เรื่องเล่าจากคุณต้น ‘ของฝาก จากเพื่อนเก่า’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณต้น ‘ของฝาก จากเพื่อนเก่า’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

26 พ.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ‘คุณต้น’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอน มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘ของฝากจากเพื่อนเก่า’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       คุณต้นเล่าว่านี่เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน คือ ลุงชัย เมียลุงชัย และลูกสาว (นามสมมุติ) ชาวบ้านในระแวกนั้นมักจะรู้กันดีว่าลุงชัยมีอาชีพเป็นช่างทำมีดและดาบที่เก่ง วันหนึ่งมีเพื่อนสมัยวัยรุ่นมาหาลุงชัย ชื่อว่าลุงแดง (นามสมมุติ) เมื่อเจอหน้ากันก็ทักทายกันตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน หลังจากที่พูดคุยกันไปสักพัก ลุงแดงก็นำสิ่งของบางอย่างมาให้ลุงชัย ลักษณะเป็นแท่งเหล็กสีหม่น ๆ ยื่นให้ลุงชัย แล้วลุงแดงก็บอกกับลุงชัยว่า

       “ข้าได้ยินฝีมือการตีมีดของเอ็งมานาน วันนี้ที่มามีเรื่องจะวานให้เอาเหล็กท่อนนี้ไปเปลี่ยนเป็นมีดได้ไหม?”

       ลุงชัยเห็นเหล็กก็รู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่ามันก็คือเหล็กทั่วไป จึงรับมา จากนั้นลุงแดงก็บอกลุงชัยว่า

       “เดี๋ยวกลับก่อนออกมานานไม่ได้ อาทิตย์หน้าจะมาเอามีด” 

       แล้วลุงแดงก็กลับไป

       ลุงชัยเล่าว่าลักษณะนิสัยของลุงแดงจะเป็นคนชอบดื่ม อีกทั้งยังเป็นคนเล่นของ มีคาถาอาคมเป็นของตัวเอง ซึ่งคืนแรกหลังจากที่ลุงชัยรับเหล็กแท่งนั้นมา ในระหว่างที่ลุงชัยกำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินอยู่บนบ้าน สักพักหนึ่งก็ได้ยินเหมือนเสียงคนวิ่ง จนเมื่อเสียงเงียบไปลุงชัยจึงหลับ เมื่อถึงตอนเช้าลุงชัยก็ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะไปตีมีดตามปกติ ลุงชัยได้ไปนำเหล็กที่ลุงแดงเอามาให้มาตี แต่เมื่อตีไปตีมา แกก็รู้สึกว่าทำไมมีดเล่มนี้ตียาก ขึ้นรูปยาก แต่ลุงชัยก็พยายามตีต่อไป แต่ด้วยความที่มันขึ้นรูปยาก ทำให้ไม่ว่าจะตียังไงมีดเล่มนี้ก็เบี้ยว คด ไม่เป็นรูปเสียที

       เมื่อถึงช่วงเวลาพักของลุงชัย ลูกสาวของลุงชัยมักจะนำอาหารมาให้ แต่ในระหว่างที่ลูกสาวเดินมานั้นก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง ทำให้อาหารที่ลูกสาวถือมาร่วงหล่นไปทั้งหมด ลุงชัยจึงถามลูกสาวว่า

       “เป็นอะไร ใจลอยไปไหนข้าวหกหมดแล้ว”

       เพราะเห็นหน้าลูกสาวที่ซีดแปลกตาไป เมื่อเก็บอาหารที่ตกเสร็จ ลูกสาวก็รีบออกไปทันที ลุงชัยสังเกตเห็นว่าข้าวที่ตกลงไปที่พื้นนั้นค่อย ๆ หายไปทีละเม็ด ลุงชัยรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้อะไร

       คืนนั้นลุงชัยเข้านอนปกติ แต่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ลุงชัยก็ได้ฝันว่าในขณะที่ลุงชัยตีมีดอยู่นั้น เหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างในบริเวณที่ลุงชัยตีมีดอยู่ ลุงชัยจึงสะดุ้งตื่นและคิดว่าฝันแปลก ๆ

       เมื่อตื่นขึ้นมาลุงชัยก็ไปตีมีดต่อและนึกในใจว่า ‘วันนี้ก็วันที่ 2 แล้วยังไงก็ต้องตีให้เสร็จให้ได้’ แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกับเมื่อวาน คือไม่สามารถขึ้นรูปได้ จนถึงเวลาเที่ยง ลุงชัยรู้สึกตาพร่ามัว รู้สึกหนักแขนเหมือนมีคนฉุดรั้งไว้ ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลาเดิมที่ลูกสาวของลุงชัยจะเอาอาหารมาให้ จังหวะที่ลูกสาวเดินเข้ามาในประตูแล้วเห็นลุงชัย ลูกสาวก็กรี๊ดออกมา ลุงชัยก็ถามลูกสาวว่า

       “เป็นอะไร!”

       ลูกสาวจึงเล่าว่า “เห็นคนกำลังจับแขนซ้ายและแขนขวาของพ่ออยู่!”

       เหมือนกับว่าพยายามไม่ให้ลุงชัยตีมีด และแต่ละคนสภาพเป็นศพที่มีคราบเลือดและคราบน้ำเหลือง คนหนึ่งพยายามจับแขนลุงชัย อีกคนขี่คอและเอามือปิดตาลุงชัยไว้  ในตอนแรกลุงชัยไม่เชื่อลูกสาว ลุงชัยจึงไปกินข้าวตามปกติ หลังจากกินเสร็จก็กลับมาตีดาบต่อ พอตีไปได้สักพักลุงชัยก็รู้สึกเจ็บหน่วง บริเวณหน้าอกจึงตัดสินใจเลิกตีมีด แล้วรีบกลับไปนอนในช่วงหัวค่ำ

       ในระหว่างที่นอนลุงชัยก็รู้สึกไม่สบายตัว เจ็บหน้าอก และไอ อาการคล้ายกับคนจะไม่สบาย แต่เมื่อถึงกลางดึกลุงชัยก็สะดุ้งตื่น สิ่งที่ลุงชัยเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อลืมตา คือผู้หญิงยืนเหยียบอยู่บนหน้าอกของลุงชัย และเมื่อหันไปฝั่งซ้ายก็เห็นผู้ชายสูงอายุนั่งทับแขนลุงชัยอยู่ ฝั่งขวาเป็นผู้หญิงตาแดงก่ำจ้องมาที่ลุงชัย!

       ในตอนที่ลุงชัยกำลังตกใจ ผู้หญิงที่เหยียบหน้าอกลุงชัยอยู่ก็ค่อย ๆ ยื่นมือมาล้วงปากลุงชัยเหมือนจะดึงลิ้นของลุงชัยออกมา ลุงชัยก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ส่วนร่างที่ทับแขนลุงชัยอยู่ทั้งสองฝั่งเหมือนขึงลุงชัยไว้ ก็เอาค้อนมาทุบที่มือลุงชัยจนเลือดไหลออกมา ลุงชัยกำลังจะหันไปเรียกเมียแต่ก็ไม่สามารถเรียกได้เพราะร่างที่เหยียบบนหน้าอกล้วงปากอยู่! ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลูกสาวเดินมาดู บรรดาร่างที่อยู่ด้านซ้ายและขวาของลุงชัยก็หายไปเหลือเพียงแต่ร่างที่เหยียบหน้าอกของลุงชัย ลูกสาวลุงชัยบอกว่า

       “ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาทั้งบนบ้าน และข้างล่างเพราะนึกว่าพ่อตีมีดอยู่”

       แต่ความเป็นจริงกลับเห็นพ่ออาเจียนออกมาเป็นเลือด มือทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยเลือด ในขณะนั้นเมียของลุงชัยก็ตื่นและบอกว่าได้ยินเสียงลุงชัยไอแต่ลุกขึ้นมาดูไม่ได้เพราะมีคนแก่สองคนจับตัวเมียลุงชัยไม่ให้หันไปช่วย!

       จนตอนเช้าลุงชัยก็รีบไปหาหลวงตาที่วัดและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งในระหว่างที่เล่าอยู่ลุงแดงก็ตามมาที่วัด เพราะลุงแดงไปหาที่บ้านแล้วไม่เจอ หลวงตาจึงบอกให้ลุงชัยถามลุงแดงว่าให้อะไรมา เพราะถ้ามาช้ากว่านี้เขาเอาถึงตายนะ ลุงชัยจึงพยายามถามลุงแดง ลุงแดงจึงตัดสินใจบอกว่า

       “เหล็กที่ให้ไป เป็นเหล็กที่เอามาจากตะปูตอกฝาโลงศพ”

       เพราะลุงแดงเป็นคนเล่นของจึงสะสมตะปูมานาน และงานที่ลุงแดงทำ คือสัปเหร่อ และแกคิดว่าถ้าเอาตะปูที่ใช้ตอกฝาโลงศพมาทำมีดน่าจะขลัง หลวงพ่อจึงบอกให้เอาเหล็กชิ้นนี้ไปทิ้งหรือทำลาย ด้วยคาวมที่ลุงแดงเสียดาย จึงนำเหล็กนั้นกลับไป ส่วนลุงชัยก็ขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ หลังจากวันนั้นลุงแดงก็หายหน้าหายตาไป แต่ลุงชัยก็ได้ข่าวหลังจากนั้น 4-5 เดือนว่าลุงชัยนั้นเสียสติไปแล้ว เวลาเดินผ่านตะปูที่ไหนก็จะงัดออกมาทุกครั้ง..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

14 ก.ค. 2023

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 กรกฎาคม 2566) มีเรื่องหลอนจาก ‘ป๋าแจ็ค’ เจ้าของเรื่อง ‘หมู่บ้านร้างซากไร่’ ครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรุ่นน้องที่มีคนขอมานอนด้วย! เรื่องจะหลอนแค่ไหน หรี่ไฟให้แสงพอสลัว เอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วไปอ่านกันเลย! ป๋าแจ็คเริ่มเล่าว่า ตนนั้นลาออกจากงานราชการก่อนเวลาเกษียณ 20 ปี จากนั้นก็ได้เข้าไปทำงานในฝ่ายการตลาดของบริษัทสื่อเจ้าใหญ่แห่งหนึ่ง หน้าที่ที่ป๋าแจ็คได้รับก็คือการเดินทางไปคุยงานกับลูกค้าทั่วทั้งภาคอีสาน และด้วยลักษณะงานแบบ ‘ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น’ นี้ก็เป็นที่มาของเรื่องราว ตอนนั้นป๋าแจ็คไม่ได้เดินทางคนเดียว แต่เดินทางไปกับรุ่นน้องนามสมมติว่า ‘เส’ ทั้งสองเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพื่อที่เช้าวันต่อมาจะได้ไปคุยงานกับลูกค้าตามนัดหมาย เวลาตอนนั้นประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดและพวกเขาก็มาเจอโรงแรมนี้พอดี จึงตัดสินเข้าเช็คอิน โรงแรมนี้มีลักษณะเป็นตึกเก่าแต่ก็ใหญ่พอสมควร พนักงานที่เคาน์เตอร์แจ้งให้ป๋าแจ็คกับคุณเสทราบว่า หากต้องการอะไรขอให้เรียกเจ้าหน้าที่ก่อนเวลาห้าทุ่มเพราะหลังจากนั้นเคาน์เตอร์จะปิดแล้ว แต่ป๋าแจ็คก็ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะต้องไปพบลูกค้าตอนเช้าอยู่แล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เรียกพนักงานให้มายกกระเป๋าขึ้นไป แต่พนักงานคนที่ถูกเรียกกลับตอบกลับมาว่า “ไม่ไป มืดแล้วไม่ขึ้นไป” ป๋าแจ็คในตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า “อะไรวะ?” สุดท้าย ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ต้องยกสัมภาระขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเอง บรรยากาศในโรงแรมชวนให้คิดว่าเหมือนจะไม่ค่อยมีคนมาพัก เมื่อถึงที่พักตรงชั้น 3 ไฟแถวนั้นก็เปิดไม่ค่อยเต็ม พื้นพรมก็ส่งกลิ่นอับออกมา ห้องพักที่เหลือเหมือนกับว่าไม่มีคนพักอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบพรั่งพรูออกมา จึงพากันเปิดแอร์และหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นสาบออกนอกห้อง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ตัดสินใจว่าจะลงไปที่คาเฟ่แถวล็อบบี้ ตอนนั้นเวลาประมาณสองทุ่มกว่า คาเฟ่นี้เป็นเหมือนกับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่มีคนมาสังสรรค์แกล้มฟังดนตรี แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ไม่ได้เข้าไปข้างในร้าน เพียงแต่สั่งอาหารกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยออกมากินข้างนอกตรงล็อบบี้ จังหวะนั้นคุณเสก็หันไปเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าคาเฟ่ในมุมมืด ป๋าแจ็คคิดว่าเธอคนนี้คงจะเป็นนักร้องหรือไม่ก็พนักงานต้อนรับของโรงแรม แล้วคุณเสก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าได้นอนกอดสักคืนนะ จะไม่ลืมพระคุณ” คาเฟ่ปิดในเวลาห้าทุ่ม แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ยังนั่งคุยงานกันต่อจนเวลาใกล้เที่ยงคืน จากนั้นก็กลับมาที่ห้องพัก เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นห้องทั้งห้องมืดสนิท เหลือไว้แต่ไฟจากห้องน้ำที่ยังคงเปิดเอาไว้ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไป ตื่นอีกทีก็เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง ป๋าแจ็ครู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างในห้อง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงยืนหันหลังให้เขาตรงหน้าห้องน้ำ เธอกำลังหวีผมอยู่ ส่วนตัวป๋าแจ็คไม่ได้เอะใจอะไรมาก จนผู้หญิงคนนั้นเดินมาที่เตียงของคุณเสแล้วมุดเข้าไปในเตียง ป๋าแจ็คเล่าต่อว่า คุณเสกับผู้หญิงคนนั้นน่าจะกำลังเล่นผีผ้าห่มกัน ด้วยความที่ป๋าแจ็คเพลียมากจากการทำงานและฤทธิ์แอลกอฮอล์จึงข่มตาหลับต่อ รู้สึกตัวอีกทีก็เวลาตีสองตีสาม เพราะได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ แล้วป๋าแจ็คก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ กำลังหวีผมอยู่เหมือนเดิม ป๋าแจ็คคิดว่าคุณเสกับเธอคงทำกิจกรรมอย่างว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไร แต่คราวนี้ป๋าแจ็คลืมตาตื่นขึ้นชัดเจนเห็นชัดกว่าครั้งที่แล้ว ผู้หญิงคนเดิมเดินมาหาป๋าแจ็คที่เตียง แล้วถามกับป๋าแจ็คด้วยสำเนียงอีสานว่า อยากมีอะไรกับเธอไหม ป๋าแจ็คปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ทันที จากนั้นเธอก็หันกลับไปที่เตียงคุณเสอีกครั้ง และเริ่มเล่นผีผ้าห่มกับร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกรอบ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พอตื่นมาก็เห็นคุณเสนอนคลุมโปงอยู่ ป๋าแจ็คได้แต่คิดในใจว่าเมื่อคืนคงจะหนักน่าดู โดยปกติแล้วหากมาพักต่างบ้านต่างถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้น ป๋าแจ็คจะต้องใส่บาตรเสมอ เขาจึงเข้าไปอาบน้ำแต่เช้า ในห้องน้ำก็มีเศษผมที่เหมือนเป็นของผู้หญิงคนเมื่อคืนตกอยู่ นอกนั้นก็ไม่มีร่องรอยของเธอเหลืออยู่เลย ป๋าแจ็คไม่ได้คิดอะไรต่อ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็นั่งวินไปซื้อของทำบุญ หลังจากทำบุญเสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องเพื่อปลุกคุณเส สภาพที่ป๋าแจ็คเห็นคือคุณเสตาโหลและอ่อนเพลียค่อนข้างมาก ป๋าแจ็คก็ยังคงคิดว่าคุณเสอาจจะยังเหนื่อยจากเรื่องเมื่อคืนอยู่ จึงบอกให้คุณเสไปอาบน้ำแต่งตัวไปกินข้าวก่อนที่จะไปพบลูกค้าในวันนี้ “เมื่อคืนมาถึงเนี่ย นึกยังไงมานอนโรงแรมนี้” ลูกค้าของป๋าแจ็คและคุณเสถามขึ้น ตอนที่รู้ว่าทั้งสองคนพักอยู่โรงแรมแห่งนี้ ป๋าแจ็คจึงเล่ากิจกรรมผีผ้าห่มให้ลูกค้าฟัง เมื่อมองไปที่สีหน้าของคุณเส เขากลับดูมีความกังวลเหมือนจะร้องไห้ และในที่สุดรุ่นน้องคนนี้ก็พูดออกมาว่า “พี่ เมื่อคืนผมโดนผีอำ...” คุณเสเล่าว่า เมื่อคืนหลังจากที่ดับไฟแล้ว ก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู เมื่อเดินอย่างสะลึมสะลือไปดูที่ตาแมวก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนที่ยืนอยู่หน้าคาเฟ่ เธอขอเข้ามานอนข้างในด้วยเหตุผลที่ว่า ยังกลับบ้านไม่ได้ คุณเสคิดว่าตอนนั้นตัวเองคงโชคดีแล้ว แต่พอเธอมุดเข้าตรงเตียงคุณเสเท่านั้น คุณเสก็รู้สึกเหมือนโดนผีตนนี้ปล้ำ! ผู้หญิงคนนี้พยายามเอาใบหน้ามาไถที่หน้าคู่นอน เลียหน้าเลียตา คุณเสตระหนักได้แล้วในตอนนั้นว่าตนถูกผีอำ จึงพยายามสวดมนต์จนเธอเลือนหายไป แต่เธอก็กลับมา เมื่อป๋าแจ็คปฏิเสธ เธอก็กลับมาที่เตียงของคุณเส! เมื่อลูกค้าได้ยินดังนั้นจึงเล่าที่มาที่ไปของผีตนนี้ให้ป๋าแจ็คและคุณเสฟัง เธอเคยเป็นนักร้องประจำคาเฟ่ที่โรงแรมมาก่อน วันหนึ่ง มีคนที่เข้ามาพักพาเธอขึ้นไปบนห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดการไม่ยอมหรือไม่ แต่สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ถูกบีบคอจนเสียชีวิต ลูกค้ารีบบอกให้ป๋าแจ็คและคุณเส เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมทันที จากนั้นก็พาไปอาบน้ำมนต์ ป๋าแจ็ครอดไปได้ในครั้งนี้เพราะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้น มีแต่คุณเสที่ต้องเจอเรื่องราวไม่ดีเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว และเมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ หนึ่งอาทิตย์ต่อมาคุณเสก็ผมหงอกทั้งหัว คุณเสไม่เคยไปทำงานที่ต่างจังหวัดนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากเหตุการณ์ที่โรงแรมในวันนั้น ป๋าแจ็คก็บินเดี่ยวมาตลอดเช่นกัน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

25 ก.ย. 2023

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ที่จะมาพบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมกับเรื่องเล่าของสองพี่น้องที่ต้องเดินกลับบ้านหลายสิบกิโลเมตรในตอนตี 2 จะเกิดเรื่องอะไรหลอน ๆ ในคืนนี้ จะเป็นยังไงไปอ่านกันเลย! พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจาก ‘พี่หม่อม’นักเล่าเรื่องผีที่รู้จักกัน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เกิดขึ้นที่ภาคอีสาน เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลกับตัวเมือง ชื่อ ‘หนุ่ม’ และ ‘เปีย’ ในช่วงเวลานั้นมีการจัดงานวัด แต่ว่างานวัดแห่งนี้จัดขึ้นในตัวอำเภอเมือง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ในสมัยนั้นการจะโดยสารเข้าไปในตัวอำเภอค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านจึงต้องรวมจำนวนคนให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้ไปด้วยกันทีเดียว งานวัดงานนี้เป็นงานประจำปีของจังหวัด สองพี่น้องก็มีรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวกันมาก จึงคุยปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านว่าจะเดินทางไปอย่างไรกันดี เพราะตอนกลางคืนจะไม่มีรถประจำทางมาให้บริการ ผู้ใหญ่บ้านเห็นความตั้งใจของลูกบ้าน และอยากให้ไปเที่ยวกันจึงติดต่อรถให้ ซึ่งเป็นรถขนส่งสินค้าที่เข้ามารับวัตถุดิบจากหมู่บ้านไปขายในตัวจังหวัด ทางเจ้าของรถขนส่งก็รับปากว่าจะมารับ แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วต้องกลับเลย ห้ามโอ้เอ้ เพราะเขาจะต้องตื่นมารับสินค้าแต่เช้าตรู่เพื่อไปขายในเมืองวันพรุ่งนี้ และทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันตามนั้น พอถึงวันงาน ชาวบ้านทั้งหมดก็มารวมตัวกันเพื่อโดยสารรถขนส่งคันนี้ไป ซึ่งมี 2 พี่น้องหนุ่มกับเปียไปด้วย พอไปถึงงาน เจ้าของรถก็บอกว่า “เที่ยงคืนนะ นี่คือเวลานัดหมายของเรา เที่ยงคืนต้องกลับ ไม่ว่าจะอะไร ห้ามโอเอ้ ถ้ามาไม่ทันก็จะไม่รอ” ทุกคนก็แยกย้ายกันไปสนุกสนาน จนใกล้เวลาเที่ยงคืน เปียคนเป็นน้องก็บอกหนุ่มคนพี่ว่า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวรถไม่รอเรานะ” คนพี่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรช่างมัน จะเป็นอะไรวะนาน ๆ มาเที่ยวกันที กลับกันเองก็ได้ เดี๋ยวหาโบกรถชาวบ้านกลับไปที่อำเภอเราก็ได้” พอถึงเวลาเที่ยงคืน รถขนส่งคันนั้นก็กลับไป สองพี่น้องก็ยังเที่ยวกันไปเรื่อย ๆ จนร้านค้า, ลิเก, หมอลำ และดนตรี เริ่มทยอยกันปิด บรรยากาศเริ่มกร่อย จนคนเป็นน้องบอกกับพี่ว่า “หรือเราจะนอนกันที่วัดก็ได้นะแล้วตอนเช้าค่อยกลับ” แต่คนพี่ก็ปฏิเสธเพราะตนกลัวผี จึงตัดสินใจกันเดินกลับในเวลาตี 2 สองพี่น้องพากันเดินกลับ และคิดว่าจะโบกรถระหว่างทาง ในระหว่างทางเดินที่ออกจากวัดก็มีเสียงหมาหอนตลอดทาง สองพี่น้องโบกรถกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีคันไหนไปทางเดียวกันเลย สุดท้ายโชคก็เข้าข้าง ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งขับผ่านมา เป็นลุงขับรถกระบะขนของที่ไปหมู่บ้านใกล้เคียงหมู่บ้านของสองพี่น้อง ทั้งคู่จึงขอติดรถไปด้วย จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทั้งสองก็พูดคุยกันไปว่าโชคดีที่มีรถกลับ ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าบนรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วย แต่เพราะความมืดทำให้มองไม่ชัด กระทั่งรถขับไปถึงไฟแดง แสงไฟก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่ารถกระบะที่พวกเขาขึ้นมานั้นบรรทุกโรงศพมา! ทั้งคู่ผงะถอยหลัง และคิดว่าจะลงจากรถ แต่ก็ไม่ทันเพราะว่ารถออกตัวก่อน ทั้งคู่รู้สึกเริ่มกลัว และเนื่องจากเส้นทางในต่างจังหวัดไม่ได้ราบเรียบ ทำให้จู่ ๆ ฝาโรงศพก็เปิดเอง! แล้วฝาโรงศพที่เปิดอยู่ก็เลื่อนปิดเอง! ด้วยความกลัว เปียคนน้องก็ย้ายตัวเองไปนั่งข้างพี่หนุ่มและคิดว่าจะเอาอย่างไรกันดี ระหว่างนั้นฝาโรงก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง! ทั้งคู่เห็นดังนั้นก็พยายามเอื้อมมือเคาะกระจกให้ลุงจอดรถ แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือ มีหน้าคนโผล่ออกมาจากโรงศพ ใบหน้านั้นมองมาที่สองพี่น้องและพูดว่า “มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” สิ้นเสียงนั้น สองพี่น้องก็ร่วงลงตกจากรถทันที! ลุงคนขับตกใจ จึงจอดรถและลงมาดู ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องตกจากรถ คนพี่อย่างหนุ่มร้องโอดโอย แต่คนน้องอย่างเปียสลบไปแล้ว ลุงคนขับโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการสอบสวน ลุงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า ลุงขับรถมากันสองคนกับเด็กขนของ แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็โบกรถขอติดกลับไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววของเด็กขนของ ตำรวจจึงถามว่าเด็กขนของอยู่ไหน ลุงก็ชี้ไปที่ท้ายรถ ตำรวจจึงเรียกมาคุย เด็กขนของบอกว่า “ผมนั่งหลังรถมา ผมหนาว เลยเข้าไปนอนในโรง ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็ไม่รู้ว่าใครมาคุยกันบนรถ ผมเลยเปิดโรงมาดู แล้วถามว่า มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง” สรุปแล้วตำรวจจึงต้องดำเนินคดีกับเด็กขนของเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิต และระหว่างที่จะพาตัวคุณลุงและเด็กขนของไปสถานีตำรวจ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า คนพี่ที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาลเสียชีวิตแล้ว เรียกได้ว่าเสียชีวิตทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ทั้งตัวลุงคนขับและเด็กขนของต้องติดคุก แต่ก็ติดคุกได้ไม่นาน เพราะทางเจ้าของร้านโรงศพช่วยอธิบายว่าการกระทำของทั้งคู่นั้นไม่ได้เจตนา หลังออกจากคุกและมาทำงานต่อเหมือนเดิม เจ้าของร้านก็สั่งไม่ให้เด็กขนของคนนี้นอนในโรงอีก แต่ว่าผ่านไปได้ไม่นาน เด็กขนของคนนี้ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกรถตายเหมือนกัน! คนจึงโจษขานกันเป็นสองเสียงว่า เป็นเพราะเมาจึงตกรถ แต่อีกเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะอาธรรพ์ที่ไปหลอกสองพี่น้องจนทำให้เขาตาย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

06 มิ.ย. 2023

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

คุณ ‘แจ็ค The Ghost Radio’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 พฤษภาคม 2566) พร้อมกับเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกตามเคย ครั้งนี้พี่แจ็คได้เตรียมเรื่องเล่าชวนพิศวงของหน่วยรบพิเศษขณะปฏิบัติภารกิจท่ามกลางป่าลึกมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ 'ดีเจเจม' ได้ฟังกัน เรื่องนี้มีชื่อว่า “หมู่บ้านร้างซากไร่” ไปติดตามกันได้เลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ 30 ปีก่อน ‘ป๋าแจ็ค’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ ได้รับมอบหมายจากครูฝึกให้นำทีมของตนไปสอบปฏิบัติภาคกลางคืน โดยพวกเขาต้องเดินทางไกลจากจุด A ไปจุด B ตามที่ครูฝึกกำหนดไว้ก่อนรุ่งสาง โดยจะมีครูฝึกแอบซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ และมีกฎสำคัญหนึ่งข้อคือ ห้ามถูกครูฝึกจับได้! ขณะที่กองกำลังของป๋าแจ็ค (มีอยู่กันประมาณ 7-8 คน) เดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปตาม เส้นทางอย่างเงียบเชียบ พวกเขาก็เจอกับกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อส่งลูกน้องไปตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่ากระท่อมหลังนี้ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการ หรือเป็นครูฝึกปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน ป๋าแจ็คจึง เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กระท่อมเพื่อถามทาง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้มีผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน กำลังนั่งพักผ่อน ต้มเหล้ากินกันอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเล่าเรื่องราวการทำภารกิจของตนให้ชาวบ้านฟัง คุณลุงคนหนึ่งถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ้! จะไปทางนั้นเลยหรอ ไปทางอื่นไหม?” ขณะที่ชาวบ้านอีก 2 คนก็แอบซุบซิบกันเป็นภาษาที่ป๋าแจ็คฟังไม่รู้เรื่อง ป๋าแจ็คยังคงยืนยันที่จะเดินทางตามเส้นทางเดิมที่ครูฝึกกำหนดเอาไว้ เพราะเป็นทางที่เร็วที่สุด แม้ชาวบ้านจะแนะว่าให้หาเครื่องรางของขลังพกติดตัวไปด้วย แต่หัวหน้าหน่วยรบพิเศษก็ตอบชาวบ้านไปว่าตนไม่เคยกลัวหรือเชื่อเรื่องผีสางใด ๆ และแล้ว...นายทหารทั้งหลายจึงจำใจออกเดินทางไปตามเส้นทางเดิม โดยปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาช่วยคุ้มกัน เหล่าทหารจากกองกำลังนี้ต้องลัดเลาะไปตามป่าไม้อย่างยากลำบาก เพราะต้องช่วยกันค่อย ๆ ตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีเสียงใดดังไปถึงหูครูฝึก เมื่อไปได้ครึ่งทาง ป๋าแจ็คก็สังเกตเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้า คล้ายแสงไฟจากบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกน้องไปตรวจสอบว่าเป็นครูฝึกแอบซุ่มอยู่รึเปล่า ผ่านไปประมาณ 10 นาที ลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับบอกว่านั่นคือชาวบ้านจริง ๆ ป๋าแจ็คจึงนำทีมเพื่อที่จะย่องผ่านหมู่บ้านนี้ให้เงียบมากที่สุด เมื่อเดินมาจนสุดแนวป่าใกล้หมู่บ้าน ก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นมีไร่นาโล่ง ๆ เหมือนไม่เคยทำการเกษตรมานาน จากนั้นก็เห็นเป็นถนนที่แทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งาน ไม่มีรอยขี้วัว (ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการเกษตร) แถมยังมีต้นไม้รกร้างที่โค้งงุ้มจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว แต่ป๋าแจ็คและทีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วเดินต่อไปเพื่อให้ภารกิจเสร็จสิ้น เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน บ้านหลังแรกที่เจอเป็นบ้านลักษณะยกสูงมีใต้ถุนโล่งด้านบนเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังถือตะเกียงอยู่ พร้อมหมาอีกหนึ่งตัว ทั้งสามยืนตรงแข็งทื่อคล้ายรูปปั้น เมื่อป๋าแจ็คเหลือบมองไปด้านบน ผู้หญิงด้านบนบ้านก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับมา ใบหน้าสีขาวซีดจับจ้องไปที่ป๋าแจ็คจนน่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามป๋าแจ็คตัดสินใจเดินทางต่อไป ตามด้วยลูกน้อง คนแล้ว คนเล่า ผ่านบ้านอีกหลายหลัง และก็เช่นเดียวกันกับบ้านหลังแรก นั่นคือเต็มไปด้วยชาวบ้านหน้าขาวซีดจำนวนมากออกมาให้กำลังใจ ป๋าแจ็คได้ยินเสียงลูกน้องแอบซุบซิบกันระหว่างทางเดิน แต่ก็ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตนสติแตก ป๋าแจ็คและลูกน้องเดินมาถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจตอนประมาณตีห้า ทุกคนพากันไปเลี้ยงกาแฟและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งในลูกน้องของป๋าแจ็ค เล่าว่าหลังจากเดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป แล้วหันหลังกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้นอีกรอบ กลับไม่พบผู้คนหรือร่องรอยของแสงตะเกียงใด ๆ เลย เมื่อพนักงานร้านกาแฟซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คนมาได้ยินเรื่องอันแสนพิศวงของป๋าแจ็คในครั้งนี้ พนักงานก็เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่กองหน่วยรบพิเศษเดินทางผ่านเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ เคยมีผู้คนอาศัยอยู่จริง แต่ในปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคห่าแล้วตายไป 5 หลัง เลยไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป.. เพื่อทวีคูณความพิศวงไปอีกขั้น หลังจากที่หน่วยของป๋าแจ็คออกมาจากร้านกาแฟกันแล้ว มีลูกน้องคนหนึ่งของป๋าแจ็คเดินมาบอกเขาว่า พนักงานในร้านกาแฟซึ่งคือ ผู้ชาย 2 คนและหญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คน... เป็นพวกเดียวกันกับที่เขาเจอที่กระท่อมตอนเริ่มทำภารกิจช่วงแรก! แต่ไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะเดินนำป๋าแจ็คกับทีมของเขาไปได้ แล้วพวกเขามาเปิดร้านกาแฟรอป๋าแจ็คอยู่ที่ปลายทางได้ไงกัน? เรื่องของป๋าแจ็คและกองกำลังรบพิเศษของเขาถูกบอกเล่าอยู่ในหน่วยอยู่นานนับปี เป็นที่น่าสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า อะไรคือสาเหตุที่วิญญาณเหล่าปรากฎตัวขึ้น มาเพื่อส่งเหล่าทหารงั้นหรือ? พวกของป๋าแจ็คหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งรึเปล่า? อะไรที่เชื่อได้บ้างว่าเป็นความจริงเพราะแม้แต่กาแฟที่เหล่าทหารกินกันในตอนสุดท้าย กลับถูกพบในภายหลังว่าไม่มีรสชาติใด ๆ เลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

23 พ.ค. 2023

ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังว่า มีน้องคนหนึ่งเจอผีเด็กตามหลอกเพราะไปเอาของเล่นเขามา จนทำให้จำฝังใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องคนหนึ่งชื่อ ‘โน้ต’ ปัจจุบันอายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวัย 11 ขวบ ซึ่งในตอนนั้นบ้านของคุณโน้ตทำอาชีพขายปลา เปิดหน้าร้านอยู่ในตึกอาคารพานิชย์ ตึกนี้ก็มีร้านค้าอื่น ๆ แบ่งเป็นบล็อก ๆ ไป และร้านด้านในสุดเป็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า มีคุณลุงใจดีเป็นเจ้าของบ้าน ในตอนนั้นแก๊งค์เพื่อนของคุณโน้ตมี ‘ฝน’ และ ‘เอ’ ที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งโน้ตกับเอเป็นผู้ชาย ส่วนฝนเป็นผู้หญิงและเป็นพี่น้องกับเอ ทั้งสามสนิทกับคุณลุงร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามาก เพราะคุณลุงอยู่กับภรรยาสองคน นอกจากนี้คุณลุงก็ยังชอบให้เด็กทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งที่ทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านคุณลุงเหมือนเช่นเคย แล้วคุณลุงก็พูดว่า “เออเนี่ย ลุงซื้อปลามาเลี้ยงใหม่เป็นปลาคาร์ฟ อยู่บนดาดฟ้านะ ขึ้นไปดูเล่นสิ” ทำให้นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนได้ขึ้นไปเล่นที่ดาดฟ้าของบ้านคุณลุง พอขึ้นไปแล้วก็ได้เจอกับบ่อปลาคาร์ฟที่พึ่งก่อขึ้นมาใหม่ มีห้องหนึ่งอยู่ติดกับบ่อปลาคาร์ฟ ระหว่างที่กำลังดูปลาเล่นอยู่นั้น คุณโน้ตก็สงสัยว่าห้องนี้มันคือห้องของใคร หรือจะเป็นห้องพักของคนงานคุณลุงหรือเปล่า เอจึงถามคุณโน้ตว่า “เฮ้ยโน้ต นี่ห้องใครวะ” คุณโน้ตก็ตอบไปว่า “กูก็ไม่รู้ กูก็เพิ่งขึ้นมากับมึงเนี่ย” เอก็เลยบอกให้คุณโน้ตดูว่าในห้องมีใครหรือเปล่า คุณโน้ตจึงเอามือไปป้องกระจกเพื่อส่องดูเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นคือภายในห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือติดกับกระจกที่กำลังส่องดู และเลยไปติดผนังฝั่งตรงข้ามเป็นเตียงเล็ก ๆ ด้านขวามือของเตียงจะเป็นตู้ไม้ที่ประตูตู้เป็นกระจก ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสะดุดตาก็คือในตู้นั้นมีของเล่นเต็มไปหมด คุณโน้ตจึงบอกกับทุกคนว่า “เฮ้ย! พวกมึงดูดิในตู้นั้นของเล่นเต็มไปหมดเลย” ทุกคนจึงหันไปมองตามทันที ระหว่างที่กำลังจ้องของเล่นอยู่นั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าโต๊ะเขียนหนังสือมันสั่นกึก ๆ ๆ และสิ่งที่เห็นก็คือค่อย ๆ มีหัวคน! ลักษณะเป็นเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับพวกเขาโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะ คลานลอดตรงไปยังขอบเตียง และเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ โดยนั่งหันหลังให้กับทั้งสามคน สักพักหนึ่งมีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ซึ่งเป็นเสียงกระดิ่งจากของเล่นที่เป็นรถสามล้อไขลาน หมุนออกมาจากเด็กคนนั้นและวิ่งไปทั่วห้อง ซึ่งเด็กคนนั้นที่นั่งยอง ๆ อยู่ ก็กระโดดไปจับรถสามล้อไขลาน และพอจับได้และกำลังจะหันหน้ามาทางทั้งสามคน คุณลุงก็ขึ้นมาเรียกพอดี “ทำอะไรกันอยู่น่ะ เอ้าลงมากินขนมกันเร็ว” ด้วยความเป็นเด็กทุกคนก็เลยลงไปกินขนมโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อ ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ เด็ก ๆ ทั้งสามคนก็มาเล่นที่ดาดฟ้าบ้านคุณลุงอีกครั้ง และรวมตัวกันไปยืนจ้องดูในห้อง ๆ นั้น เพราะมันมีของเล่นมากมาย จนคุณลุงขึ้นมาเห็นและถามว่าเด็ก ๆ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ คุณโน้ตจึงตอบว่า “เนี่ยลุง ในห้องนี้ทำไมมันมีของเล่นเยอะจัง” คุณลุงตอบกลับมาว่า “เอาไหมล่ะ ลุงให้” โอกาสมาถึงขนาดนี้แน่นอนทุกคนก็ตอบตกลงเอาทันที และเดินตามคุณลุงเข้าไปในห้อง ซึ่งคุณลุงก็บอกว่า “เอาไปเลย คนละสองชิ้นสามชิ้นเอาไปได้เลย” ซึ่งเอเลือกเอาเรือป๊อกแป๊ก โน้ตเลือกเอารถสามล้อไขลานที่เคยเห็นเด็กคนนั้นเล่น โดยในใจของโน๊ตก็คิดว่าอยากได้หุ่นยนต์เพิ่มอีกตัวหนึ่ง แต่ด้วยความเกรงใจคุณลุงจึงคิดว่าเอาแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนฝนได้ไปยืนมองตุ๊กตาตัวหนึ่งและหยิบขึ้นมาอุ้ม ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้องจู่ ๆ ฝนก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เอาละ” พร้อมกับนำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางที่เตียง และทั้งสามคนก็ได้ออกมาเล่นกันที่ดาดฟ้าเหมือนเดิม ผ่านไปพลบค่ำ ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่นั้น ตัวโน้ตได้หันไปมองที่ห้องนั้นอีกครั้ง เพราะในใจยังอาลัยอาวรณ์หุ่นยนต์ตัวที่อยากได้ ปรากฏว่าเขาเห็นเด็กคนเดิมคนนั้น ค่อย ๆ เอามือมาแนบกระจกแล้วส่องดูพวกเขา โน้ตจึงทักไปว่า “เฮ้ยนาย ออกมาเล่นด้วยกันดิ ถ้าไม่เล่นกันตรงนี้ไปเล่นที่บ้านเราก็ได้ บ้านใกล้ ๆ นี้เอง มาเร็ว มาเร็ว” ทำให้ฝนทักโน้ตว่า “มึงพูดไรอ่ะ มึงเป็นไร มึงชวนใคร” โน้ตเลยตอบว่า “อ้าวก็นั่นไงเด็กที่อยู่ในห้องนั้น” “มีที่ไหน มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย ไม่เอาละ ๆ กลับบ้านดีกว่าเย็นแล้ว” ฝนพูด แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองไป พอตกกลางคืนวิถีของบ้านโน้ตก็คืออาม่าและญาติ ๆ จะนั่งดูทีวีกันจนจบ ค่อยขึ้นนอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า ในตัวบ้านของโน้ตมีชั้นลอยและมีห้องอยู่ตรงนั้น โน้ตกับอาม่านอนด้วยกัน ก่อนที่จะเข้านอน ด้วยความเห่อของเล่นใหม่ โน้ตก็เอาของเล่นขึ้นไปนอนด้วยและวางตรงไว้ตรงหัวเตียง ซึ่งเตียงนอนของโน้ตและอาม่านั้นจะเป็นเตียงนอนที่ปูติดกับพื้น ระหว่างที่หลับอยู่นั้น โน้ตก็รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะปวดฉี่ จึงพยายามเรียกอาม่าให้ตื่นไปส่งเข้าห้องน้ำ แต่อาม่าก็ไม่ตื่น โน้ตก็ปลุกอาม่าอยู่อย่างนั้นจนอาม่ารำคาญ และพูดกลับมาว่า “เออลื๊อก็ลุกไปฉี่สิ ปลุกอะไรนักหนาเล่า อั๊วจะนอน” โน้ตตัดสินใจว่า “เออลงไปฉี่เองก็ได้วะ” จากนั้นก็หยิบรถสามล้อไขลานที่วางอยู่บนหัวเตียงเพื่อจะเอาลงไปด้วย แต่ปรากฏว่าของเล่นมันหายไป! ก่อนนอนก็จำได้ว่าวางอยู่ตรงนี้ หรือว่าลืมเอาขึ้นมาด้วย ระหว่างที่กำลังหาของเล่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งของรถสามล้อไขลานนั้นดังลงมาจากชั้นล่าง! โน้ตจึงเปิดประตูห้องนอนออกไปเพื่อไปเปิดไฟตรงชั้นลอย และไปยืนชะโงกหน้าดูที่ชั้นล่าง ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ารถสามล้อไขลานนั้นวิ่งออกมาจากเข่งที่มันตั้งอยู่ประตูหน้าบ้าน แล้วมาหยุดอยู่กลางบ้าน! ในใจก็คิดสงสัยว่า “ใครมาเล่นวะ” ขณะที่กำลังจะก้าวขาลงจากชั้นลอย ตาก็มองของเล่นนั้นไปด้วย แต่สิ่งที่โน้ตเห็นก็คือจู่ ๆ มีเงาดำเงาหนึ่ง วิ่งลอดจากชั้นลอยมาโผล่ตรงพื้นกลางบ้าน ตะครุบของเล่นนั้น และพยายามไขลานดังแกร๊ก ๆ จังหวะที่ปล่อยสามล้อไขลานนี้ให้วิ่งต่อ เงานั้นก็หันขวับขึ้นมามองที่โน้ต โน้ตรู้สึกกลัวและตกใจจึงวิ่งเข้าไปในห้อง และกระโดดขึ้นไปบนที่นอนบอกอาม่าว่าโดนผีหลอก ๆ แต่อาม่าก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความที่โน้ตวิ่งเข้ามาในห้องอย่างร้อนรน ทำให้ลืมปิดประตูห้อง แสงไฟที่อยู่ตรงชั้นลอยก็สาดเข้ามาในห้องพาดมายังตรงที่โน้ตนอนพอดี โน้ตที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาอาม่าเพราะกลัว ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมปิดประตูห้อง ขณะที่กำลังจะพลิกตัวกลับไป ก็มีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ของรถสามล้อไขลานนั้นวิ่งเข้ามาในห้อง มาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงนอนโน้ต! โน้ตเลยแกล้งพลิกตัวมาพร้อมกับหรี่ตาไปด้วยเพราะไม่กล้ามอง และเห็นว่าของเล่นนั้นอยู่ตรงหน้าพอดี! โน้ตจึงเอื้อมมือจะไปหยิบสามล้อนั้นเพื่อเอามาเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม ปรากฏว่าโน้ตถึงกับต้องค้างมือนั้นไว้เพราะเหลือบไปเห็นตรงประตูว่า มีเงาดำโผล่มาจากหลังประตู และจ้องมองเขาอยู่! โน้ตมองเห็นเงานั้นเพียงลูกตาที่ขาวโพลนหมดทั้งตา เมื่อตาสบตากัน เงานั้นก็วิ่งพรวดเข้ามาหาเขาทันที แล้วมาตะครุบของเล่นไว้ พร้อมกับพูดว่า “ของของกู” เท่านั้นแหละโน้ตก็ภาพตัดไปโดยไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นเช้ามาอาม่าก็โวยวายโน้ตใหญ่เลยว่าทำไมปวดฉี่ถึงไม่ลุกไปฉี่ที่ห้องน้ำ เพราะที่นอนเต็มไปด้วยฉี่ของเขา ในตอนนั้นโน้ตก็ยังไม่ได้พูดอะไรให้อาม่าฟัง และหันไปเห็นว่าของเล่นนั้นยังอยู่บนหัวเตียงเหมือนเดิม จึงนำมันลงไปข้างล่างเพื่อไปกินข้าว ในตอนนั้นโน้ตก็รู้สึกใจคอไม่ดีพะอืดพะอมแปลก ๆ จนอาม่าถามว่า “ลื๊อเป็นอะไรเนี่ยไม่ยอมกินข้าวกินปลา” โน้ตก็บอกว่า “ไม่ได้เป็นอะไรเดี๋ยวจะไปเล่นบ้านเพื่อนก่อนนะ” เพื่อจะไปเล่าให้กับฝนและเอฟัง พอมาถึงบ้านเพื่อน ก็เห็นว่าเอหน้าซีดอยู่หน้าบ้าน จึงถามเอว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า” เอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เหมือนโดนผีหลอก ระหว่างนั้นแม่ของเอก็เดินมาพอดี จึงได้ถามว่า “ไปทำอะไรกันมาเนี่ย เมื่อคืนเอก็โดนหลอก ร้องไห้จ๊ากเลย” เอก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อคืนเกิดปวดฉี่ขึ้นมา จึงให้แม่ไปส่งเข้าห้องน้ำ ภายในห้องน้ำบ้านเอจะมีอ่างน้ำที่เป็นปูนก่อเป็นทรงสี่เหลี่ยมติดกับผนัง ระหว่างเข้าห้องน้ำอยู่นั้น เอก็เอาเรือป๊อกแป๊กนั้นไปลอยน้ำเล่น เมื่อฉี่เสร็จแล้วก็มาเล่นเรือป๊อกแป๊กต่อ แต่ระหว่างที่เล่นอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าทำไมน้ำในอ่างถึงกระเพื่อมและมีฟองอากาศปุด ๆ ออกมาจากใต้น้ำ ด้วยความสงสัยจึงชะโงกหน้าไปมอง ในอ่างน้ำค่อนข้างมืดมองไม่เห็นอะไร เอจึงจะเอื้อมมือไปหยิบเรือป๊อกแป๊ก เพราะในใจเริ่มกลัวแล้ว ปรากฏว่ามีเด็กโผล่พรวดออกมาจากกลางน้ำ มายืนอยู่ตรงขอบอ่างและพูดว่า “ของของกู!” เอตกใจกลัวจนแทบขยับไม่ได้ และได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียก จึงฮึดแรงเฮือกสุดท้ายรีบวิ่งออกไปหาแม่ทันที ส่วนฝนก็เล่าด้วยว่าจริง ๆ แล้วที่ไม่หยิบตุ๊กตาออกมาด้วย เพราะว่ารู้สึกว่าตุ๊กตามันยิ้มให้ จึงตัดสินใจไม่เอาดีกว่าเพราะกลัว คุณแม่เอได้ฟังดังนั้นจึงถามต่อว่า “แล้วไปเอาของเล่นนี้มาจากไหน” ทุกคนจึงเล่าให้ฟัง และพากันไปคืนของเล่นที่บ้านคุณลุง คุณลุงได้ทราบเรื่องทั้งหมด ก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าวยังไม่ไปเกิดอีกเหรอ เพราะตายมาหลายปีแล้วนะ” และเล่าต่อว่าของเล่นทั้งหมดนี้เป็นของลูกชายคุณลุงเอง ซื้อให้ลูกชายไว้เล่นเมื่อนานมาแล้ว แต่ลูกชายดันมาเสียไปซะก่อนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ลูกชายเป็นคนหวงของเล่นมาก พอตายไปคนเป็นพ่อจึงตัดสินใจว่างั้นเอาของเล่นทั้งหมดขึ้นไปเก็บที่ห้องบนดาดฟ้าละกัน จะได้เล่นไปเลยคนเดียว และจะได้ไม่มีใครมายุ่งกับของเล่นของลูกอีก แต่มันก็ผ่านนานมาก ๆ แล้ว จึงคิดว่าน่าจะแบ่งของเล่นให้กับเด็กคนอื่น ๆ ได้ และเมื่อทุกคนคืนของเสร็จเรียบร้อยแม่ของเอก็เลยพาทั้งสามคนไปทำบุญกันที่วัด เพื่อที่ผีเด็กตนนั้นจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก เมื่อฟังเรื่องนี้จบดีเจทั้ง 2 คน พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าหลอนมาก ขนาดผู้ใหญ่เจอผียังกลัวจนตัวสั่น แล้วนี่เป็นเด็กเจอผี จะจำฝังใจขนาดไหน เพราะขนาดตอนนี้คุณโน้ตอายุ 40 กว่าแล้วก็ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้แม่นอยู่เลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1