ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเที่ยวเรียวกังเก่า เจอโทรศัพท์สีดำเลยแชะภาพไปหนึ่ง แต่ดันได้ยินเสียงจากปลายสาย ตกใจตัวสั่นหน้าซีด พอเช้าก็รีบกลับทันที ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อนที่ข้ามถนนไปก่อนพูดประโยคเดียวกับเสียงในโทรศัพท์ จากนั้นก็โดนรถชนเสียชีวิต!

27 เม.ย. 2024

 เรื่องนี้ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สีดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณต้นกล้าได้ฟังมาจาก ‘มายูมิ’ เธอเป็นนักศึกษา อยู่ปี 3 กำลังจะขึ้นปี 4 ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ช่วงเวลานั้นเองที่เหล่านักศึกษาต้องเตรียมหาบริษัท เพื่อดูว่าควรจะทำงานอะไรต่อไป คนญี่ปุ่นเรียกช่วงนี้ว่า ‘Job Hunting’ หรือ การหางานของเด็กจบใหม่ในญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสเจอเพื่อนอีกแล้ว มายูมิ จึงบอกกับเพื่อน ๆ ว่า “ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เรานัดกันไปออกทริปดีกว่า” เพื่อนหลายคนต่างก็ตอบรับคำชวนของมายูมิ รวมแล้วทริปนี้มีทั้งชายและหญิงประมาณ 4 - 5 คน

            ในวันออกทริปได้มีการเช่ารถยนต์ โดยให้เพื่อนที่มีใบขับขี่เป็นคนขับ ระหว่างออกเดินทาง ก็ขับกันไปสนุกสนานตามประสาวัยรุ่น ทุกอย่างปกติดีจนกระทั่งเหมือนระหว่างที่เดินทางอยู่ๆท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เมื่อไปถึงที่หมายก็พบว่าที่พักเป็น เรียวกังญี่ปุ่น เหมือนโรงแรมญี่ปุ่นเวอร์ชั่นเก่าอยู่บนเขา

            หนึ่งในกลุ่มเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า

            “ฮู้ยย เนี่ยสวยเนอะ”

            มายูมิก็ตอบกลับไปด้วยความกลัวว่า

            “จะว่าสวยก็สวย จะว่าขนลุกก็ขนลุก ดูเหมือนมีผีเลยอ่ะ ต้องมีแน่ๆเลย”

            เพื่อนคนเดิมตอบกลับมาว่า

            “มีผีก็ดีดิ สนุกเลย เราได้เจอผี ถือเป็นโมเม้นต์ร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานไง”

            ส่วนตัวของมายูมิไม่ชอบเรื่องลี้ลับ จึงเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่เพื่อนทุกคนก็ตัดสินใจว่า “เห้ยย เราพักที่นี่แหล่ะ เราจองไว้แล้ว เกิดอะไรก็เกิด” แต่ความรู้สึกของมายูมิบอกแต่แรกแล้วว่า ‘เรียวกังนี้ไม่ควรเข้าไป’ มายูมิรู้สึกไม่ดี ขนลุก อยากกลับ แต่ถ้าบอกเพื่อนไปตรง ๆ เพื่อนก็จะหาว่า  “โอ้โห้ ขนาดแขกคนอื่นยังมาพักได้เลย”

            เมื่อถึงหน้าเรียวกัง ทุกคนก็ลงมาเก็บของ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน โดยมี ‘โอคามิซัง’ พนักงานมาต้องรับ โอคามิซังพูดกับทุกคนว่า 

            “เหนื่อยมั้ยเดี๋ยวพาไปที่ห้องนะ” 

            จากนั้นโอคามิซังก็พาไปแนะนำห้องพัก หลังจากแนะนำห้องพักเสร็จ ก็แนะนำห้องอาบน้ำที่เป็นออนเซ็นเล็ก ๆ โดยแบ่งห้องอาบน้ำชายและหญิงคนละฝั่ง รวมถึงบอกเรื่องเวลาปิดห้องอาบน้ำด้วย สุดท้ายก็ให้กุญแจห้อง และทิ้งท้ายว่า “หากต้องการอะไรให้เรียกโอคามิซังได้เลย” จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย

            หลังจากโอคามิซังเดินออกไป ทุกคนดูตื่นเต้นกับเรียวกังนี้มาก ต่างดูของตกแต่งในห้อง รวมถึงรูปภาพประดับ หนึ่งคนในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่า

            “โอ้โห้ดูรูปภาพนี้ดิ่ เราว่ามันจะต้องมีเรื่องราวแน่เลย” พอเอานิ้วไปสัมผัสที่รูปภาพก็มีฝุ่นติดขึ้นมา ทุกอย่างในเรียวกังนี้ดูขลังมาก

            หลังจากเดินชมเรียวกังเสร็จก็แยกย้ายกันไปพัก แยกห้องชาย-หญิง เมื่อฝั่งผู้ชายวางของเสร็จ ก็เดินมาที่ห้องของผู้หญิง เพื่อชวนกันออกไปถ่ายรูป ทุกคนจึงเดินออกมาข้างหน้า เมื่อได้มุมที่พอใจ ก็ถ่ายรูปกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น หมี หน้าประตู แต่มีมุมหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อนผู้ชายบอกกับมายูมิว่า 

            “ลองไปถือโทรศัพท์ตรงนั้นหน่อยสิ”

            มุมนั้นเป็นกำแพงสีพื้น มีโต๊ะเล็ก ๆ ที่วางสูง ๆ แล้วก็มี ‘โทรศัพท์สีดำ’ วางอยู่บนโต๊ะ และมีเก้าอี้วางไว้อีกหนึ่งตัว เรียกได้ว่าเป็นที่น่าถ่ายรูปมาก มายูมิก็ตอบกลับเพื่อนว่า “จะดีหรอ” สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไป แล้วพอเดินไปกำลังจะถึง ก็ได้ยินเสียง “กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ มายูมิก็สะดุ้งตกใจ เพื่อนทุกคนก็ถามว่า

            “เฮ้ยยย เป็นอะไร”

            มายูมิตอบกลับเพื่อนว่า

            “ อ๋อโทษที เราสะดุ้งไปนิดนึง” 

            ตอนนั้นมายูมิก็ไม่ได้เอะใจอะไร แล้วก็เดินไปยืนตามที่เพื่อนบอก จากนั้นก็หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เพื่อน ๆ ต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่แล้วอยู่ ๆ สีหน้าของมายูมิก็ค่อย ๆ ซีดลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็วางโทรศัพท์ไป มายูมิสั่นไปทั้งตัว เพื่อนทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมายูมิ และถามว่า 

            “เป็นอะไร หนาวรึป่าว” 

            มายูมิก็ไม่พูดบอกแค่ว่า 

            “จะกลับห้อง” พูดประโยคเดิมวนอยู่ 2 - 3 รอบ

            เมื่อเห็นท่าไม่ดี ทุกคนจึงกลับมาที่ห้องและนำชาร้อนมาให้มายูมิดื่ม สักพักมายูมิก็ใจเย็นลงจึงเล่าให้เพื่อนฟังว่า 

            “ตอนที่กำลังจะไปยกหูโทรศัพท์ พวกเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังใช่มั้ย แล้วปลายสายมันมีคนพูดด้วย” 

            แต่เพื่อนทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่า “ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังนะ” ทุกคนคิดว่ามายูมิสะดุ้งเพราะพื้นไม้เรียวกังมันเก่า เพื่อนจึงบอกว่า

            “เธอได้ยินคนเดียวนะ”

            มายูมิตอบกลับไปว่า

            “หรอ เป็นไปไม่ได้ เราได้ยินจริง ๆ นะ มันดังมาก ๆ”

            เพื่อนจึงถามต่อว่า

            “พอเธอยกหูโทรศัพท์เธอได้ยินอะไรจากปลายสาย ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น”

            มายูมิจึงเล่าว่า

            “เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราได้ยินอะไร เพราะมันแปลกมากเลย เราได้ยินว่า เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น แล้วก็มีเสียง ตึ้มมมมมมมม ดังมากๆ แล้วสายก็ตัดไปเลย เป็นเสียงที่มาจากปลายสายนะ” 

            เพื่อนก็ปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอก”

            จนกระทั่งคืนนั้น ทุกคนก็นอนหลับฝันดีปกติ มีแค่มายูมิที่นอนฝันร้าย พอตื่นขึ้นมา ผมมายูมิกระเซอะกระเซิง แล้วก็บอกกับเพื่อนว่า “จะกลับ” แล้วก็บอกต่ออีกว่า “ตี 4 แล้ว ตี 4 ครึ่งแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กลับกันเถอะ”

            เพื่อนทุกคนก็งง แล้วบอกว่า 

            “จะรีบไปไหน เราจองที่นี่ไว้ 2 คืนนะ ไหนบอกจะมาสร้างความทรงจำดีๆ” 

            มายูมิขอร้องให้เพื่อนกลับ ทุกคนกำลังรู้สึกงัวเงีย เพราะพึ่งตื่นไม่เต็มตา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมกลับตามคำขอร้องของมายูมิ

            “ยอมกลับก็ได้ แล้วไปหา โรงแรมในเมืองเอา” 

            พอเก็บของขึ้นรถเสร็จระหว่างทางขับรถออกจากเรียวกัง ซึ่งเป็นเส้นทางลงเขา ประจวบเหมาะกับพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี กลายเป็นวิวที่สวยมาก จึงตัดสินใจจอดรถเทียบข้างทาง ฝั่งซ้าย ทุกคนต้องข้ามไปฝั่งขวา เพื่อที่จะได้เห็นวิวหน้าผาสวย ๆ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วข้ามถนนไปฝั่งขวา 

            เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เพื่อนก็บอกว่า 

            “กลับกันเถอะ” 

            เพื่อนที่เป็นคนขับรถก็วิ่งข้ามถนนกลับไปที่รถ แล้วก็หันมากลับมาตะโกนบอกเพื่อนว่า  

            “เฮ้ยย ทำไมยืนมองอยู่ตรงนั้น”  

            แต่แล้วก็มีรถคันหนึ่งขับวิ่งเข้ามาชนเขา! แล้วมีเสียง “กริ๊งงงงงงง ตึ้มมมมมมม” 

            เพื่อนคนนั้นถูกรถชนตัวกระเด็นทำให้เสียชีวิตทันที! ทุกคนที่อยู่อีกฝั่งต่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะมันตรงกับสิ่งที่มายูมิได้ยินจากโทรศัพท์สีดำเมื่อคืน! 

            ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น และเกิดคำถามขึ้นในใจว่าโทรศัพท์สีดำเครื่องนั้นมันพยายามจะบอกอะไร?

            ถ้ากลับไปอีกรอบ แล้วยกหูโทรศัพท์สีดำนั้นขึ้นมาอีกจะมีใครตายอีกหรือไม่..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

24 พ.ย. 2023

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

ติดตามความราวสยองจากเรื่อง ‘ตามมาจากเสียงเรียก’ โดย ‘คุณดี้’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (21 พฤจิกายน 2566) จะหลอนชวนสยองขนาดไหน.. ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันได้เลย! เรื่องราวแปลก ๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อคุณดี้ได้ไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดหนึ่ง อยู่ติดกับริมแม่น้ำโขงเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณดี้จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน แต่ในวันที่จะเดินทางปรากฏว่าเที่ยวบินดีเลย์จึงไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด เมื่อคุณดี้เดินทางมาถึงที่พัก ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ทุ่มแล้ว ด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงรีบเดินเข้าไปรับคีย์การ์ดจากพนักงานต้อนรับ จากนั้นพนักงานก็แจ้งว่าได้พักห้องที่ชั้น 3 ห้อง 310 คุณดี้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงรีบเก็บสัมภาระและเข้านอนทันที โดยเลือกที่จะเปิดไฟตรงระเบียงไว้เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไป ระหว่างที่นอนหลับอยู่ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้นแบบผิดปกติ พร้อมกับมีเสียงดังว่า “310” อยู่หลาย ๆ ครั้ง คุณดี้ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยกหูโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วก็กลับมานอนที่เตียง! คุณดี้คิดว่าตัวเองอาจจะฝันหรือละเมอไปเอง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันเหมือนจริงมาก คุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงยื่นมือไปเปิดไฟและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อมองดูที่จอเพื่อดูเวลา ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 กว่า ๆ ตอนนั้นคุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งตี 3 กว่า ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้รู้สึกว่าใครบางคุณกำลังหายใจรดต้นคออยู่! ด้วยความกลัว คุณดี้จึงพูดในใจถึงเจ้าที่เจ้าทางว่า “มาดีนะ แค่มาทำงาน ไม่ได้มีเจตนามาร้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญถวายสังฆทานให้” จากนั้นก็หลับไป พอรุ่งขึ้นก็ได้แจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์ที่ห้องมีปัญหาพร้อมกับให้ช่างก็ขึ้นมาดู ปรากฏว่าโทรศัพท์ก็ปกติดีไม่ได้มีปัญหาอะไร ในคืนที่สอง คุณดี้ได้ถอดสายโทรศัพท์ออกพร้อมกับเปิดไฟทุกดวง และตัดสินใจสวดมนต์ก่อนนอน รวมถึงก่อนเข้านอนก็ได้วางเหรียญไว้บนหัวเตียงเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อความสบายใจ ในระหว่างที่กำลังจะนอน คุณดี้รู้สึกว่าไฟที่เปิดไว้มันสว่างเกินไป จึงตัดสินใจว่าจะปิดไฟทั้งหมด เหลือไว้แค่โคมไฟบริเวณหัวเตียง จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้น แล้วไฟก็เปิดขึ้นมาเอง! ความกลัวเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณดี้พูดในใจว่า “อย่ามาแกล้งได้มั๊ย ทำบุญให้แล้ว ขอนอนได้มั๊ย” แล้วคืนที่สองก็ผ่านไป.. คืนที่สามคุณดี้ก็เข้านอนตามปกติ แต่พอรุ่งขึ้นคุณดี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะหยิบสายชาร์จเพื่อชาร์จโทรศัพท์ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังเสียบสายชาร์จไปที่ปลั๊กไฟนั้น ก็เกิดไฟฟ้าลัดวงจร! จึงรีบไปแจ้งพนักงานขอเปลี่ยนห้อง ตอนแรกทางที่พักแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่นานก็โทรกลับมาว่าจะเปลี่ยนห้องให้กับคุณดี้ โดยย้ายจากห้องเดิมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นห้อง 412 หลังจากแม่บ้านขนย้ายสัมภาระข้องคุณดี้มายังห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว พอคุณดี้กลับมาถึงห้องก็ตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคือเหรียญที่เคยวางไว้ที่หัวเตียงก็ถูกย้ายมาที่ห้องใหม่ด้วย! ด้วยความกลัวจึงให้แม่บ้านนำออกไปไว้ที่ห้องเดิม จากนั้นคุณดี้ก็เข้าห้องนอนตามปกติ วันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่คุณดี้กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปรากฏว่าไฟหน้าห้องน้ำก็กระพริบขึ้นมาหลายครั้ง คุณดี้ตัดสินใจออกจากห้องน้ำมาปิดไฟ และเก็บกระเป๋าเพื่อ Check out ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่เธอเก็บสัมภาระนั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ อยู่หน้าห้อง ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นแม่บ้าน จึงรีบไปเปิดแล้วจะแจ้งว่าไฟมีปัญหา ปรากฏว่าพอเปิดประตูห้องออกไป กลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องเลย! จากนั้นเธอก็รีบออกมาเพื่อ Check out แล้วก็ออกจากที่พักทันที ในระหว่างทางที่กำลังจะกลับ ปรากฏว่ารถตู้ที่นั่งมาเกิดเสียกลางทาง โชคดีที่ไม่ได้ห่างจากปั๊มน้ำมันมาก จึงตัดสินใจมารอที่ร้านกาแฟ และไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายทะเบียนรถตู้ไว้เพื่อเขียนรายงานในการมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ หลักจากที่รอประมาณเกือบชั่วโมง รถก็ซ่อมเสร็จ คุณดี้ถามคนขับรถว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบไฟภายในตัวรถ คุณดี้คิดในใจว่าทำไมตนเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ตลอด 4 วัน แต่แล้วก็นั่งรถมาที่สนามบินปกติ ในระหว่างที่อยู่บนเคื่องบิน ก็ได้เปิดดูคลังรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปป้ายทะเบียนรถที่ถ่ายไว้ ถึงกับต้องขนลุก! เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นคือรถเสียบริเวณร้านขายโกศใส่กระดูก เธอจึงนึกไปถึงเช้าของวันแรกที่มาว่า ในวันนั้นเธอมีเวลาว่าง 1 วัน จึงตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ในระหว่างทาง คุณดี้เดินมาได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ก็รู้สึกร้อน มองไปเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นวัด จึงได้ข้ามไปฝั่งนั้นเพราะจะได้อาศัยเงาของต้นไม้เดินไป แต่พอข้ามมาแล้วปรากฏว่าเห็นโกศใส่กระดูกเยอะมาก คิดในใจตอนนั้นว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนจะไม่เดินบริเวณนี้เด็ดขาด ระหว่างที่เดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถของคุณลุงขับผ่านมา คุณดี้ตัดสินใจโบกรถแล้วเรียกคุณลุงว่า “ขอไปด้วยคนค่ะ” นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น นั่นทำให้คุณดี้ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า อาจเป็นเพราะเธอโบกรถแล้วพูดว่า ‘ขอไปด้วยคน’ หรือเปล่า ทำให้ต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกัน 4 วันเช่นนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ฝันเห็นผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น เชิญเข้ามาในบ้าน จากนั้นประจำเดือนผิดปกติ 40 วัน แต่หมอบอกปกติ เลยนั่งสมาธิ พอลืมตาเห็นผู้หญิงร่างเปลือยนั่งท่าคล้ายแม่เป๋อหันมาทางไลฟ์สด!

09 มี.ค. 2024

ฝันเห็นผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น เชิญเข้ามาในบ้าน จากนั้นประจำเดือนผิดปกติ 40 วัน แต่หมอบอกปกติ เลยนั่งสมาธิ พอลืมตาเห็นผู้หญิงร่างเปลือยนั่งท่าคล้ายแม่เป๋อหันมาทางไลฟ์สด!

ประจำเดือนของผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีไม่เกิน 7-10 วัน แต่ ‘คุณขวัญ’ เคยมีประจำเดือนมากสุดถึง 40 วัน จนร่างกายอ่อนเพลีย เกือบเสียทั้งงานประจำและงานดูดวง! เรื่องนี้ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ลุ้นไปกับความหลอน ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผู้ถูกกระทำ’ เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ในตอนนั้น ‘คุณขวัญ’ ทำงานประจำที่โรงพยาบาลควบคู่ไปกับอาชีพหมอดู หลังเลิกงานคุณขวัญก็จะรับคิวดูดวง และยังไลฟ์สดยามดึกพูดคุยกับลูกดวงอีกด้วย เรียกได้ว่ามีคนเข้ามาดูไลฟ์ดูดวงนี้เป็นจำนวนมาก แต่ช่วงหลัง ๆ จำนวนผู้เข้าชมไลฟ์กลับลดลงไปเรื่อย ๆ จากหลักร้อยเป็นหลักสิบ บางวันก็ไม่มีผู้เข้าชมเลย คุณขวัญคิดว่าอาจจะเป็นที่ระบบ เพราะตนไม่เคยทำตลาดแบบโปรโมตเลยสักครั้ง ทำให้อัลกอริทึมไม่ดันไลฟ์ของตนก็เป็นได้ เวลาผ่านไปไม่กี่วัน คุณขวัญฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวใส่ผ้าซิ่นมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน ผู้หญิงคนนั้นถามหาคนในบ้าน คุณขวัญจึงบอกไปว่า “ถ้าอย่างนั้น เข้ามารอในบ้านก่อนเลยค่ะ” สิ้นเสียงคุณขวัญ ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้าบ้านมา จากนั้น คุณขวัญก็สะดุ้งตื่นในช่วงรุ่งสาง ผ่านไปไม่กี่วัน คุณขวัญก็เป็นประจำเดือน.. คุณขวัญเล่าเพิ่มเติมว่าตนนั้นมีช่วงของประจำเดือนค่อนข้างสม่ำเสมอ นับแล้วไม่เกิน 5-7 วัน จากนั้นก็จะหายไป และไม่มีอาการปวดท้องประจำเดือนแต่อย่างใด แต่การเป็นประจำเดือนของคุณขวัญในครั้งนี้กลับแปลกไปจากเดิม คุณขวัญมีอาการปวดท้องทรมานอย่างรุนแรง ประจำเดือนมีสีคล้ำเข้มต่างจากปกติ ตอนแรกคุณขวัญไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าตนอาจจะมีเรื่องเครียดจึงทำให้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน ประจำเดือนของคุณขวัญก็ยังไม่หมด ทั้งยังมีปริมาณมากและไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยลง คุณขวัญต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยแบบกลางคืนเช้า 3 รอบและช่วงเย็นอีก 3 รอบ คุณขวัญรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มผิดปกติ เพราะผลกระทบจากการเสียเลือดมากคืออ่อนเพลีย กระทั่งวันที่ 10 คุณขวัญได้ไปทำงาน พี่พยาบาลที่เป็นเพื่อนร่วมงานก็เอ่ยทักขึ้นว่า “ทำไมดูหน้าซีดจัง เป็นอะไรป่าว?” คุณขวัญจึงเล่าให้พี่พยาบาลฟังว่าอาการประจำเดือนของตนผิดปกติไป พี่พยาบาลจึงแนะนำให้ไปหาหมอเฉพาะทาง คุณขวัญจึงทำตามนั้น คุณขวัญได้ไปตรวจอย่างละเอียดเพื่อหาความผิดปกติของโรคทางนรีเวช คุณหมอสงสัยว่าอาจจะมีภาวะมดลูกโต ทำให้มีประจำเดือนผิดปกติ แต่พออัลตร้าซาวด์ก็พบว่ามดลูกปกติ คุณหมอจึงให้ยาระงับเลือด และยังแนะนำว่าหากกินยาแล้วเลือดหยุดก็ให้หยุดยาได้ คุณขวัญกินยาได้ 2 วัน เลือดก็หยุดไหล ตนจึงหยุดกินยาอย่างที่หมอแนะนำ หลังจากนั้นประมาณ 1-2 วัน ประจำเดือนก็กลับมาอีกครั้ง และยังคงออกมาในปริมาณที่มากผิดปกติ หลังจากนั้นก็ใช้เวลาเพิ่มไปอีก 10 กว่าวัน ระหว่างที่คุณขวัญเป็นประจำเดือนอยู่นั้น ไลฟ์สดของตนก็แทบจะไม่มีผู้ชมเข้ามาดูและยังไม่มีคิวดูดวงเข้ามาด้วย และเนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียจนไปทำงานไม่ไหว ทำให้คุณขวัญต้องลาหยุดงานประจำบ่อยครั้ง ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างกระทบกันเป็นทอดแหจนคุณขวัญกลัวว่าตนจะเสียทุกอย่างไปจนหมด คุณขวัญตัดสินใจไปพบคุณหมอและทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด คุณหมอเองก็มึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น และจ่ายยาเหมือนครั้งก่อนให้คุณขวัญ หลังจากกินยารอบนี้ ประจำเดือนกลับไม่หายไป คุณขวัญนับตั้งแต่เริ่มเป็นประจำเดือนจนถึงตอนนี้ก็ใช้เวลาร่วม 40 วัน คุณขวัญจึงฉุกคิดขึ้นมาว่า ‘หรือนี่อาจจะไม่ใช่ความผิดปกติทางการแพทย์?’ ในขณะนั้นเอง ร่างกายของคุณขวัญก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง เรียกได้ว่าตลอดทั้งวันเธอทำได้แค่นอนพัก สุดท้ายคุณขวัญจึงรวบรวมสติเพื่อลุกขึ้นมานั่งสมาธิแล้วบอกกล่าวครูบาอาจารย์ว่า “ถ้าหากครั้งนี้ ลูกยังมีบุญ มีวาสนาที่จะหลุดพ้น ขอให้ลูกพบกับความจริง” เมื่อคุณขวัญลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปมองที่โต๊ะทำงานที่ใช้ดูดวงและไลฟ์สดก็ปรากฏภาพผู้หญิงที่เคยเห็นในฝัน (ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นที่คุณขวัญอนุญาตให้เข้ามานั่งในบ้าน) แต่ครั้งนี้.. ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ร่างเปลือยเปล่า ผมเผ้ากระเซิงไม่เรียบร้อย เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่คุณขวัญใช้ทำงานด้วยท่านั่งยอง คล้ายกับท่าของแม่เป๋อแล้วหันไปทางไฟไลฟ์สด! ..จากนั้นก็แว๊บหายไป! คุณขวัญคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ จึงรุดโทรหาอาจารย์ที่ตนเคารพท่านหนึ่ง หลังจากพูดคุยปรึกษากันเสร็จเรียบร้อย คืนนั้นเอง คุณขวัญก็นอนหลับแล้วฝันว่า มีพระท่านหนึ่งเดินมาหาตน แล้วบอกว่า “ช่วงนี้ไม่ค่อยดีใช่มั้ย? ช่วงนี้พูดอะไรไม่ค่อยได้ยินใช่มั้ย? พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องใช่มั้ย?” คุณขวัญพยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “ใช่ค่ะ” จากนั้นพระท่านก็แนะนำให้คุณขวัญไปหยิบพระพุทธรูปที่อยู่ด้านหลังของโบสถ์ (ในฝันคุณขวัญอยู่ในโบสถ์) จากนั้นให้นำมาวางไว้เหนือหัว เมื่อคุณขวัญทำตาม พระท่านก็หยิบไม้แคะหูมาควานเข้าไปในรูหูทั้งสองข้างของคุณขวัญ เมื่อดึงออกมาก็พบว่ามันคือก้อนกระจุกผมยาวที่ติดอยู่ในนั้น! เมื่อโยนทิ้งเสร็จ พระท่านก็หันมายิ้มให้ จากนั้นก็หันหลังหายไปกับแสงสว่าง คุณขวัญสะดุ้งตื่นในเช้าวันถัดมาก็โทรหาอาจารย์แล้วเล่าเรื่องฝันให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า “หลุดพ้นแล้วนะลูก” คุณขวัญจึงถามกลับไปว่า “อาจารย์คะ? ใครเป็นคนทำ?” อาจารย์ตอบกลับมาอย่างใจเย็นว่า “หากรู้ว่าใครทำ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมั้ย? อโหสิกรรมปล่อยวางได้หรือเปล่า? สายอาชีพนี้.. ถ้าเราไม่ทำเขา เขาก็จ้องจะทำเราอยู่ดี” คำตอบของอาจารย์ทำให้คุณขวัญประทับใจเป็นอย่างมาก หลังจากฝันในครั้งนั้น อาการประจำเดือนที่ผิดปกติก็เริ่มจางลงจนกลับมาเป็นปกติ คุณขวัญยังบอกอีกว่าลึก ๆ ในใจของตนนั้นอยากรู้มากว่าใครทำ คาดเดาไปเพียงว่าอาจจะเป็นคนสายอาชีพเดียวกันที่ไลฟ์สดเจอกันบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้อยากจะปรักปรำใคร เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของตนเท่านั้น และยังบอกชาวอังคารคลุมโปงอีกว่า ปัจจุบันนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงสามารถทำของได้ง่ายขนาดนี้ นั่นเพราะบัญชีโซเชียลของเรามีชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะทำของ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

16 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’เฌอปราง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เฌอปรางเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนอายุ 5 ขวบ ช่วงสุดสัปดาห์ไปอยู่คุณปู่ที่อพาร์ทเม้นท์ที่ไม่ได้ไปบ่อยนัก ตอนนั้นหลังกลับจากเที่ยวห้างและสวนสัตว์กับคุณปู่ ทางกลับจะเป็นซอยเข้าไปลึก ทางเปลี่ยว ไม่ค่อยมีผู้คน และเป็นอพาร์ทเม้นท์หลายตึก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม ทุกอย่างมืดมาก ต้องเปิดไฟ สองปู่หลานเดินจูงมือกันไปตามทาง เดินผ่านซอกอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นถนนที่ต้องเดินผ่าน ด้านข้างเป็นผนังสีขาว โล่ง ๆ สูงประมาณตึก 5 ชั้น ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเป็นทางที่ผ่านประจำ แต่ครั้งนี้เฌอปรางรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม ไม่รู้อะไรดลใจ เท่าที่จำได้ เฌอปรางเห็นตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปในซอกนั้น เป็นเงารูปคนสูงเท่าตึก แขนและขา ยาว ผอม เฌอปรางก็มองแล้วคิดในใจตามประสาเด็กว่า “มันคืออะไร” พอพยายามมองไปรอบ ๆ ก็เจอไฟที่ส่องมา แต่ไม่เจอต้นกำเนิดหรือเจ้าของเงา พอเดินไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ระหว่างนั้นก็เดินแล้วก็มองอยู่หลายครั้ง เงานั้นก็อยู่เฉย ๆ ตอนนั้นคิดว่าน่าจะรู้สึกกลัวเลยไม่ได้ถามคุณปู่ เฌอปรางจำได้ว่าหลังจากนั้นก็กลัวที่จะเดินผ่านซอกนั้น และระแวงซอกที่คล้าย ๆ ตอนนั้นไปเลย จนทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย 5-6 ปีผ่านไป พอโตขึ้นมาก็ได้ยินเรื่องเล่าว่า ‘มันมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวสูงเท่าตึก แขน-ขา ยาว ผอมแห้ง ปากเท่ารูเข็ม เรียกว่าเปรต’ เฌอปรางจึงเอะใจว่าวันนั้นที่เราเจอมันจะใช่ไหมนะ จึงถามว่า ”ตอนนั้นตอนเด็ก หนูเจอที่อพาร์ทเม้นท์ปู่เนี่ย มันใช่ไหมคะ“ เขาก็บอกว่า ”เฌอไปทำบุญเถอะ เขาน่าจะมาขอส่วนบุญ“ และนี่เป็นไม่กี่เรื่องที่เฌอปรางยังจำได้ตั้งแต่เด็ก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1