ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไรเดอร์หนุ่มรับออเดอร์ส่งพัสดุ เจอป้อมใหญ่จึงขออนุญาตผ่านทาง แต่ทหารประจำป้อมไม่ตอบ จึงคิดว่าเข้าไปได้ ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงกระแอม เมื่อหยุดรถก็พบว่าข้างหน้าเป็นหน้าผา! พอหันกลับมาก็เจอผู้หญิงกวักมือเรียก! จะหนีก็ดันสตาร์ทรถไม่ติด!

21 เม.ย. 2023

     “ไรเดอร์” เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เสี่ยงต่อการพบเจอเหตุการณ์แปลก ๆ เพราะต้องไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมอาจจะยังได้เจอกับสิ่งลี้ลับที่หลอนจนลืมไม่ลง ดังเช่นกับเรื่องราวในรายการ “อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio” ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ต่างก็ขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปตามอ่านกันได้เลย!

     พี่แจ็คเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเอิร์ธ’ หนุ่มไรเดอร์ที่วิ่งอยู่ในพัทยา วันหนึ่งช่วงพลบค่ำ เขาตัดสินใจว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อน เนื่องจากยอดออเดอร์วันนี้ไม่ได้ตามที่หวังไว้ แต่ขณะที่กำลังจะกลับนั้น ดันมีออเดอร์ใหม่เข้ามา เป็นออเดอร์ส่งพัสดุไม่ใช่อาหาร และจะได้รับค่าส่งสูงถึง 369 บาท ยอดนี้ทำให้คุณเอิร์ธถึงกับตาลุกวาว จึงเปิดดูระยะทางที่ต้องไปส่งของ ก็พบว่าระยะทางไปกลับรวมกว่า 80 กิโลเมตร แถมช่วงเวลาตอนนั้นก็เริ่มดึก รถจึงไม่ติด คุณเอิร์ธมองว่ายังไงก็คุ้ม จึงตัดสินใจกดรับออเดอร์ และออกไปรับพัสดุทันที ซึ่งซองพัสดุนี้คาดว่าจะเป็นเอกสารราชการ (เนื่องจากมีเครื่องหมายตราครุฑ) และต้องนำไปส่งสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง

     เมื่อรับพัสดุเสร็จ ขณะที่กำลังขับรถออกมานั้น ลูกค้าเจ้าของออเดอร์ก็เดินมาที่หน้ารถและถามว่า “ไฟสูงรถพี่ใช้ได้ไหม” เขาจึงตอบไปว่า “ก็ใช้ได้ปกตินะครับ ทำไมหรอครับ” ลูกค้าก็ตอบกลับมาว่า “อ๋อ ผมเป็นห่วง เพราะถนนที่จะไปมันค่อนข้างมืดนิดหน่อย เลยมาถามก่อนว่าไฟสูงพี่ใช้ได้หรือเปล่า” คุณเอิร์ธจึงถามต่อว่า “แล้วหมุดปลายทางที่ปักให้ถูกต้องมั้ยครับ?” ลูกค้าก็ตอบว่าถูกต้อง เมื่อคุยกันเสร็จสรรพ คุณเอิร์ธก็ขับรถออกไปตามสถานที่ที่ลูกค้าบอกไว้

     สถานที่ที่ลูกค้าหมุดไว้ มีลักษณะเป็นเหมือนค่ายทหาร คุณเอิร์ธจึงขับรถเข้าไปและได้เจอกับป้อมเก่าขนาดใหญ่ คุณเอิร์ธจึงจอดรถตรงป้อมเพื่อขออนุญาตผ่านทาง เมื่อมองเข้าไปภายในป้อมก็สังเกตเห็นว่า ภายในป้อมนั้นมีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างครบครัน เช่น กระจก โต๊ะ เก้าอี้ และมีทหารคนหนึ่งที่แต่งตัวเต็มยศนั่งเก้าอี้อยู่ แต่เขากลับมีท่าท่างแปลก ๆ เพราะนั่งแข็งทื่อ ส่วนหน้าก็มองตรงไปข้างหน้า ไม่หันมามองยังถนนที่คุณเอิร์ธจอดรถอยู่เลย คุณเอิร์ธจึงถามว่า “พี่ครับ ผมเข้าไปได้มั้ยครับ?” แต่ทหารคนนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของคุณเอิร์ธเลย คุณเอิร์ธคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน จึงบีบแตรรถไปหนึ่งครั้ง รอบนี้ทหารคนนั้นก็ยังไม่หันมามอง แต่กลอกตามาดูในขณะที่นั่งทื่อหน้าตรงอยู่อย่างนั้น แถมยังไม่พูดอะไร คุณเอิร์ธจึงทำท่าทางใบ้ประมาณว่ามีของมาส่ง ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย ทหารคนนี้เห็นท่าทีดังนั้น ก็กลอกตากลับไปมองตรงเหมือนเดิม คุณเอิร์ธจึงคิดว่า ”เข้าไปได้แหละ ถ้าไม่ได้ เขาคงห้ามแล้ว” 

     คุณเอิร์ธจึงขับรถผ่านป้อมตรงเข้าไปประมาณ 100 เมตร โดยระหว่างทางก็มีไฟจากถนนส่องตลอดทาง จนไปถึงทาง 3 แยก ทางซ้ายมือจะไปยังอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ส่วนทางขวาจะเป็นทางขึ้นเนิน และ GPS ก็บอกให้เลี้ยวขวา คุณเอิร์ธก็เลี้ยวไปตามทาง ซึ่งทางขึ้นเนินค่อนข้างชัน และเส้นทางก็เริ่มขรุขระ แถมบรรยากาศก็ยิ่งมืดลงเรื่อย ๆ จนเจอป้ายที่เขียนว่า “กำลังก่อสร้างห้ามเข้า” แต่หมุดปลายทางให้ตรงไปทางนี้ คุณเอิร์ธคิดว่าลูกค้าน่าจะอยู่ข้างใน จึงขับตรงเข้าไปอีก คุณเอิร์ธยังบอกอีกว่า คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด มองไม่เห็นข้างทางและต้นไม้ใด ๆ เลย มีเพียงแค่ไฟสูงและไฟท้ายของรถตัวเองเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นคุณเอิร์ธก็เกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงหัวเราะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณเอิร์ธพยายามไม่คิดมากจึงขับต่อมาอีกสักพัก จากนั้นก็จอดรถและกดโทร.หาลูกค้าว่า “ผมมาถึงตรงนี้แล้ว ผมมาถูกทางใช่มั้ยครับจะได้ตรงไปต่อ” ลูกค้าคนนั้นตอบมาว่า “อืม” แค่คำเดียว ทำให้คุณเอิร์ธเริ่มโมโห จึงบอกปลายสายไปอีกว่า “พี่ ผมมาส่งของ ผมมาทำงานนะ พี่อย่าแกล้งผมดิ” ปลายสายก็ยังคงตอบมาเพียง “อื้ม!” แล้วกดวางสายไปเลย! คุณเอิร์ธโมโหยิ่งกว่าเดิม จึงเปิดโทรศัพท์ไปที่แอปไรเดอร์ และส่งแชทไปว่า “พี่ครับช่วยแอดไลน์และส่งโลเคชั่นที่แม่นยำกว่านี้มาให้หน่อยครับ” แต่พอกดส่งมันก็ส่งไม่ไป และก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์แสดงรูปสัญลักษณ์กากบาท นั่นหมายความว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ตั้งแต่แรก! แล้วเมื่อกี้.. เขาโทรติดได้ยังไงและโทรคุยกับใคร? เพราะยังไม่ได้ขยับไปไหน คุณเอิร์ธพูดกับตัวเองว่า “เอาไงดีวะ” แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขับต่อไปเพราะหมุดปลายทางอยู่อีกไม่ไกลแล้ว..

     คุณเอิร์ธขับรถต่อมาอีกสักพัก ครั้งนี้เขาได้ยินเสียงกระแอมแว่วเข้ามาในหู เป็นเสียงของผู้ชายชัดเจน! ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นเจอแบบนี้ก็คงไม่จอด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้คุณเอิร์ธเหยียบเบรกจอดทันที! และสังเกตรอบ ๆ ว่าเสียงมาจากไหน แต่มองยังไงก็ไม่มีอะไรผิดปกติ สถานการณ์ตอนนั้นทำให้คุณเอิร์ธเริ่มเครียดจึงนำบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ และก็นึกขึ้นได้ว่าทางบ้านมีความเชื่อว่าเอาบุหรี่หรือพวกยาเส้นยาสูบเซ่นไหว้ให้ภูติผีแล้วจะดี จึงเอาบุหรี่อีกมวนจุดวางไว้ให้ในบริเวณนั้น แต่พอคุณเอิร์ธหันไปมองอีกทีกลับเห็นว่าไฟของบุหรี่ที่พึ่งวางมันวาบขึ้นมาเหมือนมีคนกำลังสูบและใกล้จะหมด! ซึ่งตอนนั้นคุณเอิร์ธมั่นใจว่าไม่มีลมพัดอย่างแน่นอน จึงนำโทรศัพท์เปิดไฟฉายขึ้นมาและลองเดินไปข้างหน้าอีกประมาณ 20 เมตร ก็เจอว่าถ้าตรงไปทางนั้นอีกนิดเดียวจะเป็นหน้าผาที่ชันมาก เป็นทางยาวไหลลงไปค่อนข้างลึก คุณเอิร์ธกลับมาคิดกับตัวเองว่า ถ้าขับต่อไปอีกนิดคงศพไม่สวยแน่เพราะเบรกยังไงก็คงไม่อยู่ และคิดว่า หรือเสียงกระแอมนั้นมาเตือนให้ตัวเขาหยุดรถหรือเปล่า..?

     เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันหลังเดินกลับมาที่รถ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ใจเขาตกไปถึงตาตุ่ม! เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงที่แต่งตัวมอมแมม ผมยาว มีผมหน้าม้าปิดทั้งส่วนของใบหน้าเหลือให้เห็นเพียงแค่ปาก และกำลังเดินออกมาจากป่าข้างทาง แต่ไม่ได้เดินออกมาธรรมดาเพราะเธอเดินแฉลบเฉียงข้างออกมาเป็นลักษณะเหมือนปูไปยังรถมอเตอร์ไซค์!! ความคิดในหัวคุณเอิร์ธตีกันว่าจะวิ่งหนีจากผู้หญิงคนนี้ หรือ จะถามทางเธอดี แต่ความคิดนั้นยังไม่ทันได้ข้อสรุป ปากคุณเอิร์ธกลับลั่นถามไปเองว่า “ผมหลงทาง ผมมาถูกทางใช่มั้ย” แทนที่ผู้หญิงคนนี้จะตอบ เธอกลับยกแขนซ้ายขึ้นมาตรง ๆ และกวักมือแบบเร็ว ๆ พร้อมกับผงกหัวเร็ว ๆ ตามแรงกวักมือ! คุณเอิร์ธบอกว่ามันเร็วมาก (แม้ว่าหลังเกิดเหตุคุณเอิร์ธจะลองกลับมาทำตามที่บ้าน ก็ทำไม่ได้) ทำให้ตอนนั้นสติและจิตหลุดพร้อมกันเลยก็ว่าได้ คุณเอิร์ธไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จึงตัดสินใจวิ่งหนีเลยผู้หญิงคนนั้นไป แต่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมมอเตอร์ไซค์และโทรศัพท์ไว้ แถมทางที่เข้ามาก็ไกลมาก จึงวิ่งกลับไปยังที่เดิม และพอไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว! จึงมองซ้ายมองขวาก่อนจะควบเบาะนั่งและสตาร์ทรถ แต่รถก็ดันสตาร์ทไม่ติด! แต่ไม่ใช่เพราะสิ่งลี้ลับเป็นเพราะแบตของรถมอเตอร์ไซค์ใกล้จะหมด จึงเอาตัวดันมอเตอร์ไซค์ไถไปเรื่อย ๆ  ซึ่งระหว่างนั้น ผู้หญิงคนเดิมก็เดินแฉลบข้างโผล่มาอีกตามต้นไม้ข้างทาง!! คุณเอิร์ธบอกว่าเห็นชัดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคืนเดือนมืด จนจังหวะใกล้ลงเนินจึงลองสตาร์ทรถอีกครั้ง เมื่อเครื่องติดก็ขับออกมา ซึ่งก็ได้ยินเสียงผู้ชายไล่ตามหลังมาพูดประมาณว่า “ไปเลย อย่าหันกลับมา!” 

     หลังจากออกห่างจากสถานที่ตรงนั้นได้จนมาถึงยังป้อมทางเข้า ปรากฏว่าป้อมนั้นกลายเป็นป้อมร้างที่ปิดใช้งาน เพราะล็อกกุญแจไว้ แถมไม่มีเฟอร์นิเจอร์เหมือนที่เห็นในตอนแรกเลย! พอออกมานอกป้อม คุณเอิร์ธก็เห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์กลับมาแล้วจึงโทรไปโวยวายกับลูกค้าว่าโดนผีหลอกไม่กล้ากลับเข้าไปส่งให้แล้ว และจะวางพัสดุไว้ที่นี่ให้ลูกค้ามาเอาพัสดุเอง เงินก็ไม่เอาแล้ว ลูกค้าจึงตอบกลับมาว่า “พี่ใจเย็น ๆ ก่อน ผมดูในแอปและเห็นตำแหน่งพี่อยู่ พี่อยู่ห่างจากจุดที่ผมปักหมุดให้ เลยไป 12 กิโล!” คุณเอิร์ธได้ยินดังนั้นถึงกับตะลึง เพราะเส้นทางที่ปักหมุดมามันไม่น่าเพี้ยนถึงขนาดนั้น ด้วยความที่กลัวมาก จึงถอดใจทิ้งเอกสารไว้ตรงนั้นและกลับบ้านทันที!

     เมื่อกลับถึงบ้านคุณเอิร์ธก็ไข้ขึ้นและนอนป่วยอยู่ 3 วัน กระทั่งหายดี จึงไปพูดคุยกับเพื่อน ๆ ว่าจุดที่เคยไปมันมีจริงหรือไม่ พร้อมกับเปิดไล่เส้นทางนั้นในแอปให้ดู เพื่อนก็บอกว่า “ป้อมนั้นมันร้างมานานแล้วนะ แถมเนินที่ขึ้นไปจอดรถ ตรงนี้มันก็คือสุสานฮวงซุ้ย” เมื่อคุณเอิร์ธเรียบเรียงความคิดทั้งหมดได้จึงคิดว่าตัวเองโดนพามาหลอกแน่ ๆ และที่ได้ยินเสียงผู้ชายปริศนาคนนั้นช่วยไว้ถึง 2 ครั้ง คงเพราะตัวเองได้เซ่นไหว้บุหรี่ให้นั่นเอง

     เมื่อคุณแจ็คเล่าเรื่องคุณเอิร์ธจบ ก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า อาชีพไรเดอร์มักเจอประสบการณ์หลอนที่หนักและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากต้องไปยังที่แปลก ๆ ซึ่งอาจจะไม่คุ้นเคย ทำให้เสี่ยงเจอเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแบบนี้ได้ตลอด ดังนั้นควรเช็คและสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ของลูกค้าให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ปริศนาที่ต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ! หลังจากจบทริปเที่ยว ‘อาร์ต พศุตม์’ ก็เจอวิญญาณตามติด! สืบสาวราวเรื่องจึงได้พบว่า “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาผูกไว้กับเรา”

04 เม.ย. 2023

ปริศนาที่ต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ! หลังจากจบทริปเที่ยว ‘อาร์ต พศุตม์’ ก็เจอวิญญาณตามติด! สืบสาวราวเรื่องจึงได้พบว่า “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาผูกไว้กับเรา”

เรื่องหลอนสุดพีคเกี่ยวกับการเจอวิญญาณปริศนามาตามติดจาก ‘อาร์ต พศุตม์’ ที่ได้เล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (21 มีนาคม 2566) ชวนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ นั่งเกร็งขนลุกและลุ้นไปกับการไขปริศนาในครั้งนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านไปพร้อมกันได้เลย! คุณอาร์ตเล่าว่าเรื่องราวที่เป็นปริศนานี้ ต้องใช้เวลาและการสืบสวน จนเรื่องค่อย ๆ ถูกเฉลยไปทีละอย่าง และปะติดปะต่อกันจนเข้าล็อค เรื่องมันเริ่มจากคุณอาร์ตไปถ่ายรายการ ‘One ArtArt’ ซึ่งเป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวบนช่อง YouTube ของตัวเอง ในครั้งนี้คุณอาร์ตไปถ่ายทำถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสถานที่ที่จะไปนั้น คือ ‘สะพานศรีสุราษฎร์’ และ ‘แพ 500 ไร่’ เมื่อมาถึงสะพานศรีสุราษฎร์ในเวลาโพล้เพล้ แสงและบรรยากาศกำลังลงตัว คุณอาร์ตจึงเก็บภาพบรรยากาศด้วยโดรนและกล้องโกโปร เมื่อได้ภาพสวย ๆ ที่ต้องการแล้ว คุณอาร์ตและทีมงานก็พากันกลับไปที่โรงแรม มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องมีสังสรรค์ กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน คุณอาร์ตที่แยกห้องนอนอยู่คนเดียวก็พลันเหลือบไปเห็นเงาดำ ๆ พอมองชัด ๆ ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงผมยาวประบ่ายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง คุณอาร์ตคิดในใจว่าไม่ใช่คนอย่างแน่นอน และด้วยความที่ไม่ได้กลัวและเหนื่อยมาก จึงพูดกับวิญญาณตนนั้นไปว่า “ขอนอนนะ เพราะพรุ่งนี้ทำงาน” พูดจบก็ผล็อยหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้น คุณอาร์ตก็ออกถ่ายรายการต่อที่แพ 500 ไร่ สถานที่ท่องเที่ยวที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและผืนน้ำสีฟ้ามรกต ทีมงานเห็นว่าคุณอาร์ตชอบเล่นน้ำมาก จึงชวนให้มาเล่นน้ำด้วยกัน แต่วันนั้น คุณอาร์ตกลับรู้สึกแปลกไปและไม่อยากลงเล่นน้ำ แม้แต่ตอนที่ต้องไปพายเรือคายัก คุณอาร์ตก็รีบพายเพื่อเก็บภาพแล้วรีบกลับขึ้นฝั่ง นั่นสร้างความแปลกใจให้ทีมงานแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในทีมงานก็ขอกลับเข้าฝั่งเพื่อไปทำธุระก่อน และเนื่องจากที่นี่ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ทีมงานคนนั้นจึงกลับมาแจ้งข่าวร้ายว่าคุณพ่อของเขารถคว่ำ ทุกคนจึงต้องกลับอย่างกะทันหัน 2 – 3 วันหลังจากนั้น ก็มีข่าว ‘ผู้หญิงโดดสะพานศรีสุราษฎร์’ ขึ้นมาที่หน้าฟีดในโซเชียลมีเดียของคุณอาร์ต แต่ก็ไม่ได้กดเข้าไปอ่านรายละเอียดของข่าวแต่อย่างใด ผ่านไปอีก 2 – 3 วัน ข่าวนี้ก็ขึ้นหน้าฟีดอีกครั้ง คราวนี้คุณอาร์ตรู้สึกตงิดใจแปลก ๆ ขึ้นมา จึงตัดสินใจกดเข้าไปอ่าน ปรากฏว่าผู้หญิงที่โดดสะพานวันนั้น เป็นวันเดียวกัน และอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับตอนที่คุณอาร์ตอยู่บนสะพานนั้นพอดิบพอดี คุณอาร์ตจึงเช็คภาพจากกล้องที่ได้บันทึกมา ก็พบว่ามีภาพผู้หญิงคนนั้นติดอยู่ในกล้องด้วย! และภาพความทรงจำในหัวของคุณอาร์ตก็ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ว่าผู้หญิงคนนี้ได้มองมาที่ตนพร้อมกับส่งยิ้มให้ หลังไล่ดูภาพจบคุณอาร์ตก็คิดว่านี่คงเป็นแค่การบังเอิญเจอกันก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะตัดสินใจจบชีวิตลง.. เวลาผ่านไปจนกระทั่งมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น คุณอาร์ตรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามติดตัวคุณอาร์ต จึงได้ถามผู้หญิงที่นับถือ (คุณอาร์ตไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเป็นใคร) ว่าวิญญาณที่ตามอยู่เป็นใคร มาจากไหน แต่คำตอบที่ได้ก็ยิ่งทำให้คุณอาร์ตทวีความสงสัย เพราะรู้แค่เพียงว่าเป็นผู้หญิง แต่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร.. ความสงสัยรังแต่จะทำให้คุณอาร์ตไม่สบายใจและตงิดใจขึ้นมาอีกครั้ง จึงเปิดดูภาพฟุตเทจที่ถ่ายติดผู้หญิงที่โดดสะพานดูอีกครั้ง เมื่อสังเกตดูดี ๆ อีกครั้ง คุณอาร์ตก็แทบช็อค! เพราะรูปร่างหน้าตาลักษณะของผู้หญิงคนนี้ตรงกับสิ่งที่เห็นในมุมมืดตรงประตูที่โรงแรม! คุณอาร์ตจึงคิดว่าใช่แน่ ๆ เพราะหากเทียบทามไลน์วันเวลาที่เขาเสียชีวิตก็จะตรงกันพอดีกับเหตุการณ์ที่คุณอาร์ตเจอ คำถามผุดขึ้นมาในหัวทันทีว่า “เขาตามเรามาทำไม? และตามมาเพื่ออะไร?” ปริศนาและวิญญาณที่ตามติดอยู่กับคุณอาร์ตร่วมเดือน คุณอาร์ตจึงพยายามหาจุดเชื่อมโยงของเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง จนพบว่า ตอนที่ไปเที่ยวแพ 500 ไร่ แล้วรู้สึกว่าไม่อยากลงเล่นน้ำ เพราะผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตในน้ำ ราวกับเขามองดูอยู่ในน้ำอย่างไรอย่างนั้น และยังพบอีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่คุณพ่อของหนึ่งในทีมงานเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ พอได้รับการรักษาแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีผู้หญิงใส่เสื้อสีน้ำตาลตัดหน้ารถเขา จนเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง เมื่อคุณอาร์ตวิเคราะห์ดูแล้วก็ตรงกับลักษณะของผู้หญิงที่กระโดดสะพานเสียชีวิต! คุณอาร์ตนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้หญิงที่นับถือฟังอีกครั้ง และถามว่าคุณพ่อของทีมงานคนนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร เธอจึงตอบว่า ในคืนที่นั่งดื่มสังสรรค์กันที่โรงแรม ถ้ามีใครจิตอ่อนหรือมีญาติที่จิตอ่อนที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็จะไปหาทันที! นั่นทำให้คุณอาร์ตมั่นใจว่าเขาเองคิดถูก เมื่อปริศนาเริ่มคลี่คลาย แต่วิญญาณตนนั้นยังคงตามติดคุณอาร์ตอยู่เรื่อย ๆ และเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปขอคำปรึกษาจากพระรูปหนึ่ง พระท่านก็ตอบว่า “ช่วยอะไรไม่ได้ เขาอยากอยู่กับคุณอาร์ต” เมื่อไม่พบหนทางแก้ไขและผูกใจสงสัย “จะอยากอยู่เพื่ออะไร? ทั้ง ๆ ที่เจอกันแค่เสี้ยวนาที” คุณอาร์ตตัดสินใจนำภาพฟุตเทจที่ถ่ายติดผู้หญิงคนนี้โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อเช็คว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจริงหรือไม่จริงกันแน่.. และแล้วปริศนาทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อมีข้อความหนึ่งส่งรูปตัวเองที่ถ่ายคู่กับผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับประโยคชวนขนหัวลุกว่า “คนนี้ไงคะ ที่โดดน้ำตาย” และอธิบายว่าสาเหตุมาจากทะเลาะกับแฟน ส่วนคนที่ส่งมาคือพี่สะใภ้นั่นเอง เมื่อคุณอาร์ตเพ่งมองดูรูปนั้นอีกครั้งก็จำได้ทันทีว่าก่อนที่จะไปถ่ายรายการ คุณอาร์ตไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแล้ว ผู้หญิงที่เสียชีวิตเป็นแฟนคลับที่บังเอิญเจอกับคุณอาร์ตในร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งความทรงจำดี ๆ ในวันนั้นจบลงที่ผู้หญิงคนนี้พูดไว้ว่า “ถ้าพี่อาร์ตมาอีกเมื่อไหร่ มาหาหนูอีกนะคะ” คุณอาร์ตก็ตบปากรับคำไปว่า “ได้ครับ เดี๋ยวมาหานะครับ” ในที่สุดเรื่องราวทุกอย่างก็ปะติดปะต่อกันจนครบ “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาได้ผูกไว้กับเรา ที่พระท่านบอกว่า ช่วยอะไรเราไม่ได้ เพราะตัวเราต้องรู้เองว่าเขาเป็นใคร” คุณอาร์ตกล่าว หลังจากนั้นคุณอาร์ตจึงตัดสินใจพาเขากลับไปส่งยังที่สะพานแห่งนั้นพร้อมบอกกับเขาว่า“มาส่งแล้วนะ ไปอยู่ในที่ของตัวเอง ใครเชิญไปไหนก่อนหน้านี้ก็ไปตามเสียงเรียกนั้นนะ” และเขาก็หายไปและไม่ปรากฏให้คุณอาร์ตเห็นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

25 ก.ย. 2023

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ที่จะมาพบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมกับเรื่องเล่าของสองพี่น้องที่ต้องเดินกลับบ้านหลายสิบกิโลเมตรในตอนตี 2 จะเกิดเรื่องอะไรหลอน ๆ ในคืนนี้ จะเป็นยังไงไปอ่านกันเลย! พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจาก ‘พี่หม่อม’นักเล่าเรื่องผีที่รู้จักกัน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เกิดขึ้นที่ภาคอีสาน เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลกับตัวเมือง ชื่อ ‘หนุ่ม’ และ ‘เปีย’ ในช่วงเวลานั้นมีการจัดงานวัด แต่ว่างานวัดแห่งนี้จัดขึ้นในตัวอำเภอเมือง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ในสมัยนั้นการจะโดยสารเข้าไปในตัวอำเภอค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านจึงต้องรวมจำนวนคนให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้ไปด้วยกันทีเดียว งานวัดงานนี้เป็นงานประจำปีของจังหวัด สองพี่น้องก็มีรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวกันมาก จึงคุยปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านว่าจะเดินทางไปอย่างไรกันดี เพราะตอนกลางคืนจะไม่มีรถประจำทางมาให้บริการ ผู้ใหญ่บ้านเห็นความตั้งใจของลูกบ้าน และอยากให้ไปเที่ยวกันจึงติดต่อรถให้ ซึ่งเป็นรถขนส่งสินค้าที่เข้ามารับวัตถุดิบจากหมู่บ้านไปขายในตัวจังหวัด ทางเจ้าของรถขนส่งก็รับปากว่าจะมารับ แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วต้องกลับเลย ห้ามโอ้เอ้ เพราะเขาจะต้องตื่นมารับสินค้าแต่เช้าตรู่เพื่อไปขายในเมืองวันพรุ่งนี้ และทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันตามนั้น พอถึงวันงาน ชาวบ้านทั้งหมดก็มารวมตัวกันเพื่อโดยสารรถขนส่งคันนี้ไป ซึ่งมี 2 พี่น้องหนุ่มกับเปียไปด้วย พอไปถึงงาน เจ้าของรถก็บอกว่า “เที่ยงคืนนะ นี่คือเวลานัดหมายของเรา เที่ยงคืนต้องกลับ ไม่ว่าจะอะไร ห้ามโอเอ้ ถ้ามาไม่ทันก็จะไม่รอ” ทุกคนก็แยกย้ายกันไปสนุกสนาน จนใกล้เวลาเที่ยงคืน เปียคนเป็นน้องก็บอกหนุ่มคนพี่ว่า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวรถไม่รอเรานะ” คนพี่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรช่างมัน จะเป็นอะไรวะนาน ๆ มาเที่ยวกันที กลับกันเองก็ได้ เดี๋ยวหาโบกรถชาวบ้านกลับไปที่อำเภอเราก็ได้” พอถึงเวลาเที่ยงคืน รถขนส่งคันนั้นก็กลับไป สองพี่น้องก็ยังเที่ยวกันไปเรื่อย ๆ จนร้านค้า, ลิเก, หมอลำ และดนตรี เริ่มทยอยกันปิด บรรยากาศเริ่มกร่อย จนคนเป็นน้องบอกกับพี่ว่า “หรือเราจะนอนกันที่วัดก็ได้นะแล้วตอนเช้าค่อยกลับ” แต่คนพี่ก็ปฏิเสธเพราะตนกลัวผี จึงตัดสินใจกันเดินกลับในเวลาตี 2 สองพี่น้องพากันเดินกลับ และคิดว่าจะโบกรถระหว่างทาง ในระหว่างทางเดินที่ออกจากวัดก็มีเสียงหมาหอนตลอดทาง สองพี่น้องโบกรถกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีคันไหนไปทางเดียวกันเลย สุดท้ายโชคก็เข้าข้าง ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งขับผ่านมา เป็นลุงขับรถกระบะขนของที่ไปหมู่บ้านใกล้เคียงหมู่บ้านของสองพี่น้อง ทั้งคู่จึงขอติดรถไปด้วย จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทั้งสองก็พูดคุยกันไปว่าโชคดีที่มีรถกลับ ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าบนรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วย แต่เพราะความมืดทำให้มองไม่ชัด กระทั่งรถขับไปถึงไฟแดง แสงไฟก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่ารถกระบะที่พวกเขาขึ้นมานั้นบรรทุกโรงศพมา! ทั้งคู่ผงะถอยหลัง และคิดว่าจะลงจากรถ แต่ก็ไม่ทันเพราะว่ารถออกตัวก่อน ทั้งคู่รู้สึกเริ่มกลัว และเนื่องจากเส้นทางในต่างจังหวัดไม่ได้ราบเรียบ ทำให้จู่ ๆ ฝาโรงศพก็เปิดเอง! แล้วฝาโรงศพที่เปิดอยู่ก็เลื่อนปิดเอง! ด้วยความกลัว เปียคนน้องก็ย้ายตัวเองไปนั่งข้างพี่หนุ่มและคิดว่าจะเอาอย่างไรกันดี ระหว่างนั้นฝาโรงก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง! ทั้งคู่เห็นดังนั้นก็พยายามเอื้อมมือเคาะกระจกให้ลุงจอดรถ แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือ มีหน้าคนโผล่ออกมาจากโรงศพ ใบหน้านั้นมองมาที่สองพี่น้องและพูดว่า “มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” สิ้นเสียงนั้น สองพี่น้องก็ร่วงลงตกจากรถทันที! ลุงคนขับตกใจ จึงจอดรถและลงมาดู ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องตกจากรถ คนพี่อย่างหนุ่มร้องโอดโอย แต่คนน้องอย่างเปียสลบไปแล้ว ลุงคนขับโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการสอบสวน ลุงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า ลุงขับรถมากันสองคนกับเด็กขนของ แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็โบกรถขอติดกลับไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววของเด็กขนของ ตำรวจจึงถามว่าเด็กขนของอยู่ไหน ลุงก็ชี้ไปที่ท้ายรถ ตำรวจจึงเรียกมาคุย เด็กขนของบอกว่า “ผมนั่งหลังรถมา ผมหนาว เลยเข้าไปนอนในโรง ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็ไม่รู้ว่าใครมาคุยกันบนรถ ผมเลยเปิดโรงมาดู แล้วถามว่า มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง” สรุปแล้วตำรวจจึงต้องดำเนินคดีกับเด็กขนของเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิต และระหว่างที่จะพาตัวคุณลุงและเด็กขนของไปสถานีตำรวจ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า คนพี่ที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาลเสียชีวิตแล้ว เรียกได้ว่าเสียชีวิตทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ทั้งตัวลุงคนขับและเด็กขนของต้องติดคุก แต่ก็ติดคุกได้ไม่นาน เพราะทางเจ้าของร้านโรงศพช่วยอธิบายว่าการกระทำของทั้งคู่นั้นไม่ได้เจตนา หลังออกจากคุกและมาทำงานต่อเหมือนเดิม เจ้าของร้านก็สั่งไม่ให้เด็กขนของคนนี้นอนในโรงอีก แต่ว่าผ่านไปได้ไม่นาน เด็กขนของคนนี้ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกรถตายเหมือนกัน! คนจึงโจษขานกันเป็นสองเสียงว่า เป็นเพราะเมาจึงตกรถ แต่อีกเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะอาธรรพ์ที่ไปหลอกสองพี่น้องจนทำให้เขาตาย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

คู่รักเดินหลงเข้าไปในป่าจนเจอกระท่อมจึงหยุดพัก แต่กลับเจอ 2 ลุงนายพรานประหลาดหลอกผีจนวิ่งหนีไป! สักพักเจ้าหน้าที่ก็ตามมาที่กระท่อม พบว่า 2 ลุงนายพรานคือนักโทษหนีคดี สุดท้ายแล้ว ดันเป็นสองลุงนายพรานนั่นแหละ ที่โดนผีหลอก!

04 ก.ย. 2023

คู่รักเดินหลงเข้าไปในป่าจนเจอกระท่อมจึงหยุดพัก แต่กลับเจอ 2 ลุงนายพรานประหลาดหลอกผีจนวิ่งหนีไป! สักพักเจ้าหน้าที่ก็ตามมาที่กระท่อม พบว่า 2 ลุงนายพรานคือนักโทษหนีคดี สุดท้ายแล้ว ดันเป็นสองลุงนายพรานนั่นแหละ ที่โดนผีหลอก!

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปกางเต็นท์ในอุทยานแห่งหนึ่ง แล้วดันมีคู่รักเดินหลงหายเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเร่งค้นหา สุดท้ายก็ไปเจอสองลุงนายพรานที่ทำตัวน่าสงสัยในกระท่อมกลางป่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้น ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำความหลอนกลางป่าลึกมาเล่าไว้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปงX’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมาแล้ว ตามไปอ่านพร้อมกันเลย!พี่แจ็คบอกว่าผู้ที่นำเรื่องเล่ามาถ่ายทอดคือ ‘คุณวิน’ ซึ่งมีพี่ชายชื่อว่า ‘พี่ชาติ’ ทำงานอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง พี่ชาติเล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ทางผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่อุทยานได้รับแจ้งจากกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5-6 คนที่เข้าไปกางเต็นท์ในอุทยานว่าเพื่อนในกลุ่มหายไป เจ้าหน้าก็สอบถาม ทางกลุ่มวัยรุ่นก็บอกว่า พวกเขามาเที่ยวกันหลายคน มี 2 คนที่เป็นแฟนกัน ชื่อว่า ‘ต้น’ และ ‘แอน’ ตัวผู้หญิงอย่างแอนอยากจะไปทำธุระส่วนตัวจึงขอให้ต้นไปด้วยกัน แต่เวลาผ่านไปสักพัก ทั้ง 2 คนก็ไม่มีวี่แววจะกลับมา เพื่อนในกลุ่มช่วยกันเรียกหาเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พวกเขาจึงรีบออกมาเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่อง ก็ขอให้กลุ่มวัยรุ่นพาไปที่จุดสุดท้ายที่ยังเห็น 2 คนนั้น เมื่อเดินตามเข้าไปยังเส้นทางที่ทั้ง 2 คนใช้เดินเข้าไปในป่าก็เจอกับจุดตัดที่เป็นหน้าผาข้างล่างเป็นน้ำ จึงคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ที่ 2 คนนี้อาจจะพลาดลื่นตกลงไปในน้ำ เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังค้นหาบริเวณน้ำข้างล่างด้วย แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ผู้ใหญ่บ้านจึงถามเจ้าหน้าที่ว่ารัศมีที่จะลอยออกไปมันจะไปที่ไหนได้บ้าง ไปทางหมู่บ้านได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าทางที่น้ำไหลไปนั้นไม่ใช่ทางหมู่บ้านมันเป็นทางเข้าป่า แต่จะมีจุดหนึ่งที่มีกระท่อมอยู่ข้างในป่า ไม่แน่ว่าทั้ง 2 คนนั้นอาจจะไปอยู่ที่นั่นก็เป็นได้ จึงแบ่งกำลังออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกยังค้นหาในรัศมีเดิม อีกกลุ่มจะมีพี่ชาติ ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ออกค้นหาตามทางที่ไปกระท่อมเมื่อตัดภาพกลับมายังฝั่งผู้สูญหายอย่างคุณแอนและคุณต้น ทั้ง 2 เดินเข้าไปหาที่ทำธุระส่วนตัวกันในป่าที่ทั้งรกทั้งชื้นท่ามกลางแสงสลัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นตกลงไปในน้ำ เป้ที่สะพายมาด้วยก็หลุดและไหลไปตามน้ำ ทั้งคู่พยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอดเพื่อขึ้นจากน้ำและพยายามจะเดินกลับไปทางเดิม แต่เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ป่า เดินยังไงก็หลงทิศ จนกระทั่งเจอกระท่อมร้าง เมื่อเปิดเข้าไปก็มีข้าวของที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะพักอยู่ที่นี่ก่อนเพราะเวลามืดแล้ว แต่คุณแอนที่เป็นผู้หญิงก็กลัว ทั้งเรื่องของสัตว์ป่าและคุยกันว่า “คืนนี้เราจะเจอผีมั้ย?” สิ้นเสียงนี้ประตูกระท่อมก็เปิดอ้าทันที! ร่างของผู้ชายกำยำหน้าตาดุดันมีอายุลักษณะคล้ายนายพรานก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาแล้วถามว่า “พวกมึงเป็นใคร! เข้ามาในกระท่องนี้ได้ยังไง!” ทั้งสองตกใจกลัวและรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อเล่าจบ ‘ลุงดำ’ นายพรานคนนั้นก็บอกว่า “ตอนแรกนึกว่าเป็นโจรเข้ามาขโมยของ เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ก็เลยเดินตามมาดู” เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ลุงดำจึงอาสาพาทั้งสองไปส่งในตอนเช้า จากนั้นก็บอกว่าจะไปหาอะไรมาให้กิน และบอกทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าลุงออกไป ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร ห้ามทัก ห้ามเปิดประตู ห้ามทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ตัวเองเป็นอันตรายเด็ดขาด เพราะนอกจากสัตว์แล้ว.. ที่นี่ผีดุมาก!” จากนั้นลุงดำก็ออกจากกระท่อมไป ทั้งสองคนสงสัยว่าทำไมลุงดำต้องย้ำเรื่องผีขนาดนี้ จึงพยายามคุยกันเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ไม่นาน ประตูกระท่อมก็เปิดออกมาทันทีอีกครั้ง! เป็นลุงดำที่เปิดประตูเข้ามา ลุงดำยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ทั้งคู่ตกใจสบถกันไปคนละทาง แต่ลุงดำกลับพูดขึ้นมาว่า “พวกมึงเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง ใครอนุญาตให้เข้ามา!” คุณต้นและคุณแอนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงบอกไปว่า “เดี๋ยว ๆ เมื่อกี้พวกเราก็เจอลุงแล้วไง ลุงบอกว่าให้พวกเราอยู่ตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้เช้าลุงจะไปส่ง แล้วลุงก็ออกไปหาอะไรมาให้พวกเรากินไง” แต่พอคุยไปคุยมา ลุงที่เดินเข้ามาก็บอกว่า “มึงเจอละ คนที่พวกมึงเจอคือพี่ชายข้าชื่อดำ ไอ้ดำน่ะมันตายไปนานแล้ว! บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของดำด้วย เขาเป็นคนหวงบ้านมาก แต่คงไม่เป็นไรหรอก เขาคงพยายามจะช่วยแหละ ไม่ต้องกลัว ๆ” ถามไถ่ไปมาก็ได้ความว่าลุงคนนี้ชื่อ ‘ลุงแดง’ ตอนเช้าลุงจะพาไปส่ง ส่วนตอนนี้ให้รออยู่ในกระท่อม ลุงจะออกไปหาอะไรมาให้กิน และย้ำกับทั้งคู่ว่า “ห้ามเปิดประตู ล็อคประตูไว้ด้วย ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก เพราะที่นี่ผีดุมาก” พูดเหมือนกันเป๊ะ! เมื่อลุงแดงออกไป ทั้งคู่ก็ล็อคประตู ระหว่างนั้นก็คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ทันไรประตูก็เปิดออกอีกครั้ง! เป็นลุงแดงที่ถือจานข้าวเข้ามา “อ่ะนี่ เอาข้าวมาให้” ทั้งคู่ก็บอกว่า “ตกใจหมดเลยลุง ขอบคุณละลุงแดงที่เอาข้าวมาให้” ลุงได้ยินก็ตกใจแล้วบอกว่า “แดงไหน! ข้าชื่อดำ! แดงมันไข้ป่าตายไปแล้ว! โดนมันหลอกแล้ว” (พี่แจ็คเล่าเสริมอีกว่าลุงแดงและลุงดำเป็นฝาแฝดกัน ถ้าไม่เห็นในที่สว่างก็คล้ายกันมาจนแยกไม่ออก) คุณแอมและคุณต้นได้ยินเข้าก็งงหนักมากกว่าเดิม จึงบอกไปว่า “ลุง! ขอโทษนะคะ พวกเราไม่อยู่ละดีกว่า” ทั้งคู่รีบออกมาจากกระท่อมหลังนั้น แต่ก็เจอลุงนายพรานยืนอยู่หน้ากระท่อม! เหตุการณ์ตอนนี้คือมีลุงคนนึงยืนอยู่หน้ากระท่อม และอีกคนอยู่ข้างในกระท่อม ทั้งคู่ยืนเถียงกันไปมาว่า “มึงจะมาแย่ง 2 คนนี้ไปจากกูไม่ได้ กูเห็นก่อน กูจะเอามันไปอยู่ด้วย!” ลุงในกระท่อมก็บอกว่า “กูก็ไม่ยอมเหมือนกัน กูจะกินมัน!” คุณแอมและคุณต้นได้ยินก็ตกใจวิ่งเตลิดหายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะของลุงทั้งสองคน!หลังจากคุณแอมและคุณต้นหายลับเข้าไป ลุงดำก็บอกกับลุงแดงว่า “แดง มึงไปเอากระเป๋าที่มึงเก็บไว้มา” ปรากฏว่าทั้งสองคนนี้เป็นโจรฝาแฝดที่สะกดรอยตามมายังกระท่อมและแอบฟังว่าคุณแอมและคุณต้นคุยอะไรกัน เมื่อได้ความว่าเป็นคนหลงทาง ซ้ำยังกลัวผี และในกระเป๋าที่พวกตนเก็บได้นั้นมีของมีค่าอยู่จึงออกอุบายหลอกเหยื่อ ระหว่างที่กำลังรื้อกระเป๋าอยู่นั้น ก็มีเสียงกลุ่มคนเดินมา เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่กับผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง ลุงแดงกับลุงดำก็รีบเอากระเป๋าไปซ่อนไว้ใต้แคร่ในกระท่อมแล้วออกมาต้อนรับหน้าตาเฉย ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยทักไปว่า “อ้าว มาได้ยังไง ทำงานอยู่ในเมืองไม่ใช่เหรอ กระท่อมนี้เป็นของพ่อข้า ไม่เคยเข้ามาเลยนะ” ลุงทั้งสองก็ตอบกลับว่า “พวกเราอยากมาดูว่ากระท่อมที่นี่มันเป็นยังไง ก็เลยพากันมา” จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เอารูปของคุณแอมและคุณต้นให้สองลุงดู ลุงทั้งสองรีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เคยเห็น แต่เจ้าหน้าที่ก็เห็นพิรุธเหล่านั้น จึงเข้าไปค้นในกระท่อมก็เจอกระเป๋าที่ซ่อนไว้ จึงถามไปว่า “นี่มันกระเป๋านักท่องเที่ยวชัด ๆ ไปเอาของแบบนี้มาจากไหน?” สองลุงอึกอักและบอกว่า “พวกเราเก็บได้จากน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ขโมยใครมานะ” ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกให้นายพรานทั้งสองคนช่วยเจ้าหน้าที่ค้นหาคนหายเพราะทั้งสองเชี่ยวชาญพื้นที่บริเวณนั้นมาก ระหว่างนั้นก็มีเสียงวอ (วิทยุสื่อสาร) บอกว่า “เจอ 2 คนที่หายแล้ว เจออยู่ในน้ำ น่าจะเสียชีวิตไปหลายวันแล้ว” ลุงนายพรานสองคนก็มองหน้ากันเลิ่กลัก เจ้าหน้าที่เห็นความผิดปกติอีกครั้งก็เค้นถามว่า “ทำไมต้องตกใจด้วย ไหนบอกไม่รู้จักไง” สุดท้ายสองลุงนายพรานก็ยอมเปิดปากว่า ที่จริงแล้วนั้น ลุงแดงและลุงดำหนีคดีมาจากในเมือง ระหว่างเดินทางมากบดานที่กระท่อมก็เห็นกระเป๋าลอยน้ำอยู่จึงหยิบขึ้นมา แล้วก็เห็นชายหญิงคู่นั้นเดินโซซัดโซเซมาที่กระท่อมจึงสะกดรอยตามมา จากนั้นก็แอบฟังและออกอุบายทำผีหลอกเพื่อที่จะเอากระเป๋า สรุปแล้ว สิ่งที่ลุงแดงลุงดำหลอกคือผี!อาจเป็นเพราะคุณแอนและคุณต้มเสียชีวิตโดยที่ไม่รู้สึกตัว ทำให้ลุงแดงและลุงดำหลอกผีสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วตนเองกลับเป็นฝ่ายโดนผีหลอกต่างหาก หลังจากนั้นสองลุงนายพรานก็ถูกจับเนื่องคดีที่ติดตัวมา..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

07 ส.ค. 2023

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาอยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่ ‘คุณแจ็ค The Ghost Radio’ มาเป็นแขกรับเชิญเสริมอรรถรสให้รายการนี้เฮี้ยนกว่าเดิม! เรื่องราวครั้งนี้เป็นเรื่องของผีเด็กในโฮมเสตย์ แต่ก่อนจะไปอ่าน ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าได้ยินเสียงใครเคาะผนังตอนกลางคืนก็อย่าทักเชียว! เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณบอล’ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณบอลเป็นบัณฑิตป้ายแดงจากคณะสายการท่องเที่ยว เขาได้มีโอกาสไปฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง มีหน้าที่คอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ลูกค้า อยู่มาวันหนึ่ง ทางบริษัทมีโปรเจ็คให้พนักงานไปหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วนำมาเสนอให้ เจ้านายดู ปรากฎว่าทางบริษัทถูกใจไอเดียของคุณบอล สุดท้ายคุณบอลจึงได้รับโจทย์งานให้ไปตามหาแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือที่น้อยคนจะรู้จักตามแนวทางที่คุณบอลเสนอ ภายในระยะเวลา 7 วัน งานในครั้งนี้คุณบอลได้ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมันไม่อั้น แถมเงินใช้สอย 3 หมื่นบาท ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เด็กจบใหม่ไฟแรงไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน หลังจากตกปากรับคำแล้ว ก็ชวนเพื่อนที่คณะติดสอยห้อยตามไปด้วย เวลาผ่านไป 5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นคุณบอลนึกถึงจังหวัดน่านขึ้นมา ในอดีตจังหวัดนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก การเดินทางก็ค่อนข้างลำบาก คนส่วนใหญ่จึงมองที่นี่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่คุณบอลเห็นว่าน่านเป็นจังหวัดที่น่าไปสำรวจทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยงามมากมาย คุณบอลและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่จังหวัดน่านกันเป็นแห่งสุดท้าย ตลอดทริปนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน คุณบอลและเพื่อนก็เลือกไปพักที่โฮมสเตย์เพื่อประหยัดเงิน โฮมสเตย์สมัยนั้นเป็นบ้านพักของชาวบ้านที่จัดสรรพื้นที่บางส่วนให้คนนอกเข้าพัก บางแห่งก็อาจจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ เมื่อคุณบอลและเพื่อนมาถึงที่จังหวัดน่าน ก็ติดต่อไปที่ป้าคนหนึ่งชื่อ ‘ป้าพิณ’ เพื่อขอพักหนึ่งคืน กระทั่งถึงตอนเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ 7) ในระหว่างที่คุณบอลกับเพื่อนของเขารับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ป้าพิณไม่สามารถให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันได้เพราะตนมีธุระ จึงพาไปที่บ้านของ ‘ป้าแก้ว’ ที่เป็นโฮมสเตย์เหมือนกันแทน ดังนั้นเมื่อตกดึกคืนที่ 7 คุณบอลและเพื่อน ก็ย้ายไปที่บ้านป้าแก้ว บ้านของป้าแก้วนี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านปกติทั่วไป นอกจากนี้ป้าแก้วยังได้ทำอาหารต้อนรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณบอลก็ถามป้าแก้วว่าอาศัยอยู่กับใคร ป้าแก้วก็ตอบว่าอยู่กับลูก 2 คน แต่คุณบอลก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นเลย หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ป้าแก้วก็บอกว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้ให้ แล้วจะเอาเข้าไปวางไว้ในห้อง ตอนกลางคืนไม่ต้องออกมา หากปวดเบาก็มีกระโถนเตรียมไว้ให้เช่นกัน คุณบอลคิดว่าป้าแก้วอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่านไปมาในบ้านตัวเองตอนดึก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ห้องนอนที่ได้นั้น มีลักษณะเป็นไม้ทั้งหลัง ตอนนั้นคุณบอลและเพื่อนกำลังทำงานก่อนเข้านอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังไม้มาจากห้องอีกฟาก ปัง ปัง ปัง ! คุณบอลคิดว่าคงจะเป็นลูกของป้าแก้ว เสียงนี้ดังตลอดเวลาจนทนไม่ไหว จึงเดินไปดู แต่พอเปิดห้องออกไป ป้าแก้วก็ปรากฏตนขึ้นยืนขวางทางพวกเขาและบอกว่า “จะไปไหน ออกมาทำไม บอกว่ากลางคืนอย่าออกไง!” เจ้าของบ้านที่ใจดีอ่อนโยนในเย็นวันนั้นกลับกลายร่างเป็นคนดุน่ากลัวในยามค่ำคืน ทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพยายามออกจากห้องทีเดียว เพื่อนคุณบอลได้แต่ทำเออออห่อหมกแกล้งบอกปวดหนักต้องการเข้าห้องน้ำแล้วให้คุณป้าพาไป และเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง ป้าแก้วก็กำชับอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ห้ามออกจากห้องในยามวิกาลเด็ดขาด แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาพร้อมเสียงของเด็ก ปัง ปัง ปัง! “มีใครอยู่ไหม!” และยังมีเสียงของป้าแก้วดังขึ้นมาว่า “ทำเสียงดังทำไม เคาะทำไม กวนพี่เขา พี่เขาทำงานอยู่” แม้เสียงจะฟังแล้วจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าคงจะเป็นเสียงผู้ใหญ่กับเด็กคุยกัน หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก สองหนุ่มเกิดสมาธิหลุดจากการทำงานอีกรอบเพราะเสียงเคาะผนัง คราวนี้คุณบอลลองเอาหูไปทาบกับผนังดู แต่เสียงก็หยุดไปก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กขี้เล่นกระซิบผ่านผนังว่า “ได้ยินหรอ อยากรู้หรอ มาเล่นกันไหม!” คุณบอลตกใจมากกับเสียงที่ได้ยิน เพื่อนคุณบอลพยายามปลอบไม่ให้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าเด็กคงจะขี้เล่นแบบนี้ คุณบอลพยายามนั่งทำงานต่อ แต่หลังจากผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสียงเคาะก็มาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาที่จุดเดิมแต่กระจัดกระจายไปทั่วผนัง! หลายชั่วโมงผ่านไป คุณบอลก็ยังได้ยินเสียงเคาะผนัง ซึ่งมันดังมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกตอนตีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ตีสามแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีรูที่ผนัง คุณบอลกับเพื่อนก็ลองส่องเข้าไปดูยังห้องอีกฟากหนึ่งของผนังดู ห้องที่เห็นค่อนข้างมืด มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหรือไม่ก็เทียนไขพอให้ห้องสว่างวูบวาบอยู่บ้าง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นเตียงและเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนี้หันหน้าเข้ากำแพงอีกฝั่งหันหลังให้คุณบอล เขามีหัวที่ค่อนข้างผิดรูปใหญ่โตกว่าปกติมาก ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเอาหัวโยกไปมาที่ผนังคล้ายเหมือนจะเล็งเป้า แล้วก็กระแทกหัวไปที่ผนังอย่างจังพร้อมส่งเสียง ปัง ปัง ปัง! พร้อมกับพูดว่า “อยู่ตรงนี้รึเปล่า!” จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งผนังซ้ายทีขวาที เมื่อผ่านไปได้สักระยะ เด็กคนนี้ก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งและนับ 1...2...3... เขาคลานอย่างเร็วมาส่องที่รูตรงผนัง ตาต่อตากับคุณบอล แล้วพูดว่า “อยู่นี่เอง! อยู่นี่ใช่ไหม!” คุณบอลและเพื่อนผงะออกมาจากผนัง ทั้งสองขวัญหนีดีฝ่อรีบคว้ามือถือตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอน เปิดออกมา แล้วก็เจอกับป้าแก้วยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกเช่นเคย พร้อมกับพูดว่า “ออกมาทำไม ไม่ต้องออกมา กลับเข้าไปนอน!” เรียกว่าหนีผีปะป้าแก้วจริง ๆ คุณบอลและเพื่อนไม่รู้จะกลัวอะไรก่อนดี ระหว่างผีหรือว่าเสียงตวาดของป้าแก้ว คุณบอลและเพื่อนหมดหนทาง จะให้ออกไปตอนมืดแบบนี้ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายจึงจำใจอยู่ต่อในโฮมสเตย์แห่งนี้จนถึงเช้า ฟังเสียง ปัง ปัง ปัง! ของผี มีเพียงผนังไม้เท่านั้นมีกั้นพวกเขาเอาไว้ให้ปลอดภัย คุณบอลและเพื่อนจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว และมีคนมาเคาะที่ประตู ซึ่งก็คือป้าพิณที่มาชวนไปกินข้าว ชายทั้งสองรีบเก็บของแทบไม่ทัน แล้วเดินตามป้าพิณไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินนี้ก็ไม่มีวี่แววของป้าแก้วเลยสักนิด ทั้งคู่เล่าเรื่องประสบการณ์ชวนผวาเมื่อคืนให้ป้าพิณฟัง หลังจากเล่าเสร็จ ป้าพิณก็กล่าวขอโทษ และบอกว่าไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนป้าแก้วมีลูกอยู่จริง เด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ชอบไปเล่นในป่าในสวนอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่ง ลูกของป้าแก้วเข้าไปเล่นในสวนแล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลายวันผ่านไปป้าแก้วเริ่มใจสลาย แต่แล้ววันดีคืนดีลูกชายก็กลับมา ป้าแก้วเข้าไปกอดลูกด้วยความดีใจถามว่าเขาไปอยู่ไหนมา เด็กคนนี้ก็ได้แต่ตอบว่าไปอยู่กับ “ลุง” มา ส่วนเรื่องอาหารการกิน “ลุง” ก็เป็นคนจัดเตรียมให้ ป้าแก้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะดีใจที่ลูกกลับมา หลังจากเรียกชาวบ้านมารับขวัญเด็กคนนี้แล้ว เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านป้าแก้วตามเดิม แต่เรื่องที่แปลกก็คือ หลังจากกลับมาลูกชายของป้าแก้วก็เอาแต่พูดถึงเรื่อง “ลุง” ขอร้องให้ป้าแก้วพาไปหา “ลุง” อยู่ตลอดเวลา เมื่อป้าแก้วถามว่าลุงคนนี้คือใคร ลูกก็ไม่ตอบ นานวันไป เด็กคนนี้ก็เริ่มอาละวาดเพราะแม่ไม่พาไปหาลุงเสียที สุดท้ายป้าแก้วไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกได้ ต้องยอมพาลูกไปหา “ลุง” ป้าแก้วไปตามทางที่ลูกเป็นคนนำเข้าไปในป่า จนมาหยุดอยู่ตรงศาลพระภูมิไม้เก่า ๆ พอถึงตรงนั้นแล้วลูกของป้าแก้วก็เดินตรงไปที่เครื่องเซ่น แล้วหยิบมากิน! ลูกของป้าแก้วพูดว่า “เนี่ยไง บ้านลุง!” ป้าแก้วรีบห้ามลูก แล้วพากลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็อาละวาดพยายามจะกลับไปหา “ลุง” อีกให้ได้ ตอนนั้นป้าแก้วก็ต้องออกไปเก็บเห็ดทำสวน จะเอาลูกไปด้วยตลอดเวลาก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจขังลูกไว้ในห้องตอนตัวเองไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งเมื่อกลับมาจากการทำงาน บ้านก็ดูเงียบผิดสังเกต เมื่อไปดูที่ห้องก็พบลูกนอนตายอยู่! มีลักษณะเหมือนว่าพยายามจะเอามือข่วนไปที่กำแพง และยังมีเลือดอาบเต็มหัว เหมือนเอาหัวโขกไปที่กำแพงอยู่หลายรอบ เสียงที่คุณบอลและเพื่อนได้ยิน คงจะเป็นจิตสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่เอาหัวโขกกำแพง เพื่อที่จะพยายามพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปให้ได้นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1