมดแล้ว” คุณคิงส์มองไปก็เห็นเป็นรอยเปื้อนตั้งแต่บันไดขึ้นมาถึงบริเวณที่นอน แล้วพอมองเท้าตนเองปรากฎว่าเท้าก็ไม่ได้เปื้อนโคลน ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรแม่ เพราะดูแล้วคงจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงตอบกลับไปแค่ “ครับ ๆ” แล้วรีบหาผ้ามาเช็ด และคุณคิงส์ก็ฝันแบบนี้อีกหลาย ๆ ครั้ง ฝันซ้ำ ๆ จนกระทั่งคืนหนึ่ง ขณะที่คุณคิงส์นอนเคลิ้มกำลังจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ หู ตอนแรกนั้นนอนหงายอยู่ จึงพลิกตัวมาทางด้ายซ้ายมือ ปรากฎว่า เจอคุณนพ นอนอยู่ข้าง ๆ นอนตัวซีด เปียก มีโคลนติดตามตัวกำลังสะอื้นปากขมุบขมิบ และน้ำตาไหล จ้องมองมาที่คุณคิงส์! ตอนนั้นด้วยความที่เป็นแค่เด็ก 10 ขวบ ก็กลัวมากจนขยันตัวไม่ได้ เหมือนโดนสะกดให้ต้องจ้องมองเขา คุณคิงส์คิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองตั้งใจฟังดูว่าจะว่ายังไง ก็พูดในใจว่า “พูดมาว่าต้องการอะไร ยังไง” แล้วก็ได้ยินเสียงเข้ามาในหูว่า “เอาของที่จะให้ มาให้กูด้วย” จากนั้น คุณนพก็ลุกไปเปิดมุ้งแล้วเดินไปทางหน้าต่างเพราะห้องที่อยู่ชั้น 2 แล้วก็กระโดดลงไป! ขณะนั้นคุณคิงส์ได้สติ ขยับตัวได้ จึงตะโกนไปว่า “นพ อย่าเพิ่งไป!” พ่อแม่ได้ยินจึงรีบวิ่งขึ้นมาแล้วถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” คุณคิงส์จึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พ่อกับแม่จึงไปเปิดไฟ ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่มีโคลน หรือเปียกน้ำเลย แม่จึงบอกว่า “ท่าจะไม่ดีแล้ว สงสัยเด็กจะคิดถึงกัน” เพราะมีความเชื่อว่า คนเราหรือเด็ก ๆที่ผูกพันธ์กัน จะมีจิตที่ผูกหากันได้ แม่จึงรีบไปหุงข้าวแล้วบอกคุณคิงส์ว่า “ต้องมาใส่บาตรพร้อมกับแม่” แล้วพ่อก็ถามว่า “ที่นพบอกให้เอาของไปให้ เราไปสัญญาอะไรไว้” คุณคิงส์นั่งนึกจนนึกออก แล้วเล่าให้พ่อฟังว่า “ก่อนที่เราจะลงไปเล่นน้ำในคลองกัน ผมกับนพนั่งขุดดินเหนียวมาปั้นเล่นกัน นพปั้นไม่เป็น ปั้นได้แต่ลูกกระสุนกลม ๆ เหมือนลูกแก้ว ส่วนผมปั้นเป็นรูปสัตว์ได้หลายชนิด นพเลยขอว่า อยากได้อะ ปั้นรูปช้างให้หน่อยได้มั้ย คิงส์เลยบอกว่า ได้สิ แต่ขอไปล้างมือล้างตัวก่อนนะ เดี๋ยวมาปั้นให้” จากนั้น เด็กทั้งสองก็ชวนกันไปที่คลอง หลังจากล้างมือเสร็จ ด้วยความที่น้ำน่าเล่น จึงชวนกันเล่นน้ำ และก็เกิดเหตุการณ์จมน้ำขึ้น พ่อก็บอกว่า “สงสัยคงต้องทำตามคำสัญญาแล้วแหล่ะลูก นพน่าจะมาทวง” แล้วพ่อก็พาไปขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นช้างตามสัญญา พอเสร็จแล้วก็พาซ้อนจักรยานไปบริเวณริมคลองที่นพจมน้ำ แล้วก็พาจุดธูปบอกว่า “นพ คิงส์ทำตามสัญญาแล้วนะลูก ปั้นช้างมาให้แล้ว” หลังจากนั้นมาก็ไม่ฝันถึงคุณนพอีกเลย แต่พอถึงวันครบรอบที่เขาเสีย คุณคิงส์ก็จะมาปั้นช้างดินเหนียวไปวางให้ทุก ๆ ปี.. จนกระทั่งเรียนจบมัธยม ไม่ได้เรียนต่อแถวบ้าน เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ แล้วทำงานต่อ จึงไม่มีเวลาว่าง ไม่ได้ไปปั้นช้างดินเหนียวให้ คุณนพก็มาเข้าฝันแล้วบอกว่า “ยังไม่ได้เอาช้างมาให้นะ” เขายังมาในสภาพเป็นเด็กเหมือนวันที่จมน้ำ หลังจากนั้นคุณคิงส์มีโอกาสกลับไปบ้าน จึงซื้อช้างปั้นเซรามิกคู่หนึ่ง ไปวางไว้ให้ที่เจดีย์ที่บรรจุอัฐิเขา แล้วบอกว่า “นพ ต่อไปนี้ไม่ว่างปั้นช้างไปไว้ให้ตรงคลองแล้วนะ แต่เราเอาช้างปั้นอย่างดีมาไว้ให้ตรงเจดีย์นี้แทนก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปนี้ก็ให้ช้างคู่นี้เป็นตัวแทนช้างที่ปั้นไปให้ทุกปี จนกว่ามันจะแตกสลาย แล้วเราจะหามาให้ใหม่” หลังจากนั้นก็ไปทำบุญ ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนบุญกุศลให้เขา พอตกกลางคืนก็ฝันว่า ตัวเองไปนั่งเล่นอยู่ที่ริมคลองที่เขาจมน้ำ แล้วเขาก็วิ่งมากอดแล้วพูดว่า “ขอบใจมากนะที่ปั้นช้างมาให้ตามสัญญา ต่อไปนี้ไม่ต้องปั้นมาให้แล้วนะ ช้างที่เอามาให้ใหม่แข็งแรงมากเลย” แล้วเขาก็หัวเราะ และในความฝัน เขาก็ยังเป็นเด็ก เสื้อผ้าหน้าผมก็ยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่คุณคิงส์โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็บอกว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลกับคำสัญญานะ เพราะเรามาทำตามสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้นพไปสู่ภพภูมิที่ดี” หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่เจอเขาอีกเลย อาจะเป็นเพราะว่าเขาไปสู่ดินแดนที่เขาหมดห่วงไปแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

22 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณนุ้ก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘อดีตที่ตามหลอกหลอน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนุ้กมีอาชีพเป็นหมอดู มีลูกดวงท่านหนึ่งสมมุติว่าชื่อ ‘เจฟ’ ระหว่างที่ดูดวงอยู่ เขาดูเหมือนกับว่ามีปัญหากวนใจอยู่ แต่ไม่กล้าพูด อยากเล่าก็ไม่กล้าเล่า แต่ก็เร่งเร้าจะดู พอถึงเวลาดู เขาถามว่าดวงเขาเป็นยังไงบ้าง คุณนุ้กตอบกลับไปว่า ”ไม่ค่อยโอเค ความรัก การเงิน การงาน มีปัญหา” คุณเจฟจึงบอกว่า “ผมดูให้ตัวเองแล้ว ความรักดวงตก แต่เรื่องอื่นไม่มีปัญหาเลย” คุณนุ้กจึงคิดในใจว่า ‘ทำไมถึงมาดูกับเรา’ แล้วคุณเจฟยังบอกว่า “มันแปลก คือผมต้องไม่ดีแค่เรื่องความรัก ผมราศีนี้ ยังไงเรื่องงานเรื่องเงินก็รุ่ง แต่ดวงผมร่วงหมดตั้งแต่เดือนกุมภา คนรักนอกใจ ผมเคยขายพระเครื่องรายได้อาทิตย์ละ 5,000-10,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ร้านอาหารที่ผมเปิด ก็เจ๊งอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องพูดถึงเลย“ คุณนุ้กก็คิดว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ พอดูดวงไปสักพัก ก็เห็นภาพในหัวระหว่างเปิดไพ่ เป็นเหมือนผู้หญิงจะมาเอาวิญญาณคุณเจฟ จึงถามคุณเจฟว่ามีใครตามไหม คุณเจฟบอกว่าเขาก็รู้ตัว แต่ที่โทรมาดูดวงเพราะอยากให้มีคนช่วยคอนเฟิร์ม คุณนุ้กบอกไปว่าเห็นเรื่องในอดีตที่ไม่ใช่ภพนี้ คุณเจฟเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ แต่มีเรื่องมือที่ 3 แล้วฆ่าผู้หญิงคนนี้ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ตั้งใจตามมาเอาชีวิตคุณเจฟ พอเปิดไพ่ไปอีก ก็มีไพ่ที่บอกว่า มีคนขอให้ไว้ชีวิตคุณเจฟ คุณเจฟจึงเล่าว่า “จริง ๆ ก่อนมาหาพี่ ผมไปมาทุกสำนักแล้วทำมาทุกอย่าง ไม่เกิน 3 วันดวงก็ตกเหมือนเดิม จนไม่นานมานี้ไปวัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้เจอหลวงพี่ที่เป็นพระดัง ท่านเดินเข้ามาหาแล้วทักว่า โยมจะต้องบวชนะ บวชแล้วดีขึ้น” คุณนุ้กจึงคิดว่าน่าจะเป็นพระรูปนี้ที่ขอบิณฑบาต เหมือนให้บวชเพื่อไม่ถึงเเก่ชีวิต จากนั้นคุณนุ้กก็ให้เลขบัญชีของพระตามวัดที่คัดมาแล้วว่าปฏิบัติธรรมจริง ให้คุณเจฟทำบุญบวชพระทุกวัน วันละ 1 บาท พอครบ 7 วันให้มาบอก หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความเข้ามาหาตนว่า “พี่ ผมเจอแล้วนะ“ แล้วก็เล่าว่า ”ผมทำบุญตามที่พี่บอก จนวันหนึ่งผมไปนวด ในร้านก็จะมีไฟสลัวส่องหน้าคนนวด ผมเห็นหน้าคนนวด ปรากฎว่าไม่ใช่หน้าคน มันเป็นหน้าดำ ๆ มืดสนิทที่มองผมอยู่“ พอฟังเสร็จคุณนุ้กก็เปิดไพ่ ณ ตอนนั้นปรากฎว่า มันดีขึ้น การเงินไม่ขัดแล้ว แต่ความรักยังขัดอยู่ คุณเจฟก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่ ผมทำตามพี่ไม่ถึง 7 วันเลย ได้เงินมา 1 แสนละ ตอนนี้กำลังรอบวช“ คุณนุ้กจึงบอกให้ทำบุญไปจนกว่าจะบวช จนล่าสุดก่อนที่จะมาเล่าในรายการได้ทักไปถามคุณเจฟ เขาก็บอกว่า ”บวชอยู่ครับตอนนี้ ได้บวชแล้ว“ ตั้งแต่ที่เขาดูดวงจนบวช ใช้เวลาไม่ถึงเดือนเป็นไปตามที่คุณนุ้กเปิดไพ่ว่า “ถ้าบวช ยังไงก็รอด”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1