เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'ไปอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 24 ก.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณคิงส์ 'ไปอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 24 ก.ย. 2567]

24 ก.ย. 2024

     ประเดิมสายแรกของรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 กันยายน 2567) กับ ‘คุณคิงส์’ ที่มาเล่าเรื่องราวขนหัวลุกกับเรื่อง ‘ไปอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม’ เป็นเรื่องสุดหลอนที่เจอบนเกาะ ทำเอา ‘ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจมส์’ ขนลุกจนลูบเเขนไม่หยุด! เรื่องราวบนเกาะว่านั้นจะหลอนขนาดไหน ไปอ่านกันเลย!

     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจากการที่คุณคิงส์และกลุ่มเพื่อนจัดทริปไปเที่ยวทะเลแบบฉุกละหุก โดยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน เพื่อนได้ติดต่อไกด์ไว้ เเละได้กันคุยว่าจะหาที่พักบนเกาะ 2 คืน หลังจากตกลงกันเรียบร้อยก็ออกเดินทาง เมื่อไปถึงเกาะก็กางเต็นท์นอนกัน มีการนั่งล้อมวงกันคุยกันเรื่องสัพเพเหระ หนึ่งในเรื่องที่ขาดไม่ได้คือเรื่องผี ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงกำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีเพื่อนชื่อนนท์พูดขึ้นมาว่า

     นนท์ : หึ้ย! หยุดก่อน

     คุณคิงส์ : ทำไม? กำลังเล่าได้ที่เลย

     นนท์ : ทำไมมีหมาไปวิ่งอยู่ในทะเล

     ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่า ตอนแรกทุกคนก็มองไปที่ทะเล เเต่คุณคิงส์คิดว่าอย่าทักดีกว่า จึงเปลี่ยนเรื่องให้เพื่อนไม่สนใจเเล้วมาคุยกันต่อ แต่นนท์ก็ชี้ไปอีกครั้ง

     นนท์ : นั่นไง ๆ หมาวิ่งอยู่

     คุณคิงส์ : จะไปวิ่งได้ไงเรือจอดอยู่ตรงนั้นก็ 2 เมตรกว่า ๆ ละ น้ำลึกขนาดนั้น

     นนท์ : วิ่งจริง ๆ นั่นน่ะ

     ทุกคนมองตามไปอีกครั้ง ปรากฎว่าไม่มีอะไร เเล้วไกด์ก็เดินมาบอกว่า

     ไกด์ : อย่าทักดีกว่าครับ เลิกเล่าแล้วไปพักผ่อนกันดีกว่าครับ

     ทุกคนมองหน้ากันจากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

     ในขณะที่คุณคิงส์กำลังฟังเสียงคลื่น เคลิ้มกำลังจะหลับ สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบ ๆ เต็นท์ เป็นเสียงคนเดินเหยียบทราย ซาบซ่าบบ ซาบซ่าบบ… คุณคิงส์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเงายืนอยู่ข้าง ๆ เต็นท์ คุณคิงส์คิดว่าเพื่อนจะมาเอาอะไรหรือเปล่า เเล้วสักพักคนที่อยู่นอกเต็นท์ก็เอามือมาเเตะผ้าใบของเต็นท์เเล้วก็ค่อย ๆ เอามือลูบ 2-3 ครั้งดัง ครื้ดดด ครื้ดดดด~ จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้มตัวลงมาเอาหน้าเตะอยู่ที่ผ้าเต็นท์! ซึ่งหน้ามันใหญ่กว่าคนปกติ คุณคิงส์ตกใจร้องเสียงหลง เเล้วหน้านั้นก็ดึงออกไปตามด้วยเสียงวิ่ง คุณคิงส์จึงปลุกเพื่อนออกไปดูข้างนอกด้วยกัน

     คุณคิงส์กับเพื่อนได้เดินรอบเต็นท์ ปรากฎว่าไม่พบร่องรอยอะไรเลย คุณคิงส์สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เดินกลับมานอนต่อที่เต็นท์ เเต่ก่อนนอนรอบนี้ได้สวดมนต์เเผ่เมตตา พอกำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น

     “ฮื้อออ… ฮื้ออ~“

     คุณคิงส์ได้คิดในใจว่า ‘ผมไหว้พระเเล้ว สวดมนต์ เเผ่เมตตาให้เเล้ว ขออนุญาตนอนที่นี่เเล้วนะครับ อย่ารบกวนซึ่งกันเเละกันเลย’ แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป…

     เช้าวันถัดมามีฝนตกลมแรงมาก พอฝนซาก็ออกไปพักผ่อน ทำกิจกรรมเล่นกับเพื่อนสนุกสนาน จนกระทั่งตอนเย็นกลับมา หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ นนท์ก็นั่งก้มหน้าก้มตา คุณคิงส์จึงเอ่ยถามเพื่อเช็คว่าเพื่อนสบายดีหรือไม่ รวมทั้งเพื่อนคนอื่นก็ถามเพราะเห็นนนท์มีอาการแปลก ๆ เเต่นนท์ก็ไม่ตอบอะไรได้เเต่เงยหน้าขึ้นมาเเสยะยิ้มเเล้วก้มหน้าลงไป เพื่อนในกลุ่มเห็นว่าอาการแปลกเกินไป จึงตกลงช่วยกันสังเกตอาการเรื่อย ๆ

     แต่ในขณะที่คุณคิงส์กำลังจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ นนท์ก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะ เเล้วก็วิ่งหายเข้าไปในชายป่าที่อยู่ริมเกาะ! ในตอนนั้นทุกคนตกใจมากเเล้วรีบวิ่งตามไป สักพักฝนก็ตกหนักลงมา ทำให้ตามหายากขึ้น จนผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ไม่ยังไม่เจอ คุณคิงส์ก็ได้ยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง

     “ผมขออนุญาตครับ ถ้าหากพวกทำอะไรผิดพลาดไปละก็ขอขมาครับ ถ้าพวกผมทำอะไรผิดไปเนี่ย พวกผมจะมาขอโทษอีกครั้งนึง เเต่ว่าตอนนี้ช่วยพวกผมหาเพื่อนหน่อยได้มั้ยครับ พวกผมขอร้องล่ะครับ”

     ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนร้อง โอ้ยย! โอ้ยยย  ไม่ไกลจากที่คุณคิงส์เเละเพื่อน ๆ หา จึงรีบไปหาตามเสียงร้องนั้น ปรากฎว่าสิ่งที่เจอคือนนท์ในสภาพขาที่มีเลือดชุ่ม! จึงนำไปปฐมพยาบาล

     คุณคิงส์พยายามถามนนท์ว่าเกิดอะไรขึ้น เเต่นนท์ก็ได้เเต่เพ้อเเละตอบออกมาเป็นภาษาที่ทุกคนไม่เคยได้ยิน ฟังไม่ออก จนกระทั่งไกด์ได้พูดกับนนท์ 2-3 คำแล้วก็นิ่งไป เเละได้บอกกับทุกคนว่า

     “เพื่อนพวกคุณน่ะ น่าจะไปทำอะไรผิดที่ผิดทาง ไปลบหลู่อะไรเข้าเเน่ ๆ เพราะที่เขาพูดเมื่อกี้เป็นภาษายาวี เเล้วเขาพูดว่า… จะเอาไปอยู่ด้วย!”

     ทุกคนในที่นั้นตกใจเเละได้ขอขมาทันที สักพักไกด์ก็ได้ถอดเครื่องรางเอาไปคล้องที่คอนนท์ จนอาการเพ้อค่อย ๆ ดีขึ้นจนสงบไป …

     เช้าวันต่อมา ไกด์ได้พาทุกคนไปไหว้ต้นไม้ใหญ่เเถวนั้น เเละพูดว่า

     ”ถ้าหากพวกผมล่วงเกินไป ต้องขอโทษขอขมา“

     หลังพูดจบนนท์ก็อาการดีขึ้น มีสติมากขึ้น เเละจากที่ฝนตกอยู่นั้นท้องฟ้าก็ค่อย ๆ โปร่ง เหมือนเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เเละไกด์ก็ได้พาทุกคนขึ้นเรือกลับ บนเรือไกด์ก็ได้พูดว่า

     ”ไม่ไปกังวลนะครับ พวกเราขอขมาเเล้ว“

     พอกลับมาถึงกรุงเทพก็เเยกย้ายกันกลับ ...

     นนท์หายไป 2-3 วัน หลังจากนั้นก็ได้โทรหาคุณคิงส์ เเละได้บอกว่า

     “เมื่อคืนฝันแปลก ๆ ฝันว่าเดินไปที่เกาะที่พวกเราไปเที่ยวกัน เดินไปสักพักมีผู้หญิงออกมาหา หน้าตาสะสวย เดินยิ้มมา เเล้วจูงมือไปนั่งคุยกัน ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ”ที่นี่สวยมั้ย น่าอยู่มั้ย“ ก็เอามือมาโอบเอวเเล้วพูดว่า “งั้นมาอยู่ดัวยกันมั้ย” ในความฝันก็มีเสียงเพื่อนตะโกนเรียกนนท์! นนท์… แล้วก็หลุดออกจากฝัน“

     ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจเเละชวนกันไปทำบุญ มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

     “เเต่เราไม่มั่นใจว่าเขานั้นนับถือศาสนาอะไร ไปอีกที่หนึ่งดีมั้ย”

     จึงตัดสินใจกันไปที่มัสยิดเเล้วก็ได้ทำความดี ล้างห้องน้ำเเละบริจาคบางส่วนเพื่อกิจการของมัสยิด เเล้วหลังจากนั้นมาทุกคนก็ไม่ได้ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นหรือเหตุการณ์นั้นอีก

     สุดท้ายจึงได้รู้สาเหตุที่นนท์มีอาการแปลก ๆ เเบบนั้นก็เป็นเพราะว่า ในวันแรกช่วงที่ทุกคนไปถึงเกาะนั้น นนท์ปวดปัสสาวะมากจึงได้ไปถ่ายโดยพลการ เเละในวันที่ 2 ขณะที่เพื่อน ๆ กำลังไปถ่ายรูปเล่นกันนั้นนนท์ได้มีการถมน้ำลายบนเกาะ โดยที่ไม่ได้ทำการขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางบนเกาะก่อนนั่นเอง ..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายไปทำงานที่นอกตัวเมืองต่างจังหวัด พี่เขาถามมาประโยคเดียวว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คืนแรกที่มานอนก็ได้ยินเสียงเคาะห้องทั้งคืน เพราะอยากมาอยู่ด้วย! เคาะไม่หยุดจนต้องสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา”

12 มิ.ย. 2023

ย้ายไปทำงานที่นอกตัวเมืองต่างจังหวัด พี่เขาถามมาประโยคเดียวว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คืนแรกที่มานอนก็ได้ยินเสียงเคาะห้องทั้งคืน เพราะอยากมาอยู่ด้วย! เคาะไม่หยุดจนต้องสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา”

‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (6 มิถุนายน 2566) ‘ส้ม มัลนิการ์’ ได้เล่าเรื่องสุดหลอนที่ได้เจอตอนย้ายไปเช่าบ้านพักที่ต่างจังหวัด ที่ฟังจบแล้ว ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน! จะหลอนแค่ไหนนั้น เปิดแสงสว่างจอให้สุดแล้วปิดไฟอ่านพร้อมกันเลย!คุณส้มเริ่มเล่าว่า มีช่วงหนึ่งที่กำลังตามหาตัวเอง จึงไปทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งที่จันทบุรี แต่สาขางานที่ทำอยู่นั้นค่อนข้างห่างจากตัวเมือง บางวันอยู่เคลียร์งานจนต้องกลับดึกทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่จึงแนะนำให้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ สาขาที่ทำมากขึ้น ซึ่งบ้านพักที่ย้ายมา อยู่ใกล้มาก เยื้องกับสาขาที่ทำงาน บ้านพักมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวที่ยกสูงจากพื้นประมาณ 2 ฟุต ต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะเข้าห้องพัก อยู่หลังริมสุดติดรั้ว คุณส้มรู้จักกับพี่เจ้าของบ้านพักเพราะเขาทำงานบริษัทเดียวกันแต่คนละสาขา จึงได้ในราคาที่ถูกลง จากประมาณ 5,000 เหลือ ประมาณ 3,500 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมาก ทั้งสะดวก ทั้งอยู่ติดที่ทำงาน โรงพยาบาล และร้านอาหาร จึงตัดสินใจย้ายของเข้า แต่แล้วพี่เจ้าของบ้านพักก็ถามขึ้นมาว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คุณส้มก็ตอบไปว่า “ได้ค่ะ” แม้จะเอะใจแต่ก็คิดว่า พี่เขาคงเป็นห่วงเพราะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวคืนแรกที่มาอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้ ก็ต้องขนของจัดของเข้าห้อง กว่าจะเสร็จก็ดึกมาก และต้องรีบนอนเพราะต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้า ระหว่างที่จัดของในห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงเดิน เป็นเสียงรองเท้าเดินบนพื้นหินกรวด เข้ามาทางประตูด้านหลังของตัวบ้านพัก คุณส้มก็คิดว่าเป็นพี่ผู้ชายห้องข้าง ๆ เดินมา เพราะเสียงฝีเท้ามันหนักและใหญ่เหมือนใส่รองเท้าบูทหรือไม่ก็คอมแบต ชัดเจนมากว่าเป็นของผู้ชายดัง “ฉึบ ฉึบ ฉึบ” เหมือนเดินมาด้วยความรีบ สักพักเสียงก็หยุดไป คุณส้มคิดในแง่ดีว่า ยังไงก็ต้องเป็นคน อาจจะเป็นเสียงของพี่ห้องข้าง ๆ จึงไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำ ขณะที่คุณส้มกำลังแปรงฟัน เสียงเดินก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เสียงเดินมันดังขึ้นมาจากบันได “ตึง ตึง ตึง” มาหยุดที่หน้าประตูด้านหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหลาย ๆ ครั้ง แล้วก็มีเสียงผู้ชายตะโกนมาว่า “เห้ย เปิดโว้ย!” คุณส้มจึงตะโกนกลับไป “ใครอ่ะ!” แล้วก็คิดในใจว่าเราเข้าผิดห้องหรือไปจอดรถขวางใครหรือเปล่า แล้วก็ตอบไปว่า “แป๊บนึงนะคะพี่” จากนั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปเปิดประตูแง้ม ๆ แต่เสียงมันเงียบจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้! คุณส้มมั่นใจมาก ว่ามีคนมาเคาะประตูห้องจริง ๆ จึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู เท่านั้นแหละ ขนลุกเลย! ข้างนอกไม่มีคนอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้า ส่วนพี่ผู้ชายที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ยังไม่กลับ ในใจก็คิดว่าถ้าเป็นเจ้าที่ คุณส้มจึงก็ขอโทษ ขอขมา ขอให้อยู่ปลอดภัย เดี๋ยวจะเอาพวงมาลัยไปไหว้จากนั้นคุณส้มก็กลับเข้ามาดูทีวี สักพักก็ได้ยินเสียงรถ เสียงเดินมาไขกุญแจของพี่ข้างห้อง คุณส้มก็คิดว่าเสียงเมื่อสักครู่ไม่ใช่พี่ข้างห้องแน่ๆ คงไม่มีอะไรจึงไปนอน นอนไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะผนังไม้บริเวณหัวเตียง เคาะจนคุณส้มตื่น ในใจคิดว่าคงเป็นเสียงกิ่งไม้มาโดนกับผนัง จึงนอนต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะ “ตึง!” ที่ชัดและดังมาก ๆ ทำให้สะดุ้งตื่น คราวนี้คุณส้มคิดว่าไม่ใช่เสียงกิ่งไม้แล้วแน่ๆ แล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีก เป็นเสียงเคาะที่ไล่จากซ้ายไปขวา ขึ้นบนลงล่าง สลับกันทั่วห้อง ด้วยความที่คุณส้มง่วงมากจึงตะโกนกลับไป “หยุด! จะนอน!” แล้วเสียงนั้นก็หยุด เงียบไปสักพักก็กลับมาเคาะอีก เป็นเสียงเคาะเหมือนวิ่งอยู่รอบ ๆ ตัว คุณส้มคิดว่าโดนคนแกล้งแน่ ๆ เลยเปิดประตูออกไปแต่กลับไม่มีอะไรเลย!พอกลับเข้ามาคุณส้มก็รวบรวมสมาธิ พยายามที่สื่อสารบอกเขาว่าเรามาดีนะ แต่เสียงเคาะก็ไม่หยุดแต่ถี่น้อยลง คุณส้มจึงใช้เซนส์ดู ก็เห็นว่าเขาเป็นผู้ชาย ผิวซีด เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์ไม่ก็รถยนต์ที่โรงพยาบาลใกล้ที่พัก พอถามเขาว่าต้องการอะไร เขาก็ไม่ตอบแต่กลับก่อกวนและทำให้รู้ ว่าเขาอยากมาอยู่ที่นี่กับเรา แต่ไม่ได้มาอยู่แบบดี เขาทำให้กลัว หลอน ระแวงเสียงต่าง ๆ คุณส้มบอกว่าจะทำบุญแผ่ส่วนบุญไปให้ เขาก็ไม่เอา จึงสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา” สักพักนึงในเซนส์ของคุณส้ม รอบรั้วก็มีแสงสว่างขึ้น! ผู้ชายคนนี้เหมือนพยายามจะเดินออกแต่ก็ออกไม่ได้ คุณส้มเลยขู่เขาว่า “ถ้ายังเป็นแบบนี้ ต่อไปจะแช่ง ติดต่อให้ยมทูต ยมบาลมาเก็บแล้วนะ” จากนั้นก็เริ่มสวดคาถาสายร้อน เพื่อที่จะให้เขาตอบว่าเขาต้องการอะไร และให้เขารู้ว่าอยู่ตรงนี้ไม่ได้ แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายเจ้าที่ช่วย เขาก็ขอร้องที่จะออกไปเองแล้วไม่กลับมาที่นี่อีก คุณส้มจึงพูดกลับไปว่า “ถ้ากลับมาก่อกวนอีกเมื่อไหร่ โดนนะ!” พูดคุยกันจบคุณส้มจึงไปนอนต่อเช้าวันถัดมา พี่เจ้าของที่พักก็มารอตั้งแต่เช้าเพื่อถามเพียงแค่ประโยคเดียวว่า “ส้ม เมื่อคืนนอนได้ไหม?” คุณส้มจึงตอบกลับไปว่า “พี่รู้อะไรบอกมาเดี๋ยวนี้ ทำไมถามแบบนี้” พี่เขาก็จับแขนแล้วพูดว่า “ฟังพี่นะ ห้องเนี้ย ไม่เคยมีใครอยู่ได้เลย เห็นส้มสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้เลยไม่ได้บอก แล้วเขาว่ายังไงบ้าง” คุณส้มก็บอกพี่เขาไปว่าคุยอะไรกับวิญญาณ และต้องทำอะไรบ้างให้พี่เจ้าของบ้านพักฟัง หลังจากนั้นไม่นานคุณส้มก็ต้องย้ายสาขาที่ทำงานมาในตัวเมืองจึงย้ายออกมาจากที่บ้านพักนั้น…คุณส้มบอกว่า ไม่รู้ว่าที่วิญญาณเขาทำแบบนั้นเขาต้องการอะไร แต่เขาพูดกับคุณส้มว่า “วันนึง จะต้องขอบคุณเขา” แล้วคุณส้มก็เพิ่งมานึกออกตอนเห็นว่ารายการอังคารคลุมโปงใช้เรื่องนี้เพื่อโปรโมทในรายการ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย! คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป.. พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้! หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

29 มี.ค. 2024

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

เรื่องนี้ ‘คุณโนอาร์’ จากเพจ ‘โนอาร์-Noah’ ได้นำเรื่องดล่าสุดหลอนที่เจอเข้ากับตัวเองมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ได้ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจอป้าที่โบสถ์เก่า’ ‘คุณโนอาร์’ เล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม 2567) ได้เดินทางไปยังโบสถ์ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ตามคำแนะนำของผู้กำกับอย่าง ‘พี่ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ’ เพื่อพิสูจน์และสัมผัสประสบการณ์หลอนด้วยตนเอง คุณโนอาร์และแฟนใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงโบสถ์ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่โบสถ์แห่งนั้นมีบ่อน้ำคั่นกลางต้นไม้ เมื่อไปถึงก็จัดแจงตั้งกล้องหันไปทางโบสถ์ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ระหว่างที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาจากต้นโพธิ์ด้านหลังคุณโนอาร์ คุณโนอาร์เหลือบมองเห็นจึงสลับให้แฟนทำหน้าที่พูดไลฟ์แทน ส่วนคุณโนอาร์ก็ลุกไปหาคุณป้าที่ต้นโพธิ์ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น คุณป้าก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณโนอาร์ยังไม่ได้พูดอะไรว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์ได้ยินก็คิดว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ จึงถามกลับไปว่า “ป้าเป็น FC ผมหรือเปล่าครับ?” แต่คุณป้ากลับไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปสักพัก คุณป้าก็พูดประโยคเดิมว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์จึงบอกไปว่า “ประมาณ 2-3 ทุ่ม ผมจะเริ่มสำรวจโบสถ์ ป้าจะไปที่โบสถ์กับผมมั้ย?” คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า “ป้าอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง” ได้ยินดังนั้น คุณโนอาร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น คุณโนอาร์ก็มองไปที่ตาของคุณป้า สังเกตได้ว่าดวงตาของคุณป้าไม่กะพริบเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็คิดเพียงว่าเป็นบุคลิกของคุณป้าเท่านั้น หลังจากไลฟ์ช่วงเย็นจบไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเก็บภาพด้านในของโบสถ์ ตอนนั้นเป็นเวลา 2-3 ทุ่มตามที่วางแผนไว้ คุณโนอาร์เดินอ้อมบ่อน้ำเข้าไปในโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์ก็มีแมวดำกระโดดออกมาจากข้างใน ตนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปสำรวจต่อไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก จากคานไม้ด้านบน ตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าอาจจะเป็นเสียงนก จึงหันหลังมองย้อนกลับไปที่ต้นโพธิ์ ก็เห็นว่าแฟนของตนนั้นยืนถือตะเกียงอยู่ข้างคุณป้าปริศนาท่านนั้น เมื่อเห็นดังนั้นก็สบายใจที่แฟนไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อสำรวจไปได้สักพัก คุณโนอาร์ก็เดินกลับออกมายังรถที่จอดไว้ใกล้ต้นโพธิ์ จากนั้นก็พูดกับคุณป้าว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาอีกรอบ” คุณป้าจึงตอบกลับมาว่า “พรุ่งนี้ จะมาอีกใช่มั้ย?” คุณโนอาร์ย้ำคำตอบเดิมไปว่า “ใช่ครับ” แต่คุณป้าก็ถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะได้ยินไม่ค่อยชัด คุณโนอาร์จึงต้องตอบแบบเดิมอยู่ 3-4 รอบ จากนั้นจึงบอกคุณป้าไปว่า “ผมจะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศข้างในอีกรอบ อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จครับ” เมื่อบอกคุณป้าเสร็จ ตนก็เดินเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเก็บภาพบรรยากาศรอบโบสถ์เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่รถอีกครั้ง รอบนี้คุณโนอาร์ตั้งใจจะไปหยิบน้ำดื่มที่หลังรถเพื่อมาดื่มและจะให้คุณป้าด้วย แต่เมื่อเดินมาที่หลังรถก็ไม่พบคุณป้าแล้ว คุณโนอาร์ย้อนกลับไปว่าช่วงเวลาที่ตนเข้าไปเก็บภาพในโบสถ์นั้น แฟนก็ยืนคุยกับคุณป้า แต่แฟนรู้สึกว่ายุงเยอะจนทนไม่ไหว จึงบอกคุณป้าไปว่า “หนูขอเข้าไปรอในรถนะคะ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” คุณป้าไม่ตอบอะไรกลับมา จากนั้นแฟนก็เดินขึ้นรถ และคิดว่าคุณป้าน่าจะยืนอยู่ข้างนอกคนเดียวพร้อมกับตะเกียงที่แฟนเคยถือเอาไว้ เมื่อคุณโนอาร์มาถึงรถและเดินไปข้างหลังแต่ไม่เห็นคุณป้าจึงคิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว ส่วนแฟนเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคุณป้าไปไหนหรือกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับ วันถัดมา รอบนี้จะเป็นการถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะมีทีมงานมาช่วยถ่ายด้วย ฝ่ายทีมงานเดินทางมาถึงก่อนคุณโนอาร์ครึ่งชั่วโมง เมื่อตนมาถึงก็ถามทีมงานว่า “มีใครเข้ามาหรือยัง?” เพราะตนจำได้ว่าคุณป้าบอกว่าจะเข้ามาหา แต่ทีมงานส่ายหัวและบอกว่า “ยังไม่มีใครเข้ามานะ” ได้ยินดังนั้นคุณโนอาร์ก็คิดว่าคุณป้าอาจจะมาเวลาเดียวกับเมื่อวานจึงไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทีมงานก็จัดแจงสถานที่ ปูเสื่อเพื่อพักผ่อนและรอเวลา เมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง คุณป้าก็ยังไม่ปรากฏตัว จากนั้นก็ถึงเวลาไลฟ์สด คุณโนอาร์ต้องไปยืนที่หน้าต้นโพธิ์เพื่อถ่ายเปิดรายการ เวลานั้นคุณโนอาร์เหลือบมองเห็นกรอบรูปอยู่ข้างหลังตากล้อง เมื่อเห็นรูปชัดขึ้นตนก็อุทานออกมาว่า “ป้า! ในรูป!” คุณโนอาร์จึงเรียกให้แฟนมาดู แฟนก็พูดว่า “เห้ย! ป้านี่นา!” ทีมงานทุกคนก็ตกใจ เพราะในช่วงที่ทีมงานมาถึงก่อนนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปนี้เลย นอกจากนี้ยังมีถุงอัฐิห่อวางไว้ข้าง ๆ กันอีกด้วย คุณโนอาร์จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทีมงานฟัง หลังจากได้ฟังก็มีข้อถกกันมากมาย คิดไปต่าง ๆ นานาว่าคุณป้าอาจจะมีแฝด แต่การถ่ายรายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สรุปแล้วในวันที่สองนั้น คุณป้าก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คุณโนอาร์จึงโพสต์เรื่องราวที่เจอลงในเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นก็มีการแชร์ออกไปมากมาย แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนทักเข้ามาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณป้า! ตอนแรกคุณโนอาร์ยังไม่เชื่อ จึงขอตรวจสอบข้อมูล บุคคลปริศนาก็ส่งมาให้ทั้งรูปถ่ายงานศพของคุณป้า และส่งนามสกุลในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนในครอบครัวจริง นั่นทำให้คุณโนอาร์เชื่อว่านี่คือลูกของคุณป้าอย่างแน่นอน ลูกของคุณป้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่โพสต์ ก็คงจะไม่มีใครรู้เลย” คุณโนอาร์จึงสอบถามต้นสายปลายเหตุว่า รูปของคุณป้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ลูกของคุณป้าเล่าว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่าใครนำมาทิ้ง แต่คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอุบัติเหตุรถชน หลังจากทำพิธีชาปณกิจศพเสร็จ ลูกหลานและคนในครอบครัวของคุณป้าต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตที่อื่น ส่วนรูปของคุณป้านั้นเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังเก่า คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของคนใหม่หรือคนในครอบครัวที่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครเอามาทิ้งก็เป็นได้ คุณโนอาร์จึงนัดวันเวลากับลูกของป้าเพื่อรับรูปและอัฐิ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณโนอาร์และครอบครัวก็ได้พบกัน ทางครอบครัวถามคุณโนอาร์ว่า “ตอนที่เห็นป้า รูปร่างเป็นยังไง ใส่เสื้อผ้ายังไง” คุณโนอาร์ก็เล่ารายละเอียดที่จำได้ให้ฟัง ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกันหมด จากนั้นหลวงพ่อก็ช่วยทำพิธีสวดมนต์เพื่อที่จะได้นำรูปนั้นไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

02 ต.ค. 2023

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

‘ถนน’ เป็นอีกสถานที่อันดับต้น ๆ ที่เรามักจะเจอเรื่องหลอนกันบ่อย ๆ ครั้งนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ก็นำเรื่อง ‘ถนนในตำนาน’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) ฟัง บอกเลยว่าเรื่องพีคจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องอุทานเสียงหลง! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเติ้ล’ เหตุการณ์หลอนเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา คุณเติ้ลมีอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งต้องรอให้ห้างสรรพสินค้าปิดทำการก่อน คุณเติ้ลจึงจะสามารถเข้าไปเตรียมงานอีเวนต์ได้ วันหนึ่ง คุณเติ้ลได้ไปจัดงานอีเวนต์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทีมงานก็จัดเตรียมสถานที่ตามปกติ เมื่อเตรียมเสร็จก็ต้องไปทำงานที่จังหวัดกระบี่ต่อ จึงแบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมแรกล่วงหน้าไปก่อนในช่วงบ่าย ส่วนทีมของคุณเติ้ลต้องอยู่รอเพื่อเก็บอุปกรณ์ หลังห้างปิดเวลา 21.00 น. เมื่อถึงเวลาห้างปิด ทีมคุณเติ้ลก็เข้าไปเก็บอุปกรณ์ โดยใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษทุกอย่างก็เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดกระบี่ แต่ก่อนที่ล้อจะหมุน ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์มาเช็คความเรียบร้อยและพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าออกมา ก็ขับรถดี ๆ นะ ถนนเส้นที่จะขับผ่านมันค่อนข้างจะเปลี่ยว ถ้าเจอใครโบกหรือทักก็อย่าจอดนะ ให้ขับเลยไปเลย” จากนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็หันกลับไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ไอ้เติ้ลมันไม่กลัวหรอก มันไม่เชื่อหรอก” แล้วสายก็ตัดไป คุณเติ้ลคิดแค่เพียงว่ารุ่นพี่คงเป็นห่วงเรื่องคนที่อันตรายมากกว่า เพราะส่วนตัวนั้นไม่กลัวผี ไม่มีความเชื่อเรื่องผี และไม่เคยฟังเรื่องผี ในเวลา 4 ทุ่มกว่า ๆ คุณเติ้ลก็ขับรถออกมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ถนนในตำนาน’ ที่หลายคนรู้จัก ในตอนกลางวันถนนเส้นนี้จะมีรถไม่มาก ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่มีรถ ไฟฟ้าอย่าพูดถึง ส่วนบ้านเรือนตามข้างทางก็หาได้น้อย เรียกได้ว่าเป็นถนนอีกเส้นที่เปลี่ยวใช้ได้ แต่ก็มักจะใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงของเหล่าบรรดารถบรรทุกขนาดใหญ่ ส่วนรถที่คุณเติ้ลขับนั้นเป็นรถกระบะที่บรรทุกของหลังรถ วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 70-80 กิโลเมตร ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ก็เปิดเพลงคลอจากโทรศัพท์ที่เชื่อมกับเครื่องเล่นวิทยุในรถฟังไปด้วย และทุกอย่างก็ดูจะปกติเรียบร้อยดี เมื่อขับไปได้สักพัก เพลงที่เปิดก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี ‘The Ghost Radio’ แทน ซึ่งคุณเติ้ลไม่เคยกดเปิดฟังเลยสักครั้ง และแทบจะไม่รู้จักรายการนี้เลยเสียด้วยซ้ำ คุณเติ้ลรู้สึกมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เล่าในรายการนั้น เป็นเรื่องหลอนของถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นถนนเส้นเดียวกันกับที่คุณเติ้ลกำลังขับรถอยู่ เขาจึงพยายามหยิบโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลง เมื่อเปลี่ยนเป็นเพลงได้แล้วก็ขับต่อไปอีกสักพัก เพลงที่เขากำลังฟังอยู่มันก็หยุดเงียบหายไป แล้วก็เปิดรายการเล่าเรื่องผีรายการเดิมอีกรอบ ซึ่งเล่าเรื่องต่อจากที่ฟังค้างไว้แบบไม่ขาดตอน คุณเติ้ลพยายามจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงอีกครั้ง แต่รอบนี้ก็มีเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาว่า “ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ?” คุณเติ้ลตกใจกับเสียงนั้น และคิดว่า Sound Effect ของรายการนี้แปลก ๆ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงทันที แต่ก็เหมือนเดิม รายการนั้นก็ดังขึ้นมาแทนที่เพลงอีกครั้ง จึงตัดสินใจถอดสายที่เชื่อมมือถือกับวิทยุออก ปิดเสียงทุกอย่าง และขับรถต่อไปพร้อมกับความเงียบ ระหว่างที่ขับรถนั้น มีช่วงหนึ่งที่รถตกหลุม ทำให้วิทยุในรถเกิดแสงกะพริบขึ้นมา แล้วก็มีเสียงรายการเล่าเรื่องผีอันเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องทุกอย่างยังคงเล่าต่อจากเดิมไม่มี skip ข้าม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เสียบสายโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดฟังเสียด้วยซ้ำ! คุณเติ้ลพยายามจะปิดเสียง แต่ก็มีเสียงผู้หญิงคนเดิมดังแทรกขึ้นมาว่า “ไม่อยากจะฟังเรื่องของชั้นหน่อยหรอ ไม่อยากลองฟังหน่อยหรอ” คุณเติ้ลรู้สึกตกใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเล่าว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกมือสั่น ทำอะไรไม่ถูก และก็ร้องไห้ออกมา ด้วยความที่เป็นรถกระบะรุ่นเก่า จึงกระชากสายวิทยุที่ต่อกับรถออกจนขาด แล้วเสียงวิทยุก็ดับไป คุณเติ้ลยังคงใจสู้ขับรถต่อไป แล้วเขาก็เห็นว่ามันมี ‘บางคน’ หรือ ‘บางอย่าง’ อยู่ข้างทาง คุณเติ้ลไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่ จึงขับผ่านเลยไป และเมื่อมองกระจกมองหลัง แสงไฟท้ายรถก็ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นเหมือนกองอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันมามองที่รถ คุณเติ้ลเล่าเพิ่มว่าลักษณะคล้ายกับผู้หญิงดำ ๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอใส่ชุดสีดำ หรือเป็นเงาดำของเธอ เขายังคงขับรถไปเรื่อย ๆ แต่ภายในใจยังคงสบสันว่าสิ่งที่ตนเจอมานั้นมันคืออะไร ขับไปได้ไม่นาน ก็เห็นไฟท้ายรถจากด้านหน้า จึงขับเข้าไปใกล้ ๆ เพราะดีใจคิดว่ามีเพื่อนร่วมทางแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ จึงขับตาม คุณเติ้ลรู้ว่าอีก 4-5 กิโลมเตรก็จะถึงทางออก จึงพยายามแซงรถสิบล้อข้างหน้า ก่อนจะแซงไปก็สังเกตว่าของที่บรรทุกมากับรถสิบล้อมีผ้าใบคลุมอยู่ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างบนหลังผ้าใบ เธอชะโงกหน้าลงมามองที่คุณเติ้ล แล้วก็มีเสียงดังเข้ามาในวิทยุอีกครั้งว่า “กำลังจะสุดทางแล้วจะรีบไปไหนล่ะ ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ” สิ้นเสียงนั้น คุณเติ้ลก็รีบเหยียบคันเร่งแซงรถบรรทุกไปทันที แม้จะมีเสียงบีบแตรและไฟกะพริบสูงจากรถสิบล้อตามมาด้านหลัง แต่เขาก็ไม่สนใจ รีบเลี้ยวรถออกจากเส้นทางจนกระทั่งเจอเข้ากับปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่ง จึงขับรถเข้าไปจอดรถเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองในนั้น ผ่านไปไม่นาน รถสิบล้อก็ขับตามเข้ามาในปั๊ม และคุยกับคุณเติ้ลว่า “โหพี่! ทำไมพี่ทำอย่างนี้อ่ะ พี่ชนคนแล้วพี่หนีหรอ!” คุณเติ้ลรีบปฏิเสธไปว่า “ชนคนอะไร!” คนขับรถสิบล้อตอบกลับมาว่า “ก็ผมเห็นพี่ขับรถชนผู้หญิง ผมเปิดไฟก็แล้ว บีบแตรก็แล้ว ทำไมพี่ไม่จอด ผมให้น้องที่นั่งมากับผม อยู่กับผู้หญิงที่คุณชนไว้ตรงนั้น แล้วผมก็ขับมาตามคุณเนี่ย” คนขับรถสิบล้อยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีรถมูลนิธิขับเข้ามาจอดเทียบใกล้ ๆ จากนั้นน้องของคนขับรถสิบล้อก็ลงจากรถหน้าตาตื่น และเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นรถคุณเติ้ลขับชนผู้หญิงคนหนึ่งจนกระเด็นไป ตนกับพี่คนขับพยายามส่งสัญญาณไฟและบีบแตรเรียก แต่คุณเติ้ลก็ไม่จอดรถ ตนจึงลงจากรถเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ จากนั้นก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นตนก็นั่งเฝ้าผู้หญิงที่ถูกรถชนอยู่ตลอด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาถึง ศพผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! ตนรู้สึกตกใจจึงรีบขึ้นรถตามมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า “ที่ผมรีบมาเนี่ย ไม่ใช่อะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าผมทิ้งพี่ไว้ พี่ช็อคตายแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าพี่เจอแน่ ๆ เคสแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนแรกที่แจ้งผม มีคนแจ้งผมเยอะมาก ทั้งเจอผู้หญิงอยู่ข้างทาง เจอผู้หญิงเกาะมากับรถ ใครก็ตามที่แจ้งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ผมจะรีบมา” คุณเติ้ลได้ฟังเรื่องนี้ก็ตกใจ จึงขอตัวแล้วรีบขับรถต่อไปที่จังหวัดกระบี่ทันที เมื่อถึงที่หมาย คุณเติ้ลก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง รุ่นพี่ที่ทำงานดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องที่เล่าไป คุณเติ้ลจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งได้มาค่อนข้างไม่ตรงกันเท่าไหร่ บางข้อมูลก็ว่าผู้หญิงคนนี้โดนลวงมาฆ่า บ้างก็ว่าโดนฆ่าปาดคอ บ้างก็ว่าโดนเผานั่งยาง และอีกหลาย ๆ ข้อมูล ทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าจริง ๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีที่มาอย่างไร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1