เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

02 มิ.ย. 2024

          เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ทำไมไม่สวดต่อ’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !

          เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณคิม (นามสมมติ)’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคุณคิม แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณคิมที่มีชื่อว่า ‘คุณเปี๊ยก (นามสมมติ)’ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

          คุณเปี๊ยกเป็นหนึ่งในเด็กวัยรุ่นประจำหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อนชายในกลุ่มต่างก็ต้องบวช โดยแต่ละคนก็ได้ไปประจำแต่ละวัด คุณเปี๊ยกเห็นเช่นนั้น ก็อยากที่จะบวชบ้าง จึงได้ไปปรึกษากับคุณแม่ แต่ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดี จึงถูกปฏิเสธ แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง ในระยะเวลาเดียวกัน บังเอิญว่า ‘หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่’

          แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลเกือบ 10 กิโล แต่งานพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ จะมีเจ้าภาพที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อทางคณะเจ้าภาพจะได้บุญกุศลใหญ่ คุณเปี๊ยกจึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเข้าบวชในพิธีนี้ โดยมีกำหนดการออกมาทั้งหมด 9 วัน ซึ่งหลังจาก 9 วัน ใครก็ตามที่อยากจะบวชต่อก็สามารถจำวัดต่อได้ หรือใครอยากสึกก็ตามแต่ตั้งใจ

          หลังจากบวชจนครบ 9 วัน หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจที่จะบวชต่อ เพราะรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่หลวงพี่เปี๊ยกต้องการที่จะย้ายวัดให้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อที่คุณแม่จะได้สะดวกในการมาใส่บาตร หลวงพี่เปี๊ยกจึงปรึกษากับหลวงพ่อ ทำเรื่องถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของตน ปรากฏว่าทุกวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของหลวงพี่เปี๊ยก มีพระใหม่เข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก จนพระล้นกุฏิ ไม่สามารถรับใครเพิ่มได้แล้ว แต่ก็มีคนคำแนะนำว่า

          “มีวัดอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งห่างไปไม่เกิน 2 กิโล น่าจะสามารถเข้าไปจำพรรษาได้ ลองเข้าไปคุยกับที่วัดดู”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจเข้าไปคุย ปรากฏว่าวัดนี้มีกุฏิว่างเหลืออยู่ แต่เป็นกุฏิหลังเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ได้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เจ้าอาวาสจึงถามว่า

          “อยู่ได้ไหม ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “อยู่ได้ครับ” เพราะไม่ไกลบ้าน และคุณแม่ก็สามารถมาใส่บาตรตอนเช้าได้

          หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกก็เข้าไปดูกุฏิ ซึ่งอยู่บริเวณท้ายวัด ติดกับเมรุและป่าช้า ตัวกุฏิมีลักษณะเป็นไม้เก่า ยกพื้นสูง ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านในกุฏิจะเต็มไปด้วยข้าวของของวัดมากมาย เช่น พาน บาตร พวงมาลัยพลาสติก ฯลฯ หลวงพ่อจึงเกณฑ์คนในวัดให้ไปช่วยทำความสะอาด ขนของ ย้ายอุปกรณ์ออก ซึ่งวันแรกหลวงพี่เปี๊ยกก็สามารถเข้าจำวัดได้ตามปกติ

          หลังจากที่ออกบิณฑบาตเช้าเรียบร้อย หลวงพี่ที่อยู่จำพรรษามาก่อนก็ถามว่า

          “เป็นยังไงพระเปี๊ยก เมื่อคืนนอนได้ไหม หลับสบายหรือเปล่า ได้เจออะไรไหมล่ะ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกแปลกใจเล็กน้อย จึงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เจออะไรนะครับ” แต่ก็แอบคิดในใจว่า ‘ทำไมหลวงพี่ถามแบบนี้นะ ?’ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

          หลังจากนั้นช่วงสายก็มีเด็กวัดมานั่งเล่นอยู่แถวกุฏิ เด็กวัดเห็นหลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงพี่มานอนกุฏินี้ หลวงพี่ไม่กลัวผีเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องกลัวผี ? มันมีอะไรหรือเปล่า”

          เด็กวัดก็เริ่มเลิ่กลั่กตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ”          

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 2 กิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืนของหลวงพี่เปี๊ยก คือ การสวดมนต์ แต่ด้วยความที่หลวงพี่เปี๊ยกเป็นพระใหม่ สวดไม่เป็น ไม่รู้วิธีการท่อง และก็ไม่รู้ว่าจะสวดบทอะไร จึงพยายามหาบทสวดที่ทำให้ตัวเองสามารถสวดเพื่อที่จะนอนหลับได้ จนกระทั่งเผลอหลับไป ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง โดยกุฏิกับห้องน้ำอยู่ห่างกัน 30-40 เมตร ซึ่งหลวงพี่เปี๊ยกต้องเดินลงจากกุฏิ และเดินผ่านทางที่มีไฟสลัวไปห้องน้ำ ระหว่างทางเดินหลวงพี่เปี๊ยกเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ผ่านหางตาซ้าย จึงรีบหันกลับไปมองเห็นเป็น ‘พระรูปหนึ่ง’

          พระรูปนั้นเป็นพระแก่ชรา มีลักษณะหลังค่อม ซึ่งค่อมจน ‘ศีรษะแทบจะติดพื้น’ และยังคงยืนโค้งอยู่อย่างนั้น หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงตามาทำอะไรครับ ?”

          หลวงตาจึงหยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้ากลับมายิ้มให้ แล้วก็เดินไปทางด้านหลังห้องน้ำที่เป็นทางไปกุฏิอื่น หลวงพี่เปี๊ยกจึงคิดว่า ‘หลวงพ่อเขาคงไม่อยากคุยอะไรกับเรา’ และเก็บความสงสัยไว้ในใจ..

          วันรุ่งขึ้นหลวงพี่เปี๊ยกก็ถามกับหลวงพี่ว่า

          “วัดเรามีพระแก่ไหมครับ ลักษณะหลังค่อม ?”

          หลวงพี่จึงตอบว่า “พระแก่ของวัดเรามีอยู่รูปเดียว และเป็นรองเจ้าอาวาส ไม่ได้หลังค่อม ทำไมเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ถามอะไรต่อ

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 3 ในระหว่างที่หลวงพี่เปี๊ยกก็กำลังสวดมนต์เหมือนปกติ หลวงพี่เปี๊ยกก็ได้ยินเสียงคนสวดตามอยู่ด้านนอกกุฏิ และไม่ว่าหลวงพี่เปี๊ยกจะสวดบทอะไร ด้านนอกก็จะสวดตาม หลวงพี่เปี๊ยกเกิดความสงสัยว่าใครมาสวดตามตน จึงลองเงียบ และเมื่อเงียบ ด้านนอกก็เงียบ แต่เมื่อหลวงพี่เปี๊ยกสวดต่อ ด้านนอกก็สวดต่อ ด้วยความสงสัยถึงขั้นสุด หลวงพี่เปี๊ยกจึงเลือกที่จะเดินเอาหูไปแนบกับประตู ก่อนที่จะท่องต่อว่า

          “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต…”

          แล้วก็หยุดเพื่อที่จะรอฟังคนด้านนอก ปรากฏว่าหลวงพี่เปี๊ยกได้ยินเสียงพูดกลับมาว่า

          “ทำไมไม่สวดต่อล่ะ หยุดสวดทำไม กลัวเหรอ!?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตกใจ ก่อนที่จะถอยหลังจากประตู และกลับมานั่งสวดมนต์ต่อที่เดิม เริ่มสัมผัสได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกมันไม่ปกติ’  จึงนั่งหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบลง แล้วก็ได้ยินเสียง ปัก… ปัก… ปัก ! คล้ายกับว่ามีของบางอย่างกระทบกันอยู่! ซึ่งในตอนนั้นไฟทุกดวงได้ปิดหมดแล้ว หลวงพี่เปี๊ยกจึงหยิบไฟฉายใกล้ตัวขึ้นมา และส่องไปที่ต้นทางของเสียงบริเวณประตู เริ่มส่องไปตั้งแต่บริเวณพื้นเห็นเป็น ‘ขาและชายจีวร’ ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไฟขึ้น เห็นเป็นศีรษะที่ก้มโค้งจนจะติดพื้น และเสียง ปัก… ปัก… ปัก! เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากศีรษะที่กำลังโขกกับประตู

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะตั้งสติและเข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผีแน่นอน! จึงนำผ้าห่มมาคลุมตัว และหลับตาสวดมนต์ พร้อมพูดว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! ผมกลัวแล้ว !!”

          ในระหว่างที่พูดเสียงที่เคาะก็ได้เงียบลง จังหวะพอดีกับความคิดของหลวงพี่เปี๊ยกที่คิดว่าจะเอายังไงต่อไป ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนที่หายใจไม่ออก “กร่อกกกกกก…” อยู่บริเวณด้านหน้าผ้าห่มที่ตัวเองคลุมเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! อย่ามาหลอกผมเลย !!”

          แล้วเสียงก็เงียบลง จึงตัดสินใจเปิดผ้าออก และค่อย ๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าพระรูปหนึ่งที่แก่ชรา ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้าปากอมมือของหลวงพี่เปี๊ยกที่ไหว้อยู่!

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจมาก สะบัดมือของตัวเองออก ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ ทันที โดยวิ่งไปทางห้องน้ำ ซึ่งพอวิ่งไปถึงหน้าห้องน้ำ ก็เจอกับพระรูปหนึ่งที่มีลักษณะแก่ชราและมีอายุ พระรูปนั้นก็ถามขึ้นว่า

          “หลวงพี่เป็นอะไร ? วิ่งมาทำไม !?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมโดนผีหลอก”

          หลวงพ่อรูปนี้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ก่อน ค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวเข้าไปสงบจิตใจที่กุฏิอาตมา” ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ทางด้านหลังห้องน้ำพอดี

         

          หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อก็พูดปลอบประโลมให้หลวงพี่เปี๊ยกใจเย็นขึ้น จนหลวงพี่เปี๊ยกเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเข้าหู ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “หลวงพี่เปี๊ยก !” และอีกหลายเสียงว่า “หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ไหน !?” หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกจึงเริ่มตั้งสติ ค่อย ๆ ลุกขึ้นลืมตามองไปรอบห้อง ก่อนที่จะตกใจสุดขีดเพราะ กุฏิที่ตนอยู่เป็นกุฏิที่ถูกปิดตาย และเห็นว่ามีสรีระสังขารของพระรูปหนึ่ง ลักษณะผิวแห้งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้ว นอนอยู่ในโลงแก้ว! มองสูงขึ้นไปอีกพบรูปหน้าโลง เป็นใบหน้าของหลวงพ่อเมื่อคืนที่ช่วยเหลือตน

          หลวงพี่เปี๊ยกตะโกนร้องสุดเสียงว่า

          “ผมอยู่นี่ ! พระอยู่นี่ !! ช่วยด้วย !!” จนเจ้าอาวาสได้ยินเสียง และนำกุญแจมาเปิดประตู หลังจากเปิดเข้ามาก็ถามหลวงพี่เปี๊ยกว่า

          “พระเปี๊ยกเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง !?” เพราะกุฏินี้มันถูกล็อกจากด้านนอก

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอาวาส และเด็กวัดทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กุฏิที่หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส และท่านมรณภาพไปนานแล้ว” ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เจ้าอาวาสได้บอกกับรองเจ้าอาวาสว่า “ถ้าหากตัวอาตมามรณภาพ ไม่ต้องเผานะ เพราะว่าสรีระสังขารของอาตมาจะไม่เน่า ให้เก็บสรีระสังขารของอาตมาไว้ และในทุก ๆ ปีให้จัดงานสมโภช ให้กับสังขารของอาตมา” ทำให้มีสรีระสังขารของเจ้าอาวาสถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว

          ทุกคนจึงตั้งคำถามว่า ‘แล้วหลวงพี่เปี๊ยกเข้าไปได้ยังไง ?’ เกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า เจ้าอาวาสท่านคงมาช่วย เพราะสิ่งที่หลวงพี่เปี๊ยกเจอ คือ อดีตพระลูกวัดที่เคยบวชอยู่ที่นี่ ชื่อว่า ‘หลวงตาแก้ว’ ซึ่งก่อนที่หลวงตาแก้วจะมาบวช ท่านเป็นคนเล่นของ จนกระทั่งหลวงตาแก้วได้ไปบอกกับชาวบ้านว่า ตนจะเลิกเล่นคุณไสยมนต์ดำ และตัดสินใจที่จะมาบวชที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตอนที่หลวงตาแก้วบวช ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่อว่าท่านจะตัดขาดได้จริง แต่หลวงตาแก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ‘ท่านสามารถทำกิจของสงฆ์ได้และได้ดี’ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

          กระทั่งวันหนึ่ง หลวงตาแก้วก็เริ่มป่วย จนไม่สามารถที่จะทำกิจของสงฆ์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่เป็นคนคอยถวายอาหารให้ทุกวัน วันหนึ่งในระหว่างที่ลูกศิษย์นำอาหารเพลเข้ามาถวาย ลูกศิษย์ก็สังเกตเห็นว่า ‘ทำไมหลวงตาแก้วไม่ฉันอาหารเช้า ?’ แต่ก็เอาอาหารเพลไปวางไว้เหมือนเดิม จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารทุกมื้อยังอยู่เหมือนเดิม จึงเริ่มเอะใจตะโกนชื่อเรียกหลวงตาแก้ว และพยายามเปิดประตู ซึ่งปรากฏว่าห้องล็อค จึงพยายามพังประตูเข้าไปพบ ‘สรีระสังขารหลวงตาแก้วนอนอืดอยู่กลางห้อง’

          ซึ่งภายในห้องมีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อยู่ทั่วทั้งห้อง เหมือนกับว่า ‘หลวงตาแก้วเลี้ยงอะไรบางอย่างไว้ในกุฏิ’ เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในกุฏิของหลวงตาแก้ว ทุกคนจึงคิดตรงกันว่า หลวงตาแก้วเลี้ยงผีแน่นอน และคิดกันต่อว่าหลวงตาแก้วคงเอาไม่อยู่ คือพยายามจะเลิก แต่ไม่สามารถเลิกได้ จึงโดนของเข้าตัวจนเสียชีวิต และหลังจากนั้น คนในวัดก็พบเห็นผีหลวงตาแก้ว เดินอยู่ในวัด ลักษณะหลังค่อม โค้งจนศีรษะแทบจะติดพื้นอยู่เป็นประจำ..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

11 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

เมื่อไม้ที่ถูกโยนเข้าไปในถ้ำที่คนไม่สามารถเข้าไปได้กลับถูกโยนออกมา! พร้อมทั้งได้เห็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้! ติดตามเรื่องราวลึกลับและศาสตร์ความเชื่อจาก ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล’ ได้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะพาคุณขนลุกไปกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมมืด! ‘คุณอ๊อฟ’ ได้เกริ่นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องอาสาคนหนึ่งที่ได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่ ‘วัดถ้ำผาปู่’ ในจังหวัดเลย ซึ่งมีหมอบีร่วมเดินทางไปด้วย แต่ตัวคุณอ๊อฟเองไม่ได้ไป จึงรับชมผ่านไลฟ์สดแทน ซึ่งการรับชมอาจจะดูได้แบบติด ๆ ขัด ๆ เนื่องจากสถานที่ที่ไปอยู่นั้นเป็นถ้ำบนภูเขา ทำให้สัญญาณใช้ได้ไม่ดีมากนัก นอกจากนี้ คุณอ๊อฟยังเคยได้ศึกษาประวัติและคำสอนขอครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดแห่งนี้มาก่อน เมื่อไลฟ์สดเดินทางไปถึงถ้ำแห่งนั้น และได้เดินลงไปข้างล่าง เจ้าหน้าที่ก็ได้บอกว่า “ที่ตรงนี้เมื่อก่อนน้ำท่วมเต็มถ้ำเลย แต่ตอนนี้จะมีจุดหนึ่ง เขาเรียกกันว่า Holy water หรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำที่หยดมาจากธรรมชาติ เป็นหนึ่งในที่ที่นำน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ” ระหว่างที่ลงไปในถ้ำ ทุกคนที่ชมไลฟ์สดอยู่นั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงจากไลฟ์เพราะสัญญาณเข้าไปไม่ถึง เห็นเป็นเพียงภาพไกล ๆ ว่าในนั้นทำอะไรบ้าง แต่คนที่อยู่ใกล้ ๆ หมอบีบอกว่า “มีบาตรคว่ำ” ทุกคนก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น? มีบาตรคว่ำจริงหรือไม่? ต่างคนต่างเดินหากัน จนไปเจอบาตรพระที่คว่ำอยู่ 3 บาตร ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ‘คว่ำบาตร’ กัน หมอบีจึงคิดว่าอาจจะมาจากคำนี้ และรู้สึกว่าอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างของคนที่เจตนาไม่ดี หลังจากที่ออกมา ก็ได้ขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นกุฏิและถ้ำต่าง ๆ ซึ่งระหว่างทางนั้น จำเป็นต้องปีนขึ้นไปเพราะทางค่อนข้างชัน ปรากฏว่าไปเจอกุฏิของ ‘หลวงปู่คำดี’ ตั้งอยู่ด้านบนเป็นกุฏิไม้ เมื่อหมอบีมาถึง ก็ได้เข้าไปกราบไหว้ก่อน และยังไม่ได้เข้าไปในตอนแรก แต่รู้อยู่แล้วว่าสถานที่ตรงนี้หลวงปู่เคยมาพํานักอยู่เพราะเจ้าหน้าที่ได้บอกเอาไว้ หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ขึ้นไปในส่วนบนสุด ซึ่งตอนก่อนที่จะขึ้นไปหมอบีได้ขออนุญาตเข้าไปในกุฏิด้านบน เมื่อเข้าไปก็ได้บอกเหตุผลว่าที่เข้ามาก็เห็นมินิตว่า ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ ‘หลวงปู่คำดี’ กับ ‘หลวงตามหาบัว’ มาเจอกัน ในมินิตนั้น หมอบีเห็นว่า หลวงปู่คำดีจุดธูปอธิฐานแล้วกล่าวว่า ‘มีข้อสงสัยอยากจะถาม อยากให้หลวงตามหาบัวมาตอบ’ จากนั้นวันรุ่งขึ้น หลวงตามหาบัวก็เดินทางจาก จ.อุดรธานี มาที่ จ.เลย เพื่อมาตอบคำถามที่กุฏินี้ และนี่คือสิ่งที่หมอบีเห็น.. หลังจากที่หมอบีได้ทราบเรื่องราวแล้ว ก็ได้เดินทางขึ้นไปด้านบนกุฏิ เมื่อขึ้นไปก็จะเห็นเป็นถ้ำสองฝั่ง ฝั่งที่เป็นจุดแสดงฤทธิ์มีชื่อว่า ‘ถ้ำนาคะ’ เป็นสถานที่ห้ามเข้าเพราะมีผนังปิดกั้นไว้ทั้งหมด แต่จะมีเพียงช่องว่างอยู่ช่องหนึ่ง หมอบีบอกว่าในตำนานสมัยก่อน หลวงปู่ท่านแสดงฤทธิ์ให้ดู โดยที่ท่านยืนอยู่ข้างล่าง จากนั้นก็โยนไม้ขึ้นไป ไม้นั้นก็ขึ้นไปค้ำอยู่ด้านบนสุดของถ้ำ อยู่ในที่ ๆ คนไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ซึ่งทุกวันนี้ไม้นั้นก็ยังคงอยู่ หมอบีจึงหาไม้ตรงหน้าถ้ำ หักเป็นท่อนเล็ก ๆ จากนั้นก็โยนเข้าไปแล้วเกิดเป็นเสียง ‘กึก กึก กึก กึก’ สักพักหนึ่ง มีเสียงไม้โยนกลับมา ทุกคนจึงเกิดความสงสัยว่า ใครเป็นคนโยนขึ้นมาเพราะถ้ำเป็นมีเพียงช่องแคบ ๆ เท่านั้น ซึ่งคนไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงพากันเดินอ้อมไปข้างหลังเพื่อดู ซึ่งในระหว่างนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีสัตว์บินอยู่ ‘ฟึบ!’ เป็นเสียงที่คล้ายเครื่องบินเจ็ท ในตอนที่ทุกคนกำลังมองหาต้นตอของเสียง มีบางคนได้เหลือบไปเห็นบางอย่าง ‘สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นสีขาว อยู่ไกล ๆ ตัวค่อนข้างใหญ่ บินด้วยความเร็ว โดยไม่กางปีก’ โดยมีการเฉลยตอนหลังว่าเป็นสีของ ‘ครุฑ’ ซึ่งในตำนานเล่าว่าหลวงปู่มีความเชื่อมโยงกับครุฑ ถ้ำนั้นเป็นสถานที่ที่ครุฑมาอาศัยอยู่ เพื่อมาคอยปกปักรักษาและไม้ที่ถูกโยนกลับมาเป็นเหมือนการแสดงฤทธิ์ของท่าน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปพักโฮมสเตย์ เจ้าของใจดีมาดูแลแขกด้วยตัวเอง!

18 มี.ค. 2024

ไปพักโฮมสเตย์ เจ้าของใจดีมาดูแลแขกด้วยตัวเอง!

เรื่องนี้ ‘ลุงเก่งใจดี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโฮมสเตย์ของชาวบ้าน ที่ลุงเก่งได้ไปพักผ่อนกับครอบครัวในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ดันเจอเรื่องราวของเจ้าของบ้าน 3 คนสุดแปลก! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ลุงเก่งได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ มีการวางแผนในการเที่ยวและจองที่พักไว้หมดแล้ว แต่ลืมจ่ายค่ามัดจำที่พัก ทำให้ที่พักหลุดจองไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล ทำให้หาที่พักยาก ลุงเก่งจึงขอให้เจ้าของที่พักช่วยหาที่พักให้ เจ้าของที่พักก็แนะนำที่หนึ่งให้ เป็นที่พักแบบบ้านโฮมสเตย์ของชาวบ้านในพื้นที่ที่เปิดให้บริการ ในรูปเป็นบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ พอลุงเก่งเห็นรูปก็ตกลงจะพักที่นี่ ครอบครัวลุงเก่งเป็นครอบครัวใหญ่ ขับรถไปเที่ยว 2 คัน จึงแยกกันไปเที่ยวแล้วค่อยไปเจอกันที่ที่พัก ส่วนลุงเก่งจะไปที่พักก่อน พอถึงประมาณเที่ยง เจ้าของโฮมสเตย์จึงให้ ‘น้องบี’ (นามสมมติ) มาช่วย ลุงเก่งขึ้นไปสำรวจบ้านกับน้องบีที่ชั้น 2 ข้างบนมีห้องโถง 1 ห้อง ห้องใหญ่ 1 ห้อง ห้องเล็ก 2 ห้อง ห้องน้ำอยู่ข้างนอกระเบียง มีบันไดไม้เชื่อมกับระเบียงลงไปข้างล่าง ลุงเก่งมองออกไปเห็นคน 3 คนเดินเก็บของอยู่ที่ระเบียง คนแก่ 1 คนและวัยรุ่นผู้ชายกับผู้หญิง น่าจะเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ ลุงเก่งจึงถามน้องบีว่า “ข้างล่างที่เป็นส่วนของเจ้าของโฮมสเตย์ใช่ไหม” น้องบีตอบว่า “ใช่ค่ะ เจ้าของโฮมสเตย์อยู่ด้วย” พอสำรวจบ้านเสร็จน้องบีก็บอกกับลุงเก่งว่าถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรสามารถไลน์หาน้องบีได้ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นลุงเก่งก็ได้มาบอกกับครอบครัวให้เข้าไปพักที่บ้านได้ แต่ลุงเก่งสำรวจบ้านอีกรอบหนึ่งเพราะรอบแรกสำรวจยังไม่ละเอียด รอบนี้เห็นหิ้งพระขนาดใหญ่ที่ห้องโถงกลางบ้าน พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ของที่ใช้ถวายพระเป็นข้าวเหนียว หมากพลู 3 ชุดวางไว้ที่หิ้งพระ ลุงเก่งรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติไม่น่ามีใครถวายของไหว้พระแบบนี้ หรืออาจจะเป็นประเพณีของที่นี่ ลุงเก่งแค่แปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่ามีหิ้งพระในบ้านก็ทำให้สบายใจ ต่อมาลุงเก่งเดินไปห้องใหญ่ที่สุดของบ้าน พอเดินเข้าไปเห็นด้ายสายสิญจน์ขนาดใหญ่พันอยู่ตรงขื่อของบ้าน ทุกคนที่เดินไปด้วยพอเห็นก็ตกใจว่ามันแปลก จึงเดินไปดูห้องเล็กอีกห้องหนึ่ง แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะเจอผ้ายันต์เก่า ๆ ติดอยู่ตรงขื่อบ้านอีก ทุกคนเริ่มมองหน้ากัน เพราะรู้สึกว่าที่นี่แปลกมากจริง ๆ ลุงเก่งเห็นทุกคนเริ่มใจเสีย จึงพูดปลอบใจว่า “คงไม่มีอะไร เพราะบ้านเหมือนพึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็นของที่ใช้ขึ้นบ้านใหม่ก็ได้และที่สำคัญก็ไม่มีที่พักอื่นแล้วด้วย พักแค่คืนเดียวคงไม่มีอะไรหรอก” ทุกคนฟังแล้วก็ดูสบายขึ้นมา จึงแยกย้ายกันไปเก็บของ ส่วนห้องที่มีสายสิญจน์นั้นไม่มีใครกล้านอน ลุงเก่งเลือกนอนห้องโถงกับคุณแม่ พอเก็บของเสร็จทุกคนก็ลงไปถ่ายรูป แต่คุณแม่เหนื่อย เดินไม่ไหวจึงขอรออยู่ที่บ้าน พอตกตอนเย็นทุกคนก็กลับมาบ้านเพื่อปาร์ตี้กัน คุณแม่เล่าให้ฟังว่า “มีน้อง 2 คนขึ้นมาคุยด้วย ถามว่าแม่มาจากไหน” แม่ก็ได้ถามกลับไปว่า “น้อง 2 คนมาจากไหน” น้องตอบว่า “อยู่ที่นี่มานานแล้ว” พอคุยกันเสร็จ น้อง 2 คนก็เดินลงไปทางบันไดตรงระเบียง ทุกคนจึงปาร์ตี้กันปกติ ลุงเก่งนั่งหันหน้าเข้าตัวบ้าน ส่วนคนอื่นนั่งหันหน้าออกจากตัวบ้าน จู่ ๆ ลุงเก่งก็เหลือบไปเห็นคุณลุงที่เจอตอนเที่ยง ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนสีขาว กำลังเดินขึ้นบันไดมาแล้วยิ้มให้ ลุงเก่งจึงถามคุณลุงว่า “มีอะไรหรอครับ เสียงดังไปหรือเปล่า” คุณลุงไม่ตอบอะไร แค่ยิ้มให้แล้วก็เดินลงไป ลูกสาวได้ยินเสียงลุงเก่งพูดก็หันมาถามว่า “ป๋าเห็นด้วยหรอ” ลุงเก่งก็บอกว่า “เห็นหลายรอบแล้ว” ลูกสาวก็ส่งไลน์มาว่า “หนูไม่เห็นนะ” ลุงเก่งคิดในใจว่ามันเริ่มแปลก ๆ อีกแล้ว สักพักก็ได้ยินคนเดินภายในบ้าน เริ่มได้ยินเสียงของตก ทุกคนก็มองหน้ากัน ลุงเก่งจึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าหน้าต่างเปิดอยู่อาจจะเป็นลมพัดก็เป็นได้ หลังจากนั้นสักพัก ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน ลุงเก่งอาสาเป็นคนเก็บของ ในขณะที่กำลังยกของลงไปข้างล่าง ไฟข้างล่างก็ยังสว่างอยู่ หางตาลุงเก่งเห็นเป็นเหมือนรูปหน้าศพ 3 รูปวางเรียงกัน รูปแรกเป็นรูปคุณลุงที่เจอตอนที่ยงและอีก 2 รูปเป็นรูปวัยรุ่นผู้ชายกับวัยรุ่นผู้หญิง ซึ่งลุงเก่งไม่แน่ใจว่าเป็น 2 คนที่ขึ้นมาคุยกับคุณแม่หรือเปล่า ลุงเก่งอึ้งไปสักพัก แล้วก็ไหว้ ขอขมา “ถ้าทำอะไรผิดไปก็ขอโทษด้วยและขอร้องอย่ามาปรากฏตัวให้เห็นอีก” เพราะลุงเก่งเชื่อแล้วว่ามีจริง ๆ แต่เรื่องนี้ลุงเก่งยังไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวคนในครอบครัวกลัว พอเช้าก็รีบเช็คเอาท์ และก่อนที่จะขับรถออกจากโฮมสเตย์ ก็เจอกับคุณลุงคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ ลุงเก่งจึงถามคุณป้าว่า “เมื่อคืนคุณป้านอนอยู่ข้างล่างใช่ไหม” คุณป้าก็ตอบว่า “ไม่ได้นอนที่นี่หรอกเพราะมีแขกมาพัก นอนอีกหลังหนึ่ง” ลุงเก่งได้ยินแบบนั้น ก็ยิ่งมั่นใจอีกว่าสิ่งที่เจอและได้ยินเสียงคนเดินไปมาไม่ใช่คนแน่นอน ลุงเก่งขอตัวกลับ ซึ่งข้างในพื้นที่โฮมสเตย์สามารถกลับรถได้ ลุงเก่งจึงไปกลับรถตรงนั้น ปรากฏว่าเป็นเมรุเผาศพ ซึ่งเมรุอยู่ตรงข้ามกับโฮมสเตย์ ทุกคนจึงรีบขับรถออกมาแล้วนัดไปเจอกันที่ร้านกาแฟ พอถึงร้านกาแฟทุกคนก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เจอกับตัวเอง น้องสาวกับน้องเขยเล่าว่า เห็นคุณลุงเดินทั้งคืน คุณเก่งก็ถามว่าหน้าตาคุณลุงเป็นยังไง น้องสาวก็ตอบว่า “ผมขาว หนวดขาว ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนสีขาว” ส่วนลูกสาวก็ได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างล่างทั้งคืน สุดท้ายลุงเก่งก็เฉลยให้ทุกคนฟัง สิ่งที่พวกเขาเห็นทั้งหมดคือผี และที่พวกเราเห็นชัด ๆ เพราะที่นั่นคือบ้านของพวกเขา พวกเขาใช้ชีวิตปกติแต่ครอบครัวเราดันไปอยู่ที่นั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

07 ส.ค. 2023

เพื่อนชวนไปนอนโรงแรมใหม่ ก็คิดว่าจะไม่เจออะไร แต่พอนอนไปกลับรู้สึกไม่สบายใจ ต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์ไปด้วย ตื่นมาถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับที่คนตาย!

‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มาพร้อมกับ ‘อ.นิ่ม เทวจิตศิษย์ปู่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กรกฎาคม 2566) พร้อมเสิร์ฟความหลอนถึงหูผู้ฟัง เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ อ.นิ่ม เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปนอนทับที่คนยิงตัวตาย เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ไปติดตามกันได้เลย! ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ อ.นิ่ม ต้องไปไหว้เจ้าที่ในต่างจังหวัด โดยปกติแล้วจะไปนอนโรงแรมที่จังหวัดนั้น ๆ หนึ่งคืนก่อนวันเริ่มงานเพื่อแสตนด์บาย เวลาเข้าพักก็จะเลี่ยงห้องหรือชั้นที่เป็นเลข 3 เพราะเลขนี้สื่อถึงวิญญาณ และหากเป็นไปได้ก็จะไม่เลือกห้องที่ติดข้างบันไดด้วย สำหรับคนอื่นสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีอะไร แต่สำหรับคนที่มีเซ้นส์อย่าง อ.นิ่ม ถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง วันที่เกิดเรื่องอ.นิ่มเข้าพักโรมแรมกับเพื่อน พนักงานยื่นกุญแจให้เลือก 3 ห้อง โชคดีที่ไม่มีห้องไหนอยู่ชั้น 3 เลย จึงเลือกห้อง ‘211’ และคิดในใจว่าคงปลอดภัยแล้ววันนี้ อ.นิ่มตกลงกับเพื่อนว่าพอเข้าไปในห้องแล้วหลังจากนั้นอีก 10 นาที จะออกไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงแรมตามปกติ ตอนนั้นที่จอดรถโล่งมาก เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ อ.นิ่ม และเพื่อนก็ขับรถกลับมาที่โรงแรม มีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นก็คือ ที่จอดรถเต็มหมด ยกเว้นตรงที่ขับออกมาในตอนแรก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังแซวกับเพื่อนที่มาด้วยกันเลยว่าสงสัยพนักงานคงกันเอาไว้ให้ เมื่อถึงโรงแรม อ.นิ่ม และเพื่อนก็เข้าห้องนอน ปกติแล้วอ.นิ่มเป็นคนที่ไม่ชอบนอนตรงข้างประตูจึงเลือกนอนตรงฝั่งที่เป็นกำแพง ในขณะที่เล่นโทรศัพท์กันอยู่บนเตียง อ.นิ่มก็รู้สึกร้อน แม้เพื่อนจะปรับแอร์จนเหลือ 19 องศาแล้ว อ.นิ่มก็ยังร้อนอยู่ สุดท้ายก็ต้องไปนอนเตียงฝั่งที่ติดกับประตู แต่พอนั่งลงบนเตียงเท่านั้น ก็ได้ยินหมาหอนดังมาจากข้างนอก “อันนี้คอนเฟิร์มใช่ไหมว่าโรงแรมใหม่” อ.นิ่มถามเพื่อน ปกติแล้วถ้ามาที่จังหวัดนี้ ก็จะนอนโรมแรมเดิมตลอด จนมาครั้งนี้เพื่อนชวนให้เปลี่ยนโรมแรม โดยปกติแล้วลูกค้าที่เรียกใช้บริการอ.นิ่มจะต้องส่งภาพโรงแรมที่จะให้เข้าพักมาให้ดูก่อนเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอะไรหรือไม่ แต่ที่นี่พึ่งเปิดใหม่เพียงแค่ 2 เดือน ก็คงไม่น่าจะมีอะไร อ.นิ่มจึงยอมเข้าพัก สักพักเพื่อนก็ผล็อยหลับไป แต่อ.นิ่มยังไม่หลับ และเริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเดินไปหยิบสร้อยพระมาตั้งไว้ที่หัวเตียงฝั่งที่ตัวเองนอน ตั้งเสร็จแล้วก็นอนสวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ แต่ยิ่งสวด เหงื่อก็ยิ่งออก อ.นิ่มเอาหมอนมาตั้งพิงกับหัวเตียงแล้วลุกขึ้นมานั่งท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วสวดมนต์บทเดิมต่อ หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้นมาก ในใจคิดว่า จะหลับท่านี้เลย และยังพูดขึ้นมาในห้องแบบลอย ๆ ด้วยว่า “ถ้าจะมาเอาบุญ เอาไป แล้วแยกย้าย” หมาเริ่มหอนอีกรอบ ในจังหวะที่อ.นิ่มเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมองอยู่ พอหันไปตรงหน้าต่างของห้อง ก็เห็นเงาจาง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมา อ.นิ่มไม่กล้าบอกเพื่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะขวัญหนีดีฝ่อไปด้วย อ.นิ่มจึงบอกกับผีตนนี้ว่าขอแบ่งบุญให้ แล้วบอกให้ผีตนนี้หยุดปรากฏตัวให้เห็น พอกลับมานอนก็นอนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนในท่าเดิมคือนั่งพิงเตียงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วหลับไปในท่านั้นไปจนถึงเช้า พอถึงตอนเช้า อ.นิ่มบอกกับเพื่อนว่าให้ check-out ออกจากโรงแรมนี้ทันที แล้วให้ลงไปถามพนักงานด้านล่างว่าห้องนี้เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ฝ่ายเพื่อนเมื่อลงไปถามพนักงานต้อนรับด้านล่าง พนักงานก็อึกอักไม่กล้าเล่า อ.นิ่มจึงคิดว่าหากคนที่นี่ไม่กล้าเล่า ก็จะลองพยายามไปถามคนในพื้นที่นอกโรงแรมแทน สุดท้ายก็ได้ไปถามกับผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดแห่งนี้ เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน มีหมอทหารคนหนึ่งยิงตัวเองตายในห้องที่อ.นิ่มเข้าพัก ในท่าลักษณะเดียวกันกับที่อ.นิ่มนอนเมื่อคืน ตรงเตียงที่นอนพอดี อ.นิ่มถามต่อว่าทำไมถึงรู้สึกว่าผีตนนี้ไม่ได้บุญที่ตนเผื่อแผ่ไปให้เลย เขาก็บอกว่า ผู้ตายคนนี้นับถือศาสนาคริสต์เลยอาจจะไม่ได้บุญไป เมื่อลองถามต่อถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ว่ามันมีที่มาจากอะไร ผู้ใหญ่คนนี้ตอบได้แต่เพียงว่าหมอทหารคนนี้กำลังจะแต่งงาน เขาเข้าพักในโรงแรมนี้ ไม่พูดกับใคร จอดรถในตำแหน่งเดียวกันกับที่อ.นิ่มและเพื่อนเข้าไปจอด อ.นิ่มมาเช็คทีหลังก็พบว่าเรื่องราวที่ผู้ใหญ่คนนี้เล่าเคยเป็นข่าวใหญ่โตทีเดียว อ.นิ่มไม่รู้ว่าเขานับถือศาสนาอะไร หรือสิ่งที่จะทำต่อจากนี้จะส่งถึงเขาหรือไม่ แต่อ.นิ่มก็ทำบุญให้เขาเป็นการถวายเพลและพระประธานองค์หนึ่งให้เพื่อความสบายใจของตัวเอง แล้วขอร้องให้ดวงวิญญาณนี้ไม่ออกมาสร้างความไม่สบายใจให้ใครอีก ขอให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา เพราะมันทั้งเดือดร้อนโรงแรมและเดือดร้อนคนที่เข้าพักใหม่ แม้บุญที่อ.นิ่มทำนี้จะไม่สามารถลบล้างกรรมที่ผีตนนี้เคยได้ก่อไว้ แต่ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เขาสบายขึ้นบ้างระดับหนึ่ง จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะชดใช้กรรมจนหมดอายุขัย อ.นิ่มเล่าย้อนให้กับเหล่าดีเจฟังว่าในคืนนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวชอบกล จนแอบคิดจะยกเลิกนัดงานที่ต้องไปทำด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกครั้งเวลามีคนมาดูดวง อ.นิ่มจะแนะนำให้สวดมนต์ ‘บทมหาจักรพรรดิ’ เพื่อเร่งให้อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานาเข้ามาหาคนท่องเร็วขึ้น เพื่อในที่สุดแล้วจะได้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็วเช่นกัน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากไท ธนาวุฒิ 'เรื่องผีหัวโต' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

08 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากไท ธนาวุฒิ 'เรื่องผีหัวโต' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

“คืนหนึ่งเจอสิ่งแปลกประหลาด หน้าดำ ตาแดง จ้องมองจากหน้าต่าง เลยพูดท้าทายไปว่า ‘ถ้าเก่งจริงก็มา’ จนอีกวัน… เจอดี! ตามมาหลอกถึงในห้อง มาเหยียบหน้าอก พร้อมคำเตือนว่า ‘มึงทำตัวให้ดีหน่อย’ แล้วรู้ตัวไหมว่าบางครั้งคำท้าทายอาจทำให้เจอสิ่งที่ไม่ควรเจอ!”‘ไท ธนาวุฒิ’ เปิดเรื่องหลอนใน ‘อังคารคลุมโปง X (4 มี .ค. 2568)’ กับเรื่องราว ‘’ผีหัวโต’’ ที่ทำเอาขนหัวลุก กับเงาปริศนานุ่งโจงกระเบนแดง ดวงตาแดงฉาน… ที่โผล่มาถึงห้อง มันคืออะไรกันแน่? มาฟังไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วอย่าลืมระวัง… คืนนี้ อาจมีบางอย่างมาหาคุณ!คุณไท ได้เล่าว่า คืนหนึ่งขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาหันไปมองที่หน้าต่างแล้วต้องชะงัก เพราะมีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น… เป็นใบหน้าขนาดใหญ่เต็มกระจก ดวงตาสีแดงก่ำจ้องตรงมาที่เขา คุณไท ถึงกับตกใจ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น จึงพูดท้าทายออกไปว่า “ไม่จริงเว้ย! ถ้าเก่งจริงก็มา”ทำให้ในคืนต่อมา… ก็ได้เจอจริงๆ ร่างนั้นยืนอยู่ปลายเตียง สวมโจงกระเบนแดง ผิวดำคล้ำ ดวงตาแดงฉาน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเหยียบบนอกเขา หนักจนแทบหายใจไม่ออก แล้วพูดด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “มึงทำตัวให้ดีหน่อย”ในคืนต่อมา เพื่อนของพี่ชายมาขอนอนที่ห้องคุณไท แต่เขาอยู่ได้เพียงสองคืนก่อนจะหนีไป คุณไทสงสัยจึงถามถึงสาเหตุ และคำตอบที่ได้รับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว เพราะพี่ชายก็ได้ “โดนคนใส่โจงกระเบนแดงเหยียบ” เหมือนกันและเหตุผลที่เขาโดนแบบนั้น… เป็นเพราะพี่ชายของเขาเคยฆ่าคนตายแล้วหนีคดี ผีตนนั้นเลยมาเตือน… ทำให้คุณไทนึกขึ้นได้ว่า ตัวเขาเองก็เคยถูกเตือนแบบนี้มาก่อน และบางที อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆ เขาเองก็เคยเป็นเด็กแสบไม่แพ้กัน ผีตนนั้น… ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ “เจ้าที่ เจ้าบ้าน” ที่คอยมาเตือนให้ผู้คนอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ใครที่ปฏิบัติตัวดี ก็จะไม่เจอ แต่หากใครทำผิด คิดไม่ซื่อ หรือก้าวล้ำเส้นที่ไม่ควรก็อาจได้รับการเตือนในแบบที่ลืมไม่ลง…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1