เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

อังคารคลุมโปง RECAP

เล่นดนตรีในผับแต่โดนล็อกตึกไม่ให้ออก! เล่นเสร็จพนง.ถึงบอกว่า เขาจ้างมาให้ผีฟัง!

04 พ.ค. 2024

            เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘อีเว้นท์หลอน โรงแรมเฮี้ยน’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

            เรื่องนี้พี่แจ๊คได้ฟังมาจาก ‘คุณโบนัส’ โดยมีตัวละครในเรื่องคือน้องที่เป็นดีเจ ชื่อว่า ‘ตั้ม’ และวงดนตรีวงหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง คุณตั้มโทรมาหาคุณโบนัสว่า

            “พี่ มีคนมาจ้างให้เราไปเล่นดนตรีในงานอีเว้นท์ แต่สถานที่จัดคือในผับที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ พี่สนใจมั้ย งานคืนเดียว”

            คุณโบนัสก็คิดว่า ‘อย่างงี้ก็ดีเลยสิ งานคืนเดียว’ คุณโบนัสจึงตอบคุณตั้มไปว่า

            “โอเค คืนเดียวเอง”

            ทุกอย่างดูลงตัว เพราะในตอนนั้นตัวของคุณโบนัสเองก็อยู่ที่หัวหินซึ่งใกล้กับเส้นทางลงใต้พอดี

            แต่ก่อนจะงานนั้น คุณโบนัสก็ไปเช็คเพื่อความชัวร์กับวงดนตรีที่โดนจ้างงานเดียวกันว่า “มีงานนี้วันเดียวกันรึป่าว” เพราะกลัวโดนหลอก วงดนตรีวงนั้นก็ตอบว่า “ใช่ ๆ วันเดียวกันงานเดียวกันเลย” คุณโบนัสได้ยินก็รู้สึกสบายใจ จึงบอกกับนักดนตรีวงนั้นว่า “เดี๋ยว เจอกันที่นู่น”

            เมื่อวันงานมาถึง คุณโบนัสและคุณตั้มก็เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณบ่ายโมง ถึงสถานที่จัดงานประมาณ 4 - 5 โมงเย็น พอไปถึงจุดหมาย ทั้งสองเริ่มเอะใจ เพราะโดยปกติแล้ว สถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อว่าผับ ถ้าไม่อยู่ติดริมถนน ก็ต้องอยู่ใจกลางเมือง แต่สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากถนนและเข้าไปลึกมาก ยิ่งขับรถเข้าไปก็ยิ่งเหมือนอยู่ในชนบท สิ่งแรกที่มองเห็นหลังจากที่ขับเข้ามา คือ โรงแรมเก่า 10 ชั้น พอขับเลยโรงแรมไปเจออาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ 3 ห้อง เป็นเหมือนกับร้านอาหาร ถัดจากอาคารพาณิชย์ คือสถานบันเทิงหรือผับ ลักษณะของผับนี้เป็นผับที่มีขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่

            เมื่อเห็นว่าสถานบันเทิงแห่งนี้คือสถานที่ที่จะต้องทำงานในคืนนี้ ก็หันไปเห็นเจ้าของผับที่กำลังจัดเตรียมงานอยู่ คุณโบนัสและคุณตั้มลงจากรถ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าของผับ แล้วพูดว่า

            “ผมขอเข้าไปข้างในเพื่อที่จะเตรียมตัว Sound check ก่อนที่จะเล่นจริง”

            เจ้าของผับก็อนุญาต เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าบรรยากาศข้างในก็เหมือนกับผับทั่วไปที่มีโต๊ะวางเต็มไปหมด มีบูธดีเจอยู่ข้างหลัง ส่วนเวทีสำหรับนักดนตรีอยู่ข้างหน้า ตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับแขก จากนั้นทั้งสองก็เตรียมตัว Sound check เวลาผ่านไปสักพัก นักดนตรีก็เดินทางมาถึง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 - 6 โมงเย็นแล้ว นักดนตรีทุกคนก็ขึ้นไปเตรียมตัวบนเวทีเพื่อที่จะทำการ Sound check ทั้งนักดนตรีและดีเจต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

            ระหว่างที่คุณโบนัสกำลังทำการ Sound check  คุณตั้มก็เดินมากระซิบคุณโบนัสว่า “พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ”

            คุณโบนัสถามกลับ “ทำไมอ่ะ”

            “พี่ดูดิโต๊ะเป็นร้อยเลย ทำไมพนักงานเสิร์ฟมันน้อยจังวะ” คุณตั้มพูด

            คุณโบนัสที่อยู่ข้างบนก็มองลงมาข้างล่าง เห็นว่ามีโต๊ะเป็นร้อยจริง ๆ แต่เห็นพนักงานเสิร์ฟประมาณ 5 คน ที่กำลังทำงานอยู่ คุณโบนัสก็พูดว่า

            “พนักงานคนอื่นมาทีหลังมั้ง เดี๋ยวก็คงจะมาสมทบกันอะไรอย่างงี้”

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมีงานอีเว้นท์เช่นนี้ พนักงานทุกคนจะต้องมารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อที่จะทำงาน ทั้งสองคุยกันจบก็แยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตนจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก แล้วเจ้าของก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวไปพักโรงแรมที่ขับผ่านมาได้เลย ที่เป็นตึก 10 ชั้น”

            คุณโบนัสก็บอกว่า “โอ้ววว ดีจังเลยใกล้ ๆ” 

            ตัวคุณโบนัสกับคุณตั้มจึงออกจากสถานที่จัดงานมาที่โรงแรม พอถึงก็เช็คอิน ซึ่งบรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างที่จะเงียบเหงา แต่สภาพของโรงแรมแห่งนี้ถือว่าดูดีเลยทีเดียว คุณโบนัสเดินเข้าไป แล้วบอกกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ถูกจองไว้แล้วโดย เจ้าของผับนี้”

            พนักงานยื่นกุญแจห้องให้ แล้วบอกว่า “พี่เลือกห้องเลย”

            ตัวเลขที่ปรากฏบนกุญแจนั้นขึ้นต้นด้วยเลข 6 ทุกอัน คุณโบนัสจึงถามไปว่า “อยู่ชั้น 6 ใช่มั้ย”

            พนักงานตอบกลับไปว่า “ใช่”

            คุณโบนัสจึงเลือกห้อง 602 ที่เป็นห้องต้น ๆ พอเลือกห้องรับกุญแจเสร็จ ก็เตรียมกระเป๋าจะขึ้นไปที่ห้องที่ตัวเองเลือกไว้ แต่พนักงานก็บอกว่า “พี่กดลิฟต์แล้วขึ้นไปชั้น 6 เลยนะพี่ ไม่ต้องแวะชั้นไหนนะ”  

            คุณโบนัสก็ตอบไปว่า “จะให้แวะชั้นไหนล่ะ”

            พนักงานตอบว่า “อ้อ ชั้น 4 เนี่ย มันมีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนสพี่ไม่ต้องแวะนะ พี่ขึ้นไปก่อนเลย”

            คุณโบนัสกับคุณตั้มก็ทำตามที่พนักงานบอก ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 6 พอลิฟต์เปิด ก็เห็นว่าสภาพทางเดินดูเก่า ส่วนพรมที่ปูอยู่ก็มีกลิ่นเหม็นอับ

            ส่วนห้อง 602 ก็แปลก ลักษณะของโรงแรมนี้มีสองฝั่ง เป็นฝั่งคี่กับฝั่งคู่ ถ้าห้อง 601 อยู่ฝั่งนี้ ห้อง 602 ก็จะอยู่ตรงข้าม แต่ห้อง 602 ดันอยู่ประตูถัดไป ประตูห้องที่ควรจะเป็นห้อง 602 ก็เหมือนมีการย้ายตัวเลข คุณโบนัสคิดว่า อาจจะเป็นห้องเก็บของ ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง 602 ก็เข้าไปพักผ่อนเล่นเกมในห้อง

            หลังจากนั้นนักดนตรีก็เดินขึ้นมาหาที่ห้อง แล้วถามว่า “ทำไมไม่อยู่ห้องแรกวะ” เพราะนักดนตรีนึกว่ามาก่อนก็จะได้อยู่ห้องแรก คุณโบนัสจึงบอกไปว่า “เนี่ยห้องแรก ไอห้องนั้นมันน่าจะเป็นห้องเก็บของ”

            ระหว่างนั้นเขาก็นั่งเล่นเกมนั่งพักผ่อนไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินไปเปิดม่านดูวิวรอบ ๆ โรงแรม ก็เห็นว่า ชั้น 4 เป็นสระว่ายน้ำ จึงคิดว่าหลังจากเล่นดนตรีเสร็จก็จะมาเล่นน้ำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ใกล้เวลาที่จะต้องทำงานแล้ว คุณโบนัสและคุณตั้มจึงเตรียมตัวออกจากโรงแรม

            หลังจากออกจากโรงแรม คุณโบนัสกับคุณตั้มก็เดินทางไปที่ผับ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาคือ ‘ทำไมมันมืดจัง ไฟหน้าผับทำไมถึงไม่เปิด แต่ไฟที่อยู่ในตัวตึกอ่ะเปิด มีพีอาร์ งานทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย แต่ไฟป้ายไม่เปิด’ คุณโบนัสจึงเดินเข้าไปถามพีอาร์ว่า “ทำไมมันดูมืดๆ”

            พีอาร์ตอบว่า “อ้อ ไฟป้ายเขาเปิดเป็นเวลาพี่ ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็เปิดเอง”

            คุณโบนัสจึงพูดแซวไปว่า “พี่ไม่ได้มาผิดงานผิดวันแน่นะ’’

            พีอาร์ตอบว่า “ไม่ผิดหรอกพี่ เนี่ยแขกมากันแล้ว”

            จากนั้น คุณโบนัสและคุณตั้มก็เดินเข้าไปข้างใน

            สิ่งที่เห็นภายในร้านก็คือ โต๊ะที่ถูกจัดไว้ ส่วนบริเวณรอบ ๆ มีเครื่องดื่มวางอยู่ แต่เป็นเครื่องเดิมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วก็มีอาหารวางอยู่ พร้อมให้กิน คุณโบนัสเห็นแบบนั้นก็พูดว่า “คนที่นี่เขาแปลกว่ะ บางโต๊ะยังไม่มีแขกเลย แต่เอาอาหารไปวางไว้” และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นคือพนักงานก็ยังมีเท่าเดิมคือ 5 คน

            นอกจากนี้ คุณโบนัสยังสังเกตเห็นว่า บางโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่มันก็มีคนนั่งอยู่จริง ๆ ตัวคุณโบนัสอยู่ข้างหลัง ก็เห็นแขกทุกคนนั่งหันหลังให้กับดีเจทั้งหมด เพราะหน้าต้องหันไปทางเวที ตัวคุณโบนัสเห็นว่าแขกก็มาแล้ว สักพักนักดนตรีก็มา และขึ้นไปเตรียมตัวบนเวที หลังจากนั้นคุณตั้มก็เดินมาถามคุณโบนัสว่า

            “พี่ พี่ว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ ปกติแล้ว เวลาเรามางานอะไรแบบนี้ มันต้องมีพนักงานของสถานบันเทิงอยู่กับเราด้วยสิ แต่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่จากทางผับมาดูแลพวกเราเลย มีแค่พวกเรากับนักดนตรีแค่นั้น”

            คุณโบนัสจึงให้คุณตั้มเดินออกไปถามข้างนอกว่า มีใครพอจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้บ้างหรือไม่ หลังจากที่คุณตั้มออกไป อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งมาหน้าตาตื่นแล้วพูดว่า “พี่! ออกไม่ได้ประตูล็อค! ไอประตูกระจกข้างหน้ามันล็อคแบบออกไม่ได้เลย”

            คุณโบนัสเดินไปดูที่ประตู ปรากฏว่ามันล็อคจริง ๆ คุณโบนัสรีบหยิบโทรหาเจ้าของทันที เมื่อเจ้าของรับสายก็ถามไปว่า “พี่ ทำไมถึงล็อคประตูอ่ะ”

            ปลายสายบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกผมจ้างคุณมาเล่นคุณก็เล่นไป ถ้าคุณไม่เล่นผมฟ้อง แขกอยู่ข้างในแล้วคุณเล่นเลย”

            พอคุยกับเจ้าของเสร็จ คุณโบนัสก็หันกลับมามองภายใน เห็นว่ามีแขกนั่งอยู่ แต่พนักงานเสิร์ฟไม่มีสักคน บางโต๊ะก็เต็ม บางโต๊ะก็มีแค่ 2-3 คน จากนั้นก็สังเกตว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรีอยู่ แต่ทุกคนไม่มีอารมณ์ร่วมเลย นักดนตรีจึงเดินมาคุยกับคุณโบนัสว่า “เห้ย พี่ผมเล่นไม่ออกว่ะ”

            คุณโบนัสก็ถามว่า “ทำไมอ่ะ ก็มีแขกอยู่ก็เล่นได้หนิ”

            นักดนตรีตอบกลับว่า “พี่ ก็พี่อยู่ข้างหลัง พี่ไม่หรอก พี่ลองเดินไปดูข้างหน้าดิ แขกแต่ละคนนั่งแบบเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วมอ่ะ เหมือนนั่งกันเฉย ๆ”

            คุณโบนัสบอก “ไม่เป็นไรโทรคุยกับเจ้าของแล้ว ถ้าเราไม่เล่นเขาจะฟ้อง เพราะเราเซ็นสัญญาไว้แล้ว” คุณโบนัสก็พูดอีกว่า “ผับนี้มันปิด ตี 1 เราเล่นแปปเดียว” เพราะตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็ได้เวลาที่จะเล่น รวมเวลาเล่นก็ประมาณ 4 ชั่วโมง

            เวลาก็ผ่านไป บนเวทีส่งสัญญาณมา ตัวคุณโบนัสหลังจากดนตรีเล่นเสร็จก็รีบมาเป็นดีเจต่อ เปิดเพลงมาครึ่งชั่วโมง เล่นจนถึงตี 1 พอถึงตี 1 ประตูก็เปิด พนักงานยืนอยู่ข้างหน้า คุณโบนัสจึงเรียกพนักงานคนหนึ่งมาถามว่า “เห้ย มันเกิดไรขึ้นวะ เล่าให้ฟังหน่อย”

            พนักงานคนนี้ก็เล่าว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นอีเว้นท์จริง ๆ ซึ่งในอดีตผับนี้คนเที่ยวเยอะมากลูกค้าเยอะเลย เพราะมันเป็นผับที่ดังมาก ๆ ปรากฎว่าวันนึงมีคู่แข่งมาเปิดอีกทีนึง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ แล้วเขาว่ากันว่าคู่แข่งทำของใส่สถานที่แห่งนี้ ผับนี้เลยไม่มีคน ทางเจ้าของลงทุนไปเยอะไม่รู้ว่าจะทำยังไง มีคนแนะนำบอกลองวิธีนี้สิ เลี้ยงผี เลี้ยงผีในที่นี้คือเขาจะเอาตุ๊กตาไปวางที่รอบ ๆ บริเวณขอบ ๆ ที่ลูกค้ามองไม่เห็น แล้วก็ทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ปี จะต้องจัดงานแบบนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นดนตรีปาร์ตี้ให้กับผีที่เลี้ยงเอาไว้ แล้วแขกที่เห็นนั่นคือ ไม่ใช่คนนะ นั่นคือผี และเขาก็ไม่ให้ใครเข้าไม่ให้ใครออกระหว่างที่ทุกอย่างกำลังทำการแสดง พอถึงเวลาพนักงานทุกคนต้องออกมาจากร้าน แล้วคือสิ่งที่นั่นอยู่ในนั้นน่าจะเป็นผี ที่เขาเลี้ยงเอาไว้”

            หลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว ก็กลับโรงแรมพร้อมกับนักดนตรี คุณตั้มและคุณโบนัสก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง พอกลับมาถึงห้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บของที่ห้องของตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่ออกมาสังสรรค์รวมกันที่ห้องของคุณโบนัส

            ในวงสังสรรค์นั้น คุณโบนัสนั่งคุยกับคุณตั้ม มีนักดนตรีบางคนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำก็ไปเล่นน้ำ แต่ก็มีนักดนตรีสองคนที่อยู่นั่งคุยกัน อยู่ดี ๆ นักดนตรีคนหนึ่งก็บ่นว่า “เมื่อยว่ะ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาเห็นมีร้านนวดอยู่เดี๋ยวโทรไปข้างล่างให้ส่งหมอนวดขึ้นมานวด” จากนั้นนักดนตรีคนนี้ก็แยกตัวออกไปจากวงสนทนา แล้วก็มีนักดนตรีอีกคนที่นั่งอยู่กับคุณโบนัสระหว่างที่เล่นเกมและนั่งคุยกันอยู่ เขาพูดขึ้นว่า “เห้ยเดี๋ยวพี่ไปห้องแปปนึง ไปกินน้ำหน่อย” นักดนตรีคนนี้ก็เดินออกไปจากห้อง โดยที่ห้องของคุณโบนัสยังเปิดประตูทิ้งไว้

            แต่พอเขาเดินออกไปแปปเดียว อยู่ ๆ ทุกคนในห้องก็ได้ยินเสียงวิ่ง ตึกๆๆๆๆ นั่นคือเสียงวิ่งของนักดนตรีที่วิ่งมาจากห้องตัวเอง แล้วก็ตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ” แล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไป! ทุกคนต่างก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักนักดนตรีที่จ้างหมอนวดมานวดก็วิ่งมาจากห้อง ผ่านหน้าห้องคุณโบนัสแล้วก็วิ่งลงลิฟต์ไปอีกคน

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คุณโบนัสสงสัย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะโรงแรมนี้ดูปกติทุกอย่าง จึงปิดประตูห้อง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน และให้คุณตั้มไปอาบน้ำก่อน ตอนนั้นประมาณตี 4-5 ระหว่างนั้นคุณโบนัสก็นั่งเล่นรอคุณตั้มอาบน้ำอยู่บนเตียง จากนั้น 10 นาที คุณตั้มก็เปิดประตูห้องน้ำ เดินมาที่เตียงแล้วสะกิดขาคุณโบนัสแล้วพูดว่า “พี่ ๆ กลับเถอะ”

            คุณโบนัสตอบไปว่า “กลับบ้าไรพึ่งตี 5”

            “เออพี่เชื่อผม พี่กลับเถอะ” คุณตั้มบอก

            คุณโบนัสที่รู้สึกแปลกใจก็ตอบไปว่า “เออกลับก็ได้”

            ทั้งสองเดินไปที่ลิฟต์แล้วลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามาเจอเพื่อนสองคนที่เป็นนักดนตรีนั่งอยู่ข้างล่าง คุณโบนัสถามว่าเกิดไรขึ้น ทั้งสองคนก็เล่าให้ฟังว่า

            คนแรกที่บอกว่าไปเรียกหมอนวดบอกว่า มีหมอนวดมาจริง ๆ เป็นผู้หญิงใส่เดรทสีแดง ให้ตนนอนคว่ำหน้า แล้วผู้หญิงคนนี้ก็นวดอยู่ข้างหลัง สักพักเขาก็เห็นเพื่อนอีกคนที่บอกว่าจะมากินน้ำ เดินผ่านหน้าประตูห้องแล้วมองเข้ามาเพื่อนก็ตกใจ เพราะเห็นผู้หญิงชุดเดรทสีแดงนั่งนวดอยู่ที่หลังเพื่อน ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะตัวเขียว ๆ ช้ำ ๆ เปียก ๆ กำลังนวดแล้วหันมายิ้มให้! เขาเลยวิ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ” แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เพื่อนที่นวดก็ตกใจ เขาก็เลยหันไปมอง ปรากฏว่าเห็นเป็นภาพเดียวกัน คือเห็นผู้หญิงตัวอืดตัวเขียวอยู่ข้างหลัง! แล้วก็วิ่งออกมาโดยที่ผ่านหน้าห้องคุณโบนัส

            เมื่อทราบเรื่องจากเพื่อนนักดนตรีทั้งสอง คุณโบนัสก็ถามคุณตั้มต่อว่า “แล้วทำไมเราต้องรีบกลับวะ” คุณตั้มบอกว่า “ตอนที่ผมเข้าไปอาบน้ำ และอยู่ในอ่างอาบน้ำ ผมก็รูดม่านมาปิดครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งมันก็จะมองเห็นชักโครก ปรากฎว่าตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่แล้วผมก็หันไปมองม่าน ผมว่าเห็นว่าเหมือนมีคนมานั่งอยู่บนชักโครก ตอนแรกผมนึกว่าพี่ ผมก็เลยมองเข้าไปดูด้วยตาเปล่า ปรากฎว่าคนที่นั่งอยู่ใครก็ไม่รู้ นั่งอยู่บนชักโครก ลักษณะคือผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ยแหล่ะ แต่สภาพไม่ค่อยดี พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ปิดม่านแล้วลุกออกจากอ่างเลย แต่ผู้ชายผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็รีบออกมาแล้วบอกให้กลับนี่แหล่ะ

            นั่นคือสิ่งที่คุณตั้มเจอ

            ส่วนนักดนตรีบางส่วนที่บอกว่าจะไปเล่นน้ำ เขาก็วิ่งมาหาเพื่อน เพื่อนจึงถามว่า “ไปทำไรมาหัวแตก” เขาเล่าว่า “ตอนที่ลงไปชั้น 4 เพื่อที่จะไปเล่นน้ำ มีสาวฝรั่งคนหนึ่งที่อยู่ตรงสระน้ำ กำลังจะเล่นน้ำ พอเห็นสาวฝรั่งคนนั้นโดดน้ำ ก็เลยถอดเสื้อ ใส่กางเกงว่ายน้ำ โดดตามลงไป ปรากฎว่า น้ำไม่มีในสระ หัวก็ไปแทกกับขอบสระจนเลือดไหล พอมองดูอีกทีสาวฝรั่งคนนั้นก็ไม่มี”

            นี่คือสิ่งที่นักดนตรีอีกส่วนหนึ่งเจอมา

            คุณโบนัสอยากทราบที่มาที่ไปของเรื่องต่าง ๆ จึงถามพนักงานว่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” แล้วถามต่อว่า “ตอน ตี  2 ตี 3 เพื่อนพี่ลงมาทำไมไม่เจอน้อง”

            พนักงานจึงเล่าให้ฟังว่า “พี่ ตี 2 ตี 3 ใครจะกล้าอยู่ ไอผู้หญิงชุดเดรทสีแดงร้านนวดอ่ะ ตอนตี 2 ตี 3 เดินขึ้นผ่านหน้าผมทุกวัน

            คุณโบนัสถามอีกว่า “เดินทุกวันแล้วทำไมอ่ะ”

            พนักงานตอบว่า “คือก่อนหน้านี้เขาเป็นพนักงานนวดจริง ๆ ก็มีต่างชาติ เรียกขึ้นไปให้นวดแล้วปรากฏว่า โดนต่างชาติทำมิดีมิร้าย ผู้หญิงคนนั้นก็สู้แต่สู้แรงไม่ไหว เลยถูกฆ่าตายในห้อง 602 คือห้องแรกที่ถูกปิดและช่วงตี 2 ตี 3 ที่เพื่อนพี่ลงมา ไม่มีใครนั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้จะเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วขึ้นลิฟต์ไปทุกวัน ส่วนตรงสระน้ำ ก็มีต่างชาติฝรั่งผู้ชายจมน้ำตาย ผู้หญิงต่างชาติก็จมน้ำตาย“

            สรุปแล้วที่โรงแรมนี้มี 3 ศพ และในห้องน้ำที่คุณตั้มเจอน่าจะเป็นฝรั่งผู้ชาย ที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้จากการจมน้ำตาย เพราะแต่ละคนที่เจอคือมีลักษณะอืด บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคือ 3 คน 3 ศพที่พนักงานเล่าให้ฟัง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

15 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ธันวาคม 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าจาก ‘คุณเคน’ ที่ทำเอา 3 ดีเจ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!!! ‘คุณเคน’ เล่าว่าย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ออฟฟิศกลางใจเมืองย่านราชประสงค์ คุณเคนเข้าไปทำงานโดยที่ไม่เคยรู้ว่ามีเหตุการณ์พื้นถล่มที่ตึกนี้มาก่อน เนื่องจากตอนที่เกิดเรื่อง คุณเคนไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงไม่ทราบเรื่อง เมื่อกลับประเทศไทยก็ได้เข้าทำงานที่ตึกแห่งนี้ ออฟฟิศของคุณเคนอยู่ชั้นที่ 16 ส่วนชั้น 17-20 จะเป็นร้านอาหาร (ปัจจุบันร้านอาหารไม่มีแล้ว เหลือเพียงร้านอาหารที่มีไว้เฉพาะงานอีเว้นท์เท่านั้น) คุณเคนมีตำแหน่งเป็นเซลล์ที่จะคอยดูแลทุกอย่างของการจัดงานเลี้ยงของบริษัทนี้ ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานนั้น คุณเคนจะนั่งทำงานอยู่ห้องใน ห้องในคือห้องที่มีหลายคนนั่งอยู่รวมกัน รอบข้างจะแบ่งเป็นห้องส่วนตัว ส่วนตรงกลางจะมีฉากกั้นเพื่อให้เป็นสัดส่วน ลักษณะงานนั้นจำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศดึก ๆ เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่คนเดียว ช่วงแรกคุณเคนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ แต่พอเริ่มมืด เวลา 2 ทุ่มกว่า ทุกคนในออฟฟิศกลับบ้านกันหมดแล้ว ในชั้นนี้ทั้งเงียบและมืด คุณเคนก็มักจะได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก และเสียงกระดาษหล่น คุณเคนสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงติดสินใจเดินเข้าไปดู สิ่งที่เห็นก็คือกระดาษหล่นจริง ๆ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะกระดาษที่วางอยู่มันจะหล่นลงจากโต๊ะได้อย่างไร คุณเคนทำเพียงแค่สงสัยแต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน บางคืนเขาก็มักจะได้เสียงโทรทัศน์เปิด แต่เมื่อเดินออกไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ปิดอยู่เสียอย่างนั้น เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คุณเคนได้ย้ายที่นั่งไปอยู่โซนนอกห้อง แต่ก็ยังคงต้องนั่งทำงานอยู่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นเคย ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโต๊ะของแผนกบัญชีจะมีเครื่องคิดเลขที่เอาไว้ให้แผนกคิดคำนวณเป็นเครื่องคิดเลขแบบเสียบปลั๊ก ในวันหนึ่ง น่าจะมีคนในออฟฟิศเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะอยู่ ๆ เครื่องคิดเลขก็พิมพ์จนกระดาษออกมาจากเครื่องคิดเลขคล้าย ๆ มีคนกำลังใช้งานอยู่! คุณเคนนั่งมองเครื่องคิดเลขที่กำลังทำงานและคิดว่า ‘เครื่องจะหยุดทำงานตอนไหน’ ผ่านไปสักพักก็ยังไม่หยุด เขาจึงพูดออกมาว่า “มึงหยุดนะ คนจะทำงาน” เครื่องคิดเลขก็ยังไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจเดินไปถอดปลั๊กออก หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ที่น่าตกใจก็คือ อยู่ ๆ ก็มีเสียงคุยกันผ่านช่องเพดาน! ซึ่งคุณเคนอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เขาก็คิดว่ามันคงไม่มีใครมาคุยกันเวลานี้แน่นอน เมื่อเดินไปดูทั่วออฟฟิศก็ไม่เจออะไรแต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงพูดคุยที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาที่เข้าใจได้ จากนั้นก็พยายามหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอความหลอนยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อคืนหนึ่ง คุณเคนอยู่ชั้น 16 ข้างบนเป็นชั้น 17 ที่เอาไว้จัดงานบ่อย ๆ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงมีคนขนของอยู่ข้างบนชั้น 17 ดัง ตึ้งตั้ง ๆ !!! คุณเคนไม่ได้กลัวแต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันรบกวนสมาธิการทำงานมาก เพราะเขาอยากรีบทำงานให้เสร็จ เมื่อข้างบนเสียงดังไม่หยุดก็เกิดความโมโห จึงกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 17 เพื่อจะต่อว่า แต่แล้วก็ไม่มีใครอยู่บนชั้น 17 เลย! คุณเคนคิดว่าตนคงโดนหลอกแล้วเป็นแน่ จึงรีบกลับลงมาทำงานต่อให้เสร็จ หลังจากนั้นผ่านไป เป็นช่วงที่คุณเคนกำลังจะลาออก ตอนนั้นเขากำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่ออฟฟิศจะแบ่งแยกห้องน้ำชายหญิง ห้องน้ำผู้ชายจะอยู่ข้างในสุด ส่วนห้องน้ำหญิงจะอยู่ก่อนถึงห้องน้ำผู้ชาย ตอนนั้นดึกมากแล้ว เขาจึงเข้าห้องน้ำผู้หญิง เพราะมีห้องหนึ่งที่มีสายชำระ จึงเลือกที่จะเข้าห้องนั้น และคิดว่าคงไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำแล้ว แต่เขากลับได้ยินเสียงคนเดินอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วบริเวณหน้าห้องน้ำจะมียามคอยเฝ้าตรวจตรา และจะมีห้องแคนทีนอยู่ใกล้ ๆ ห้องน้ำ ซึ่งห้องแคนทีนนี้บางทียามก็มักจะมากินข้าว ทำให้คุณเคนไม่แน่ใจว่าใช่ยามหรือเปล่า จึงนั่งเงียบเพื่อฟังเสียงว. ตอนแรกเขาได้ยินเสียงว. สักพักเสียงว.และเสียงเดินก็ค่อย ๆ ไกลออกไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงเดินอยู่บริเวณข้างหน้าแต่ไม่มีเสียงว. พอเสียงเดินหายไปสักพัก น้ำในตรงอ่างล้างมือก็เปิดเอง ซึ่งเป็นระบบเซนเซอร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้คุณเคนหลอนสุด ๆ จนเขาคิดในใจว่าถ้ามาจริงขออีกรอบหนึ่ง มันก็มาจริง ๆ ตามที่ใจเขาคิดแต่มันแรงขึ้น! เหมือนกับว่ากำลังโกรธที่คุณเคนไปท้าทาย คุณเคนบอกว่าตอนนั้นเขาขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศตรงนั้นเปลี่ยนไป รู้สึกเย็นยะเยือก คุณเคนรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวและอยู่ไม่ได้ จึงเก็บของแล้วรีบออกจากออฟฟิศทันที อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ยามเล่าให้คุณเคนฟัง ยามเล่าว่า เขาต้องมานอนเฝ้าของที่ชั้น 17 ขณะที่กำลังนอนอยู่ ก็มีผู้หญิงใส่ชุดไทย มารำไทยอยู่ตรงหน้า! อีกเรื่องเล่าหนึ่งเป็นเรื่องเล่าของลูกค้า คุณเคนบอกว่ามีลูกค้าที่เคยมาที่ชั้น 18 ซึ่งชั้นนี้จะมีห้อง Private อยู่ แต่ต้องเดินผ่านโซน Outdoor และต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะไปถึงห้อง Private คุณเคนเล่าว่า ลูกค้าเคยเห็นคนยืนอยู่ข้างในห้องมืด ๆ ยืนจ้องมาที่ลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ลูกค้าก็สงสัยว่าคนนั้นคือใคร จึงบอกกับพนักงานให้ขึ้นไปดู แต่พอพนักงานมองไปที่ห้องนั้น พนังงานกลับไม่เห็นใครยืนอยู่! คุณเคยทิ้งท้ายว่าใครมาที่นี่ก็จะโดนกันเกือบทุกคน อย่างเช่นคนที่ดูแลตึกที่ต้องมาทำงานในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงครึ่ง ก็มักจะไม่เปิดไฟเวลาเดินดูตึก พอจะเข้าห้องน้ำ ก็ไปเปิดไฟแล้วเข้าห้องน้ำเลย เขาจะทำแบบนี้เป็นประจำ และมักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตาม มีคนเปิดไฟตามทางเดินให้ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ คนที่อยู่มานานก่อนที่จะสร้างชั้น 17 – 18 ขึ้นมา ชั้น 19 จะมีการสร้างเพดานที่เอาไว้เก็บชนวน คนที่อยู่มาแรก ๆ บอกว่า เขาเคยรู้มาว่าคนที่มาทำงานที่นี่เป็นช่างไฟ มากัน 3 คน เพราะตอนเข้ามาก็มีการเซ็นชื่อเพื่อเข้ามาในตึก แต่ตอนออกเขากลับเจอแค่ 2 คน เขาพยายามเดินตามหาอีกคนที่หายไป แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะกลับบ้านหรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับ ส่วนช่างไฟอีก 2 คนก็เก็บของกลับ ปรากฏว่าช่างไฟอีก 2 คนก็หายไปด้วย จนเขาได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ชั้น 19 ปรากฏว่ากลายเป็นศพเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น สันนิษฐานว่าอาจโดนไฟดูดตาย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณของขวัญ 'เจ้าของที่' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

01 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณของขวัญ 'เจ้าของที่' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณของขวัญ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เจ้าที่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! โดยคุณของขวัญเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนม.ปลาย อายุ 17-18 ปี เนื่องจากพ่อ-แม่อย่าร้างกัน บ้านอยู่นอกตัวเมือง จึงย้ายมาอยู่กับคุณพ่อในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ตัวบ้านเป็นบ้านมือสองที่ซื้อมารีโนเวทใหม่ ชั้นแรกจะเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ส่วนชั้นที่สองจะเป็นไม้ ห้องนอนของตนอยู่ชั้นที่สองห้องติดกับถนน เมื่องมองออกไปก็จะเห็นกิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นเงาอยู่ตลอด ส่วนคุณพ่อนั้นแต่งงานใหม่ ครอบครัวใหม่จึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ตนจึงเหมือนเป็นผู้อยู่อาศัย และไม่ค่อยได้คลุกคลีกับครอบครัว พอกลับมาจากโรงเรียน กินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นมาอยู่ห้องนอน บางครั้งพ่อก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอด ต้องออกไปธุระ คุณของขวัญก็จะอยู่บ้านคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะบางครั้งก็ได้ยินเดิน เสียงแปลก ๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าใช่เสียงไม้ลั่น มันมีความรู้สึกแบบนี้บ่อยครั้ง จนกระทั่งคืนหนึ่ง.. คืนนั้น ตนจำได้ว่าน่าจะนอนไปแล้ว ไม่ได้ดูเวลาว่าดึกขนาดไหน จากเตียงนอนขวามือเป็นหน้าต่างที่จะเห็นกิ่งไม้และต้นไม้ ตอนที่นอนหันหลังให้หน้าต่างอยู่นั้นก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีคนมอง ในใจก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมองมาจากหน้าต่างได้ เพราะอยู่ชั้นสอง คุณของขวัญก็พยายามไม่มอง เพราะกลัวว่าจะเจออะไร แต่สุดท้ายก็ต้องหันไปมองว่าคืออะไร ปรากฎว่าเป็นเงาผู้ชาย ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เขามองตนอยู่! ตอนนั้นคิดในใจว่า คงเป็นกิ่งไม้ ต้นไม้ แต่อีกใจก็ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมไม่เห็นมีเงากิ่งไม้อะไรเลย มีแต่เงาคน’ คุณของขวัญรู้สึกตกใจและพยายามข่มตา ไม่แน่ใจว่าหลับหรือตื่น คล้ายฝันซ้อนฝัน พอพลิกตะแคงตัวไปข้างไหนก็จะเจอเขาตรงนั้นแบบนั้นเรื่อย ๆ จนเผลอหลับไป เรื่องนี้คุณของขวัญไม่ได้ปรึกษาคุณพ่อ เพราะไม่แน่ใจว่ากึ่งหลับกึ่งตื่นหรือเห็นจริง ๆ จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ จนมีอยู่คืนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุดคือ กลางดึกคืนนั้น คุณของขวัญจำได้ว่า ที่นอนเป็นฟูก สูงจากพื้น 5-10 เซนติเมตร ท่านอนคือแขนซ้ายยื่นออกไปนอกที่นอนที่เป็นพื้นไม้ หันหลังให้หน้าต่าง ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก คิดว่าคงเป็นคุณพ่อ ไม่ก็น้องสาวต่างแม่มาเคาะประตู เพราะล็อคประตูเอาไว้ คุณของขวัญจึงถามออกไปว่า ”มีอะไร ดึกดื่นแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า“ แล้วเขาก็เปิดประตูเข้ามา คุณของขวัญก็ตกใจเพราะตนมั่นใจว่าล็อคประตูแต่เปิดเข้ามาได้อย่างไร ตนก็ค่อย ๆ มองจากเท้าไล่ขึ้นมาขา ตัว และหัว ถึงแม้จะมืด แต่ก็มีไฟกิ่งจากด้านนอกเข้ามา เห็นได้ว่า ผอมติดกระดูก ผิวแทน ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาที่ปลายมือที่ยื่นออกไปนอกที่นอน ไม่แน่ใจว่าใส่กางเกงหรือไม่ แต่ใส่เสื้อขาวตัวโคร่งใหญ่ เขาค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงมา จังหวะนั้น เห็นเป็นหัวกะโหลกแบบหนังหุ้มกะโหลก หลังจากนั้นเขาก็จับมือของคุณของขวัญขึ้นมา แล้วก็เอาเข้าปากของเขา! คุณของขวัญตกใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ด้วยความตกใจจึงสะบัดตัว เหมือนจะหลุดจากภวังค์ มือก็หล่นลงพื้น แล้วก็รีบวิ่งออกไป แต่จังหวะนั้น ประตูเปิดอยู่จริง ๆ พอลงมาชั้นที่หนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปกอดพ่อที่นอนอยู่กลางบ้าน แล้วก็นอนกับพ่อคืนนั้น พอเช้ามาก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า บ้านหลังนี้ซื้อต่อมาจากญาติ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่มีญาติที่เสียชีวิตในบ้านนี้ ไม่ได้เกิดจากการฆ่าตัวตาย เสียจากโรคมะเร็ง เขาแค่เป็นคนรักบ้าน หลังจากคืนนั้น คุณของขวัญจะไหว้เจ้าที่ ศาลพระภูมิ ไหว้เหมือนผู้ใหญ่ในบ้านคนหนึ่ง เวลาจะไปไหน หรือเวลากลับมาบ้าน ก็จะไหว้แล้วบอกว่า ”หนูไปโรงเรียนแล้วนะคะ / หนูกลับมาจากโรงเรียนแล้วนะคะ” หลังจากที่ไหว้ แนะนำตัวกับศาลพระภูมิ เจ้าที่ ก็ไม่เจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณตั้ม ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ | อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

02 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณตั้ม ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ | อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณตั้ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ทางหลอนขึ้นเหนือ’ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวสุดหลอนระหว่างการเดินทางของเขาเอง เรื่องราวระหว่างการเดินทางจะหลอนอย่างไร สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ‘คุณตั้ม’ ได้เล่าไว้ว่าเมื่อปีที่แล้วก่อนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ เขามีวันลาพักร้อนเหลือ ต้องรีบใช้ให้หมด จึงวางแผนกับแฟนว่าหลังเลิกงาน 5 โมงเย็นจะขับรถขึ้นเชียงราย น่าจะถึงที่หมายประมาณ 6 โมงเช้า การเดินทางครั้งนี้ คุณตั้มขับรถไฟฟ้าไปทำให้ต้องมีการแวะชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์เป็นระยะ ซึ่งจุดแวะพักแรกคือจังหวัดอ่างทอง จากนั้นก็แวะจอดไปจนถึงจังหวัดแพร่ ซึ่งจะเป็นจุดชาร์จแบตสุดท้าย ก่อนจะขับยาวเข้าเชียงราย ระหว่างทางที่ขับรถบนถนนทางหลวงหมายเลข 103 เส้นทางตัดผ่านภูเขาระหว่างจังหวัดแพร่และลำปาง คุณตั้มเกิดอาการเดจาวูถึงเรื่องที่ฝันเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ว่ากำลังขับรถบนถนนสักแห่งที่มีไฟสีส้มรายล้อมตามทาง เขาเริ่มขนลุกเพราะหลังจากฝันมักจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเสมอ ขับไปได้สักระยะมองดูรอบข้างก็มืดไปหมดแล้ว เหลือรถของเขาเพียงคันเดียวที่สาดแสงส่องไปบนถนนขับไปเรื่อย ๆ อุณหภูมิภายนอกรถเริ่มลดลงเหลือ 13 องศาเพราะเริ่มขึ้นเขาสูง พอถึงทางโค้งขึ้นก็เห็นรถมอเตอร์ไซต์กำลังขับนำหน้าอยู่โดยที่ไม่เปิดไฟซึ่งถือว่าอันตรายมาก เมื่อใช้แสงจากรถสาดไปก็เห็นว่าคนขับรถมอเตอร์ไซต์แต่งกายเหมือนชุดช่าง แต่ไม่มีหัว! คุณตั้มขนลุกซู่รีบขับแซงขึ้นไปทันที ระหว่างที่แซงก็ดูกระจกทางซ้ายด้าน แต่ก็ไม่เห็นรถมอเตอร์ไซต์แม้แต่คันเดียว นั่นทำให้คุณตั้มเหยียบคันเร่นให้เร็วกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ถึงจุดชาร์จแบตสุดสุดท้ายให้เร็วขึ้น ขณะนั้นเองก็ได้ย้อนความหลังว่าเจอเรื่องแบบนี้ที่ถนนเส้นนี้ตลอด ย้อนไปเมื่อช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 คุณตั้มต้องเดินทางไปจังหวัดทางภาคเหนือ เมื่อผ่านเส้นทางนี้ก็เจอเหมือนกัน ณ ตอนนั้นได้แวะหาหลวงน้าที่จังหวัดอุตรดิตถ์ก่อน หลวงน้าก็แนะนำให้นอนที่วัดก่อน แต่เขาก็กลัวว่าจะเจอสิ่งลี้ลับที่วัด จึงเลือกที่จะเดินทางต่อ แต่ก็ดันเจอคนแวะโบกรถข้างทาง ซึ่งมีหัวแต่ไม่มีข้อเท้า เหมือนคนลอยมา กลับมาที่ปัจจุบัน หลังจากเที่ยวจังหวัดเชียงรายเสร็จก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ คราวนี้เลือกเดินทางกลางวันทำให้เห็นว่าระหว่างทางลงภูเขาก็มีศาลพระภูมิ และมีเศษสิ่งของต่าง ๆ ที่คนนำมาทิ้งไว้เต็มไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอเรื่องราวลี้ลับเกี่ยวกับถนนเส้นนี้อีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

12 ก.ค. 2023

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ในครั้งนี้ (27 มิถุนายน 2566) ต้อนรับแขกรับเชิญอย่าง ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังที่มาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจม’ ฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะนั้นคุณฝนกำลังไฟแรงเดินหน้าปฏิบัติธรรม ด้วยความที่ร้อนวิชาจึงเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อคุณฝนสามารถตอบชื่อแฟนของผู้ชายคนนี้ รวมถึงสีที่แฟนของเขาชอบ ไปจนถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถชนได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ถึงกับต้องผละตัวออกมาจากงานที่เขากำลังทำแล้วมานั่งฟังที่คุณฝนพูด คุณฝนเห็นภาพว่าผู้ชายคนนี้ได้เสียขาไป จึงเตือนผู้ชายคนนั้นว่า ให้ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดี และยังบอกอีกว่า เขาเคยสัญญาว่าจะไปบวชตอนรอดจากเหตุการณ์รถชนครั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปบวช เขาจึงตอบกลับมาว่า จะไปบวชภายในเดือนนี้ คุณฝนจึงกำชับว่าให้รีบบวชโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้โดนรถชนครั้งนั้น อาจจะตามมาเอาชีวิตไปก็ได้ ผู้ชายคนนี้ขอบคุณคุณฝนเป็นอย่างมากที่ช่วยแนะนำวิธีการแก้เคราะห์ให้เสร็จสรรพโดยไม่ได้เก็บค่าครูแม้แต่บาทเดียว ในตอนนั้นเอง.. คุณฝนไม่รู้เลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป! เมื่อคุณฝนกลับมาถึงที่บ้าน ก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มที่ตัว เริ่มอ่อนเพลียและหนักที่หัวจนอยากเข้านอน พอตื่นมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนทรมานไปหมด คุณฝนรู้สึกเหมือนหัวถูกกดเอาไว้แล้วมีใครบางคนทุบมาที่หัวตลอดเวลา! คุณฝนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการคุณฝนตอนนั้นเหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นไข้ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเหตุการณ์ที่ได้ไปช่วยผู้ชายคนนั้น และแล้วในความฝันกลางดึก คุณฝนก็พบกับร่างของชายคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ ที่ผิวของร่างชายคนนี้ไหม้เกรียมแถมมีไฟฟอนสีแดงแตกออกมา คุณฝนมองเห็นร่างนี้ได้แบบพร่ามัวและเลือนลาง แต่ก็ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา สิ่งนั้นเองที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูดวงของคุณฝนตลอดไป “มึงอ่ะ อยากยุ่งเรื่องของกูมากใช่ไหม มึงตายแทนมันไปเลยนะ!” แม้จะตื่นอยู่แต่คุณฝนกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย ที่ดวงตาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา คุณฝนนอนปวดหัวแสบร้อน ขณะที่คนในบ้านคอยเช็ดตัวให้ คุณฝนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่ามีคำพูดนั้นกระแทกเข้าหาตลอดเวลา ตอนนี้คุณฝนรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกทึ้งไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแฟนและแม่แฟนต้องพาไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลสารพัดวิธีแล้ว หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณฝนเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายหมอจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องเจาะไขสันหลังมาตรวจดูและผ่าเปิดกะโหลกไปเลย เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับน้ำในสมอง เมื่อคุณฝนซึ่งตอนนั้นไม่สามารถขยับร่างกายได้ยินเข้า จึงอธิษฐานให้บุญกุศลที่เคยทำไว้และการไปฏิบัติธรรมตลอดมาช่วยให้รอด คุณฝนบอกกับเสียงที่เข้ามาว่านับจากนี้ทุกเดือนจะไปปฏิบัติธรรมและไม่ทักใครหรือเข้าไปช่วยใครอีกเลย หากเขามิได้มีเจตนาจะร้องขอตั้งแต่แรก คุณฝนสะอื้นให้กับตัวเองแล้วรำพันว่าตนไม่ควรไปอวดอุตริไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมนี้แต่แรกเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวร เสียงนั้นก็ตอบกลับว่าคุณฝนไม่มีทางรอดไปได้ เพราะคุณฝนได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขณะที่ได้ยินแพทย์เจ้าของไข้ถามแฟนว่าให้เจาะไขสันหลังเลยไหม ผ่าตัดเลยไหม เพราะต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณฝนพยายามส่ายหัวให้คนเห็นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการ คุณฝนผู้ซึ่งเป็นคนที่นับถือ “พระแม่” เป็นอย่างยิ่ง จึงบอกกับพระแม่ว่าตนขออุทิศชีวิตตัวเองให้กับการทำดี แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเลย.. เช้าวันต่อมา หมอคนที่จะผ่าตัดให้ก็มีเคสพิเศษเข้ามากะทันหัน จึงต้องให้หมอคนใหม่มาดูแลแทน แล้วคำวินิจฉัยก็เปลี่ยนไป หมอคนใหม่บอกว่าคุณฝนไม่ได้เป็นอะไรสามารถกลับบ้านได้ทันที สาเหตุที่ไม่สามารถขยับตัวได้คงเป็นเพราะไมเกรนทำพิษ ซึ่งอาจเกิดความเครียดตอนทำงาน สุดท้ายอาการต่าง ๆ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระยะ หลังจากนั้น คุณฝนก็ไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนตามสัญญา คุณฝนเรียนรู้ว่าบางครั้งแม้เราจะมีดวงตาเห็นนิมิตอะไรบางอย่างในตัวคนคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกเขาอยู่ดี เพราะผลที่ตามมามันอาจรุนแรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่มีครู..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1