เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

16 ส.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ’เฌอปราง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       เฌอปรางเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนอายุ 5 ขวบ ช่วงสุดสัปดาห์ไปอยู่คุณปู่ที่อพาร์ทเม้นท์ที่ไม่ได้ไปบ่อยนัก ตอนนั้นหลังกลับจากเที่ยวห้างและสวนสัตว์กับคุณปู่ ทางกลับจะเป็นซอยเข้าไปลึก ทางเปลี่ยว ไม่ค่อยมีผู้คน และเป็นอพาร์ทเม้นท์หลายตึก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม ทุกอย่างมืดมาก ต้องเปิดไฟ สองปู่หลานเดินจูงมือกันไปตามทาง เดินผ่านซอกอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นถนนที่ต้องเดินผ่าน ด้านข้างเป็นผนังสีขาว โล่ง ๆ สูงประมาณตึก 5 ชั้น ทั้ง 2  ข้าง ซึ่งเป็นทางที่ผ่านประจำ แต่ครั้งนี้เฌอปรางรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม ไม่รู้อะไรดลใจ

       เท่าที่จำได้ เฌอปรางเห็นตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปในซอกนั้น เป็นเงารูปคนสูงเท่าตึก แขนและขา ยาว ผอม เฌอปรางก็มองแล้วคิดในใจตามประสาเด็กว่า “มันคืออะไร” พอพยายามมองไปรอบ ๆ ก็เจอไฟที่ส่องมา แต่ไม่เจอต้นกำเนิดหรือเจ้าของเงา พอเดินไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ระหว่างนั้นก็เดินแล้วก็มองอยู่หลายครั้ง เงานั้นก็อยู่เฉย ๆ ตอนนั้นคิดว่าน่าจะรู้สึกกลัวเลยไม่ได้ถามคุณปู่ เฌอปรางจำได้ว่าหลังจากนั้นก็กลัวที่จะเดินผ่านซอกนั้น และระแวงซอกที่คล้าย ๆ ตอนนั้นไปเลย จนทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย

       5-6 ปีผ่านไป พอโตขึ้นมาก็ได้ยินเรื่องเล่าว่า ‘มันมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวสูงเท่าตึก แขน-ขา ยาว ผอมแห้ง ปากเท่ารูเข็ม เรียกว่าเปรต’ เฌอปรางจึงเอะใจว่าวันนั้นที่เราเจอมันจะใช่ไหมนะ จึงถามว่า

       ”ตอนนั้นตอนเด็ก หนูเจอที่อพาร์ทเม้นท์ปู่เนี่ย มันใช่ไหมคะ“

       เขาก็บอกว่า ”เฌอไปทำบุญเถอะ เขาน่าจะมาขอส่วนบุญ“

       และนี่เป็นไม่กี่เรื่องที่เฌอปรางยังจำได้ตั้งแต่เด็ก..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

28 เม.ย. 2024

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เวลาเดิม’เป็นเรื่องราวของเด็กพาร์ทไทม์ที่อยากจะลองดีจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ให้ชื่อสมมุติว่า ‘อาคิยะ’ ตัวเขานั้นกำลังหางานพาร์ทไทม์ จึงถามกับเพื่อนว่า “มีที่ไหน แนะนำบ้างไหม?” เพื่อนตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีเลยว่ะ” แต่อาคิยะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของตนทำงานอยู่ที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่ง จึงถามเพื่อนว่า “แล้วที่ทำอยู่ไม่รับเพิ่มแล้วหรอ” เพื่อนรีบตอบปัดเสียงแข็งกลับมาว่า “กูออกมาแล้ว” อาคิยะเกิดความสงสัยจึงถามต่อว่า “ทำไมถึงออกล่ะ?” แต่เพื่อนกลับแสดงท่าทีมีพิรุธแปลก ๆ ตอบเพียงว่า “เรื่องของกู กูอยากออก” อาคิยะจึงขอว่า “ถ้ามึงไม่ทำแล้ว.. กูขอได้ไหม เพราะตอนที่มึงทำอยู่ เจ้าของร้านก็ดูใจดี มีข้าวให้กิน มีเวลาให้พัก” ครั้งนี้เพื่อนกลับดูมีพิรุธกว่าเดิม และยังเตือนอีกว่า “อย่าเลย มันเดินทางลำบากน่ะ” อาคิยะจึงตอบปัดขำ ๆ ไปว่า “เดินทางลำบากมันเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึงไง มีอะไรก็แนะนำมาเถอะ อย่ามากั๊กกัน” สุดท้ายเพื่อนก็ยอมบอก หลังจากได้ข้อมูลร้านมา อาคิยะก็ทำการติดต่อร้านอิซากายะแห่งนั้นไป เมื่อถึงวันสมัครสัมภาษณ์งาน อาคิยะก็เตรียมความพร้อม ทั้งเรซูเม่และเอกสารทุกอย่างไปครบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบสัมภาษณ์ทุกคำถาม ทางหัวหน้าก็ถามกลับมาทันทีว่า “เริ่มทำงานได้วันไหน วันนี้เลยไหม พร้อมทำงานหรือยัง?” อาคิยะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อให้รุ่นพี่สอนงาน เมื่ออาคิยะเข้าใจหน้าที่ทุกอย่าง ก่อนที่จะแยกย้าย พี่ที่ร้านก็กำชับบางอย่างว่า “พี่ลืมบอกไป ร้านเราน่ะ ถ้ามีโทรศัพท์โทรเข้ามา ไม่ต้องรับนะ เพราะว่าคนชอบคิดว่าร้านอิซากายะเรามีเดลิเวอรี ก็เลยชอบโทรมา ถ้าจะรับก็แค่ช่วงกลางวันแล้วกัน ตอนนั้นจะมีคนโทรมาส่งของ แต่หลังช่วงเย็นมันไม่มี ไม่ต้องรับนะ” หลังจากนั้นอาคิยะก็เริ่มทำงาน เขาทำงานกะดึก ซึ่งการทำงานก็ดูเหมือนว่าจะปกติทั่วไป แต่กลับมีบางอย่างแปลก ๆ อาคิยะสังเกตได้ว่า ร้านอิซากายะแห่งนี้ มีพนักงานช่วงกะดึกเพียงแค่ 2 คน คืออาคิยะและรุ่นพี่ ทั้งที่ตอนกลางคืนที่ร้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เลย ส่วนหัวหน้าก็จะแอบหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง เขาจึงถามกับหัวหน้าและก็ได้คำตอบว่า “ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนแรงงาน แต่เดี๋ยวหัวหน้าให้เงินเดือนเพิ่ม” สุดท้ายอาคิยะก็ต้องทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์ อย่างที่หัวหน้าเคยบอกว่า ทุกวันที่ร้านจะมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเวลาเดิม เป็นช่วงเวลาหลังปิดร้านพอดี และตอนที่ตัวเขาเองกำลังจะกลับบ้าน อาคิยะก็ท่องจำไว้เสมอกับคำที่หัวหน้าเคยบอกว่า “ไม่ต้องรับสายนะ” อาคิยะก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เลย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่อาคิยะกำลังเก็บของอยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อะไรดลใจก็ไม่ทราบได้ อาคิยะยกหูรับสายทันที เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงคล้ายคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองไม่สามารถจับใจความได้ อาคิยะก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงโทรผิด จึงเลือกที่จะวางสายไป ช่วงเย็นของอีกวัน ขณะที่รุ่นพี่กำลังยืนล้างจานอยู่ อาคิยะก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้รุ่นพี่ฟังว่า “เมื่อวาน.. ผมน่ะ รับสายโทรศัพท์ที่มันดังในร้านทุกวัน” หลังอาคิยะพูดจบ รุ่นพี่ก็เผลอปล่อยจานจนหล่นแตก แล้วถามกลับว่า “แล้วมึงได้ฟังไหม ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า?” อาคิยะตอบว่า “ได้ยินนะครับพี่ แต่เขาพูดไม่รู้เรื่อง” รุ่นพี่บอกต่อว่า “อ๋อ เออดีแล้ว แต่วันหลังไม่ต้องรับนะ” แต่อาคิยะจับพิรุธได้ว่า รุ่นพี่มีอาการแปลก ๆ จนเขาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า นี่คงเป็น ‘โทรศัพท์ผีสิง’ มันจะต้องมีเรื่องราวลึกลับบางอย่างกับสายโทรศัพท์นี้แน่นอน อาคิยะจึงเริ่มวางแผน แกล้งทำงานช้า ๆ ปล่อยให้รุ่นพี่กลับบ้านไปก่อน เขาจะได้อยู่ร้านเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน จากนั้นเขาจึงมานั่งรอสายโทรศัพท์ เมื่อใกล้ถึงเวลา โทรศัพท์ก็ดัง กริ๊งงงง… ตรงตามเวลาเป๊ะ อาคิยะหัวใจเต้นแรง ตึกตัก.. ตึกตัก เมื่อยกหูรับสาย “สวัสดีครับ..” ก็ไร้การตอบกลับจากเสียงปลายสายเหมือนเดิม ได้ยินเพียงเสียงคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเขากำลังจะวางสายลง เสียงก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนได้ยินว่า “ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย ผมอยู่ข้างหลัง” ปลายสายพูดย้ำหลายครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยะกำลังจะเหลือบไปมองข้างหลัง เขาสัมผัสได้ทันทีว่า มีคนหรืออะไรบางอย่างยืนอยู่ข้างหลังเขาจริง ๆ ! อากิยะรีบวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งกลับบ้านทันที ! โดยที่ไม่มาทำงานอีกเลย เวลาผ่านไปจนกระทั่ง อากิยะได้เจอเพื่อนที่แนะนำร้านอิซากายะแห่งนี้ให้ เพื่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงล่ะมึง” อาคิยะบอกว่า “แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าที่ร้านมีผี” เพื่อนก็อธิบายให้ฟังว่า “ถึงบอกไป มึงก็ไม่เชื่อ กลัวโดนหาว่าโกหกอีก แต่สิ่งที่มึงสัมผัสตอนนั้น คือของแท้หมดเลย มึงคงเจอผีจริงๆ” เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่ร้านเคยมีพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน และทุ่มเทให้กับงานมาก แต่ทุ่มเทเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ เกิดความกดดัน จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตตัวเอง คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเครียดเรื่องงาน ซึ่งหลังจากพนักงานคนนี้ได้จากไป ทุกวันเวลาเดิมก็จะมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาเสมอ เพื่อที่จะบอกใครสักคนว่า “ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมากลับมาดูหน่อย.. ผมที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่..” ซึ่งคนที่พนักงานคนนั้นพยายามที่จะโทรหา ก็คือ ‘หัวหน้า’ นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

05 พ.ค. 2023

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

การไปเยือนยังสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็เสี่ยงเจอกับเรื่องขนหัวลุกกันได้ทั้งนั้น เหมือนกับเอเจนซี่หนุ่มอย่าง ‘คุณแดน’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 เมษายน 2566) และได้เล่าประสบการณ์หลอนในการไปทำงานต่างจังหวัดที่จำได้ไม่เคยลืม ให้กับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจมดดำ’ และ ‘ดีเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลย!คุณแดนเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดเมื่อประมาณสองปีก่อน ตนและพี่สาวต้องไปทำงานเก็บข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของการวางระบบต่าง ๆ ให้กับทางลูกค้าที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังต้องลงพื้นที่ไปยังสถานที่จริง เพื่อศึกษาและสอดส่องคู่แข่งกว่า 14 สถานที่ ใช้เวลาโดยประมาณ 4 วันซึ่งลูกค้าเจ้านี้ เป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ คุณแดนเล่าเพิ่มเติมว่า ลูกค้าได้รับมรดกมาจากคุณพ่อ เขาจึงอยากเปลี่ยนแปลงพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นใหม่ เพราะในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด ไม่มีใครมาใช้บริการสนามกอล์ฟแห่งนี้เลย จึงปล่อยเช่าให้คนเกาหลีอยู่พักหนึ่ง แต่หลังหมดสัญญาเช่าก็ปิดสถานที่ไว้ชั่วคราวเมื่อเดินทางมาถึงสนามกอล์ฟของลูกค้า คุณแดนก็สังเกตบรรยากาศรอบ ๆ สนาม ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่อาคารเก่าสำหรับเก็บอุปกรณ์ช่าง ส่วนขวามือมีรถและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกทิ้งไว้ ถัดไปมีอาคารร้างตั้งอยู่ โดยมีลักษณะเป็นประตูกระจกใสและมีผ้าม่านเก่า ๆ ที่หลุดมากองรวมกันอยู่ตรงกลางประตู คุณแดนที่เป็นคนขับรถและมักจะสังเกตมองซ้าย, ขวา, หน้า, หลังอยู่ตลอดเวลา จึงเหลือบไปเห็นในอาคารนั้นว่ามี ‘ผู้หญิงผมยาวแต่ไม่เห็นหน้า ใส่ชุดสีขาว ยืนเอามือที่ซีดเผือดข้างหนึ่งจับผ้าม่านเพื่อแหวกดูว่าใครมา’ คุณแดนเห็นดังนั้นก็เงียบและหันไปมองหน้าพี่สาว ปรากฏว่าพี่สาวเองก็หน้าเริ่มเสีย จึงรีบขับรถผ่านอาคารร้างนี้ไป และบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าออกจากสถานที่ตรงนี้แล้ว จะเล่าให้ฟัง” เพราะคิดว่าพี่สาวน่าจะเห็นแบบที่ตนเห็นเช่นกันเมื่อเข้าไปดูสถานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับก็ต้องขับรถออกมาเจอกับอาคารร้างแห่งนี้อีกครั้ง คุณแดนรีบขับรถออกมาแทบจะไม่ชะลอเลย หลังจากนั้นก็ตรงไปยังสนามกอล์ฟของคู่แข่ง และก่อนจะกลับมายังที่พักได้มีโอกาสถามพี่สาวว่าตอนที่เข้าไปยังสนามกอล์ฟของลูกค้า รู้สึกอะไรไหม? พี่สาวก็ตอบมาว่า “รู้สึกขนลุกตั้งแต่เห็นอาคารหลังนั้นแล้ว” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เห็นให้พี่สาวฟังหลังจากนั้น ด้วยความเพลียที่ต้องขับรถทั้งวันคุณแดนจึงอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทันที และได้ฝันเห็นถึงอาคารหลังนั้นอีกครั้ง ในนั้นมีคนอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่คุณแดนเห็นอยู่ตรงนั้นด้วย เขาเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ช่วยเค้าหน่อยเค้าร้อนมาก” จากนั้นก็ยื่นรีโมทสีฟ้าเก่า ๆ มาให้ แถมยังพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าช่วยเขาหน่อยเขาร้อนมาก คุณแดนเองก็ได้สังเกตเห็นว่าตรงขอบกระจกภายในตึกถูกทุบจนบิ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จึงได้บอกเขาไปว่ามันเปิดไม่ได้ มันเสีย เขาก็ทำหน้าโกรธเหมือนไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่ช่วยเขา หลังจากนั้นนาฬิกาก็ปลุกทำให้คุณแดนสะดุ้งตื่น และได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้พี่สาวฟัง พี่สาวเลยบอกว่า “ลองพูดอะไรสักอย่างดูสิ” คุณแดนจึงพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เอางี้ ถ้าได้โครงการนี้ กลับกรุงเทพฯไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้” หลังจากนั้นจึงขับรถออกไปดูสนามกอล์ฟของคู่แข่งที่เหลือ ซึ่งมีอยู่ที่หนึ่งจะต้องไปแถวอำเภอสันทราย แต่อำเภอนี้ถูกแบ่งเป็นสองที่ได้แก่ สันทรายหลวง และ สันทรายน้อย ด้วยความที่ไม่ใช่คนในพื้นที่จึงเปิด GPS เพื่อนำทางแทนระหว่างทางคุณแดนมองเห็นภูเขา ซึ่งบนภูเขามีวัดสีขาวสวยงามตั้งอยู่ จึงพูดกับพี่สาวว่า “หูย วัดสีขาวสวยมากเลยอ่ะ ตั้งอยู่บนนั้นเด่นมากเลย” สักพัก GPS ก็บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนจึงขับไปตามเส้นทางนั้นแต่ถนนก็เริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่เลนเดียว และเห็นว่าที่กำลังตรงไปมันเหมือนถนนขึ้นไปบนภูเขา แต่คุณแดนก็ได้เช็คดูใน GPS อีกครั้ง พบว่าพื้นที่ข้าง ๆ เป็นสนามกอล์ฟ จึงคิดว่าทางเข้าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ยิ่งขับเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าถนนเส้นนี้พาเข้าไปในป่ามากขึ้นทุกที เพราะบรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มครึ้มไปด้วยเงาจากต้นไม้ แถมระหว่างทางก็เต็มไปด้วยการบวชต้นไม้ (การนำจีวรพระมาพันรอบต้นไม้เพื่อทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสเติบโตได้เต็มที่)หลังจากขับไปเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร คุณแดนกลับรู้สึกเหงื่อแตกและขนลุก เมื่อหันไปมองพี่สาวที่นั่งตัวแข็งทื่อ มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างเดียว ไม่เหลียวซ้ายแลขวาเลย ทั้งคู่ต่างรับรู้กันว่าเริ่มใจเสียแล้ว จึงเปิดดู GPS อีกครั้ง และเห็นว่าใกล้จะถึงทางเข้าสนามกอล์ฟแล้วจึงรีบขับขึ้นไป แต่ด้วยสัญชาตญาณการขับรถทำให้คุณแดนรู้สึกว่าถ้ามันใกล้จะถึงแล้วทำไมถึงไม่เห็นทางเข้าเลย จึงเบรกรถทันที และ GPS ก็แจ้งขึ้นมาว่าให้เลี้ยวขวา คุณแดนก็ยิ่งเอะใจหนักกว่าเดิม และเปิดกระจกมองดูรอบ ๆ แล้วก็พบว่า “ถ้าตัดสินใจเลี้ยวขวารถก็คงตกจากภูเขาทันที” เมื่อเห็นดังนั้นคุณแดนเลยขับตรงไปอีกหน่อยเพื่อหาที่กลับรถ แต่ปรากฏว่าเป็นทางตัน ยิ่งไปกว่านั้นมันดันเป็นทางที่ขึ้นไปยังวัด วัดเดียวกับที่พูดตอนอยู่บนถนนว่าวัดนี้สวยจังอีกด้วย!! คุณแดนจึงนึกถึงที่เขาเคยพูดไว้กับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาว่า “ถ้าได้งานนี้ จะกลับกรุงเทพไปทำบุญให้” แต่เหมือนเขาใจร้อนจึงพามายังวัดนี้เพื่อให้เรารีบทำบุญให้ คุณแดนรีบกลับรถและลงมายังข้างล่างทันที ซึ่งตอนนั้นไม่มีสัญญาณ แต่ระหว่างทาง GPS ก็ดังขึ้นมาและพูดซ้ำ ๆ ว่า “กลับรถ ๆๆๆๆๆๆ” จนพี่สาวบอกให้คุณแดนปิดโทรศัพท์ทันที!เมื่อกลับมาถึงตรงที่ตอนแรก GPS บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนก็เลี้ยวขวา ใช้เวลาขับรถไปอีกแค่ 200 เมตรเท่านั้น ทั้งคู่ก็ถึงสนามกอล์ฟ หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะไปต่ออีกที่ ซึ่งได้หาข้อมูลมาแล้วว่าสนามกอล์ฟนี้ยังเปิดให้บริการอยู่ จึงเปิด GPS นำทางอีกครั้ง เมื่อขับรถไปได้สักพักก็ได้เจอกับโค้งหักศอก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเลยทางเข้าสนามกอล์ฟไปแล้ว! คุณแดนจึงหยุดรถ แต่ดันหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันบ้านร้าง! พอกลับรถมาถึงตรงทางเข้าสนามกอล์ฟตามที่ GPS บอก คุณแดนหันไปเห็นว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวที่มีสายสิญจน์กั้นอยู่ ทั้งสองคนเริ่มใจคอไม่ดีและคิดว่าไม่น่าจะใช่ทางเข้าสนามกอล์ฟแน่ ๆ จึงขับรถกลับไปยังถนนเส้นหลักเพื่อเริ่มต้นใหม่และเปิด GPS ให้นำทางอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดิมเพราะต้องเลี้ยวซ้ายจากทางเลียบชลประทาน แต่กลับกลายเป็นว่าถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่นำพาทั้งสองคนกลับขึ้นมายังบ้านร้างหลังนั้นเหมือนเดิม! พี่สาวเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีว่า ถ้าครั้งนี้ไม่เจอกลับเลยนะ! เพราะว่ามันใกล้จะมืดแล้ว คุณแดนจึงตัดสินใจว่าจะเลี้ยวขวาจากทางเลียบชลประทานแทน และขับไปอีกประมาณ 10 นาที ในที่สุดก็ได้เจอกับทางเข้าสนามกอล์ฟแต่ความชื้นใจก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสนามกอล์ฟตรงนี้ดันไม่ตรงปก ดูร้างกว่าที่คิด และมีโปสเตอร์ที่เขียนข้อความประมาณว่าจะพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างเป็นหมู่บ้านแปะอยู่ คุณแดนจึงเช็คเส้นทางอีกครั้ง ว่าถ้าขับตรงเข้าไปข้างใน จะมีสนามกอล์ฟจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งมันก็มี จึงคิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ขับเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน สักพักก็เจอศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง และรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ทั้งสองข้างถนน ความรู้สึกตอนนั้นของทั้งคู่คงหนีไม่พ้นสุภาษิตที่ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก”เมื่อขับรถตรงเข้าไปอีกสักพักก็เจอกับสโมสรและหมู่บ้านตัวอย่างร้าง จู่ ๆ ก็มีคุณลุงขับรถโฟวิลออกมาจากอีกทาง คุณแดนจึงจะเลี้ยวไปตามทางที่ลุงคนนั้นขับรถออกมา เผื่อจะเจอสนามกอล์ฟ พี่สาวจึงทักขึ้นมาว่า “เธอคิดว่าเขาเป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม” คุณแดนจึงตอบไปว่า “เป็นคนสิ เนี่ยรถมันเคลื่อนตัวอยู่” ซึ่งคุณแดนคิดถูก เพราะมันเป็นทางเข้าสนามกอล์ฟจริง ๆ แต่ทว่าที่ตรงนั้นกลับร้างไปหมด มีเพียงแม่บ้านคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นคุณแดนเกิดปวดปัสสาวะจึงขอเข้าห้องน้ำ แต่พี่สาวก็รีบห้ามและบอกว่าไม่ให้ลงจากรถ “เพราะถ้าลงไปแล้วเธอมองไม่เห็นพี่ พี่มองไม่เห็นเธอจะทำยังไง” คุณแดนคิดได้ดังนั้นประกอบกับความกลัวเพราะบรรยากาศเริ่มมืดค่ำแล้ว จึงรีบขับรถออกมาทันที ระหว่างที่ขับรถออกมาจากเส้นทางนั้นแล้วต้องผ่านศาลเพียงตาก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนมีคนมองตามอยู่ตลอดเช่นเดิมหลังจากเจอเหตุการณ์ชวนหลอนมาทั้งวัน ทั้งคู่จึงซื้อชุดสังฆทานเพื่อเตรียมไปทำบุญในวันถัดไป และย้ายไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง หลังจากดื่มด่ำค่ำคืนในเชียงใหม่ด้วยน้ำเมาแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อจะนอนหลับให้สนิท ไม่ต้องตื่นมาเจออะไรกลางดึกอีก ซึ่งห้องที่คุณแดนพักนั้นอยู่ชั้น 1 และอยู่ใกล้ถนน ทำให้ฤทธิ์น้ำเมาก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะได้ยินเสียงคนหลายคนมายืนเรียกชื่ออยู่หน้าห้อง ก่อนที่จะเผลอขานรับไป แต่ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าที่เชียงใหม่แทบจะไม่มีคนรู้จักเลย แล้วจะมีคนมาเรียกได้อย่างไร? เสียงเรียกนั้นดังแว่วอยู่ประมาณ 15 นาที พอเช้าวันใหม่มาถึงปรากฏว่าพี่สาวก็มาเล่าให้ฟังว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับคุณแดนเป๊ะ! ทั้งคู่จึงรีบเก็บของและเช็คเอาท์ออกทันทีโดยที่ไม่ลืมว่าจะต้องไปทำบุญ ซึ่งใกล้ ๆ นั้นเองมีวัดที่ชื่อว่า “วัดลอยเคราะห์” จึงตัดสินใจว่าจะไปทำบุญที่นี่ และพี่สาวก็ชอบชื่อวัดนี้มากๆ เพราะความหมายดีทั้งสองคนเดินถือถังสังฆทานเข้าไปในวัดเพียงไม่กี่ก้าว พระที่นั่งอยู่ก็กวักมือเรียกทันทีว่า “โยมมานี่ ๆ” ซึ่งคุณแดนคิดว่าปกติเราจะต้องสวดนะโมสามจบแล้วพูดบทสวดถวายสังฆทาน แต่พระท่านกลับบอกว่า “ไม่ต้อง เดี๋ยวอาตมาสวดให้เลย” ซึ่งพระท่านเองก็สวดเป็นบทภาษาเหนือและให้กรวดน้ำ ระหว่างกรวดน้ำก็มีบทสวดแปลก ๆ อีกเพราะไม่เคยได้ยิน ซึ่งในใจคุณแดนขณะนั้นก็พูดว่า “ถ้าได้รับบุญกุศลในครั้งนี้แล้วช่วยทำให้รับรู้ด้วย ว่าได้รับแล้วจริง ๆ” ปรากฏว่าพอคุณแดนนำน้ำที่กรวดไปเทที่ต้นไม้และกลับเข้ามาที่อุโบสถ ตอนนั้นเองก็มีลมแรงพัดมากระทบกับกระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ชายหลังคา ไล่จากด้านหน้าไปด้านหลัง “ดังติ้งติ้งดิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่สาวหันมามองหน้าคุณแดนด้วยอาการตกใจ จึงเล่าสิ่งที่คุณแดนอธิษฐานในใจให้ฟัง และมานั่งคุยกันอีกครั้งหนึ่งว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรู้แน่เลยว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานที่นี่เราไปทำบุญกับครูบาน้อยกันมา และพอได้มาเจอกันจึงคิดว่าถ้ามาสื่อสารกับเราทั้งสองคน เราจะทำบุญให้เขาได้เร็วหลังจากอ่านเรื่องนี้จบ หลาย ๆ คนคงจะเห็นใจคุณแดนและพี่สาวกันแน่นอน เพราะเหนื่อยจากการทำงานไม่พอยังต้องมาเหนื่อยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เจอจากผีขี้ใจร้อนอีก สุดท้ายการพูดหรือรับปากกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม จะต้องใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะความหวังดีมันจะดีก็ต่อเมื่อเราไม่เดือดร้อน

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

20 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเริ่มเล่าว่า คุณขวัญทำอาชีพเป็นหมอดู ซึ่งคุณขวัญมีลูกดวงอยู่คนหนึ่ง เคยปรึกษาปัญหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกดวงอยากปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ โดยคุณแม่มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่ขาไล่จนมาถึงศีรษะ ซึ่งจะเป็นหนักในช่วงวันพระและวันโกนของทุก ๆ เดือน ลูกดวงเองจึงสัมผัสได้ว่า ‘น่าจะมีบางอย่างผิดปกติ..’ ลูกดวงคนนี้ อาศัยอยู่ในภาคอีสาน จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณค่อนข้างมาก หลังจากนั้น คุณแม่ก็ได้ไปปรึกษากับ ‘หมอธรรม’ บุคคลที่มีคนให้ความนับถือทางด้านคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ เป็นหมอธรรมแถวบ้านท่านหนึ่ง หมอธรรมจึงทำพิธีสื่อวิญญาณ อ้างว่าดวงวิญญาณที่สื่อด้วยเป็น ‘วิญญาณของเจ้าที่’ ซึ่งดวงวิญญาณเกิดความไม่พอใจในตัวของคุณแม่ สาเหตุเป็นเพราะว่า คุณแม่ทำบุญให้น้อย ดวงวิญญาณยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งต้องการให้คุณแม่รับขันธ์ และกลับมาทำพิธีขอขมาคุณพ่อ เพราะเจ้าที่ท่านไม่พอใจคุณแม่ที่ชอบบ่นชอบดุคุณพ่อ แถมยังกำชับว่า คุณแม่ต้องเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และเหล้าในพื้นที่บริเวณบ้าน คุณแม่จึงตั้งข้อสงสัยว่า “การทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงผีหรือเปล่า?” ทำให้คุณแม่ไม่ได้ทำตามที่คุณหมอธรรมแนะนำมา หลังจากนั้นลูกดวงก็ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่คุยกับคุณขวัญ สิ้นเสียงคำว่า “ฮัลโหล” สิ่งที่คุณขวัญเห็น คือ บ้านไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังที่ใต้ถุนบ้านยกขึ้นสูง แล้วก็ยังเห็นดวงวิญญาณของผู้ชายดวงหนึ่ง มีลักษณะสูงค่อนไปทางผอม หน้าคม ผิวสีดำแดง มีท่าทางคล้ายกับคนของเมา คุณขวัญจึงบอกภาพที่เห็นให้กับคุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีใดตอบกลับมา คุณขวัญจึงถามคุณแม่ไปว่า “ปกติคุณพ่อดื่มเหล้าไหมคะ.. แล้วช่วงนี้คุณพ่อมีอาการแปลกออกไปหรือเปล่า ?” หลังจากที่คุณขวัญถามไป คุณแม่จึงยอมเล่าว่า “โดยปกติแล้วคุณพ่อเป็นคนดื่มเหล้า และชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ช่วงหลังมานี้ คุณพ่อดื่มหนักมากจนเกินไป ตกเย็นมาเป็นอันต้องดื่ม จนบางครั้งคุณพ่อก็นั่งดื่มคนเดียวที่หน้าบ้าน แต่ที่น่าแปลกคือ คุณพ่อมีท่าทีเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใครบางคน ทั้งที่จริงแล้วคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียว จนกระทั่งคืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณพ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปกินเหล้าที่หน้าบ้าน ซึ่งครั้งนี้คุณพ่อได้ลุกขึ้นเต้น ร้องรำทำเพลงและมีท่าทีที่สนุกสนาน ทั้งที่ปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอคุณแม่ตื่นมาเห็นก็ตกใจ ถามคุณพ่อว่า “แกเป็นอะไร ?” เมื่อคุณพ่อเห็นคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร และรีบขับรถออกไปทันที กลับมาอีกทีคือช่วงเช้า” คุณขวัญจึงเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาบอกกับคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ นั่นไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่กำลังแฝงคุณพ่ออยู่ แล้วสิ่งที่คุณหมอธรรมบอกกับคุณแม่ว่าเป็นเจ้าที่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เป็นดวงวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ขวัญจึงถามคุณแม่ต่อว่า “คุณพ่ออยากกินก้อยบ้างไหม ? เพราะดวงวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่าก้อย” คุณแม่จึงตอบว่า “ใช่ ปกติคุณพ่อไม่เคยกินก้อยเลย แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ คุณพ่อก็เลยเริ่มอยากกินก้อยขึ้นมา” ขวัญจึงบอกคุณว่า “ตอนนี้โดนผีหลอกของจริงแล้วละค่ะ” หลังจากนั้นคุณแม่ก็เล่าต่อว่า “ลักษณะบ้านที่ขวัญเห็น เคยเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคุณแม่มาก่อน ซึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้น มีพฤติกรรมติดเหล้ามาก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ” และในระหว่างที่ขวัญคุยกับคุณแม่อยู่ คุณขวัญก็มักจะได้ยินเสียงคนคุยกันแทรกบทสนทนาอยู่เสมอ คุณขวัญจึงบอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ขวัญว่าไม่ได้มีแค่นี้แน่เลย คุณแม่ได้เจออะไรที่มันเยอะกว่านี้ไหม ?” คุณแม่จึงเล่าว่า “เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกสะใภ้นอนอยู่ในห้อง แล้วก็เห็นวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองตรงมาที่เตียงนอน และในช่วงเวลากลางคืน มักจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในบริเวณบ้านเป็นประจำ” ซึ่งคุณแม่ทำอาชีพ ‘รับเหมาก่อสร้าง’ ทำให้มีคนงานเข้าออกอยู่เสมอ คนงานคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นหลังจากทำงาน ตนผูกเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงคนคุยเล่นกันเสียงดังสนุกสนาน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเจอใครเลย นอกจากนี้ คุณแม่เองก็เคยเจอผีภายในบริเวณบ้าน พร้อมเล่าว่า “ตอนนั้นคุณแม่ออกมาตามคุณพ่อไปทานข้าว เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลับเห็นดวงวิญญาณสีดำสนิท ปีนอยู่ข้างกำแพง และกระโดดลอยออกนอกหน้าต่างไป” ซึ่งมักมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง คุณแม่เล่าต่ออีกว่า “คุณแม่มักได้ยินเสียง วี๊ด.. เบา ๆ บริเวณหลังบ้าน” และในระหว่างที่คุณแม่กำลังเล่าอยู่ ขวัญก็ได้เห็นภาพลักษณะคล้าย ‘เปรต’ อยู่บริเวณหลังบ้าน จึงถามคุณแม่ว่า “คุณแม่เคยเจอเปรตบ้างไหมคะ ?” คุณแม่ก็ตกใจถามว่า “รู้ได้ยังไง เพราะมีคนงานเคยเจอจริง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเย็นหลังจากทำงาน คนงานคนนั้นกำลังนอนเล่นอยู่บริเวณหลังบ้าน เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ เดินข้ามกำแพงบ้านมาแล้วก็มาหยุดมองมาทางเขา ทำให้ไม่มีคนงานกล้านอนในบริเวณบ้านอีกเลย” ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านเยอะขึ้น และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณแม่เล่าต่อว่า “วันนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว มีลมลูกใหญ่ปะทะเข้ามาที่บ้าน ทำให้ประตูและหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปิดเสียงดัง ปัง ! ปัง ! ปัง ! ไปทีละบาน ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว รีบหอบข้าวหอบลูกไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด” ซึ่งคุณแม่ต้องทนกับเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม โดยที่ทุกคนในบ้านก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ คุณแม่เล่าว่า “คุณพ่อเคยเจอวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง นั่งหวีผมตรงสวยอยู่ที่หน้ากระจก ซึ่งคุณพ่อมักจะเจอดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณพ่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มาดี เพราะเมื่อคุณพ่อฝันถึง ก็มักที่จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกลอตเตอรี่อยู่เสมอ” หลังจากนั้นคุณขวัญกับคุณแม่รวมถึงลูกดวง ก็ได้นัดมาเจอกันที่บ้านของคุณแม่ และทันทีที่ขวัญ ก้าวขาลงจากรถ ขวัญก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายอยู่ทุกจุด ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้าน คุณขวัญจึงอธิบายกับคุณแม่ว่า “สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่บริเวณบ้านของคุณแม่ เข้าออกได้ง่ายเกินไป สำหรับวิญญาณและสัมภเวสี” ขวัญจึงทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก หลังจากเสร็จพิธี ในระหว่างที่ขวัญกำลังจะแยกย้ายกลับ ลูกดวงก็ได้ถามว่า “ดวงวิญญาณผู้หญิงที่ตามติดคุณพ่อ คุณขวัญได้เชิญหรือจัดการอะไรไหม ?” ขวัญจึงตอบว่า “เรียบร้อยค่ะ” ลูกดวงยังแซวอีกว่า “สงสัยคุณพ่อจะถูกลอตเตอรี่น้อยลงแน่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีสายโทรศัพท์จากลูกดวงโทรเข้ามาเล่าว่า “ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ตามติดคุณพ่อ มายืนเคาะกระจกหน้าต่าง พร้อมโวยวายว่า เปิดบ้าน! เข้าบ้านไม่ได้! มีท่าทีกังวลรีบร้อน เหมือนคล้ายว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่าง” ขวัญจึงบอกว่า “น่าจะเกิดจากการที่เราคุยเล่นกัน แล้วดวงวิญญาณสำคัญตนว่าเจ้าของบ้านอยากให้อยู่ ก็เลยมีการเข้าฝัน เพื่อให้เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาอยู่” ท้ายที่สุดแล้ว ขวัญก็มานั่งคิดว่า “วันนั้นที่ขวัญไปบ้านของคุณแม่ ขวัญเจอดวงวิญญาณถึง 8-9 ตน สาเหตุคงเป็นเพราะพื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเป็นป่ารกร้าง และด้านหน้าบ้านไม่เคยปิดประตูเลย ซึ่งนับตั้งแต่คุณแม่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยตีกรอบพื้นที่บ้าน วันนั้นนอกเหนือจากการที่ขวัญทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก ขวัญก็ทำพิธีแบ่งเขตบ้านด้วย” ซึ่งเหตุการณ์ดูดวงในครั้งนี้ กลายเป็นสถิติใหม่.. ที่คุณขวัญพบเจอกับดวงวิญญาณมากที่สุดในชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

16 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณกล้วย’ ได้มาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับ ‘ตำแหน่งอาถรรพ์’ ที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ หลังจากรับของฝากจากเมเนเจอร์ทีม A แล้วเกิดเหตุการณ์ลึกลับจนต้องลาออกจากงาน! มาฟังเรื่องราวเต็มๆ ไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งการเป็นคนเก่งก็กลายเป็นอุปสรรค! คุณกล้วยได้เล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ย้อนกลับไปช่วงโควิด คุณกล้วยมีโอกาสได้ส่งใบสมัครเข้าทำงานที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และสุดท้ายก็ได้รับเลือกให้เข้าทำงานในตำแหน่งเมเนเจอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง บรรยากาศในบริษัทค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกัน เนื่องจากบริษัทไม่ได้ใหญ่มาก แต่ลักษณะการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ทีมใหญ่ คุณกล้วยได้มีการเรียกแทนว่า ทีม A และ ทีม B ซึ่งตำแหน่งของเขาคือเมเนเจอร์ของ ทีม B เป็นทีมน้องใหม่ และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับการดูแลที่ดีจากเพื่อนร่วมงาน รวมถึง CEO แต่เชื่อว่าทุกออฟฟิศต้องมีใครสักคนที่ไม่ได้ถูกชะตากับเรา ต่อให้พูดอะไรเพียงนิดเดียว เขาก็ไม่ชอบสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ หรือแม้แต่ตัวตนของเราเอง แต่ด้วยความที่คุณกล้วยเป็นเด็กใหม่ จึงพยายามมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป จนกระทั่งวันหนึ่ง บริษัทมีการมอบหมายโปรเจกต์ใหญ่ประจำปี โดยเมเนเจอร์ของทีม A และทีม B ต้องนำโจทย์ไประดมความคิดกันในทีม และก่อนนำเสนอ จะต้องขายไอเดียของแต่ละทีมให้ CEO ตัดสินว่าไอเดียของทีมไหนน่าสนใจกว่ากัน ปรากฏว่าในวันนั้น โปรเจกต์ที่ทีมของคุณกล้วยคิดถูกรับเลือกและได้รับความสนใจจาก CEO ซึ่งในระหว่างนั้น คุณกล้วยสังเกตเห็นสีหน้าของเมเนเจอร์ทีม A ดูไม่พอใจเล็กน้อย อาจเพราะเขาอยู่มาก่อน มีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิที่สูงกว่า กลับกลายเป็นว่าผลงานของคุณกล้วยโดดเด่นกว่า แต่กระบวนการทำงานยังมีอีกขั้นตอนก่อนไฟนอล นั่นคือ การนำไอเดียกลับมาทบทวนกันอีกครั้ง แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป… วันถัดมา ในที่ประชุม CEO ตำหนิทีมของคุณกล้วยอย่างรุนแรงด้วยคำพูดที่เย็นชาว่า “จ้างเงินเดือนขนาดนี้ คิดงานได้แค่นี้เองเหรอ?” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาซื้อไอเดียนี้ไปแล้ว แต่สุดท้าย CEO กลับไปเลือกไอเดียของเมเนเจอร์ทีม A แทน คุณกล้วยรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เมเนเจอร์ทีม A เดินทางกลับต่างจังหวัด และมีของกลับมาฝากทุกคนในทีม คุณกล้วยก็ได้รับขนมมาหนึ่งชุดเช่นกัน ด้วยความเกรงใจจึงรับไว้และทาน หลังจากทานของฝากวันนั้น ทุกครั้งที่อยู่ที่ทำงาน หรือแม้แต่เดินกลับบ้าน คุณกล้วยรู้สึกเหมือนมี ใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อขึ้นห้อง แต่กลับรู้สึกว่า มีสายตาลึกลับจ้องมาจากนอกหน้าต่างอยู่เสมอ จนกระทั่งคืนนั้น คุณกล้วยนอนหลับไปตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า มีบางอย่างรูปร่างท้วมมานั่งทับที่ตัวแล้วเอามือมากดที่ใบหน้า บีบตรงจมูกและปาก เหมือนพยายามกดให้หัวจมไปในหมอน แรงกดนั้นรุนแรงมาก ราวกับต้องการให้หายใจไม่ออกแล้วก็พยายาม ล้วงมือลึกเข้ามาในปาก แล้วกดซ้ำที่ฟัน จนรู้สึกเจ็บไปทั้งปาก คุณกล้วยพยายามดิ้นสุดแรงจนหลุดออกมาได้ แล้วก็ สะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อมองไปที่ปลายเตียง เขาเห็นเงาร่างหนึ่ง ค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียง ก่อนจะจางหายไปต่อหน้าต่อตา ที่น่ากลัวกว่านั้นคือปากของคุณกล้วยมีเลือดซึมออกมา รู้สึกปวดฟันเหมือนถูกกดทับอย่างแรง ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันเป็นเรื่องจริง! แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในตอนเช้า แฟนของคุณกล้วยที่พักอยู่ที่เดียวกันก็ได้ฝันเหมือนกันและเล่าให้เขาฟังว่า มีคนมานั่งทับที่ตัวและใช้มือมาพยายามกดที่หน้า ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกัน แต่ในฝันของแฟนได้ยินเสียงกระซิบข้างหูบอกให้แฟนมาบอกคุณกล้วยว่า “ถ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างสบาย ๆ ก็ให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวไว้หน่อย” หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขาก็ไม่ได้นำเรื่องที่ฝันไปเล่าให้คนที่ออฟฟิศฟัง แต่ด้วยความที่ตอนนั้นสถานการณ์บางอย่างในออฟฟิศมันหนักกว่าที่เขาจะรับมือได้ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากออฟฟิศนั้น หลังจากวันที่คุณกล้วยลาออก เขามีโอกาสได้พบกับรุ่นน้องในทีม ซึ่งเปิดประเด็นคุยด้วยคำถามว่า “พี่กล้วยจำวันที่เรารับขนมจากพี่เมเนเจอร์ทีม A ได้ไหม” ตอนแรกคุณกล้วยไม่ได้เอะใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อน้องเริ่มเล่า เขากลับรู้สึกอยากฟังต่อ น้องบอกว่าอยากเตือนให้คุณกล้วยระวังตัวจากพี่เมเนเจอร์ทีม A เพราะในออฟฟิศมีข่าวลือกันว่า พี่เมเนเจอร์คนนั้นเลี้ยงผี แต่เหตุผลที่น้องไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง น้องเล่าต่อว่า คำว่า ‘เลี้ยงผี’ ในที่นี้ อาจไม่ได้หมายถึงการใช้สิ่งลี้ลับเล่นงานใครโดยตรง แต่เป็นการทำเพื่อ ไม่ให้ใครก้าวขึ้นมาเหนือกว่าเขา และนั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไม ตำแหน่งของคุณกล้วยถึงมีคนเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เพราะแต่ละคนที่รับตำแหน่งนี้ ก็มักจะต้องลาออกไปด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน ซึ่งวันที่น้องนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็คือวันที่เขาตัดสินใจลาออกเช่นกัน…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1