ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

11 ส.ค. 2023

       งานแต่งงานขึ้นชื่อว่าเป็นงานที่คู่บ่าวสาวและแขกในงานต้องเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ หลายครั้งเราอาจจะต้องเจอรูปแบบงานที่ออกจะแปลกไปซะบ้าง แต่คงจะไม่แปลกเท่ากับเรื่องที่ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘งานแต่งสุดเพี้ยน’

       เจ้าของเรื่องนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘คุณฮารุ’ เธอได้รับสายจากเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้คุยกันนาน นามสมมุติว่า ‘คุณโนริ’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ โนริก็บอกว่ากำลังจะแต่งงาน แต่ยังกังวลอยู่เพราะไม่มีแขกมาร่วมงานและไม่รู้จะเชิญใครมา จึงชวนฮารุมาร่วมงานแต่ง ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ฮารุก็ตอบตกลงเพราะเห็นแก่มิตรภาพ โนริกล่าวขอบคุณและบอกว่าจะออกค่าที่พักและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ขอแค่มาร่วมงานก็พอ หลังจากวางสาย ฮารุก็รู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ส่วนใหญ่เจ้าภาพมักจะดูแลค่าใช้จ่ายให้เฉพาะญาติสนิทหรือเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แต่กับเธอนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างเหิน “ทำไมโนริจะต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ด้วย ?” แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ

       กระทั่งถึงวันงาน ฮารุออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังสถานที่จัดงาน เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเป็นอาคารที่เอาไว้ใช้สำหรับจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ แต่พอเดินเข้าไปก็หาห้องที่จัดงานแต่งของโนริไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายงานแต่งของโนริติดไว้ ฮารุเดินต่อไปจนเห็นฮอล์นึงที่ประตูเปิดแง้มไว้ ฮารุชะเง้อมองเข้าไปก็เห็นภายในงานที่เก้าอี้วางเรียงราย มีคนนั่งอยู่แค่ 2 – 3 คน จากนั้นโนริก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ทั้งสองทักทายกันพอเป็นพิธีโนริก็พาฮารุเดินเข้าไปในงาน ในจังหวะนั้นฮารุก็คิดในใจว่า ปกติเจ้าสาวจะต้องเก็บตัว แต่นี่มารับแขกเองถึงหน้างาน แล้วคนในงานก็ยังนิ่ง ไม่ได้หันมามองเลยว่าเจ้าสาวมาต้อนรับใคร ทุกคนในนั้นนั่งหันมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา ฮารุจึงบอกโนริไปว่า “เธอไปเตรียมตัวเข้าพิธีดีกว่า เราดูแลตัวเองได้” โนริก็ตอบกลับมาว่า “โอเค ๆ งั้นเราไปเตรียมตัวก่อนนะ อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเลยนะ” หลังจากโนริเดินจากไป ฮารุก็เลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อความสบายใจของตัวเอง

       เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูฮอล์นั้นก็ปิดลง พิธีกรขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำพิธี (พร้อมทั้งเป็นบาทหลวงไปในตัว) จากนั้นก็เชิญเจ้าสาว ประตูเปิดออกมา โนริที่เป็นเจ้าสาวก็เดินออกมาคนเดียว ตอนนั้นเองฮารุก็สงสัยว่าทำไมไม่มีคนในครอบครัวเดินมาส่งตัวเจ้าสาวเลย แต่ก็เพราะไม่ได้ติดต่อกันนาน ครอบครัวของโนริอาจจะไม่สะดวกมาร่วมพิธีก็เป็นได้ ฮารุคิดไว้เพียงเท่านั้น หลังจากโนริเดินขึ้นไปบนเวที พิธีกรก็กล่าวเชิญเจ้าบ่าว ประตูเปิดอีกครั้ง ฮารุได้ยินเสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าด พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่แล้วมีพนักงานเข็น แต่ด้วยความที่เห็นจากที่ไกล ๆ จึงคิดแค่ว่าเจ้าบ่าวอาจจะพิการหรือป่วยอยู่จึงเดินไม่ได้ จนกระทั่งรถเข็นเลื่อนไปถึงข้างหน้า เจ้าสาวก็เดินลงมาจับมือเจ้าบ่าวให้ยืนขึ้น แล้วเจ้าบ่าวก็ยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง! จากนั้นเจ้าสาวก็จับขาให้ยืดตรง จับหลังให้ยืดตรง จนเจ้าบ่าวอยู่ในท่าตรง วินาทีนั้นทำให้ฮารุได้เห็นว่าเจ้าบ่าวคือหุ่น!

       พิธีกรมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาคงจะรู้อยู่แล้ว จึงทำหน้าที่ต่อให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงตอนสุดท้าย เจ้าสาวก็จูบหุ่นที่เป็นเจ้าบ่าว ซึ่งปกติแล้วคนในงานจะต้องพากับปรบมือร่วมยินดี แต่กลายเป็นว่าทั้งฮอล์นี้ มีเพียงฮารุที่ปรบมืออยู่คนเดียว! ฮารุคิดในใจว่า “อย่าบอกนะ ว่าเราเป็นคนคนเดียวที่เป็นแขกในงานนี้” คิดได้ดังนั้นก็เตรียมลุกออกจากงาน พอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังออกมา เป็นโนริที่วิ่งออกมา เธอบอกว่า “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ ถ้าเป็นไปได้อยู่ปาร์ตี้ต่อคืนนี้ที่โรงแรมด้วยกันนะ” สีหน้าของโนริดูอ้อนวอนสุดขีด แต่ฮารุก็จำต้องปฏิเสธและให้เหตุผลว่าเกรงใจ แต่โนริก็ไม่ยอมแพ้ เธอบอกว่า “นะ ๆ อยู่ต่อเถอะนะ มีเธอเป็นแขกเพียงคนเดียวเลยนะ” นั่นทำให้ฮารุคิดได้ว่าแขกที่นั่งอยู่ในฮอล์ไม่กี่คนนั้น ไม่ใช่คน! หรือมันจะเป็นหุ่น! ฮารุจึงถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอโอเคใช่มั้ย?” โนริตอบกลับว่าเธอโอเค และขอร้องให้ฮารุอยู่ร่วมงานปาร์ตี้คืนนี้อีกครั้ง ฮารุจึงตอบตกลง

       ฮารุเปลี่ยนชุดมาร่วมงานปาร์ตี้ที่จะเริ่มประมาณ 2 ทุ่ม สถานที่จัดงานคือโรงแรมริมทะเล ในงานมีเก้าอี้เรียงรายจัดเตรียมไว้แต่ไม่มีใครมาร่วมงาน ฮารุไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เพราะไม่มีพนักงานมาต้อนรับ เธอจึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนึง แต่ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าสาวก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทักทายฮารุแต่อย่างใด เธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางทะเลด้านหน้าสุด ฮารุเห็นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เพราะบนโต๊ะไม่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เลย มองซ้ายขวาหาพนักงานก็ยังไม่เจอใคร ฮารุจึงคิดว่าถือซะว่ามาร่วมงานแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเตรียมจะเดินกลับห้อง ทันใดนั้นเอง เสียงเพลงประจำงานแต่งก็ดังขึ้น จากนั้น เจ้าสาวอย่างโนริก็ลุกขึ้นส่งยิ้มแล้วหันมาโบกมือให้รอบ ๆ ราวกับว่ามีแขกมาร่วมงานอย่างไรอย่างนั้น! ฮารุสังเกตเห็นว่าโนริยิ้มไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย และโนริยังพูดขึ้นมาอีกว่า “ไปก่อนนะทุกคน เรากำลังจะไปมีความสุขแล้ว” สิ้นเสียงโนริ เธอก็ค่อย ๆ เดินลงไปในทะเล! ฮารุตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวไม่ถูก พอมองไปรอบ ๆ จากตอนแรกที่ไม่มีใครก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตามโต๊ะทั่วงาน! เงาดำเหล่านั้นทำท่าปรบมือแสดงความยินดีกับโนริอีกด้วย! พอฮารุหันไปมองโนริอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีเงาคนมาดึงโนริลงไปในทะเล ฮารุตกใจสุดขีดกรี๊ดลั่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองทันที!

       กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที มีคนมาเคาะประตูห้องของฮารุ “เป็นพนักงานโรงแรมนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า อยากให้เราแจ้งตำรวจมั้ย” ฮารุยอมเปิดประตูและเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง จากนั้นพนักงานก็ค่อย ๆ เล่าให้ฮารุฟังว่า “ผมก็ไม่ได้รู้จักคุณโนริเป็นการส่วนตัวอะไร แต่เห็นว่าเขาน่าสงสาร เขาบอกว่าขอให้จัดงานให้ตามปกติ ไม่ต้องมีอาหารอะไรเลย พอถึงวันงานก็เห็นว่าไม่มีแขกมาร่วมงานเลย” นอกจากนี้พอเอาชื่อของโนริไปเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูก็พบข่าวที่น่าตกใจว่า โนริเป็นคนเดียวที่ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากการที่โนริและครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน มี (ว่าที่) สามีเป็นคนขับรถ นั่นอาจทำให้โนริรู้สึกเสียใจที่ดันเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เธออาจจะอยากไปอยู่กับครอบครัวและว่าที่สามีในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนโรงแรมก็พยายามตามหาโนริที่หายตัวไปในทะเลอยู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ

       หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฮารุไม่เข้าไปช่วยหรือห้ามโนริ ดีเจเจ็มก็เสริมว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่อยู่ตรงนั้น แล้วเห็นเงาคนที่อยู่รอบ ๆ อาจจะคิดได้ว่าหรือตัวเจ้าสาวก็อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้ หรือถ้าเป็นคนจริง ๆ เราที่เจอเรื่องราวแบบนั้นก็คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดก็เป็นได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

25 ก.ย. 2023

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ที่จะมาพบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมกับเรื่องเล่าของสองพี่น้องที่ต้องเดินกลับบ้านหลายสิบกิโลเมตรในตอนตี 2 จะเกิดเรื่องอะไรหลอน ๆ ในคืนนี้ จะเป็นยังไงไปอ่านกันเลย! พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจาก ‘พี่หม่อม’นักเล่าเรื่องผีที่รู้จักกัน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เกิดขึ้นที่ภาคอีสาน เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลกับตัวเมือง ชื่อ ‘หนุ่ม’ และ ‘เปีย’ ในช่วงเวลานั้นมีการจัดงานวัด แต่ว่างานวัดแห่งนี้จัดขึ้นในตัวอำเภอเมือง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ในสมัยนั้นการจะโดยสารเข้าไปในตัวอำเภอค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านจึงต้องรวมจำนวนคนให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้ไปด้วยกันทีเดียว งานวัดงานนี้เป็นงานประจำปีของจังหวัด สองพี่น้องก็มีรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวกันมาก จึงคุยปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านว่าจะเดินทางไปอย่างไรกันดี เพราะตอนกลางคืนจะไม่มีรถประจำทางมาให้บริการ ผู้ใหญ่บ้านเห็นความตั้งใจของลูกบ้าน และอยากให้ไปเที่ยวกันจึงติดต่อรถให้ ซึ่งเป็นรถขนส่งสินค้าที่เข้ามารับวัตถุดิบจากหมู่บ้านไปขายในตัวจังหวัด ทางเจ้าของรถขนส่งก็รับปากว่าจะมารับ แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วต้องกลับเลย ห้ามโอ้เอ้ เพราะเขาจะต้องตื่นมารับสินค้าแต่เช้าตรู่เพื่อไปขายในเมืองวันพรุ่งนี้ และทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันตามนั้น พอถึงวันงาน ชาวบ้านทั้งหมดก็มารวมตัวกันเพื่อโดยสารรถขนส่งคันนี้ไป ซึ่งมี 2 พี่น้องหนุ่มกับเปียไปด้วย พอไปถึงงาน เจ้าของรถก็บอกว่า “เที่ยงคืนนะ นี่คือเวลานัดหมายของเรา เที่ยงคืนต้องกลับ ไม่ว่าจะอะไร ห้ามโอเอ้ ถ้ามาไม่ทันก็จะไม่รอ” ทุกคนก็แยกย้ายกันไปสนุกสนาน จนใกล้เวลาเที่ยงคืน เปียคนเป็นน้องก็บอกหนุ่มคนพี่ว่า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวรถไม่รอเรานะ” คนพี่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรช่างมัน จะเป็นอะไรวะนาน ๆ มาเที่ยวกันที กลับกันเองก็ได้ เดี๋ยวหาโบกรถชาวบ้านกลับไปที่อำเภอเราก็ได้” พอถึงเวลาเที่ยงคืน รถขนส่งคันนั้นก็กลับไป สองพี่น้องก็ยังเที่ยวกันไปเรื่อย ๆ จนร้านค้า, ลิเก, หมอลำ และดนตรี เริ่มทยอยกันปิด บรรยากาศเริ่มกร่อย จนคนเป็นน้องบอกกับพี่ว่า “หรือเราจะนอนกันที่วัดก็ได้นะแล้วตอนเช้าค่อยกลับ” แต่คนพี่ก็ปฏิเสธเพราะตนกลัวผี จึงตัดสินใจกันเดินกลับในเวลาตี 2 สองพี่น้องพากันเดินกลับ และคิดว่าจะโบกรถระหว่างทาง ในระหว่างทางเดินที่ออกจากวัดก็มีเสียงหมาหอนตลอดทาง สองพี่น้องโบกรถกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีคันไหนไปทางเดียวกันเลย สุดท้ายโชคก็เข้าข้าง ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งขับผ่านมา เป็นลุงขับรถกระบะขนของที่ไปหมู่บ้านใกล้เคียงหมู่บ้านของสองพี่น้อง ทั้งคู่จึงขอติดรถไปด้วย จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทั้งสองก็พูดคุยกันไปว่าโชคดีที่มีรถกลับ ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าบนรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วย แต่เพราะความมืดทำให้มองไม่ชัด กระทั่งรถขับไปถึงไฟแดง แสงไฟก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่ารถกระบะที่พวกเขาขึ้นมานั้นบรรทุกโรงศพมา! ทั้งคู่ผงะถอยหลัง และคิดว่าจะลงจากรถ แต่ก็ไม่ทันเพราะว่ารถออกตัวก่อน ทั้งคู่รู้สึกเริ่มกลัว และเนื่องจากเส้นทางในต่างจังหวัดไม่ได้ราบเรียบ ทำให้จู่ ๆ ฝาโรงศพก็เปิดเอง! แล้วฝาโรงศพที่เปิดอยู่ก็เลื่อนปิดเอง! ด้วยความกลัว เปียคนน้องก็ย้ายตัวเองไปนั่งข้างพี่หนุ่มและคิดว่าจะเอาอย่างไรกันดี ระหว่างนั้นฝาโรงก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง! ทั้งคู่เห็นดังนั้นก็พยายามเอื้อมมือเคาะกระจกให้ลุงจอดรถ แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือ มีหน้าคนโผล่ออกมาจากโรงศพ ใบหน้านั้นมองมาที่สองพี่น้องและพูดว่า “มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” สิ้นเสียงนั้น สองพี่น้องก็ร่วงลงตกจากรถทันที! ลุงคนขับตกใจ จึงจอดรถและลงมาดู ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องตกจากรถ คนพี่อย่างหนุ่มร้องโอดโอย แต่คนน้องอย่างเปียสลบไปแล้ว ลุงคนขับโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการสอบสวน ลุงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า ลุงขับรถมากันสองคนกับเด็กขนของ แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็โบกรถขอติดกลับไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววของเด็กขนของ ตำรวจจึงถามว่าเด็กขนของอยู่ไหน ลุงก็ชี้ไปที่ท้ายรถ ตำรวจจึงเรียกมาคุย เด็กขนของบอกว่า “ผมนั่งหลังรถมา ผมหนาว เลยเข้าไปนอนในโรง ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็ไม่รู้ว่าใครมาคุยกันบนรถ ผมเลยเปิดโรงมาดู แล้วถามว่า มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง” สรุปแล้วตำรวจจึงต้องดำเนินคดีกับเด็กขนของเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิต และระหว่างที่จะพาตัวคุณลุงและเด็กขนของไปสถานีตำรวจ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า คนพี่ที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาลเสียชีวิตแล้ว เรียกได้ว่าเสียชีวิตทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ทั้งตัวลุงคนขับและเด็กขนของต้องติดคุก แต่ก็ติดคุกได้ไม่นาน เพราะทางเจ้าของร้านโรงศพช่วยอธิบายว่าการกระทำของทั้งคู่นั้นไม่ได้เจตนา หลังออกจากคุกและมาทำงานต่อเหมือนเดิม เจ้าของร้านก็สั่งไม่ให้เด็กขนของคนนี้นอนในโรงอีก แต่ว่าผ่านไปได้ไม่นาน เด็กขนของคนนี้ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกรถตายเหมือนกัน! คนจึงโจษขานกันเป็นสองเสียงว่า เป็นเพราะเมาจึงตกรถ แต่อีกเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะอาธรรพ์ที่ไปหลอกสองพี่น้องจนทำให้เขาตาย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณของขวัญ 'เจ้าของที่' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

01 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณของขวัญ 'เจ้าของที่' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณของขวัญ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เจ้าที่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! โดยคุณของขวัญเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนม.ปลาย อายุ 17-18 ปี เนื่องจากพ่อ-แม่อย่าร้างกัน บ้านอยู่นอกตัวเมือง จึงย้ายมาอยู่กับคุณพ่อในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ตัวบ้านเป็นบ้านมือสองที่ซื้อมารีโนเวทใหม่ ชั้นแรกจะเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ส่วนชั้นที่สองจะเป็นไม้ ห้องนอนของตนอยู่ชั้นที่สองห้องติดกับถนน เมื่องมองออกไปก็จะเห็นกิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นเงาอยู่ตลอด ส่วนคุณพ่อนั้นแต่งงานใหม่ ครอบครัวใหม่จึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ตนจึงเหมือนเป็นผู้อยู่อาศัย และไม่ค่อยได้คลุกคลีกับครอบครัว พอกลับมาจากโรงเรียน กินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นมาอยู่ห้องนอน บางครั้งพ่อก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอด ต้องออกไปธุระ คุณของขวัญก็จะอยู่บ้านคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะบางครั้งก็ได้ยินเดิน เสียงแปลก ๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าใช่เสียงไม้ลั่น มันมีความรู้สึกแบบนี้บ่อยครั้ง จนกระทั่งคืนหนึ่ง.. คืนนั้น ตนจำได้ว่าน่าจะนอนไปแล้ว ไม่ได้ดูเวลาว่าดึกขนาดไหน จากเตียงนอนขวามือเป็นหน้าต่างที่จะเห็นกิ่งไม้และต้นไม้ ตอนที่นอนหันหลังให้หน้าต่างอยู่นั้นก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีคนมอง ในใจก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมองมาจากหน้าต่างได้ เพราะอยู่ชั้นสอง คุณของขวัญก็พยายามไม่มอง เพราะกลัวว่าจะเจออะไร แต่สุดท้ายก็ต้องหันไปมองว่าคืออะไร ปรากฎว่าเป็นเงาผู้ชาย ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เขามองตนอยู่! ตอนนั้นคิดในใจว่า คงเป็นกิ่งไม้ ต้นไม้ แต่อีกใจก็ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมไม่เห็นมีเงากิ่งไม้อะไรเลย มีแต่เงาคน’ คุณของขวัญรู้สึกตกใจและพยายามข่มตา ไม่แน่ใจว่าหลับหรือตื่น คล้ายฝันซ้อนฝัน พอพลิกตะแคงตัวไปข้างไหนก็จะเจอเขาตรงนั้นแบบนั้นเรื่อย ๆ จนเผลอหลับไป เรื่องนี้คุณของขวัญไม่ได้ปรึกษาคุณพ่อ เพราะไม่แน่ใจว่ากึ่งหลับกึ่งตื่นหรือเห็นจริง ๆ จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ จนมีอยู่คืนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุดคือ กลางดึกคืนนั้น คุณของขวัญจำได้ว่า ที่นอนเป็นฟูก สูงจากพื้น 5-10 เซนติเมตร ท่านอนคือแขนซ้ายยื่นออกไปนอกที่นอนที่เป็นพื้นไม้ หันหลังให้หน้าต่าง ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก คิดว่าคงเป็นคุณพ่อ ไม่ก็น้องสาวต่างแม่มาเคาะประตู เพราะล็อคประตูเอาไว้ คุณของขวัญจึงถามออกไปว่า ”มีอะไร ดึกดื่นแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า“ แล้วเขาก็เปิดประตูเข้ามา คุณของขวัญก็ตกใจเพราะตนมั่นใจว่าล็อคประตูแต่เปิดเข้ามาได้อย่างไร ตนก็ค่อย ๆ มองจากเท้าไล่ขึ้นมาขา ตัว และหัว ถึงแม้จะมืด แต่ก็มีไฟกิ่งจากด้านนอกเข้ามา เห็นได้ว่า ผอมติดกระดูก ผิวแทน ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาที่ปลายมือที่ยื่นออกไปนอกที่นอน ไม่แน่ใจว่าใส่กางเกงหรือไม่ แต่ใส่เสื้อขาวตัวโคร่งใหญ่ เขาค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงมา จังหวะนั้น เห็นเป็นหัวกะโหลกแบบหนังหุ้มกะโหลก หลังจากนั้นเขาก็จับมือของคุณของขวัญขึ้นมา แล้วก็เอาเข้าปากของเขา! คุณของขวัญตกใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ด้วยความตกใจจึงสะบัดตัว เหมือนจะหลุดจากภวังค์ มือก็หล่นลงพื้น แล้วก็รีบวิ่งออกไป แต่จังหวะนั้น ประตูเปิดอยู่จริง ๆ พอลงมาชั้นที่หนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปกอดพ่อที่นอนอยู่กลางบ้าน แล้วก็นอนกับพ่อคืนนั้น พอเช้ามาก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า บ้านหลังนี้ซื้อต่อมาจากญาติ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่มีญาติที่เสียชีวิตในบ้านนี้ ไม่ได้เกิดจากการฆ่าตัวตาย เสียจากโรคมะเร็ง เขาแค่เป็นคนรักบ้าน หลังจากคืนนั้น คุณของขวัญจะไหว้เจ้าที่ ศาลพระภูมิ ไหว้เหมือนผู้ใหญ่ในบ้านคนหนึ่ง เวลาจะไปไหน หรือเวลากลับมาบ้าน ก็จะไหว้แล้วบอกว่า ”หนูไปโรงเรียนแล้วนะคะ / หนูกลับมาจากโรงเรียนแล้วนะคะ” หลังจากที่ไหว้ แนะนำตัวกับศาลพระภูมิ เจ้าที่ ก็ไม่เจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พยาบาลสาวใจสู้เร่งปั๊มหัวใจคนไข้! ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนไข้คนนั้น ยืนให้กำลังใจอยู่มุมห้อง! ตกใจสติเกือบหลุด หัวหน้าพยาบาลต้องเรียกสติให้ปั๊มหัวใจต่อ สุดท้ายก็ช่วยคนไข้ไว้ไม่ได้..

03 ส.ค. 2023

พยาบาลสาวใจสู้เร่งปั๊มหัวใจคนไข้! ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนไข้คนนั้น ยืนให้กำลังใจอยู่มุมห้อง! ตกใจสติเกือบหลุด หัวหน้าพยาบาลต้องเรียกสติให้ปั๊มหัวใจต่อ สุดท้ายก็ช่วยคนไข้ไว้ไม่ได้..

เรื่องหลอนสุดสยองในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมา เป็นเรื่องผีที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ถูกบอกเล่าโดยคุณพยาบาลเนฟ ที่ฟังแล้วต้องเสียวสันหลัง! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณเนฟเรียนจบพยาบาลและได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตอนนั้นคุณเนฟทำงานในห้องสวนหัวใจ ซึ่งเป็นห้องที่ใช้ทำหัตถการใส่ขดลวดในเส้นเลือดหัวใจ กรณีมีภาวะเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โดยเป็นเวรช่วง 8 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็น และมีบ้างบางครั้งที่ต้องนอนหอใกล้โรงพยาบาล เพื่ออยู่เวรรอเรียก หากมีเคสฉุกเฉินกลางดึก เพื่อให้นึกภาพตามได้สะดวก คุณเนฟจึงอธิบายลักษณะสถานที่ทำงานให้ดีเจทั้ง 2 ฟัง ห้องสวนหัวใจที่ทำงานนั้นมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเชิงลึก ตรงประตูทางเข้าด้านหน้าจะถูกล็อคเอาไว้ตลอดเวลา โดยจะเปิดได้จากทางด้านในอย่างเดียว พอเข้าไปก็จะเจอกับเคานเตอร์พยาบาลก่อน แล้วจึงเป็นกำแพงใหญ่กั้นอยู่ มีประตูใหญ่กันกัมมันตภาพรังสี เพราะต้องมีการทำหัตถการที่ต้องยิงรังสีเอ็กซ์เรย์ ภายในห้องจะมีเตียงทำหัตถการคนไข้กับเครื่องยิงรังสีเอ็กซ์เรย์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ด้านซ้ายมีจอมอนิเตอร์ที่นักเทคนิคการแพทย์ใช้ดูและสื่อสารกับหมอ รอบห้องก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยชีวิตต่าง ๆ เช่น เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น ลักษณะการเปิดไฟในห้องนี้คล้ายกับการเปิดไฟในห้องผ่าตัด คือเน้นสว่างตรงกลางเตียง แล้วค่อยไล่ระดับไฟให้มืดลงไปจนถึงขอบห้อง ตรงมุมห้องก็ยังพอมองเห็นได้แต่จะมืดกว่าตรงกลางห้อง ในคืนหนึ่ง คุณเนฟอยู่เวรรอเรียก เวลาตีสองครึ่งโดยประมาณก็มีสายจากโรงพยาบาลโทรแจ้งว่ามีเคสฉุกเฉินคนไข้หัวใจหยุดเต้นมาตั้งแต่ที่บ้าน ตอนนี้ทำ CPR อยู่อย่างต่อเนื่องและกำลังเดินทางมาโรงพยาบาล เมื่อได้ยินดังนั้น คุณเนฟก็รีบมาที่โรงพยาบาล พอมาถึงก็วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเตรียมอุปกรณ์ ยืนประจำตำแหน่งของตัวเองพร้อมกับทีมบุคคลากรทางการแพทย์คนอื่น ไม่นาน คนไข้ก็มาถึงห้องสวนหัวใจพร้อมมีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจยังติดอยู่ที่ตัว พยาบาลห้องฉุกเฉินรีบส่งเวรให้กับทีมคุณเนฟ ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการ CPR จนชีพจรกลับมาแล้ว แต่ยังมีช่วงคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่อันตรายอยู่ คือหัวใจยังคงเต้นถี่มาก รวมถึงลักษณะของคลื่นยังบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดรุนแรง ทีมของคุณเนฟจึงย้ายคนไข้ขึ้นบนเตียงเพื่อเตรียมทำหัตถการ จังหวะนั้นทุกวินาทีคือชีวิตคน ทีมคุณเนฟไม่มีเวลาแม้กระทั่งเปลี่ยนชุดให้คนไข้ คุณเนฟเห็นว่าคนไข้เป็นคุณป้าอายุประมาณ 66 ปี ใส่เสื้อกล้ามคอกระเช้าและผ้าถุงลายดอก พอย้ายคนไข้ขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว หมอและพยาบาลจึงเริ่มทำหัตถการ แต่หลังจากการทำไปได้เพียง 10 นาที หัวใจคนไข้ก็หยุดเต้นอีกครั้ง “วีที!” พยาบาลหัวหน้าเวรตะโกนบอกทีม หมายความว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นแบบที่ต้องทำการปั๊มหัวใจ ณ ขณะนั้นคุณเนฟผู้ที่นอกจากจะทำหน้าที่ให้ยาคนไข้แล้ว เธอยังต้องทำหน้าที่ปั๊มหัวใจด้วย คุณเนฟวิ่งขึ้นบันไดอันเล็กด้านข้างเตียงคนไข้แล้วทำ CPR ตอนนั้นคุณเนฟจะสลับการปั๊มกับพี่เทคนิคการแพทย์อีกคนหนึ่ง เมื่อถึงตาคุณเนฟต้องขึ้นมาทำการปั๊มหัวใจอีกรอบนึง ขณะที่ปั๊มอยู่คุณเนฟก็สังเกตเห็นอาจารย์หมอในทีมเหลือกตามองไปทางซ้าย ผิดจากปกติที่อาจารย์เป็นคนที่มีสมาธิตลอดเวลา ด้วยความสงสัยเธอจึงหันหัวไปดูตาม! คุณป้าคนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงมุมห้อง! มีทั้งเสื้อกล้ามคอกระเช้าและผ้าถุงไม่ผิดแน่ คุณป้ายืนมองมาที่ทีมคุณเนฟ และทันใดนั้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที คุณเนฟก็รีบหันกลับมาที่ร่างของคนไข้แล้วเร่งมือทำการปั๊มหัวใจต่อ แต่ด้วยความตกใจกลัวกับสิ่งที่เห็น คุณเนฟจึงหันกลับไปกลับมาอย่างนี้อีก 3 รอบ จากนั้นก็เริ่มตัวชา แขนอ่อนแรง และขาสั่นไปหมด พยาบาลหัวหน้าเวรเมื่อเห็นว่าคุณเนฟเริ่มไม่ไหว จึงพยายามตะโกนดึงสติคุณเนฟ แล้วคุณเนฟก็กลับมาได้สติตามเดิม เธอลงมาจากเตียงเพื่อสลับกับพี่เทคนิคการแพทย์ แล้วรีบวิ่งไปเกาะแขนด้านหลังของพยาบาลหัวหน้าเวร ซึ่งในตอนนั้นเขาก็ตัวสั่นเหมือนกัน พยาบาลหัวหน้าเวรพยายามบอกกับคุณเนฟว่า “ตั้งสติ! ทำงานของเราให้ดีที่สุด” คุณป้ายังยืนยู่ตรงนั้นเหมือนเดิมต่อไป ขณะที่ทั้งทีมพยายามช่วยชีวิต แต่สุดท้ายทีมของคุณเนฟก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคุณป้าเอาไว้ได้ หมอได้ทำการตรวจร่างกายและถอดอุปกรณ์ช่วยหายใจออก เมื่อประเมินว่าคนไข้ได้เสียชีวิตแน่นอนแล้ว คุณป้าก็ยังยืนอยู่ตรงมุมห้องเหมือนเดิม ตอนนั้นคุณเนฟนึกถึงคำที่คนชอบพูดกันขึ้นมาได้เลยว่า “วิญญาณออกจากร่าง” หลังจากเหตุการณ์นี้จบลง คุณเนฟก็ต้องเคลื่อนย้ายร่างของผู้ตายไปไว้อีกห้องเพื่อทำการอาบน้ำเช็ดตัวก่อนเตรียมนำร่างไปไว้ในห้องเก็บร่างกาย คุณเนฟเห็นคุณป้าตลอดเวลาในขณะที่ทำการย้ายร่างไปอีกห้องหนึ่ง คุณเนฟพยายามบอกกับคุณป้าว่า “อย่าตามมานะ หนูกลัว” (เพราะคนที่ต้องอาบน้ำเช็ดตัวให้ร่างไร้วิญญาณก็คือคุณเนฟกับพี่พยาบาลอีกคนหนึ่ง) แต่แล้วหลังจากนั้น คุณเนฟก็ไม่พบกับคุณป้าอีกเลยระหว่างทำการอาบน้ำแต่งตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อยคุณเนฟก็ออกมาข้างนอก เห็นลูกชายของผู้ตายกำลังรอผลอยู่ เมื่อได้รับข่าวร้าย เขาก็ร้องไห้ออกมา ตอนนั้นคุณเนฟได้ยินพยาบาลหัวหน้าเวรบอกกับลูกชายคนไข้ว่า “เดี๋ยวพยาบาลขอเชิญเข้าไปในห้องสวนหัวใจหน่อย” โดยปกติแล้วญาติจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนี้เลย เมื่อคุณเนฟเดินผ่านห้องสวนหัวใจอีกครั้ง จึงได้แต่เงี่ยหูฟังเพราะไม่กล้ามองเข้าไป คุณเนฟได้ยินพยาบาลหัวหน้าเวรบอกกับลูกชายว่า “ให้เชิญคุณแม่กลับบ้านด้วยนะคะ” ลูกชายของคนไข้ก็เริ่มสงสัยขึ้นมา แต่พยาบาลหัวหน้าเวรก็พยายามบอกเลี่ยงไปว่ามันเป็นธรรมเนียมของที่นี่ ลูกชายจึงตกลงทำตาม เป็นความโชคดีของคุณเนฟที่ในหอเธอนอนกับพี่พยาบาลอีกคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคุณเนฟคงดิ่งรถกลับบ้านตอนออกเวรคืนนั้นไปแล้ว และค่อยขอลาในวันต่อมา คืนนั้นคุณเนฟนอนหลับต่อได้ตามปกติ เมื่อต้องมาอยู่เวรในลักษณะเดิมอีก คุณเนฟก็ไม่เจอกับอะไรแล้ว หลังจากนั้นคุณเนฟก็ถามพี่เทคนิคการแพทย์ที่ทำงานคู่กันว่าเขาเห็นอะไรรึเปล่า เขาตอบว่าเขาก็เห็นเหมือนกัน ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เมื่อฟังเรื่องราวจนจบ ก็ทั้งกลัวทั้งชื่นชมทีมและคุณเนฟที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ แม้จะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ชวนหลอนก็ตาม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

27 ต.ค. 2023

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 ตุลาคม 2566) ต้อนรับฮาโลวีนที่กำลังจะถึงกับเรื่องชวนขนหัวลุกจากสาย ‘คุณแฟร้งค์’ ที่ทำเอา ‘ดีเจเจ็ม’ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ต้องอึ้ง! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ยายคง’ ถ้าพร้อมแล้วก็ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปประมาณ 5 ปีที่แล้ว ความหลอนได้เกิดขึ้นที่จังหวัดอุทัยธานี โดยคุณแฟร้งค์เป็นคนชื่นชอบการตกปลาและได้ทำการวางแผนนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ผลัดเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ แต่มีอยู่ที่หนึ่ง ที่คนมักจะเล่าต่อกันมาว่าเป็นห้วยตกปลาที่เหี้ยนที่สุด และคุณแฟร้งค์ก็ดันนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาที่ห้วยแถวนั้นด้วยกัน เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่นัดกันไว้ คุณแฟร้งค์กับเพื่อนกำลังเตรียมอุปกรณ์ไปตกปลาและได้เดินทางไปถึงที่หมายประมาณสามทุ่ม ทุกคนเริ่มเขวี้ยงเบ็ดตกปลาทิ้งไว้จนถึงสี่ทุ่ม แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีท่าทีที่จะมีปลาสักตัวมาติดเบ็ด เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงเปิดไฟฉาย เดินส่องตามทางข้าง ๆ ห้วยนั้น เมื่อเดินไปเรื่อย ๆก็ได้ไปเจอกับที่ดักปลา มีปลาติดอยู่ประมาณ 2-3 ตัว เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและยกขึ้นมา ก็เห็นว่ามีปลาติดอยู่ คุณแฟร้งค์รีบพูดห้าม “เห้ย!! นั้นมันของเค้านะ เอาไปไม่ได้นะ” แต่เพื่อนคุณแฟร้งกลับไม่ได้มีท่าทางกลัว และตอบกลับมาเพียงว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่ตัวสองตัวเองเอาไปเผากินกัน” จากนั้นเพื่อนของคุณแฟร้งค์ก็เอาปลามาเผานั่งกินกันตามประสาวัยรุ่น ในระหว่างที่นั่งกินด้วยกันเพื่อนของคุณแฟร้งค์อีกคนก็ลืมเตรียมน้ำมาด้วย ทำให้สถานการณ์ตอนนั้นเริ่มไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนตัดสินใจนั่งกินกันต่อค่อยไปหาน้ำทีหลัง ไม่นาน จู่ ๆ ก็มีคุณยายคนหนึ่งเดินตรงออกมาจากในป่า และเดินไปยกกับดักปลาพร้อมกับบ่นพึมพำว่าทำไมปลาไม่ติดเลย หรือว่าปลาหายไปไหน คุณแฟร้งค์จึงตะโกนพูดคุยกับคุณยายว่า “ยายได้ไปแล้ว” แต่ในความจริงแล้ว ปลาที่หายไปคือปลาที่พวกเขากำลังเผานั่งกินกันอยู่ คุณยายส่ายหัวส่งท่าทางกลับมาว่ายังไม่ได้ คุณแฟร้งค์ถามคุณยายอีกว่า “ยาย บ้านยายอยู่ไหน” คุณยายก็ชี้นิ้วไปทางหลังป่า โดยไม่พูดไม่จาอะไร คุณแฟร้งค์จึงเอ่ยปากขอน้ำดื่มจากคุณยาย และถามซ้ำไปว่า “บ้านยายอยู่ไกลไหม ผมลืมเอาน้ำมา ขอน้ำดื่มจากยายหน่อยได้ไหม” คุณยายจึงตอบกลับมาว่า “ได้ เอ็งเดินตามทางไปนะ เดี๋ยวยายเดินตามไป เอ็งเดินตามทางไปเลยมันจะมาทางไปบ้านยายอยู่” คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่รอช้า เดินตามหลังคุณยายเข้าไปในป่า ส่วนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันนั่งรออยู่ที่ห้วยตกปลา คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินเข้าไปตามทางสักพักก็ได้เห็นปลายทางเป็นบ้านไม้ หลังคาแฝก มีใต้ถุนต่ำ สามารถเหยียบจากพื้นขึ้นบ้านได้เลย และมีโอ่งตั้งอยู่ จากนั้นบริเวณรอบเป็นป่าทั้งหมด คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่ได้คิดอะไร มองหาขวดน้ำเพื่อจะกรอกน้ำในโอ่งไปให้เพื่อนที่นั่งรออยู่ เมื่อคุณแฟร้งค์กรอกน้ำใส่ขวดจนเต็ม จึงตะโกนขอบคุณยายแล้วหันหลังจะเดินกลับไปยังห้วยตกปลา จังหวะที่กำลังจะเดินออกก็ได้ยินเสียงครก เหมือนยายกำลังตำหมากหรือตำอะไรสักอย่าง จากนั้นสายตาคุณแฟร้งค์ก็มองไปยังประตูบ้านของยาย เห็นว่าประตูบานนั้นค่อย ๆ เปิดออกเองและมีเสียงดังขึ้น ‘แกร๊กกกกก’ แล้วยายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อย ๆ ยิ้มเห็นฟันดำมาทางคุณแฟร้งค์และเพื่อนอย่างช้า ๆ จังหวะนั้นยายก็หักคอตัวเอง! ต่อหน้าต่อตาคุณแฟร้งค์และเพื่อน จากนั้นก็ก้มเก็บหัวขึ้นมายิ้มให้อีกครั้ง ในตอนนั้นทั้งคู่สติแตก พร้อมกับตะโกนว่า “ผีหลอก ผีหลอก!!!” แล้วก็รีบวิ่งหนีทะลุป่าออกไป เมื่อวิ่งไปถึงยังห้วยตกปลา ปรากฏว่าเพื่อนที่นั่งรออยู่ก็หายไป คุณแฟร้งค์และเพื่อนไม่สามารถติดต่อได้ พยายามโทรหาแต่ก็ไม่รับสาย ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็รีบเก็บของและระแวงอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าคุณยายจะตามมา จู่ ๆ เพื่อนที่หายไปก็โทรกลับมา คุณแฟร้งค์ได้ถามหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พร้อมกับเล่าว่าทั้งคู่โดนผีหลอกมา เพื่อนที่หายไปรีบตอบกลับมาว่าโดนผีหลอกเหมือนกัน! ตอนนี้อยู่ที่บ้านใครก็ไม่รู้วิ่งหนีมาด้วยความตกใจกลัว ตัวคุณแฟร้งค์เองก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ ทำได้เพียงรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด และรีบตามไปหาเพื่อน เมื่อตามไปเจอเพื่อนคุณแฟร้งค์รีบเล่าทันทีว่าตนไปเจอดีอะไรมา จากนั้นเพื่อนที่หายตัวไปก็รีบเล่าให้ฟังว่า จังหวะที่คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินตามเข้าไปในป่า จู่ ๆ ยายก็หันแค่คอมาแล้วส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูกจึงรีบวิ่งหนีออกไปก่อนโดยไม่ได้ตะโกนบอกคุณแฟร้งค์และเพื่อนก่อน คุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจถามคุณลุงเจ้าของบ้านที่เพื่อนวิ่งหนีมาหลบ คุณลุงเล่าว่ายายที่ทั้งสามคนเจอชื่อว่า ‘ยายดง’ แกชอบมาดักปลาอยู่ตรงริมห้วยนี้ แล้ววันดีคืนดีแกก็มาดักปลาตามปกติ จู่ ๆ ก็เกิดฝนฟ้าตกลมแรงจนพัดต้นไม้หักมาทับคอยายแกตายบริเวณตรงนั้น และคาดว่าปลาที่ทั้งสามคนนำมาเผากินกัน น่าจะเป็นปลาที่ยายแกดักไว้ก่อนตาย คุณลุงก็พาเดินย้อนกลับไปดูว่ายังมีรอยคราบเลือดติดอยู่เลย เพราะเหตุเพิ่งเกิดได้เพียง 7 วันเท่านั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1