เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

02 มิ.ย. 2024

          เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ทำไมไม่สวดต่อ’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !

          เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณคิม (นามสมมติ)’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคุณคิม แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณคิมที่มีชื่อว่า ‘คุณเปี๊ยก (นามสมมติ)’ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

          คุณเปี๊ยกเป็นหนึ่งในเด็กวัยรุ่นประจำหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อนชายในกลุ่มต่างก็ต้องบวช โดยแต่ละคนก็ได้ไปประจำแต่ละวัด คุณเปี๊ยกเห็นเช่นนั้น ก็อยากที่จะบวชบ้าง จึงได้ไปปรึกษากับคุณแม่ แต่ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดี จึงถูกปฏิเสธ แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง ในระยะเวลาเดียวกัน บังเอิญว่า ‘หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่’

          แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลเกือบ 10 กิโล แต่งานพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ จะมีเจ้าภาพที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อทางคณะเจ้าภาพจะได้บุญกุศลใหญ่ คุณเปี๊ยกจึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเข้าบวชในพิธีนี้ โดยมีกำหนดการออกมาทั้งหมด 9 วัน ซึ่งหลังจาก 9 วัน ใครก็ตามที่อยากจะบวชต่อก็สามารถจำวัดต่อได้ หรือใครอยากสึกก็ตามแต่ตั้งใจ

          หลังจากบวชจนครบ 9 วัน หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจที่จะบวชต่อ เพราะรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่หลวงพี่เปี๊ยกต้องการที่จะย้ายวัดให้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อที่คุณแม่จะได้สะดวกในการมาใส่บาตร หลวงพี่เปี๊ยกจึงปรึกษากับหลวงพ่อ ทำเรื่องถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของตน ปรากฏว่าทุกวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของหลวงพี่เปี๊ยก มีพระใหม่เข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก จนพระล้นกุฏิ ไม่สามารถรับใครเพิ่มได้แล้ว แต่ก็มีคนคำแนะนำว่า

          “มีวัดอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งห่างไปไม่เกิน 2 กิโล น่าจะสามารถเข้าไปจำพรรษาได้ ลองเข้าไปคุยกับที่วัดดู”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจเข้าไปคุย ปรากฏว่าวัดนี้มีกุฏิว่างเหลืออยู่ แต่เป็นกุฏิหลังเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ได้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เจ้าอาวาสจึงถามว่า

          “อยู่ได้ไหม ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “อยู่ได้ครับ” เพราะไม่ไกลบ้าน และคุณแม่ก็สามารถมาใส่บาตรตอนเช้าได้

          หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกก็เข้าไปดูกุฏิ ซึ่งอยู่บริเวณท้ายวัด ติดกับเมรุและป่าช้า ตัวกุฏิมีลักษณะเป็นไม้เก่า ยกพื้นสูง ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านในกุฏิจะเต็มไปด้วยข้าวของของวัดมากมาย เช่น พาน บาตร พวงมาลัยพลาสติก ฯลฯ หลวงพ่อจึงเกณฑ์คนในวัดให้ไปช่วยทำความสะอาด ขนของ ย้ายอุปกรณ์ออก ซึ่งวันแรกหลวงพี่เปี๊ยกก็สามารถเข้าจำวัดได้ตามปกติ

          หลังจากที่ออกบิณฑบาตเช้าเรียบร้อย หลวงพี่ที่อยู่จำพรรษามาก่อนก็ถามว่า

          “เป็นยังไงพระเปี๊ยก เมื่อคืนนอนได้ไหม หลับสบายหรือเปล่า ได้เจออะไรไหมล่ะ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกแปลกใจเล็กน้อย จึงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เจออะไรนะครับ” แต่ก็แอบคิดในใจว่า ‘ทำไมหลวงพี่ถามแบบนี้นะ ?’ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

          หลังจากนั้นช่วงสายก็มีเด็กวัดมานั่งเล่นอยู่แถวกุฏิ เด็กวัดเห็นหลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงพี่มานอนกุฏินี้ หลวงพี่ไม่กลัวผีเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องกลัวผี ? มันมีอะไรหรือเปล่า”

          เด็กวัดก็เริ่มเลิ่กลั่กตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ”          

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 2 กิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืนของหลวงพี่เปี๊ยก คือ การสวดมนต์ แต่ด้วยความที่หลวงพี่เปี๊ยกเป็นพระใหม่ สวดไม่เป็น ไม่รู้วิธีการท่อง และก็ไม่รู้ว่าจะสวดบทอะไร จึงพยายามหาบทสวดที่ทำให้ตัวเองสามารถสวดเพื่อที่จะนอนหลับได้ จนกระทั่งเผลอหลับไป ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง โดยกุฏิกับห้องน้ำอยู่ห่างกัน 30-40 เมตร ซึ่งหลวงพี่เปี๊ยกต้องเดินลงจากกุฏิ และเดินผ่านทางที่มีไฟสลัวไปห้องน้ำ ระหว่างทางเดินหลวงพี่เปี๊ยกเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ผ่านหางตาซ้าย จึงรีบหันกลับไปมองเห็นเป็น ‘พระรูปหนึ่ง’

          พระรูปนั้นเป็นพระแก่ชรา มีลักษณะหลังค่อม ซึ่งค่อมจน ‘ศีรษะแทบจะติดพื้น’ และยังคงยืนโค้งอยู่อย่างนั้น หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงตามาทำอะไรครับ ?”

          หลวงตาจึงหยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้ากลับมายิ้มให้ แล้วก็เดินไปทางด้านหลังห้องน้ำที่เป็นทางไปกุฏิอื่น หลวงพี่เปี๊ยกจึงคิดว่า ‘หลวงพ่อเขาคงไม่อยากคุยอะไรกับเรา’ และเก็บความสงสัยไว้ในใจ..

          วันรุ่งขึ้นหลวงพี่เปี๊ยกก็ถามกับหลวงพี่ว่า

          “วัดเรามีพระแก่ไหมครับ ลักษณะหลังค่อม ?”

          หลวงพี่จึงตอบว่า “พระแก่ของวัดเรามีอยู่รูปเดียว และเป็นรองเจ้าอาวาส ไม่ได้หลังค่อม ทำไมเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ถามอะไรต่อ

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 3 ในระหว่างที่หลวงพี่เปี๊ยกก็กำลังสวดมนต์เหมือนปกติ หลวงพี่เปี๊ยกก็ได้ยินเสียงคนสวดตามอยู่ด้านนอกกุฏิ และไม่ว่าหลวงพี่เปี๊ยกจะสวดบทอะไร ด้านนอกก็จะสวดตาม หลวงพี่เปี๊ยกเกิดความสงสัยว่าใครมาสวดตามตน จึงลองเงียบ และเมื่อเงียบ ด้านนอกก็เงียบ แต่เมื่อหลวงพี่เปี๊ยกสวดต่อ ด้านนอกก็สวดต่อ ด้วยความสงสัยถึงขั้นสุด หลวงพี่เปี๊ยกจึงเลือกที่จะเดินเอาหูไปแนบกับประตู ก่อนที่จะท่องต่อว่า

          “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต…”

          แล้วก็หยุดเพื่อที่จะรอฟังคนด้านนอก ปรากฏว่าหลวงพี่เปี๊ยกได้ยินเสียงพูดกลับมาว่า

          “ทำไมไม่สวดต่อล่ะ หยุดสวดทำไม กลัวเหรอ!?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตกใจ ก่อนที่จะถอยหลังจากประตู และกลับมานั่งสวดมนต์ต่อที่เดิม เริ่มสัมผัสได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกมันไม่ปกติ’  จึงนั่งหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบลง แล้วก็ได้ยินเสียง ปัก… ปัก… ปัก ! คล้ายกับว่ามีของบางอย่างกระทบกันอยู่! ซึ่งในตอนนั้นไฟทุกดวงได้ปิดหมดแล้ว หลวงพี่เปี๊ยกจึงหยิบไฟฉายใกล้ตัวขึ้นมา และส่องไปที่ต้นทางของเสียงบริเวณประตู เริ่มส่องไปตั้งแต่บริเวณพื้นเห็นเป็น ‘ขาและชายจีวร’ ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไฟขึ้น เห็นเป็นศีรษะที่ก้มโค้งจนจะติดพื้น และเสียง ปัก… ปัก… ปัก! เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากศีรษะที่กำลังโขกกับประตู

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะตั้งสติและเข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผีแน่นอน! จึงนำผ้าห่มมาคลุมตัว และหลับตาสวดมนต์ พร้อมพูดว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! ผมกลัวแล้ว !!”

          ในระหว่างที่พูดเสียงที่เคาะก็ได้เงียบลง จังหวะพอดีกับความคิดของหลวงพี่เปี๊ยกที่คิดว่าจะเอายังไงต่อไป ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนที่หายใจไม่ออก “กร่อกกกกกก…” อยู่บริเวณด้านหน้าผ้าห่มที่ตัวเองคลุมเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! อย่ามาหลอกผมเลย !!”

          แล้วเสียงก็เงียบลง จึงตัดสินใจเปิดผ้าออก และค่อย ๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าพระรูปหนึ่งที่แก่ชรา ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้าปากอมมือของหลวงพี่เปี๊ยกที่ไหว้อยู่!

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจมาก สะบัดมือของตัวเองออก ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ ทันที โดยวิ่งไปทางห้องน้ำ ซึ่งพอวิ่งไปถึงหน้าห้องน้ำ ก็เจอกับพระรูปหนึ่งที่มีลักษณะแก่ชราและมีอายุ พระรูปนั้นก็ถามขึ้นว่า

          “หลวงพี่เป็นอะไร ? วิ่งมาทำไม !?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมโดนผีหลอก”

          หลวงพ่อรูปนี้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ก่อน ค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวเข้าไปสงบจิตใจที่กุฏิอาตมา” ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ทางด้านหลังห้องน้ำพอดี

         

          หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อก็พูดปลอบประโลมให้หลวงพี่เปี๊ยกใจเย็นขึ้น จนหลวงพี่เปี๊ยกเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเข้าหู ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “หลวงพี่เปี๊ยก !” และอีกหลายเสียงว่า “หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ไหน !?” หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกจึงเริ่มตั้งสติ ค่อย ๆ ลุกขึ้นลืมตามองไปรอบห้อง ก่อนที่จะตกใจสุดขีดเพราะ กุฏิที่ตนอยู่เป็นกุฏิที่ถูกปิดตาย และเห็นว่ามีสรีระสังขารของพระรูปหนึ่ง ลักษณะผิวแห้งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้ว นอนอยู่ในโลงแก้ว! มองสูงขึ้นไปอีกพบรูปหน้าโลง เป็นใบหน้าของหลวงพ่อเมื่อคืนที่ช่วยเหลือตน

          หลวงพี่เปี๊ยกตะโกนร้องสุดเสียงว่า

          “ผมอยู่นี่ ! พระอยู่นี่ !! ช่วยด้วย !!” จนเจ้าอาวาสได้ยินเสียง และนำกุญแจมาเปิดประตู หลังจากเปิดเข้ามาก็ถามหลวงพี่เปี๊ยกว่า

          “พระเปี๊ยกเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง !?” เพราะกุฏินี้มันถูกล็อกจากด้านนอก

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอาวาส และเด็กวัดทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กุฏิที่หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส และท่านมรณภาพไปนานแล้ว” ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เจ้าอาวาสได้บอกกับรองเจ้าอาวาสว่า “ถ้าหากตัวอาตมามรณภาพ ไม่ต้องเผานะ เพราะว่าสรีระสังขารของอาตมาจะไม่เน่า ให้เก็บสรีระสังขารของอาตมาไว้ และในทุก ๆ ปีให้จัดงานสมโภช ให้กับสังขารของอาตมา” ทำให้มีสรีระสังขารของเจ้าอาวาสถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว

          ทุกคนจึงตั้งคำถามว่า ‘แล้วหลวงพี่เปี๊ยกเข้าไปได้ยังไง ?’ เกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า เจ้าอาวาสท่านคงมาช่วย เพราะสิ่งที่หลวงพี่เปี๊ยกเจอ คือ อดีตพระลูกวัดที่เคยบวชอยู่ที่นี่ ชื่อว่า ‘หลวงตาแก้ว’ ซึ่งก่อนที่หลวงตาแก้วจะมาบวช ท่านเป็นคนเล่นของ จนกระทั่งหลวงตาแก้วได้ไปบอกกับชาวบ้านว่า ตนจะเลิกเล่นคุณไสยมนต์ดำ และตัดสินใจที่จะมาบวชที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตอนที่หลวงตาแก้วบวช ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่อว่าท่านจะตัดขาดได้จริง แต่หลวงตาแก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ‘ท่านสามารถทำกิจของสงฆ์ได้และได้ดี’ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

          กระทั่งวันหนึ่ง หลวงตาแก้วก็เริ่มป่วย จนไม่สามารถที่จะทำกิจของสงฆ์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่เป็นคนคอยถวายอาหารให้ทุกวัน วันหนึ่งในระหว่างที่ลูกศิษย์นำอาหารเพลเข้ามาถวาย ลูกศิษย์ก็สังเกตเห็นว่า ‘ทำไมหลวงตาแก้วไม่ฉันอาหารเช้า ?’ แต่ก็เอาอาหารเพลไปวางไว้เหมือนเดิม จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารทุกมื้อยังอยู่เหมือนเดิม จึงเริ่มเอะใจตะโกนชื่อเรียกหลวงตาแก้ว และพยายามเปิดประตู ซึ่งปรากฏว่าห้องล็อค จึงพยายามพังประตูเข้าไปพบ ‘สรีระสังขารหลวงตาแก้วนอนอืดอยู่กลางห้อง’

          ซึ่งภายในห้องมีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อยู่ทั่วทั้งห้อง เหมือนกับว่า ‘หลวงตาแก้วเลี้ยงอะไรบางอย่างไว้ในกุฏิ’ เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในกุฏิของหลวงตาแก้ว ทุกคนจึงคิดตรงกันว่า หลวงตาแก้วเลี้ยงผีแน่นอน และคิดกันต่อว่าหลวงตาแก้วคงเอาไม่อยู่ คือพยายามจะเลิก แต่ไม่สามารถเลิกได้ จึงโดนของเข้าตัวจนเสียชีวิต และหลังจากนั้น คนในวัดก็พบเห็นผีหลวงตาแก้ว เดินอยู่ในวัด ลักษณะหลังค่อม โค้งจนศีรษะแทบจะติดพื้นอยู่เป็นประจำ..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

24 พ.ย. 2023

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

ติดตามความราวสยองจากเรื่อง ‘ตามมาจากเสียงเรียก’ โดย ‘คุณดี้’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (21 พฤจิกายน 2566) จะหลอนชวนสยองขนาดไหน.. ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันได้เลย! เรื่องราวแปลก ๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อคุณดี้ได้ไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดหนึ่ง อยู่ติดกับริมแม่น้ำโขงเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณดี้จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน แต่ในวันที่จะเดินทางปรากฏว่าเที่ยวบินดีเลย์จึงไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด เมื่อคุณดี้เดินทางมาถึงที่พัก ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ทุ่มแล้ว ด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงรีบเดินเข้าไปรับคีย์การ์ดจากพนักงานต้อนรับ จากนั้นพนักงานก็แจ้งว่าได้พักห้องที่ชั้น 3 ห้อง 310 คุณดี้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงรีบเก็บสัมภาระและเข้านอนทันที โดยเลือกที่จะเปิดไฟตรงระเบียงไว้เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไป ระหว่างที่นอนหลับอยู่ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้นแบบผิดปกติ พร้อมกับมีเสียงดังว่า “310” อยู่หลาย ๆ ครั้ง คุณดี้ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยกหูโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วก็กลับมานอนที่เตียง! คุณดี้คิดว่าตัวเองอาจจะฝันหรือละเมอไปเอง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันเหมือนจริงมาก คุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงยื่นมือไปเปิดไฟและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อมองดูที่จอเพื่อดูเวลา ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 กว่า ๆ ตอนนั้นคุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งตี 3 กว่า ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้รู้สึกว่าใครบางคุณกำลังหายใจรดต้นคออยู่! ด้วยความกลัว คุณดี้จึงพูดในใจถึงเจ้าที่เจ้าทางว่า “มาดีนะ แค่มาทำงาน ไม่ได้มีเจตนามาร้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญถวายสังฆทานให้” จากนั้นก็หลับไป พอรุ่งขึ้นก็ได้แจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์ที่ห้องมีปัญหาพร้อมกับให้ช่างก็ขึ้นมาดู ปรากฏว่าโทรศัพท์ก็ปกติดีไม่ได้มีปัญหาอะไร ในคืนที่สอง คุณดี้ได้ถอดสายโทรศัพท์ออกพร้อมกับเปิดไฟทุกดวง และตัดสินใจสวดมนต์ก่อนนอน รวมถึงก่อนเข้านอนก็ได้วางเหรียญไว้บนหัวเตียงเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อความสบายใจ ในระหว่างที่กำลังจะนอน คุณดี้รู้สึกว่าไฟที่เปิดไว้มันสว่างเกินไป จึงตัดสินใจว่าจะปิดไฟทั้งหมด เหลือไว้แค่โคมไฟบริเวณหัวเตียง จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้น แล้วไฟก็เปิดขึ้นมาเอง! ความกลัวเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณดี้พูดในใจว่า “อย่ามาแกล้งได้มั๊ย ทำบุญให้แล้ว ขอนอนได้มั๊ย” แล้วคืนที่สองก็ผ่านไป.. คืนที่สามคุณดี้ก็เข้านอนตามปกติ แต่พอรุ่งขึ้นคุณดี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะหยิบสายชาร์จเพื่อชาร์จโทรศัพท์ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังเสียบสายชาร์จไปที่ปลั๊กไฟนั้น ก็เกิดไฟฟ้าลัดวงจร! จึงรีบไปแจ้งพนักงานขอเปลี่ยนห้อง ตอนแรกทางที่พักแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่นานก็โทรกลับมาว่าจะเปลี่ยนห้องให้กับคุณดี้ โดยย้ายจากห้องเดิมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นห้อง 412 หลังจากแม่บ้านขนย้ายสัมภาระข้องคุณดี้มายังห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว พอคุณดี้กลับมาถึงห้องก็ตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคือเหรียญที่เคยวางไว้ที่หัวเตียงก็ถูกย้ายมาที่ห้องใหม่ด้วย! ด้วยความกลัวจึงให้แม่บ้านนำออกไปไว้ที่ห้องเดิม จากนั้นคุณดี้ก็เข้าห้องนอนตามปกติ วันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่คุณดี้กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปรากฏว่าไฟหน้าห้องน้ำก็กระพริบขึ้นมาหลายครั้ง คุณดี้ตัดสินใจออกจากห้องน้ำมาปิดไฟ และเก็บกระเป๋าเพื่อ Check out ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่เธอเก็บสัมภาระนั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ อยู่หน้าห้อง ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นแม่บ้าน จึงรีบไปเปิดแล้วจะแจ้งว่าไฟมีปัญหา ปรากฏว่าพอเปิดประตูห้องออกไป กลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องเลย! จากนั้นเธอก็รีบออกมาเพื่อ Check out แล้วก็ออกจากที่พักทันที ในระหว่างทางที่กำลังจะกลับ ปรากฏว่ารถตู้ที่นั่งมาเกิดเสียกลางทาง โชคดีที่ไม่ได้ห่างจากปั๊มน้ำมันมาก จึงตัดสินใจมารอที่ร้านกาแฟ และไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายทะเบียนรถตู้ไว้เพื่อเขียนรายงานในการมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ หลักจากที่รอประมาณเกือบชั่วโมง รถก็ซ่อมเสร็จ คุณดี้ถามคนขับรถว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบไฟภายในตัวรถ คุณดี้คิดในใจว่าทำไมตนเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ตลอด 4 วัน แต่แล้วก็นั่งรถมาที่สนามบินปกติ ในระหว่างที่อยู่บนเคื่องบิน ก็ได้เปิดดูคลังรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปป้ายทะเบียนรถที่ถ่ายไว้ ถึงกับต้องขนลุก! เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นคือรถเสียบริเวณร้านขายโกศใส่กระดูก เธอจึงนึกไปถึงเช้าของวันแรกที่มาว่า ในวันนั้นเธอมีเวลาว่าง 1 วัน จึงตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ในระหว่างทาง คุณดี้เดินมาได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ก็รู้สึกร้อน มองไปเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นวัด จึงได้ข้ามไปฝั่งนั้นเพราะจะได้อาศัยเงาของต้นไม้เดินไป แต่พอข้ามมาแล้วปรากฏว่าเห็นโกศใส่กระดูกเยอะมาก คิดในใจตอนนั้นว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนจะไม่เดินบริเวณนี้เด็ดขาด ระหว่างที่เดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถของคุณลุงขับผ่านมา คุณดี้ตัดสินใจโบกรถแล้วเรียกคุณลุงว่า “ขอไปด้วยคนค่ะ” นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น นั่นทำให้คุณดี้ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า อาจเป็นเพราะเธอโบกรถแล้วพูดว่า ‘ขอไปด้วยคน’ หรือเปล่า ทำให้ต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกัน 4 วันเช่นนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

08 ธ.ค. 2023

ซื้อที่ใหม่ไว้สร้างบ้าน หลังจากมาอยู่ก็เจอแต่เรื่องแปลก ๆ ทั้งเจองูตัวใหญ่ เจอผู้หญิงปริศนา ประตูเปิดเอง ทำไรไม่ได้ เลยจำใจต้องอยู่!

อ่านความแปลกจากเรื่อง ‘บ้านหลังใหม่’ โดย ‘คุณป๊อบ’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (5 ธันวาคม 2566) เรื่องราวนี้จะหลอนแค่ไหน แล้วคุณป๊อบต้องเจอกับอะไรระหว่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณป๊อบ ย้อนกลับไปเมื่อ ปี พ.ศ. 2557 ครอบครัวคุณป๊อบอยากได้ที่ไว้เพื่อปลูกบ้าน จึงไปดูที่คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี แต่ในปีนั้นเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจว่าจะหาซื้อแถวบ้านที่ต่างจังหวัดแทนช่วงแรก ครอบครัวคุณป๊อบได้แวะไปดูที่ดินแถวบ้านญาติ ในสมัยนั้นที่ดินตรงนี้ยังเป็นป่าต้นยูคาลิปตัส ปรากฏว่าชอบมาก จึงคิดว่าจะซื้อที่ตรงนี้แทน ตอนนั้นก็มีคนต้องการซื้อที่ดินแปลงนี้เหมือนกัน และเสนอราคาที่สูงกว่าครอบครัวคุณป๊อบ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่น่าได้ แม่ของคุณป๊อบจึงไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางขอให้ได้ที่ตรงนี้ ไม่นานก็ได้รับการติดต่อมาจากเจ้าของ ทุกคนดีใจมาก จึงรีบตอบตกลงไปทันที หลังจากที่ได้ที่ดินนี้มาแล้ว พวกเขาคิดว่าจะถางป่ายูคาลิปตัสออก แต่ในระหว่างวันที่กำลังถางป่า ปรากฏว่าไปเจองูเห่าตัวใหญ่ประมาณ 2 เมตร จึงขอให้คนงานจับไปปล่อยที่อื่น เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นหลังจากนี้ตลอด ทุกครั้งที่ที่ดินตรงนี้นี้มีการเปลี่ยนแปลง ก็มักจะเจอกับงูเง่าทุกรอบ ซึ่งแต่ละรอบขนาดของงูก็แตกต่างกันออกไป คุณป๊อบต้องเจอเรื่องราวแปลก ๆ แบบนี้จนบ้านสร้างเสร็จเรียบร้อย วันหนึ่ง ‘คุณแม่อร’ (นามสมมุติ แม่ของคุณป๊อบ) มีธุระจะพูดคุยกับ ‘ป้าอ้าย’ (นามสมมุติ ป้าของคุณป๊อบ) จึงนัดหมายว่าจะมาที่บ้านหลังนี้ ในระหว่างที่แม่อรกำลังเดินอยู่ในบ้าน ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่ (ผ้าซิ่นในภาคอีสาน) กำลังเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอ ตอนนั้นคิดว่าเป็นป้าอ้ายที่นัดกันไว้ จึงรีบเดินตามไป หลังจากที่แง้มประตูเข้าไปก็ไม่เจอใคร จากนั้นแม่อรจึงไปรอที่หน้าบ้าน ไม่นานป้าอ้ายก็มาถึง ตอนนั้นเธอไม่เห็นใครจึงเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าระหว่างที่เดินอยู่ก็สังเกตเห็นผู้หญิงใส่ผ้าไหมมัดหมี่เดินเข้าไปในห้องเหมือนกัน จึงรีบตามไป ในระหว่างที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ป้าอ้ายได้ยินเสียงเรียกของแม่อรจากนอกบ้าน ป้าอ้ายจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้อง ก็ไม่เจอใครเลย และรีบออกไปหาแม่อรทันที เรื่องราวแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งน้าสะใภ้ คุณตา รวมถึงตัวคุณป๊อบเอง ต่างพากันเจอเรื่องราวสุดขนหัวลุกแบบนี้เหมือนกัน วันหนึ่ง น้าสะใภ้อยู่ในครัว ก็สังเกตเห็นมือปริศนาเปิดประตูเอง หรือแม้กระทั่งคุณตากำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ได้ยินเสียงเด็ก “หนูขออยู่ด้วย หนูกลัวผี” คุณตาตอบไปทันที “หนูก็เป็นผีอยู่แล้วหนิ หนูจะกลัวทำไม” ไม่นานเด็กคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูกลัวผีตัวอื่นในบ้านหลังนี้ !” คุณตาจึงตัดสินใจเปิดประตูให้ผีตนนี้เข้ามาอยู่ด้วย รวมถึงตัวคุณป๊อบก็เคยเจอผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแม่ แต่พอสังเกตดูดี ๆ มันคือใครก็ไม่รู้! หรืออีกเหตุการณ์ก็คือประตูเปิดเอง ทั้ง ๆ ที่ล็อกไว้แล้ว ด้วยความที่คุณป๊อบเป็นคนปากไวจึงด่าไปว่า “ไม่มีมารยาทเลยอะ เปิดประตูแล้วไม่รู้จักปิด” จากนั้นประตูก็ค่อย ๆ ปิดเอง ! มีอยู่วันหนึ่ง หมู่บ้านมีการทำบุญใหญ่ และจะมีหมอธรรมมาทำพิธีรดน้ำมนต์ให้บ้านทุกหลังในหมู่บ้าน พอจังหวะที่หมอธรรมมาถึงบ้านของคุณป๊อบก็ว่าทักขึ้นว่า “เคยเจอเรื่องราวแปลก ๆ กันบ้างมั๊ย อย่างคนเดินอยู่ในบ้าน รู้ไหมว่าที่นี่เป็นทางผ่าน บ้านหลังนี้เป็นเมืองบังบด” ทุกคนเงียบกันหมด และต้องจำใจอยู่เพราะตอนนั้นก็ลงทุนกันไปเยอะมาก จึงไม่คิดจะย้ายไปไหน เพราะตั้งแต่อยู่มาก็ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับครอบครัว ซ้ำยังได้โชคถูกหวยกันบ่อยครั้ง จึงไม่ได้กลัวอะไรมาก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณสายฝน ‘เพื่อนบ้านที่ระทึก’ l อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 9 ก.ย.2568 ]

17 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณสายฝน ‘เพื่อนบ้านที่ระทึก’ l อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 9 ก.ย.2568 ]

‘คุณฝน’ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ชวนขนลุกหลังย้ายไปเช่าบ้านหลังใหม่ ที่หมู่บ้านแห่งนั้นเธอได้พบกับร้านทำผมคู่ใจ มีอยู่คืนหนึ่ง เธอนัดหมายกับเจ้าของร้าน แต่เช้าวันถัดมาเจ้าของร้านไม่มาตามนัด และถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาประมาณ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังมีบุคคคลปริศนาทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ มายืนที่หน้าบ้านของตนเองอีกด้วย สรุปแล้วในคืนนั้น เธอนัดหมายกับใครกันแน่? บุคคลปริศนาที่มายืนหน้าบ้านคือใคร? หาคำตอบได้ใน ‘อังคารคลุงโปง x’ (9 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เพื่อนบ้านที่ระลึก’ ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 ขณะนั้นเกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ ‘คุณฝน’ ต้องรีบหาบ้านเช่าแบบกะทันหัน อยู่มาวันหนึ่ง ‘คุณบี’ ซึ่งเป็นเพื่อน เธอต้องการปล่อยเช่าจึงได้เสนอให้เช่าในราคาเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ของตัวบ้าน คุณฝนที่กำลังหาบ้านเช่าอยู่จึงตอบตกลงทันที หลังจากย้ายเข้าไปอยู่ได้ 5-6 เดือน ฝนมีร้านทำผมเจ้าประจำที่ชื่อว่า ‘ป้าศรี’ เป็นร้านเสริมสวยในหมู่บ้าน วันหนึ่งเธอตั้งใจไปสระผมที่ร้านป้าศรี แต่ร้านปิด กระทั่งผ่านไป 2-3 วัน ร้านก็ยังไม่เปิด จนมาวันหนึ่งเธอขับรถเข้ามาบังเอิญเห็นป้าศรีนั่งอยู่หน้าบ้าน จึงเปิดกระจกแล้วเอ่ยทักทาย “อ้าว!? ป้าศรีกลับมาแล้วหรอคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาทำผมนะป้า ว่าจะซอยหน่อย” ป้าศรีตอบว่า “หนูจะย้อมผมด้วยเลยไหม ย้อมด้วยเลยสิ” ฝนจึงตอบตกลงทันที พอรุ่งเช้าเธอก็ขับรถออกมา แต่กลับเห็นตำรวจและเพื่อนบ้านมุงอยู่เต็มหน้าบ้านป้าศรี ต่อมาก็เห็นกู้ภัยยกศพออกมา เธอจึงหันไปถามเพื่อนบ้านแถวนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็ได้คำตอบในแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน เพื่อนบ้านบอกว่า “ยายศรีแกตายแล้ว น่าจะล้มแล้วหัวฟาดพื้น ตำรวจสันนิษฐานว่าแกตายมา 2 อาทิตย์แล้ว” ฝนรู้สึกแปลกใจ และคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนว่า ‘แล้วคนที่คุยด้วยคือใคร’ นอกจากนี้ในกลุ่มหมู่บ้านก็มีการคุยกันว่ามีหลายคนได้คุยกับป้าศรีเมื่อไม่กี่วันก่อน บางคนเห็นป้าศรีนั่งอยู่ก็มานั่งคุยด้วย เรื่องราวผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ วันหนึ่งขณะที่น้องชายของฝนนั่งอยู่ไม้หินที่หน้าบ้าน ก็พูดขึ้นมาว่า “พี่! ไม่รู้ใครมายืนอยู่หน้าบ้าน พี่ลองไปดูสิ” เมื่อฝนมองตามที่น้องชายบอกก็เห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ เขาเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของบี ฝนพยายามคุยกับเขาแต่เขาทำเพียงแค่ยืนหน้านิ่ง และไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ไม่นานเขาก็เดินหายไป หลังจากนั้นทางบ้านที่ต่างจังหวัดก็แจ้งข่าวร้ายว่าคุณตาเสีย ทำให้คนที่บ้านต้องเดินทางกลับต่างจังหวัด ฝนจึงต้องอยู่บ้านคนเดียว วันหนึ่งหลังจากที่เลิกงาน เธอจะออกไปซื้ออาหาร ระหว่างทางเธอไปเจอกับผู้ชายที่นั่งคอตกอยู่หน้าบ้าน พอแสงของรถสาดเข้าไปใกล้ ๆ ทำให้รู้ว่าเป็น ‘โอ๋’ นั่งอยู่หน้าบ้าน เธอได้แต่มองแล้วก็ขับรถผ่านไป ขณะขับรถกลับเธอเห็นมีคนยืนอยู่หน้าบ้านตนเอง คนนั้นคือโอ๋นั่นเอง “โอ๋ มีอะไรหรือเปล่า?” ฝนถาม โอ๋ตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ว่า “เรามาหาบี” ฝนคิดในใจว่าโอ๋น่าจะรู้ว่าบีไม่อยู่และปล่อยบ้านให้เธอเช่าไปแล้ว จึงถามกลับไปว่า “โทรหาบีสิ บีไม่ได้อยู่ที่นี่ เรามาเช่าบ้านหลังนี้ไง” โอ๋ได้ตอบกลับว่า “โทรตามบีให้หน่อยได้ไหม” ฝนได้แต่นึกในใจอีกครั้งว่า ‘คนเป็นเพื่อนกันน่าจะมีเบอร์ติดต่อกัน ทำไมถึงไม่โทรหาเอง’ แต่เธอก็ตบปากรับคำกับโอ๋ และแล้ววันนั้นเธอก็ไม่คิดถึงเรื่องนี้และไม่ได้โทรไปหาบี วันถัดมาช่วงกลางคืน ฝนก็เห็นว่ามีผู้ชายมายืนหน้าบ้านเธอเหมือนเดิม และก็นั่นก็คือโอ๋ ฝนจึงนึกเรื่องที่โอ๋ให้ติดต่อบี เธอเอ่ยถามโอ๋ว่า “มีอะไรโอ๋?” และก็ได้คำตอบเดิมว่าให้ฝนช่วยติดต่อบีให้ ฝนก็รับปากเหมือนเดิมและโอ๋ก็ได้หันหลังกลับไป แต่ขณะที่เขาได้หันหลังไปกลับพบว่า ตัวหันตามไปปกติ.. แต่คอกลับไม่หันตามไป! ฝนเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าบ้านทันที เธอพยายามรวบรวมสติทั้งหมดโทรหาบีทั้งคืนแต่บีก็ไม่ได้รับสาย เช้าวันต่อมา บีได้โทรกลับมา ฝนจึงรีบบอกบีว่าคนชื่อโอ๋มาถามหาและให้ติดต่อโอ๋กลับไป เวลาผ่านไปจนถึงช่วงหนึ่งทุ่ม บีติดต่อกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “ฝน.. มึงรู้ได้ไงว่าโอ๋มันตายแล้ว” ย้อนเหตุการณ์กลับมาตอนช่วงเย็น หลังจากที่บีเคลียร์งานเสร็จ เธอได้ติดต่อหาโอ๋แต่ก็ไม่มีคนรับสาย บีจึงตัดสินใจขับรถไปที่บ้านโอ๋ พอมาถึงก็พบว่าประตูรั้วเปิดได้แต่ด้านในบ้านล็อกไว้ จึงตะโกนเรียกโอ๋ แต่ก็ไม่มีใครเปิดประตูออกมา เธอจึงเดินไปรอบ ๆ บ้าน และพบว่ามีหน้าต่างเปิดแง้มไว้หนึ่งบาน บีเอาหน้ายื่นเข้าไปในช่องหน้าต่างและพบว่า มีศพผู้ชายผูกคอนั่งด้วยท่ายอง ลักษณะคอเปื่อยจนเหมือนจะหลุดออกมา บีเรียกรถกู้ภัยและได้งัดบ้านเข้าไป และภาพที่เห็นก็เป็นโอ๋นั่งผูกคอเสียชีวิตอยู่บนเหล็กดัดในลักษณะท่านั่ง เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าศพน่าจะเสียชีวิตมาประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว และเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวที่ ‘คุณฝน’ ได้ไปพบตอนย้ายไปเช่าบ้านของเพื่อน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณตุ๊กติ๊กดุ๊กดิ๊กปิ๊กเมืองผี ‘ขอลูกเสียผัว‘ l อังคารคลุมโปง X ณัฐผี The Scary [ 8 ก.ค.2568 ]

20 ก.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณตุ๊กติ๊กดุ๊กดิ๊กปิ๊กเมืองผี ‘ขอลูกเสียผัว‘ l อังคารคลุมโปง X ณัฐผี The Scary [ 8 ก.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณตุ๊กติกดุกดิ๊กปิกเมืองผี’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ขอลูกเสียผัว’ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ‘คุณแอน’ กับสามีที่ได้ไปขอลูกกับศาลเก่าแห่งหนึ่ง แต่ชีวิตคู่กลับต้องเจอเรื่องราวสุดช็อค เพราะดันไปขอผิดศาล! เรื่องราวทั้งหมดจะหลอนและขนหัวลุกซู่ขนาดไหน? สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (8 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ‘คุณตุ๊กติกดุกดิ๊ก’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝากเล่าจาก ‘คุณแอน’ โดยคุณแอนได้แต่งงานกับสามี และได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของสามีที่จังหวัดสุโขทัย แม้ว่าทั้งสองจะแต่งงานกันมาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีลูกเสียที จนคนระแวกบ้านนำเรื่องนี้ไปแซวกันสนุกปากว่า “อุ้ย ทำไมมันไม่มีลูกสักที มันอะไรหรือเปล่า” ช่วงแรกที่เจอคำถามเหล่านี้ สองสามีภรรยาก็ไม่ได้รู้สึกยี่หระอะไร คิดว่าเดี๋ยวชาวบ้านก็เลิกพูดกันไปเอง แต่นานวันเข้าเรื่องนี้กลับไม่จบละลุกลามมากขึ้น คำพูดของชาวบ้านส่งผลกระทบต่อสองสามีภรรยา ทำให้บรรยากาศในบ้านมาคุ ยิ่งคุณแอนเป็นสะใภ้ที่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหญ่ด้วยแล้ว เรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้คุณแอนรู้สึกอึดอัด เพราะแม้กระทั่งคนในครอบครัวก็เริ่มรู้สึกกับคำพูดเหล่านั้นด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น สามีของคุณแอนก็คอยอยู่ข้าง ๆ และให้กำลังใจเสมอว่า “เออ ไม่เป็นไรนะที่รัก เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ผ่านไป” สองสามีภรรยาอดทนกับคำพูดเหล่านั้นมาเรื่อย ๆ กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสองได้ไปเป็นเจ้าภาพกฐินที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ ก็ได้เงินให้วัดมากถึงสองแสนบาท และได้มานั่งพูดคุยสนทนาสัพเพเหระกันในวัด อยู่ ๆ ทางญาติฝั่งสามีก็ได้เอ่ยปากถามหลวงพ่อไปว่า “หลวงพ่อ พระองค์ไหนในวัดที่พอจะขอลูกได้บ้างไหม” หลวงพ่อเขาก็ตอบกลับมาว่า “เรื่องนี้ให้มันเป็นธรรมชาติแล้วกันเนอะ” ทว่าในระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้น ‘ป้าหนิง’ หนึ่งในสมาชิกครอบครัวก็พูดขึ้นมาว่า “เห้ย ป้านึกออกแล้ว มีอยู่ศาลนึง แถว ๆ บ้านเรานี่แหละ ไว้กลับไปเนี่ย ไปขอพรได้เลยนะ ศาลมันอยู่ใกล้บ้าน ศาลนี้คนไปขอพรเยอะ ใครไปขออะไรก็ได้” ป้าหนิงให้พิกัดศาลมาเสร็จสรรพ คุณแอนและสามีจึงคิดกันว่า ‘คราวนี้ คงต้องลองไปขอลูกแล้ว’ แม้นี่จะไม่ใช่ความต้องการของทั้งสอง แต่ก็อยากจะลองไปขอพรดู เพราะทนความกดดันจากคนรอบข้างไม่ไหว และแล้ววันนั้นก็มาถึง ทั้งสองได้ขับรถไปตามพิกัดที่ที่ป้าหนิงบอก เมื่อไปถึงก็พบว่าศาลนั้นค่อนข้างรกร้าง มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ตัวศาลเองก็เก่าและค่อนข้างทรุดโทรม ทั้งคู่เกิดความไม่มั่นใจ คิดว่าอาจจะมาผิดศาล แต่เมื่อพิจารณารอบข้างดูแล้ว ก็ไม่พบศาลอื่นอีก ทั้งคู่คิดว่าน่าจะมาถูกต้องแล้ว จึงได้เข้าไปขอพร หลังจากนั้นไม่นาน คุณแอนก็ตั้งท้อง เมื่อเข้าไปพบคุณหมอ คุณหมอก็เตือนว่า “คุณแม่อายุเยอะนะ ต้องอย่าลืมว่าลูกจะต้องมีความเสี่ยง อาจจะมีเรื่องโรคสมอง เรื่องเลือดต่าง ๆ ที่มันจะเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้” เมื่อถึงกำหนดคลอด ก็ออกมาเป็นลูกชายฝาแฝด เด็กทั้งคู่ไม่มีภาวะเสี่ยงร้ายแรงที่คุณหมอคาดว่าจะเกิดขึ้นเลย มีเพียงเรื่องโรคเลือดที่อาจจะต้องระมัดระวัง นานวันเข้าเด็กทั้งคู่ก็เริ่มเติบโต เลี้ยงง่าย น่ารัก ใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทั่วไป ทว่ามีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่คุณแอนนอนกลางวันอยู่ ก็ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้านไม่ได้ เขายืนรออยู่หน้าบ้าน และตะโกนเรียก ตัวคุณแอนก็เดินลงมา จึงได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้รอคุยด้วย แต่เมื่อลูกของคุณแอนเดินตามมา กลายเป็นว่าผู้หญิงในฝันคนนั้นพยายามที่จะเอาลูกไป จึงได้มีการยื้อยุดฉุดกระชากกันแล้วได้พูดไปว่า “นี่ลูกฉัน เอาไปไม่ได้” ผู้หญิงในฝันก็พูดด่าทอคุณแอนว่าตัวของคุณแอนไปขโมยของเขามา และจากร่างที่ปกติ ผิวของผู้หญิงคนนี้กลับค่อย ๆ เปื่อยยุ่ยและก็หลุดออกมาเป็นชิ้น! คุณแอนตกใจจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้สามีฟัง ตัวสามีก็เพียงแค่คิดว่าน่าจะนอนเยอะหรือกินมากเกินไปจนธาตุเพี้ยน ทว่าความฝันนั้นกลับเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ซ้ำกันแทบจะทุกคืน นานวันความฝันก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในฝันมีผู้ชายอีกคนหนึ่งมาเพิ่ม และพูดมาประมาณว่า “มึงอะ เอาลูกกูไป มึงขโมยลูกกู กูจะเอาลูกกูคืน” จากนั้นก็จะยื้อยุดฉุดกระชากกัน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมานั่นคือ แม้กระทั่งในยามตื่น คุณแอนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ในบ้านตลอด ผ่านไปสักพักหนึ่ง จู่ ๆ ลูกแฝดก็ไม่สบาย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต้องเขาโรงพยาบาลรักษาตัวระยะยาวด้วยโรคเลือดที่เป็นอยู่ ที่บ้านต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลตลอด ในขณะที่ตัวคุณแอนและสามีเทียวไปมา คุณแอนก็รู้สึกได้ว่าเวลาที่กลับบ้าน จะเห็นว่าเหมือนจะมีขาหรือเงาคนเดินอยู่ในบ้าน พอเดินเข้าไปสำรวจกลับไม่มีใครเลย พอไปถามญาติ ทุกคนก็ยังไม่มีใครกลับบ้าน ทำให้สองสามีภรรยาเริ่มเอะใจ เรื่องนี้เริ่มจะไม่ปกติแล้ว.. แม้จะเกิดเรื่องไม่สบายใจภายในบ้าน แต่ทั้งคู่ก็อดทนอยู่กันต่อไป และนอกจากเงานั้นยังมีเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นว่าคนทั้งบ้านเริ่มเจอกับสถานการณ์เดียวกัน ทั้งเงา ทั้งเสียง มาครบเลยทีเดียว กระทั่งความกลัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ตอนแรกทุกคนในบ้านนอกแยกห้องกัน ก็เริ่มมานอนอยู่รวมกันในโซนกลางเพื่อความสบายใจของทุกคน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์แย่มากขึ้น สองสามีภรรยาก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น และตัวสามีก็ดันหลุดปากมาว่า “เนี่ย ถ้าเรื่องมันเยอะขนาดนี้นะ งั้นเดี๋ยวกูจะไปเผาศาลเลยไหม ศาลที่เคยไหว้ขอลูกกันหน่ะ” ซึ่งมันแรงมากสำหรับคุณแอน เธอจึงตอบกลับไปว่า “เฮ้ยพี่ ทำไมพูดขนาดนี้ มันแรงมากเลยนะ” จากนั้น สามีก็แยกตัวออกไป ไม่ได้กลับบ้านสองคืน เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ไม่ทะเลาะกัน เวลาผ่านไปสองสามวันหลังจากนั้น ดันมีข่าวหลุดมาจากในหมู่บ้านว่าศาลเก่าที่อยู่ในระแวกนั้นเกิดไฟไหม้ คุณแอนเริ่มอยู่ไม่สุขและคิดในใจว่าสามีของตนอาจจะเป็นคนเผาก็เป็นได้! เมื่อสามีกลับมาที่บ้าน ทั้งคู่ก็ได้พูดคุยกัน สามีกล่าวปฏิเสธ และอธิบายว่า “ไม่ได้ทำ วันที่ทะเลาะกันหน่ะ โมโหจริง ๆ นะ แต่ไม่ได้ทำ ที่ออกจากบ้านไปคือไปนอนบ้านเพื่อน ไปพักสมอง พักหายใจให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง แต่พอมันเย็นลงแล้ว ก็ไม่ได้ทำ อารมณ์สงบแล้ว เลยกลับมาบ้าน เพื่อตั้งใจว่าจะมาคุยกันดี ๆ มาขอโทษมาคุยกันด้วยเหตุผล” หลังจากคุยเรื่องนี้จบ ในใจคุณแอนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด หลังจากนี้คุณแอนก็เริ่มเข้าวัด ทำบุญ ปฏิบัติธรรมให้ตัวเองสงบมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าพอทำเช่นนี้ จากที่เคยฝันซ้ำ ๆ ตอนนี้ความฝันก็เริ่มกลายเป็นเรื่องราวที่ชัดขึ้น ในความฝันนั้น ชายหญิงคู่เดิมไม่ได้อยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แต่ดันอยู่ภายในบ้าน เมื่อชายหญิงคู่นั้นเข้ามาแล้ว เขาก็กำลังยื้อยุดฉุดกระชากลากลูก คุณแอนจึงได้วิ่งกรูเข้าไปดึงลูกคืน และได้เกิดการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น คุณแอนถูกผลักจนล้ม และชายหญิงคู่นี้ก็พยายามที่จะมาทำร้ายคุณแอน กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังไล่หลังมา ปรากฏว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสามีที่พูดว่า อย่าทำร้ายลูกเมียเขา ถ้าจะเอาอะไรไปสักอย่างนึง ให้เอาเขาไปแทน สิ้นเสียงของสามี ชายหญิงแปลกหน้าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มและบอกกลับมาว่า“ได้” จากนั้นก็ปล่อยทุกคน และทั้งหมดนี่ก็คือความฝันสุดท้ายที่คุณแอนฝันเห็น เวลาผ่านไปสองสัปดาห์ สิ่งที่หน้าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นคือ แฝดที่เคยอยู่โรงพยาบาลก็เริ่มอาการดีขึ้น และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ กลับมาวิ่งเล่นปกติได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมานั่นคือสามี เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จุดที่สามีคุณแอนเสียชีวิตคือตรงศาลไม้เก่าหลังนั้น ที่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ซากเก่า ๆ ที่ถูกไหม้ คุณแอนรู้สึกเสียใจมาก เพราะทั้งคู่รักกันมานาน ในช่วงที่จัดงานศพ ก็มีคนมาถามว่าได้เจอสามีบ้างหรือไม่ คนในครอบครัวที่อยู่บ้านเดียวกันก็บอกว่าเจอบ้าง เขาใช้ชีวิตปกติ รดน้ำต้นไม้ เดินอยู่ในบ้านบ้าง แต่คุณแอนกลับไม่เคยเห็นสามีเลย จะรู้สึกแค่มีคนมาลูบผมเวลานอน ที่รู้ว่าเป็นสามีเพราะว่าน้ำหนักมือที่คุ้นเคย ซึ่งไม่เพียงแค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่จะมีเสียงด้วยของสามีที่มักจะพูดว่า “แอน ไม่เป็นอะไรนะ ไม่เป็นอะไร” และจะลูบผมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณแอนจะหลับ เมื่อถึงวันเผา คุณแอนบอกว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ไม่ได้รู้สึกถึงสามี คุณแอนจึงคิดในใจว่า เขาอาจจะไปในที่ที่ควรจะไปแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไร ช่วงก่อนฟ้าสาง คุณแอนได้สะดุ้งตื่น เพราะฝันว่าเห็นสามียืนอยู่ตรงหน้าศาลไม้เก่านั้น มีโซ่ล็อกคอไว้ และกระชากสามีหายเข้าไปในศาล หายไปกับความมืด คุณแอนรู้สึกไม่สบายใจมาก ๆ จึงได้นำเรื่องนี้ไปบอกทางแม่สามี และพระ แต่ก็ยังไม่ได้ทางออก เพราะพระท่านจะบอกมาเพียงว่า ให้ไปทำบุญ กรวดน้ำให้สามี แต่ทุกครั้งที่คุณแอนทำ ก็จะฝันเหมือนเดิมซ้ำ ๆ ว่าเห็นสามียืนอยู่ที่เดิมที่หน้าศาล และสามีจะพูดเพียงแค่ว่า “แอน มันไม่ถึง พี่ไปไม่ได้ เขาไม่ให้ไป” และจะถูกกระชากเข้าไปทุก ๆ ครั้ง เมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับ ‘ป้าหนิง’ ที่เป็นต้นเรื่องนี้ หลังจากที่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ป้าหนิงกลับบอกว่า “เห้ย มึงไปผิดศาลรึป่าว ศาลที่กูให้ไปอะ อยู่ใกล้บ้านจริง ๆ มันเป็นศาลใหม่นะเว้ย ไม่ใช่ศาลเก่า” แต่เมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว ก็ต้องหาทางออกอื่นต่อไป คุณแอนที่ชอบฟังเรื่องผีจึงได้ติดต่อ ‘คุณตุ๊กติกดุกดิ๊ก’ เพื่อขอความช่วยเหลือ คุณตุ๊กติกดุกดิ๊กจึงบอกไปว่า “งั้นทำแบบนี้นะ ธูปสองดอก ดอกดาวเรืองหรือดอกมะลิล้วน ๆ ก็ได้สักพวกนึง เอาไปไหว้หน้าบ้าน ตอนไหว้พี่หันหน้าออกจากตัวบ้าน และไหว้ขอพระแม่ธรณีและปู่เวสสุวรรณ บอกตรง ๆ เลย ว่าลูกชื่อนามสกุลนี้ เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายกับนายชื่อนามสกุลนี้ แล้วเราเกิดเหตุหรือประสบปัญหาอะไร บอกท่านไปว่าเราต้องการให้ช่วยเหลือหรือปลดปล่อยใคร” ตัวของคุณแอนก็ได้ทำตามคำแนะนำทั้งหมด ปรากฏว่าตัวสามีของคุณแอนได้มาเข้าฝันอีกครั้ง และได้บอกว่า “พี่ถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว” หลังจากที่สามีคุณแอนมาเข้าฝัน สิ่งที่เป็นผลกระทบถึงคุณตุ๊กติกดุกดิ๊กคือ ตัวคุณตุ๊กติกดุกดิ๊กจะเสี่ยงเจออุบัติเหตุเป็นประจำในช่วงหนึ่งสัปดาห์ จึงต้องเข้าวัด ทำบุญบ่อย บางทีก็รู้สึกเหมือนมีใครมาบอกอะไรบางอย่าง แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้ว โดยท้ายที่สุดคุณตุ๊กติกดุ๊กดิกยังเล่าเพิ่มอีกว่า ที่ศาลนั้นถูกเผา มันเกิดจากไฟฟ้าแถวนั้นลัดวงจร และวิญญาณชายหญิงคู่นั้นก็คาดว่าน่าจะมาจากศาลแน่นอน เพราะในศาลนั้นมีเจ้าของพื้นที่เดิมเป็นคนเล่นของ และได้เอาลูกแฝดมาเส้นบูชายันต์ที่ตรงนี้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1