เรื่องเล่าจาก ออโต้ เดอะโกส 'ไอติมกระทิ' I อังคารคลุมโปง X ออโต้ เดอะโกส [ 26 พ.ย. 2567 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ออโต้ เดอะโกส 'ไอติมกระทิ' I อังคารคลุมโปง X ออโต้ เดอะโกส [ 26 พ.ย. 2567 ]

03 ธ.ค. 2024

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 พ.ย. 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าจาก ‘ออโต้ เดอะโกส’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลอนจนไม่อยากกินไอติมกะทิอีกเลย จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!

       ‘ออโต้ เดอะโกส’ ได้บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘ส้ม’ (นามสมมุติ) ย้อนไปประมาณ 15 ปีก่อน ในตอนนั้นส้มยังเป็นนักเรียนม.3 อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงราย ในหมู่บ้านนั้นก็มีเหล่าญาติมิตรสหายอาศัยอยู่ด้วยเช่นกัน

       ตัวส้มนั้นเป็นลูกสาวคนเล็ก มีพี่ชาย 1 คน (นามสมมติ ‘กล้วย’) ซึ่งมักจะไม่มีเพื่อนเล่น เขาจึงไปเล่นกับพี่สาวที่เป็นลูกของคุณลุง (เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน) พี่สาวคนนี้ นามสมมติว่า ‘ลำใย’ เป็นคนที่สวยมาก กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 1  

       ซึ่งส้มก็ไปเล่นกับพี่ลำใยตลอด ความสวยของพี่ลำไยทำให้มีหนุ่มมากหน้าหลายตาเข้ามาจีบ ทุกครั้งที่มีคนมาจีบก็จะได้ของติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ ส้มเองก็มักจะได้กินขนมเหล่านั้นด้วย แต่พ่อของพี่ลำไยเป็นคนหวงลูกสาว หากพี่ลำไยจะออกไปที่ไหน ถ้าบอกว่าจะพาส้มไปด้วย คุณพ่อก็จะอนุญาตให้ออกไปอย่างว่าง่าย

       จนวันหนึ่ง มีเพื่อนของพี่กล้วยที่ชื่อว่า ‘ตั้ม’ (นามสมมติ) มาจีบพี่ลำไย พี่ตั้มคนนี้ชื่นชอบการแต่งรถมาก เวลามาหาก็จะมาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจเสียงท่อดังเสียดหู ชนิดที่ว่าแค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าพี่ตั้มกำลังมาหา เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือนเต็ม ทุกครั้งที่มาจีบก็จะมีของติดไม้ติดมือขึ้นชื่อในหมู่บ้าน อย่าง ‘ไอติมกะทิ’ มาฝากส้ม เพื่อให้ส้มพาพี่ตั้มไปคุยกับพี่ลำไย และมักจะมาเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็นเป็นประจำทุกวัน ทางด้านพี่ลำไยเอง เมื่อใกล้ถึงเวลา เธอก็จะมานั่งคอยอยู่เสมอ

       ผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง พี่ตั้มจับได้ว่าพี่ลำไยไม่ได้คุยกับตนแค่คนเดียว เหตุเพราะพี่ลำไยก็ไม่ได้อยากจะคบกับใครเป็นจริงเป็นจังด้วย พี่ตั้มและพี่ลำไยทะเลาะกันรุนแรงใหญ่โต แต่ตอนนั้นส้มยังเด็กจึงไม่ได้ใส่ใจจะเข้าไปห้ามปราม จึงนั่งกินไอติมกะทิแล้วมองดูทั้งคู่ทะเลาะกัน

       หลังจากทั้งคู่มีปากเสียงกัน พี่ลำไยก็ยังออกมานั่งคอยอยู่ที่เดิมในเวลาเดิม แต่พี่ตั้มก็หายหน้าหายตาไป จนผ่านไปประมาณ 5 วัน ก็ยังได้ยินเสียงรถของพี่ตั้ม กระทั่งวันที่ 6 ตอนนั้นส้มนั่งอยู่คนเดียว ก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์เสียงดังเสียดหูที่คุ้นเคย ส้มจึงวิ่งออกมาเพราะคิดว่าจะได้กินไอติมกะทิอีก แต่ในตอนนั้น เป็นเวลาทุ่มกว่า ส้มมองออกไปก็ไม่เห็นพี่ตั้ม จึงคิดว่าอาจจะเป็นรถของคนอื่น เมื่อกำลังจะหันกลับเข้าบ้าน ส้มก็ได้ยินเสียงพี่ตั้มพูดว่า    

       “ส้ม ส้ม พาไปหาพี่ของแกหน่อย”

       ส้มได้ยินดังนั้นก็รีบกุลีกุจอออกไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าพี่ตั้มหรือรายละเอียดอย่างอื่นเลยนอกจากไอติมกะทิ และถามไถ่ตามประสาเด็กไปว่า “เฮ้ย พี่ตั้ม ไปอยู่ไหนมา”

       จากนั้นพี่ตั้มก็ยื่นไอติมกะทิให้ แล้วส้มก็ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำมาตลอด นั่นก็คือหันไปตะโกนเรียกพี่ลำไย แต่เรียกเท่าไหร่ พี่ลำไยก็ไม่ตอบกลับ ซ้ำยังไม่ปรากฏตัวอีกด้วย และสิ่งที่น่าประหลาดใจคือพี่ตั้มเงียบผิดวิสัย ปกตินั้นพี่ตั้มเป็นคนร่าเริง คุยสนุกมาก แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ในใจส้มก็คิดเพียงว่าอาจจะยังโมโหค้างคาหลังจากที่ทะเลาะกันครั้งล่าสุดอยู่ สีหน้าจึงไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเคยก็เป็นได้ เมื่อได้ไอติมกะทิมาแล้วส้มก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป รีบเปิดกล่องกินไอติมด้วยความอร่อยรอพี่ลำไยเดินออกมา

       แต่แล้วในขณะนั้น ก็มีคนในหมู่บ้านขับรถผ่านมาละตะโกนถามว่า

       “ไอส้ม มาทำอะไรอยู่นี่ มาอยู่คนเดียวตอนกลางคืนเดี๋ยวก็โดนผีหลอกหรอก”

       ส้มได้ยินเข้าก็สงสัยและคิดในใจว่า ‘จะให้กลัวอะไร ในเมื่อมีพี่ตั้มอยู่ด้วย ผีจะหลอกได้ไงนั่งกันอยู่ตั้ง 2 คน’ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

       ส้มนั่งกินไอติมกะทิไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่ม พี่ลำไยก็ยังไม่ออกมา จึงบอกพี่ตั้มไปว่า

       “พี่ตั้ม กลับเหอะ ช่วงนี้กลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน”

       เมื่อพูดจบ ส้มก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้านตัวเองและจะเอาไอติมไปแช่ด้วยเพราะตนยังกินไม่หมด แต่พอกำลังจะหันมาถามพี่ตั้มว่าหายไปไหนมา พี่ตั้มก็หายไปเสียแล้ว..

       วันถัดมา เมื่อถึงเวลา 4-5 โมงเย็น ส้มก็มานั่งรอที่เดิม แต่ครั้งนี้พี่กล้วยเดินเข้ามาถามว่า

       พี่กล้วย : ช่วงนี้เห็นตั้มบ้างมั้ย มันไม่ค่อยคุยกับเพื่อนเลย มันติดสาว

       ส้ม : เมื่อวานยังเจอนะ พี่เขามา ไอติมกะทิยังอยู่ในตู้เย็นอยู่เลย

       พี่กล้วย : เดี๋ยวไปตามไอตั้มก่อน เดี๋ยวนี้หายหน้าหายตาไม่เจอเพื่อนฝูงเลย

       พูดจบพี่กล้วยก็ขับรถออกไป ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงบ้านพี่ตั้มแล้ว เพราะห่างกันแค่ 3 ซอย หลังจากนั้นสักพัก พี่กล้วยก็ขับรถกลับมา พร้อมกับตะโกนบอกส้มว่า

       “ไอส้ม มึงไปบอกพี่ลำไยด้วยว่าไอตั้มมันผูกคอตาย!”

       ส้มที่กำลังกินไอติมกะทิอยู่ก็สำลักตบอกตัวเองแล้วพูดว่า “เฮ้ย จริงเหรอพี่ เมื่อวานนี้ตอนทุ่มกว่า ๆ พี่เขายังมาอยู่เลย”

       พี่กล้วยก็รีบบอกให้ไปตามพี่ลำไยมา ส้มจึงวิ่งไปตามแล้วก็พากันขับรถมอเตอร์ไซค์ไปบ้านพี่ตั้ม เมื่อไปถึงก็เห็นคนมุงเต็มไปหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิและตำรวจ ส้มเห็นดังนั้นก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น รีบดึงแขนพี่กล้วยและพี่ลำไยเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันที หารู้ไม่ว่าภาพที่กำลังจะเห็นนั้น จะสยดสยองและจะติดตาส้มไปอีกนานเท่านั้น

       ภาพนั้นคือพี่ต้มผูกคอตาย ลิ้นจุกปาก ตาถลน ร่างกายอืดบวม มีทั้งเลือดและน้ำหนองไหลออกจากปาก สิ่งที่ส้มช็อกมากที่สุดจนกลายเป็นเมื่อนึกถึงทีไรก็จะเกิดอาการแพนิค นั่นก็คือ ปลายเท้าของพี่ตั้มมีไอติมกะทิวางไว้ 2 กล่อง เนื้อไอติมละลายผสมกับเลือดและน้ำหนองจนน่าสะอิดสะเอียน ซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว

       เมื่อสอบถามมูลนิธิก็เล่าว่า ศพนี้เสียชีวิตมาได้ประมาณ 7 วันแล้ว ส้มได้ยินดังนั้นก็ไม่เชื่อ เพราะเมื่อคืนตนยังได้เจอพี่ตั้มอยู่เลย แต่ผลชันสูตรก็ออกมาว่าพี่ตั้มเสียชีวิตได้ 7 วันแล้วจริง ๆ

       จากนั้นก็จัดพิธีศพจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้น ทุกเวลา 4-5 โมงเย็น ส้มก็แทบจะไม่ออกมานอกบ้านอีกเลย แต่ในช่วงวันพระ-วันโกน ส้มก็มักจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซต์คุ้นหูที่มาพร้อมกับเสียงตามลมตะโกนว่า “ส้ม! พาไปหาพี่ลำไยหน่อย!!” เป็นเวลากว่า 3 เดือนเต็ม

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

12 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณเป้‘ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ’ห้องนี้ห้ามเข้า’ ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ และแฟนรายการฟัง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นภายในบ้านที่ต่างประเทศ ทนไม่ไหวจนต้องย้ายออกจากบ้านทันที! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเป็นเรื่องของน้องที่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาชื่อ ‘อิงอิง’ เป็นคนจีนที่สอนหนังสือชั้นอนุบาลในสิงค์โปร์ ในตอนนั้นคุณอิงอิงกำลังหาที่พักใหม่เนื่องจากที่เดิมไกลจากโรงเรียนมาก ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปโรงเรียน 3-4 ชั่วโมง จนได้ไปเจอป้ายติดประกาศตามกำแพงจึงตัดสินใจโทรไป มีคุณลุงแก่ ๆ รับสาย ก็ได้เจรจาพูดคุยกันเกี่ยวกับที่พักเเล้วก็ได้นัดเจอกัน ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่นัดประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณลุงก็นั่งรออยู่ตรงทางเข้า ลักษณะภายนอกของคุณลุงดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่คุณลุงก็ได้พาคุณอิงอิงเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปเจอบ้านชั้นเดี่ยวหลังหนึ่ง เมื่อเดินสำรวจรอบบ้านเเล้วคุณอิงอิงก็ถูกใจบ้านหลังนี้ การเดินทางไปโรงเรียนก็สะดวกเเละไวกว่าที่เก่า คุณลุงเห็นว่าคุณอิงอิงชอบจึงได้พูดคุยเเละบอกกฎของบ้านว่า “ห้องนี้มี 2 ห้องนอนนะ ทางขวามือเป็นห้องเก่าของลุงเอง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่เเล้ว ใครมาถามหาลุงก็บอกไปนะว่าลุงไม่อยู่ ห้ามพาใครมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เเละที่สำคัญคือห้องตรงนั้นที่เป็นห้องเก็บของ ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเข้าไปในห้องนี้ ถ้าลุงรู้ไล่ออกจากบ้านทันที ยกเลิกทุกอย่าง ค่าน้ำค่าไฟหนูจ่ายเเค่ค่าน้ำอย่างเดียวนะ ค่าไฟลุงจ่ายเองทั้งหมด“ เมื่อได้ยินดังนั้น คุณอิงอิงก็รู้สึกแปลก ๆ เเต่คุณลุงบอกราคาเช่าที่ถูกมาก ทำเอาตนลบความแปลกนั้นออกไปจากสมองทันที จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านหลังนี้ เเล้วก็ได้ย้ายของเข้ามาทันที ไม่นานหลังจากนั้น ก็ย้ายของเข้ามา ด้วยความเพลียจากการที่ตนจัดห้องจึงทำให้เผลอหลับไปในช่วงค่ำ ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้อง! เเล้วเสียงก็เงียบไป.. วันต่อมา คุณอิงอิงกลับมาจากโรงเรียนก็ทำธุระส่วนตัวเเล้วก็เข้านอน ในช่วงกลางดึกก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมเเต่รอบนี้มีเสียงทุบประตูด้วย! ปึ้งง ปึ้งงง! เเละตนก็ได้ยินว่า “พอแล้วว ไม่ทำแล้ว” เเล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ณ ตอนนั้นเองคุณอิงอิงก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงข้างบ้านทะเลาะกัน จนผ่านไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์ในบ้านก็เริ่มหนักขึ้น จนตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันแปลก.. คืนหนึ่งในขณะที่ตนนอนอยู่ ก็รู้สึกว่าหนาวผิดปกติจึงจะลุกไปปิดหน้าต่างเเละประตู เมื่อหันไปดูที่หน้าต่างปรากฎว่าหน้าต่างปิดอยู่ จึงลุกไปปิดประตู เเต่ในขณะที่กำลังจะปิดก็มีไอเย็นบางอย่างที่อยู่ภายในบ้านตามพื้น ตนสัมผัสได้จากเท้าเปล่าเเละสงสัยว่ามาจากไหน จึงเดิมตามไอเย็นนั้นไป ปรากฎว่าไอเย็นนั้นที่ตนสัมผัสได้มันมาจากห้องเก็บของ! เเต่ห้องมันล็อคไว้อยู่เเล้วคุณลุงก็สั่งห้ามเข้า ตนไม่อยากยุ่งเพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากบ้าน จนเวลาผ่านไป.. ในคืนหนึ่ง คุณอิงอิงก็รู้สึกว่ามีเสียง กึ๊กกึก แกกแกกก! ดังอยู่ข้าง ๆ หู จึงลืมตาเเล้วปรากฎว่า กลายเป็นมือของตัวเองที่กำลังหมุนลูกบิดประห้องเก็บของ! ตนตกใจมากเพราะกำลังนอนอยู่เเล้วฝันละเมอมาห้องนี้ เเต่ในขณะนั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากห้องนี้! จนทำให้เริ่มรู้สึกกลัวเเละก็ได้กลับไปทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งเเต่คืนแรกที่เจอภายในบ้าน จนทำให้ตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันต้องมีอะไรเเน่นอน ในเช้าวันถัดมา คุณอิงอิงก็ได้เล่าเรื่องสิ่งที่เจอในบ้านหลังนี้ให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง เเต่กลับโดนเพื่อนบอกว่า “มึงฝันละเมอไปเองรึเปล่า?” ตนก็รู้สึกว่าไม่น่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เเต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนี้เเละสัมผัสได้ว่าเรื่องที่คุณอิงอิงเล่าเป็นเรื่องจริง จึงได้เเอบเอาสร้อยประคำ 1 เส้นให้ คุณอิงอิงจึงรู้สึกสบายใจที่ได้สร้อยประคำเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เเล้วตนก็ได้บอกว่า “ถ้าคืนนี้มันมีเหตุการณ์เเบบนี้อีกนะ ไม่เอาเเล้ว” จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลาก วางอยู่ใกล้ตัวเพื่อที่จะได้สามารถย้ายออกทันที เเละตนก็ได้หลับไป.. แล้วในคืนนั้น ตนก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่าเหมือนใครกำลังคร่อมตนอยู่! เเต่มองไม่เห็นเพราะในห้องมันมืด เเล้วก็มีเสียงเหมือนมีดที่กำลังกรีดตามผนังห้อง! สักพักเสียงนั้นก็หยุดไปเเต่กลับมาแทงบนเตียงนอน เเทงนับไม่ถ้วน! เเล้วก็มีเสียงเข้ามาในห้องว่า “หยุด พอได้เเล้ว ชั้นผิดไปแล้ว ชั้นขอโทษ” ในตอนนั้นคุณอิงอิงตกใจก็กรี๊ดสุดเสียงเพราะกลัว เมื่อได้โอกาสตนจึงคว้ากระเป๋าเเล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที เเต่ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน สายตาของตนเห็นสร้อยประคำที่เพื่อนให้ไว้ เเขวนอยู่ตรงหน้าประตู! ตนรู้สึกว่าสร้อยนั้นเป็นของสำคัญจึงรีบไปเอาสร้อยนั้น เเล้วในขณะที่กำลังจะคว้าก็มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีนว่า ช่วยด้วย! นาทีนั้นตนคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะช่วยใคร จึงรีบคว้าสร้อยนั้นเเล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 กว่า จึงได้ไปนั่งอยู่ตามร้านขายของข้างทางจนเช้า เเล้วได้นั่งรถไปที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบโทรหาคุณลุงทันที ในใจตนคิดว่าจะย้ายออกจาก ไม่อยู่เเล้วบ้านหลังนี้ สักพักหนึ่งคุณลุงก็รับสายเเล้วพูดว่า “เออ โอเคตกลง” ทั้ง ๆ ที่คุณอิงอิงยังไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร ตนจึงเอาของไปเก็บเเละย้ายพักอยู่กับเพื่อนชั่วคราว ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ขณะที่กำลังดื่มกาแฟกับเพื่อนอยู่ในตอนเช้า คุณอิงอิงก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงปกหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนกำลังอ่าน ตนรู้สึกแปลกใจเพราะคุ้นผู้ชายคนนี้มาก ๆ จึงขอยืมหนังสือพิมพ์เพื่อนมา เเล้วคลี่อ่าน เมื่อตนเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นก็ช็อค! ตกใจมาก เพราะเขาคือคุณลุงเจ้าของบ้านที่ตนไปเช่า ข่าวในหนังสือพิมพ์เขาเขียนว่า “เจ้าของบ้านถูกจับข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองภายในบ้าน! สาเหตุเกิดจากการหึงหวงภรรยาทะเลาะกันเรื่องชู้สาว ครอบครัวผู้หญิงมีการติดต่อมาอยู่เรื่อย ๆ เเต่ไม่มีการตอบกลับ จึงได้เเจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ไปตรวจสอบที่บ้านหลังนี้เเล้วก็ได้พบศพอยู่ในตู้เเช่เย็นภายในห้องเก็บของ! สภาพศพตามร่างกายถูกเเทงพรุนทั้งตัว! ตามใบหน้าถูกกรีดจนจำใบหน้าไม่ได้!” เมื่อคุณอิงอิงอ่านข่าวจบก็ถึงกับช็อค! เพราะไม่คิดว่าตนจะนอนอยู่กับศพเป็นเวลา 1 สัปดาห์เเละก็หายสงสัยเรื่องค่าไฟที่คุณลุงบอกว่าจะจ่ายเอง เป็นเพราะว่าเขาเปิดตู้เเช่เย็นตลอดเพื่อแช่ศพภรรยาตัวเองไว้นั่นเอง!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

09 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณต้น 'เชือกผูกผี' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

‘คุณต้น‘ ได้นำเรื่อง ‘เชือกผูกผี’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (29 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ ฟัง เป็นเรื่องราวสุดหลอนในวัยเด็กที่ตนได้เจอ จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณต้นได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักชื่อ ‘โต้ง’ เป็นเด็กที่อยู่ในจังหวัดหนึ่งทางแถบอีสานใต้ ทางครอบครัวของคุณโต้งมีวิชาอาคมเป็นทางศาสตร์ของทางฝั่งเขมร ในช่วงที่ยังเด็ก คุณโต้งก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กตามปกติ อยู่มาวันหนึ่ง คุณตาก็ได้ชวนคุณโต้งไปจับปลาแถวบ้านในช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ในขณะที่คุณโต้งกำลังนั่งรอคุณตากำลังจับปลาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม พอมองไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับร่างเด็ก 2 คน ตัวซีดเผือด มีเลือดแห้งเปรอะเปื้อนเต็มหน้า! เด็ก 2 คนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณโต้ง ประมาณ 8-9 ขวบ เมื่อเห็นดังนั้นคุณโต้งก็ตะโกนเรียกคุณตา แต่คุณตากลับคว้างก้อนดินไปบริเวณนั้น แล้วเด็ก 2 คนนั้นก็หายไป! เหตุการณ์นี้ทำให้คุณโต้งรู้จักคำว่า ‘ผี’ เป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้น คุณตาก็ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนเนี่ย ก่อนที่จะมีบ่อน้ำนี้ ในช่วงที่ขุดแรก ๆ มีเด็ก 2 คนนี้แหละมาเล่นน้ำแล้วจมน้ำตาย วิญญาณก็น่าจะอยู่บริเวณนี้” เรื่องราวสุดหลอนต่อมาที่คุณโต้งได้เจอก็คือ หลังคุณโต้งเลิกเรียนก็ได้ยินว่าหมู่บ้านข้าง ๆ มีคนผูกคอฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่ตายก็คือญาติของคุณโต้ง เมื่อทราบข่าวแล้วทางครอบครัวเขาก็ไปดูแล้วก็พบกับศพผู้หญิงผูกคอตาย จึงได้มีการเผาศพในวันนั้นทันที เนื่องจากหมู่บ้านของคุณโต้งมีความเชื่อว่าถ้าเป็นศพผีตายโหงจะต้องทำการเผาวันนั้น จึงนำศพไปเผาที่ป่าช้าในหมู่บ้านที่คุณโต้งและคุณตาใช้เป็นเส้นทางในการไปจับปลา ต่อมาหลังจากที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ 1 เดือน ก็มีคุณตาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องของคุณยายคุณโต้ง ให้นามสมมติว่า ‘ตาต้อย’ ได้มาถามว่า “ได้ข่าวว่าญาติที่อยู่หมู่บ้านนี้ผูกคอตายหรอ เอาไปเผาเอาไปฝังที่ไหนล่ะ” และได้ถามถึงเชือกเส้นนั้นที่ผูกคอตาย เนื่องจากตาต้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมจึงอยากจะได้เชือกเส้นนั้นเพื่อไปทำพิธีกรรมขอหวย จากนั้น ตาต้อยก็ได้ชวนคุณแม่คุณโต้งไปทำธุระในตัวเมือง ซึ่งคุณแม่ก็ได้มาเล่าให้คุณโต้งฟังแล้วมารู้ทีหลังว่าท้ายกระบะมีเชือกที่ตาต้อยเก็บสะสมอยู่ท้ายกระบะ ทำให้ในขณะที่นั่งรถอยู่นั้น คุณแม่รู้สึกเหมือนมีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ จึงหันไปดูและสิ่งที่คุณแม่เห็น ก็คือ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่นั่งเต็มท้ายกระบะประมาณ 10 คน พอคุณแม่กำลังจะหันไปถามตาต้อยร่างเหล่านั้นก็หายไป ตาต้อยจึงบอกว่า “นั่งไปเหอะ คงไม่มีอะไรหรอกลูก” ในวันนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็รู้สึกมีอาการเหมือนไม่สบายจึงรีบเข้านอน หลังจากที่หลับได้สักพักก็รู้สึกตัวในช่วงกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนมีมือมาครูดสังกะสีบริเวณขื่อบ้าน จึงตัดสินใจเปิดมุ้งไปดูแล้วเห็นเป็นภาพคนผูกคอตาย ตัวซีด ดวงตาปูดโปน ลิ้นจุกปากห้อยลงมาจากขื่อบ้าน เรียกร้องขอให้คุณแม่ช่วย “ช่วยด้วยย.. ช่วยด้วย” ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไม่ได้มีคนเดียว แต่มีทั้งหมดเกือบ 10 คนที่ห้อยอยู่ตรงนั้น! ด้วยความที่คุณแม่ตกใจจึงรีบปิดมุ้งแล้วมานอนคลุมโปง ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างร่วงตกลงมาทับตัว! คุณแม่ค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแล้วก็เห็นเป็นร่างที่ผูกคอตายนั้นร่วงตกลงมาทำให้มุ้งขาดแล้วลงมาทับคุณแม่ บางร่างตกลงมานอนประจันหน้ากับคุณแม่ เมื่อคุณแม่เจอเช่นนี้จึงร้องกรี๊ดจนหมดสติไป! คุณยายมาปลุกจึงทำให้คุณแม่รู้สึกตัว คุณแม่ที่อยู่ในอาการที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอจึงเล่าให้คุณยายฟัง เมื่อคุณยายทราบเช่นนั้นก็ได้บอกน้าไปตามตาต้อยมา แล้วพูดกับตาต้อยว่า “ดูซิเนี่ย หลานมึงจะตายแล้วเนี่ย ไปเอาไรมา ไปออกมาให้หมดแล้วเผาทิ้งไปเลย” ตาต้อยจึงได้นำกล่องหนึ่งมาแล้วเทให้ดู ซึ่งของที่อยู่ในกล่องคือเชือกเกือบ 10 เส้น หลังจากนั้นก็ได้ให้นำเชือกทั้งหมดไปเผา ในขณะที่เผาคุณแม่ก็เห็นเป็นภาพลาง ๆ เหมือนดวงวิญญาณแต่ละดวงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

02 มี.ค. 2024

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณสุ’ ที่ได้มาเล่าเรื่องรักชวนหลอนเกี่ยวกับนักศึกษาแพทย์และร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณสุเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนตนนั้นเป็นพยาบาลในแผนก ICU ก่อนที่จะลาออก เพื่อนร่วมงานก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงส่ง นั่นทำให้ ‘พี่หมอมุ่ย’ (นามสมมติ) นำเรื่องหลอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์มาเล่าให้คุณสุฟัง หมอมุ่ยเล่าย้อนว่า ปกติแล้วนักศึกษาแพทย์จะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการศึกษาร่างกายมนุษย์ (Anatomy) กับร่างของอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้นหมอมุ่ยมีปัญหากับการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกาย มักจะจำผิดพลาดและคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จึงลงการเรียนเสริมให้ตัวเอง เพื่อที่ตนเองนั้นจะสามารถเรียนทันนักศึกษาคนอื่นและสอบได้ เพราะหากต้องมาสอบแก้ทีหลังจะเสียเวลาไปกันใหญ่ วันหนึ่ง ขณะที่หมอมุ่ยเรียนเสริมอยู่ เขาก็รู้สึกแย่กับตนเองเพราะไม่สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนในวันนี้ด้วย หมอมุ่ยคิดในใจว่า ‘ถ้ามีใครสักคนมาสอนให้เรารู้มากกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่เพิ่ม ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเพื่อมาเรียนเสริม มันก็คงจะดีเนอะ’ หลังจากนั้น ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘ทรงเกียรติ’ มาเป็นผู้ช่วยสอนในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์โดยเฉพาะ รุ่นพี่คนนี้พูดกับหมอมุ่ยว่า “พี่เห็นในคลาสเรียนแล้ว น้องดูไม่ค่อยเข้าใจเลย อยากเรียนเสริมกับพี่มั้ย? เดี๋ยวพี่สอนเอง พี่สอนให้ฟรีเลย ถือว่าเป็นการช่วยรุ่นน้อง” หมอมุ่ยดีใจมากที่จะได้เรียนเสริมเป็นการส่วนตัว แถมคนที่มาสอนยังรูปหล่อหน้าตาดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้หมอมุ่ยได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ ช่วงพักทานข้าวหรือระหว่างคาบเรียน ก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ทรงเกียรติเข้ามาช่วยสอน ระหว่างที่เรียนเสริมนั้น ปรากฏว่าผลการเรียนของหมอมุ่ยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า “มีพัฒนาการขึ้นนะ ขอให้รักษาผลการเรียนแบบนี้ไว้นะ” นั่นทำให้หมอมุ่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้นไปอีก เป็นเวลากว่า 6-7 เดือนที่พี่ทรงเกียรติมาช่วยสอน ก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจของหมอมุ่ย หมอมุ่ยบอกว่า “เขาเป็นคนแรก ที่ทำให้พี่รู้สึกปลื้มจนอยากไปสารภาพรักเลย” ก่อนจบการศึกษา หมอมุ่ยตัดสินใจบอกว่าพี่ทรงเกียรติไปว่า “หนูขอบคุณนะคะที่มาช่วยสอน หนูชอบพี่นะ หนูอยากเป็นแฟนกับพี่ พี่จะรับรักหนูมั้ย? ถึงหนูจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่หนูก็รักจริงนะ” แต่พี่ทรงเกียรติก็ตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” แม้พี่ทรงเกียรติจะปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่หมอมุ่ยก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย หลังจากวันนั้น หมอมุ่ยก็ไม่ได้เจอพี่ทรงเกียรติอีกเลย ไม่ว่าหมอมุ่ยจะพยายามเดินไปตึกเรียนที่คาดว่าพี่ทรงเกียรติจะอยู่แต่ก็ไม่เคยเจอ และยังไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ทรงเกียรติได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการจัดพิธีส่งร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อนำไปฌาปนกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการรวมตัวนักศึกษาเพื่อให้มากล่าวขอบคุณร่างอาจารย์ใหญ่ หมอมุ่ยบอกว่ามีชื่อนึงที่คุ้นหู และรูปก็คุ้นตาคล้ายกับพี่ทรงเกียรติอย่างไรอย่างนั้น แต่หมอมุ่ยก็ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นในระยะไกล จนพิธีเสร็จสิ้น หมอมุ่ยจึงแอบปลีกตัวเองเดินออกไปหาร่างนั้น เพื่อที่จะไปดูป้ายชื่อว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ ปรากฏว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ รวมทั้งรูปภาพเจ้าของร่างนั้นเป็นพี่ทรงเกียรติจริง ๆ คุณสุนึกสงสัยจึงถามหมอมุ่ยไปว่า “ระหว่างนั้นเขาไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยหรอคะหมอ?” หมอมุ่ยส่ายหัวและบอกว่า “ไม่เลย ทุกอย่างเหมือนกับที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ เราแตะตัวกันได้ แล้วตอนที่เขามาสอนไม่ใช่นั่งตรงข้ามนะ เขาจะนั่งข้างขวาไม่ก็ซ้าย ใกล้ชิดหมอมาก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จะมีแค่อย่างเดียวคือ เวลาสั่งน้ำหรือสั่งขนมมาให้ พี่ทรงเกียรติจะไม่แตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเขาอาจจะเกรงใจเรา” นั่นคือข้อสังเกตเดียวที่เห็นจากพี่ทรงเกียรติ นอกนั้นแล้ว เขาก็เหมือนคนปกติทั่วไป นั่นทำให้หมอมุ่ยเข้าใจความหมายของพี่ทรงเกียรติที่บอกว่า “ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้..” คุณสุถามเพิ่มเติมว่า “ระหว่างที่ติวด้วยกัน ไม่มีใครเห็นเลยหรอ?” หมอมุ่ยก็บอกว่า “สถานที่ที่เลือกติวกันนั้น หลาย ๆ คนมักจะจดจ่อกับสิ่งที่ตนสนใจอยู่ ทำให้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาที่คนอื่นมอง ไม่แน่ว่าคนอื่นก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็เป็นได้” นอกจากนี้หมอมุ่ยก็ยังไปสืบมาว่าพี่ทรงเกียรติเป็นผู้ป่วยภาวะสมองตาย แต่ข้อมูลอื่น ๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรุ่นน้องของหมอมุ่ยก็เจอบ้างเป็นบางรุ่น เช่น นักศึกษาบางคนอยากจะเรียนเพิ่ม จึงไปอยู่กับร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง พี่ทรงเกียรติก็จะเดินมาบอกว่า “น้อง มันหมดเวลาแล้ว กลับไปก่อนมั้ย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนมาถามพี่หรืออาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ถ้าพวกพี่ยามเขามาปิดตึกแล้ว น้องจะกลับบ้านไม่ได้นะ” เป็นต้น หลายคนที่เจอมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากตั้งใจตามหาพี่ทรงเกียรติจะหาตัวไม่เจอ เขาจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาอยากมาเท่านั้น และนี่ก็เป็นรักแรกของหมอมุ่ยที่ยังคงจำได้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

14 ก.ย. 2023

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

เมื่อความหลอนมาเยือนตอนเข้าเวรไม่พอ แต่ยังตามติดไปถึงห้องน้ำยันห้องนอน สุดท้ายมารู้ความจริงทีหลังถึงขั้นหลอนซ้ำหลอนซ้อน! เรื่องราวนี้จะทำให้ประสบการณ์การทำงานตอนกลางคืนระแวงมากขึ้นขนาดไหน ‘คุณคิงส์’ ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ บอกเลยว่างานนี้คนทำงานกะดึกมีระแวงตามกันเป็นแถว ๆ แน่ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘วันที่เข้าเวร’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ตรงที่คุณคิงส์สัมผัสด้วยตัวเอง สมัยที่เพิ่งเข้าทำงานในช่วงแรกที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะที่ทำงานคือเป็นตึกสี่ชั้น พอเข้าไป พี่ ๆ ในที่ทำงานก็แจ้งว่าเวลาเข้ามาทำงานต้องมีการเข้าเวรเพื่อรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ด้วยความเป็นเด็กใหม่ คุณคิงส์ตื่นเต้นกับการเข้าเวรครั้งแรก คิดในใจว่าแค่เข้าเวรเฉย ๆ ก็ตื่นเต้นขนาดนี้ คงไม่มีอะไรตื่นเต้นมากกว่านี้หรอก เพราะว่าที่ทำงานก็อยู่ในกรุงเทพกลางใจเมืองพอสมควร เมื่อถึงวันเข้าเวรจริง ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ด้วยความเป็นตึกสี่ชั้น คุณคิงส์จึงต้องเดินตรวจทุกชั้น สองรอบ ในครั้งแรกเริ่มตรวจตอน 1 ทุ่ม ทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยดี และในรอบที่สอง เริ่มตรวจตอน 4 ทุ่ม ก็นัดกับรุ่นพี่ว่าจะเริ่มเดินตรวจจากชั้นสี่ไล่ลงมา แล้วจะมาเจอกันที่ชั้นหนึ่ง การตรวจเป็นไปอย่างปกติ เริ่มที่ชั้นสี่ คุณคิงส์ก็ไล่ปิดไฟในแต่ละชั้นลงมา เมื่อเดินลงมาถึงชั้นสาม ที่เป็นห้องประชุมและห้องทำงาน จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงตัวเครื่องกันไฟกระชากจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด คุณคิงส์จึงเดินเข้าไปหาว่าห้องไหนลืมปิดคอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งที่ตึกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกระจก ส่วนประตูจะเป็นบานสวิง ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ก็ก้มหน้าหยิบกุญแจขึ้นมา แล้วค่อย ๆ เสียบเข้าไปในช่องกุญแจ ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้ออกแรง แต่ประตูกลับมีแรงดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปข้างใน! ด้วยความตกใจจึงส่งเสียง “เห้ย!!!” ออกมาแล้วหันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีใคร และตะโกนออกไปว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ผมเข้ามาตรวจเวรครับ” แต่ทุกอย่างกลับเงียบ.. ไม่มีเสียงตอบกลับมา! จากนั้นก็ค่อย ๆ เอาหน้าแนบไปกับกระจก ชำเลืองมองเข้าไปข้างใน เห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีการกั้นห้องของระดับหัวหน้าแผนกสองห้องอยู่ข้างใน สักพักสายตามองเห็นเหมือนเป็นคนเดินผ่านวูบนึงไป! จึงตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ใครครับ ใครอยู่ในห้องครับ” แต่ก็ยังเงียบไม่มีใคร คุณคิงส์ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องมืด มีเพียงแสงไฟจากข้างนอกสะท้อนเข้ามา เมื่อเดินดูรอบ ๆ ห้องปรากฎว่าไม่มีใครจริง ๆ แต่สายตาหันไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเปิดอยู่ จึงปิดให้เรียบร้อย เหมือนจะไม่มีอะไรแล้วก็กำลังจะเดินออกมา แต่หางตาก็เห็นเป็นคนเดินอีกรอบ แต่รอบนี้เดินอยู่ในห้องเล็ก คุณคิงส์ยังรู้สึกไม่มั่นใจจึงตะโกนอีกครั้งว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะล็อคห้องแล้วนะครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา ด้วยความสงสัย คุณคิงส์จึงเดินไปที่ห้องเล็กด้านซ้าย ปรากฏว่าห้องที่เห็นว่ามีคนเดินเข้าไป ไม่มีใครสักคน ในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้คือ ควรเอาตัวเองออกจากจุดนี้! จึงรีบเดินออกมาแล้วล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเดินลงไปที่ชั้นสอง แต่ตอนนั้นคุณคิงส์เดินออกมาได้แค่ 3 ก้าว เสียงเขย่าประตูก็ดังขึ้น กึ้ก กึ้ก กึ้ก กึ้ก! จากข้างในห้องที่ล็อคแล้ว คุณคิงส์หันไปอีกรอบ แว็บเดียวที่เห็นคือ คนยืนตะคุ่มอยู่! จากนั้นคุณคิงส์ก็ไม่สนอะไรแล้วรีบเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งทันที! เมื่อเจอรุ่นพี่ที่รออยู่เขาก็ถามว่า “เป็นอะไรทำไมหน้าตาตื่น ๆ” คุณคิงส์กำลังจะเล่าแต่รุ่นพี่ก็ทำท่าให้หยุดแล้วพูดขึ้นว่า “กลางคืนเขาไม่ให้เล่า” จากนั้นรุ่นพี่ก็ให้แยกย้าย คุณคิงส์จึงขึ้นไปทำธุระที่ชั้นสอง ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ จึงตะโกนไปว่า “พี่จะมาตรวจเวรหรอครับ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ คุณคิงส์คิดขึ้นได้ว่าการที่จะเข้ามาในห้องน้ำได้ ต้องมีเสียงประตูก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียอะไร จึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ถามอีกรอบ “ใครครับ” ไม่มีเสียงตอบกลับแต่มีเสียงคนกำลังทำอะไรอยู่บางอย่างที่อ่างล้างมือ คุณคิงส์คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก จึงรีบอานน้ำต่อให้เสร็จ พออาบน้ำเสร็จ คุณคิงส์กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัว ปรากฏว่าเห็นเป็นมือสองข้างกำลังเกาะอยู่ที่ขอบประตูด้านบน ลักษณะเป็นมือเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ตอนนั้นคุณคิงส์ชะงักไปไม่เป็น คิดว่ารุ่นพี่รับน้องแกล้ง จึงกลั้นใจเปิดน้ำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งระดับขึ้น จากนั้นก็สาดขึ้นไปด้านบน แล้วมือนั้นก็หายไป! คุณคิงส์รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีเสียงเปิดประตู คุณคิงส์รู้สึกอาการไม่ค่อยดีจึงรีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นคุณคิงส์พยายามสวดมนต์ไหว้พระก่อนที่จะเดินไปส่องหน้าต่างดู มองรอบ ๆ ก็ไม่มีอะไร จึงตัดสินใจปิดไฟ แต่ไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเขย่าประตูดังขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว! ที่นี่ไม่มีใครสามารถเข้าได้ นอกจากคนด้านในจะเปิดออกไป คุณคิงส์จึงส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ว่าได้เดินขึ้นมาชั้นสองหรือไม่ แต่รุ่นพี่ก็ปฏิเสธ คุณคิงส์คิดว่าคืนนี้จะสวนมนต์ชุดใหญ่ จากนั้นก็นอนหลับไป แต่ในตอนที่นอนอยู่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มมันค่อย ๆ ไหลลงไป จากหน้าอก ไหลลงไปที่เอว จนเริ่มรู้สึกตัวชัดขึ้นแต่ไม่กล้าลืมตา คิดว่าโดนรับน้องอีกแน่นอน แต่ก็จำได้ว่าห้องมันล็อค ไม่มีใครเข้ามาได้แน่ ๆ จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วกระตุกผ้าห่ม แต่มันกลับมีแรงรั้งไว้! จุดนั้นคุณคิงส์ลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่เห็นคือ ผ้าห่มถูกยกขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมาที่เท้า! คุณคิงส์ทิ้งทุกอย่างแล้วรีบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เพื่อไปขอนอนกับรุ่นพี่ เช้าวันถัดมา คุณคิงส์ก็เล่าเหตุการณ์ให้พี่ในแผนกฟังว่าเจออะไรบ้าง พี่ ๆ ในแผนกก็มองหน้ากันด้วยความเลิ่กลั่ก แล้วถามย้ำว่า “เจอจริง ๆ หรอ” จากนั้นก็พาเดินไปดูในห้องเล็ก แล้วชี้ให้มองตรงมุมห้องเล็ก หลังตู้เอกสาร เห็นเป็นน้ำแดง น้ำเปล่า และพวงมาลัยวางอยู่ หลังจากนั้นพี่ในแผนกก็เล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี มีคุณป้าคนนึงนั่งทำงานฝ่ายบัญชี จู่ ๆก็บ่นว่าปวดหัวมาก แล้วก็เกิดอาการวูบระหว่างทำงาน แล้วเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล” หลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ ๆ ในแผนกก็มักจะเจอว่า ถ้าทำงานดึก จะเห็นคุณป้าคนนี้เดินอยู่ เหมือนยังวนเวียน ยังห่วงงานบัญชีที่ทำค้างไว้อยู่ (ค้างไว้แค่ 2 บรรทัด) คุณคิงส์ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “พี่ ผมว่าป้าแกห่วงเรื่องงาน เรามาช่วยงานของป้าให้เสร็จดีไหมครับ” จากนั้นก็ช่วยกันรวมยอดให้เสร็จ แล้วลงปากกาสีแดงว่า ‘ปิดบัญชี’ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำบัญชีนั้นเสร็จคือ ขวดน้ำที่ตั้งอยู่หลังตู้เอกสารล้มลง แล้วน้ำกระเด็นมาโดนสมุดบัญชี ทำให้คิดว่าป้ารับรู้แล้ว!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1