ย้ายมาหอใหม่ ไม่เสียค่าห้อง จ่ายค่ามัดจำก็อยู่ได้เลย แต่ต้องแลกกับการถูกผีหลอก! อยู่ได้ 3 คืน จึงย้ายออก แถมเงินมัดจำก็ขอคืนไม่ได้ เล่าเรื่องผีให้เจ้าของหอทราบ ก็ตอบมาเพียง “ครับ” มารู้ทีหลังว่าหอนี้เคยมีคนตาย! แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้!

อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายมาหอใหม่ ไม่เสียค่าห้อง จ่ายค่ามัดจำก็อยู่ได้เลย แต่ต้องแลกกับการถูกผีหลอก! อยู่ได้ 3 คืน จึงย้ายออก แถมเงินมัดจำก็ขอคืนไม่ได้ เล่าเรื่องผีให้เจ้าของหอทราบ ก็ตอบมาเพียง “ครับ” มารู้ทีหลังว่าหอนี้เคยมีคนตาย! แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้!

23 พ.ค. 2023

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) มีเรื่องเล่าเรื่องหลอนของ ‘คุณหยิว’ ที่โทรเข้ามาพูดคุยกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังว่าสัมผัสได้ถึงวิญญาณที่สิงอยู่ในห้องที่พึ่งย้ายเข้ามา โดยมีเรื่องราวดังนี้

       คุณหยิวเล่าว่าเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ตนเองได้หาหอพักใหม่ และได้ไปเจอกับหอที่ว่านี้ ซึ่งค่อนข้างใกล้ที่ทำงานและสงบสวยงาม แม่บ้านก็พูดจาไพเราะ ถูกใจคุณหยิวมาก ๆ นอกจากนี้ แม่บ้านยังบอกอีกว่าไม่ต้องเสียค่าห้อง เสียแค่ค่ามัดจำล่วงหน้า 5000 บาทก็พอ คุณหยิวก็คิดในใจว่าทำไมดีจัง ไม่เคยเจอแบบนี้เลย จึงตัดสินใจเช่าห้องที่นั่นเลย

       ห้องคุณหยิวอยู่ที่ชั้น 4 โดยฝั่งที่คุณหยิวอยู่ มีผู้เช่าอาศัยเพียงสองห้องเท่านั้น ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นเต็มทุกห้อง คุณหยิวไม่ได้เอะใจอะไร ในคืนแรกช่วงประมาณ 3 ทุ่ม ขณะที่คุณหยิวกำลังเก็บข้าวของในห้องอยู่นั้น จู่ ๆ ไฟก็ดับลง ด้วยความตกใจจึงรีบโทรหาแม่บ้านทันที แม่บ้านก็พูดประมาณว่า “ไม่เป็นไรนะ เนี่ยมันดับทั้งซอยเลย เดี๋ยวสวดมนต์ไหว้พระแล้วเข้านอนได้เลย” คุณหยิวเองก็เอะใจว่าทำไมเขาพูดแบบนี้ แต่ก็ทำตามจนคืนแรกผ่านพ้นไป..

       ต่อมาคืนที่สอง เวลาประมาณเที่ยงคืน คุณหยิวเริ่มง่วง ๆ เพลีย ๆ กำลังจะผล็อยหลับไป แต่ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเหมือนมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง! รูปร่างลักษณะเหมือนผู้ชาย ตัดผมเกรียน อายุประมาณ 30 นิด ๆ คุณหยิวสะบัดตัวออกทันที คุณหยิวเล่าว่าเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์เป็นเหมือนฝันซ้อนฝัน และกำลังโดนผีอำอยู่ เพราะเห็นเป็นผู้ชายคนเดิมนั่งหันหลังทับผ้าห่มอยู่ทางด้านขวาของเตียง คุณหยิวพยายามดึงผ้าห่มคืน และเมื่อดึงหลุด คุณหยิวตั้งใจว่าเดี๋ยวจะเดินไปเปิดไฟเพราะคิดในใจว่าอยากตื่นแล้ว ขณะที่กำลังลุกไป ได้สังเกตเห็นว่าขอบเตียงตรงใกล้กับประตูมีผ้าห่มผืนที่พึ่งดึงไปกำลังคลุมอะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนคนไว้อยู่! คุณหยิวกล้า ๆ กลัว ๆ จึงก้าวขาแบบไม่ให้เหยียบโดนสิ่งนั้น แล้วเดินไปเปิดสวิตช์ไฟซึ่งพอเปิดสวิตช์ คุณหยิวก็เห็นว่า “อ้าวมันไม่มีไฟนี่ แสดงว่าเรายังไม่ได้ตื่นจริง ๆ เลย” คุณหยิวจึงรีบสวดมนต์และนึกถึงพ่อกับแม่ทันที แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น จากนั้นก็รีบลุกไปเปิดไฟทุกดวง ขณะที่กำลังจะลุกเดินไปเปิดไฟทางห้องน้ำ ก็ต้องเดินผ่านหัวมุมเตียงที่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งทับผ้าห่มอยู่ คุณหยิวถึงกับมีอาการขนลุกตั้งแต่เท้ายันหัว จึงกลับมานอนที่เตียง ซึ่งปกติแล้วคุณหยิวจะวิดีโอคอลกับแฟนคาสายทิ้งไว้ตลอด แต่เหมือนกับที่ผ่านมาสายมันจะตัดไปเอง ในคืนนี้ก็เช่นกัน แฟนคุณหยิวจึงโทรกลับมาอีกครั้ง คุณหยิวก็เล่าทุกอย่างให้ฟังและได้ขอให้แฟนคาสายทิ้งไว้จนกว่าตนเองจะหลับไปก่อน 

       ผ่านไปจนมาถึงคืนที่สาม คุณหยิวก็ได้วิดีโอคอลกับแฟนเหมือนเดิม เมื่อใกล้จะนอนจึงได้บอกแฟนไปว่า “เดี๋ยวจะเข้านอนแล้วและรอดูก่อนว่าคืนนี้จะเป็นยังไง ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็คงจะต้องได้ย้ายออก” พอกำลังจะเคลิ้มหลับก็รู้สึกได้ว่า “มันกำลังมาอีกแล้ว” จึงตัดสินใจว่า “งั้นฉันจะไม่นอน”  ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตีสองเกือบตีสาม คุณหลิวจึงไปเปิดไฟทุกดวงในห้อง เมื่อเดินผ่านตรงหัวมุมขอบเตียงตรงนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความที่คุณหยิวอยากรู้ว่ามันจะสุดที่ตรงไหน เลยตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นมันซะเลย ทำให้ขนที่ลุกอยู่แล้วลุกหนักกว่าเดิม คุณหยิวจึงคิดในใจว่าตรงนี้น่าจะมีวิญญาณอยู่แน่ ๆ

       เช้าวันถัดมา คุณหยิวตัดสินใจไปแจ้งย้ายออกทันที ทำให้ป้าแม่บ้านที่เคยพูดคุยอย่างไพเราะมาตลอดก็มองคุณหยิวด้วยท่าทางที่ไม่พอใจประมาณว่าทำไมเธอถึงออก และพูดจาไม่ดีใส่ คุณหยิวจึงถามป้าแม่บ้านไปว่า “ในห้องนี้มีวิญญาณไหมคะ?” ป้าคนนั้นตอบกลับมาว่า “เค้าไม่ได้ตามเธอมาหรอ” เหมือนกับจะโทษว่าคุณหยิวเป็นคนนำผีเข้ามา คุณหยิวก็ตอบไปว่า “ไม่มีนะคะ เพราะว่าหอเดิมที่เพิ่งย้ายออกมาก็ไม่มีอะไร” ป้าแม่บ้านจึงได้ให้จ่ายค่าน้ำค่าไฟก่อนที่จะย้ายออก แล้วคุณหยิวก็ได้พูดต่อว่า “เงิน 5000 ที่จ่ายไปขอคืนสัก 1000 ได้ไหมคะ?” แต่ป้าแม่บ้านก็ไม่ยอมคืน จึงได้นำเรื่องทั้งหมดนี้ไปแจ้งกับเจ้าของหอ และแจ้งว่ามันมีวิญญาณในห้องนี้ ให้ไปทำบุญให้เขาด้วย แต่แทนที่เจ้าของหอจะโวยวายหรือพยามปฏิเสธ เขากลับพูดมาเพียงว่า “ครับ” แถมไม่ยอมคืนเงินค่ามัดจำมาสักบาทเดียว ทำให้คุณหยิวเสียดายเงินมาก ๆ 5000 แลกกับ 4 วัน 3 คืนที่โดนผีหลอก 

       ต่อมาในวันนั้นเอง คุณหยิวก็ได้กลับไปที่หอเดิม ทำให้เจ้าของหอเดิมสงสัยว่าทำไมถึงกลับมา เนื่องจากทั้งสองหอนี้อยู่ไม่ไกลกันมาก และที่ย้ายออกเพราะหอเดิมนี้มีห้องที่ทำเสียงดังประจำ คุณหยิวได้ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าของหอเดิมฟัง เจ้าของหอเดิมจึงบอกว่า “จริง ๆ แล้ว เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน ที่หอใหม่ของคุณหยิวนี้มีคนตาย แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้เพราะบริเวณนั้นเป็นเขตชุมชน และไม่ได้ทำบุญอะไรเลยหลังจากเกิดเหตุ” เรื่องนี้รู้จากแม่บ้านของหอใหม่คนก่อนที่มาเล่าให้กับเจ้าของหอเดิมฟัง คุณหยิวได้รู้ดังนั้นจึงคิดว่า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของหอใหม่จะตอบมาแค่คำว่า “ครับ” แค่นั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนี่เอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

29 มี.ค. 2024

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

เรื่องนี้ ‘คุณโนอาร์’ จากเพจ ‘โนอาร์-Noah’ ได้นำเรื่องดล่าสุดหลอนที่เจอเข้ากับตัวเองมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ได้ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจอป้าที่โบสถ์เก่า’ ‘คุณโนอาร์’ เล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม 2567) ได้เดินทางไปยังโบสถ์ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ตามคำแนะนำของผู้กำกับอย่าง ‘พี่ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ’ เพื่อพิสูจน์และสัมผัสประสบการณ์หลอนด้วยตนเอง คุณโนอาร์และแฟนใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงโบสถ์ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่โบสถ์แห่งนั้นมีบ่อน้ำคั่นกลางต้นไม้ เมื่อไปถึงก็จัดแจงตั้งกล้องหันไปทางโบสถ์ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ระหว่างที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาจากต้นโพธิ์ด้านหลังคุณโนอาร์ คุณโนอาร์เหลือบมองเห็นจึงสลับให้แฟนทำหน้าที่พูดไลฟ์แทน ส่วนคุณโนอาร์ก็ลุกไปหาคุณป้าที่ต้นโพธิ์ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น คุณป้าก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณโนอาร์ยังไม่ได้พูดอะไรว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์ได้ยินก็คิดว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ จึงถามกลับไปว่า “ป้าเป็น FC ผมหรือเปล่าครับ?” แต่คุณป้ากลับไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปสักพัก คุณป้าก็พูดประโยคเดิมว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์จึงบอกไปว่า “ประมาณ 2-3 ทุ่ม ผมจะเริ่มสำรวจโบสถ์ ป้าจะไปที่โบสถ์กับผมมั้ย?” คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า “ป้าอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง” ได้ยินดังนั้น คุณโนอาร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น คุณโนอาร์ก็มองไปที่ตาของคุณป้า สังเกตได้ว่าดวงตาของคุณป้าไม่กะพริบเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็คิดเพียงว่าเป็นบุคลิกของคุณป้าเท่านั้น หลังจากไลฟ์ช่วงเย็นจบไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเก็บภาพด้านในของโบสถ์ ตอนนั้นเป็นเวลา 2-3 ทุ่มตามที่วางแผนไว้ คุณโนอาร์เดินอ้อมบ่อน้ำเข้าไปในโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์ก็มีแมวดำกระโดดออกมาจากข้างใน ตนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปสำรวจต่อไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก จากคานไม้ด้านบน ตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าอาจจะเป็นเสียงนก จึงหันหลังมองย้อนกลับไปที่ต้นโพธิ์ ก็เห็นว่าแฟนของตนนั้นยืนถือตะเกียงอยู่ข้างคุณป้าปริศนาท่านนั้น เมื่อเห็นดังนั้นก็สบายใจที่แฟนไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อสำรวจไปได้สักพัก คุณโนอาร์ก็เดินกลับออกมายังรถที่จอดไว้ใกล้ต้นโพธิ์ จากนั้นก็พูดกับคุณป้าว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาอีกรอบ” คุณป้าจึงตอบกลับมาว่า “พรุ่งนี้ จะมาอีกใช่มั้ย?” คุณโนอาร์ย้ำคำตอบเดิมไปว่า “ใช่ครับ” แต่คุณป้าก็ถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะได้ยินไม่ค่อยชัด คุณโนอาร์จึงต้องตอบแบบเดิมอยู่ 3-4 รอบ จากนั้นจึงบอกคุณป้าไปว่า “ผมจะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศข้างในอีกรอบ อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จครับ” เมื่อบอกคุณป้าเสร็จ ตนก็เดินเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเก็บภาพบรรยากาศรอบโบสถ์เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่รถอีกครั้ง รอบนี้คุณโนอาร์ตั้งใจจะไปหยิบน้ำดื่มที่หลังรถเพื่อมาดื่มและจะให้คุณป้าด้วย แต่เมื่อเดินมาที่หลังรถก็ไม่พบคุณป้าแล้ว คุณโนอาร์ย้อนกลับไปว่าช่วงเวลาที่ตนเข้าไปเก็บภาพในโบสถ์นั้น แฟนก็ยืนคุยกับคุณป้า แต่แฟนรู้สึกว่ายุงเยอะจนทนไม่ไหว จึงบอกคุณป้าไปว่า “หนูขอเข้าไปรอในรถนะคะ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” คุณป้าไม่ตอบอะไรกลับมา จากนั้นแฟนก็เดินขึ้นรถ และคิดว่าคุณป้าน่าจะยืนอยู่ข้างนอกคนเดียวพร้อมกับตะเกียงที่แฟนเคยถือเอาไว้ เมื่อคุณโนอาร์มาถึงรถและเดินไปข้างหลังแต่ไม่เห็นคุณป้าจึงคิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว ส่วนแฟนเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคุณป้าไปไหนหรือกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับ วันถัดมา รอบนี้จะเป็นการถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะมีทีมงานมาช่วยถ่ายด้วย ฝ่ายทีมงานเดินทางมาถึงก่อนคุณโนอาร์ครึ่งชั่วโมง เมื่อตนมาถึงก็ถามทีมงานว่า “มีใครเข้ามาหรือยัง?” เพราะตนจำได้ว่าคุณป้าบอกว่าจะเข้ามาหา แต่ทีมงานส่ายหัวและบอกว่า “ยังไม่มีใครเข้ามานะ” ได้ยินดังนั้นคุณโนอาร์ก็คิดว่าคุณป้าอาจจะมาเวลาเดียวกับเมื่อวานจึงไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทีมงานก็จัดแจงสถานที่ ปูเสื่อเพื่อพักผ่อนและรอเวลา เมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง คุณป้าก็ยังไม่ปรากฏตัว จากนั้นก็ถึงเวลาไลฟ์สด คุณโนอาร์ต้องไปยืนที่หน้าต้นโพธิ์เพื่อถ่ายเปิดรายการ เวลานั้นคุณโนอาร์เหลือบมองเห็นกรอบรูปอยู่ข้างหลังตากล้อง เมื่อเห็นรูปชัดขึ้นตนก็อุทานออกมาว่า “ป้า! ในรูป!” คุณโนอาร์จึงเรียกให้แฟนมาดู แฟนก็พูดว่า “เห้ย! ป้านี่นา!” ทีมงานทุกคนก็ตกใจ เพราะในช่วงที่ทีมงานมาถึงก่อนนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปนี้เลย นอกจากนี้ยังมีถุงอัฐิห่อวางไว้ข้าง ๆ กันอีกด้วย คุณโนอาร์จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทีมงานฟัง หลังจากได้ฟังก็มีข้อถกกันมากมาย คิดไปต่าง ๆ นานาว่าคุณป้าอาจจะมีแฝด แต่การถ่ายรายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สรุปแล้วในวันที่สองนั้น คุณป้าก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คุณโนอาร์จึงโพสต์เรื่องราวที่เจอลงในเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นก็มีการแชร์ออกไปมากมาย แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนทักเข้ามาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณป้า! ตอนแรกคุณโนอาร์ยังไม่เชื่อ จึงขอตรวจสอบข้อมูล บุคคลปริศนาก็ส่งมาให้ทั้งรูปถ่ายงานศพของคุณป้า และส่งนามสกุลในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนในครอบครัวจริง นั่นทำให้คุณโนอาร์เชื่อว่านี่คือลูกของคุณป้าอย่างแน่นอน ลูกของคุณป้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่โพสต์ ก็คงจะไม่มีใครรู้เลย” คุณโนอาร์จึงสอบถามต้นสายปลายเหตุว่า รูปของคุณป้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ลูกของคุณป้าเล่าว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่าใครนำมาทิ้ง แต่คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอุบัติเหตุรถชน หลังจากทำพิธีชาปณกิจศพเสร็จ ลูกหลานและคนในครอบครัวของคุณป้าต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตที่อื่น ส่วนรูปของคุณป้านั้นเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังเก่า คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของคนใหม่หรือคนในครอบครัวที่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครเอามาทิ้งก็เป็นได้ คุณโนอาร์จึงนัดวันเวลากับลูกของป้าเพื่อรับรูปและอัฐิ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณโนอาร์และครอบครัวก็ได้พบกัน ทางครอบครัวถามคุณโนอาร์ว่า “ตอนที่เห็นป้า รูปร่างเป็นยังไง ใส่เสื้อผ้ายังไง” คุณโนอาร์ก็เล่ารายละเอียดที่จำได้ให้ฟัง ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกันหมด จากนั้นหลวงพ่อก็ช่วยทำพิธีสวดมนต์เพื่อที่จะได้นำรูปนั้นไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

03 พ.ค. 2025

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

สมัครงานพาร์ทไทม์ที่โรงหนัง แต่พนักงานด้วยกันชอบแกล้งเรื่องผีอยู่เป็นประจำ จนได้มามาทำงานตำแหน่งฉายหนัง ที่ต้องเอาพวงมาลัย น้ำ นม มาไว้ที่ห้องฉายทุกครั้งในวันพระ แต่วันที่เกิดเรื่องดันลืม…! จึงได้เจอดีเข้าให้! ไปติดตามเรื่องเล่าจาก ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ที่ได้นำเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ เรื่องของ ‘คุณดิ๊ก’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(29 เมษายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณดิ๊กอยากหางานพิเศษทำ ในตอนนั้นมีห้างหนึ่งกำลังถูกสร้าง ซึ่งเป็นห้างที่มีโรงหนังทั้งหมด 3 โรง หลังจากห้างสร้างเสร็จเรียบร้อย คุณดิ๊กจึงได้ไปยื่นใบสมัครไว้ เผื่อว่ามีงานที่พอจะทำได้ หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็มีสายจากโรงหนังโทรเข้ามา โดยสอบถามกับคุณดิ๊กว่าพร้อมจะมาทำงานที่โรงหนังหรือไม่ คุณดิ๊กก็ตกลงที่จะทำงานเป็นพาร์ทไทม์ของโรงหนังนี้ เมื่อไปถึงคุณดิ๊กก็ได้เจอกับผู้จัดการ ผู้จัดการจึงพาแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงหนัง และกำหนดตำแหน่งที่คุณดิ๊กจะได้ทำคือ ตำแหน่งฉีกตั๋ว คุณดิ๊กทำงานมาได้ 1 อาทิตย์ ผู้จัดการก็โทรมา ให้คุณดิ๊กลองมาอยู่กะกลางคืน โดยผู้จัดการจะเพิ่มชั่วโมงในการทำงานให้คุณดิ๊ก กะดึกคืนนั้น มีพนักงานทั้งหมด 7 คน (รวมคุณดิ๊กแล้ว) ในกลุ่มพนักงงานนั้นจะมี 3 คนรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งชอบแกล้ง-ชอบอำคนอื่น ในกลุ่มนั้นมี ‘คุณแมน’ และ ‘คุณหนุ่ม’ ทำหน้าที่ฉายหนัง และ ‘คุณเอก’ เป็นพนักงานฉีกตั๋วเหมือนคุณดิ๊ก เมื่อแมน หนุ่ม และเอกเห็นว่ามีเด็กใหม่มา ก็เริ่มแผนการแกล้งทันที.. โดยเริ่มจากคุณเอกได้พาทัวร์ในโรงหนังรอบกลางคืน และบอกว่า “โรง 3 มึงต้องระวังนะ โรง 3 เจอกันเยอะ ผีดุ” นอกจากนี้ คุณเอกก็เล่าเรื่องผีให้ฟัง แต่คุณดิ๊กไม่ได้เป็นคนกลัวผีมากจึงไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเอกก็ยังบอกต่ออีกว่า “เดี๋ยวกูขอเช็คโรง 1 โรง 2 ละกันนะ โรงสามกูกลัวผี กูไม่กลัาไป” คุณดิ๊กจึงตอบตกลงและไปดูเอง พอมาถึงโรง 3 ก็เปิดประตูเข้าไป และเดินมาจนถึงที่นั่ง ก็ได้มีเสียงว.มาจากห้องฉายด้านบน โดยคุณหนุ่มกับคุณแมนก็ว.มาบอกว่า “ดิ๊ก ลองเช็คแขกดูหน่อย มีทั้งหมดกี่คน” คุณดิ๊กเดินไปเช็คตามที่บอก และตอบทั้งสองคนไปว่า “แถว I มีทั้งหมด 7 คน” “เฮ้ย นับดูดี ๆ 7 คนแน่หรอ” คุณดิ๊กก็เริ่มนับใหม่ และตอบย้ำไปว่า “7 คนพี่ แถว I” เสียงจากว.แย้งขึ้นมาทันทีว่า “เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว มันมีแถวหลังอีก 2-3 คนไม่เห็นหรอ” คุณดิ๊กมองตามที่ทั้งสองคนบอก และเงยหน้ามองไปบนห้องฉาย ก็เห็นทั้งสองคนนั่งหัวเราะกันอยู่ คุยดิ๊กก็คิดในใจว่า ‘พวกที่ชอบอำผม วันไหนขอให้โดนเอง’ หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปกติ คุณดิ๊กก็ยังทำงานเหมือนเดิม จนกระทั่งคุณแมนมาบอกกับทุกคนว่าลาออกแล้ว โดยไม่บอกเหตุผลว่าออกเพราะอะไร แต่ก่อนที่จะออกก็ยังไปบอกกับคุณดิ๊กอีกว่า “ถ้าต้องขึ้นไปทำงานห้องฉายอะ ระวังโรง 3 ไว้นะ” คุณแมนบอกไว้เท่านี้และออกไป หลังจากนั้นคุณดิ๊กก็ยังโดนคุณเอกและคุณหนุ่มแกล้งอำเรื่องผีมาโดยตลอด วันหนึ่งผู้จัดการโทรมาหาคุณดิ๊กให้มาช่วยงานที่ห้องฉาย เพราะตอนนี้เหลือแค่คุณหนุ่มคนเดียว จึงให้คุณดิ๊กไปเรียนรู้งานกับคุณหนุ่ม เมื่อไปถึงห้องฉาย คุณหนุ่มก็พาดูภายในห้องฉายว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีห้องฉาย 3 ห้อง หนึ่งห้องต่อหนึ่งโรงอยู่เรียงกัน และคุณหนุ่มก็ได้บอกกฎกติกากับคุณดิ๊กว่า “สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้เลย หนึ่งคือทุกวันพระจะต้องเอาพวงมาลัย เอาน้ำ เอานม มาไว้ที่เครื่องฉายทุกครั้ง ห้ามลืมเด็ดขาด สองคือห้ามพาบุคคลภายนอกเข้ามาภายในห้องฉายเด็ดขาด และสามคือห้ามเตรียมไฟล์หนังผิดเด็ดขาด” คุณดิ๊กก็รับทราบ และถามคุณหนุ่มว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องรู้อีกไหม คุณหนุ่มจึงบอกไปว่า “ถ้าวันไหนที่มึงมาทำงาน แล้วเปิดเข้ามาที่ห้องฉายหนัง ถ้าเห็นเส้นผมอยู่ตรงพื้น อยู่ตรงเครื่องฉาย ไม่ต้องตกใจ มองให้เป็นเรื่องปกติ” คุณดิ๊กก็คิดในใจว่าคุณหนุ่มแกล้งกันอีกแล้ว คุณดิ๊กก็ถามกลับไปว่า “พี่ปั่นผมปะเนี่ย” คุณหนุ่มจึงตอบกลับมาทันทีว่า“มึงเชื่อกู ไม่เชื่อมึงลองไปดูตามห้องก่อนก็ได้” คุณดิ๊กจึงเดินถือว.ไปตามห้องฉายต่าง ๆ คุณดิ๊กเดินไปห้องแรก ก็เจอกับเส้นผม แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจเป็นเส้นผมของแม่บ้าน ซึ่งห้องฉายที่ 2 ก็มีเหมือนกัน และเมื่อเปิดไปห้องที่ 3 ก็มีเส้นผมเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เส้นผมเส้นเล็ก ๆ แต่เป็นกระจุกเส้นผมที่กองอยู่ตามพื้น และในวันหนึ่ง คุณดิ๊กก็ฉายหนังตามปกติที่โรง 2 แต่ผ่านไป 30 นาทีก็ไม่มีคนดู คุณดิ๊กจึงปิดเครื่องฉาย ปิดไฟและกำลังจะเดินออกมาจากห้องฉาย แต่อยู่ ๆ ก็มีว.มาว่า “เฮ้ย ดิ๊ก ปิดเครื่องฉายหรอโรงสอง มีคนดูอยู่” คุณดิ๊กก็บอกไปว่า “ผมเช็คแล้วนะ โรงสองไม่มีลูกค้า” “ไม่มีบ้าอะไร ลูกค้าเดินออกมาบอกว่าเขานั่งดูอยู่” คุณดิ๊กก็คิดว่าโดนผีหลอกแล้วหรือเปล่า จึงเดินไปดูที่นั่ง ก็เห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่แถว A ซึ่งเป็นจุดบอดที่มองเห็นได้ยาก และวันต่อมา ขณะที่คุณดิ๊กกำลังฉายหนังโรง 3 อยู่ ซึ่งวันนั้นมีคนมาดูหนังน้อยมาก คุณดิ๊กจึงคอยสังเกตว่าจะมีคนเข้ามาหรือไม่ พอใกล้ 30 นาที คุณดิ๊กก็เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาแถวกลาง แต่ก็ไม่ได้นั่ง จนเดินลงไปนั่งแถวหน้าสุด คุณดิ๊กจึงสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไปนั่งตรงนั้น จากนั้นก็ว.ไปหาคุณเอกให้เช็คว่ามีลูกค้ามาในรอบนี้หรือไม่ แล้วทำไมถึงนั่งแถวหน้าสุด ทั้งที่โรงก็ว่างอยู่ จากนนั้นคุณเอกก็เช็ครอบหนัง ณ เวลานั้นให้คุณดิ๊ก และพบว่า หนังในรอบนั้นไม่มีคนซื้อตั๋วไว้เลย คุณดิ๊กจึงตอบกลับไปว่า “จะไม่มีคนจองได้ยังไง ก็เห็นคนนั่งอยู่ ลองเข้าไปดูให้หน่อย” คุณเอกจึงตอบตกลงจะเข้าไปเช็คให้ และถ้าถึงแล้วจะบอกว่าอยู่ตรงไหน คุณดิ๊กจึงรออยู่บนห้องฉาย จากนั้นไม่นานมีแสงเลเซอร์สว่างเข้ามาในห้อง คุณดิ๊กจึงโผล่ไปที่ช่องกระจก ที่สามารถมองเห็นข้างล่างได้ คุณดิ๊กจึงว.ไปบอกคุณเอกว่า “เขานั่งอยู่นี่ไง แถวหน้าสุด ตรงกลาง” คุณเอกจึงชะเง้อมองและเดินไปตามทางที่คุณดิ๊กบอก “ตรงไหน” คุณเอกถาม “ตรงนี้ ๆ เก้าอี้ตัวนั้นแหละ เขานั่งอยู่ข้างหน้ามึงเลย” “นั่งอยู่ข้างหน้าบ้าอะไร ไม่เห็นใครสักคน” คุณดิ๊กคิดในใจว่า ‘อีกแล้ว โดนแกล้งอีกแล้ว’ คุณดิ๊กจึงพยายามส่องเลเซอร์ลงไปว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ เมื่อคุณเอกไม่เชื่อ คุณดิ๊กจึงเปิดไฟให้ดู ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทางประตูหนีไฟ จากนั้นคุณเอกก็ตกใจแล้ววิ่งออกมา คุณดิ๊กจึงวิ่งลงมาจากห้องฉายและตามคุณเอกไป ในตอนนั้นคุณเอกก็ได้บอกกับคุณดิ๊กว่า“เห็นเหมือนกูใช่ไหม ผู้หญิงเมื่อกี้ ที่อยู่ๆ ลุกขึ้นมา แล้ววิ่งออกไป” คุณดิ๊กจึงตอบทันทีว่าใช่ เพราะมีลูกค้านั่งอยู่ คุณเอกจึงบอกกับคุณดิ๊กว่า “ตอนที่ลูกค้านั่งอยู่มันไม่เท่าไหร่ แต่พอไฟเปิด อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้” คุณดิ๊กก็ตอบกลับไปว่า “ก็เรื่องปกติ วิ่งออกไปดูสิ เผื่อเป็นคนสติไม่ดีหรือใครแอบเข้ามา” คุณเอกจึงบอกว่า “มึงดูดี ๆ ประตูหนีไฟ มันไม่ได้เปิดนะ มันเป็นประตูที่ล็อกไว้อยู่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งหนีไปจริง ๆ ก็คงวิ่งไปอีกฝั่งที่ประตูมันเปิดอยู่” คุณดิ๊กจึงเดินไปดูตรงประตูหนีไฟที่ผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไป และพบว่ามันล็อกอยู่จริง ๆ วันรุ่งขึ้นคุณดิ๊กจึงได้เล่าเรื่องที่เจอให้คุณหนุ่มฟัง คุณหนุ่มก็สงสัย เมื่อค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด จนคุณหนุ่มถามขึ้นมาว่า “เมื่อวานลืมอะไรปะ” คุณดิ๊กจึงตอบกลับทันทีว่า“ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ ผมก็ทำงานปกติ” “เมื่อวานวันพระ มึงลืมอะไรเปล่า” คุณหนุ่มถามต่อ คุณดิ๊กก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองลืมซื้อดอกไม้ ซื้อพวงมาลัย ซื้อน้ำ ซื้อนมมาไว้ และคิดว่าครั้งนี้ที่ได้เห็นเพราะเขามาเตือนที่ไม่ได้ทำตามที่บอก และคุณหนุ่มยังเล่าให้ฟังต่อว่า มีอยู่พนักงานคนหนึ่งที่เคยฉายหนังปกติแบบนี้ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่มีคนมาดูหนังจนเต็มโรง ระหว่างที่พนักงานคนนั้นฉายหนังอยู่ก็ได้มองลงมาข้างล่าง พนักงานคนนี้เห็นลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่ได้มองไปที่จอหนังที่กำลังฉาย แต่หันหน้าขึ้นมามองพนักงานคนนั้นแล้วก็ยิ้มให้ เมื่อจอหนังลูบดับไปและสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ที่ตรงนั้นกลับไม่มีคนนั่งอยู่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

13 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณนนท์ อินทนนท์‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’คืนสยองวันรับน้อง‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนนท์เล่าว่า ตนเป็นรุ่นพี่ที่ไปดูรุ่นน้องในค่ายรับน้อง 3 วัน 2 คืน จึงจองรีสอร์ทกับเพื่อน ซึ่งเป็นรีสอร์ทกลางนา ในห้องน้ำมีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางห้อง ส่วนห้องนอนรวมกันประมาณ 7 คน เเละสุนัขของเพื่อนอีก 1 ตัว หลังจากเหนื่อยจากการรับน้องจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำเเล้วมาเข้านอน คืนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งตื่นมาเวลาประมาณตี 2 เเล้วก็สังเกตเห็นใครบางคนกำลังแสดงอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง แล้วสุนัขก็เห่าเเล้วมองไปทางเดียวกันกับที่เพื่อน จนคุณนนท์ตื่นเเล้วมองไปที่สุนัข เเต่ก็ไม่เห็นอะไร เพื่อนถามคุณนนท์ว่า “มึง มึงไม่เห็นหรอ เขารำใหญ่เลย” ตนจึงตอบไปว่า “ใครรำ ใครจะรำตอนนี้ บ้าปะเนี่ย” เพื่อนจึงบอกให้คุณนนท์ตั้งสติ เเล้วคุณนนท์ก็เห็นเป็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่วางทีวี หัวของร่างนั้นติดอยู่ตรงพัดลมที่กำลังส่าย คุณนนท์เเละเพื่อนรู้สึกช็อคจึงสวดมนต์กับเพื่อน สักพักร่างนั้นก็หายไป..! วันต่อมา คุณนนท์ได้คุยกับเพื่อนว่าอยากให้ย้ายออกจากรีสอร์ท เเล้วจากนั้นตนก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง เมื่อเล่าเสร็จก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดท้าทายว่า “จะรำได้ขนาดไหน เดี๋ยวมารอดูสิว่าการรำกับการนอนของกูอันไหนจะพังกว่ากัน” เเต่คุณนนท์รู้สึกไม่สบายใจจึงบอกให้เพื่อนขอโทษขอขมากับคำพูดที่ได้พูดลบหลู่ไป คืนนั้นเวลาตี 3 ขณะที่ทุกคนนอนอยู่ ก็มีกลิ่นน้ำอบลอยเข้ามาในห้อง ทำให้ทุกคนในห้องตื่น สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงดนตรีขึ้น ทุกคนจึงหลับตากอดกัน เเล้วก็มีลมแรงมาก ๆ พัดเข้ามาในห้อง! คุณนนท์รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงทำสัญญาณบอกเพื่อนว่า ออกไปเถอะ เเล้วก็รีบเก็บของไปนอนที่อื่น วันต่อมา คุณนนท์ได้ไปพูดคุยกับเจ้าของรีสอร์ทว่า “หนูนอนไม่ได้เลย” เขาก็ตอบกลับว่า “ห้องนั้นเคยมีเด็กที่เป็นนางรำมานอน เเล้วเหมือนโรคประจำตัวเขากำเริบ เเล้วก็ชัก” คุณนนท์จึงคิดว่าสิ่งที่ตนเเละเพื่อน ๆ เจอนั้น คงเป็นวิญญาณของเด็กที่เป็นนางรำนั่นเอง…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

24 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

‘คุณเจน The Ghost’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินป่าสุดระทึก เพราะมีคนไม่เคารพป่า และออกไปล่าสัตว์จนเกิดเรื่องราวที่แทบหยุดหายใจ! ดวงตาปริศนาสีแดงคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นระหว่างเข้าป่า? เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ล้ำเส้นตาย ป่าอาถรรพ์’ คุณเจนบอกว่าเรื่องนี้มาจาก ‘คุณปู’ นักเล่าเรื่องผีจากรายการ The Ghost Radio ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีประสบการณ์ขนหัวลุกที่ป่าสัมปทานแห่งหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน โดยคุณปูทำงานเกี่ยวกับการสัมปทานป่าไม้ และมีลูกน้องคนสนิทชื่อ ‘น้องหนุ่ม’ คอยติดตามไปด้วยเสมอ หลายคนที่ต้องเข้าป่าก็มัจะมีความเชื่อต่าง ๆ มากมาย คุณปูจึงพาพรานป่าประจำตัวชื่อ ‘เฒ่าแปร’ ไปด้วยทุกครั้ง เพราะไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ลี้ลับหรืออาถรรพ์อะไร หากมีเฒ่าแปรอยู่ด้วย คุณปูก็จะรู้สึกอุ่นใจ ในการเข้าไปสัมปทานป่าไม้ครั้งนั้น งานจะแบ่งเป็นเขต เมื่อทำเขตแรกเสร็จ ก็จะย้ายแคมป์ไปยังเขตที่สอง ซึ่งอยู่บนภูเขาและมีสภาพป่าที่ลึกและทึบกว่ามาก ต้นไม้ก็สูงใหญ่และน่ากลัว วันหนึ่ง เจ้านายของคุณปูส่งลูกชายเข้ามาในพื้นที่พร้อมเพื่อนอีกหลายคน และมีคนนำทางส่วนตัวติดมาด้วย ลูกเจ้านายเป็นคนชอบล่าสัตว์ คุณปูจึงนำไปปรึกษากับเฒ่าแปร ซึ่งก็เห็นด้วยว่าควรเตือน เพราะอาจเกิดเรื่องร้ายขึ้นได้ แต่เมื่อนำไปบอกลูกเจ้านายและเพื่อน ๆ พวกเขากลับไม่เชื่อ ซ้ำยังหัวเราะเยาะ ซึ่งป่านี้แม้แต่พระธุดงค์ที่ชำนาญเส้นทางก็ยังเคยหลงและมรณภาพ ไม่สามารถกลับออกมาได้ หลังจากได้หยุดพักกลับไทยได้ 2 วัน คุณปูกลับเข้าไปที่แคมป์อีกครั้งพร้อมกับน้องหนุ่ม และเสมียนหญิงอีก 2 คน พบว่าทุกคนได้ย้ายแคมป์ไปยังเขตที่ 2 แล้ว ในคืนนั้น เวลาประมาณสองทุ่ม ขณะที่คุณปูและเสมียนหญิงกำลังนอนอยู่ในเต็นท์ คุณปูได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากป่า ฟังคล้ายเสียงลูกแมว แต่เมื่อเงี่ยหูฟังดี ๆ กลับกลายเป็นเสียงเด็กร้องไห้ สักพักก็มีเสียงโหยหวนแหลมสูงดังมาจากป่า คุณปูนอนนิ่งด้วยความกลัว จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนอยู่รอบเต็นท์ และจู่ ๆ ก็มีบางอย่างกระโจนเข้ามาในเต็นท์อย่างแรง ปรากฏว่าเป็นน้องหนุ่มในสภาพเปลือยกาย! คุณปูตกใจและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น!” น้องหนุ่มเล่าว่า ขณะที่อยู่ในบ้านพักกับกลุ่มลูกเจ้านาย จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างวนเวียนอยู่รอบบ้าน จนทำให้ทุกคนแตกตื่น วิ่งหนีกันคนละทิศละทาง เขาเชื่อว่าผีจะกลัวคนแก้ผ้า จึงถอดเสื้อผ้าวิ่งมาหลบในเต็นท์ ตอนนั้นเต็นท์มีรอยขาดเล็ก ๆ คุณปูจึงออกไปดู ก็เห็นว่าในความมืดของป่าลึก บนต้นไม้มีดวงตาสีแดงนับสิบคู่จ้องมาทางเต็นท์ และไม่นานนัก ก็มีบางอย่างรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวใหญ่ มีขนยาว วิ่งวนรอบเต็นท์ มันพยายามจะเข้าแคมป์ แต่ติดที่มีไฟก่ออยู่ จึงไม่กล้าเข้าใกล้ และสุดท้ายกระโจนขึ้นต้นไม้หายไป เช้าวันรุ่งขึ้น เฒ่าแปรกลับมาที่แคมป์ คุณปูรีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พอได้ยิน เฒ่าแปรก็หน้าเครียด เดินไปที่กองไฟที่ลูกเจ้านายใช้สังสรรค์เมื่อคืน ตรวจดูสักพัก แล้วพูดแค่ว่า “วันนี้หยุด ทุกอย่างห้ามทำงาน ต้องทำพิธี และต้องตามหาคนที่หายไปให้เจอก่อน” คนที่หายไปก็คือ ลูกเจ้านายและเพื่อนทั้งหมด เฒ่าแปรออกตามหาตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็ช่วงเย็น และพาทุกคนกลับมาได้ครบ สภาพแต่ละคนดูเหมือนผ่านการหนีตายมา เสื้อผ้าขาดรุ่ย เปื้อนโคลนเต็มตัว บางคนมีใบไม้ติดหน้า แต่ด้วยความที่เย็นแล้ว หากเดินทางกลับถึงตอนกลางคืนอาจเป็นอันตราย เฒ่าแปรจึงทำพิธีลงอาคมรอบพื้นที่ แล้วพูดกับทุกคนว่า “คืนนี้.. ห้ามออกจากที่พัก ถ้ารอดคืนนี้ไปได้ แปลว่ารอด” คืนนั้นก็ยังมีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกเช่นเคย แต่ไม่รุนแรงเท่าคืนก่อน รุ่งเช้า เฒ่าแปรเดินไปที่กองไฟเมื่อคืน และใช้ไม้เขี่ยดู ปรากฏว่าเจอ กะโหลกเล็ก ๆ คล้ายของลิง เขาจึงหันไปถามคนนำทางว่า “ไปทำอะไรกันมา?” คนนำทางนิ่งไปก่อนจะเล่าว่า วันก่อนที่คุณปูไม่อยู่ พวกเขาแอบไปล่าสัตว์กัน ในตอนแรกก็ยิงนกเล่น พอเจอฝูงลิงก็เริ่มยิงลิง พอดีมีลิงแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่ง ขณะที่กำลังจะอุ้มลูกหนี ก็ถูกยิงทะลุตัวแม่ไปโดนลูกตายทั้งคู่ เฒ่าแปรบอกว่าสิ่งที่ทุกคนเจอในคืนนั้น อาจเป็นวิญญาณของ ‘จ่าฝูงลิง’ ที่ออกมาทวงความยุติธรรมให้ฝูงของมัน ก่อนกลับ เฒ่าแปรจึงเตือนทุกคนว่า “ถ้าออกจากป่าไปได้.. อย่ากลับมาอีก เพราะคราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบครั้งนี้”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1