เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’ทำไมไม่สวดต่อ’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

02 มิ.ย. 2024

          เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ทำไมไม่สวดต่อ’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !

          เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณคิม (นามสมมติ)’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคุณคิม แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณคิมที่มีชื่อว่า ‘คุณเปี๊ยก (นามสมมติ)’ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

          คุณเปี๊ยกเป็นหนึ่งในเด็กวัยรุ่นประจำหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อนชายในกลุ่มต่างก็ต้องบวช โดยแต่ละคนก็ได้ไปประจำแต่ละวัด คุณเปี๊ยกเห็นเช่นนั้น ก็อยากที่จะบวชบ้าง จึงได้ไปปรึกษากับคุณแม่ แต่ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดี จึงถูกปฏิเสธ แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง ในระยะเวลาเดียวกัน บังเอิญว่า ‘หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่’

          แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลเกือบ 10 กิโล แต่งานพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ จะมีเจ้าภาพที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อทางคณะเจ้าภาพจะได้บุญกุศลใหญ่ คุณเปี๊ยกจึงเป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเข้าบวชในพิธีนี้ โดยมีกำหนดการออกมาทั้งหมด 9 วัน ซึ่งหลังจาก 9 วัน ใครก็ตามที่อยากจะบวชต่อก็สามารถจำวัดต่อได้ หรือใครอยากสึกก็ตามแต่ตั้งใจ

          หลังจากบวชจนครบ 9 วัน หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจที่จะบวชต่อ เพราะรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่หลวงพี่เปี๊ยกต้องการที่จะย้ายวัดให้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อที่คุณแม่จะได้สะดวกในการมาใส่บาตร หลวงพี่เปี๊ยกจึงปรึกษากับหลวงพ่อ ทำเรื่องถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของตน ปรากฏว่าทุกวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของหลวงพี่เปี๊ยก มีพระใหม่เข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก จนพระล้นกุฏิ ไม่สามารถรับใครเพิ่มได้แล้ว แต่ก็มีคนคำแนะนำว่า

          “มีวัดอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งห่างไปไม่เกิน 2 กิโล น่าจะสามารถเข้าไปจำพรรษาได้ ลองเข้าไปคุยกับที่วัดดู”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงตัดสินใจเข้าไปคุย ปรากฏว่าวัดนี้มีกุฏิว่างเหลืออยู่ แต่เป็นกุฏิหลังเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ได้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เจ้าอาวาสจึงถามว่า

          “อยู่ได้ไหม ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “อยู่ได้ครับ” เพราะไม่ไกลบ้าน และคุณแม่ก็สามารถมาใส่บาตรตอนเช้าได้

          หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกก็เข้าไปดูกุฏิ ซึ่งอยู่บริเวณท้ายวัด ติดกับเมรุและป่าช้า ตัวกุฏิมีลักษณะเป็นไม้เก่า ยกพื้นสูง ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ส่วนด้านในกุฏิจะเต็มไปด้วยข้าวของของวัดมากมาย เช่น พาน บาตร พวงมาลัยพลาสติก ฯลฯ หลวงพ่อจึงเกณฑ์คนในวัดให้ไปช่วยทำความสะอาด ขนของ ย้ายอุปกรณ์ออก ซึ่งวันแรกหลวงพี่เปี๊ยกก็สามารถเข้าจำวัดได้ตามปกติ

          หลังจากที่ออกบิณฑบาตเช้าเรียบร้อย หลวงพี่ที่อยู่จำพรรษามาก่อนก็ถามว่า

          “เป็นยังไงพระเปี๊ยก เมื่อคืนนอนได้ไหม หลับสบายหรือเปล่า ได้เจออะไรไหมล่ะ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกแปลกใจเล็กน้อย จึงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เจออะไรนะครับ” แต่ก็แอบคิดในใจว่า ‘ทำไมหลวงพี่ถามแบบนี้นะ ?’ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

          หลังจากนั้นช่วงสายก็มีเด็กวัดมานั่งเล่นอยู่แถวกุฏิ เด็กวัดเห็นหลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงพี่มานอนกุฏินี้ หลวงพี่ไม่กลัวผีเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องกลัวผี ? มันมีอะไรหรือเปล่า”

          เด็กวัดก็เริ่มเลิ่กลั่กตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ”          

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 2 กิจวัตรประจำวันก่อนนอนทุกคืนของหลวงพี่เปี๊ยก คือ การสวดมนต์ แต่ด้วยความที่หลวงพี่เปี๊ยกเป็นพระใหม่ สวดไม่เป็น ไม่รู้วิธีการท่อง และก็ไม่รู้ว่าจะสวดบทอะไร จึงพยายามหาบทสวดที่ทำให้ตัวเองสามารถสวดเพื่อที่จะนอนหลับได้ จนกระทั่งเผลอหลับไป ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง โดยกุฏิกับห้องน้ำอยู่ห่างกัน 30-40 เมตร ซึ่งหลวงพี่เปี๊ยกต้องเดินลงจากกุฏิ และเดินผ่านทางที่มีไฟสลัวไปห้องน้ำ ระหว่างทางเดินหลวงพี่เปี๊ยกเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ผ่านหางตาซ้าย จึงรีบหันกลับไปมองเห็นเป็น ‘พระรูปหนึ่ง’

          พระรูปนั้นเป็นพระแก่ชรา มีลักษณะหลังค่อม ซึ่งค่อมจน ‘ศีรษะแทบจะติดพื้น’ และยังคงยืนโค้งอยู่อย่างนั้น หลวงพี่เปี๊ยกจึงถามว่า

          “หลวงตามาทำอะไรครับ ?”

          หลวงตาจึงหยุดเดิน ก่อนที่จะหันหน้ากลับมายิ้มให้ แล้วก็เดินไปทางด้านหลังห้องน้ำที่เป็นทางไปกุฏิอื่น หลวงพี่เปี๊ยกจึงคิดว่า ‘หลวงพ่อเขาคงไม่อยากคุยอะไรกับเรา’ และเก็บความสงสัยไว้ในใจ..

          วันรุ่งขึ้นหลวงพี่เปี๊ยกก็ถามกับหลวงพี่ว่า

          “วัดเรามีพระแก่ไหมครับ ลักษณะหลังค่อม ?”

          หลวงพี่จึงตอบว่า “พระแก่ของวัดเรามีอยู่รูปเดียว และเป็นรองเจ้าอาวาส ไม่ได้หลังค่อม ทำไมเหรอ ?”

          หลวงพี่เปี๊ยกได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ถามอะไรต่อ

          ตกกลางคืน เข้าสู่คืนที่ 3 ในระหว่างที่หลวงพี่เปี๊ยกก็กำลังสวดมนต์เหมือนปกติ หลวงพี่เปี๊ยกก็ได้ยินเสียงคนสวดตามอยู่ด้านนอกกุฏิ และไม่ว่าหลวงพี่เปี๊ยกจะสวดบทอะไร ด้านนอกก็จะสวดตาม หลวงพี่เปี๊ยกเกิดความสงสัยว่าใครมาสวดตามตน จึงลองเงียบ และเมื่อเงียบ ด้านนอกก็เงียบ แต่เมื่อหลวงพี่เปี๊ยกสวดต่อ ด้านนอกก็สวดต่อ ด้วยความสงสัยถึงขั้นสุด หลวงพี่เปี๊ยกจึงเลือกที่จะเดินเอาหูไปแนบกับประตู ก่อนที่จะท่องต่อว่า

          “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต…”

          แล้วก็หยุดเพื่อที่จะรอฟังคนด้านนอก ปรากฏว่าหลวงพี่เปี๊ยกได้ยินเสียงพูดกลับมาว่า

          “ทำไมไม่สวดต่อล่ะ หยุดสวดทำไม กลัวเหรอ!?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตกใจ ก่อนที่จะถอยหลังจากประตู และกลับมานั่งสวดมนต์ต่อที่เดิม เริ่มสัมผัสได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกมันไม่ปกติ’  จึงนั่งหลับตาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเงียบลง แล้วก็ได้ยินเสียง ปัก… ปัก… ปัก ! คล้ายกับว่ามีของบางอย่างกระทบกันอยู่! ซึ่งในตอนนั้นไฟทุกดวงได้ปิดหมดแล้ว หลวงพี่เปี๊ยกจึงหยิบไฟฉายใกล้ตัวขึ้นมา และส่องไปที่ต้นทางของเสียงบริเวณประตู เริ่มส่องไปตั้งแต่บริเวณพื้นเห็นเป็น ‘ขาและชายจีวร’ ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไฟขึ้น เห็นเป็นศีรษะที่ก้มโค้งจนจะติดพื้น และเสียง ปัก… ปัก… ปัก! เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากศีรษะที่กำลังโขกกับประตู

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะตั้งสติและเข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผีแน่นอน! จึงนำผ้าห่มมาคลุมตัว และหลับตาสวดมนต์ พร้อมพูดว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! ผมกลัวแล้ว !!”

          ในระหว่างที่พูดเสียงที่เคาะก็ได้เงียบลง จังหวะพอดีกับความคิดของหลวงพี่เปี๊ยกที่คิดว่าจะเอายังไงต่อไป ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนที่หายใจไม่ออก “กร่อกกกกกก…” อยู่บริเวณด้านหน้าผ้าห่มที่ตัวเองคลุมเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อว่า

          “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ! อย่ามาหลอกผมเลย !!”

          แล้วเสียงก็เงียบลง จึงตัดสินใจเปิดผ้าออก และค่อย ๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าพระรูปหนึ่งที่แก่ชรา ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้าปากอมมือของหลวงพี่เปี๊ยกที่ไหว้อยู่!

          หลวงพี่เปี๊ยกตกใจมาก สะบัดมือของตัวเองออก ก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ ทันที โดยวิ่งไปทางห้องน้ำ ซึ่งพอวิ่งไปถึงหน้าห้องน้ำ ก็เจอกับพระรูปหนึ่งที่มีลักษณะแก่ชราและมีอายุ พระรูปนั้นก็ถามขึ้นว่า

          “หลวงพี่เป็นอะไร ? วิ่งมาทำไม !?”

          หลวงพี่เปี๊ยกก็ตอบว่า “ช่วยผมด้วยครับ ผมโดนผีหลอก”

          หลวงพ่อรูปนี้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ก่อน ค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวเข้าไปสงบจิตใจที่กุฏิอาตมา” ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ทางด้านหลังห้องน้ำพอดี

         

          หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อก็พูดปลอบประโลมให้หลวงพี่เปี๊ยกใจเย็นขึ้น จนหลวงพี่เปี๊ยกเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเข้าหู ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “หลวงพี่เปี๊ยก !” และอีกหลายเสียงว่า “หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ไหน !?” หลังจากนั้นหลวงพี่เปี๊ยกจึงเริ่มตั้งสติ ค่อย ๆ ลุกขึ้นลืมตามองไปรอบห้อง ก่อนที่จะตกใจสุดขีดเพราะ กุฏิที่ตนอยู่เป็นกุฏิที่ถูกปิดตาย และเห็นว่ามีสรีระสังขารของพระรูปหนึ่ง ลักษณะผิวแห้งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้ว นอนอยู่ในโลงแก้ว! มองสูงขึ้นไปอีกพบรูปหน้าโลง เป็นใบหน้าของหลวงพ่อเมื่อคืนที่ช่วยเหลือตน

          หลวงพี่เปี๊ยกตะโกนร้องสุดเสียงว่า

          “ผมอยู่นี่ ! พระอยู่นี่ !! ช่วยด้วย !!” จนเจ้าอาวาสได้ยินเสียง และนำกุญแจมาเปิดประตู หลังจากเปิดเข้ามาก็ถามหลวงพี่เปี๊ยกว่า

          “พระเปี๊ยกเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง !?” เพราะกุฏินี้มันถูกล็อกจากด้านนอก

          หลวงพี่เปี๊ยกจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอาวาส และเด็กวัดทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “กุฏิที่หลวงพี่เปี๊ยกอยู่ เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส และท่านมรณภาพไปนานแล้ว” ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เจ้าอาวาสได้บอกกับรองเจ้าอาวาสว่า “ถ้าหากตัวอาตมามรณภาพ ไม่ต้องเผานะ เพราะว่าสรีระสังขารของอาตมาจะไม่เน่า ให้เก็บสรีระสังขารของอาตมาไว้ และในทุก ๆ ปีให้จัดงานสมโภช ให้กับสังขารของอาตมา” ทำให้มีสรีระสังขารของเจ้าอาวาสถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว

          ทุกคนจึงตั้งคำถามว่า ‘แล้วหลวงพี่เปี๊ยกเข้าไปได้ยังไง ?’ เกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า เจ้าอาวาสท่านคงมาช่วย เพราะสิ่งที่หลวงพี่เปี๊ยกเจอ คือ อดีตพระลูกวัดที่เคยบวชอยู่ที่นี่ ชื่อว่า ‘หลวงตาแก้ว’ ซึ่งก่อนที่หลวงตาแก้วจะมาบวช ท่านเป็นคนเล่นของ จนกระทั่งหลวงตาแก้วได้ไปบอกกับชาวบ้านว่า ตนจะเลิกเล่นคุณไสยมนต์ดำ และตัดสินใจที่จะมาบวชที่วัดแห่งนี้ ซึ่งตอนที่หลวงตาแก้วบวช ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่อว่าท่านจะตัดขาดได้จริง แต่หลวงตาแก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ‘ท่านสามารถทำกิจของสงฆ์ได้และได้ดี’ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

          กระทั่งวันหนึ่ง หลวงตาแก้วก็เริ่มป่วย จนไม่สามารถที่จะทำกิจของสงฆ์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่เป็นคนคอยถวายอาหารให้ทุกวัน วันหนึ่งในระหว่างที่ลูกศิษย์นำอาหารเพลเข้ามาถวาย ลูกศิษย์ก็สังเกตเห็นว่า ‘ทำไมหลวงตาแก้วไม่ฉันอาหารเช้า ?’ แต่ก็เอาอาหารเพลไปวางไว้เหมือนเดิม จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารทุกมื้อยังอยู่เหมือนเดิม จึงเริ่มเอะใจตะโกนชื่อเรียกหลวงตาแก้ว และพยายามเปิดประตู ซึ่งปรากฏว่าห้องล็อค จึงพยายามพังประตูเข้าไปพบ ‘สรีระสังขารหลวงตาแก้วนอนอืดอยู่กลางห้อง’

          ซึ่งภายในห้องมีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อยู่ทั่วทั้งห้อง เหมือนกับว่า ‘หลวงตาแก้วเลี้ยงอะไรบางอย่างไว้ในกุฏิ’ เพราะไม่มีใครเคยเข้าไปในกุฏิของหลวงตาแก้ว ทุกคนจึงคิดตรงกันว่า หลวงตาแก้วเลี้ยงผีแน่นอน และคิดกันต่อว่าหลวงตาแก้วคงเอาไม่อยู่ คือพยายามจะเลิก แต่ไม่สามารถเลิกได้ จึงโดนของเข้าตัวจนเสียชีวิต และหลังจากนั้น คนในวัดก็พบเห็นผีหลวงตาแก้ว เดินอยู่ในวัด ลักษณะหลังค่อม โค้งจนศีรษะแทบจะติดพื้นอยู่เป็นประจำ..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

22 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

‘คุณใหม่ รอเรน’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ร้องขอชีวิต’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณใหม่เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้อง ‘เลิ่กลั่ก’ ดาว TikTok ที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเห็นคลิปของน้องมาไม่มากก็น้อย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าน้องมีเอเนอร์จี้เหลือล้น ตลก และสนุก แต่เรื่องราวที่น้องเจอมานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นเรื่องราวในวัยเด็กที่โหดร้ายมากเสียจนแทบจะเป็นหนังฆาตกรรมได้ แต่เลิกลั่กก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ร่าเริงได้ขนาดนี้ คุณใหม่ถึงกับเอ่ยปากชมไม่หยุด เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ชายของน้องเลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนั้น เลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ภาคใต้ ซึ่งจะเป็นครอบครัวที่เป็นหมอคุณไสย์ มนตร์ดำ มีอยู่วันหนึ่ง คุณไสย์บอกว่าให้ลงไปงมในบ่อที่เป็นบ่อน้ำเหมือนทะเลสาบ บอกว่าใต้น้ำนั้นมีไม้ตะเคียนใหญ่ 2 ต้น และสั่งให้พ่อเอาขึ้นมา เพื่อเอามาทำเป็นเสาบ้าน คุณพ่อจึงลองงมตามที่บอกและปรากฎว่าเจอจริง ๆ จากนั้นก็นำกลับมาไว้ที่บ้าน ซึ่งน้องเลิ่กลั่กก็จะตกใจทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วเจอไม้ใหญ่ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น อันดับแรก วันแรกที่เอาไม้ตะเคียนมาพ่อก็หนีออกจากบ้าน แล้วไปนอนบนภูเขา ตอนเช้าค่อยกลับมาบ้าน รอบแรกไปแค่วันเดียว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มเพิ่มเป็น 2 วัน บางทีเป็นอาทิตย์ ตอนที่ลงจากเขาก็ถามว่า “ไปไหนมา” พ่อก็บอก “ไปนอนบนภูเขา” ซึ่งมันแปลกมาก ทุกคนในบ้านก็งง และพ่อเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป จู่ ๆ ก็หยิบปืนลูกซองขึ้นมาเล็งคนในบ้าน และพูดว่า “กูจะเอาชีวิตทุกคนในครอบครัว” ตอนนั้น เลิกลั่กพึ่งจะอายุ 12 ยังเด็กมาก ต้องไปหลบใต้ต้นพลูกับพี่ชายเพื่อหลบปืนจากพ่อ มีบางวัน พ่อก็ลุกขึ้นมาต่อยกระจกบ้านรอบบ้านจนแตก และมือก็เป็นแผลเลือดออกเต็มไปหมด หลังจากนั้นพ่อก็เอามือที่เต็มไปด้วยเลือดป้ายตามบ้านเต็มไปหมด ซึ่งทุกวันนี้รอยเลือดนั้นก็ยังอยู่ ในตอนกลางคืนที่น้องนอนก็มักจะได้ยินเสียงพ่อใช้เคียวกรีดยางขูดกับอะไรบางอย่างเหมือนในหนังฆาตกรรม เลิกลั่กจึงบอกกับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว และในทุก ๆ วันแม่ก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปกรีดยาง ทุกครั้งที่ไปกรีดยางจะเห็นพ่อยืนอยู่ไกล ๆ เหมือนแอบส่องมาจากไกล ๆ แม่เดินไปทางไหนพ่อก็จะมองตาม พ่อเริ่มอาการหนักมาก จึงไปปรึกษาพระแถวบ้าน พระท่านบอกให้เอาต้นตะเคียนออกจากบ้านไป และนำมาไว้ที่วัดแล้วพรมน้ำมนต์ หลังจากทำตามที่พระบอก พ่อก็หายตัวไปเป็นระยะเวลา 10 ปี เลิกลั่กพึ่งจะมาได้ข่าวพ่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากแม่ว่าเจอพ่อแล้ว แต่พ่อไม่มีสติแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

05 พ.ค. 2023

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

การไปเยือนยังสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็เสี่ยงเจอกับเรื่องขนหัวลุกกันได้ทั้งนั้น เหมือนกับเอเจนซี่หนุ่มอย่าง ‘คุณแดน’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 เมษายน 2566) และได้เล่าประสบการณ์หลอนในการไปทำงานต่างจังหวัดที่จำได้ไม่เคยลืม ให้กับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจมดดำ’ และ ‘ดีเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลย!คุณแดนเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดเมื่อประมาณสองปีก่อน ตนและพี่สาวต้องไปทำงานเก็บข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของการวางระบบต่าง ๆ ให้กับทางลูกค้าที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังต้องลงพื้นที่ไปยังสถานที่จริง เพื่อศึกษาและสอดส่องคู่แข่งกว่า 14 สถานที่ ใช้เวลาโดยประมาณ 4 วันซึ่งลูกค้าเจ้านี้ เป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ คุณแดนเล่าเพิ่มเติมว่า ลูกค้าได้รับมรดกมาจากคุณพ่อ เขาจึงอยากเปลี่ยนแปลงพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นใหม่ เพราะในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด ไม่มีใครมาใช้บริการสนามกอล์ฟแห่งนี้เลย จึงปล่อยเช่าให้คนเกาหลีอยู่พักหนึ่ง แต่หลังหมดสัญญาเช่าก็ปิดสถานที่ไว้ชั่วคราวเมื่อเดินทางมาถึงสนามกอล์ฟของลูกค้า คุณแดนก็สังเกตบรรยากาศรอบ ๆ สนาม ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่อาคารเก่าสำหรับเก็บอุปกรณ์ช่าง ส่วนขวามือมีรถและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกทิ้งไว้ ถัดไปมีอาคารร้างตั้งอยู่ โดยมีลักษณะเป็นประตูกระจกใสและมีผ้าม่านเก่า ๆ ที่หลุดมากองรวมกันอยู่ตรงกลางประตู คุณแดนที่เป็นคนขับรถและมักจะสังเกตมองซ้าย, ขวา, หน้า, หลังอยู่ตลอดเวลา จึงเหลือบไปเห็นในอาคารนั้นว่ามี ‘ผู้หญิงผมยาวแต่ไม่เห็นหน้า ใส่ชุดสีขาว ยืนเอามือที่ซีดเผือดข้างหนึ่งจับผ้าม่านเพื่อแหวกดูว่าใครมา’ คุณแดนเห็นดังนั้นก็เงียบและหันไปมองหน้าพี่สาว ปรากฏว่าพี่สาวเองก็หน้าเริ่มเสีย จึงรีบขับรถผ่านอาคารร้างนี้ไป และบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าออกจากสถานที่ตรงนี้แล้ว จะเล่าให้ฟัง” เพราะคิดว่าพี่สาวน่าจะเห็นแบบที่ตนเห็นเช่นกันเมื่อเข้าไปดูสถานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับก็ต้องขับรถออกมาเจอกับอาคารร้างแห่งนี้อีกครั้ง คุณแดนรีบขับรถออกมาแทบจะไม่ชะลอเลย หลังจากนั้นก็ตรงไปยังสนามกอล์ฟของคู่แข่ง และก่อนจะกลับมายังที่พักได้มีโอกาสถามพี่สาวว่าตอนที่เข้าไปยังสนามกอล์ฟของลูกค้า รู้สึกอะไรไหม? พี่สาวก็ตอบมาว่า “รู้สึกขนลุกตั้งแต่เห็นอาคารหลังนั้นแล้ว” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เห็นให้พี่สาวฟังหลังจากนั้น ด้วยความเพลียที่ต้องขับรถทั้งวันคุณแดนจึงอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทันที และได้ฝันเห็นถึงอาคารหลังนั้นอีกครั้ง ในนั้นมีคนอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่คุณแดนเห็นอยู่ตรงนั้นด้วย เขาเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ช่วยเค้าหน่อยเค้าร้อนมาก” จากนั้นก็ยื่นรีโมทสีฟ้าเก่า ๆ มาให้ แถมยังพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าช่วยเขาหน่อยเขาร้อนมาก คุณแดนเองก็ได้สังเกตเห็นว่าตรงขอบกระจกภายในตึกถูกทุบจนบิ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จึงได้บอกเขาไปว่ามันเปิดไม่ได้ มันเสีย เขาก็ทำหน้าโกรธเหมือนไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่ช่วยเขา หลังจากนั้นนาฬิกาก็ปลุกทำให้คุณแดนสะดุ้งตื่น และได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้พี่สาวฟัง พี่สาวเลยบอกว่า “ลองพูดอะไรสักอย่างดูสิ” คุณแดนจึงพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เอางี้ ถ้าได้โครงการนี้ กลับกรุงเทพฯไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้” หลังจากนั้นจึงขับรถออกไปดูสนามกอล์ฟของคู่แข่งที่เหลือ ซึ่งมีอยู่ที่หนึ่งจะต้องไปแถวอำเภอสันทราย แต่อำเภอนี้ถูกแบ่งเป็นสองที่ได้แก่ สันทรายหลวง และ สันทรายน้อย ด้วยความที่ไม่ใช่คนในพื้นที่จึงเปิด GPS เพื่อนำทางแทนระหว่างทางคุณแดนมองเห็นภูเขา ซึ่งบนภูเขามีวัดสีขาวสวยงามตั้งอยู่ จึงพูดกับพี่สาวว่า “หูย วัดสีขาวสวยมากเลยอ่ะ ตั้งอยู่บนนั้นเด่นมากเลย” สักพัก GPS ก็บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนจึงขับไปตามเส้นทางนั้นแต่ถนนก็เริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่เลนเดียว และเห็นว่าที่กำลังตรงไปมันเหมือนถนนขึ้นไปบนภูเขา แต่คุณแดนก็ได้เช็คดูใน GPS อีกครั้ง พบว่าพื้นที่ข้าง ๆ เป็นสนามกอล์ฟ จึงคิดว่าทางเข้าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ยิ่งขับเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าถนนเส้นนี้พาเข้าไปในป่ามากขึ้นทุกที เพราะบรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มครึ้มไปด้วยเงาจากต้นไม้ แถมระหว่างทางก็เต็มไปด้วยการบวชต้นไม้ (การนำจีวรพระมาพันรอบต้นไม้เพื่อทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสเติบโตได้เต็มที่)หลังจากขับไปเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร คุณแดนกลับรู้สึกเหงื่อแตกและขนลุก เมื่อหันไปมองพี่สาวที่นั่งตัวแข็งทื่อ มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างเดียว ไม่เหลียวซ้ายแลขวาเลย ทั้งคู่ต่างรับรู้กันว่าเริ่มใจเสียแล้ว จึงเปิดดู GPS อีกครั้ง และเห็นว่าใกล้จะถึงทางเข้าสนามกอล์ฟแล้วจึงรีบขับขึ้นไป แต่ด้วยสัญชาตญาณการขับรถทำให้คุณแดนรู้สึกว่าถ้ามันใกล้จะถึงแล้วทำไมถึงไม่เห็นทางเข้าเลย จึงเบรกรถทันที และ GPS ก็แจ้งขึ้นมาว่าให้เลี้ยวขวา คุณแดนก็ยิ่งเอะใจหนักกว่าเดิม และเปิดกระจกมองดูรอบ ๆ แล้วก็พบว่า “ถ้าตัดสินใจเลี้ยวขวารถก็คงตกจากภูเขาทันที” เมื่อเห็นดังนั้นคุณแดนเลยขับตรงไปอีกหน่อยเพื่อหาที่กลับรถ แต่ปรากฏว่าเป็นทางตัน ยิ่งไปกว่านั้นมันดันเป็นทางที่ขึ้นไปยังวัด วัดเดียวกับที่พูดตอนอยู่บนถนนว่าวัดนี้สวยจังอีกด้วย!! คุณแดนจึงนึกถึงที่เขาเคยพูดไว้กับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาว่า “ถ้าได้งานนี้ จะกลับกรุงเทพไปทำบุญให้” แต่เหมือนเขาใจร้อนจึงพามายังวัดนี้เพื่อให้เรารีบทำบุญให้ คุณแดนรีบกลับรถและลงมายังข้างล่างทันที ซึ่งตอนนั้นไม่มีสัญญาณ แต่ระหว่างทาง GPS ก็ดังขึ้นมาและพูดซ้ำ ๆ ว่า “กลับรถ ๆๆๆๆๆๆ” จนพี่สาวบอกให้คุณแดนปิดโทรศัพท์ทันที!เมื่อกลับมาถึงตรงที่ตอนแรก GPS บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนก็เลี้ยวขวา ใช้เวลาขับรถไปอีกแค่ 200 เมตรเท่านั้น ทั้งคู่ก็ถึงสนามกอล์ฟ หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะไปต่ออีกที่ ซึ่งได้หาข้อมูลมาแล้วว่าสนามกอล์ฟนี้ยังเปิดให้บริการอยู่ จึงเปิด GPS นำทางอีกครั้ง เมื่อขับรถไปได้สักพักก็ได้เจอกับโค้งหักศอก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเลยทางเข้าสนามกอล์ฟไปแล้ว! คุณแดนจึงหยุดรถ แต่ดันหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันบ้านร้าง! พอกลับรถมาถึงตรงทางเข้าสนามกอล์ฟตามที่ GPS บอก คุณแดนหันไปเห็นว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวที่มีสายสิญจน์กั้นอยู่ ทั้งสองคนเริ่มใจคอไม่ดีและคิดว่าไม่น่าจะใช่ทางเข้าสนามกอล์ฟแน่ ๆ จึงขับรถกลับไปยังถนนเส้นหลักเพื่อเริ่มต้นใหม่และเปิด GPS ให้นำทางอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดิมเพราะต้องเลี้ยวซ้ายจากทางเลียบชลประทาน แต่กลับกลายเป็นว่าถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่นำพาทั้งสองคนกลับขึ้นมายังบ้านร้างหลังนั้นเหมือนเดิม! พี่สาวเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีว่า ถ้าครั้งนี้ไม่เจอกลับเลยนะ! เพราะว่ามันใกล้จะมืดแล้ว คุณแดนจึงตัดสินใจว่าจะเลี้ยวขวาจากทางเลียบชลประทานแทน และขับไปอีกประมาณ 10 นาที ในที่สุดก็ได้เจอกับทางเข้าสนามกอล์ฟแต่ความชื้นใจก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสนามกอล์ฟตรงนี้ดันไม่ตรงปก ดูร้างกว่าที่คิด และมีโปสเตอร์ที่เขียนข้อความประมาณว่าจะพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างเป็นหมู่บ้านแปะอยู่ คุณแดนจึงเช็คเส้นทางอีกครั้ง ว่าถ้าขับตรงเข้าไปข้างใน จะมีสนามกอล์ฟจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งมันก็มี จึงคิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ขับเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน สักพักก็เจอศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง และรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ทั้งสองข้างถนน ความรู้สึกตอนนั้นของทั้งคู่คงหนีไม่พ้นสุภาษิตที่ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก”เมื่อขับรถตรงเข้าไปอีกสักพักก็เจอกับสโมสรและหมู่บ้านตัวอย่างร้าง จู่ ๆ ก็มีคุณลุงขับรถโฟวิลออกมาจากอีกทาง คุณแดนจึงจะเลี้ยวไปตามทางที่ลุงคนนั้นขับรถออกมา เผื่อจะเจอสนามกอล์ฟ พี่สาวจึงทักขึ้นมาว่า “เธอคิดว่าเขาเป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม” คุณแดนจึงตอบไปว่า “เป็นคนสิ เนี่ยรถมันเคลื่อนตัวอยู่” ซึ่งคุณแดนคิดถูก เพราะมันเป็นทางเข้าสนามกอล์ฟจริง ๆ แต่ทว่าที่ตรงนั้นกลับร้างไปหมด มีเพียงแม่บ้านคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นคุณแดนเกิดปวดปัสสาวะจึงขอเข้าห้องน้ำ แต่พี่สาวก็รีบห้ามและบอกว่าไม่ให้ลงจากรถ “เพราะถ้าลงไปแล้วเธอมองไม่เห็นพี่ พี่มองไม่เห็นเธอจะทำยังไง” คุณแดนคิดได้ดังนั้นประกอบกับความกลัวเพราะบรรยากาศเริ่มมืดค่ำแล้ว จึงรีบขับรถออกมาทันที ระหว่างที่ขับรถออกมาจากเส้นทางนั้นแล้วต้องผ่านศาลเพียงตาก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนมีคนมองตามอยู่ตลอดเช่นเดิมหลังจากเจอเหตุการณ์ชวนหลอนมาทั้งวัน ทั้งคู่จึงซื้อชุดสังฆทานเพื่อเตรียมไปทำบุญในวันถัดไป และย้ายไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง หลังจากดื่มด่ำค่ำคืนในเชียงใหม่ด้วยน้ำเมาแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อจะนอนหลับให้สนิท ไม่ต้องตื่นมาเจออะไรกลางดึกอีก ซึ่งห้องที่คุณแดนพักนั้นอยู่ชั้น 1 และอยู่ใกล้ถนน ทำให้ฤทธิ์น้ำเมาก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะได้ยินเสียงคนหลายคนมายืนเรียกชื่ออยู่หน้าห้อง ก่อนที่จะเผลอขานรับไป แต่ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าที่เชียงใหม่แทบจะไม่มีคนรู้จักเลย แล้วจะมีคนมาเรียกได้อย่างไร? เสียงเรียกนั้นดังแว่วอยู่ประมาณ 15 นาที พอเช้าวันใหม่มาถึงปรากฏว่าพี่สาวก็มาเล่าให้ฟังว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับคุณแดนเป๊ะ! ทั้งคู่จึงรีบเก็บของและเช็คเอาท์ออกทันทีโดยที่ไม่ลืมว่าจะต้องไปทำบุญ ซึ่งใกล้ ๆ นั้นเองมีวัดที่ชื่อว่า “วัดลอยเคราะห์” จึงตัดสินใจว่าจะไปทำบุญที่นี่ และพี่สาวก็ชอบชื่อวัดนี้มากๆ เพราะความหมายดีทั้งสองคนเดินถือถังสังฆทานเข้าไปในวัดเพียงไม่กี่ก้าว พระที่นั่งอยู่ก็กวักมือเรียกทันทีว่า “โยมมานี่ ๆ” ซึ่งคุณแดนคิดว่าปกติเราจะต้องสวดนะโมสามจบแล้วพูดบทสวดถวายสังฆทาน แต่พระท่านกลับบอกว่า “ไม่ต้อง เดี๋ยวอาตมาสวดให้เลย” ซึ่งพระท่านเองก็สวดเป็นบทภาษาเหนือและให้กรวดน้ำ ระหว่างกรวดน้ำก็มีบทสวดแปลก ๆ อีกเพราะไม่เคยได้ยิน ซึ่งในใจคุณแดนขณะนั้นก็พูดว่า “ถ้าได้รับบุญกุศลในครั้งนี้แล้วช่วยทำให้รับรู้ด้วย ว่าได้รับแล้วจริง ๆ” ปรากฏว่าพอคุณแดนนำน้ำที่กรวดไปเทที่ต้นไม้และกลับเข้ามาที่อุโบสถ ตอนนั้นเองก็มีลมแรงพัดมากระทบกับกระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ชายหลังคา ไล่จากด้านหน้าไปด้านหลัง “ดังติ้งติ้งดิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่สาวหันมามองหน้าคุณแดนด้วยอาการตกใจ จึงเล่าสิ่งที่คุณแดนอธิษฐานในใจให้ฟัง และมานั่งคุยกันอีกครั้งหนึ่งว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรู้แน่เลยว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานที่นี่เราไปทำบุญกับครูบาน้อยกันมา และพอได้มาเจอกันจึงคิดว่าถ้ามาสื่อสารกับเราทั้งสองคน เราจะทำบุญให้เขาได้เร็วหลังจากอ่านเรื่องนี้จบ หลาย ๆ คนคงจะเห็นใจคุณแดนและพี่สาวกันแน่นอน เพราะเหนื่อยจากการทำงานไม่พอยังต้องมาเหนื่อยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เจอจากผีขี้ใจร้อนอีก สุดท้ายการพูดหรือรับปากกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม จะต้องใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะความหวังดีมันจะดีก็ต่อเมื่อเราไม่เดือดร้อน

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม” แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า.. เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน” โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500 ใช่ไหม” ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน” คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน” เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่ พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้! พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า “Don’t smoke” ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเที่ยวคนเดียว แต่ที่พักเต็มจึงขอให้พนักงานช่วย ตกดึกรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พอเปิดห้องอาบน้ำเข้าไปก็เจอกระถางธูป เกลือ และดอกไม้วางไว้! ระหว่างทำธุระส่วนตัวอยู่อีกห้อง ก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อกี้! พอจะกลับห้องก็ดันเจอแขกไม่ได้รับเชิญ!

16 ส.ค. 2023

ไปเที่ยวคนเดียว แต่ที่พักเต็มจึงขอให้พนักงานช่วย ตกดึกรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พอเปิดห้องอาบน้ำเข้าไปก็เจอกระถางธูป เกลือ และดอกไม้วางไว้! ระหว่างทำธุระส่วนตัวอยู่อีกห้อง ก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อกี้! พอจะกลับห้องก็ดันเจอแขกไม่ได้รับเชิญ!

ความหลอนกลับมาอีกครั้ง กับการโคจรมาพบกัน ระหว่าง ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ‘อังคารคลุมโปง X’ (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องหลอนของที่พักสุดสยอง จาก ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และทีมงานต้องอึ้งกันทั้งสตู! กับเรื่องที่จะทำให้คุณต้องจำไว้ว่า ถ้าโรงแรมมันเต็ม ก็อย่าไปฝืน เพราะคุณอาจจะได้ห้องนอนที่เป็น ซุปเปอร์ VVIP ที่อาจลืมไม่ลง วันหยุดที่ไทย ของบ้านเราส่วนใหญ่ มักจะไปหารีสอร์ท หรือโรงแรมเพื่อพักผ่อน แต่ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่น เมื่อต้องไปเที่ยวตามต่างจังหวัด เราก็จะได้นอนเรียวกัง ดีเจเจ็มอธิบายเพิ่มว่าที่พักแบบเรียวกัง จะคล้ายกับห้องนอนของโนบิตะ มีเสื่อทาทามิ เมื่อเปิดเข้าไป ก็จะมีโต๊ะเล็ก ๆ วางอยู่ ไม่มีเตียง ไม่มีอะไร และจะมีคนดูแล คอยรับออเดอร์ ให้บรรยากาศแบบไปนอนบ้านญี่ปุ่นแท้ ๆ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมุติ ‘โกฮัง’ ชายหนุ่มวัยทำงาน ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีแฟน ในช่วงวันหยุดยาวจึงตัดสินใจไปเที่ยวคนเดียว โกฮังไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าจะเที่ยวในรูปแบบใด ไม่มีการจองอะไรทั้งสิ้น โกฮังคิดว่าทุกที่ที่มีสถานีรถไฟ จะต้องมีโรงแรมคู่กันอยู่แล้วจึงไม่คิดที่จะจองที่พักด้วย ในระหว่างนั้นโกฮังก็ออกท่องเที่ยวไปตามปกติ ทั้งขึ้นรถเมล์, รถบัส, รถไฟไปตามสถานีต่าง ๆ รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ตก ฟ้าเริ่มมืด โกฮังจึงถามร้านค้าแถวนั้น “ขอโทษนะครับแถวนี้มีที่พักบ้างไหมครับ” ทางร้านก็ตอบว่า “มี ห่างออกไปจากตรงนี้ไม่มาก ให้เรียกรถแท็กซี่ให้ไหม หรือต้องการอะไรไหม” โกฮังก็ตอบกลับ “ ได้ครับ รบกวนด้วยนะครับ” จากนั้นรถแท็กซี่ก็พาโกฮังไปตามทางที่ร้านแนะนำ ขณะนั้นฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อย ๆ โกฮังที่ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้า เมื่อถึงที่พักก็รีบเข้าไปถาม “สวัสดีครับ ไม่ทราบวันนี้มีห้องว่างไหม” พนักงานก็ตอบกลับว่า “ขอโทษทีครับ วันนี้ห้องเต็ม ไม่มีว่างเลย วันหยุดด้วยแขกท่านอื่นมาจองล่วงหน้ากันหมดแล้ว” โกฮังก็ถามเพิ่มอีกว่า “ไม่มีเลยหรอครับ งั้นพอจะมีโรงแรมอื่นแนะนำได้ไหมครับ” พนักงานก็ตอบว่า “เอาจริงนะ แถวนี้ถ้าจะไปอีกโรงแรม ก็ห่างออกไปอีกสักประมาณเกือบ 50 กิโล” การเดินทาง 50 กิโลเมตรในตอนฟ้ามืด ก็จะลำบากมาก ไม่ใช่คนพื้นที่ด้วย โกฮังถามย้ำอีกครั้งว่า “ไม่มีเลยจริงๆ หรอครับ เป็นไปได้ไหมถ้าผมขอนอนตรงล็อบบี้ก็ได้ คุณจะคิดเงินผมตามเรทราคาเช่าห้องปกติเลยก็ได้” โกฮังคิดเพียงแค่ขอได้นอน ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปให้ได้ พนักงานดูแลที่พักก็ตอบโกฮัง “สักครู่ครับ เดี๋ยวขอปรึกษาเจ้าของเรียวกังก่อน” จากนั้นพนักงานหายไปสักพักหนึ่ง แล้วเดินกลับมาพร้อมคำตอบว่า “มันมีอยู่ห้องนึง แต่ห้องนี้มันไม่ได้อยู่ในตัวอาคาร” ส่วนใหญ่อาคารแยกจะเป็นห้องสำหรับ VIP หรือต้อนรับแขกแยกที่มาเป็นคณะเป็นกลุ่ม หรือบางกรณีก็คืออาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากใช้สถานที่ตรงนั้น “ถ้าเป็นตรงนั้นพอจะแนะนำได้ครับ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ตรงนั้นจะมีแต่ห้องสุขา ไม่มีห้องอาบน้ำ” โกฮังรีบตอบตกลงทันที “ได้เลยครับ ได้เลย ไม่มีปัญหา ผมขอแค่ได้นอนก็พอ” หลังจากตกลงห้องพักกันเรียบร้อย พนักงานก็พาโกฮังเดินไปตามทาง ค่อยๆออกห่างจากตัวอาคารไปทางด้านหลังเรื่อย ๆ เส้นทางนี้ต้องเลาะไปตามทางแคบ ๆ ในที่สุดก็เห็นห้องพักที่เหมือนบ้านอีกหลัง มีประตูทางเข้า มีโถงทางเดินยาวเข้าไป โกฮังค่อยๆเดินตามพนักงานไป จนถึงห้องพัก ในตอนนั้นที่เลื่อนเปิดประตูออก ก็เห็นว่าภายในห้องนี้มีสภาพปกติ ไม่ได้มีฝุ่นเยอะอย่างที่คิด มีเสื่อทาทามิ และตู้เย็นอุปกรณ์ต่างๆครบ ถือได้ว่าเป็นห้องที่สวย ดูดีพร้อมใช้เลย ไม่มีปัญหา ก่อนพนักงานจะออกจากห้องไปก็พูดว่า “ยังไงคืนนี้เดี๋ยวขออนุญาตแค่นี้ก่อนนะครับ ยังไงถ้ามีอะไรไปเรียกที่ล็อบบี้ได้เลยครับ พอดีห้องนี้โทรศัพท์ไม่สามารถใช้ได้” โกฮังถามพนักงานว่า “ขอโทษนะครับ ขอโทษครับ ตู้เย็นนี้ใช้ได้ใช่ไหมครับ พอดีเห็นมีตู้เย็น” พนักงานตอบกลับด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “อ๋อ เอ่อ ตู้เย็น ตู้เย็นเสียครับ” โกฮังไม่ได้คิดอะไรก็บอก “อ๋อไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ” หลังจากนั้นพนักงานก็เดินออกไป โกฮังนั่งลงแล้วก็คิดว่าลืมถามรายละเอียดอีกตั้งหลายอย่าง เช่น เรื่องอาหาร ความสะดวก ของใช้ต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะระหว่างเดินทาง โกฮังได้เตรียมข้าวปั้นและน้ำใส่กระเป๋ามาจากบ้านอยู่แล้ว จึงหยิบขึ้นมากิน ระหว่างนั้นในห้องก็ได้ยินแต่เสียงนาฬิกาดัง แก๊ก แก๊ก แก๊ก โกฮังไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อกินอาหารเสร็จก็สำรวจห้องต่อ ก็เห็นมีโต๊ะหนึ่งตัวตั้งอยู่กลางห้อง มีตู้ที่เอาไว้ใส่ฟูก และมีตู้เย็นที่ใช้ไม่ได้ตั้งอยู่ สุดท้ายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง ที่หันหน้าตรงกับประตูพอดี ลักษณะของโต๊ะเครื่องแป้งนี้เป็นกระจกบานพับปิดอยู่ ระหว่างนั้นก็คิดว่า แล้วห้องสุขาอยู่ตรงไหน โกฮังจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไป ก็พบความมืด แต่ในต้อนนั้นโกฮังยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป จึงตัดสินใจที่จะอดทนไว้แล้วปิดประตู จากนั้นก็เข้าห้องเตรียมนอน เขาเปิดไฟหรี่ ๆ เอาไว้แล้วก็นอนลง แต่โกฮังก็นอนไม่หลับเพราะได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ ของนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา และเพราะอยากเข้าห้องน้ำด้วย จึงตัดสินใจกับตัวเอง “เอาหละ ไปก็ได้ อึดใจเดียว” เขาลุกขึ้นและค่อย ๆ เลื่อนเปิดประตู มองซ้าย ขวา แต่ทุกอย่างเงียบสนิท โกฮังจึงไปตามทางที่มีป้ายลูกศรชี้ไปยังห้องน้ำ เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นประตูบานหนึ่ง ข้างๆประตูนี้มีประตูบานใหญ่ๆ ติดกันอีกหนึ่งบาน เรียวกังมองไปที่ประตูบานใหญ่และคิดว่าต้องใช่ห้องน้ำแน่ ๆ แต่ก็คิดในใจว่าทำไมพนักงานถึงบอกว่าไม่มี หรือน้ำไม่ไหล จึงใช้ไม่ได้ โกฮังอยากรู้จึงค่อย ๆ เลื่อนประตูเปิดดู เสียงประตูก็ดังขึ้น แก๊ก แก๊ก แก๊ก เมื่อมองเข้าไปในห้องน้ำสักพักสายตาค่อย ๆ ปรับแสงทำให้โกฮังเห็นชัดมากยิ่งขึ้น ในห้องนั้นเป็นห้องอาบน้ำรวมใหญ่ๆ สวยงาม แต่กลางห้องมีโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ และมีกระถางธูป มีเกลือ พร้อมกับดอกไม้วางไว้! ทีนี้แหละ โกฮังเข้าใจชัดเจนแล้วว่าห้องอาบน้ำนี้ต้องมีอะไรแน่นอน เขาจึงค่อย ๆ เลื่อนประตู แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก ปิดกลับไปตามเดิม แล้วเข้าห้องน้ำประตูเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกัน เปิดไฟแล้วก็นั่งลงทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ เนื่องจากอดกลั้นอั้นมานาน ทำให้ใช้เวลานานกว่าปกติ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก เป็นเสียงประตูบานเมื่อกี้เลย แล้วตามด้วยเสียง ตึบ ตึบ ตึบ ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ! โกฮังก็คิดในใจว่า “ใครวะ” เสียงเท้าเดินมาหยุดที่หน้าประตูบานเล็กที่โกฮังอยู่ โกฮังก็คิดว่า “เอายังไงดี” เอาหละยังไงก็ต้องธุระตัวเองให้เสร็จก่อน โกฮังกลั้นหายใจซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องกลั้นทำไม แต่ก็กลั้นหายใจ แล้วทำธุระต่อไป เสียงเท้านั้นก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ค่อยๆไกลออกไป ไกลออกไป โกฮังรู้สึกโล่งอกแต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ “เมื่อกี้ก็เปิดเช็คแล้วว่าห้องก็ว่าง ไม่มีใคร จะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นพนักงานที่อยู่อีกตึกนึง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสุดทางนี้คือทางตัน” โกฮังคิดในหัวไปเรื่อย เมื่อโกฮังทำธุระเสร็จก็กดชักโครก ปิดไฟ ค่อย ๆ เลื่อนประตูให้เปิดออกแล้วส่องดู แต่ทางกลับไม่ได้มืดสนิทเพราะมีไฟจากห้องพักที่แง้มเอาไว้ โกฮังค่อย ๆ เดินกลับ มองซ้าย มองขวา ไม่มีอะไร แต่เมื่อถึงหน้าห้องพัก ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าที่นี่เหมือนจะมีห้องพักแค่ห้องเดียว เพราะจากทางที่เดินกลับมา ทางด้านขวาเขาไม่เจอประตูอะไรเลย ตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นทางออกแล้ว มีเพียงด้านซ้ายที่มีประตู แล้วเขาไม่ได้ยินเสียงจากประตูด้านซ้ายที่เปิดออกไป แสดงว่าคนเมื่อกี้ที่เดินผ่านโกฮังไป ถ้าไม่ได้เห็นจากทางเดิน แสดงว่ามันมีอยู่ที่เดียวที่เขาจะอยู่ นั่นก็คือห้องพักของโกฮัง! โกฮังยังไม่ได้ตัดสินใจเข้าห้องพัก แม้จะมองเข้าไปแล้วเห็นว่าของยังวางไว้ปกติ ตู้ทุกอย่างก็ปิดสนิท โกฮังยังคิดในใจว่า “แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วมีอะไรออกมาจากตู้ จะทำอย่างไงดีหรือเรากลับไปที่ล็อบบี้ตอนนี้ดี” เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็มีเสียงดังขึ้น แก๊ก แอ๊ดดดดดด มันมาจากโต๊ะเครื่องแป้งที่มันอยู่ตรงกับประตูพอดี! แล้วโกฮังก็มองเข้าไปในห้อง ก็เห็นโต๊ะเครื่องแป้งค่อย ๆ แอ๊ดดดด เปิดออกมา! ทำให้โกฮังเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกบานกลาง แต่สองบานข้าง ๆ ค่อย ๆ เปิดออก แอ๊ดดดดดด จากนั้นก็เห็นมุมอื่น ๆ ภายในห้องนอน พอกระจกเปิดจนสุด ทำให้โกฮังต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ! เพราะสิ่งที่เขาเห็นผ่านกระจกมันสะท้อนให้เห็นตรงประตูมุมลึกเข้าไป เป็นผู้หญิงคนนึง ยืนเอาหัวชิดประตูอยู่! ถ้าโกฮังตัดสินใจก้าวขาเดินเข้าไปในห้องแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะได้เห็นผู้หญิงคนนี้อย่างเต็ม ๆ ใกล้ ๆอย่างแนบชิดเลย ลักษณะของผู้หญิงคนนั้นคือ ยืนอยู่อย่างตัวเปียก ๆ คือมองแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่ สิ่งที่อยู่บนโลกนี้แน่ ๆ ในตอนนั้นโกฮัง ทิ้งของทุกอย่างแล้ววิ่งออกไปทันที! เมื่อถึงล็อบบี้ โกฮังก็รีบแจ้งพนักงาน “ผมนอนไม่ได้แล้ว” โกฮังเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง พนักงานจึงรีบขอโทษ “ไม่น่าเลย ขอโทษด้วยครับ” แต่ทางเรียวกังก็ไม่ได้ผิดเพราะลูกค้าเป็นฝ่ายเรียกร้อง พนักงานก็ไม่ได้บอกว่าที่นั้นมีอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่โกฮังรับรู้คือกว่าจะได้กลับไปเอาของที่อยู่ในห้องนั้น เขาและพนักงานรอจน แล้วค่อยเดินกลับไปเอาของ ท้ายที่สุด โกฮังก็ถามพนักงานอีกครั้งว่า “ห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น” พนักงานก็บอกเพียงว่า “ที่เขาไม่ค่อยเล่ากัน จริงๆเป็นเพราะมันจะเกี่ยวข้องกับคดีก็เยอะเหมือนกัน” ต้นกล้าเสริมว่าถ้าคนฟังที่เป็นคนญี่ปุ่นเขาจะสันนิษฐานกัน ว่า ด้วยความที่เป็นอาคารแยก เท่ากับว่าต้องเป็นทริปส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคู่รักมาด้วยกัน หรือสามีที่พาบ่านเล็กบ้านน้อยมา อาจเกิดการทะเลาะหึงหวงกัน จึงอาจเกิดเหตุต่าง ๆ ขึ้น ส่วนเรื่องความเชื่อนั้น ประเทศญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่า เกลือ และ เหล้าขาว ถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และเชื่อกันว่ามันจะชำระล้างอะไรที่มันชั่วร้ายออกไปได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1