ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

อังคารคลุมโปง RECAP

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

28 เม.ย. 2024

           เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เวลาเดิม’เป็นเรื่องราวของเด็กพาร์ทไทม์ที่อยากจะลองดีจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

          ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ให้ชื่อสมมุติว่า ‘อาคิยะ’ ตัวเขานั้นกำลังหางานพาร์ทไทม์ จึงถามกับเพื่อนว่า 

           “มีที่ไหน แนะนำบ้างไหม?”

           เพื่อนตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีเลยว่ะ” 

           แต่อาคิยะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของตนทำงานอยู่ที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่ง จึงถามเพื่อนว่า 

           “แล้วที่ทำอยู่ไม่รับเพิ่มแล้วหรอ” 

           เพื่อนรีบตอบปัดเสียงแข็งกลับมาว่า “กูออกมาแล้ว” 

           อาคิยะเกิดความสงสัยจึงถามต่อว่า “ทำไมถึงออกล่ะ?” 

           แต่เพื่อนกลับแสดงท่าทีมีพิรุธแปลก ๆ ตอบเพียงว่า “เรื่องของกู กูอยากออก” 

           อาคิยะจึงขอว่า “ถ้ามึงไม่ทำแล้ว.. กูขอได้ไหม เพราะตอนที่มึงทำอยู่ เจ้าของร้านก็ดูใจดี มีข้าวให้กิน มีเวลาให้พัก” 

           ครั้งนี้เพื่อนกลับดูมีพิรุธกว่าเดิม และยังเตือนอีกว่า “อย่าเลย มันเดินทางลำบากน่ะ” 

           อาคิยะจึงตอบปัดขำ ๆ ไปว่า “เดินทางลำบากมันเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึงไง มีอะไรก็แนะนำมาเถอะ อย่ามากั๊กกัน” สุดท้ายเพื่อนก็ยอมบอก

          หลังจากได้ข้อมูลร้านมา อาคิยะก็ทำการติดต่อร้านอิซากายะแห่งนั้นไป เมื่อถึงวันสมัครสัมภาษณ์งาน อาคิยะก็เตรียมความพร้อม ทั้งเรซูเม่และเอกสารทุกอย่างไปครบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบสัมภาษณ์ทุกคำถาม ทางหัวหน้าก็ถามกลับมาทันทีว่า 

           “เริ่มทำงานได้วันไหน วันนี้เลยไหม พร้อมทำงานหรือยัง?” 

           อาคิยะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” 

           หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อให้รุ่นพี่สอนงาน เมื่ออาคิยะเข้าใจหน้าที่ทุกอย่าง ก่อนที่จะแยกย้าย พี่ที่ร้านก็กำชับบางอย่างว่า 

           “พี่ลืมบอกไป ร้านเราน่ะ ถ้ามีโทรศัพท์โทรเข้ามา ไม่ต้องรับนะ เพราะว่าคนชอบคิดว่าร้านอิซากายะเรามีเดลิเวอรี ก็เลยชอบโทรมา ถ้าจะรับก็แค่ช่วงกลางวันแล้วกัน ตอนนั้นจะมีคนโทรมาส่งของ แต่หลังช่วงเย็นมันไม่มี ไม่ต้องรับนะ”

          หลังจากนั้นอาคิยะก็เริ่มทำงาน เขาทำงานกะดึก ซึ่งการทำงานก็ดูเหมือนว่าจะปกติทั่วไป แต่กลับมีบางอย่างแปลก ๆ อาคิยะสังเกตได้ว่า ร้านอิซากายะแห่งนี้ มีพนักงานช่วงกะดึกเพียงแค่ 2 คน คืออาคิยะและรุ่นพี่ ทั้งที่ตอนกลางคืนที่ร้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เลย ส่วนหัวหน้าก็จะแอบหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง เขาจึงถามกับหัวหน้าและก็ได้คำตอบว่า 

           “ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนแรงงาน แต่เดี๋ยวหัวหน้าให้เงินเดือนเพิ่ม” 

           สุดท้ายอาคิยะก็ต้องทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์ อย่างที่หัวหน้าเคยบอกว่า ทุกวันที่ร้านจะมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเวลาเดิม เป็นช่วงเวลาหลังปิดร้านพอดี และตอนที่ตัวเขาเองกำลังจะกลับบ้าน อาคิยะก็ท่องจำไว้เสมอกับคำที่หัวหน้าเคยบอกว่า “ไม่ต้องรับสายนะ” อาคิยะก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เลย

          จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่อาคิยะกำลังเก็บของอยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อะไรดลใจก็ไม่ทราบได้ อาคิยะยกหูรับสายทันที เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงคล้ายคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองไม่สามารถจับใจความได้ อาคิยะก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงโทรผิด จึงเลือกที่จะวางสายไป

          ช่วงเย็นของอีกวัน ขณะที่รุ่นพี่กำลังยืนล้างจานอยู่ อาคิยะก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้รุ่นพี่ฟังว่า 

           “เมื่อวาน.. ผมน่ะ รับสายโทรศัพท์ที่มันดังในร้านทุกวัน” 

           หลังอาคิยะพูดจบ รุ่นพี่ก็เผลอปล่อยจานจนหล่นแตก แล้วถามกลับว่า “แล้วมึงได้ฟังไหม ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า?” 

           อาคิยะตอบว่า “ได้ยินนะครับพี่ แต่เขาพูดไม่รู้เรื่อง” 

           รุ่นพี่บอกต่อว่า “อ๋อ เออดีแล้ว แต่วันหลังไม่ต้องรับนะ” 

           แต่อาคิยะจับพิรุธได้ว่า รุ่นพี่มีอาการแปลก ๆ จนเขาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า นี่คงเป็น ‘โทรศัพท์ผีสิง’ มันจะต้องมีเรื่องราวลึกลับบางอย่างกับสายโทรศัพท์นี้แน่นอน

          อาคิยะจึงเริ่มวางแผน แกล้งทำงานช้า ๆ ปล่อยให้รุ่นพี่กลับบ้านไปก่อน เขาจะได้อยู่ร้านเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน จากนั้นเขาจึงมานั่งรอสายโทรศัพท์ เมื่อใกล้ถึงเวลา โทรศัพท์ก็ดัง กริ๊งงงง… ตรงตามเวลาเป๊ะ อาคิยะหัวใจเต้นแรง ตึกตัก.. ตึกตัก เมื่อยกหูรับสาย 

           “สวัสดีครับ..” 

           ก็ไร้การตอบกลับจากเสียงปลายสายเหมือนเดิม ได้ยินเพียงเสียงคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเขากำลังจะวางสายลง เสียงก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนได้ยินว่า 

           “ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย ผมอยู่ข้างหลัง” 

           ปลายสายพูดย้ำหลายครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยะกำลังจะเหลือบไปมองข้างหลัง เขาสัมผัสได้ทันทีว่า มีคนหรืออะไรบางอย่างยืนอยู่ข้างหลังเขาจริง ๆ ! อากิยะรีบวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งกลับบ้านทันที ! โดยที่ไม่มาทำงานอีกเลย

          เวลาผ่านไปจนกระทั่ง อากิยะได้เจอเพื่อนที่แนะนำร้านอิซากายะแห่งนี้ให้ เพื่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงล่ะมึง” 

           อาคิยะบอกว่า “แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าที่ร้านมีผี” 

           เพื่อนก็อธิบายให้ฟังว่า “ถึงบอกไป มึงก็ไม่เชื่อ กลัวโดนหาว่าโกหกอีก แต่สิ่งที่มึงสัมผัสตอนนั้น คือของแท้หมดเลย มึงคงเจอผีจริงๆ” 

           เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่ร้านเคยมีพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน และทุ่มเทให้กับงานมาก แต่ทุ่มเทเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ เกิดความกดดัน จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตตัวเอง คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเครียดเรื่องงาน ซึ่งหลังจากพนักงานคนนี้ได้จากไป ทุกวันเวลาเดิมก็จะมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาเสมอ เพื่อที่จะบอกใครสักคนว่า “ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมากลับมาดูหน่อย.. ผมที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่..” ซึ่งคนที่พนักงานคนนั้นพยายามที่จะโทรหา ก็คือ ‘หัวหน้า’ นั่นเอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

28 ก.ค. 2023

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 กรกฎาคม 2566) ได้เล่าเรื่องหลอนที่เคยเจอกับตัว ระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์รอบดึก ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘โรงหมายเลข 6’ ใครที่มีแพลนจะไปดูหนังรอบดึก นับจำนวนคนให้ดี ๆ นะ! เรื่องหลอนนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณชิ’ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เข้าทำงานเป็นกะ ทั้งกลางวันและกลางคืนหมุนเวียนสลับกันไป คุณชิเองเป็นคนที่ชื่นชอบการดูหนังรอบ Midnight อยู่แล้ว เมื่อถึงวันที่ต้องเข้ากะดึก จึงไปเช็คก่อนว่ามีลูกค้าเข้าไปใช้บริการในโรงหนังรอบนั้นกี่คน ปรากฏว่ามีลูกค้าเพียง 5 คนเท่านั้น เมื่อถึงเวลา คุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังในโรงหมายเลข 6 พร้อมกับลูกค้าทั้ง 5 คนนั้น.. โรงหมายเลข 6 นี้เป็นโรงที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แถวที่คุณชิเข้าไปนั่ง คือแถว AA (ด้านบนสุด) ทำให้สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งโรง คุณชิจึงคอยสอดส่องว่าลูกค้าเข้ามาครบหรือยัง เพราะที่นั่งที่คุณชินั่ง อาจจะไปตรงกับลูกค้าก็เป็นได้ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาครบ คุณชิก็สบายใจเพราะไม่ได้นั่งทับที่ใคร จากนั้นหนังก็เริ่มฉายไปตามปกติ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็กวาดสายตาไปมองบรรดาลูกค้าอีกครั้ง แต่เมื่อลองนับจำนวนดูกลับพบว่ามีทั้งหมด 6 คน! คุณชิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตัวเองนั่งอยู่ในจุดที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของทุกอย่างในโรงได้ ไม่ยักกะเห็นคนเดินเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว คุณชิคิดว่าอาจจะเบลอนับพลาดไป จึงนับใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็น 6 คนอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจมาก คุณชิจึงไม่คิดอะไรต่อ แล้วกลับไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เช่นเดิม เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง หันหน้ามองซ้ายขวาไปรอบ ๆ โรงโดยที่ตัวไม่ได้หันตามไปด้วย จากนั้นก็หันกลับไปดูหนังตามปกติ พอมีจังหวะที่หนังตบมุกตลก ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะ “หึ ๆ” เสียงต่ำในลำคอ ทั้ง ๆ ที่คนในโรงต่างเงียบกัน คุณชิคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้หัวเราะแปลก ๆ สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็หันคอกลับมามองที่คุณชิ! แล้วก็จ้องหน้าคุณชิอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 วินาทีได้ จากนั้นก็หันกลับไปช้า ๆ ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ก็หันกลับมามองที่คุณชิอีกรอบ! แต่รอบนี้ตาของผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสีแดงไปแล้ว! คุณชิตกใจและสงสัยว่าเขาจะมองหน้าตัวเองไปทำไม ในตอนนั้นคุณชิยังคงคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนดวงตาที่เป็นสีแดง อาจเป็นเพราะแสงจากการฉายหนังก็เป็นได้ หลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็หันกลับไปเหมือนเดิม กระทั่งหนังฉายจบ คุณชิก็รีบเดินออกไปรอหน้าโรงหนัง เพื่อที่จะดูว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกมาหรือไม่ แต่กลายเป็นว่ามีคนเดินออกไปแค่ 5 คนเท่านั้น! เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินออกมาแค่ 5 คน คุณชิจึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเดินออกประตูอื่น เพราะในช่วงนั้นจะมีป้าแม่บ้านมาทำความสะอาด เขาอาจจะออกประตูนั้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ คุณชิจึงเดินไปหาป้าแม่บ้าน A แต่เมื่อถามว่ามีลูกค้าเดินสวนออกมาทางนี้หรือไม่ ป้า A ก็ตอบกว่า “ไม่มีนะ” คุณชิเริ่มคิดในใจว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ใช่คน แต่ก็ยังไม่ได้บอกป้าเอว่าตนเจออะไรมา จากนั้นคุณชิก็กลับไปทำงานตามปกติ ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ คุณชิยังคงไปทำงานตามปกติ ก็ได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศคุยกันว่า “เมื่อคืนนี้ ลูกค้าเจอผี” คุณชิหูผึ่งทันที จึงขอให้พี่ในออฟฟิศเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็เล่าว่า “เมื่อคืน ก่อนที่ลูกค้าผู้ชาย A จะเข้าห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีลูกค้าผู้ชาย B ยืนส่องกระจกอยู่ แต่ไม่เชิงว่าส่องกระจก เพราะเขายืนตรง ๆ แต่ลูกค้า A ก็ไม่คิดอะไร เดินเข้าไปยืนทำธุระส่วนตัวตรงโถ ซึ่งเป็นมุมที่ต้องยืนหันหลังให้ลูกค้า B เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยไม่ถึงหนึ่งนาที หันกลับมาก็ไม่มีใครยืนส่องกระจกอยู่แล้ว! แถมประตูก็ไม่ได้เปิดอยู่ด้วย ทุกอย่างในห้องน้ำดูเงียบสงัด ลูกค้า A จึงไปบอกกับป้าแม่บ้าน C และเล่าว่าเขาเจอผีบ่อยมากเลยเวลามาดูหนังที่นี่ แต่ป้าแม่บ้านก็ทำได้แค่ตอบรับแล้วก็เดินจากไป” หลังจากทราบคร่าว ๆ แล้ว คุณชิจึงไปหาป้าแม่บ้าน C เพื่อถามเรื่องราวต่อ แต่ป้าก็ปฏิเสธบอกเพียงว่า “ป้าไม่รู้หรอก ไม่รู้ ๆ เราทำงานที่นี่ เรารู้อยู่แล้ว ป้าไม่อยากพูด” พูดจบก็รีบเดินจากไป แต่อาการลุกลี้ลุกลนของป้า ทำให้คุณชิยืนงง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อป้าไม่บอก ก็ไม่ต้องรู้ก็ได้ คุณชิคิดแบบนั้นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงวันที่คุณชิต้องเข้างานกะดึกอีกครั้ง วันนั้นมีหนังเรื่องใหม่ที่คุณชิอยากดูอยู่พอดี จึงเข้าอีหรอบเดิม แต่ครั้งนี้คุณชิเข้าไปเช็คทั้งหน้าแอปฯ หน้าเคาน์เตอร์ ว่ามีลูกค้ากี่คน แล้วก็จะเข้าโรงหนังช้ากว่าปกติเพื่อให้ลูกค้าเข้าโรงให้หมดก่อน แต่เมื่อเช็คแล้ว ในรอบนั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเลย ตามปกติแล้วรอบนี้ก็จะงดฉาย แต่คุณชิขอให้เพื่อนร่วมงานฉายหนังตามปกติ จากนั้นคุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังคนเดียว เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ก็สังเกตเห็นว่ามีคนมานั่งอยู่แถว F ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้! (ห่างจากแถว AA ประมาณ 5-6 แถว) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งเดิมที่คุณชิเจอเมื่อคราวก่อนด้วย คุณชิเกิดคำถามในหัวมากมายว่าเขาคนนั้นเข้ามาในโรงหนังได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รอบนี้มันไม่ควรจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที เขาก็หันกลับมามองที่คุณชิด้วยตาแดงก่ำคู่นั้น! สักพักเขาก็อ้าปาก แล้วเลือดก็ไหลออกมา! คุณชิตกใจด้วยความกลัวก็รีบวิ่งออกจากโรงหนังทันที คุณชินั่งอยู่หน้าโรงหนังนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามันไม่มีใครอยู่ในโรงหนังนั้นเลยสักคน! คุณชิในตอนนั้นเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่น่ามีใครมาแกล้งอะไรแบบนี้ และนั่นคงจะเป็นผีแน่ ๆ จากนั้นก็เดินไปหาน้องที่ทำงานเกี่ยวกับตั๋วแถวนั้น คุณชิเล่าเรื่องที่เจอให้น้องฟัง และยังเล่าให้เพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คนฟัง แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าคุณชิตาฝาดไปเองมากกว่า และทุกคนก็ยืนยันว่าที่นี่ไม่มีผี คุณชิก็พยายามไม่คิดอะไร แล้วกลับไปทำงานตามปกติ คุณชิเล่าว่าในห้องที่ฉายหนัง จะมีหน้าต่าง 3 บาน ตรงกลางเป็นช่องสำหรับฉายโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นหน้าต่างที่สามารถเปิดปิดได้ เป็นช่องขนาดเล็กที่เอาไว้ชะโงกดูความเรียบร้อยภายในโรงหนัง คืนหนึ่ง หลังจากที่หนังรอบสุดท้ายฉายจบแล้ว คุณชิก็จะมีหน้าที่เดินปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดเสียง และระบบต่าง ๆ และจะต้องเปิดหน้าต่างเหล่านั้น เพื่อให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดความชื้นในห้องฉายหนัง ขณะที่เปิดหน้าต่าง คุณชิก็ต้องชะโงกหัวออกไปเพื่อเช็คความเรียบร้อยในโรงหนัง คุณชิต้องก้มหน้าเพื่อเอาหัวสอดเข้าไปในช่องนั้น แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา ก็ประจันหน้าเข้ากับผู้ชายที่ตาแดงก่ำหน้าโชกไปด้วยเลือดอย่างสยดสยอง! คุณชิตกใจรีบเอาตัวถอยหลังจนชนกำแพง และบอกว่า “อย่า อย่าพี่! ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ!” จากนั้นพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่โปรเจคเตอร์ก็วิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ คุณชิก็เล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง แต่พี่เขาก็บอกว่าคงไม่มีอะไร จากนั้นก็เช็คในโรงอีกรอบ และก็บอกว่า “ไม่มีใครเลยนะ ตั้งสติแล้วมาดูดี ๆ” แต่คุณชิก็ยืนกรานว่าเขาเห็นจริง ๆ จากนั้นก็ชะโงกหัวไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็ไม่มีใครจริง ๆ หลังจากนั้นก็รีบปิดระบบทุกอย่างแล้วกลับบ้านทันที คุณชิเล่าว่าภาพนั้นมันยังติดตาอยู่เลย เพราะเป็นการประจันหน้าในระยะห่างกันแค่ 20 เซนติเมตร และหน้าต่างตรงนั้นอยู่ในจุดที่สูงจากพื้นเมตรกว่าได้ ไม่น่ามีใครยื่นหน้าเข้ามาหาแบบนั้นได้เลย คุณชิยังบอกอีกว่าเขาเองก็ห้อยพระ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมาก หลังจากนั้นก็ต้องมาทำงานกะดึกปกติ ในจังหวะที่ต้องเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้านั้น ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่เดิมในโรงหนัง แล้วเขาก็ลุกขึ้นมากำลังจะเดินออก ก็มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามา เอามีดมาจ้วงแทงเขาหลายรอบ เขาสำลักเลือดแล้วก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มลงนอนตรงนั้น ส่วนคนที่แทงก็วิ่งหนีหายไปเลย! คุณชิตกใจรีบตะโกนเสียงดังและวอร์วิทยุว่ามีคนแทงกันในโรงให้ทุกคนเข้ามาช่วยกัน เมื่อทุกคนเข้ามา ในโรงกลับว่างเปล่า! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คุณชินั่งหน้าซีดตัวสั่น ไม่คุยกับใครเลย เมื่อสงบสติได้แล้ว พี่ในออฟฟิศก็เล่าว่า “มีคนเคยแทงกันตายจริง แต่ว่ามันผ่านมานานมากแล้ว” จากนั้นก็แนะนำให้คุณชิไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณนั้น และก็ให้คุณชิหยุดทำงานไปสักพัก หลังจากเจอเหตุการณ์นั้นคุณชิก็จับไข้หัวโกร๋น และไปทำบุญให้ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้วิญญาณนั้นหายไป คุณชิยังคงเห็นเขานั่งอยู่ที่นั่งเดิม เพียงแต่ไม่ได้ทำให้กลัวเหมือนที่เคยเจอ ล่าสุด คุณชิเข้าไปดูหนังรอบดึกอีกครั้ง แต่ด้วยความล้าจากการทำงาน จึงเผลอหลับ แต่ก็มีคนมาสะกิด คุณชิก็สะดุ้งตื่น แล้วก็เห็นว่าหน้าเขาก้มลงมามองที่คุณชิอยู่! คุณชิก็รีบบอกไปว่าจะทำบุญไปให้ พอลืมตามาอีกที เขาก็หายไปแล้ว! ปัจจุบันนี้คุณชิยังทำงานอยู่ที่เดิม เพราะงานก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ และเล่าเพิ่มเติมว่าถ้าไปที่โรงนั้น แล้วสังเกตก็จะเห็นว่ามีศาลตั้งอยู่หลังม่าน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

24 พ.ย. 2023

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

ติดตามความราวสยองจากเรื่อง ‘ตามมาจากเสียงเรียก’ โดย ‘คุณดี้’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (21 พฤจิกายน 2566) จะหลอนชวนสยองขนาดไหน.. ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันได้เลย! เรื่องราวแปลก ๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อคุณดี้ได้ไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดหนึ่ง อยู่ติดกับริมแม่น้ำโขงเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณดี้จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน แต่ในวันที่จะเดินทางปรากฏว่าเที่ยวบินดีเลย์จึงไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด เมื่อคุณดี้เดินทางมาถึงที่พัก ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ทุ่มแล้ว ด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงรีบเดินเข้าไปรับคีย์การ์ดจากพนักงานต้อนรับ จากนั้นพนักงานก็แจ้งว่าได้พักห้องที่ชั้น 3 ห้อง 310 คุณดี้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงรีบเก็บสัมภาระและเข้านอนทันที โดยเลือกที่จะเปิดไฟตรงระเบียงไว้เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไป ระหว่างที่นอนหลับอยู่ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้นแบบผิดปกติ พร้อมกับมีเสียงดังว่า “310” อยู่หลาย ๆ ครั้ง คุณดี้ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยกหูโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วก็กลับมานอนที่เตียง! คุณดี้คิดว่าตัวเองอาจจะฝันหรือละเมอไปเอง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันเหมือนจริงมาก คุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงยื่นมือไปเปิดไฟและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อมองดูที่จอเพื่อดูเวลา ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 กว่า ๆ ตอนนั้นคุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งตี 3 กว่า ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้รู้สึกว่าใครบางคุณกำลังหายใจรดต้นคออยู่! ด้วยความกลัว คุณดี้จึงพูดในใจถึงเจ้าที่เจ้าทางว่า “มาดีนะ แค่มาทำงาน ไม่ได้มีเจตนามาร้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญถวายสังฆทานให้” จากนั้นก็หลับไป พอรุ่งขึ้นก็ได้แจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์ที่ห้องมีปัญหาพร้อมกับให้ช่างก็ขึ้นมาดู ปรากฏว่าโทรศัพท์ก็ปกติดีไม่ได้มีปัญหาอะไร ในคืนที่สอง คุณดี้ได้ถอดสายโทรศัพท์ออกพร้อมกับเปิดไฟทุกดวง และตัดสินใจสวดมนต์ก่อนนอน รวมถึงก่อนเข้านอนก็ได้วางเหรียญไว้บนหัวเตียงเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อความสบายใจ ในระหว่างที่กำลังจะนอน คุณดี้รู้สึกว่าไฟที่เปิดไว้มันสว่างเกินไป จึงตัดสินใจว่าจะปิดไฟทั้งหมด เหลือไว้แค่โคมไฟบริเวณหัวเตียง จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้น แล้วไฟก็เปิดขึ้นมาเอง! ความกลัวเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณดี้พูดในใจว่า “อย่ามาแกล้งได้มั๊ย ทำบุญให้แล้ว ขอนอนได้มั๊ย” แล้วคืนที่สองก็ผ่านไป.. คืนที่สามคุณดี้ก็เข้านอนตามปกติ แต่พอรุ่งขึ้นคุณดี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะหยิบสายชาร์จเพื่อชาร์จโทรศัพท์ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังเสียบสายชาร์จไปที่ปลั๊กไฟนั้น ก็เกิดไฟฟ้าลัดวงจร! จึงรีบไปแจ้งพนักงานขอเปลี่ยนห้อง ตอนแรกทางที่พักแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่นานก็โทรกลับมาว่าจะเปลี่ยนห้องให้กับคุณดี้ โดยย้ายจากห้องเดิมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นห้อง 412 หลังจากแม่บ้านขนย้ายสัมภาระข้องคุณดี้มายังห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว พอคุณดี้กลับมาถึงห้องก็ตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคือเหรียญที่เคยวางไว้ที่หัวเตียงก็ถูกย้ายมาที่ห้องใหม่ด้วย! ด้วยความกลัวจึงให้แม่บ้านนำออกไปไว้ที่ห้องเดิม จากนั้นคุณดี้ก็เข้าห้องนอนตามปกติ วันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่คุณดี้กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปรากฏว่าไฟหน้าห้องน้ำก็กระพริบขึ้นมาหลายครั้ง คุณดี้ตัดสินใจออกจากห้องน้ำมาปิดไฟ และเก็บกระเป๋าเพื่อ Check out ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่เธอเก็บสัมภาระนั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ อยู่หน้าห้อง ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นแม่บ้าน จึงรีบไปเปิดแล้วจะแจ้งว่าไฟมีปัญหา ปรากฏว่าพอเปิดประตูห้องออกไป กลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องเลย! จากนั้นเธอก็รีบออกมาเพื่อ Check out แล้วก็ออกจากที่พักทันที ในระหว่างทางที่กำลังจะกลับ ปรากฏว่ารถตู้ที่นั่งมาเกิดเสียกลางทาง โชคดีที่ไม่ได้ห่างจากปั๊มน้ำมันมาก จึงตัดสินใจมารอที่ร้านกาแฟ และไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายทะเบียนรถตู้ไว้เพื่อเขียนรายงานในการมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ หลักจากที่รอประมาณเกือบชั่วโมง รถก็ซ่อมเสร็จ คุณดี้ถามคนขับรถว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบไฟภายในตัวรถ คุณดี้คิดในใจว่าทำไมตนเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ตลอด 4 วัน แต่แล้วก็นั่งรถมาที่สนามบินปกติ ในระหว่างที่อยู่บนเคื่องบิน ก็ได้เปิดดูคลังรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปป้ายทะเบียนรถที่ถ่ายไว้ ถึงกับต้องขนลุก! เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นคือรถเสียบริเวณร้านขายโกศใส่กระดูก เธอจึงนึกไปถึงเช้าของวันแรกที่มาว่า ในวันนั้นเธอมีเวลาว่าง 1 วัน จึงตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ในระหว่างทาง คุณดี้เดินมาได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ก็รู้สึกร้อน มองไปเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นวัด จึงได้ข้ามไปฝั่งนั้นเพราะจะได้อาศัยเงาของต้นไม้เดินไป แต่พอข้ามมาแล้วปรากฏว่าเห็นโกศใส่กระดูกเยอะมาก คิดในใจตอนนั้นว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนจะไม่เดินบริเวณนี้เด็ดขาด ระหว่างที่เดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถของคุณลุงขับผ่านมา คุณดี้ตัดสินใจโบกรถแล้วเรียกคุณลุงว่า “ขอไปด้วยคนค่ะ” นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น นั่นทำให้คุณดี้ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า อาจเป็นเพราะเธอโบกรถแล้วพูดว่า ‘ขอไปด้วยคน’ หรือเปล่า ทำให้ต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกัน 4 วันเช่นนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

07 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม” ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่ดาดฟ้าของหอพัก สนุกกันจนชนขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างที่เป็นป่าทึบ! พอกลับเข้าห้องก็นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังเจอมือปริศนามาอยู่บนเตียง ตกใจจนไม่มีสติ! มารู้ทีหลังว่าป่านั้นนั้นคือ...!

05 ก.ค. 2023

ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่ดาดฟ้าของหอพัก สนุกกันจนชนขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างที่เป็นป่าทึบ! พอกลับเข้าห้องก็นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังเจอมือปริศนามาอยู่บนเตียง ตกใจจนไม่มีสติ! มารู้ทีหลังว่าป่านั้นนั้นคือ...!

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ให้การต้อนรับ ‘คุณจอย’ สายแรกของรายการในวันนี้ เธอมาพร้อมกับเรื่องราวที่จะทำให้ ‘ดีเจเจม’ และ ‘ดีเจแนน’ ขนลุกวาบไปทั้งตัว เมื่อการเปิดตี้บนดาดฟ้า ทำให้ได้ผีตามกลับมาถึงห้อง ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! ในปี 2549 คุณจอยที่พึ่งจะเรียนจบผู้ช่วยพยาบาลในกรุงเทพฯ ได้เข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางเมือง จึงต้องหาหอพักใกล้ที่ทำงาน จนได้มาเจอกับห้องเช่าแห่งหนึ่งที่อยู่สุดซอย คุณจอยคิดว่าอยู่ที่นี่น่าจะดี เพราะเป็นหอพักสร้างใหม่ ไม่น่าจะมีประวัติอะไร หอพักนี้มีลักษณะเป็นตึกสูงประมาณ 6 ชั้น ด้านหลังของตึกเป็นกำแพงสูง อีกฝั่งมีต้นไม้หนาทึบ คุณจอยมองว่ามีความร่มรื่น และคิดว่านี่คือ “ทำเลทอง” ทีเดียว สุดท้ายจึงเลือกมาอาศัยที่ชั้น 4 ของตึกนี้ เมื่อฝึกงานไปได้สักพัก คุณจอยก็เริ่มสนิทกับกลุ่มเพื่อนในที่ทำงาน และมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่หอเดียวกัน วันหนึ่ง คุณจอยชวนเพื่อน ๆ ไปสังสรรค์กันบนดาดฟ้าของหอพัก ขณะที่กำลังดื่มสังสรรค์ร้องเพลงกันตามปกติ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเผลอเอาศอกยันขวดเบียร์ตกลงไปด้านล่างตรงที่เป็นป่าทึบ! ในใจคุณจอยกังวลว่าขวดเบียร์นี้จะหล่นไปใส่หัวใครหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าบริเวณป่านี้ เป็นพื้นที่ที่จะมีมาออกกำลังกายกัน แต่เพื่อน ๆ คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะตอนนั้นดึกมากแล้ว ไม่น่าจะมีคนเดินผ่าน เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณจอยก็ขอแยกตัวจากเพื่อนกลับมานอนเอาแรงเพื่อเตรียมเข้าเวรในตอนเช้า คืนนั้น คุณจอยนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่นัก คุณจอยตื่นขึ้นมาตอนตีสอง เมื่อพลิกตัวตะแคงมันกลับไปแค่ตัว หัวของคุณจอยเหมือนถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยอะไรบางอย่างจากข้างหลัง! ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นผมที่ถูกทับไว้ใต้หมอน แต่พอลองยื่นมือไปจับและดึงมาข้างหน้าดู คุณจอยก็ต้องตกใจ! เพราะที่เห็นคือมือของมนุษย์! แต่มือนี้มาเพียงแค่ข้อมือสุดปลายนิ้ว สีขาวซีด ไร้เจ้าของร่าง คุณจอยร้องเสียงหลงออกมาอย่างแรง ก่อนที่จะขว้างมือนั้นเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนั้นคุณจอยตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่คว้าไปหยิบโทรศัพท์ข้างเตียง รีบกดเบอร์โทรออกหาพ่อแม่ทันที! เมื่อเห็นว่าคุณจอยไม่มีสติ พูดไม่รู้เรื่อง พ่อกับแม่จึงบอกให้คุณจอยค่อย ๆ ตั้งสติ และสูดหายใจลึก ๆ สุดท้ายคุณพ่อต้องนำสวดมนต์ แม้คุณจอยจะท่องบทสวดมนต์แต่ในใจก็ยังกังวลว่า มือที่อยู่ในห้องน้ำนั้นจะไต่ออกมาหรือเปล่า เพราะประตูห้องน้ำก็เปิดอ้ากว้างทิ้งไว้ด้วย กระทั่งคุณจอยได้ยินเสียงไก่ขันในตอนเช้ามืด คุณจอยใจชื้นมากขึ้น เมื่อเปิดระเบียงของห้องออกไปก็เริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยตัดกับรถเล่นผ่านอยู่บ้าง ตอนนี้ได้เวลาไปทำงานแล้ว แต่คุณจอยจะต้องไปอาบน้ำในห้องน้ำ.. ก่อนไปอาบน้ำแม้เธออยากจะเห็นหน้าพ่อกับแม่ก็ทำไม่ได้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวิดีโอคอล จึงจำใจวางสาย หากไปบอกกับโรงพยาบาลว่าไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะกลัวผีคงจะฟังไม่ขึ้น สุดท้ายคุณจอยจึงต้องใจกล้าเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ! เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ คุณจอยกวาดสายตาไปที่พื้นก็ไม่เห็นมีอะไร พอหันกะละมังที่ล้มระเนราดอยู่ ก็เดินไปเปิดดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ เมื่อสำรวจดูทั่วห้องแล้วก็ไม่เจออะไร จึงเริ่มอาบน้ำ อย่างไรก็ตามคุณจอยก็ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่ามือเจ้าปัญหานี้จะโผล่มาเมื่อไหร่ ใจหนึ่งก็อยากให้เจออะไรบางอย่างสักที จะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงอยู่แบบนี้ เมื่อคุณจอยออกไปทำงาน สติก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก เพราะทั้งไม่ได้นอนและเจอสิ่งเร้นลับกลางดึก คุณจอยไม่เห็นเพื่อนที่พักอยู่หอเดียวกันมาทำงานในวันนี้ เข้าใจว่าเขาคงอาจจะยังเมาค้างไม่ตื่นจากปาร์ตี้เมื่อคืน จึงคิดว่าจะลองไปเยี่ยมเขาหลังเสร็จงาน เวลา 2 ทุ่ม เพื่อนคุณจอยเปิดประตูห้องออกมา สภาพดูอิดโรย ตาคล้ำและผมยุ่ง เมื่อถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนก็ได้แต่บอกว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า เดี๋ยวค่อยเล่าได้ไหม เดี๋ยวค่อยเล่า...” ในเวลาดึกแบบนี้ ยังไม่เหมาะสมที่จะเล่าอะไร คุณจอยก็ยังไม่กล้าจะบอกเรื่องที่เจอมาเหมือนกัน คุณจอยกลับมาหาเพื่อนอีกครั้งในวันถัดไป สภาพเพื่อนก็ยังดูอ่อนแรงเหนื่อยล้าอยู่ดี พอพยายามลองถามอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนจึงชวนให้คุณจอยกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าที่เคยสังสรรค์กันอีกครั้ง.. พอถึงดาดฟ้าเพื่อนคุณจอยก็ยืนนิ่งไปชั่วครู่ คุณจอยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนถึงบริเวณป่าทึบที่อยู่หลังกำแพงข้างหอ คุณจอยเข้าใจมาตลอดว่าป่าตรงนี้ปลูกไว้ให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับคนมาออกกำลังกาย แต่ความคิดของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอเห็นอะไรบางอย่างเข้า มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา คุณจอยรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนร้องไห้ จึงลองมองเข้าไปผ่านต้นไม้ที่ปลูกขึ้นมาที่ทั้งทึบและแน่นหนา และยังไม่ทันจะรู้ว่ากลุ่มคนเหล่าทำอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นผ้าขาวกำลังห่อหุ้มอะไรบางอย่างเอาไว้วางลงบนผ้าสีทอง! “ไม่นะ อย่านะ ไม่ใช่ใช่ไหม” คุณจอยพยายามบอกกับตัวเอง สิ่งที่เห็นก็เป็นสิ่งที่คาดคิดไว้ มีคนกำลังขุดหลุมฝังศพอยู่ สถานที่แห่งนั้นคือ ‘กุโบร์’ สุสานฝังศพของชาวมุสลิมนั่นเอง! คุณจอยเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้เจอมา ก่อนที่เพื่อนจะดึงตัวคุณจอยไปนั่งคุดคู้อยู่ตรงที่ตากผ้า คุณจอยถามเพื่อนว่า “มึงมีอะไรจะบอกกูไหม” แล้วเพื่อนก็ย้อนถามกลับมาว่า “แล้วมึงมีอะไรจะบอกกูไหม” ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน จนคุณจอยเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เล่าประสบการณ์ชวนขนหัวลุกที่เจอ ‘มือ’ นั้นให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนกลับตอบมาว่า “ของมึงยังน้อยนะ...” แล้วเพื่อนก็เริ่มเล่าเรื่องราวในฝั่งของตนให้คุณจอยฟัง ที่หอแห่งนี้ไม่มีแอร์และเพื่อนคุณจอยเป็นคนขี้ร้อน จึงนอนเปิดประตูรับลมจากฝั่งที่อยู่ติดกับป่าทึบ (ซึ่งก็คือตรงกุโบร์) ในคืนนั้น เมื่อกลับมานอนที่ห้องก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งระหว่างที่เล่นโทรศัพท์อยู่ สายตาเธอก็เริ่มเห็นเงาตะคุ่ม ๆ บางอย่างตรงระเบียง! มีมืออะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากระเบียง แล้วสักพักร่างทั้งร่างก็โผล่ขึ้นมา! มันเป็นเหมือนกลุ่มควันดำที่มองทะลุเห็นด้านหลังได้ แล้วทันใดนั้นเงาทั้งหมดก็พุ่งใส่! เพื่อนคุณจอยร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน แม้ตัวคุณจอยที่อยู่ห้องตรงข้ามกันก็ไม่ได้ยินเสียง แล้วสักพักเพื่อนก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คุณจอยมาเคาะประตูที่หน้าห้องของตอนสองทุ่มนี่แหละ คุณจอยเริ่มปรึกษากับเพื่อนว่าควรทำอย่างไรต่อดี ผลสุดท้ายก็คือเพื่อนตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแฟน ส่วนคุณจอยยังคงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปเพราะจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งที่คุณจอยทำได้ตอนนั้นมีแต่สวดมนต์ อธิษฐานขอขมาที่ได้ล่วงเกินไป และโชคดีที่หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกับอะไรทำนองนี้อีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1