เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘ห้องหมายเลข 4’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนิว ‘ห้องหมายเลข 4’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

25 พ.ค. 2024

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ สัปดาห์นี้ (21 พฤษภาคม 2567) ‘คุณนิว’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟังจนขนหัวลุกกับเรื่องที่มีชื่อว่า ห้องหมายเลข 4’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย !

       เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณนิว (นามสมมติ) โดยคุณนิวเริ่มเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งคุณนิวได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า ‘ก่อนอายุ 30 จะต้องนั่งรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียวให้ได้’ ในตอนนั้นเอง คุณนิวมีอายุ 29 ปีพอดี คุณนิวจึงรู้สึกว่า ‘อีกแค่ปีเดียว ไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไปให้ได้’ จากนั้นคุณนิวก็ลาพักร้อนทั้งหมด 10 วัน และเริ่มออกเดินทาง

       เมื่อรถไฟจอดที่สถานีเชียงใหม่ คุณนิวจึงเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทาง โดยสองวันแรก คุณนิวได้เข้าพักในตัวเมืองเชียงใหม่ สถานการณ์ทุกอย่างปกติดี จนกระทั่งวันที่สาม คุณนิวได้เข้าพักที่ม่อนแจ่ม ซึ่งการเดินทางของคุณนิวในครั้งนี้ ไม่ได้มีแบบแผนการเดินทาง ทั้งการจองที่พักผ่านแอพฯ ทั้งไม่ทราบระยะทางการเดินทาง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าที่พักที่จองไปอยู่ใกล้แหล่งท่องบริเวณไหน สามารถขับมอเตอร์ไซค์ไปได้หรือไม่ แต่คุณนิวก็สามารถพาตัวเองมาถึงที่พักจนได้

       เมื่อไปถึง ก็เจอกับพนักงานต้อนรับ ประโยคแรกคุณนิวก็ถามเลยว่า

       “พี่ครับ… ที่นี่มีผมจองคนเดียวเลยเหรอ ?”

       เพราะคุณนิวสังเกตเห็นว่า บริเวณรอบ ๆ ไม่มีผู้คนหรือนักท่องเที่ยวคนอื่นอยู่เลย พนักงานต้อนรับจึงตอบกลับว่า

       “อ๋อ มีอีก 2-3 กรุ๊ปเลย ไม่ต้องกังวลไป แต่น้องมาถึงคนแรก พี่ให้น้องเลือกห้องก่อนได้เลยนะ มีห้อง 1-7 จะเอาห้องไหนล่ะ ?”

       ซึ่งคุณนิวจึงได้เลือกห้องหมายเลข 4

       ตอนนั้นคุณนิวไม่รู้ตัวเลยว่า ทำไมตนถึงเลือกห้องหมายเลข 4 เพราะปกติแล้วคุณนิวถือความเชื่อแบบคนจีนที่ถือว่าเลข 4 เป็นเลขอัปมงคล เนื่องจากออกเสียงว่า ‘ซี่’ (死) เป็นคำที่พ้องกับคำที่มีความหมายว่า ‘ตาย’ คุณนิวจึงคิดว่า ‘ตอนนั้นดวงตัวเองน่าจะพาให้เจอเรื่องอะไรแบบนี้’ หรืออาจจะคิดว่าเลือก 4 เพราะจะได้บ้านพักอยู่ตรงกลาง เวลาที่มีกรุ๊ปทัวร์มา คุณนิวจะได้ไปร่วมสังสรรค์ได้

       หลังจากนั้น คุณนิวก็เข้าสำรวจห้องพัก ซึ่งบ้านพักของคุณนิวจะเป็นห้องแนวโฮมสเตย์บรรยากาศดี เมื่อสำรวจเสร็จสิ้นเรียบร้อย คุณนิวก็ไปอาบน้ำเพื่อผ่อนคลาย พร้อมกับเปิดลำโพงบลูทูธฟังเพลงไปด้วย แต่ในระหว่างการอาบน้ำ แอพฯ ได้สุ่มเปิดเพลง ‘ฟ้อนเหนือร่วมสมัย’ ซึ่งตอนแรกคุณนิวก็คิดว่า ‘เดี๋ยวเนื้อเพลงก็คงขึ้น’ แต่จนกระทั่งคุณนิวอาบน้ำเสร็จ เนื้อเพลงก็ไม่ขึ้นสักที จนออกมาพบว่า ‘เป็นเพลงที่มีแต่ทำนอง…’

       ซึ่งคุณนิวจึงเอาเรื่องราวนี้ไปโพสต์ใน Facebook ส่วนตัว เพื่อนของคุณนิวต่างเข้ามาคอมเม้นต์ในเชิงหยอกล้อว่า “คุณนิวต้องโดนผีหลอกแน่” หรือ “คืนนี้ต้องโดนแน่” เพราะเพื่อนของคุณนิวรู้ดีว่า คุณนิวเป็นคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว และก็เป็นคนที่มีเซ้นส์แรงชอบเจอเรื่องลี้ลับ ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนไม่กลัวผี จึงถ่ายรูปคานในห้อง ที่มีลักษณะเป็นคานไม้พาดยาว มีพื้นที่ว่างจนสามารถยื่นหัวจากข้างนอกโซนห้องนอน ชะโงกเข้ามามองในห้องน้ำได้เลย แล้วพิมพ์ตอบว่า “ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเขาใส่ชุดเหนือ แล้วมานั่งห้อยขาบนคานจะเป็นยังไง ?”

       ตกเย็นในระหว่างที่คุณนิวกำลังนั่งรออาหารมาส่ง ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศรอบที่พัก ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีเสียงสวดมนต์ สวดทำวัตรเย็น หรือสวดศพอะไรสักอย่างดังอยู่ตลอด คุณนิวไม่ทราบเลยว่า บริเวณนั้นมีวัดอยู่ตรงไหน ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนปากไวจึงพูดขึ้นมาว่า

       “โอ๊ย… ดีจริง ๆ เลย บรรยากาศดี มีเสียงดนตรีสวดด้วย”

       หลังจากที่คุณนิวดื่มด่ำกับบรรยากาศ เวลาประมาณเที่ยงคืน คุณนิวก็ได้กลับเข้าห้องพัก เพื่อที่จะนอนพักผ่อน

       ในระหว่างที่คุณนิวกำลังจะหลับ คุณนิวก็สัมผัสได้ว่า ‘มีคนกำลังจ้อง มองมาที่ตนอยู่’ ซึ่งตอนนั้นคุณนิวรู้สึกระแวงจนนอนไม่หลับและอึดอัดมาก ก่อนที่สมองจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ คุณนิวจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมา สายตามองทะลุความมืดตรงขึ้นไปด้านบนคาน เห็นรูปร่างอะไรบางอย่างที่มืดกว่าบรรยากาศ ลักษณะนั่งห้อยขาอยู่ด้านบนคาน คุณนิวจึงรีบหลับตาลงทันที คิดในใจว่า ‘ถ้าลืมตาอีกครั้ง แล้วเขากระโจนลงมาทับที่ตัวเราจะทำยังไง ?’ จากนั้นก็ค่อย ๆ ตั้งสติ ลืมตามองอีกครั้ง… กลับไม่เจออะไร หันหน้าหนีมองไปทางห้องน้ำ ก็รู้สึกได้ว่า ตรงบริเวณคานมีคนชะโงกหน้ามามองอยู่! ซึ่งคุณนิวไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย เพราะไม่คุ้นเส้นทาง และคุณนิวไม่สามารถขับมอเตอร์ไซค์เข้าเมืองตอนตี 1 ได้ สิ่งเดียวที่คุณนิวทำได้คือ ลุกขึ้นไปเปิดไฟ เพื่อให้ห้องสว่าง แต่ก็ยังไม่สามารถนอนหลับต่อได้ …

       จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คุณนิวจึงตัดสินใจเก็บกระเป๋า เตรียมตัว Check out c9jก่อนที่จะออกจากห้อง คุณนิวเดินไปที่ระเบียงหลังห้องเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่า “ทำไมตัวเองถึงโดนหลอก” เพราะเมื่อเปิดประตูระเบียงทางด้านออกไป พบว่า ‘ประตูห้องหมายเลข 4’ ได้ตรงกับเมรุเผาศพของวัด ซึ่งบริเวณที่คุณนิวรับประทานอาหารเมื่อวาน เป็นตีนเขาติดกับทางเข้าวัด ซึ่งระหว่างทางที่คุณนิวเดินทางมาถึงโฮมสเตย์แห่งนี้ คุณนิวไม่เห็นเลยว่ามีวัดอยู่ในบริเวณนี้ และอยู่ใกล้ขนาดนี้

       หลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมด คุณนิวก็มานั่งเรียบเรียงสถานการณ์ ได้ข้อสรุปว่า การที่เขามาหา น่าจะเป็นเพราะคุณนิวไปปากดีใส่ไว้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมด น่าจะเกิดขึ้นจากความปากดีล้วน ๆ ซึ่งในทุกเหตุการณ์ คุณนิวก็เป็นคนกำกับบทให้เขา ทั้งการที่คุณพูดว่า “ถ้าเขาใส่ชุดเหนือ แล้วมานั่งห้อยขาบนคาน” ทั้งเสียงสวดคล้ายเสียง “สวดศพ” ซึ่งทำให้คุณนิวเจอเรื่องราวที่ตรงกับที่ตัวเองพูดไว้ทุกอย่าง …

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

22 ธ.ค. 2023

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

เมื่อต้องไปเลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock งานนี้จะเจออะไรหลอน ๆ บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธ.ค 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘ตั้น The Shock’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของคุณตั้นที่ได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลยยย เรื่องนี้ ‘คุณตั้น’ ได้เริ่มเล่าว่า ทางทีมงาน The Shock ได้เดินทางไปเลี้ยงโต๊ะจีนผี ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock ซึ่งปีนี้จะไปจัดกันที่สุสานจังหวัดราชบุรี เวลางานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม โดยปีนี้ ‘พี่ป๋อง The Shock’ นำทัพไปจัดโต๊ะหมู่ขึ้นที่สุสานใหญ่ มีอาหารบางส่วนและวงปี่พาทย์ เอาไปตั้งไว้ที่เก็บศพไร้ญาติ ตัวคุณตั้นตามไปทีหลัง ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม เป็นเวลาใกล้จบงาน ช่วงที่วงปี่พาทย์เล่นให้ผีฟัง ซึ่งตรงนั้นจะมีซองเก็บศพประมาณ 300 – 400 ซอง คุณตั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าวงปี่พาทย์และซองเก็บศพ ซึ่งปกติธรรมเนียมของ The Shock ที่ทำกันมาเป็น 10 ปี คือ เวลาที่เลี้ยงผี ก็จะมีการนำใบตองมาวางและเอาแป้งมาโรยไว้ เพื่อเป็นการเก็บรอยเท้าว่าเขามาหรือเปล่า ซึ่งก็มีรอยเท้ามาจริง ๆ ในระหว่างที่ทุกคนยืนดูกันอยู่ ก็มีเสียงเครื่องเซ็นเซอร์ดังขึ้น “ตื้อดึง ตื้อดึง ตื้อดึง” ดังอยู่อย่างนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่ตัวเดียว ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มฮือฮาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างนั้น ด้วยความห่ามของคุณตั้น คุณตั้นได้เดินผ่านซองเก็บศพไป และในขณะที่เดินก็ได้พูดว่า “สวัสดีครับ อยากได้อะไรมาบอกเนาะ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน แล้วก็มาพูดกับเราแล้วกัน” เมื่อคุณตั้นเดินไปถึง เครื่องจับเซ็นเซอร์ก็เงียบเสียงลง คุณตั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก” แต่ถามด้วยความไม่ลบหลู่ ไม่ได้ท้าทาย แต่ระหว่างที่คุณตั้นเดินย้อนกลับมา ก็มองกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปสะดุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นร่างสีขาวในความมืด เขาเดินและหายไป คุณตั้นที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ตรงนั้นมีอะไร มีทีมงานเอาเครื่องเซ่นไปไว้หรือเปล่า’ เพราะตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว คุณตั้นจึงเดินกลับมา คนอื่น ๆ รีบมาถามถามคุณตั้นว่า “มึงไม่กลัวหรอ” แต่คุณตั้นก็ไม่ได้คุยอะไร แต่พูดไปประโยคหนึ่ง คือ “ตรงนั้นมีอะไร เราจะได้ไปช่วยเก็บ” ทุกคนก็หันมาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” คุณตั้นก็หันไปบอกว่า “ก็เห็นสิ ตรงนั้นน่ะ มีคนยืนอยู่” แล้วก็มีคนตอบกลับมาว่า “ไม่มีพี่ ไม่มีอะไรด้วย ตรงนั้นคือ เชิงตะกอนเผาศพของมูลนิธิ” คุณตั้นก็รู้ได้เลยว่า นั่นคือผี หลังจากที่ฟังจบ คุณตั้นก็เงียบไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” หลังจากนั้นก็จะมีเหล่าคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่า “เนี่ย ตรงนี้มี ตรงนี้น่ากลัวมาก รู้สึกว่ามี” คุณตั้นก็ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผีจริง ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

07 ส.ค. 2023

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาอยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่ ‘คุณแจ็ค The Ghost Radio’ มาเป็นแขกรับเชิญเสริมอรรถรสให้รายการนี้เฮี้ยนกว่าเดิม! เรื่องราวครั้งนี้เป็นเรื่องของผีเด็กในโฮมเสตย์ แต่ก่อนจะไปอ่าน ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าได้ยินเสียงใครเคาะผนังตอนกลางคืนก็อย่าทักเชียว! เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณบอล’ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณบอลเป็นบัณฑิตป้ายแดงจากคณะสายการท่องเที่ยว เขาได้มีโอกาสไปฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง มีหน้าที่คอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ลูกค้า อยู่มาวันหนึ่ง ทางบริษัทมีโปรเจ็คให้พนักงานไปหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วนำมาเสนอให้ เจ้านายดู ปรากฎว่าทางบริษัทถูกใจไอเดียของคุณบอล สุดท้ายคุณบอลจึงได้รับโจทย์งานให้ไปตามหาแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือที่น้อยคนจะรู้จักตามแนวทางที่คุณบอลเสนอ ภายในระยะเวลา 7 วัน งานในครั้งนี้คุณบอลได้ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมันไม่อั้น แถมเงินใช้สอย 3 หมื่นบาท ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เด็กจบใหม่ไฟแรงไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน หลังจากตกปากรับคำแล้ว ก็ชวนเพื่อนที่คณะติดสอยห้อยตามไปด้วย เวลาผ่านไป 5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นคุณบอลนึกถึงจังหวัดน่านขึ้นมา ในอดีตจังหวัดนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก การเดินทางก็ค่อนข้างลำบาก คนส่วนใหญ่จึงมองที่นี่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่คุณบอลเห็นว่าน่านเป็นจังหวัดที่น่าไปสำรวจทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยงามมากมาย คุณบอลและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่จังหวัดน่านกันเป็นแห่งสุดท้าย ตลอดทริปนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน คุณบอลและเพื่อนก็เลือกไปพักที่โฮมสเตย์เพื่อประหยัดเงิน โฮมสเตย์สมัยนั้นเป็นบ้านพักของชาวบ้านที่จัดสรรพื้นที่บางส่วนให้คนนอกเข้าพัก บางแห่งก็อาจจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ เมื่อคุณบอลและเพื่อนมาถึงที่จังหวัดน่าน ก็ติดต่อไปที่ป้าคนหนึ่งชื่อ ‘ป้าพิณ’ เพื่อขอพักหนึ่งคืน กระทั่งถึงตอนเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ 7) ในระหว่างที่คุณบอลกับเพื่อนของเขารับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ป้าพิณไม่สามารถให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันได้เพราะตนมีธุระ จึงพาไปที่บ้านของ ‘ป้าแก้ว’ ที่เป็นโฮมสเตย์เหมือนกันแทน ดังนั้นเมื่อตกดึกคืนที่ 7 คุณบอลและเพื่อน ก็ย้ายไปที่บ้านป้าแก้ว บ้านของป้าแก้วนี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านปกติทั่วไป นอกจากนี้ป้าแก้วยังได้ทำอาหารต้อนรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณบอลก็ถามป้าแก้วว่าอาศัยอยู่กับใคร ป้าแก้วก็ตอบว่าอยู่กับลูก 2 คน แต่คุณบอลก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นเลย หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ป้าแก้วก็บอกว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้ให้ แล้วจะเอาเข้าไปวางไว้ในห้อง ตอนกลางคืนไม่ต้องออกมา หากปวดเบาก็มีกระโถนเตรียมไว้ให้เช่นกัน คุณบอลคิดว่าป้าแก้วอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่านไปมาในบ้านตัวเองตอนดึก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ห้องนอนที่ได้นั้น มีลักษณะเป็นไม้ทั้งหลัง ตอนนั้นคุณบอลและเพื่อนกำลังทำงานก่อนเข้านอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังไม้มาจากห้องอีกฟาก ปัง ปัง ปัง ! คุณบอลคิดว่าคงจะเป็นลูกของป้าแก้ว เสียงนี้ดังตลอดเวลาจนทนไม่ไหว จึงเดินไปดู แต่พอเปิดห้องออกไป ป้าแก้วก็ปรากฏตนขึ้นยืนขวางทางพวกเขาและบอกว่า “จะไปไหน ออกมาทำไม บอกว่ากลางคืนอย่าออกไง!” เจ้าของบ้านที่ใจดีอ่อนโยนในเย็นวันนั้นกลับกลายร่างเป็นคนดุน่ากลัวในยามค่ำคืน ทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพยายามออกจากห้องทีเดียว เพื่อนคุณบอลได้แต่ทำเออออห่อหมกแกล้งบอกปวดหนักต้องการเข้าห้องน้ำแล้วให้คุณป้าพาไป และเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง ป้าแก้วก็กำชับอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ห้ามออกจากห้องในยามวิกาลเด็ดขาด แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาพร้อมเสียงของเด็ก ปัง ปัง ปัง! “มีใครอยู่ไหม!” และยังมีเสียงของป้าแก้วดังขึ้นมาว่า “ทำเสียงดังทำไม เคาะทำไม กวนพี่เขา พี่เขาทำงานอยู่” แม้เสียงจะฟังแล้วจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าคงจะเป็นเสียงผู้ใหญ่กับเด็กคุยกัน หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก สองหนุ่มเกิดสมาธิหลุดจากการทำงานอีกรอบเพราะเสียงเคาะผนัง คราวนี้คุณบอลลองเอาหูไปทาบกับผนังดู แต่เสียงก็หยุดไปก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กขี้เล่นกระซิบผ่านผนังว่า “ได้ยินหรอ อยากรู้หรอ มาเล่นกันไหม!” คุณบอลตกใจมากกับเสียงที่ได้ยิน เพื่อนคุณบอลพยายามปลอบไม่ให้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าเด็กคงจะขี้เล่นแบบนี้ คุณบอลพยายามนั่งทำงานต่อ แต่หลังจากผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสียงเคาะก็มาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาที่จุดเดิมแต่กระจัดกระจายไปทั่วผนัง! หลายชั่วโมงผ่านไป คุณบอลก็ยังได้ยินเสียงเคาะผนัง ซึ่งมันดังมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกตอนตีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ตีสามแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีรูที่ผนัง คุณบอลกับเพื่อนก็ลองส่องเข้าไปดูยังห้องอีกฟากหนึ่งของผนังดู ห้องที่เห็นค่อนข้างมืด มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหรือไม่ก็เทียนไขพอให้ห้องสว่างวูบวาบอยู่บ้าง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นเตียงและเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนี้หันหน้าเข้ากำแพงอีกฝั่งหันหลังให้คุณบอล เขามีหัวที่ค่อนข้างผิดรูปใหญ่โตกว่าปกติมาก ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเอาหัวโยกไปมาที่ผนังคล้ายเหมือนจะเล็งเป้า แล้วก็กระแทกหัวไปที่ผนังอย่างจังพร้อมส่งเสียง ปัง ปัง ปัง! พร้อมกับพูดว่า “อยู่ตรงนี้รึเปล่า!” จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งผนังซ้ายทีขวาที เมื่อผ่านไปได้สักระยะ เด็กคนนี้ก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งและนับ 1...2...3... เขาคลานอย่างเร็วมาส่องที่รูตรงผนัง ตาต่อตากับคุณบอล แล้วพูดว่า “อยู่นี่เอง! อยู่นี่ใช่ไหม!” คุณบอลและเพื่อนผงะออกมาจากผนัง ทั้งสองขวัญหนีดีฝ่อรีบคว้ามือถือตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอน เปิดออกมา แล้วก็เจอกับป้าแก้วยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกเช่นเคย พร้อมกับพูดว่า “ออกมาทำไม ไม่ต้องออกมา กลับเข้าไปนอน!” เรียกว่าหนีผีปะป้าแก้วจริง ๆ คุณบอลและเพื่อนไม่รู้จะกลัวอะไรก่อนดี ระหว่างผีหรือว่าเสียงตวาดของป้าแก้ว คุณบอลและเพื่อนหมดหนทาง จะให้ออกไปตอนมืดแบบนี้ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายจึงจำใจอยู่ต่อในโฮมสเตย์แห่งนี้จนถึงเช้า ฟังเสียง ปัง ปัง ปัง! ของผี มีเพียงผนังไม้เท่านั้นมีกั้นพวกเขาเอาไว้ให้ปลอดภัย คุณบอลและเพื่อนจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว และมีคนมาเคาะที่ประตู ซึ่งก็คือป้าพิณที่มาชวนไปกินข้าว ชายทั้งสองรีบเก็บของแทบไม่ทัน แล้วเดินตามป้าพิณไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินนี้ก็ไม่มีวี่แววของป้าแก้วเลยสักนิด ทั้งคู่เล่าเรื่องประสบการณ์ชวนผวาเมื่อคืนให้ป้าพิณฟัง หลังจากเล่าเสร็จ ป้าพิณก็กล่าวขอโทษ และบอกว่าไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนป้าแก้วมีลูกอยู่จริง เด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ชอบไปเล่นในป่าในสวนอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่ง ลูกของป้าแก้วเข้าไปเล่นในสวนแล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลายวันผ่านไปป้าแก้วเริ่มใจสลาย แต่แล้ววันดีคืนดีลูกชายก็กลับมา ป้าแก้วเข้าไปกอดลูกด้วยความดีใจถามว่าเขาไปอยู่ไหนมา เด็กคนนี้ก็ได้แต่ตอบว่าไปอยู่กับ “ลุง” มา ส่วนเรื่องอาหารการกิน “ลุง” ก็เป็นคนจัดเตรียมให้ ป้าแก้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะดีใจที่ลูกกลับมา หลังจากเรียกชาวบ้านมารับขวัญเด็กคนนี้แล้ว เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านป้าแก้วตามเดิม แต่เรื่องที่แปลกก็คือ หลังจากกลับมาลูกชายของป้าแก้วก็เอาแต่พูดถึงเรื่อง “ลุง” ขอร้องให้ป้าแก้วพาไปหา “ลุง” อยู่ตลอดเวลา เมื่อป้าแก้วถามว่าลุงคนนี้คือใคร ลูกก็ไม่ตอบ นานวันไป เด็กคนนี้ก็เริ่มอาละวาดเพราะแม่ไม่พาไปหาลุงเสียที สุดท้ายป้าแก้วไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกได้ ต้องยอมพาลูกไปหา “ลุง” ป้าแก้วไปตามทางที่ลูกเป็นคนนำเข้าไปในป่า จนมาหยุดอยู่ตรงศาลพระภูมิไม้เก่า ๆ พอถึงตรงนั้นแล้วลูกของป้าแก้วก็เดินตรงไปที่เครื่องเซ่น แล้วหยิบมากิน! ลูกของป้าแก้วพูดว่า “เนี่ยไง บ้านลุง!” ป้าแก้วรีบห้ามลูก แล้วพากลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็อาละวาดพยายามจะกลับไปหา “ลุง” อีกให้ได้ ตอนนั้นป้าแก้วก็ต้องออกไปเก็บเห็ดทำสวน จะเอาลูกไปด้วยตลอดเวลาก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจขังลูกไว้ในห้องตอนตัวเองไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งเมื่อกลับมาจากการทำงาน บ้านก็ดูเงียบผิดสังเกต เมื่อไปดูที่ห้องก็พบลูกนอนตายอยู่! มีลักษณะเหมือนว่าพยายามจะเอามือข่วนไปที่กำแพง และยังมีเลือดอาบเต็มหัว เหมือนเอาหัวโขกไปที่กำแพงอยู่หลายรอบ เสียงที่คุณบอลและเพื่อนได้ยิน คงจะเป็นจิตสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่เอาหัวโขกกำแพง เพื่อที่จะพยายามพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปให้ได้นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

22 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'อยากฟังเรื่องผีมั๊ย' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [18 ก.พ. 2568]

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน อยู่ดี ๆ ก็พิมพ์ข้อความมาหากลางดึกว่า อยากฟังเรื่องผีมั๊ย? พอตอบตกลงก็ทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวความหลอน! เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ‘ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่ากลัวมาก ถ้าพร้อมเเล้วก็ไปอ่านกันเลย! พี่เเจ็คเล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณลมหนาว’ เเฟนคลับจากรายการ The Ghost Radio โดยตัวของคุณลมหนาวในสมัยเรียนก็มีเพื่อนเยอะเเยะมากมาย เเต่พอจบการศึกษาก็ทำให้เเต่ละคนก็ต้องเเยกย้ายกันไป ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ มีอยู่คืนหนึ่ง คุณลมหนาวได้รับข้อความจากเพื่อนที่มีชื่อว่า ‘คุณบี’ ตอนแรกคุณลมหนาวก็ไม่ได้สนใจข้อความนั้น จนมีข้อความที่สองตามมา เเต่คราวนี้เป็นการเรียกชื่อของคุณลมหนาวเเทน จึงเอะใจคิดว่า เพื่อนจะมีธุระด่วน คุณลมหนาวจึงกดเข้าไปอ่านเเละตอบกลับไป ทั้งคู่ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ในตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว คุณลมหนาวจึงถามว่า ทำไมคุณบีถึงยังไม่นอน คุณบีตอบกลับมาว่า ‘พอดีทีวีที่บ้านเสีย’ คุณลมหนาวก็คิดอยู่ในใจว่าแล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร จากนั้นคุณบีก็ได้เงียบหายไปสักพักเเละพิมพ์ข้อความกลับมาอีกครั้งว่า ‘อยากฟังเรื่องผีมั๊ย?’ เเละด้วยความอยากรู้ คุณลมหนาวจึงตอบตกลงไป ไม่นานหลังจากนั้น คุณบี ก็โทรมาเเละเล่าให้คุณลมหนาวฟังว่า.. หลังจากที่เรียนจบไปก็ได้เเยกกับเพื่อน ๆ เพื่อไปชีวิตของตัวเอง ซึ่งตัวของคุณบีก็มีคุณยายหนึ่งคน คุณยายเคยให้สัญญากับคุณบีไว้ว่า ถ้าคุณบีเรียนจบก็จะสร้างบ้านให้ 1 หลัง บนที่ดินที่ไปซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อน ปรากฎว่าหลังคุณบีเรียนจบ คุณยายก็สร้างบ้านให้จริง ๆ ในตอนนั้นชีวิตของคุณบีรู้สึกว่าทุกอย่างลงตัวมาก เพราะที่ทำงานก็อยู่ใกล้กับครอบครัว บ้านก็อยู่ใกล้กัน แต่เเล้วคืนหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นภายในบ้านของคุณบี ส่วนตัวของคุณบีจะเป็นคนที่ชอบเปิดเสียงฝนเเบบธรรมชาติเพราะช่วยให้นอนหลับได้ เเต่วันนั้น กลับมีเสียงของคนสูงอายุเเละเด็กเเทรกเข้ามาด้วย แม้จะเป็นเสียงที่เบามากจนจับใจความไม่ได้ ทำให้อีกใจก็คิดไปว่าตนนั้นอาจจะหูแว่วไปเอง แต่เสียงที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก คุณบียังคงได้ยินเสียงแทรกเข้ามาแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็มีเสียงคนกระแอมแทรกเข้ามา พักหลังคุณบีเริ่มนอนไม่ค่อยหลับบ่อยขึ้น จึงเลือกที่จะเปิดทีวีเพื่อใช้กลบเสียงเหล่านั้นไป พอทุกอย่างผ่านไปจนถึงในช่วงที่คุณบีได้หยุดงาน คุณบีจึงทำงานบ้านทุกอย่างให้เสร็จเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อน ระหว่างที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น คุณบีก็ได้ยินเสียงกรนของใครบางคน ในตอนเเรกเหมือนต้นเสียงนี้จะอยู่ไกลจากคุณบี เเต่มันก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ข้างหู ทำให้คุณบีสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เเละพยายามมองหาต้นเสียงภายในห้อง เเต่เสียงนั้นก็เงียบหายไป คุณบีรู้สึกเหมือนว่าเจ้าของเสียงกรนรู้ตัวว่าคุณบีพยายามที่จะมองหา หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้คุณบีเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งเสียงเท้าที่เดินในบ้าน เสียงเด็กวิ่ง เสียงของคนเเก่เเละเด็กคุยกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณบีเลิกงานดึกเเล้วกลับมาที่บ้าน ในตอนนั้นคุณบีกำลังจะทำอาหาร เเต่อยู่ ๆ ทีวีที่อยู่บริเวณห้องโถงก็เปิดขึ้นเอง เเละมันก็เร่งเสียงเองจนดังไปทั่วทั้งบ้าน คุณบีตกใจเเละจะเดินเข้าไปปิดทีวี เเต่ก็ต้องหันหลังกลับเพราะชามที่วางไว้อยู่บนเคาเตอร์อยู่ ๆ ก็ตกเเละเเตกทีละใบ คุณบีที่จะรู้อยู่เเล้วว่าบ้านหลังนี้มีอะไรเเปลก ๆ วันนั้นจึงหมดความอดทนเเละตะโกนด่าไปว่า “ถ้าพวกมึงจะทำให้กูกลัวเเบบนี้เพราะหวังให้กูทำบุญให้ ตั้งศาลให้ กูไม่ทำหรอกนะ ที่นี่บ้านกู..” แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยค ไฟในบ้านทุกดวงก็ได้ดับลง เเละมีเสียงของคนเเก่มาพูดจากด้านหลังของคุณบีว่า “กูได้ยินมึงนะ” คุณบีได้ยินดังนั้นก็ทิ้งทุกอย่างเเละวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องนอนชั้น 2 ผ่านไปได้ประมาณ 2 - 3 นาที ไฟในบ้านก็ได้ติด เเต่หลังจากเจอเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้คุณบีเลือกที่จะนอนทันที ไม่ทำอาหารแล้ว เเต่ในระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับ คุณบีก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังขึ้นจากชั้นล่างเดินขึ้นมาเเละหยุดที่หน้าประตูของห้องนอน แล้วเสียงก็เงียบไป คุณบีคิดว่าทุกอย่างคงจบเเค่นี้ เเต่เสียงนั้นกลับดังอีกครั้ง กลับกันคราวนี้เสียงนั้นอยู่ในห้องนอนบริเวณรอบเตียงเเทน เสียงเดินสลับกับเสียงเด็กวิ่งไปมารอบ ๆ เตียง เเต่ด้วยความที่คุณบีปิดไฟนอนเเล้วทำให้ไม่มองไม่เห็นอะไรมาก เเต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่างให้หันไปมองที่ปลายเท้า พอคุณบีหันไปมอง ก็ได้เห็นร่างคนเเก่หลังค่อม ดวงตากลวงโบ๋ยืนยิ้มอยู่ที่บริเวณปลายเท้า! คุณบีไม่สามารถส่งเสียงร้องหรือลุกขึ้นยืนได้จึงพยายามที่จะหันหน้าหนี เเต่พอหันหน้าหนีมาอีกฝั่ง คุณบีก็ได้เห็นเด็กคนหนึ่งยืนเกาะอยู่ที่บริเวณขอบเตียง พอเห็นเเบบนั้นคุณบีก็รู้สึกเหมือนภาพตัดเเละหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งเเรกที่คุณบีทำคือขับรถไปที่บ้านของคุณยาย เเละเล่าเรื่องให้คุณยายฟัง เเต่คุณยายก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไร เพราะบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านที่พึ่งสร้างใหม่ คุณยายจึงเเนะนำให้ไปหาพ่อหมอคนหนึ่งที่รู้จัก คุณบีรีบเดินทางไปหาพ่อหมอคนนั้น พอถึง คุณบีก็ได้เล่าทุกอย่างให้พ่อหมอฟัง พ่อหมอจึงตัดสินใจที่จะมอบยันต์ที่ปลุกเสกให้กับคุณบี เพื่อที่จะให้นำกลับไปติดไว้ที่บ้าน เเต่ข้อเเม้ก็คือ คุณบีต้องเเปะยันต์นี้ก่อนที่ตะวันจะตกดิน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นเเล้ว คุณบีรีบขับรถกลับบ้านเเละเเปะยันต์ทันที หลังจากเเปะเสร็จ ก็ไปอาบน้ำ และรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าเสียงทุกอย่างเงียบสงัดไม่มีเสียงเดิน ไม่มีเสียงคนคุยกัน คุณบีจึงตัดสินใจที่จะนอนหลับ ถึงเเม้ว่าจะไม่มีเสียงอะไรก็ตาม แต่คุณบีก็ได้เห็นร่างคนแก่ชัดมากยิ่งขึ้น คนเเก่คนนั้นได้ยืนจ้องเเละชี้นิ้วมาทางคุณบี เเละคุณบีก็ไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนเสียงฝีเท้าของเด็กที่วิ่งรอบเตียงเปลี่ยนมาวิ่งบนเตียง ที่หลอนกว่านั้นคือมีแค่ข้อเท้ากับกระพรวนไม่มีตัว! จากนั้นคุณบีก็ได้สลบไป เช้าวันถัดมาพอคุณบีตื่นขึ้น ก็รีบขับรถไปที่ตำหนักของพ่อหมออีกครั้งเพื่อที่จะขอให้พ่อหมอช่วย เเต่คราวนี้พ่อบอกว่า “กูช่วยไม่ได้เเล้วละ” จากนั้นพ่อหมอก็ได้เริ่มเล่าให้ฟังว่า.. บ้านของคุณบีถูกสร้างบนที่ดินของคนเเก่คนหนึ่งที่เคยอยู่ตรงนั้น เเล้วโดนฟ้าผ่าตาย ทำให้จิตผูกเอาไว้กับที่นั้น ส่วนเด็กคนนั้นเป็นกุมาร ซึ่งตัวของคุณบีเป็นคนไปเรียกเขามาเอง ทำให้คุณบีนึกขึ้นได้ว่า คุณบีเคยไปงานศพของครอบครัว ในตอนที่กำลังจะกลับ คุณบีก็ได้ตะโกนถามญาติผู้ใหญ่ไปว่า ‘ใครจะกลับด้วยกันไปเร็ว ขึ้นรถเลย’ จากเหตุการณ์นี้ทำให้มีวิญญาณตามคุณบีกลับมาด้วย พ่อหมอจึงเเนะนำว่า ให้ไปหาท้าวเวสสุวรรณมาตั้งไว้ในบ้านเเละบอกให้คุณบีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย เพราะตั้งแต่อยู่มา คุณบียังไม่เคยทำบุญบ้าน หลังจากคุยกับพ่อหมอเสร็จ คุณบีก็ขับรถกลับมาที่บ้านของคุณยายเเละพูดคุยกันในเรื่องนี้ ซึ่งคุยยายได้ฟังก็ตกใจเพราะไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อ จะมีเจ้าของที่คนเก่าเสียชีวิต หลังจากคุยกันเสร็จคุณยายก็ตัดสินใจว่าจะนำท้าวเวสสุวรรณมาให้คุณบีเเละบอกกับคุณบีให้นอนที่บ้านนี้ก่อน เเล้วในวันรุ่งขึ้นก็ได้นิมนต์หลวงพ่อเพื่อมาทำพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น ในกลางดึกคืนนั้น คุณบีก็ได้ฝันเห็นเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเเละพูดว่า “พ่อ หนูขออยู่ด้วยได้ไหม ไหน ๆ พ่อก็เรียกหนูมาเเล้ว หนูขออยู่ด้วยนะ” ซึ่งในความฝันนั้น คุณบีได้ตอบตกลงไป หลังจากสิ้นคำตอบคุณบีก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้น หลังจากผ่านคืนนั้นไป บ้านทั้งหลังก็ปกติ เเต่ก็ยังคงมีเสียงวิ่ง เสียงคนเเก่บ้างในบางวัน จนทำให้ทุกวันนี้คุณบีต้องนอนเปิดทีวีทุกคืนตลอดมา..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ลูกสาวไปเล่นที่สนามใกล้โรงเรียนกับเพื่อน แต่เจอร่างปริศนา เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหัวแยกออกจากร่าง! ด้วยความหวังดี แม่จึงบอกไปว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นก็เจอเรื่องแปลก ๆ ขณะจอดรถ เพราะเซนเซอร์รถร้องดัง ทั้ง ๆ ที่รอบรถไม่มีอะไรเลย!

10 มี.ค. 2024

ลูกสาวไปเล่นที่สนามใกล้โรงเรียนกับเพื่อน แต่เจอร่างปริศนา เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหัวแยกออกจากร่าง! ด้วยความหวังดี แม่จึงบอกไปว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นก็เจอเรื่องแปลก ๆ ขณะจอดรถ เพราะเซนเซอร์รถร้องดัง ทั้ง ๆ ที่รอบรถไม่มีอะไรเลย!

ลูกสาวพบศพปริศนาอยู่ใกล้โรงเรียน แม่หวังดีจึงบอกกับศพว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นสองสามวัน เซนเซอร์รถก็ดังทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ใกล้รถ! เรื่องนี้ ‘คุณหนิง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เซนเซอร์เจอผี’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณหนิงเล่าว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองไทยและเกิดเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตอนนั้นเป็นช่วงพายุเข้า อากาศหนาวอุณหภูมิติดลบประมาณ -17 ถึง -22 องศาเซลเซียส ปกติแล้วหากเป็นฤดูหนาวที่เมืองนี้จะมีหิมะตก แต่วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง โรงเรียนของ ‘หนูนิด’ (นามสมมติ) ลูกสาวของคุณหนิงจึงพาเด็ก ๆ ไปเล่นที่สนามกีฬาใกล้โรงเรียน หนูนิดเล่นอยู่บริเวณนั้นกับเด็กผู้หญิงอีก 2 คน ดูเหมือนว่าเด็กสาวทั้งสามจะชอบเล่นซ่อนแอบตามพุ่มไม้เป็นพิเศษ เวลาบ่ายสองเป็นช่วงที่โรงเรียนใกล้เลิก หนูนิดโทรมาหาคุณหนิงแล้วพูดว่า “แม่ หนูคิดว่าหนูเจอ Dead Body!” คุณหนิงจึงรีบใส่เสื้อกันหนาวแล้วกระโดดขึ้นรถ ระหว่างนั้นก็คุยกันว่า “ลูกอยู่ไหน?” คุณหนิงดู GPS ตำแหน่งของลูกไปด้วย เพราะหนูนิดอธิบายไม่ถูกและตื่นเต้น คุณหนิงถามว่า “มีผู้ใหญ่ไหม?” หนูนิดก็ตอบว่า “มี แต่โทรหาครูไม่ติด” ระหว่างนั้นเด็กอีก 2 คนก็วิ่งไปตามครู คุณหนิงจึงถามลูกว่า “ตายจริงหรือเปล่า” หนูนิดที่อยู่กับร่างปริศนาเพียงลำพังก็ตอบมาว่า “ไม่รู้ หนูไม่รู้” จากที่เห็นตำแหน่งของลูกใน GPS ตรงนั้นเป็นหน้าผาที่สามารถเล่นสกีได้ คุณหนิงจึงสันนิษฐานกับตัวเองไปว่าร่างนั้นอาจจะตกลงมาหรือเกิดอุบัติเหตุก็เป็นได้ หนูนิดยังบอกว่า “มันอยู่ใกล้ทางเดิน แต่มันอยู่ในพุ่มไม้” คุณหนิงจึงบอกว่า “ไปดูซิ ว่าเขาตายไหม?” หนูนิดจึงเข้าไปดูคนเดียว บริเวณนั้นเป็นที่โล่ง ข้างหน้าฝั่งตรงข้ามเป็นสนามบอลซึ่งมีรั้ว 2 อัน คุณหนิงจึงคิดว่า ‘ใครจะมาตายตรงนั้นมันใกล้ทางคนเดินมากเกินไป’ หนูนิดไปยืนตรงร่างนั้นแล้วถามว่า “ตายหรือยัง ถ้ายังไม่ตาย ยกมือขึ้น!” ร่างนั้นไม่ตอบสนอง หนูนิดรีบบอกคุณหนิงว่า “แม่ หนูว่าเขาตายนะ เขาไม่ตอบหนู” คุณหนิงจึงบอกให้ลูกออกมาให้ห่างจากศพ ทันทีที่คุณหนิงไปถึงที่เกิดเหตุก็รีบวิ่งเข้าไปกอดลูกสาว ในตอนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งมายืนรอเป็นเพื่อนหนูนิดอยู่ก่อนแล้ว---- เมื่อครูมาถึงที่เกิดเหตุก็โทรแจ้งตำรวจ เพื่อนของหนูนิดอีก 2 คนก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน แต่เด็กทั้ง 3 คนไม่มีท่าทีตกใจ โดยเฉพาะเพื่อนของหนูนิด ระหว่างที่รอตำรวจ คุณหนิงก็บอกว่า “กลับบ้านได้แล้ว กลับดี ๆ ล่ะ” คุณหนิงคิดว่าคนตายอาจจะยังไม่รู้ตัว ด้วยความหวังดีจึงบอกออกไปแบบนั้น เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็พาคุณหนิงไปนั่งที่ไกล ๆ และเริ่มสอบสวน เด็ก ๆ บอกว่า ตรงนั้นมีศพ เห็นเชือก และคิดว่าอาจจะปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาหรือผูกคอตาย ตอนที่คุณหนิงที่ไปยืนเฝ้าศพกับเด็ก ๆ คุณหนิงก็ถามผู้ใหญ่ที่มายืนเป็นเพื่อนน้องหนูนิดว่า “เธอว่าเขาตัดสินใจเองหรืออุบัติเหตุ?” เขาก็ตอบว่า “ตัดสินใจเอง” คุณหนิงก็เอะใจว่าคนนี้รู้ได้อย่างไร หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็ให้ปากคำ คุณหนิงเองก็นั่งอยู่ด้วย ได้ใจความว่า “ตัวอยู่ตรงนั้น จมหิมะ มีบุหรี่ ผ้าพันคอ หมวก ร่างและหัวตั้งอยู่อีกทาง” คุณหนิงจึงมีข้อสงสัยและข้อสังเกตผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ถ้าผูกคอตายแล้วหล่นลงมา ทำไมหัวถึงหลุด? เรื่องอากาศที่ติดลบ -17 องศาเซลเซียส อาจจะมีคนที่เดินผ่านแต่ไม่ได้กลิ่น? และร่างนั้นนอนคว่ำมีหิมะบังอยู่ เมื่อมีรถหิมะผ่านมาทำไมถึงไม่เจอ? แล้วหัวนั้นไปตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบได้อย่างไร? เด็ก ๆ อธิบายเพิ่มเติมว่าร่างนั้นมีหนวดเครา หลับตาสนิท เมื่อให้ปากคำเสร็จ จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน---- สองสามวันถัดมา คุณหนิงได้เจอกับน้องที่เปิดร้านอาหารที่มีการทำบุญอยู่เป็นประจำ คุณหนิงจึงพูดว่า “พี่ฝากทำบุญให้คนนี้หน่อย” เพราะคุณหนิงฝันเห็นจึงฝากทำบุญไปให้ สองวันถัดมาเป็นวันอังคาร เวลาประมาณบ่าย 2 โมงกว่า คุณหนิงกำลังขับรถเข้าที่จอด ก็เห็นอะไรแว๊บ ๆ จึงถอยรถ จากนั้นก็ขับเข้าไปทำให้เสียงแจ้งเตือนของรถก็ดังขึ้น ซึ่งรถของคุณหนิงจะใช้กล้องเทสลาที่มีเรดาร์รอบรถ เมื่อขับเข้าไปแต่ไม่มีอะไร แปลกที่เรดาร์กลับทำงาน เมื่อดูภาพจากกล้องคุณหนิงเห็นเป็นเงาคนที่ไม่มีหัว! คุณหนิงจึงถอยเข้า-ถอยออก เซนเซอร์รถก็จับได้อีก 2 รอบ วันถัดมาคุณหนิงก็ลองอีกครั้งแต่ก็ไม่เจออะไรที่เป็นต้นเหตุให้เซนเซอร์ทำงาน วันที่ 3 ก็ลองอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มีเหมือนเดิม เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ระหว่างที่คุณหนิงนอนหลับอยู่ ก็มีผู้ชายมาเข้าฝันซึ่งเป็นคนน่ารักมาก มาบอกว่า 054 และทะเบียนรถของคุณหนิง 644 คนรู้จักของคุณหนิงถูกหวยกัน แต่คุณหนิงไม่ถูกเพราะไม่ได้เล่น ก่อนที่คุณหนิงจะมาที่ประเทศไทย คุณหนิงบินมาเมื่อวันที่ 19 คืนวันที่ 18 ก็เคลียร์รถ ในท้ายรถว่างจึงนำกระเป๋ามาเก็บ หนูนิดรู้สึกหนาวจึงอยู่ในบ้าน คุณหนิงบอกกับหนูนิดว่า “เอากระเป๋ามาไว้หน้าบ้านนะ เดี๋ยวแม่จะยกขึ้นรถเอง” คุณหนิงก็ยกของไปวาง คุณหนิงเห็นหนูนิดมาช่วย ณ ตอนนั้นคุณหนิงอยู่ท้ายรถ ก็เห็นเป็นเงาอ้อมไปข้างหลัง จึงคิดว่าไม่พ่อก็ลูกมาเปิดท้ายรถ คุณหนิงหันไปปรากฏว่า ไม่มีใครและหนูนิดอยู่หน้าประตูบ้าน คุณหนิงก็คิดว่ามาอีกแล้ว… คุณหนิงบอกหนูนิดว่า “ขึ้นรถกับแม่ เดี๋ยวเข้าที่จอด” แต่วันนั้นจอดที่ประจำซึ่งสามารถชาร์จรถได้ หนูนิดบอกว่า “หนูหนาว” คุณหนิงก็บอกว่า “หนูหนาวไม่เป็นไร หนูนั่งในรถ พอแม่ชาร์จรถเสร็จ แล้วแม่เดินมาท้ายรถลูกค่อยออก” จากนั้นคุณหนิงก็เดินมาท้ายรถ และสงสัยว่าทำไมหนูนิดไม่ออกมาตามที่ตกลงกันไว้ หนูนิดนั่งอยู่พักหนึ่งก็เปิดประตูออกมาแล้วพูดว่า “แม่ ใครอยู่ข้างหลัง” คุณหนิงก็ถามว่า “เงาแม่หรือเปล่า?” สิ่งที่หนูนิดเห็นคือมันออกมาจากอีกเสา แล้วมาจบที่อีกเสา แล้วก็หายไป เป็นผู้ชายสูง ๆ ที่มีผ้าพันคอ แต่ไม่เห็นช่วงหัว! ซึ่งตอนนี้คุณหนิงบินมาไทยก็บอกว่า เขาก็คงเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปหาใคร…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1