เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

อังคารคลุมโปง RECAP

เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

04 พ.ค. 2024

            เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘อีเว้นท์หลอน โรงแรมเฮี้ยน’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

            เรื่องนี้พี่แจ๊คได้ฟังมาจาก ‘คุณโบนัส’ โดยมีตัวละครในเรื่องคือน้องที่เป็นดีเจ ชื่อว่า ‘ตั้ม’ และวงดนตรีวงหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง คุณตั้มโทรมาหาคุณโบนัสว่า

            “พี่ มีคนมาจ้างให้เราไปเล่นดนตรีในงานอีเว้นท์ แต่สถานที่จัดคือในผับที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ พี่สนใจมั้ย งานคืนเดียว”

            คุณโบนัสก็คิดว่า ‘อย่างงี้ก็ดีเลยสิ งานคืนเดียว’ คุณโบนัสจึงตอบคุณตั้มไปว่า

            “โอเค คืนเดียวเอง”

            ทุกอย่างดูลงตัว เพราะในตอนนั้นตัวของคุณโบนัสเองก็อยู่ที่หัวหินซึ่งใกล้กับเส้นทางลงใต้พอดี

            แต่ก่อนจะงานนั้น คุณโบนัสก็ไปเช็คเพื่อความชัวร์กับวงดนตรีที่โดนจ้างงานเดียวกันว่า “มีงานนี้วันเดียวกันรึป่าว” เพราะกลัวโดนหลอก วงดนตรีวงนั้นก็ตอบว่า “ใช่ ๆ วันเดียวกันงานเดียวกันเลย” คุณโบนัสได้ยินก็รู้สึกสบายใจ จึงบอกกับนักดนตรีวงนั้นว่า “เดี๋ยว เจอกันที่นู่น”

            เมื่อวันงานมาถึง คุณโบนัสและคุณตั้มก็เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณบ่ายโมง ถึงสถานที่จัดงานประมาณ 4 - 5 โมงเย็น พอไปถึงจุดหมาย ทั้งสองเริ่มเอะใจ เพราะโดยปกติแล้ว สถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อว่าผับ ถ้าไม่อยู่ติดริมถนน ก็ต้องอยู่ใจกลางเมือง แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากถนนและเข้าไปลึกมาก ยิ่งขับรถเข้าไปก็ยิ่งเหมือนอยู่ในชนบท สิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากที่ขับเข้ามา คือ โรงแรมเก่า 10 ชั้น พอขับเลยโรงแรมไปเจออาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ 3 ห้อง เป็นเหมือนกับร้านอาหาร ถัดจากอาคารพาณิชย์ คือสถานบันเทิงหรือผับ ลักษณะของผับนี้เป็นผับที่มีขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่

            เมื่อเห็นว่าสถานบันเทิงแห่งนี้คือสถานที่ที่จะต้องทำงานในคืนนี้ ก็หันไปเห็นเจ้าของผับที่กำลังจัดเตรียมงานอยู่ คุณโบนัสและคุณตั้มลงจากรถ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าของผับ แล้วพูดว่า

            “ผมขอเข้าไปข้างในเพื่อที่จะเตรียมตัว Sound check ก่อนที่จะเล่นจริง”

            เจ้าของผับก็อนุญาต เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าบรรยากาศข้างในก็เหมือนกับผับทั่วไปที่มีโต๊ะวางเต็มไปหมด มีบูธดีเจอยู่ข้างหลัง ส่วนเวทีสำหรับนักดนตรีอยู่ข้างหน้า ตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับแขก จากนั้นทั้งสองก็เตรียมตัว Sound check เวลาผ่านไปสักพัก นักดนตรีก็เดินทางมาถึง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 - 6 โมงเย็นแล้ว นักดนตรีทุกคนก็ขึ้นไปเตรียมตัวบนเวทีเพื่อที่จะทำการ Sound check ทั้งนักดนตรีและดีเจต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

            ระหว่างที่คุณโบนัสกำลังทำการ Sound check  คุณตั้มก็เดินมากระซิบคุณโบนัสว่า “พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ”

            คุณโบนัสถามกลับ “ทำไมอ่ะ”

            “พี่ดูดิโต๊ะเป็นร้อยเลย ทำไมพนักงานเสิร์ฟมันน้อยจังวะ” คุณตั้มพูด

            คุณโบนัสที่อยู่ข้างบนก็มองลงมาข้างล่าง เห็นว่ามีโต๊ะเป็นร้อยจริง ๆ แต่เห็นพนักงานเสิร์ฟประมาณ 5 คน ที่กำลังทำงานอยู่ คุณโบนัสก็พูดว่า

            “พนักงานคนอื่นมาทีหลังมั้ง เดี๋ยวก็คงจะมาสมทบกันอะไรอย่างงี้”

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมีงานอีเว้นท์เช่นนี้ พนักงานทุกคนจะต้องมารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อที่จะทำงาน ทั้งสองคุยกันจบก็แยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตนจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก แล้วเจ้าของก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวไปพักโรงแรมที่ขับผ่านมาได้เลย ที่เป็นตึก 10 ชั้น”

            คุณโบนัสก็บอกว่า “โอ้ววว ดีจังเลยใกล้ ๆ” 

            ตัวคุณโบนัสกับคุณตั้มจึงออกจากสถานที่จัดงานมาที่โรงแรม พอถึงก็เช็คอิน ซึ่งบรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างที่จะเงียบเหงา แต่สภาพของโรงแรมแห่งนี้ถือว่าดูดีเลยทีเดียว คุณโบนัสเดินเข้าไป แล้วบอกกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ถูกจองไว้แล้วโดย เจ้าของผับนี้”

            พนักงานยื่นกุญแจห้องให้ แล้วบอกว่า “พี่เลือกห้องเลย”

            ตัวเลขที่ปรากฏบนกุญแจนั้นขึ้นต้นด้วยเลข 6 ทุกอัน คุณโบนัสจึงถามไปว่า “อยู่ชั้น 6 ใช่มั้ย”

            พนักงานตอบกลับไปว่า “ใช่”

            คุณโบนัสจึงเลือกห้อง 602 ที่เป็นห้องต้น ๆ พอเลือกห้องรับกุญแจเสร็จ ก็เตรียมกระเป๋าจะขึ้นไปที่ห้องที่ตัวเองเลือกไว้ แต่พนักงานก็บอกว่า “พี่กดลิฟต์แล้วขึ้นไปชั้น 6 เลยนะพี่ ไม่ต้องแวะชั้นไหนนะ”  

            คุณโบนัสก็ตอบไปว่า “จะให้แวะชั้นไหนล่ะ”

            พนักงานตอบว่า “อ้อ ชั้น 4 เนี่ย มันมีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนสพี่ไม่ต้องแวะนะ พี่ขึ้นไปก่อนเลย”

            คุณโบนัสกับคุณตั้มก็ทำตามที่พนักงานบอก ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 6 พอลิฟต์เปิด ก็เห็นว่าสภาพทางเดินดูเก่า ส่วนพรมที่ปูอยู่ก็มีกลิ่นเหม็นอับ

            ส่วนห้อง 602 ก็แปลก ลักษณะของโรงแรมนี้มีสองฝั่ง เป็นฝั่งคี่กับฝั่งคู่ ถ้าห้อง 601 อยู่ฝั่งนี้ ห้อง 602 ก็จะอยู่ตรงข้าม แต่ห้อง 602 ดันอยู่ประตูถัดไป ประตูห้องที่ควรจะเป็นห้อง 602 ก็เหมือนมีการย้ายตัวเลข คุณโบนัสคิดว่า อาจจะเป็นห้องเก็บของ ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง 602 ก็เข้าไปพักผ่อนเล่นเกมในห้อง

            หลังจากนั้นนักดนตรีก็เดินขึ้นมาหาที่ห้อง แล้วถามว่า “ทำไมไม่อยู่ห้องแรกวะ” เพราะนักดนตรีนึกว่ามาก่อนก็จะได้อยู่ห้องแรก คุณโบนัสจึงบอกไปว่า “เนี่ยห้องแรก ไอห้องนั้นมันน่าจะเป็นห้องเก็บของ”

            ระหว่างนั้นเขาก็นั่งเล่นเกมนั่งพักผ่อนไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินไปเปิดม่านดูวิวรอบ ๆ โรงแรม ก็เห็นว่า ชั้น 4 เป็นสระว่ายน้ำ จึงคิดว่าหลังจากเล่นดนตรีเสร็จก็จะมาเล่นน้ำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ใกล้เวลาที่จะต้องทำงานแล้ว คุณโบนัสและคุณตั้มจึงเตรียมตัวออกจากโรงแรม

            หลังจากออกจากโรงแรม คุณโบนัสกับคุณตั้มก็เดินทางไปที่ผับ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาคือ ‘ทำไมมันมืดจัง ไฟหน้าผับทำไมถึงไม่เปิด แต่ไฟที่อยู่ในตัวตึกอ่ะเปิด มีพีอาร์ งานทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย แต่ไฟป้ายไม่เปิด’ คุณโบนัสจึงเดินเข้าไปถามพีอาร์ว่า “ทำไมมันดูมืดๆ”

            พีอาร์ตอบว่า “อ้อ ไฟป้ายเขาเปิดเป็นเวลาพี่ ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็เปิดเอง”

            คุณโบนัสจึงพูดแซวไปว่า “พี่ไม่ได้มาผิดงานผิดวันแน่นะ’’

            พีอาร์ตอบว่า “ไม่ผิดหรอกพี่ เนี่ยแขกมากันแล้ว”

            จากนั้น คุณโบนัสและคุณตั้มก็เดินเข้าไปข้างใน

            สิ่งที่เห็นภายในร้านก็คือ โต๊ะที่ถูกจัดไว้ ส่วนบริเวณรอบ ๆ มีเครื่องดื่มวางอยู่ แต่เป็นเครื่องเดิมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วก็มีอาหารวางอยู่ พร้อมให้กิน คุณโบนัสเห็นแบบนั้นก็พูดว่า “คนที่นี่เขาแปลกว่ะ บางโต๊ะยังไม่มีแขกเลย แต่เอาอาหารไปวางไว้” และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นคือพนักงานก็ยังมีเท่าเดิมคือ 5 คน

            นอกจากนี้ คุณโบนัสยังสังเกตเห็นว่า บางโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่มันก็มีคนนั่งอยู่จริง ๆ ตัวคุณโบนัสอยู่ข้างหลัง ก็เห็นแขกทุกคนนั่งหันหลังให้กับดีเจทั้งหมด เพราะหน้าต้องหันไปทางเวที ตัวคุณโบนัสเห็นว่าแขกก็มาแล้ว สักพักนักดนตรีก็มา และขึ้นไปเตรียมตัวบนเวที หลังจากนั้นคุณตั้มก็เดินมาถามคุณโบนัสว่า

            “พี่ พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ ปกติแล้ว เวลาเรามางานอะไรแบบนี้ มันต้องมีพนักงานของสถานบันเทิงอยู่กับเราด้วยสิ แต่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่จากทางผับมาดูแลพวกเราเลย มีแค่พวกเรากับนักดนตรีแค่นั้น”

            คุณโบนัสจึงให้คุณตั้มเดินออกไปถามข้างนอกว่า มีใครพอจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้บ้างหรือไม่ หลังจากที่คุณตั้มออกไป อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งมาหน้าตาตื่นแล้วพูดว่า “พี่! ออกไม่ได้ประตูล็อค! ไอประตูกระจกข้างหน้ามันล็อคแบบออกไม่ได้เลย”

            คุณโบนัสเดินไปดูที่ประตู ปรากฏว่ามันล็อคจริง ๆ คุณโบนัสรีบหยิบโทรหาเจ้าของทันที เมื่อเจ้าของรับสายก็ถามไปว่า “พี่ ทำไมถึงล็อคประตูอ่ะ”

            ปลายสายบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกผมจ้างคุณมาเล่นคุณก็เล่นไป ถ้าคุณไม่เล่นผมฟ้อง แขกอยู่ข้างในแล้วคุณเล่นเลย”

            พอคุยกับเจ้าของเสร็จ คุณโบนัสก็หันกลับมามองภายใน เห็นว่ามีแขกนั่งอยู่ แต่พนักงานเสิร์ฟไม่มีสักคน บางโต๊ะก็เต็ม บางโต๊ะก็มีแค่ 2-3 คน จากนั้นก็สังเกตว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรีอยู่ แต่ทุกคนไม่มีอารมณ์ร่วมเลย นักดนตรีจึงเดินมาคุยกับคุณโบนัสว่า “เห้ย พี่ผมเล่นไม่ออกว่ะ”

            คุณโบนัสก็ถามว่า “ทำไมอ่ะ ก็มีแขกอยู่ก็เล่นได้หนิ”

            นักดนตรีตอบกลับว่า “พี่ ก็พี่อยู่ข้างหลัง พี่ไม่หรอก พี่ลองเดินไปดูข้างหน้าดิ แขกแต่ละคนนั่งแบบเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วมอ่ะ เหมือนนั่งกันเฉย ๆ”

            คุณโบนัสบอก “ไม่เป็นไรโทรคุยกับเจ้าของแล้ว ถ้าเราไม่เล่นเขาจะฟ้อง เพราะเราเซ็นสัญญาไว้แล้ว” คุณโบนัสก็พูดอีกว่า “ผับนี้มันปิด ตี 1 เราเล่นแปปเดียว” เพราะตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็ได้เวลาที่จะเล่น รวมเวลาเล่นก็ประมาณ 4 ชั่วโมง

            เวลาก็ผ่านไป บนเวทีส่งสัญญาณมา ตัวคุณโบนัสหลังจากดนตรีเล่นเสร็จก็รีบมาเป็นดีเจต่อ เปิดเพลงมาครึ่งชั่วโมง เล่นจนถึงตี 1 พอถึงตี 1 ประตูก็เปิด พนักงานยืนอยู่ข้างหน้า คุณโบนัสจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมาถามว่า “เห้ย มันเกิดไรขึ้นวะ เล่าให้ฟังหน่อย”

            พนักงานคนนี้ก็เล่าว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นอีเว้นท์จริง ๆ ซึ่งในอดีตผับนี้คนเที่ยวเยอะมากลูกค้าเยอะเลย เพราะมันเป็นผับที่ดังมาก ๆ ปรากฎว่าวันนึงมีคู่แข่งมาเปิดอีกทีนึง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ แล้วเขาว่ากันว่าคู่แข่งทำของใส่สถานที่แห่งนี้ ผับนี้เลยไม่มีคน ทางเจ้าของลงทุนไปเยอะไม่รู้ว่าจะทำยังไง มีคนแนะนำบอกลองวิธีนี้สิ เลี้ยงผี เลี้ยงผีในที่นี้คือเขาจะเอาตุ๊กตาไปวางที่รอบ ๆ บริเวณขอบ ๆ ที่ลูกค้ามองไม่เห็น แล้วก็ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี จะต้องจัดงานแบบนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นดนตรีปาร์ตี้ให้กับผีที่เลี้ยงเอาไว้ แล้วแขกที่เห็นนั่นคือ ไม่ใช่คนนะ นั่นคือผี และเขาก็ไม่ให้ใครเข้าไม่ให้ใครออกระหว่างที่ทุกอย่างกำลังทำการแสดง พอถึงเวลาพนักงานทุกคนต้องออกมาจากร้าน แล้วคือสิ่งที่นั่นอยู่ในนั้นน่าจะเป็นผี ที่เขาเลี้ยงเอาไว้”

            หลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว ก็กลับโรงแรมพร้อมกับนักดนตรี คุณตั้มและคุณโบนัสก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง พอกลับมาถึงห้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บของที่ห้องของตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาสังสรรค์รวมกันที่ห้องของคุณโบนัส

            ในวงสังสรรค์นั้น คุณโบนัสนั่งคุยกับคุณตั้ม มีนักดนตรีบางคนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำก็ไปเล่นน้ำ แต่ก็มีนักดนตรีสองคนที่อยู่นั่งคุยกัน อยู่ดี ๆ นักดนตรีคนหนึ่งก็บ่นว่า “เมื่อยว่ะ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาเห็นมีร้านนวดอยู่เดี๋ยวโทรไปข้างล่างให้ส่งหมอนวดขึ้นมานวด” จากนั้นนักดนตรีคนนี้ก็แยกตัวออกไปจากวงสนทนา แล้วก็มีนักดนตรีอีกคนที่นั่งอยู่กับคุณโบนัสระหว่างที่เล่นเกมและนั่งคุยกันอยู่ เขาพูดขึ้นว่า “เห้ยเดี๋ยวพี่ไปห้องแปปนึง ไปกินน้ำหน่อย” นักดนตรีคนนี้ก็เดินออกไปจากห้อง โดยที่ห้องของคุณโบนัสยังเปิดประตูทิ้งไว้

            แต่พอเขาเดินออกไปแปปเดียว อยู่ ๆ ทุกคนในห้องก็ได้ยินเสียงวิ่ง ตึกๆๆๆๆ นั่นคือเสียงวิ่งของนักดนตรีที่วิ่งมาจากห้องตัวเอง แล้วก็ตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ” แล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไป! ทุกคนต่างก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักนักดนตรีที่จ้างหมอนวดมานวดก็วิ่งมาจากห้อง ผ่านหน้าห้องคุณโบนัสแล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไปอีกคน

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คุณโบนัสสงสัย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะโรงแรมนี้ดูปกติทุกอย่าง จึงปิดประตูห้อง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน และให้คุณตั้มไปอาบน้ำก่อน ตอนนั้นประมาณตี 4-5 ระหว่างนั้นคุณโบนัสก็นั่งเล่นรอคุณตั้มอาบน้ำอยู่บนเตียง จากนั้น 10 นาที คุณตั้มก็เปิดประตูห้องน้ำ เดินมาที่เตียงแล้วสะกิดขาคุณโบนัสแล้วพูดว่า “พี่ ๆ กลับเถอะ”

            คุณโบนัสตอบไปว่า “กลับบ้าไรพึ่งตี 5”

            “เออพี่เชื่อผม พี่กลับเถอะ” คุณตั้มบอก

            คุณโบนัสที่รู้สึกแปลกใจก็ตอบไปว่า “เออกลับก็ได้”

            ทั้งสองเดินไปที่ลิฟต์แล้วลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามาเจอเพื่อนสองคนที่เป็นนักดนตรีนั่งอยู่ข้างล่าง คุณโบนัสถามว่าเกิดไรขึ้น ทั้งสองคนก็เล่าให้ฟังว่า

            คนแรกที่บอกว่าไปเรียกหมอนวดบอกว่า มีหมอนวดมาจริง ๆ เป็นผู้หญิงใส่เดรทสีแดง ให้ตนนอนคว่ำหน้า แล้วผู้หญิงคนนี้ก็นวดอยู่ข้างหลัง สักพักเขาก็เห็นเพื่อนอีกคนที่บอกว่าจะมากินน้ำ เดินผ่านหน้าประตูห้องแล้วมองเข้ามาเพื่อนก็ตกใจ เพราะเห็นผู้หญิงชุดเดรทสีแดงนั่งนวดอยู่ที่หลังเพื่อน ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะตัวเขียว ๆ ช้ำ ๆ เปียก ๆ กำลังนวดแล้วหันมายิ้มให้! เขาเลยวิ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ” แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เพื่อนที่นวดก็ตกใจ เขาก็เลยหันไปมอง ปรากฏว่าเห็นเป็นภาพเดียวกัน คือเห็นผู้หญิงตัวอืดตัวเขียวอยู่ข้างหลัง! แล้วก็วิ่งออกมาโดยที่ผ่านหน้าห้องคุณโบนัส

            เมื่อทราบเรื่องจากเพื่อนนักดนตรีทั้งสอง คุณโบนัสก็ถามคุณตั้มต่อว่า “แล้วทำไมเราต้องรีบกลับวะ” คุณตั้มบอกว่า “ตอนที่ผมเข้าไปอาบน้ำ และอยู่ในอ่างอาบน้ำ ผมก็รูดม่านมาปิดครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งมันก็จะมองเห็นชักโครก ปรากฎว่าตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่แล้วผมก็หันไปมองม่าน ผมว่าเห็นว่าเหมือนมีคนมานั่งอยู่บนชักโครก ตอนแรกผมนึกว่าพี่ ผมก็เลยมองเข้าไปดูด้วยตาเปล่า ปรากฎว่าคนที่นั่งอยู่ใครก็ไม่รู้ นั่งอยู่บนชักโครก ลักษณะคือผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ยแหล่ะ แต่สภาพไม่ค่อยดี พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ปิดม่านแล้วลุกออกจากอ่างเลย แต่ผู้ชายผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็รีบออกมาแล้วบอกให้กลับนี่แหล่ะ

            นั่นคือสิ่งที่คุณตั้มเจอ

            ส่วนนักดนตรีบางส่วนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำ เขาก็วิ่งมาหาเพื่อน เพื่อนจึงถามว่า “ไปทำไรมาหัวแตก” เขาเล่าว่า “ตอนที่ลงไปชั้น 4 เพื่อที่จะไปเล่นน้ำ มีสาวฝรั่งคนหนึ่งที่อยู่ตรงสระน้ำ กำลังจะเล่นน้ำ พอเห็นสาวฝรั่งคนนั้นโดดน้ำ ก็เลยถอดเสื้อ ใส่กางเกงว่ายน้ำ โดดตามลงไป ปรากฎว่า น้ำไม่มีในสระ หัวก็ไปแทกกับขอบสระจนเลือดไหล พอมองดูอีกทีสาวฝรั่งคนนั้นก็ไม่มี”

            นี่คือสิ่งที่นักดนตรีอีกส่วนหนึ่งเจอมา

            คุณโบนัสอยากทราบที่มาที่ไปของเรื่องต่าง ๆ จึงถามพนักงานว่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” แล้วถามต่อว่า “ตอน ตี  2 ตี 3 เพื่อนพี่ลงมาทำไมไม่เจอน้อง”

            พนักงานจึงเล่าให้ฟังว่า “พี่ ตี 2 ตี 3 ใครจะกล้าอยู่ ไอผู้หญิงชุดเดรทสีแดงร้านนวดอ่ะ ตอนตี 2 ตี 3 เดินขึ้นผ่านหน้าผมทุกวัน

            คุณโบนัสถามอีกว่า “เดินทุกวันแล้วทำไมอ่ะ”

            พนักงานตอบว่า “คือก่อนหน้านี้เขาเป็นพนักงานนวดจริง ๆ ก็มีต่างชาติ เรียกขึ้นไปให้นวดแล้วปรากฏว่า โดนต่างชาติทำมิดีมิร้าย ผู้หญิงคนนั้นก็สู้แต่สู้แรงไม่ไหว เลยถูกฆ่าตายในห้อง 602 คือห้องแรกที่ถูกปิดและช่วงตี 2 ตี 3 ที่เพื่อนพี่ลงมา ไม่มีใครนั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้จะเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วขึ้นลิฟต์ไปทุกวัน ส่วนตรงสระน้ำ ก็มีต่างชาติฝรั่งผู้ชายจมน้ำตาย ผู้หญิงต่างชาติก็จมน้ำตาย“

            สรุปแล้วที่โรงแรมนี้มี 3 ศพ และในห้องน้ำที่คุณตั้มเจอน่าจะเป็นฝรั่งผู้ชาย ที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้จากการจมน้ำตาย เพราะแต่ละคนที่เจอคือมีลักษณะอืด บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคือ 3 คน 3 ศพที่พนักงานเล่าให้ฟัง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก” พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดีปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า “ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบเวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

16 มี.ค. 2023

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “หุ่นพยนต์” อย่าง “พี่ไมค์ ภณธฤต” และนักแสดงคู่ใจ “อัพ ภูมิพัฒน์” ได้นำเรื่องหลอนมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (14 มีนาคม 2566) ได้ฟัง ทำเอา “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” แทบจะร้องกรี๊ดลั่นสตูดิโอ! หนึ่งในเรื่องหลอนที่ต้องขนหัวลุกไปตาม ๆ กันคือเรื่องที่มีชื่อว่า “ตายายไม่ไปถ่ายหนัง” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่ไมค์เล่าว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ไมค์ยังทำงานเป็นฝ่ายอาร์ตให้กับกองถ่าย ซึ่งจะมีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ประกอบฉาก และเซ็ตแต่ละฉากให้ดูสมจริงเพื่อใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ ในตอนนั้นพี่ไมค์ได้รับโปรเจคให้ทำภาพยนตร์เรื่อง “ศพเด็ก 2002” ซึ่งมีเค้าโครงมาจากข่าวที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศสะเทือนขวัญกับการพบศพทารกจำนวนมากถึง 2,002 ศพ สถานที่คือวัดไผ่เงินโชตนาราม เมื่อทราบว่าจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อใช้ในการถ่ายทำ หนึ่งในนั้นคือโกดังวัดไผ่เงินและศาลที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งพี่ไมค์กับทีมงานต้องสร้างขึ้นมาเอง จึงเดินทางไปสถานที่จริง เพื่อวัดสัดส่วน ความกว้าง ความสูง และรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มีความสมจริงมากที่สุด จากนั้นก็วางแผนว่าจะสร้างในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นเวลาจวนพลบค่ำ ปรากกฎว่าพี่ไมค์ดันลืมองค์ประกอบสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เช่น พวงมาลัยแห้ง เหล่าบริวาร และของเซ่นไหว้ เพื่อความสมจริง ของเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องดูเก่า พี่ไมค์คิดว่าถ้าจะไปหาซื้อใหม่ตอนนั้นก็คงไม่ทัน จึงต่อสายหาสัปเหร่อ (ตอนนั้นยังไม่ถูกจับไป) เพื่อขออนุญาตขอ “ของจริง” มาใช้ และจะซื้อของใหม่เข้าไปถวายแทน ทางสัปเหร่อของวัดก็ไม่ได้ว่าอะไร และบอกว่า “ถ้าจะเอาก็มาขอเขาก่อน” สิ้นสุดการสนทนา พี่ไมค์และทีมงานก็เดินทางไปที่วัดเพื่อนำบริวารของจริงทุกอย่างที่มี ไปประกอบฉากอย่างที่ตั้งใจ และนำของใหม่ที่พึ่งซื้อหน้าวัดเข้าไปสับเปลี่ยน พร้อมทั้งบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นของจริงก็ถูกนำมาใช้ระกอบฉาก เรียกได้ว่าออกมา “สมบูรณ์แบบ” พอเสร็จงาน พี่ไมค์ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นพึ่งจะเช่าบ้านใหม่และมีหลานอยู่ด้วย ตกดึกหลานก็บอกว่าได้ยินเสียง “กุกกัก กุกกัก” เป็นเหมือนเสียงคนเดินอยู่ในบ้าน พี่ไมค์บอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีศาลแต่มีตี่จู่เอี๊ยะ (ศาลเจ้าตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน) จึงคิดในใจว่าหลานเราไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า หรือเป็นเพราะพี่ไมค์ที่ย้ายบ้านเข้ามาใหม่แต่ไม่ได้ไหว้ตี่จู่เอี๊ยะเลย พี่ไมค์เล่าว่าได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่บ้านแบบนั้นอยู่ 3 วัน ตามระยะเวลาที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ จนกระทั่งวันสุดท้าย พี่ไมค์เล่าเรื่องที่เจอให้กับพี่คนขับรถฟัง พี่คนขับรถได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม พี่ไมค์จึงปรึกษาว่า “เอายังไงดี เพราะบ้านหลังนี้ก็พึ่งเช่า ผมยังไม่พร้อมจะย้าย” พี่คนขับรถก็บอกว่า “ไมค์ น้ามีเรื่องอยากจะบอกนะ ของที่ไมค์ไปเอาเขามา ไมค์ได้ไหว้ที่โรงเรียนนั้นมั้ย?” พี่ไมค์ตอบกลับไปว่าไม่ได้ไหว้ เพราะตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งรัด พี่คนขับรถจึงบอกว่า “ไมค์อ่ะทำพลาดแล้ว ไมค์ไปเอาของเขามา แต่ไม่ได้ไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ที่โรงเรียน เขาก็เลยไปไหนไม่ได้ เขาก็เลยมาหาไมค์ เลยมาหาที่บ้าน” พอถึงวันถ่ายทำวันสุดท้าย จากเดิมที่คิดว่าจะทิ้งเพราะมีของใหม่ไปเปลี่ยนแทนแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะนำของทุกอย่างที่ยืมมาไปคืนให้หมด แต่พอเก็บไปเก็บมา “คิน” หนึ่งในทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็ต้องตกใจ และบอกกับพี่ไมค์ว่า “เห้ยพี่ ของไม่ครบอ่ะ” พี่ไมค์ก็ตกใจว่าทำไมไม่ครบ เพราะฉากนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไร เป็นการตั้งไว้เฉย ๆ จึงไม่น่าทำให้ของหายได้ ส่วนของที่หายคือ “ตา-ยาย” ของสำคัญที่ไม่ควรจะหาย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ! ทุกคนในทีมมั่นใจเต็มร้อยว่าเอามาหมด ของสำคัญอย่างตายายเราจะลืมเอามาได้อย่างไร แถมศาลยังเล็ก ๆ เราซื้อของใหม่เข้าไปเปลี่ยนด้วย ยังไงก็ต้องเอามา พี่ไมค์ถึงกับขนลุกและพูดกับคินว่า “โหยคิน ถ้ากลับไปที่ศาลแล้วเขาอยู่ที่ศาล เราจะทำยังไงวะ” แม้จะดูเหมือนเป็นการคุยกันเล่น ๆ แต่ลึก ๆ ในใจ ทุกคนในทีมก็หวังว่าจะไม่เจอสิ่งที่พูดไป พอกลับไปถึงศาลที่วัด พี่ไมค์เล่าว่าภาพมันเหมือนกับฉากในภาพยนตร์ไม่มีผิด พี่ไมค์กับคินก็คิดในใจว่า “อย่าอยู่นะ อย่ามีนะ” พอเดินเข้าไปใกล้ศาลเรื่อย ๆ ก็แง้มดูข้างใน พี่ไมค์บอกว่า “นั่งเดี่ยว ๆ อยู่เลย” ซึ่งรวมอยู่กับของใหม่ที่เอามาเปลี่ยนแทน กลายเป็นมีตายายเก่าและตายายใหม่อยู่ด้วยกัน! นั่นทำให้พี่ไมค์คิดแล้วคิดอีก และหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “ตายาย” ถึงอยู่ที่ศาลเดิม เพราะนั่นคือสิ่งแรกที่พี่ไมค์จะนำมาด้วย และก็นำของใหม่เข้าไปสับเปลี่ยน สุดท้ายก็หาเหตุผลไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ไมค์ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ที่วัดฟัง ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องคิดไรมากโยม ก็แสดงว่าเขาไม่ไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนเต็ม ๆ ได้ที่

ดูดวงให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ เปิดไพ่มาพบว่ามีวิญญาณมาเกี่ยวข้อง แถมห้องนั้นก็น่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น พอพูดจบ ประตูห้องนั้นก็ปิดลงดังปั้ง! จนลูกค้ากรี๊ดหนีเตลิดออกจากห้องและหายไปเป็นอาทิตย์ ก่อนจะทักกลับมาว่า “จริงด้วย ห้องนี้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น!”

01 มิ.ย. 2023

ดูดวงให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ เปิดไพ่มาพบว่ามีวิญญาณมาเกี่ยวข้อง แถมห้องนั้นก็น่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น พอพูดจบ ประตูห้องนั้นก็ปิดลงดังปั้ง! จนลูกค้ากรี๊ดหนีเตลิดออกจากห้องและหายไปเป็นอาทิตย์ ก่อนจะทักกลับมาว่า “จริงด้วย ห้องนี้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น!”

รายการ ‘อังคารคลุมโปงX’ ที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อม’ โทรมาเล่าเรื่องหลอนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนแค่ไหนนั้น อ่านไปพร้อมกันเลย! คุณอ้อมเรียนดูดวงจนชำนาญพอสมควร จึงเปิดรับดูดวงให้กับคนทั่วไป เคสนี้เป็นของ ‘คุณกิ๊ฟ’ (นามสมมุติ) อาศัยอยู่ต่างประเทศ ทั้งคู่โทรดูดวงออนไลน์แบบไม่ได้เปิดกล้อง ระหว่างการดูดวงก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งคุณอ้อมเปิดได้ไพ่ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นไพ่ที่สื่อได้ประมาณว่า “มีวิญญาณหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวร” นอกจากนี้ คุณอ้อมเล่าเสริมว่าเวลาที่ดูดวงนั้น จะเชื่อมโยงจากวันเดือนปีเกิด, เลขบัตรประชาชน, เลขที่ห้อง, เลขที่บ้าน,ทะเบียนรถ หรือ เบอร์โทร ควบคู่กันไป จึงถามคุณกิ๊ฟไปว่า “เลขที่ห้องน้องอ่ะเท่าไหร่” คุณอ้อมจำไม่ได้ว่าเลขตัวแรกคืออะไรแต่ข้างหลังลงท้ายด้วยเจ็ดศูนย์ ซึ่งก็รู้ได้ทันทีว่าเลขเจ็ด คือดาวเสาร์ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับผีหรือวิญญาณ ยิ่งดูดวง ยิ่งเปิดไพ่ มันก็จะขึ้นแบบนี้มาซ้ำ ๆ คุณอ้อมจึงบอกคุณกิ๊ฟไปว่า “ไพ่มันบอกว่าเจ้าที่แรง ไปทำบุญหน่อยแล้วกัน” เพราะในความคิดคุณอ้อมคือไม่ว่าจะศาสนาหรือวัฒนธรรมไหน การทำบุญมันเป็นกุศลส่วนกลาง ขอแค่ให้เราตั้งใจและระลึกนึกถึงเขา เขาก็น่าจะได้รับ คุณกิ๊ฟก็ตอบกลับมาว่า “ต้องขนาดนั้นเลยหรอพี่” สักพักก็มีเสียงตะคอกดังเข้ามาในสาย! แต่คุณอ้อมฟังไม่รู้เรื่อง จนเสียงนั้นเริ่มตะเบ็งดังขึ้น! คุณอ้อมจึงถามคุณกิ๊ฟไปว่า “มีเสียงอะไรไหม” คุณกิ๊ฟก็ตอบว่า “ไม่มีนะ” แต่คุณอ้อมก็ยังได้ยินอยู่ตลอด จึงขอให้คุณกิ๊ฟเปิดกล้องวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ตอนแรกคุณกิ๊ฟก็ปฏิเสธเพราะภายในห้องนั้นค่อนข้างเก่า แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดกล้อง นั่นทำให้คุณอ้อมเห็นว่าภายในห้องมันดูเก่าจริง ๆ และมีข้าวของจากเจ้าของเดิมวางทิ้งไว้อยู่ จากนั้นคุณอ้อมก็ถามต่อว่า “แล้วอยู่ห้องนี้เป็นยังไงบ้าง” คุณกิ๊ฟก็ตอบว่า “ตอนที่มาอยู่แรก ๆ ไม่ค่อยได้อยู่ห้องตัวเอง ส่วนใหญ่จะไปอยู่กับแฟน พอแฟนไม่อยู่ห้อง ก็เลยต้องกลับมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ทุกครั้งที่เวลาจะนอน ก็มักจะได้ยินเสียงลมหายใจอยู่ข้างหลังเสมอ หรือบางทีเวลาอยู่ในห้อง ก็จะรู้สึกว่ามีคนมอง แต่หันไปก็ไม่เจอใคร” แต่คุณกิ๊ฟไม่ได้คิดอะไรมาก คุณอ้อมได้ยินดังนั้นจึงพูดไปว่า “จริง ๆ แล้วห้องนี้มันมีอะไรไม่ดีนะ เพราะไพ่ที่กำลังเปิดเหมือนจะเกี่ยวข้องกับอะไรที่เป็นเลือดหรือการฆาตกรรม” สิ้นสุดคำพูดนี้ ประตูห้องที่อยู่ด้านหลังของคุณกิ๊ฟก็เปิดออกมาดังปั้ง!!! คุณกิ๊ฟตกใจกรี๊ดลั่นออกมา แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง ซึ่งโทรศัพท์ก็ยังตั้งอยู่ และคุณอ้อมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังเข้ามาในสายจนต้องรีบกดวาง! หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณกิ๊ฟก็หายไป กระทั่งหนึ่งอาทิตย์ต่อมา คุณกิ๊ฟได้โทรมาเล่าให้คุณอ้อมฟังว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น คุณกิ๊ฟก็ออกจากห้อง จนเช้าของอีกวันถึงกลับมา ระหว่างวันก็นั่งอยู่ในห้องคนเดียว และรู้สึกว่ามีคนมาลูบที่เท้าหรือสัมผัสตัวอยู่ตลอดเวลา ต่อมาขณะที่กำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับก็เห็นว่ามีผู้ชายแก่ ๆ ผอม ๆ กำลังเอื้อมมือมาแตะที่ตัวเขา ซึ่งพอลืมตาขึ้นมาก็ไม่เจอใคร จนมาถึงคืนหนึ่ง ขณะที่กำลังนอนหลับอยู่นั้น ก็เห็นว่าผู้ชายคนเดิมกระโดดขึ้นมาบนตัว จนสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมา พอมองไปข้าง ๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเหมือนมีคนนอนอยู่! เพราะมีร่องรอยของหมอนและเตียงที่ยุบลงไป ด้วยความกลัวและสับสนจึงตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาจนเผลอหลับไปอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีมีดปลายแหลมจากไหนไม่รู้มาวางทิ้งไว้อยู่บนเตียง! คุณกิ๊ฟงุนงงว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร จนผ่านไปอีกวันหนึ่งขณะที่กำลังจะออกไปทำงานก็ได้จัดเตียงและเจอว่ามีดเล่มเดิมวางอยู่ข้างใต้หมอน! ซึ่งคุณกิ๊ฟก็ยืนยันว่าไม่ได้มีเพื่อนหรือมีใครเข้ามาในห้องเลย คุณอ้อมได้ฟังดังนั้นจึงบอกไปว่า “ถ้าเป็นลักษณะแบบนี้ในบ้านเรา (ไทย) มันเหมือนกับว่าเค้ามาเตือน” คุณกิ๊ฟรู้ดังนั้นจึงพยายามหาห้องพักแห่งใหม่ แต่ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น ขณะที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ก็พบว่ามีดเล่มเดิมที่เจอและเอาไปเก็บอยู่ตลอด วางอยู่ตรงอ่างล้างหน้า เป็นต้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องประวัติห้องนั้น ก็พบว่าภายในห้อง มันเคยเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นจริง ๆ คุณกิ๊ฟเล่าว่า “คนเก่าที่เคยอาศัยอยู่ติดยา แล้วเกิดอาการคลั่ง เลยนำมีดมาปาดคอกันตาย” นี่คงเป็นสาเหตุที่คุณกิ๊ฟเจอมีดเล่มเดิมวางอยู่ตามที่ต่าง ๆ ภายในห้อง คุณอ้อมจึงได้บอกไปว่า “ดีแล้วที่ตัดสินใจย้ายออกมาก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีไปมากกว่านี้” และนี่ก็เป็นเรื่องหลอนที่คุณอ้อมได้พบเจอจากการดูดวง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

28 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

(Trigger Warning อาจมีเนื้อหาที่แสดงถึงพฤติกรรมรุนแรงทางเพศ เกี่ยวข้องกับศพ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึก) ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เตียงนอนตาย’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณตั้นเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณอัญญะ’ เรื่องเริ่มต้นที่โรงพยาบาลที่คุณอัญญะทำงานอยู่ ที่แห่งนี้จะมีเตียงหนึ่งที่เป็นตำนาน ใน 4 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 48 ศพ เป็นตำนานที่ลือกันว่าผู้ป่วยคนไหนก็ตามที่มานอนเตียงนี้จะไม่รอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มจากมีเวรเปลอยู่ 2 คน ที่จ้างมาทำงานใหม่ชื่อ ‘เสก’ กับ ‘อเนก’ ซึ่งตัวเสกเป็นคนไม่กลัวผี หน้าที่ของเสกคือการเข็นคนไปส่งตามที่ต่าง ๆ แต่อเนกเป็นคนกลัวผี จึงขอทำหน้าที่เป็นเคสย้ายผู้ป่วยไปตามห้องต่าง ๆ วันหนึ่ง อเนกเลิกงานและกำลังรอเสกที่เป็นเพื่อนสนิทเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งดื่มกาแฟรอ ก็มีคนโหวกเหวกโวยวายว่ามีอุบัติเหตุเคสใหญ่เกิดขึ้น เสกจึงรีบไปบอกอเนกว่าต้องไปช่วย ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นคือมีรถพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยชนเข้ากับรถของชาวบ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเกิน 10 ราย ผู้ป่วยที่อยู่บนรถพยาบาลก็เสียชีวิต พยาบาลก็ได้รับบาดเจ็บ แต่รถชาวบ้านมีผู้เสียชีวิตหลายราย เสกก็ไปช่วยที่ห้องฉุกเฉินอย่างที่เคยทำ แต่อเนกที่ไม่เคยทำก็ไปหลบยืนอยู่ที่มุมห้อง หลบคนนู้นทีคนนี้ทีจนไปชนเตียงข้างหลัง คนอื่นเริ่มเห็นว่าอเนกเกะกะ เสกจึงบอกให้อเนกไปเอาใบส่งตัว แล้วเอาศพที่อยู่ข้างหลังไปส่งห้อง พออเนกได้ยินก็สะดุ้งโหยง เพราะเตียงที่อยู่ข้างหลังคือศพ อเนกจึงไปรับใบส่งตัวและเข็นศพไปตามทาง ปกติโรงพยาบาลจะเปิดเพลงบรรเลงให้คนฟัง แต่ระหว่างที่อเนกเข็นนั้น จู่ ๆ ก็มีจังหวะที่เพลงค่อย ๆ เบาลงแล้วก็ดังขึ้นเป็นเพลงปี่พาทย์ แล้วไฟก็หรี่แสงสว่างลง ระหว่างที่เข็นไปก็ได้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ อเนกคิดในใจว่าคนหรือผี แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเป็นคน ขณะที่อเนกกำลังเดินผ่านไป ลุงก็ทักว่า “หนุ่ม ห้องรับศพไปทางไหน” ตัวอเนกที่กำลังไปห้องนั้นจึงตอบลุงว่า “ผมกำลังไป เดินไปด้วยกันละกัน” ลุงก็เดินตามหลังมา ปรากฎว่าระหว่างนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินสวนออกมา ลุงก็ทักขึ้นมาว่า “อ้าวแม้นจะไปไหน” ป้าคนนี้เลยตอบว่า “เจอก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจอสงสัยคงเร่ร่อนตาย” ตอนนั้นตัวอเนกก็รู้สึกว่าลุงกับป้าทักกันแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าคงมีอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็มี 3 คนที่กำลังไปห้องส่งศพด้วยกัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไป ลุงกับป้าก็คุยกันต่อประมาณว่า ลูกกับหลานจะทำอย่างไร? จะอยู่ได้ไหม? เมื่อไปถึงหน้าห้องส่งศพ อเนกก็ชี้ไปว่าที่นี่ห้องส่องศพ และอเนกก็ไปส่งเอกสารต่าง ๆ จากนั้นอเนกก็เข็นศพเข้าไป พอเข็นเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งพี่คนนี้ชื่อ ‘พี่ยับ’ เป็นรุ่นใหญ่ในโรงพยาบาล พอพี่ยับรับศพไปก็พูดว่า “อ้าว ลุงวิเชียรมาแล้วหรอ ป้าแม้นแกรออยู่จะได้ไปด้วยกันเลย” แล้วตัวพี่ยับก็เปิดหน้าศพ อเนกพูดอะไรไม่ออก จนเดินถอยไปชนกับเตียงหนึ่งและกำลังจะล้มลงไปนอน พี่ยับบอกว่า “หยุด ถ้านอนมึงตายนะ เพราะว่าเตียงนี้ตายมาแล้ว 48 ศพ” และพี่ยับยังบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเตียงนี้พรุ่งนี้ให้มาหา อเนกจึงกลับมาหา พี่ยับก็เล่าให้อเนกฟังว่าเตียงนี้ก่อนที่จะมีคนตาย 48 ศพ เคยมีหนึ่งเคสเป็นผู้หญิงชื่อ ‘น้องเน’ อายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนสวยของอำเภอนี้ ปรากฎว่าวันหนึ่งเธอนอนแล้วเธอก็หลับไม่ตื่น จึงเลยกลายเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมถึงเสียชีวิตเช่นนี้ คุณหมอพยายามชันสูตรหาว่าเป็นอะไร แล้วก็แจ้งกับทางญาติว่าขอเอาศพไว้ที่นี่ก่อนเพื่อหาสาเหตุ หลังจากรับศพมาก็มานอนปกติ แต่แปลกมากที่ศพนี้เป็นศพที่มารอชันสูตรที่สวยมาก สภาพเหมือนผู้หญิงสวยที่กำลังนอนหลับ ในวันแรกที่ศพมาถึง ช่วงเปลี่ยนเวรของคนเฝ้าศพ คนที่เข้ามาเฝ้าต่อรู้สึกว่าสภาพห้องเก็บศพนั้นผิดปกติ คือห้องกระจัดกระจาย และเตียงน้องเนอยู่ไม่ตรงกับตำแหน่งเดิม จนสืบสาวเรื่องไปเจอกล้องวงจรปิดและรปภ.หน้าห้องเก็บศพก็หายไป เมื่อเปิดภาพในกล้องวงจรปิดก็พบว่ามีการข่มขืนศพ และทุกคนก็ตามหาตัวรปภ.แต่ไม่เจอ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้รับแจ้งว่าเจอรปภ.คนนี้แล้ว แต่เจอที่ห้องฉุกเฉิน เพราะมีคนไปพบศพรปภ.ในคืนนั้นซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตคือจมน้ำ แต่ที่แปลกคือในมือของรปภ.กำสายชื่อศพของน้องเนไว้ด้วย เรื่องนี้ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวพี่ยับต้องไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณ แล้วกลับบ้านไม่ไหวเพราะต้องเข้าเวร แต่ไม่สามารถเข้าด้านหน้าได้เพราะมีกล้องวงจารปิดที่จะเห็นสภาพที่เมาของพี่ยับ จึงเลือกที่จะเข้าทางหน้าต่างบานเลื่อนที่หลบมุมได้ แต่หน้าต่างของห้องเก็บศพไม่ได้ใช้งานบ่อยก็มักจะมีเสียงดัง พอพี่ยับเปิดเข้าไปก็ดันได้ยินเสียงกุกกักข้างใน จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเข้าไปก็เจอบุรุษพยาบาลคนหนึ่งชื่อ ‘เต้’ เอาเสื้อพาดบ่าเหมือนกำลังแต่งตัว พี่ยับถามว่ามาทำอะไร เต้จึงบอกว่ามาดูเอกสารว่าศพเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วก็รีบออกไป พอเต้ออกไปพี่ยับก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เจอคือผ้าของศพของน้องเนถูกถลกขึ้นและเปลือย ตัวพี่ยับเองก็ไม่กล้าบอกใครเพราะว่ามันจะกระทบต่อตัวเอง แต่เรื่องก็แดงขึ้น เพราะหลังจากนั้น 2 วัน มีคนบอกกันต่อ ๆ ว่าเต้ตาย โดยมีคนบอกว่าเห็นเต้กำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง แล้วพยายามจะข้ามถนนและโดนรถกระบะชนเสียชีวิตคาที่ ซึ่งศพของเต้คือศพที่ 2 จากการที่มีคนมาทำแบบนี้กับน้องเน หลังจากนั้นเหมือนกับวิญญาณของน้องเนถูกทำร้าย คนในโรงพยาบาลจะเริ่มเห็นน้องเนออกมาเดินในตอนกลางคืน โดยจะเดินไปทั่วเพื่อให้ทุกคนเห็น พอผ่านเรื่องราวนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น คือ ศพน้องเนหาย ทุกคนต่างมึนงงกับเหตุการณ์นี้มาก และวันนั้นไม่ใช่เวรเฝ้าศพของพี่ยับ เมื่อรู้ว่าศพหาย ทุกคนจึงมาไล่ดูกล้องวงจรปิดกัน ภาพที่เห็นคือ กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คน ใส่ชุดของคนทำงานในโรงพยาบาล ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แล้วเข็นศพน้องเนออกทางประตูที่รับศพด้านหลัง จากนั้นก็นำศพของน้องเนใส่ท้ายรถแล้วขับออกไป เมื่อทุกคนไล่ตามไป ก็ไปเจอรถของเด็กวัยรุ่น 5 คนจอดอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง ขณะที่ตำรวจและพยาบาลกำลังขึ้นไปที่อาคารร้างแห่งนี้ ได้มองไปที่อาคารร้าง และเห็นเป็นกองไฟกำลังเผาไหม้ จึงรีบเข้าไปในอาคาร พร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง เมื่อไปถึงก็พบว่า ศพน้องเนกำลังถูกเผาจนเกรียมและไหม้หมด! ตำรวจจึงสงสัยว่าคนทำหายไปไหน เพราะรถที่ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม ตำรวจจึงพยายามตามหา ผลปรากฏว่า วัยรุ่นทั้ง 5 คนที่นำศพน้องเนมาเผานั้นไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ เพราะเสียชีวิตทั้งหมด! บางศพตกบันไดคอหักตาย บางศพถูกแทง ทำให้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากสาเหตุอะไร ตัดกลับมาที่ศพของน้องเน ศพของน้องถูกไหม้เกรียมไม่ได้สวยเหมือนเดิม แล้วก็ถูกนำกลับมาที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลกลัวว่าญาติของน้องเนจะมาเอาเรื่อง จึงตัดสินใจแจ้งกับญาติว่าศพของน้องเนนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ โรงพยาบาลจะนำศพไปเผาแล้วนำเถ้ากระดูกมาให้ และเรื่องราวของน้องเนก็จบลงตรงนี้ แต่เมื่อนำศพน้องเนออกจากเตียงนี้ ก็เท่ากลับว่าตอนนี้เตียงนี้เป็นเตียงเปล่า ที่จะถูกเวียนใช้ต่อในโรงพยาบาล โดยเตียงนี้ได้ถูกดึงไปใช้ในส่วนของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เมื่ออเนกได้ฟังเรื่องราวนี้จากพี่ยับ ก็รู็สึกไม่สบายใจเพราะตัวของอเนกเองได้เผลอนอนไปแล้ว พี่ยับจึงบอกว่าให้ทำใจเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อเนกเองจึงตัดสินใจว่า จะตื่นเช้ามาทำบุญทุกวัน เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับน้องเน แล้วกลับมาบอกพี่ยับว่า “ผมทำบุญแล้ว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น” แต่ในขณะที่อเนกกำลังเดินออกจากห้องเก็บศพ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะตามหลังจึงคิดในใจว่า ตัวอเนกเองนั้นจะรอดหรือไม่ เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน อเนกรู้สึกว่าเลขที่เตียงของน้องเนน่าเอามาลุ้นโชค ปรากฏว่าอเนกถูกรางวัลจึงนำเงินบางส่วนไปทำบุญให้น้องเน และยังไม่ลืมที่จะนึกถึงพี่ยับคนที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง จึงตั้งใจจะไปเลี้ยงพี่ยับด้วย พอไปเรียกพี่ยับที่หน้าห้องพักพนักงานก็ไม่มีเสียงตอบรับ อเนกจึงลองเปิดประตูเข้าไปเห็นพี่ยับนั่งอยู่กลางห้อง อเนกซึ่งไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงรีบเอาอาหารไปจัดวางและกินกับพี่ยับอย่างสนุกสนาน เมื่อมีอาการกรึ่ม ๆ ทั้งสองได้มีการพูดคุยกันมากขึ้น จู่ ๆ พี่ยับก็เริ่มดึงดราม่าด้วยการบอกว่า "อเนกพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม" อเนกจึงตอบว่า "ถ้าไม่ได้ให้ไปตาย ผมทำได้ทุกอย่างเลยพี่" พี่ยับจึงพูดกับอเนกว่า "หากวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม" อเนกมีอาการงงและสงสัย ระหว่างนั้นพี่ยับจึงยื่นกำไลข้อเท้าของเด็กพร้อมกับผ้าชิ้นหนึ่งที่เหมือนชุดผู้ป่วย อเนกจึงถามว่าของใคร พี่ยับบอกว่าเป็นของน้องเนทั้งกำไลและชุด อเนกจึงตอบตกลงแบบปัด ๆ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร หลังจากนั้น 2 - 3 วัน เสกเพื่อนรักของอเนกรู้ว่าอเนกถูกรางวัลที่ได้เลขมาจากเตียงน้องเน จึงขอให้อเนกเลี้ยงแต่อเนกบอกว่า เงินนั้นเหลือน้อยแล้วเพราะนำไปเลี้ยงพี่ยับแล้ว ตัวเสกจึงเงียบไปและถามว่า “เลี้ยงพี่ยับไปวันไหน” อเนกตอบกลับไป “ว่าประมาณ 2 - 3 วันที่แล้ว” เสกถามกลับอีกว่า “ล้อกันเล่นรึเปล่า เพราะพี่ยับตายไปเป็นอาทิตย์แล้ว” เสกอธิบายเพิ่มว่าเพราะตัวเสกเป็นคนเข็นศพพี่ยับออกมาจากรถพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในขณะที่กำลังเข็นเตียงพี่ยับ พี่ยับกลับยิ้มและดูไม่มีสติทั้งที่คนโดนรถชนจะต้องมีบาดแผลตามร่างกายและรู้สึกเจ็บปวด แต่การช่วยพี่ยับไม่เป็นผล พี่ยับเสียชีวิต ส่วนกำไลและผ้าที่พี่ยับฝากไว้กับอเนก อเนกก็ขอให้เสกช่วยนำไปคืนด้วยกัน แต่เสกไม่ว่างที่จะไปด้วย อเนกจึงตัดสินใจนำของไปที่ห้องพี่ยับ โดยนำกำไลไปวางที่หัวเตียงของพี่ยับแล้วพูดว่า "ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมขอเอามาคืนแล้วกัน" ระหว่างที่อเนกกำลังออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า "มึงสัญญากับกูแล้ว ทำไมมึงไม่ทำ" หลังจากนั้น อเนกก็ช็อกแล้วหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ยับชะโงกหน้ามองตัวเองและบอกว่า "มึงสัญญาแล้ว มึงต้องช่วยปลดปล่อยเค้า" ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่เท้าพร้อมกลิ่นไหม้ เมื่อมองลงไปก็เห็นศพน้องเนกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัว และพูดว่า “แกต้องช่วยฉัน แกต้องปล่อยฉัน หวยก็ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนศพอื่น ๆ!” อเนกที่นึกอะไรไม่ออกจึงนึกถึงพระคุณพ่อแม่ และตะโกนว่า "แม่ช่วยด้วย" หลังจากนั้นน้องเนก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับได้ยินเสียงแผ่เมตตาของแม่ เมื่อน้องเนถอยไปแล้วแต่ก็ยังพูดอยู่ว่าให้ช่วย เมื่ออเนกฟื้น เสกก็เล่าว่ามีคนเจออเนกสลบอยู่ที่ตึกพนักงาน พยาบาลจึงนำของที่ติดตัวอเนกมาคืนนั่นก็คือกำไลและผ้า อเนกจึงตัดสินใจเก็บไว้กับตัวเพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่ก็ได้คำแนะนำว่าให้นำไปหล่อพระพุทธรูป เพราะถ้าเอาไปไว้กับคนไม่ดี วิญญาณของน้องเนก็จะไม่ถูกปลดปล่อย หลังจากนั้นอเนกก็ได้ยินว่าก่อนที่พี่ยับจะเสียชีวิต พี่ยับเดินยิ้มแล้วพูดว่า "ลูก พ่อขอโทษ" แล้วเดินข้ามถนนไปด้วยจึงถูกรถชน ทุกคนสืบสาวราวเรื่องจนไปรู้ว่าในวันที่เผาศพน้องเน คนที่มารับเถ้ากระดูกคือภรรยาเก่าพี่ยับและน้องเนก็คือลูกพี่ยับ และในคืนก่อนที่พี่ยับเมาทุกคนก็สงสัยว่าไปทำอะไรศพน้องเนหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1