เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ทำไมไม่สวดต่อ’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณคิม (นามสมมติ)’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคุณคิม แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณคิมที่มีชื่อว่า ‘คุณเปี๊ยก (นามสมมติ)’ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
คุณเปี๊ยกเป็นหนึ่งในเด็กวัยรุ่นประจำหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อนชายในกลุ่มต่างก็ต้องบวช โดยแต่ละคนก็ได้ไปประจำแต่ละวัด คุณเปี๊ยกเห็นเช่นนั้น ก็อยากที่จะบวชบ้าง จึงได้ไปปรึกษากับคุณแม่ แต่ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดี จึงถูกปฏิเสธ แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง ในระยะเวลาเดียวกัน บังเอิญว่า ‘หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่’
แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลเกือบ 10 กิโล แต่งานพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ จะมีเจ้าภาพที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อทางคณะเจ้าภาพจะได้บุญกุศลใหญ่ คุณเปี๊ยกจึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเข้าบวชในพิธีนี้ โดยมีกำหนดการออกมาทั้งหมด 9 วัน ซึ่งหลังจาก 9 วัน ใครก็ตามที่อยากจะบวชต่อก็สามารถจำวัดต่อได้ หรือใครอยากสึกก็ตามแต่ตั้งใจ
หลังจากบวชจนครบ 9 วัน หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจที่จะบวชต่อ เพราะรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่หลวงพี่เปี๊ยกต้องการที่จะย้ายวัดให้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อที่คุณแม่จะได้สะดวกในการมาใส่บาตร หลวงพี่เปี๊ยกจึงปรึกษากับหลวงพ่อ ทำเรื่องถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของตน ปรากฏว่าทุกวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของหลวงพี่เปี๊ยก มีพระใหม่เข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก จนพระล้นกุฏิ ไม่สามารถรับใครเพิ่มได้แล้ว แต่ก็มีคนคำแนะนำว่า
“มีวัดอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งห่างไปไม่เกิน 2 กิโล น่าจะสามารถเข้าไปจำพรรษาได้ ลองเข้าไปคุยกับที่วัดดู”
หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจเข้าไปคุย ปรากฏว่าวัดนี้มีกุฏิว่างเหลืออยู่ แต่เป็นกุฏิหลังเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ได้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เจ้าอาวาสจึงถามว่า
“อยู่ได้ไหม ?”
หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “อยู่ได้ครับ” เพราะไม่ไกลบ้าน และคุณแม่ก็สามารถมาใส่บาตรตอนเช้าได้
หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกก็เข้าไปดูกุฏิ ซึ่งอยู่บริเวณท้ายวัด ติดกับเมรุและป่าช้า ตัวกุฏิมีลักษณะเป็นไม้เก่า ยกพื้นสูง ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านในกุฏิจะเต็มไปด้วยข้าวของของวัดมากมาย เช่น พาน บาตร พวงมาลัยพลาสติก ฯลฯ หลวงพ่อจึงเกณฑ์คนในวัดให้ไปช่วยทำความสะอาด ขนของ ย้ายอุปกรณ์ออก ซึ่งวันแรกหลวงพี่เปี๊ยกก็สามารถเข้าจำวัดได้ตามปกติ
หลังจากที่ออกบิณฑบาตเช้าเรียบร้อย หลวงพี่ที่อยู่จำพรรษามาก่อนก็ถามว่า
“เป็นยังไงพระเปี๊ยก เมื่อคืนนอนได้ไหม หลับสบายหรือเปล่า ได้เจออะไรไหมล่ะ ?”
หลวงพี่เปี๊ยกแปลกใจเล็กน้อย จึงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เจออะไรนะครับ” แต่ก็แอบคิดในใจว่า ‘ทำไมหลวงพี่ถามแบบนี้นะ ?’ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
หลังจากนั้นช่วงสายก็มีเด็กวัดมานั่งเล่นอยู่แถวกุฏิ เด็กวัดเห็นหลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า
“หลวงพี่มานอนกุฏินี้ หลวงพี่ไม่กลัวผีเหรอ ?”
หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องกลัวผี ? มันมีอะไรหรือเปล่า”
เด็กวัดก็เริ่มเลิ่กลั่กตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ”
ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 2 กิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืนของหลวงพี่เปี๊ยก คือ การสวดมนต์ แต่ด้วยความที่หลวงพี่เปี๊ยกเป็นพระใหม่ สวดไม่เป็น ไม่รู้วิธีการท่อง และก็ไม่รู้ว่าจะสวดบทอะไร จึงพยายามหาบทสวดที่ทำให้ตัวเองสามารถสวดเพื่อที่จะนอนหลับได้ จนกระทั่งเผลอหลับไป ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง โดยกุฏิกับห้องน้ำอยู่ห่างกัน 30-40 เมตร ซึ่งหลวงพี่เปี๊ยกต้องเดินลงจากกุฏิ และเดินผ่านทางที่มีไฟสลัวไปห้องน้ำ ระหว่างทางเดินหลวงพี่เปี๊ยกเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ผ่านหางตาซ้าย จึงรีบหันกลับไปมองเห็นเป็น ‘พระรูปหนึ่ง’
พระรูปนั้นเป็นพระแก่ชรา มีลักษณะหลังค่อม ซึ่งค่อมจน ‘ศีรษะแทบจะติดพื้น’ และยังคงยืนโค้งอยู่อย่างนั้น หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า
“หลวงตามาทำอะไรครับ ?”
หลวงตาจึงหยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้ากลับมายิ้มให้ แล้วก็เดินไปทางด้านหลังห้องน้ำที่เป็นทางไปกุฏิอื่น หลวงพี่เปี๊ยกจึงคิดว่า ‘หลวงพ่อเขาคงไม่อยากคุยอะไรกับเรา’ และเก็บความสงสัยไว้ในใจ..
วันรุ่งขึ้นหลวงพี่เปี๊ยกก็ถามกับหลวงพี่ว่า
“วัดเรามีพระแก่ไหมครับ ลักษณะหลังค่อม ?”
หลวงพี่จึงตอบว่า “พระแก่ของวัดเรามีอยู่รูปเดียว และเป็นรองเจ้าอาวาส ไม่ได้หลังค่อม ทำไมเหรอ ?”
หลวงพี่เปี๊ยกได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ถามอะไรต่อ
ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 3 ในระหว่างที่หลวงพี่เปี๊ยกก็กำลังสวดมนต์เหมือนปกติ หลวงพี่เปี๊ยกก็ได้ยินเสียงคนสวดตามอยู่ด้านนอกกุฏิ และไม่ว่าหลวงพี่เปี๊ยกจะสวดบทอะไร ด้านนอกก็จะสวดตาม หลวงพี่เปี๊ยกเกิดความสงสัยว่าใครมาสวดตามตน จึงลองเงียบ และเมื่อเงียบ ด้านนอกก็เงียบ แต่เมื่อหลวงพี่เปี๊ยกสวดต่อ ด้านนอกก็สวดต่อ ด้วยความสงสัยถึงขั้นสุด หลวงพี่เปี๊ยกจึงเลือกที่จะเดินเอาหูไปแนบกับประตู ก่อนที่จะท่องต่อว่า
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต…”
แล้วก็หยุดเพื่อที่จะรอฟังคนด้านนอก ปรากฏว่าหลวงพี่เปี๊ยกได้ยินเสียงพูดกลับมาว่า
“ทำไมไม่สวดต่อล่ะ หยุดสวดทำไม กลัวเหรอ!?”
หลวงพี่เปี๊ยกก็ตกใจ ก่อนที่จะถอยหลังจากประตู และกลับมานั่งสวดมนต์ต่อที่เดิม เริ่มสัมผัสได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกมันไม่ปกติ’ จึงนั่งหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบลง แล้วก็ได้ยินเสียง ปัก… ปัก… ปัก ! คล้ายกับว่ามีของบางอย่างกระทบกันอยู่! ซึ่งในตอนนั้นไฟทุกดวงได้ปิดหมดแล้ว หลวงพี่เปี๊ยกจึงหยิบไฟฉายใกล้ตัวขึ้นมา และส่องไปที่ต้นทางของเสียงบริเวณประตู เริ่มส่องไปตั้งแต่บริเวณพื้นเห็นเป็น ‘ขาและชายจีวร’ ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไฟขึ้น เห็นเป็นศีรษะที่ก้มโค้งจนจะติดพื้น และเสียง ปัก… ปัก… ปัก! เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากศีรษะที่กำลังโขกกับประตู
หลวงพี่เปี๊ยกตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะตั้งสติและเข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผีแน่นอน! จึงนำผ้าห่มมาคลุมตัว และหลับตาสวดมนต์ พร้อมพูดว่า
“อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! ผมกลัวแล้ว !!”
ในระหว่างที่พูดเสียงที่เคาะก็ได้เงียบลง จังหวะพอดีกับความคิดของหลวงพี่เปี๊ยกที่คิดว่าจะเอายังไงต่อไป ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนที่หายใจไม่ออก “กร่อกกกกกก…” อยู่บริเวณด้านหน้าผ้าห่มที่ตัวเองคลุมเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! อย่ามาหลอกผมเลย !!”
แล้วเสียงก็เงียบลง จึงตัดสินใจเปิดผ้าออก และค่อย ๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าพระรูปหนึ่งที่แก่ชรา ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้าปากอมมือของหลวงพี่เปี๊ยกที่ไหว้อยู่!
หลวงพี่เปี๊ยกตกใจมาก สะบัดมือของตัวเองออก ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ ทันที โดยวิ่งไปทางห้องน้ำ ซึ่งพอวิ่งไปถึงหน้าห้องน้ำ ก็เจอกับพระรูปหนึ่งที่มีลักษณะแก่ชราและมีอายุ พระรูปนั้นก็ถามขึ้นว่า
“หลวงพี่เป็นอะไร ? วิ่งมาทำไม !?”
หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมโดนผีหลอก”
หลวงพ่อรูปนี้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ก่อน ค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวเข้าไปสงบจิตใจที่กุฏิอาตมา” ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ทางด้านหลังห้องน้ำพอดี
หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อก็พูดปลอบประโลมให้หลวงพี่เปี๊ยกใจเย็นขึ้น จนหลวงพี่เปี๊ยกเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเข้าหู ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “หลวงพี่เปี๊ยก !” และอีกหลายเสียงว่า “หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ไหน !?” หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกจึงเริ่มตั้งสติ ค่อย ๆ ลุกขึ้นลืมตามองไปรอบห้อง ก่อนที่จะตกใจสุดขีดเพราะ กุฏิที่ตนอยู่เป็นกุฏิที่ถูกปิดตาย และเห็นว่ามีสรีระสังขารของพระรูปหนึ่ง ลักษณะผิวแห้งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้ว นอนอยู่ในโลงแก้ว! มองสูงขึ้นไปอีกพบรูปหน้าโลง เป็นใบหน้าของหลวงพ่อเมื่อคืนที่ช่วยเหลือตน
หลวงพี่เปี๊ยกตะโกนร้องสุดเสียงว่า
“ผมอยู่นี่ ! พระอยู่นี่ !! ช่วยด้วย !!” จนเจ้าอาวาสได้ยินเสียง และนำกุญแจมาเปิดประตู หลังจากเปิดเข้ามาก็ถามหลวงพี่เปี๊ยกว่า
“พระเปี๊ยกเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง !?” เพราะกุฏินี้มันถูกล็อกจากด้านนอก
หลวงพี่เปี๊ยกจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอาวาส และเด็กวัดทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กุฏิที่หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส และท่านมรณภาพไปนานแล้ว” ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เจ้าอาวาสได้บอกกับรองเจ้าอาวาสว่า “ถ้าหากตัวอาตมามรณภาพ ไม่ต้องเผานะ เพราะว่าสรีระสังขารของอาตมาจะไม่เน่า ให้เก็บสรีระสังขารของอาตมาไว้ และในทุก ๆ ปีให้จัดงานสมโภช ให้กับสังขารของอาตมา” ทำให้มีสรีระสังขารของเจ้าอาวาสถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว
ทุกคนจึงตั้งคำถามว่า ‘แล้วหลวงพี่เปี๊ยกเข้าไปได้ยังไง ?’ เกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า เจ้าอาวาสท่านคงมาช่วย เพราะสิ่งที่หลวงพี่เปี๊ยกเจอ คือ อดีตพระลูกวัดที่เคยบวชอยู่ที่นี่ ชื่อว่า ‘หลวงตาแก้ว’ ซึ่งก่อนที่หลวงตาแก้วจะมาบวช ท่านเป็นคนเล่นของ จนกระทั่งหลวงตาแก้วได้ไปบอกกับชาวบ้านว่า ตนจะเลิกเล่นคุณไสยมนต์ดำ และตัดสินใจที่จะมาบวชที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตอนที่หลวงตาแก้วบวช ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่อว่าท่านจะตัดขาดได้จริง แต่หลวงตาแก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ‘ท่านสามารถทำกิจของสงฆ์ได้และได้ดี’ ไม่มีขาดตกบกพร่อง
กระทั่งวันหนึ่ง หลวงตาแก้วก็เริ่มป่วย จนไม่สามารถที่จะทำกิจของสงฆ์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่เป็นคนคอยถวายอาหารให้ทุกวัน วันหนึ่งในระหว่างที่ลูกศิษย์นำอาหารเพลเข้ามาถวาย ลูกศิษย์ก็สังเกตเห็นว่า ‘ทำไมหลวงตาแก้วไม่ฉันอาหารเช้า ?’ แต่ก็เอาอาหารเพลไปวางไว้เหมือนเดิม จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารทุกมื้อยังอยู่เหมือนเดิม จึงเริ่มเอะใจตะโกนชื่อเรียกหลวงตาแก้ว และพยายามเปิดประตู ซึ่งปรากฏว่าห้องล็อค จึงพยายามพังประตูเข้าไปพบ ‘สรีระสังขารหลวงตาแก้วนอนอืดอยู่กลางห้อง’
ซึ่งภายในห้องมีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อยู่ทั่วทั้งห้อง เหมือนกับว่า ‘หลวงตาแก้วเลี้ยงอะไรบางอย่างไว้ในกุฏิ’ เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในกุฏิของหลวงตาแก้ว ทุกคนจึงคิดตรงกันว่า หลวงตาแก้วเลี้ยงผีแน่นอน และคิดกันต่อว่าหลวงตาแก้วคงเอาไม่อยู่ คือพยายามจะเลิก แต่ไม่สามารถเลิกได้ จึงโดนของเข้าตัวจนเสียชีวิต และหลังจากนั้น คนในวัดก็พบเห็นผีหลวงตาแก้ว เดินอยู่ในวัด ลักษณะหลังค่อม โค้งจนศีรษะแทบจะติดพื้นอยู่เป็นประจำ..
(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่