เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

อังคารคลุมโปง RECAP

เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

04 พ.ค. 2024

            เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘อีเว้นท์หลอน โรงแรมเฮี้ยน’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

            เรื่องนี้พี่แจ๊คได้ฟังมาจาก ‘คุณโบนัส’ โดยมีตัวละครในเรื่องคือน้องที่เป็นดีเจ ชื่อว่า ‘ตั้ม’ และวงดนตรีวงหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง คุณตั้มโทรมาหาคุณโบนัสว่า

            “พี่ มีคนมาจ้างให้เราไปเล่นดนตรีในงานอีเว้นท์ แต่สถานที่จัดคือในผับที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ พี่สนใจมั้ย งานคืนเดียว”

            คุณโบนัสก็คิดว่า ‘อย่างงี้ก็ดีเลยสิ งานคืนเดียว’ คุณโบนัสจึงตอบคุณตั้มไปว่า

            “โอเค คืนเดียวเอง”

            ทุกอย่างดูลงตัว เพราะในตอนนั้นตัวของคุณโบนัสเองก็อยู่ที่หัวหินซึ่งใกล้กับเส้นทางลงใต้พอดี

            แต่ก่อนจะงานนั้น คุณโบนัสก็ไปเช็คเพื่อความชัวร์กับวงดนตรีที่โดนจ้างงานเดียวกันว่า “มีงานนี้วันเดียวกันรึป่าว” เพราะกลัวโดนหลอก วงดนตรีวงนั้นก็ตอบว่า “ใช่ ๆ วันเดียวกันงานเดียวกันเลย” คุณโบนัสได้ยินก็รู้สึกสบายใจ จึงบอกกับนักดนตรีวงนั้นว่า “เดี๋ยว เจอกันที่นู่น”

            เมื่อวันงานมาถึง คุณโบนัสและคุณตั้มก็เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณบ่ายโมง ถึงสถานที่จัดงานประมาณ 4 - 5 โมงเย็น พอไปถึงจุดหมาย ทั้งสองเริ่มเอะใจ เพราะโดยปกติแล้ว สถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อว่าผับ ถ้าไม่อยู่ติดริมถนน ก็ต้องอยู่ใจกลางเมือง แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากถนนและเข้าไปลึกมาก ยิ่งขับรถเข้าไปก็ยิ่งเหมือนอยู่ในชนบท สิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากที่ขับเข้ามา คือ โรงแรมเก่า 10 ชั้น พอขับเลยโรงแรมไปเจออาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ 3 ห้อง เป็นเหมือนกับร้านอาหาร ถัดจากอาคารพาณิชย์ คือสถานบันเทิงหรือผับ ลักษณะของผับนี้เป็นผับที่มีขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่

            เมื่อเห็นว่าสถานบันเทิงแห่งนี้คือสถานที่ที่จะต้องทำงานในคืนนี้ ก็หันไปเห็นเจ้าของผับที่กำลังจัดเตรียมงานอยู่ คุณโบนัสและคุณตั้มลงจากรถ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าของผับ แล้วพูดว่า

            “ผมขอเข้าไปข้างในเพื่อที่จะเตรียมตัว Sound check ก่อนที่จะเล่นจริง”

            เจ้าของผับก็อนุญาต เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าบรรยากาศข้างในก็เหมือนกับผับทั่วไปที่มีโต๊ะวางเต็มไปหมด มีบูธดีเจอยู่ข้างหลัง ส่วนเวทีสำหรับนักดนตรีอยู่ข้างหน้า ตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับแขก จากนั้นทั้งสองก็เตรียมตัว Sound check เวลาผ่านไปสักพัก นักดนตรีก็เดินทางมาถึง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 - 6 โมงเย็นแล้ว นักดนตรีทุกคนก็ขึ้นไปเตรียมตัวบนเวทีเพื่อที่จะทำการ Sound check ทั้งนักดนตรีและดีเจต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

            ระหว่างที่คุณโบนัสกำลังทำการ Sound check  คุณตั้มก็เดินมากระซิบคุณโบนัสว่า “พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ”

            คุณโบนัสถามกลับ “ทำไมอ่ะ”

            “พี่ดูดิโต๊ะเป็นร้อยเลย ทำไมพนักงานเสิร์ฟมันน้อยจังวะ” คุณตั้มพูด

            คุณโบนัสที่อยู่ข้างบนก็มองลงมาข้างล่าง เห็นว่ามีโต๊ะเป็นร้อยจริง ๆ แต่เห็นพนักงานเสิร์ฟประมาณ 5 คน ที่กำลังทำงานอยู่ คุณโบนัสก็พูดว่า

            “พนักงานคนอื่นมาทีหลังมั้ง เดี๋ยวก็คงจะมาสมทบกันอะไรอย่างงี้”

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมีงานอีเว้นท์เช่นนี้ พนักงานทุกคนจะต้องมารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อที่จะทำงาน ทั้งสองคุยกันจบก็แยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตนจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก แล้วเจ้าของก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวไปพักโรงแรมที่ขับผ่านมาได้เลย ที่เป็นตึก 10 ชั้น”

            คุณโบนัสก็บอกว่า “โอ้ววว ดีจังเลยใกล้ ๆ” 

            ตัวคุณโบนัสกับคุณตั้มจึงออกจากสถานที่จัดงานมาที่โรงแรม พอถึงก็เช็คอิน ซึ่งบรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างที่จะเงียบเหงา แต่สภาพของโรงแรมแห่งนี้ถือว่าดูดีเลยทีเดียว คุณโบนัสเดินเข้าไป แล้วบอกกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ถูกจองไว้แล้วโดย เจ้าของผับนี้”

            พนักงานยื่นกุญแจห้องให้ แล้วบอกว่า “พี่เลือกห้องเลย”

            ตัวเลขที่ปรากฏบนกุญแจนั้นขึ้นต้นด้วยเลข 6 ทุกอัน คุณโบนัสจึงถามไปว่า “อยู่ชั้น 6 ใช่มั้ย”

            พนักงานตอบกลับไปว่า “ใช่”

            คุณโบนัสจึงเลือกห้อง 602 ที่เป็นห้องต้น ๆ พอเลือกห้องรับกุญแจเสร็จ ก็เตรียมกระเป๋าจะขึ้นไปที่ห้องที่ตัวเองเลือกไว้ แต่พนักงานก็บอกว่า “พี่กดลิฟต์แล้วขึ้นไปชั้น 6 เลยนะพี่ ไม่ต้องแวะชั้นไหนนะ”  

            คุณโบนัสก็ตอบไปว่า “จะให้แวะชั้นไหนล่ะ”

            พนักงานตอบว่า “อ้อ ชั้น 4 เนี่ย มันมีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนสพี่ไม่ต้องแวะนะ พี่ขึ้นไปก่อนเลย”

            คุณโบนัสกับคุณตั้มก็ทำตามที่พนักงานบอก ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 6 พอลิฟต์เปิด ก็เห็นว่าสภาพทางเดินดูเก่า ส่วนพรมที่ปูอยู่ก็มีกลิ่นเหม็นอับ

            ส่วนห้อง 602 ก็แปลก ลักษณะของโรงแรมนี้มีสองฝั่ง เป็นฝั่งคี่กับฝั่งคู่ ถ้าห้อง 601 อยู่ฝั่งนี้ ห้อง 602 ก็จะอยู่ตรงข้าม แต่ห้อง 602 ดันอยู่ประตูถัดไป ประตูห้องที่ควรจะเป็นห้อง 602 ก็เหมือนมีการย้ายตัวเลข คุณโบนัสคิดว่า อาจจะเป็นห้องเก็บของ ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง 602 ก็เข้าไปพักผ่อนเล่นเกมในห้อง

            หลังจากนั้นนักดนตรีก็เดินขึ้นมาหาที่ห้อง แล้วถามว่า “ทำไมไม่อยู่ห้องแรกวะ” เพราะนักดนตรีนึกว่ามาก่อนก็จะได้อยู่ห้องแรก คุณโบนัสจึงบอกไปว่า “เนี่ยห้องแรก ไอห้องนั้นมันน่าจะเป็นห้องเก็บของ”

            ระหว่างนั้นเขาก็นั่งเล่นเกมนั่งพักผ่อนไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินไปเปิดม่านดูวิวรอบ ๆ โรงแรม ก็เห็นว่า ชั้น 4 เป็นสระว่ายน้ำ จึงคิดว่าหลังจากเล่นดนตรีเสร็จก็จะมาเล่นน้ำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ใกล้เวลาที่จะต้องทำงานแล้ว คุณโบนัสและคุณตั้มจึงเตรียมตัวออกจากโรงแรม

            หลังจากออกจากโรงแรม คุณโบนัสกับคุณตั้มก็เดินทางไปที่ผับ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาคือ ‘ทำไมมันมืดจัง ไฟหน้าผับทำไมถึงไม่เปิด แต่ไฟที่อยู่ในตัวตึกอ่ะเปิด มีพีอาร์ งานทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย แต่ไฟป้ายไม่เปิด’ คุณโบนัสจึงเดินเข้าไปถามพีอาร์ว่า “ทำไมมันดูมืดๆ”

            พีอาร์ตอบว่า “อ้อ ไฟป้ายเขาเปิดเป็นเวลาพี่ ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็เปิดเอง”

            คุณโบนัสจึงพูดแซวไปว่า “พี่ไม่ได้มาผิดงานผิดวันแน่นะ’’

            พีอาร์ตอบว่า “ไม่ผิดหรอกพี่ เนี่ยแขกมากันแล้ว”

            จากนั้น คุณโบนัสและคุณตั้มก็เดินเข้าไปข้างใน

            สิ่งที่เห็นภายในร้านก็คือ โต๊ะที่ถูกจัดไว้ ส่วนบริเวณรอบ ๆ มีเครื่องดื่มวางอยู่ แต่เป็นเครื่องเดิมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วก็มีอาหารวางอยู่ พร้อมให้กิน คุณโบนัสเห็นแบบนั้นก็พูดว่า “คนที่นี่เขาแปลกว่ะ บางโต๊ะยังไม่มีแขกเลย แต่เอาอาหารไปวางไว้” และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นคือพนักงานก็ยังมีเท่าเดิมคือ 5 คน

            นอกจากนี้ คุณโบนัสยังสังเกตเห็นว่า บางโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่มันก็มีคนนั่งอยู่จริง ๆ ตัวคุณโบนัสอยู่ข้างหลัง ก็เห็นแขกทุกคนนั่งหันหลังให้กับดีเจทั้งหมด เพราะหน้าต้องหันไปทางเวที ตัวคุณโบนัสเห็นว่าแขกก็มาแล้ว สักพักนักดนตรีก็มา และขึ้นไปเตรียมตัวบนเวที หลังจากนั้นคุณตั้มก็เดินมาถามคุณโบนัสว่า

            “พี่ พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ ปกติแล้ว เวลาเรามางานอะไรแบบนี้ มันต้องมีพนักงานของสถานบันเทิงอยู่กับเราด้วยสิ แต่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่จากทางผับมาดูแลพวกเราเลย มีแค่พวกเรากับนักดนตรีแค่นั้น”

            คุณโบนัสจึงให้คุณตั้มเดินออกไปถามข้างนอกว่า มีใครพอจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้บ้างหรือไม่ หลังจากที่คุณตั้มออกไป อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งมาหน้าตาตื่นแล้วพูดว่า “พี่! ออกไม่ได้ประตูล็อค! ไอประตูกระจกข้างหน้ามันล็อคแบบออกไม่ได้เลย”

            คุณโบนัสเดินไปดูที่ประตู ปรากฏว่ามันล็อคจริง ๆ คุณโบนัสรีบหยิบโทรหาเจ้าของทันที เมื่อเจ้าของรับสายก็ถามไปว่า “พี่ ทำไมถึงล็อคประตูอ่ะ”

            ปลายสายบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกผมจ้างคุณมาเล่นคุณก็เล่นไป ถ้าคุณไม่เล่นผมฟ้อง แขกอยู่ข้างในแล้วคุณเล่นเลย”

            พอคุยกับเจ้าของเสร็จ คุณโบนัสก็หันกลับมามองภายใน เห็นว่ามีแขกนั่งอยู่ แต่พนักงานเสิร์ฟไม่มีสักคน บางโต๊ะก็เต็ม บางโต๊ะก็มีแค่ 2-3 คน จากนั้นก็สังเกตว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรีอยู่ แต่ทุกคนไม่มีอารมณ์ร่วมเลย นักดนตรีจึงเดินมาคุยกับคุณโบนัสว่า “เห้ย พี่ผมเล่นไม่ออกว่ะ”

            คุณโบนัสก็ถามว่า “ทำไมอ่ะ ก็มีแขกอยู่ก็เล่นได้หนิ”

            นักดนตรีตอบกลับว่า “พี่ ก็พี่อยู่ข้างหลัง พี่ไม่หรอก พี่ลองเดินไปดูข้างหน้าดิ แขกแต่ละคนนั่งแบบเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วมอ่ะ เหมือนนั่งกันเฉย ๆ”

            คุณโบนัสบอก “ไม่เป็นไรโทรคุยกับเจ้าของแล้ว ถ้าเราไม่เล่นเขาจะฟ้อง เพราะเราเซ็นสัญญาไว้แล้ว” คุณโบนัสก็พูดอีกว่า “ผับนี้มันปิด ตี 1 เราเล่นแปปเดียว” เพราะตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็ได้เวลาที่จะเล่น รวมเวลาเล่นก็ประมาณ 4 ชั่วโมง

            เวลาก็ผ่านไป บนเวทีส่งสัญญาณมา ตัวคุณโบนัสหลังจากดนตรีเล่นเสร็จก็รีบมาเป็นดีเจต่อ เปิดเพลงมาครึ่งชั่วโมง เล่นจนถึงตี 1 พอถึงตี 1 ประตูก็เปิด พนักงานยืนอยู่ข้างหน้า คุณโบนัสจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมาถามว่า “เห้ย มันเกิดไรขึ้นวะ เล่าให้ฟังหน่อย”

            พนักงานคนนี้ก็เล่าว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นอีเว้นท์จริง ๆ ซึ่งในอดีตผับนี้คนเที่ยวเยอะมากลูกค้าเยอะเลย เพราะมันเป็นผับที่ดังมาก ๆ ปรากฎว่าวันนึงมีคู่แข่งมาเปิดอีกทีนึง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ แล้วเขาว่ากันว่าคู่แข่งทำของใส่สถานที่แห่งนี้ ผับนี้เลยไม่มีคน ทางเจ้าของลงทุนไปเยอะไม่รู้ว่าจะทำยังไง มีคนแนะนำบอกลองวิธีนี้สิ เลี้ยงผี เลี้ยงผีในที่นี้คือเขาจะเอาตุ๊กตาไปวางที่รอบ ๆ บริเวณขอบ ๆ ที่ลูกค้ามองไม่เห็น แล้วก็ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี จะต้องจัดงานแบบนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นดนตรีปาร์ตี้ให้กับผีที่เลี้ยงเอาไว้ แล้วแขกที่เห็นนั่นคือ ไม่ใช่คนนะ นั่นคือผี และเขาก็ไม่ให้ใครเข้าไม่ให้ใครออกระหว่างที่ทุกอย่างกำลังทำการแสดง พอถึงเวลาพนักงานทุกคนต้องออกมาจากร้าน แล้วคือสิ่งที่นั่นอยู่ในนั้นน่าจะเป็นผี ที่เขาเลี้ยงเอาไว้”

            หลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว ก็กลับโรงแรมพร้อมกับนักดนตรี คุณตั้มและคุณโบนัสก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง พอกลับมาถึงห้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บของที่ห้องของตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาสังสรรค์รวมกันที่ห้องของคุณโบนัส

            ในวงสังสรรค์นั้น คุณโบนัสนั่งคุยกับคุณตั้ม มีนักดนตรีบางคนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำก็ไปเล่นน้ำ แต่ก็มีนักดนตรีสองคนที่อยู่นั่งคุยกัน อยู่ดี ๆ นักดนตรีคนหนึ่งก็บ่นว่า “เมื่อยว่ะ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาเห็นมีร้านนวดอยู่เดี๋ยวโทรไปข้างล่างให้ส่งหมอนวดขึ้นมานวด” จากนั้นนักดนตรีคนนี้ก็แยกตัวออกไปจากวงสนทนา แล้วก็มีนักดนตรีอีกคนที่นั่งอยู่กับคุณโบนัสระหว่างที่เล่นเกมและนั่งคุยกันอยู่ เขาพูดขึ้นว่า “เห้ยเดี๋ยวพี่ไปห้องแปปนึง ไปกินน้ำหน่อย” นักดนตรีคนนี้ก็เดินออกไปจากห้อง โดยที่ห้องของคุณโบนัสยังเปิดประตูทิ้งไว้

            แต่พอเขาเดินออกไปแปปเดียว อยู่ ๆ ทุกคนในห้องก็ได้ยินเสียงวิ่ง ตึกๆๆๆๆ นั่นคือเสียงวิ่งของนักดนตรีที่วิ่งมาจากห้องตัวเอง แล้วก็ตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ” แล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไป! ทุกคนต่างก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักนักดนตรีที่จ้างหมอนวดมานวดก็วิ่งมาจากห้อง ผ่านหน้าห้องคุณโบนัสแล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไปอีกคน

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คุณโบนัสสงสัย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะโรงแรมนี้ดูปกติทุกอย่าง จึงปิดประตูห้อง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน และให้คุณตั้มไปอาบน้ำก่อน ตอนนั้นประมาณตี 4-5 ระหว่างนั้นคุณโบนัสก็นั่งเล่นรอคุณตั้มอาบน้ำอยู่บนเตียง จากนั้น 10 นาที คุณตั้มก็เปิดประตูห้องน้ำ เดินมาที่เตียงแล้วสะกิดขาคุณโบนัสแล้วพูดว่า “พี่ ๆ กลับเถอะ”

            คุณโบนัสตอบไปว่า “กลับบ้าไรพึ่งตี 5”

            “เออพี่เชื่อผม พี่กลับเถอะ” คุณตั้มบอก

            คุณโบนัสที่รู้สึกแปลกใจก็ตอบไปว่า “เออกลับก็ได้”

            ทั้งสองเดินไปที่ลิฟต์แล้วลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามาเจอเพื่อนสองคนที่เป็นนักดนตรีนั่งอยู่ข้างล่าง คุณโบนัสถามว่าเกิดไรขึ้น ทั้งสองคนก็เล่าให้ฟังว่า

            คนแรกที่บอกว่าไปเรียกหมอนวดบอกว่า มีหมอนวดมาจริง ๆ เป็นผู้หญิงใส่เดรทสีแดง ให้ตนนอนคว่ำหน้า แล้วผู้หญิงคนนี้ก็นวดอยู่ข้างหลัง สักพักเขาก็เห็นเพื่อนอีกคนที่บอกว่าจะมากินน้ำ เดินผ่านหน้าประตูห้องแล้วมองเข้ามาเพื่อนก็ตกใจ เพราะเห็นผู้หญิงชุดเดรทสีแดงนั่งนวดอยู่ที่หลังเพื่อน ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะตัวเขียว ๆ ช้ำ ๆ เปียก ๆ กำลังนวดแล้วหันมายิ้มให้! เขาเลยวิ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ” แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เพื่อนที่นวดก็ตกใจ เขาก็เลยหันไปมอง ปรากฏว่าเห็นเป็นภาพเดียวกัน คือเห็นผู้หญิงตัวอืดตัวเขียวอยู่ข้างหลัง! แล้วก็วิ่งออกมาโดยที่ผ่านหน้าห้องคุณโบนัส

            เมื่อทราบเรื่องจากเพื่อนนักดนตรีทั้งสอง คุณโบนัสก็ถามคุณตั้มต่อว่า “แล้วทำไมเราต้องรีบกลับวะ” คุณตั้มบอกว่า “ตอนที่ผมเข้าไปอาบน้ำ และอยู่ในอ่างอาบน้ำ ผมก็รูดม่านมาปิดครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งมันก็จะมองเห็นชักโครก ปรากฎว่าตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่แล้วผมก็หันไปมองม่าน ผมว่าเห็นว่าเหมือนมีคนมานั่งอยู่บนชักโครก ตอนแรกผมนึกว่าพี่ ผมก็เลยมองเข้าไปดูด้วยตาเปล่า ปรากฎว่าคนที่นั่งอยู่ใครก็ไม่รู้ นั่งอยู่บนชักโครก ลักษณะคือผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ยแหล่ะ แต่สภาพไม่ค่อยดี พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ปิดม่านแล้วลุกออกจากอ่างเลย แต่ผู้ชายผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็รีบออกมาแล้วบอกให้กลับนี่แหล่ะ

            นั่นคือสิ่งที่คุณตั้มเจอ

            ส่วนนักดนตรีบางส่วนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำ เขาก็วิ่งมาหาเพื่อน เพื่อนจึงถามว่า “ไปทำไรมาหัวแตก” เขาเล่าว่า “ตอนที่ลงไปชั้น 4 เพื่อที่จะไปเล่นน้ำ มีสาวฝรั่งคนหนึ่งที่อยู่ตรงสระน้ำ กำลังจะเล่นน้ำ พอเห็นสาวฝรั่งคนนั้นโดดน้ำ ก็เลยถอดเสื้อ ใส่กางเกงว่ายน้ำ โดดตามลงไป ปรากฎว่า น้ำไม่มีในสระ หัวก็ไปแทกกับขอบสระจนเลือดไหล พอมองดูอีกทีสาวฝรั่งคนนั้นก็ไม่มี”

            นี่คือสิ่งที่นักดนตรีอีกส่วนหนึ่งเจอมา

            คุณโบนัสอยากทราบที่มาที่ไปของเรื่องต่าง ๆ จึงถามพนักงานว่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” แล้วถามต่อว่า “ตอน ตี  2 ตี 3 เพื่อนพี่ลงมาทำไมไม่เจอน้อง”

            พนักงานจึงเล่าให้ฟังว่า “พี่ ตี 2 ตี 3 ใครจะกล้าอยู่ ไอผู้หญิงชุดเดรทสีแดงร้านนวดอ่ะ ตอนตี 2 ตี 3 เดินขึ้นผ่านหน้าผมทุกวัน

            คุณโบนัสถามอีกว่า “เดินทุกวันแล้วทำไมอ่ะ”

            พนักงานตอบว่า “คือก่อนหน้านี้เขาเป็นพนักงานนวดจริง ๆ ก็มีต่างชาติ เรียกขึ้นไปให้นวดแล้วปรากฏว่า โดนต่างชาติทำมิดีมิร้าย ผู้หญิงคนนั้นก็สู้แต่สู้แรงไม่ไหว เลยถูกฆ่าตายในห้อง 602 คือห้องแรกที่ถูกปิดและช่วงตี 2 ตี 3 ที่เพื่อนพี่ลงมา ไม่มีใครนั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้จะเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วขึ้นลิฟต์ไปทุกวัน ส่วนตรงสระน้ำ ก็มีต่างชาติฝรั่งผู้ชายจมน้ำตาย ผู้หญิงต่างชาติก็จมน้ำตาย“

            สรุปแล้วที่โรงแรมนี้มี 3 ศพ และในห้องน้ำที่คุณตั้มเจอน่าจะเป็นฝรั่งผู้ชาย ที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้จากการจมน้ำตาย เพราะแต่ละคนที่เจอคือมีลักษณะอืด บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคือ 3 คน 3 ศพที่พนักงานเล่าให้ฟัง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

15 พ.ค. 2023

นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

เรื่องหลอนชวนหมาหอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) มีชื่อเรื่องว่า ‘ลูกค้าคนสุดท้าย’ จาก ‘คุณตาล’ เจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งย่านรัชดา เรื่องจะหลอนแค่ไหนนั้น.. ไปติดตามอ่านกันเลย! คุณตาลเกริ่นเรื่องว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านของเธอเอง ในช่วงดึกคืนหนึ่ง จวนเวลาใกล้ปิดร้านประมาณ 3 – 4 ทุ่ม มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเพื่อขอให้ทำสีผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธเพราะถึงเวลาที่จะต้องปิดร้านแล้ว “ทำสีผมใช้เวลานานมาก ไว้โอกาสหน้าได้มั้ยคะ? ขอสระผม ม้วนผมให้ก่อนได้มั้ยคะ?” ลูกค้าไม่ติดอะไร และนั่งรอคิวเพราะยังมีคิวก่อนหน้าที่ยังค้างอยู่ กระทั่งถึงคิวของเธอมาถึง เมื่อลูกค้าผู้หญิงคนนั้นทำผมเสร็จสรรพก็ออกจากร้านไป ในเวลา 5 ทุ่มกว่า คุณตาลจึงปิดร้าน เวลาล่วงมาจนถึงเที่ยงคืน หลังจากที่คุณตาลทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็รู้สึกแปลก ๆ เริ่มจากได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบนบ้าน แต่ก็คิดว่าคงเป็นเสียงจากตึกข้าง ๆ ไม่ได้คิดอะไรต่อ จึงเตรียมตัวจะนอนหลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เป็นเสียงที่เคาะหนึ่งครั้งแล้วก็ทิ้งระยะห่างไปสักพัก แล้วก็เคาะขึ้นอีก แม้จะแปลกใจและรู้สึกสงสัย แต่คุณตาลก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตู คุณตาลก็รู้สึกถึงความเย็นบางอย่างแทรกเข้ามาที่แขน แต่เมื่อเปิดไปไม่เจอใคร จึงตัดสินใจกลับไปนอนต่อ ผ่านไปสักพักก็ได้กลิ่นเหม็นขึ้นมา คุณตาลเล่าเสริมว่า “เหม็นเหมือนกลิ่นหมาเน่า” และพยายามหาต้นตอกลิ่นนั้นด้วยการดมกลิ่นตัวเอง เมื่อคิดว่ากลิ่นตัวไม่ใช่ต้นเหตุ จึงสลัดความคิดออกจากหัว แล้วพยายามนอนต่ออีกรอบ สักพักก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินอยู่รอบเตียง แล้วกลิ่นก็ตามไปรอบเตียงด้วย! คุณตาลทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นไปเปิดบานเกล็ดแอร์ เพื่อเช็คว่ากลิ่นมาจากแอร์หรือไม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ คุณตาลรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้น ลอยมาจากข้างหลัง..! คุณตาลหันหลังกลับไปดู ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงตัดสินใจเดินลงมาข้างล่าง ระหว่างที่เดินนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความที่ดึกมากและไม่มีใครอยู่ ชั้นล่างตรงนี้จึงเงียบสงัด คุณตาลเปิดตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบน้ำ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงแว่วน่าขนลุกดังขึ้นมาว่า “หิวน้ำ” คุณตาลคิดว่าคงฟุ้งซ่านไปเอง จึงหยิบน้ำมาดื่ม แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างผลักขวดน้ำ แม้จะตงิดใจแต่คุณตาลก็พยายามไม่คิดอะไร จากนั้นก็เดินตามหากลิ่นเหม็นเน่าต่อ กระทั่งพบถุงกระดาษใบหนึ่งวางไว้ที่ซอกโซฟา คุณตาลคิดว่าคงเป็นของที่ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาที่ร้านลืมไว้ จึงโทรหาพี่ที่รู้จักคนนึง แล้วก็ได้ยินเสียงปริศนาพูดขึ้นมาว่า “มึงอยากจะคุยกับกูหรอ?” คุณตาลใจดีสู้เสือไม่ตอบกลับอะไร และสงสัยว่าข้างในถุงกระดาษใบนั้นคืออะไร เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นรูปผู้หญิงนั่งชันเข่าวางไว้ในขันสีเงิน และมีเลือดเก่า ๆ อยู่ในนั้น! เมื่อรู้สึกว่านอนไม่ได้แล้ว และคิดว่ากับตัวเองในใจว่า “เอาละ กูโดนละ” จึงพูดออกมาว่า “ชั้นจะเอายังไงกับแกดี?” เมื่อสังเกตดูอีกครั้งก็เห็นว่ามีอีกถุง จึงเปิดดูและพบว่ามีหม้อดินที่มียันต์เขียนไว้ ลักษณะเหมือนทำเพื่อคนที่รัก! สักพักก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ลองเปิดดูสิ” แต่คุณตาลก็ไม่กล้าเปิดหม้อ และยังเห็นอีกด้วยว่าข้างในถุงมีหุ่นผู้หญิงกับผู้ชาย พร้อมคาถา และเขียนไว้ว่าถ้าสวดคาถานี้จะได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้โดยสมบูรณ์ คุณตาลคิดว่าข้างในหม้อคงจะเป็นศพเด็ก เพราะมีใบกระดาษเขียนกำกับ มีเลขวันชาตะ วันมรณะให้ชัดเจน คุณตาลตัดสินใจหาลูกค้าที่ลืมสิ่งนี้ไว้จากกล้องวงจรปิด นั่นยิ่งสร้างความหลอนให้เสียวสันหลังเข้าไปใหญ่ เพราะคุณตาลก็จะเห็นตัวเองในภาพจากกล้อง ที่ขนหัวลุกไปยิ่งกว่าคือคุณตาลเห็นเป็นเงามืดนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหัวดูโทรศัพท์พร้อมกับคุณตาล! คุณตาลบอกว่า ตอนนั้นตนรู้สึกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปมอง และยังได้ยินเสียงหายใจครืดคราดอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย! แม้ว่าจะลองปิด-เปิดกล้องดูแล้ว แต่ก็ยังเห็นเงานั้นอยู่เหมือนเดิม คุณตาลใจดีสู้เสืออีกครั้ง และพูดขึ้นมาว่า “แกอยู่ในบ้านเราไม่ได้นะ ไปตามคนของแกมา” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ตอนนี้คุณตาลรู้แล้วว่าเจ้าของถุงกระดาษนี้คือลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งคุณตาลไม่มีเบอร์ติดต่อเลย คุณตาลตัดปัญหาด้วยการเอาถุงมาครอบต้นเหตุกลิ่นเหม็นนั้นก่อน แต่แล้วก็พบว่ามันไม่ได้เหม็นจากในถุง.. แต่มันเหม็นมาจากเงาข้าง ๆ ที่เดินตามอยู่! กระทั่งตีสาม คุณตาลที่เหนื่อยมากก็หลับไป จนหกโมงเช้าเสียงโทรศัพท์โชว์เบอร์แปลกโทรเข้ามา ปลายสายพูดขึ้นมาว่า “พี่คะ หนูลืมของไว้อ่ะค่ะ” คุณตาลดีใจมาก จึงบอกว่าจะให้ไรเดอร์ไปส่งของให้และขอที่อยู่ แต่ปลายสายกลับปฏิเสธบอกว่าไม่สะดวกที่จะรับ ขอฝากไว้ที่คุณตาลก่อน แต่คุณตาลก็ไม่ยอม เมื่อตกลงกันไม่ได้ จู่ ๆ ปลายสายก็วางสายไป คุณตาลโทรจี้ไปหลายรอบ พอสายนั้นรับก็พูดว่า “หนูให้มาส่งก็ได้ค่ะ ส่งมาตามที่อยู่นี้นะคะ” คุณตาลเรียกไรเดอร์และจัดแจงให้ไปส่งของตามที่อยู่นั้น แล้วเสียงปริศนาก็ดังเข้ามาในหูอีกครั้งว่า “อืม กูไปแล้วนะ” แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะอยากจะนำของออกไปให้พ้นความรับผิดชอบตัวเองมากที่สุด เมื่อไรเดอร์มาถึง ก็ถามคุณตาลว่าของที่จะให้ไปส่งเป็นอะไร เป็นอาหารหรือเป็นของที่แตกง่ายหรือเปล่า คุณตาลตอบไปว่า “ไม่ใช่อาหารค่ะ พี่ว่าน้องอย่าเปิดเลยนะ” แต่ไรเดอร์ก็เปิด แล้วกลิ่นเหม็นก็ตีเข้าหน้าอย่างจัง แล้วเขาก็เอามือล้วงลงไปหยิบหุ่นผู้หญิงผู้ชายนั้นขึ้นมา ทำให้มือเปื้อน เขาจึงใช้ผ้าเช็ดรถมาเช็ดมือ จากนั้นก็ขับรถออกไปส่งของ เมื่อไรเดอร์ไปถึง เขาก็โทรกลับมาหาคุณตาลด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “พี่ครับ นี่มันที่คนอยู่จริง ๆ หรอครับ ผมไม่เห็นอะไรเลยเนี่ย พี่ให้ผมมาต้นไม้อะไรเนี่ย ผมเห็นแต่ศาลใหญ่ ๆ ตรงเนี้ย!” คุณตาลจึงให้ไรเดอร์โทรไปหาลูกค้าเจ้าของถุงนี้ แต่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ผมโทรไป 8-9 สายแล้วครับ เขาไม่รับเลย หลอกผมป้ะพี่” คุณตาลก็ช่วยโทรด้วย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววรับสาย ผ่านไปสักพัก เจ้าของถุงก็รับสายไรเดอร์แล้วบอกว่า “หนูอยู่ตรงร้านคาราโอเกะXXXค่ะ” เมื่อส่งของเสร็จเรียบร้อย ไรเดอร์ก็บอกว่าเหมือนกลิ่นเหม็นมันติดมือ พอกลับไปที่บ้านก็ทะเลาะกับภรรยา ไรเดอร์โทรมาด่าคุณตาล 3 วันได้ เขายังบอกอีกว่า “พี่ เวลาผมไปไหนอ่ะ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ้อนรถผมอยู่อ่ะ” และยังบอกว่า “เขามาชวนไปอยู่ด้วยทุกวันเลย ผมไปหาหลวงพ่อมา เอาน้ำมนต์ล้างมือ เอามาอาบน้ำ ก็ยังเหม็นอยู่เลยพี่ แล้วผมได้กลิ่นคนเดียวด้วยนะ พี่ให้ผมไปส่งอะไรกันแน่” คุณตาลจึงไปหาข้อมูลมา สรุปว่าสิ่งนั้นคือ ‘เป๋อ’ หลังจากนั้นไรเดอร์ก็เงียบหายไปประมาณ 8-9 วัน คุณตาลคิดว่าคงไม่เจออะไรแล้ว แต่ก็มาทราบทีหลังว่าไรเดอร์คนนั้นเกิดอุบัติเหตุ! (ทราบเพราะไรเดอร์โทรมา) แล้วหลวงพ่อก็แนะนำให้ไรเดอร์ไปบวช 7 วัน ขณะที่บวชอยู่ก็ยังเห็นสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ เช่นที่ปลายเตียงบ้าง ฝันถึงบ้าง จนครบ 7 วันแล้ว แต่ไรเดอร์ก็ยังไม่กล้าสึก วันเวลาผ่านไปอีกสักพัก เวลาเที่ยงคืนกว่า ลูกค้าคนนั้นก็มาที่ร้านอีกครั้งพร้อมกับของบางอย่างในมือ คุณตาลจึงรีบบอกลูกค้าไปว่า “ร้านปิดแล้วค่ะ” แต่ลูกค้าก็คะยั้นคะยอขอให้ทำผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธด้วยความสุภาพแต่ก็เสียมารยาทเพราะเธอปิดประตูร้านลงต่อหน้าลูกค้าไปเลย คุณตาลบอกว่าหลังจากนี้ คงจะหลอนกับลูกค้าที่ถือถุงกระดาษไปอีกนาน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

11 ม.ค. 2024

ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

เจอดีที่ห้องน้ำกลางดึก พอกลับมานอนพักช่วงเบรก ผีที่เจอฝากเพื่อนที่นอนข้าง ๆ มาบอกเลขเด็ดแต่ไม่ซื้อ ปรากฏว่าออกตามที่ผีบอกจริง ๆ ! เรื่องราวจาก ‘คุณยาย’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณยาย’ โดยคุณยายได้เริ่มเกริ่นว่า ช่วงชีวิตของคุณยายจะมี 2 พาร์ท เป็นพาร์ทโรงงานและพาร์ทตอนขับรถ ซึ่งก่อนที่คุณยายจะมาขับรถเหมือนในปัจจุบัน ได้ทำงานในโรงงานที่ผลิตเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่บางปู เป็นโรงงานที่มีตึกถล่มจนกลายเป็นข่าวดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลังจากที่โรงงานนี้ถล่มไปปีกว่า คุณยายได้ไปสมัครงานที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้จะมีอยู่หลายโรงงาน แต่โรงงานที่ถล่มเป็นข่าวดังคือโรงงานที่ 5 คุณยายไปสมัครโดยที่จะไม่รู้ว่าตนจะได้ไปทำที่โรงงานใด ทำได้เพียงแต่ภาวนาขออย่าให้เป็นโรงงานที่ 5 ก็พอ แต่ผลออกมาสรุปว่าได้ไปทำโรงงานที่ 5 พอดี ภายในโรงงานนี้จะเป็นไลน์ผลิตที่วิ่งไปเรื่อย ๆ 2 แถว งานที่คุณยายทำจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น รัด cable tie, หยอดกาว และเช็คตะกั่ว เป็นต้น ไลน์ผลิตที่โรงงานนี้ค่อนข้างแข็งแรง เพราะเป็นสแตนเลสทั้งหมด อีกทั้งคุณยายยังบอกว่าทางโรงงานจะแจ้งพนักงานไว้ว่า ถ้ากลางคืนจะนอนพักให้นอนใต้ไลน์ผลิต เพราะถ้ามีเหตุการณ์ตึกถล่มเหมือนที่เคยเกิด ไลน์ผลิตจะสามารถช่วยรองรับได้ ซึ่งในเวลางานจะมีแบ่งให้พักเบรก ไม่ว่าเป็น แบ่งเบรกย่อย 10 นาที, แบ่งเบรกเข้าห้องน้ำ และเบรกตอนตี 5 มีเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งส่วนมากในเบรกนี้คนที่โรงงานจะนอนพักกัน ต้องอธิบายก่อนว่าไลน์ผลิตจะวิ่งตลอดเวลาไม่มีการหยุดพัก จึงต้องคอยมีคนซัพพอร์ตเปลี่ยนกะเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งคุณยายก็พยายามที่จะไม่เข้าห้องน้ำบ่อย เพราะตอนไปสามารถไปได้แค่คนเดียว ไม่สามารถพาเพื่อนไปด้วยถ้าไม่ใช่เวลาพักจริง ๆ แต่แล้ววันนึง คุณยายอยากเข้าห้องน้ำ ในเวลาที่คนซัพพอร์ตมาเปลี่ยน ในใจคุณยายก็รู้สึกกลัวที่จะต้องไปคนเดียว คุณยายเกริ่นก่อนว่า “คนที่จะเจอเรื่องลี้ลับเนี่ย นอกจากเวลาจังหวะที่พอดีแล้ว มันจะมีเรื่องนึงที่เราจะเจอคือความสาระแนของเรานี่แหละ มันจะทำให้เราเจอผี” และเล่าถึงลักษณะห้องน้ำว่า ห้องน้ำที่โรงงานจะเหมือนห้องน้ำปั๊ม แต่สมัยก่อนห้องน้ำจะเป็นการก่ออิฐ ไม่มีชักโครก เวลาเข้าก็จะต้องนั่งยอง ๆ ภายในห้องน้ำก็จะมีอิฐก่อไว้ใส่น้ำ และมีขันไว้ราดในนั้น ก่อนที่คุณยายจะเข้าห้องก็เอานิ้วดันประตูเพื่อเช็คความสะอาดของแต่ละห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดันไปถึงประตูห้องหนึ่ง ปรากฏว่าเจอผู้หญิงคนนึง สภาพผมโกยลงมาปิดบังใบหน้า นั่งยอง ๆ อยู่ในห้องน้ำ คุณยายบอกว่าไม่มีเสียงกรีดร้อง หรือตกใจจากผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนที่คุณยายดันไปเจอ คุณยายก็ตกใจจึงพูดไปว่า “ขอโทษค่ะ ๆ” พร้อมกับปิดประตูให้ผู้หญิงคนนั้น แต่ก็รู้สึกแปลก เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปโดนเปิดประตูก็คงจะโวยวาย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความอยากรู้ คุณยายจึงไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ และทำธุระเบา เพื่อที่จะฟังความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น ปรากฏว่าคุณยายไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขัน หรือเสียงราดน้ำ จนกระทั่งคุณยายทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกจากห้อง ก็หันไปชะเง้อมองห้องข้าง ๆ เห็นว่าประตูเปิดแง้มไว้อยู่ จึงผลักเข้าไป ปรากฏว่า..ไม่ใครอยู่ในนั้น! พอคุณยายเห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในไลน์ผลิต ฝ่ายซัพพอร์ตเห็นคุณยายมีท่าทีแปลก ๆ จึงหันมามองหน้าคุณยายแล้วถามว่า “ยายเจออะไร?” คุณยายจึงตอบไปว่า “ไม่เจอ..” แต่หน้าคุณยายคงจะฟ้องว่าเจออะไรมา ซัพพอร์ตจึงบอกคุณยายอีกว่า “เดี๋ยวคุยกันนะตอนเบรก” แต่คุณยายก็ตอบกลับไปว่า “ไม่คุย” จนกระทั่งเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ซ้ายขวาหันมาถามคุณยายว่า “มึงเจออะไร” คุณยายตอบไปว่า “ไม่แน่ใจ” แต่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อถึงเวลาเบรกใหญ่ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะทำโอทีในช่วงตี 5 พนักงานในโรงงานก็นอนใต้ไลน์ผลิตกันตามปกติ โดยในช่วงเวลานั้นโรงงานจะปิดไฟมืดทั้งหมด คุณยายได้นอนใกล้เพื่อนที่ชื่อว่า “แหวว (นามสมมติ)” ซึ่งคุณยายก็นอนไม่หลับ เพราะในหัวมีแต่เรื่องที่เจอจึงนอนคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาเปิดไฟ ไลน์ผลิตกลับมาทำงานปกติ เพื่อนชื่อแหววที่นอนข้าง ๆ หันมาบอกคุณยายว่า “หวยออก 500 นะ” คุณยายก็ไม่เชื่อเพราะหวยอะไรจะออกเลข 500 เพื่อนที่ชื่อแหววยังบอกคุณยายอีกว่า “มึงเชื่อกู..กูฝันเมื่อกี้ได้หวย” แต่คุณยายก็ไม่เชื่อจึงไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่าเมื่อถึงวันหวยออก กลับเป็นเลขตรงตามที่เพื่อนคุณยายบอกจริง ๆ เพื่อนที่ชื่อแหววถูกหวยถึงขั้นซื้อรถกระบะป้ายแดงได้ 1 คัน! และเล่าให้คุณยายฟังว่าวันนั้น ตอนนอนเห็นผู้หญิงเดินมาทางห้องน้ำแล้วมานานอนข้าง ๆ เขา พร้อมบอกว่า “หวยออก 500 นะ บอกเพื่อนมึงด้วย” คุณยายบอกว่า เพื่อนของคุณยายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงเดินตามคุณยายมาจากห้องน้ำเพื่อมาบอก แต่คุณยายไม่ได้หลับ จึงสื่อสารกันไม่ได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

08 เม.ย. 2024

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

เรื่องนี้ ‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการย้ายเข้ามาอยู่ที่หอใหม่ วิญญาณที่หอชอบและเอ็นดู จึงมาช่วยส่งเสริมจนทำให้เริ่มมีชื่อเสียง มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ และวิญญาณไปสื่อสารกับหมอดูว่าอยากให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน พอเดินไปหากลับเจอวิญญาณอีกตน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณม้าม่วงเกริ่นเรื่องว่า ตนนั้นเช่าคอนโดอยู่กับแฟน แต่จะเช่าห้องพักไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งเลิกกับแฟนก็จะได้ย้ายมาอยู่ ต่อมาก็เลิกกับแฟนจึงย้ายกลับมาอยู่หอที่เช่าไว้ แต่หอห้องนี้ห้องเล็กเกินไป จึงย้ายไปอยู่อีกหอหนึ่ง ส่วนตัวคุณม้าม่วงนั้นชื่นชอบการดูดวงอยู่แล้ว จึงได้ขอให้หมอดูช่วยดูห้องใหม่ให้ด้วย คุณม้าม่วงก็วิดิโอคอลหาหมอดู ให้หมอดูดูทีละห้อง จนไปหยุดที่ห้องหนึ่งอยู่ชั้น 2 หมอดูก็บอกว่าห้องนี้ดี คุณม้าม่วงก็ถูกใจเพราะอยู่แค่ชั้น 2 ไม่ต้องขึ้นลิฟต์ จากนั้นจึงทำสัญญาเช่าห้อง เสร็จก็ได้มีการย้ายเข้ามาอยู่ หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นชื่อเสียงก็ดังขึ้นมา เริ่มเป็นที่รู้จัก และได้เข้ามาในวงการบันเทิง คุณม้าม่วงอธิบายเพิ่มว่าหอพักมี 8 ชั้น คุณม้าม่วงอยู่ชั้น 2 จึงมักจะใช้วิธีการเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ซึ่งเป็นบันไดหนีไฟ เปิดไฟสลัวไม่สว่างมาก คุณม้าม่วงก็เดินขึ้นลงประจำ แต่คุณม้าม่วงก็จะมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง เวลาที่เดินผ่านหรือเวลาที่มีคนยืนแล้วเราเดินผ่านก็จะมีลมมาสัมผัสร่างกาย ต่อมาคุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จนกระทั่งหมอดูทักมา “พี่หนุ่ม... มีคนชอบพี่หนุ่มมากเลยนะ” (หนุ่ม คือชื่อเดิมของคุณม้าม่วง) คุณม้าม่วงก็ถามกลับไปว่า “ใคร?” หมอดูบอกว่า “เขาอยู่ในห้อง เขาชอบมาดูพี่หนุ่มเวลาไลฟ์สด” และหมอดูยังบอกอีกว่า เขาเป็นแม่นางไม้ที่อยู่ที่นี่ เขามาเพิ่มเสน่ห์ให้ เขาชอบจึงมาส่งเสริม เวลาที่คุณม้าม่วงแต่งหญิง เขายืนดูแล้วก็จะยิ้มมีความสุข คุณม้าม่วงก็ให้หมอดูเปิดกล้องแล้วก็หันกล้องไปรอบ ๆ ถามหมอดูว่า “แม่นางไม้อยู่ตรงไหน?” หมอดูบอกว่า “เขายืนอยู่ข้างโต๊ะที่คุณม้าม่วงไลฟ์สด” คุณม้าม่วงก็พูดลอย ๆ ว่า “ถ้าอยู่ก็อยู่ แต่ก็ส่งเสริมกันนะ” หมอดูบอกกับคุณม้าม่วงอีกว่า “เขาอยากได้เครื่องสำอาง เขาชอบเครื่องสำอาง” คุณม้าม่วงก็ถามว่า “ถ้าซื้อมาแล้วจะต้องเอาไปวางไว้ที่ไหน หรือจะต้องทำยังไงเขาถึงจะได้รับ” หมอดูบอกว่า “ซื้อมาแล้วบริจาคให้กับคนที่เขาไม่มี” บังเอิญวันเดียวกันนั้น คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นก็มีลูกเพจทักมาว่าไม่มีเครื่องสำอาง คุณม้าม่วงจึงทักไปขอที่อยู่แล้วก็ซื้อเครื่องสำอางชุดใหญ่ส่งไปให้ แต่เรื่องที่ส่งของให้น้อง คุณม้าม่วงก็ไม่ได้บอกกับหมอดู หลังจากนั้น หมอดูทักมาบอกว่า “แม่นางไม้ได้รับแล้วนะ” คุณม้าม่วงตกใจและพูดลอย ๆ ไปว่า “ส่งเสริมกันนะ ขอให้ลูกมีงานเข้ามาเยอะ ๆ” ซึ่งตอนนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ จริง วันดีคืนดีหมอดูก็ทักมาว่า “แม่นางไม้ขออีกเรื่องหนึ่งคือ อยากให้พี่หนุ่มรู้ว่าแม่นางไม้อยู่ที่ไหน” ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณม้าม่วงก็ตอบว่า “อยู่ตรงไหนเดี๋ยวไปหา” หมอดูก็หลับตาแล้วบอกกับคุณม้าม่วงว่า “ให้หันหน้าเข้าตึก แล้วหันไปทางขวา เดินตรงไป แล้วก็เลี้ยวซ้าย แม่นางไม้จะอยู่ตรงนั้น” คุณม้าม่วงก็หยิบกล้องเดินไปและขอให้หมอดูค้างสายไว้ ห้ามวาง ในขณะที่เดินลงบันได หมอดูก็บอกว่าแม่นางไม้เดินตามมา แล้วหมอดูที่ค้างสายอยู่ก็มีท่าทางตกใจแล้วพูดว่า “มีใครยืนอยู่ตรงบันได!” คุณม้าม่วงรู้ได้เลยว่าปกติที่เดินลงบันไดตอนดึก ๆ แล้วมักจะเดินสวนคนนี้ประจำก็คือผีแน่นอน คุณม้าม่วงจึงเดินลงไปและคอยถามหมอดูตลอดว่า “แม่นางไม้ยังเดินตามมาอยู่ไหม” หมอดูก็ตอบว่า “ยังเดินตามมาอยู่” พอถึงหน้าตึกก็จะมีศาลตายาย หมอดูบอกว่า “ตายายก็เอ็นดูพี่หนุ่ม” คุณม้าม่วงก็เดินไปตามทางที่หมอดูบอก แล้วก็ไปหยุดที่จุดหนึ่ง คุณม้าม่วงนั่งลงใช้มือควานหาบริเวณนั้น สักพักมือก็ไปชนกับตอไม้ที่ถูกตัดแล้ว คุณม้าม่วงตกใจสะดุ้งตัวออกมา หมอดูก็บอกว่า “แม่นางไม้ดีใจที่พี่หนุ่มรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน” พอรู้แบบนั้นคุณม้าม่วงก็กลับห้อง แต่ครั้งนี้ใช่ลิฟต์เพราะยังตกใจ ต่อมา คุณม้าม่วงก็ได้มีการย้ายหอเพราะห้องที่อยู่เริ่มเก็บของไม่พอ ก่อนย้ายคุณม้าม่วงก็ได้มีการไปไหว้ลากับศาลตายายและนำพวงมาลัยไปวางไว้ที่ตอไม้เพื่อบอกลากับแม่นางไม้ด้วย หลังจากนั้นคุณม้าม่วงก็ได้ย้ายไปอยู่หอใหม่ หมอดูก็โทรมาอีกว่า “ทำไมไม่เรียกแม่นางไม้มาด้วย เขาอยากมาหา” คุณม้าม่วงก็กลับไปหอเดิมแล้วก็บอกกับแม่นางไม้ว่าให้มาอยู่ด้วยกันได้ ถ้าไม่มีที่ไป แล้วก็เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ คุณม้าม่วงได้มีการสั่งของพรีออเดอร์ พอขนส่งมาส่งก็โทรหาคุณม้าม่วง โทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย ขนส่งจึงโทรไปหาเจ้าของร้านให้โทรหาคุณม้าม่วงให้ พอโทรไปอีกครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงรับสายแล้วบอกว่า “เอาวางไว้ข้างล่างแหละคะ” ปัจจุบันคุณม้าม่วงก็ได้มีการซื้อบ้านและก็ได้มีการชวนแม่นางไม้มาอยู่ด้วยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้หมอดูโทรมาบอกกับคุณม้าม่วงว่า “แม่นางไม้เข้าหมู่บ้านไม่ได้ เพราะเจ้าที่ที่นี่ดุมาก ไม่ให้แม่นางไม้เข้ามา” หมอดูให้คุณม้าม่วงไปขอเจ้าที่ของหมู่บ้านเพื่อเปิดทางให้แม้นางไม้ คุณม้าม่วงก็ทำตามที่หมอดูบอก และเมื่อเดือนที่แล้วคุณม้าม่วงก็ได้มีการถามกับหมอดูว่า “แม่นางไม้ยังอยู่หรือเปล่า” หมอดูตอบว่า “ไม่ได้อยู่แล้ว กลับไปอยู่ที่หอเดิมเพราะบ้านใหม่ก็มีเจ้าที่อยู่แล้ว” และทุกครั้งที่คุณม้าม่วงไปทำบุญก็จะไม่ลืมแผ่ส่วนกุศลให้แม่นางไม้ด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1