เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

16 ส.ค. 2024

       เรื่องราวนี้ ’เฌอปราง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       เฌอปรางเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนอายุ 5 ขวบ ช่วงสุดสัปดาห์ไปอยู่คุณปู่ที่อพาร์ทเม้นท์ที่ไม่ได้ไปบ่อยนัก ตอนนั้นหลังกลับจากเที่ยวห้างและสวนสัตว์กับคุณปู่ ทางกลับจะเป็นซอยเข้าไปลึก ทางเปลี่ยว ไม่ค่อยมีผู้คน และเป็นอพาร์ทเม้นท์หลายตึก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม ทุกอย่างมืดมาก ต้องเปิดไฟ สองปู่หลานเดินจูงมือกันไปตามทาง เดินผ่านซอกอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นถนนที่ต้องเดินผ่าน ด้านข้างเป็นผนังสีขาว โล่ง ๆ สูงประมาณตึก 5 ชั้น ทั้ง 2  ข้าง ซึ่งเป็นทางที่ผ่านประจำ แต่ครั้งนี้เฌอปรางรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม ไม่รู้อะไรดลใจ

       เท่าที่จำได้ เฌอปรางเห็นตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปในซอกนั้น เป็นเงารูปคนสูงเท่าตึก แขนและขา ยาว ผอม เฌอปรางก็มองแล้วคิดในใจตามประสาเด็กว่า “มันคืออะไร” พอพยายามมองไปรอบ ๆ ก็เจอไฟที่ส่องมา แต่ไม่เจอต้นกำเนิดหรือเจ้าของเงา พอเดินไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ระหว่างนั้นก็เดินแล้วก็มองอยู่หลายครั้ง เงานั้นก็อยู่เฉย ๆ ตอนนั้นคิดว่าน่าจะรู้สึกกลัวเลยไม่ได้ถามคุณปู่ เฌอปรางจำได้ว่าหลังจากนั้นก็กลัวที่จะเดินผ่านซอกนั้น และระแวงซอกที่คล้าย ๆ ตอนนั้นไปเลย จนทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย

       5-6 ปีผ่านไป พอโตขึ้นมาก็ได้ยินเรื่องเล่าว่า ‘มันมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวสูงเท่าตึก แขน-ขา ยาว ผอมแห้ง ปากเท่ารูเข็ม เรียกว่าเปรต’ เฌอปรางจึงเอะใจว่าวันนั้นที่เราเจอมันจะใช่ไหมนะ จึงถามว่า

       ”ตอนนั้นตอนเด็ก หนูเจอที่อพาร์ทเม้นท์ปู่เนี่ย มันใช่ไหมคะ“

       เขาก็บอกว่า ”เฌอไปทำบุญเถอะ เขาน่าจะมาขอส่วนบุญ“

       และนี่เป็นไม่กี่เรื่องที่เฌอปรางยังจำได้ตั้งแต่เด็ก..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

01 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

หน้าที่ยาม ที่ดูแลผีมากกว่าคน!! ‘คุณเอก ตายแน่’ ได้นำเรื่อง ‘เรื่องของลุงยาม‘ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(28 มกราคม 2568) เรื่องเล่าสุดหลอนของตึก 13 ชั้น จากลุงยามเฝ้าตึก ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ’ดีเจเจ็ม’ ต้องขนลุกไปพร้อม ๆ กับการหลอกของเหล่าผี!! เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณเอกได้ทำงานทีี่บริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีหลายครั้งที่แวะเข้าไปในออฟฟิศ และภายในออฟฟิศมักจะเจอคุณลุงอายุ 65 ปี ด้วยประสบการณ์การทำงานและความเคารพจากบริษัท จึงได้ให้คุณลุงทำงานด้านเอกสาร คุณเอกที่เป็นพนักงานใหม่และชื่นชอบการคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า ก็ได้เขาไปพูดคุยกับคุณลุง คุณเอกที่ชื่นชอบเรื่องเล่าผีได้เข้าไปถามคุณลุงว่า “ลุงครับ ไม่ทราบว่าลุงเคยเจอเรื่องน่ากลัวๆ เรื่องผีบ้างไหมครับ” คุณลุงจึงตอบว่า “จริงๆ ก็เจอมาตลอดในการทำงาน เพราะชอบเลือกอยู่กะกลางคืน” คุณเอกได้ถามต่อว่า “แล้วมีเหตุการณ์ไหมที่เจอจังๆ ไหม เจอพี่เจอเป็นตัวเลยหรอ” คุณลุงก็บอกว่า “เจอแบบชักปลั๊กเลย สลบไปเลย” คุณลุงเล่าต่อว่าเป็นครั้งแรกที่กลัวผีจนสลบไปและเลิกเป็นยามเฝ้าตึก เรื่องมีอยู่ว่า.. ย้อนไป 10 ปีที่แล้ว คุณลุงอายุ 55 ปี ทำอาชีพเป็นยามเฝ้าตึกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ย่านใกล้เคียงกับสถานบันเทิงและโรงแรม ตึกที่คุณลุงทำงานอยู่นั้นเป็นตึกค่อนข้างเก่า มีทั้งหมด 13 ชั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชั้นที่ 13 จึงสร้างเป็นตึกเสริมแทน และบริเวณป้อมยามที่คุณลุงอยู่จะมีโต๊ะไม้หินอ่อนอยู่ข้าง ๆ กิจวัตรประจำวันทุกครั้งหลังจากตรวจตึกเสร็จ คุณลุงจะกลับมาที่ป้อมยามในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม เพื่อนอนหลับ จนมีอยู่หนึ่งคืน ที่คุณลุงกำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงเคาะกระจกป้อมยาม เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เจอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาสะสวย สวมใส่ชุดเดรสสีแดง คุณลุงจึงทักทาย “สวัสดีครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครัับ” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “เรียกหนูว่าแยมเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พอดีหนูอยู่ชั้นที่ 8 หนูกลัวผีค่ะ ช่วยพาหนูขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ” คุณลุงก็ตกใจ และนึกได้ว่าช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ ตึกนี้เคยมีเรื่องเล่าว่า มีคนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต ร่วมถึงคนป่วยเป็นมะเร็งปอดแล้วเสียชีวิตภายในห้องพักส่วนตัว คุณลุงก็ไม่ทราบว่าชั้นไหน แต่เมื่อลูกบ้านกลัวและเป็นหน้าที่ของรปภ. คุณลุงจึงอาสาไปส่ง จากนั้นคุณลุงก็ได้หยิบกระบอกไฟฉายมาเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกง แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็เกิดขึ้น เนื่องจากปกติแล้วคนกลัวผีมักจะเดินตามหลังแต่ผู้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้าคุณลุงไปและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ คุณลุงที่อายุมากแล้วและขาไม่ค่อยดีจึงค่อย ๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป เมื่ออยู่ในลิฟต์ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวตรง ขาชิด หันหน้าไปทางประตูลิฟต์ และนิ้วของเขาก็กดไปที่เลข 8 ย้ำ ย้ำ ย้ำ เหมือนให้ลิฟต์รีบขึ้นไป พอลิฟต์ปิดลง พื้นที่เริ่มน้อย ทำให้คุณลุงได้กลิ่นชัดขึ้น ซึ่งเป็นกลิ่นของน้ำอบดาวเรือง คุณลุงก็คิดในใจว่า ผู้หญิงวัยรุ่นที่เที่ยวกลางคืน มันควรจะเป็นน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งหรือเปล่า และในตอนนั้นคุณลุงก็รู้สึกว่าระหว่างชั้น 1 ถึงชั้น 8 นั้นนานกว่าปกติ ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดไม่จากับคุณลุง คุณลุงจึงได้แต่ก้มหน้า แต่หางตาก็มองไปที่เลขลิฟต์ว่าเมื่อไร่จะถึงชั้น 8 เมื่อถึงชั้นที่ 8 ผู้หญิงคนนั้นก็ทำเหมือนเดิม โดยใช้มือกดย้ำ ย้ำ ย้ำ ไปที่ปุ่มเปิดลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดผู้หญิงคนนี้ก็พุ่งตัวออกจากลิฟต์ทันที และกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งอยู่เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ คุณลุงจึงบอกว่า “ใจเย็น ๆ คุณหนู ผมขาไม่ค่อยดี” แต่ผู้หญิงคนนั้นยังเดินต่อไป ไม่ได้หันมามอง จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูไม่ได้เข้าห้องไปทันที และผู้หญิงก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวหนูเข้าไปเองค่ะ” พอได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะหลาย ๆ อย่างมันดูแปลก คุณลุงจึงบอกไปว่า “งั้นผมส่งตรงนี้นะครับ” และหันหลังกลับไป แต่เมื่อกำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอหันกลับไปดูว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องแล้วหรือยัง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ ด้วยความตกใจคุณลุงจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ เพราะมันไวกว่ารอลิฟต์ พอลงมาถึงข้างล่าง ด้วยความที่วิ่งลงมาคุณลุงเหนื่อยมากและเผลอหลับไป หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะอีกครั้งจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณลุงได้มองออกไปข้างนอก ก็พบกับผู้หญิงคนเดิมใส่ชุดเดรสสีแดง ยืนตัวตรง แล้วบอกกับคุณลุงว่า “คุณลุงคะ คุณลุงพาหนูขึ้นไปอีกรอบได้ไหม หนูกลัวผี” คุณลุงก็รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออกผู้หญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “คุณลุงลืมของไว้ บางอย่างที่สำคัญมากเลยนะคะ ขึ้นไปเอากับหนูหน่อย” คุณลุงคิดว่านี่ไม่ใช่คนแล้ว จึงเปิดประตูออกแล้วรีบวิ่งออกไป ข้าง ๆ ตึกมีร้านสะดวกซื้ออยู่ คุณลุงก็ได้ไปนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจนถึงเช้า และรายงานกับหัวหน้าว่าเมื่อคืนตนได้เจอกับเรื่องแปลก ๆ หลังจากนั้น คุณลุงก็เดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพื่อขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดเพราะยังข้องใจกับเรื่องเมื่อคืน ภาพที่ปรากฎขึ้นบนจอคือภาพที่คุณลุงยืนคุยกับอากาศ แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหตุขึ้นก็ปรากฎแค่คุณลุงคนเดียว ไม่มีผู้หญิงคนนั้นในภาพ และเมื่อภาพมาถึงช่วงที่ประตูห้องเปิดออกในจังหวะที่คุณลุงหันหลังกลับแล้ววิ่งไป กระบอกไฟฉายที่พกไปด้วยนั้นก็หล่นลงมาและกลิ้งเข้าไปในห้องนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นคุณลุงก็ได้แต่ขนลุกพลางว่าถ้าเกิดขึ้นไป ตนนั้นก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมาอีกเลย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณลุงจึงเริ่มปรับตัวกับการอยู่เฝ้ายาม เช่น นำพระมาห้อยจนเต็มคอ เริ่มตรวจตึกตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้วรีบกลับมาที่ป้อมยาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทนได้ จึงขอลาออก คุณลุงได้บอกกับเจ้าของตึกว่า “ผมขอออกนะครับ แต่ผมจะอยู่จนกว่าจะหาคนได้” เจ้าของตึกจึงบอกว่า“เดี๋ยวจะเอาหัวหน้ารปภ. จากสาขาอื่นมาเปลี่ยน เดี๋ยวเขาจะมาดูงานและมาเปลี่ยนคืนนี้แหละ อยู่ให้อีกสักคืนนะลุง” คุณลุงก็รับปากจะอยู่ให้ จากนั้นคุณลุงก็ทำตามกิจวัตรปกติตามเดิม พอกลับมาพักที่ป้อมยาม ผ่านไปสักพักคุณลุงก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะเหมือนคนเอากำปั้นทุบกระจก คุณลุงจึงรีบเปิดประตูออกมา และสิ่งที่คุณลุงได้เห็นคือมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดรปภ. อายุประมาณ 40 ปีกว่า ๆ ร่างอวบนิด ๆ และผู้หญิงคนนั้นยังจองมาที่คุณลุงตาเขม็งพร้อมบอกว่า “เป็นรปภ. ที่นี่ยังไง นอนหลับไม่ดูป้อมไม่ตรวจตาเลยเหรอ แล้วดูซิเนี่ย! แต่งตัวทำไมไม่เอาเสื้อเข้ากางเกง ก็สมควรแหละที่ได้ออก ทำตัวไม่ได้มีความเป็นรปภ.เลย ฉันจะมาเปลี่ยนนะ แล้วจะมาดูความเรียบร้อยด้วย มาดูความประพฤติกรรมด้วยว่าเป็นยังไง” ได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็ตกใจ นอกจากนี้ ผู้หญิงรปภ. คนนี้ก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนข้างป้อมยาม คุณลุงจึงกลับไปนั่งในป้อม แต่ก็ได้แต่นั่งเกร็งเพราะมีคนจ้องอยู่ด้านนอก คุณลุงไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบยาดมขึ้นมาดม แต่ก็มีเสียงตะโกนมาว่า “อย่าดม! อย่าดม! เหม็น! ทำไมต้องดมยาดม เป็นคนเสพติดของพวกนั้นหรอ” คุณลุงก็คิดในใจว่าแค่ดมยาดมก็ไม่ได้หรอ แต่คุณลุงก็เก็บยาดมไป นั่งไปได้สักพักคุณลุงก็เผลอหลับไป แต่ก็ยังสะดุ้งตื่นและลุกมาดูแถวโต๊ะไม้หินอ่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่มีใคร มีแค่โต๊ะโล่ง ๆ คุณลุงก็สงสัยว่าหัวหน้ารปภ. ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน คุณลุงจึงเดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ซึ่งเวลานั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว พอไปถึง คุณลุงก็มองหารปภ.ผู้หญิง แต่ก็หาไม่พบ คุณลุงก็คิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว คุณลุงจึงเดินออกมาข้างหน้าตึกพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แต่งตัวสบาย ๆ เอาเสื้อออกนอกกางเกงเหมือนอย่างที่เคยทำ สักพักก็ได้ยินเสียงแว่วมา ในเวลานั้นเองได้มีร่างของคนร่วงลงมาจากข้างบนตึกแล้วตกลงที่ตรงหน้าของคุณลุงพอดี!สภาพของร่างนั้นเป็นกองเนื้อที่กระจายเต็มหน้าคุณลุง แขน ขาบิดผิดรูป คุณลุงจึงได้แต่อึ้งค้างอยู่แบบนั้นและในกองเนื้อนั้นก็มีหัวคนที่อยู่เป็นยอดเหมือนเชอร์รี่ที่อยู่บนก้อนเค้ก ซึ่งหัวคนนั้นก็คือหน้าของรปภ.ผู้หญิงคนนั้น แล้วถลึงตาหันมามองคุณลุง และบอกกับคุณลุงว่า “กูบอกให้เอาเสื้อใส่ในกางเกง!” หลังจากนั้นคุณลุงก็สลบไปทันที รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล ในตอนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นิติ และเจ้าของตึกมาเยี่ยมคุณลุง คุณลุงจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ทั้ง 2 คนฟัง หลังจากเล่าเสร็จคุณลุงจึงถามว่านั้นคือผีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่นิติจึงตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นผีนะคะ ที่นี่ไม่เคยมีรปภ. ผู้หญิง” คุณลุงจึงถามต่อว่า “แล้วบอกจะมีหัวหน้ามาดูงานกลางคืนไม่ใช่หรอครับ” เจ้าหน้าที่นิติก็ได้บอกว่า “ไม่ใช่ ที่จะมา เขามาพรุ่งนี้ แล้วเขาเป็นผู้ชาย เขาติดงาน มาไม่ได้” ได้ยินดังนั้นเจ้าของตึกจึงได้เอามือมาผลักเจ้าหน้าที่นิติออกและพูดเบาๆ ว่า “เธอไม่รู้ เธอพึ่งมา จริง ๆ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ฉันได้จ้างรปภ. ผู้หญิงมา” เจ้าของตึกจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ได้สร้างตึกนี้เสร็จเมื่อ 30 ปีก่อน เจ้าของตึกได้คัดเลือกรปภ.ที่จะเข้ามาทำงานเฝ้าตึกด้านบนด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กำลังสร้างชั้นที่ 13 พอดี ซึ่งคนที่ต้องตรวจตราข้างบนก็คือ รปภ. ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนที่เข้มงวด ปากจัดมาก เนี๊ยบ ใครที่ไม่ถูกใจเธอก็มักจะด่าทันที จึงไม่ค่อยมีใครชอบเธอสักเท่าไหร่ วันหนึ่งตอนประมาณ 6 โมงเย็น รปภ.ผู้หญิงคนนี้ก็ตกลงมาจากชั้นที่ 13 จนร่างกายแตกกระจายอยู่หน้าตึก และคนอื่น ๆ ก็ได้ตีความกันว่าเป็นคนงานที่มาสร้างชั้น 13 ทนกับคำด่าของรปภ.คนนี้ไม่ไหวจึงผลักเธอตกลงมา แต่ก็มีการปิดข่าวทำให้ข่าวเรื่องนี้เงียบไป คุณลุงที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจึงใช้โอกาสนี้ในการลาออกทันที หลังจากนั้นคุณลุงก็นั่งโต๊ะทำงานเอกสารเป็นต้นมา(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พายุฝนโหมกระหน่ำ จะขับรถต่อไปก็กลัวอันตราย จึงเลี้ยวเข้าไปพักในโรงแรมหนึ่ง ได้เจอกับผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตท่าทางแปลกพิลึก! แล้วหลังจากนั้นก็เจอเรื่องหลอนจนนอนไม่ได้! รุ่งสางรีบขับรถออกมาก็พบว่า โรงแรมที่เข้าพักไปมันเป็นโรงแรมร้าง!

02 มิ.ย. 2023

พายุฝนโหมกระหน่ำ จะขับรถต่อไปก็กลัวอันตราย จึงเลี้ยวเข้าไปพักในโรงแรมหนึ่ง ได้เจอกับผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตท่าทางแปลกพิลึก! แล้วหลังจากนั้นก็เจอเรื่องหลอนจนนอนไม่ได้! รุ่งสางรีบขับรถออกมาก็พบว่า โรงแรมที่เข้าพักไปมันเป็นโรงแรมร้าง!

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปงX’ ที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2566) กับเรื่องหลอน 100/100 ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังตลอดการเล่า! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ‘คุณแอมแปร์’ เมื่อ 4 ปีก่อน ครอบครัวคุณแอมแปร์ประกอบไปด้วย ตัวคุณแอมแปร์เอง แฟน คุณแม่ และน้องสาว ทั้งหมด 4 คน ซึ่งต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ตอนแรกทุกคนก็ตั้งใจว่าจะออกเดินทางซัก ตี 3 – 4 จะได้ไปถึงจุดหมายเวลาเที่ยงพอดี แต่คืนนั้นทุกคนกลับนอนไม่หลับ จึงตกลงกันว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว เราออกเดินทางกันเลยแล้วกัน ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน และฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย.. หลังจากขับรถไปได้ 2 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาตี 2 แล้ว พายุฝนยิ่งโหมซัดกระหน่ำเข้าไปใหญ่ คุณแอมแปร์เล่าว่าตอนนั้นขับรถไม่ไหวจริง ๆ จึงคุยกับทุกคนว่าต้องหาที่จอดพัก ระหว่างหาที่จอดพักอยู่นั้น คุณแอมแปร์ก็นึกขึ้นมาในใจเล่น ๆ ว่า “ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ขอให้ลูกได้เจอโรงแรมในการพักหลบฝนหน่อยเถอะ” หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปสักพักใหญ่ แฟนคุณแอมแปร์ก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ไง ๆ ข้างหน้านี่ไง!” ข้างหน้าเป็นป้ายไฟที่เขียนว่า ‘โรงแรม’ ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะเข้าไปพักที่นี่ ดีกว่าฝืนขับไป เพราะพายุฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย พอเลี้ยวซ้ายเข้าไป คุณแอมแปร์บอกว่ามันเข้าไปลึกมากเกือบ 400 เมตร จนในที่สุดก็เจอ สถานที่ตรงนั้นเป็นเหมือนกับสำนักงาน เข้าในมีไฟเปิดทิ้งไว้อยู่ คุณแอมแปร์จึงเปิดไฟรถให้สัญญาณและบีบแตรให้คนข้างในได้ยิน แต่ก็ไม่มีพนักงานคนไหนสนใจออกมาดูเลย เวลาผ่านไปสักพัก ทุกคนในรถก็ต้องตกใจ! เพราะเสียงเคาะดัง “ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก!” อยู่ที่กระจกด้านขวาของรถ! เจ้าของเสียงคือร่างของผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตยืนกางร่มแล้วเอาหน้าแนบกระจกอยู่! อีกมือหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็ทำสัญญาณบอกให้หมุนกระจกรถลง คุณแม่คิดว่าคงจะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงบอกให้คุณแอมแปร์ลดกระจกลง แล้วถามไปว่า “พอดีมาหาห้องพักอ่ะค่ะ” ผู้ชายคนนั้นชี้มือไปทางด้านขวาแล้วพูดว่า “เข้าไปในซอยนั้น แล้วตรงเข้าไปอีก 300 เมตร อยู่ซ้ายมือ ขับรถเข้าไปจอดได้เลย” คุณแอมแปร์ก็คิดในใจว่ามันเข้าไปอีกลึกมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากขับต่อไป หลังจากขับเข้าไปได้ประมาณ 300 เมตร ก็เห็นแสงไฟจากตึกแถวเรียงกัน คล้าย ๆ กับโรงแรมม่านรูด ที่สามารถเอารถเข้าไปจอดหน้าห้องแล้วเข้าพักได้เลย คุณแอมแปร์เลือกห้องที่ 3 ขณะที่กำลังจอดรถอยู่นั้น ผู้ชายเสื้อลายสก็อตที่เจอเมื่อกี้ ก็ปรากฏตัวขึ้น! คุณแอมแปร์มั่นใจว่าเขาไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมาแน่นอน ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ประตูห้องหนึ่ง แต่ไม่ยอมเดินเข้ามาหา ทางครอบครัวคุณแอมแปร์ที่กำลังขนของเข้าห้องพักก็ตะโกนถามไปว่า “พี่! ค่าห้องเท่าไหร่ หนูต้องจ่ายเลยมั้ย” ผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า “จ่ายเลย” คุณแอมแปร์รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็หยิบเงิน 500 บาทเอาไปให้ ระหว่างที่เดินเอาไปให้ก็รู้สึกกลัว ๆ สั่น ๆ เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จึงอยากจะคลายความกลัวด้วยการชวนผู้ชายเสื้อลายสก็อตคุย “ฝนตกหนักเลยเนอะพี่ ดีนะมาเจอโรงแรมนี้ ไม่งั้นพวกหนูแย่แน่เลย” แล้วผู้ชายเสื้อลายสก็อตก็หัวเราะในลำคอ “หึ! ก็มีแต่พวกไปไม่รอดเท่านั้นแหล่ะ ที่เข้ามาพักตรงนี้” คุณแอมแปร์ก็ถามกลับไปว่า “เอ่อ.. แล้วค่าห้องเท่าไหร่คะ?” เขาก็ตอบมาว่า “500” เป็นจำนวนเงินพอดิบพอดีที่คุณแอมแปร์หยิบมา เมื่อจ่ายค่าห้องเสร็จ คุณแอมแปร์ก็รีบเดินกลับไปที่หน้าห้อง และเล่าให้ทุกคนฟัง คุณแม่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เรามากันตั้ง 4 คน คงไม่เป็นไร” หลังจากนั้นก็เตรียมจะเปิดประตูห้องเข้าไป แต่คุณแม่ก็หยุดเดินไปเสียดื้อ ๆ ! “แม่ แม่ แม่! แม่เป็นไร?” คุณแอมแปร์ถาม แต่คุณแม่ก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วพาทุกคนเข้าห้องไป.. ขณะที่กำลังจัดเตรียมข้าวของ เสียงของแฟนคุณแอมแปร์ก็ดังขึ้นว่า “อาย! ก่อนจะขึ้นไปนอนอ่ะ ไปล้างเท้าก่อนเลย!” เป็นการบอกให้ ‘อาย’ น้องสาวไปล้างเท้าก่อนนอนนั่นเอง แต่คุณแอมแปร์กับแม่ก็ต้องหันมามองหน้ากัน และคิดในใจว่า ก็น้องอายกำลังล้างเท้าอยู่ในห้องน้ำ แล้วแฟนพูดกับใคร? แต่ทุกคนก็ไม่พูดอะไร รวมถึงแฟนคุณแอมแปร์ที่หลังจากพูดแบบนั้นออกมา เขาก็หยุดกึ้ก! ไม่พูดอะไรอีก เนื่องจากอากาศเย็นเพราะฝน ทุกคนจึงไม่อาบน้ำ แค่ล้างมือล้างเท้าแล้วเข้านอน จนกระทั่งตี 3 ลำดับการนอนคือ น้องอายนอนติดกำแพง ถัดมาเป็นคุณแม่ คุณแอมแปร์ และแฟนคุณแอมแปร์ นอนเรียงกัน 4 คน ระหว่างที่นอนอยู่ คุณแอมแปร์ก็ได้ยินเสียงหายใจฮึดฮัด เหมือนคนกำลังดิ้นอยู่ ปรากฏว่าเป็นคุณแม่ จึงพยายามปลุกคุณแม่ พอตื่น คุณแม่ก็บอกว่า “แอม! เอาสร้อยครุฑมาให้แม่หน่อยสิ” แล้วก็เอาสร้อยครุฑมาใส่ แม้คุณแอมแปร์จะพยายามถามว่าเป็นอะไร แต่แม่ก็บอกว่า “ไม่มีอะไร” สิ้นเสียงแม่ เสียงชักโครกในห้องน้ำก็ดังขึ้น! ทุกคนก็ตื่นขึ้นมา แฟนคุณแอมแปร์จึงพยายามปลอบใจทุกคนว่าคงเป็นเสียงห้องข้าง ๆ แต่คุณแอมแปร์ก็รีบบอกไปว่า “ฝักบัวในห้องน้ำมันเปิด! เหมือนกับมีคนกำลังอาบน้ำอยู่เลย!” แล้วทุกคนก็เกาะกลุ่มกัน เพื่อที่จะเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ พอแฟนเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่น เหมือนมีคนพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ มีไอน้ำอยู่ที่กำแพงจริง พอดูที่เครื่องทำน้ำอุ่น ก็เห็นว่ามันเปิดอยู่! พอเจอแบบนี้ คุณแอมแปร์ก็ชวนทุกคนออกจากห้อง แต่คุณแม่ก็บอกว่า “มันออกไปไหนไม่ได้ ฝนมันตกหนัก ออกไปก็อันตราย” จึงคิดกันว่าจะสวดมนต์และพยายามหลับ เพราะต้องเดินทางต่อ หลังจากสวดมนต์เสร็จ ทุกคนก็ดูจะสงบมากขึ้น จึงเตรียมจะนอนอีกรอบ คุณแอมแปร์ในตอนนั้นกลัวคนมากกว่าผี จึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหลับ และฝันว่า มีเสียงเคาะประตู พอเปิดประตูก็เห็นผู้ชายเสื้อลายสก็อตไว้ผมรากไทร แล้วเขาก็บอกว่า “กูไม่ใช่คนดี กูจะมาปล้น” คุณแอมแปร์ก็ตอบไปว่า “อย่ามาปล้นพวกหนูเลย พวกหนูไม่มีของมีค่าอะไร มีแค่ร่มคันหนึ่งกับเงิน 500 ที่ให้พี่ไป” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า “ถ้าไม่มีกูฆ่า!” แล้วเขาก็เดินออกไปเปิดรถคุณแอมแปร์เพื่อคุ้ยข้าวของ แล้วก็หอบเอาข้าวของพยายามจะเดินหนี! คุณแอมแปร์ก็เรียกแฟนให้ช่วยกันวิ่งตาม ผู้ชายคนนั้นก็วิ่งหนีพลางหันมามองไปด้วย พอวิ่งไปถึงถนนใหญ่ ก็มีรถบรรทุกวิ่งมาชนจนร่างของผู้ชายคนนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี! ร่างขาดออกเป็นส่วน ๆ จนส่วนหัวของผู้ชายคนนั้นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหว่างขา แถมยังจ้องตาแข็งอีก! คุณแอมแปร์เห็นดังนั้นก็ร้องกรี๊ด พอกรี๊ดเสร็จ เหตุการณ์ทุกอย่างก็วนลูปกลับไปที่เดิม คือมีเสียงเคาะประตู เปิดไปเป็นผู้ชายคนนั้น เขาบอกจะปล้น แล้วก็หอบของวิ่งหนี จากนั้นก็ถูกรถบรรทุกชน วนไปวนมา จนคุณแอมแปร์ทนไม่ไหว ตะโกนออกมาว่า “ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเห็นแบบนี้แล้ว!” สิ้นเสียงนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้น เพราะคุณแม่มาปลุกและผูกข้อมืออยู่ พอตื่นขึ้นก็หันไปมองหน้าน้องสาว แล้วน้องก็พูดขึ้นว่า “ผู้ชายที่ใส่เสื้อลายสก็อตเขาเป็นโจร เขาจะมาปล้น เขาจะมาฆ่าเรา!” กลายเป็นว่าทั้งสองคนฝันเรื่องเดียวกัน! ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ออกไปไหนก็ไม่ได้ จึงคิดว่าจะไม่นอน และนั่งรวมตัวกันอยู่อย่างนั้นจนถึงตี 5 ฝนก็เริ่มซา ทุกคนเก็บของแล้วเตรียมจะถอยรถออกไป ก็เห็นว่าตึกที่เหมือนจะมีคนอยู่ มันกลายเป็นตึกร้าง! ไม่มีไฟ ไม่มีลูกค้า ไม่มีใคร เป็นเหมือนพื้นที่รกร้าง! คุณแอมแปร์พยายามจะสังเกตว่าที่นี่มันคืออะไรกันแน่ แต่คุณแม่ก็เร่งเร้าบอกให้รีบขับรถออกไป พอขับออกไปก็เห็นว่าสำนักงานเมื่อคืนนี้ มันกลายเป็นศาลารอรถเก่า ๆ โทรม ๆ ขับออกมาอีกก็เห็นป้ายที่เมื่อคืนเห็นเป็นป้ายไฟ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นป้ายไม้เก่า ๆ เขียนด้วยถ่านสีดำว่า ‘โรงแรมXXX’ หลังจากนั้นก็ขับออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เห็นร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง ทุกคนจึงเข้าไปนั่งคุยกันในร้าน.. คุณแอมแปร์ถามว่า “ทำไมตอนจะเข้าห้อง แม่ถึงหยุดเดิน” แม่ก็ตอบว่า “เห็นผู้หญิงเดินแว๊บเข้าไปห้องน้ำ” แต่ตอนนั้นแม่คิดว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่า แล้วคุณแอมแปร์ก็ถามแฟนต่อว่า “ทำไมตอนที่พี่บอกให้อายไปล้างเท้า แล้วพี่หยุดอ่ะ พี่หยุดทำไม” แฟนก็บอกว่า “เห็นผู้หญิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ก็เลยคิดว่าเป็นน้อง ก็เลยบอกให้น้องไปล้างเท้า แต่พอดูอีกทีก็เห็นว่าน้องอยู่ในห้องน้ำแล้ว หันกลับมาที่เตียงอีกที ก็ไม่มีผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็เลยเงียบไป” ระหว่างที่คุยกัน พนักงานในร้านที่ยืนรอหาจังหวะเข้ามารับออเดอร์ก็เดินเข้ามาถามว่าจะสั่งอะไร คุณแอมแปร์ก็ถามไปเลยว่า “พี่รู้จักโรงแรมที่อยู่ตรงนี้มั้ย?” พนักงานก็ตอบว่ารู้จัก และบอกว่า “เข้าไปพักได้ยังไง โรงแรมนั้นมันร้างมาตั้งนานแล้ว!” ด้วยความสงสัย คุณแอมแปร์จึงถามต่อไปว่า “แล้วนอกจากร้าง มันมีอะไรอีกมั้ย?” หลังจากนั้นก็เริ่มเล่าสิ่งที่เจอเมื่อคืนให้พนักงานฟัง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อ๋อ.. มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ก่อนโรงแรมนี้มันคล้าย ๆ กับม่านรูด แล้วก็มีคนสวนคอยดูแล แล้วมันก็มีเหตุฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนนึง แต่ไม่รู้นะว่าเป็นห้องไหน คนที่ทำก็เป็นคนสวน ไอ้คนที่ทำเนี่ย ผมรู้จักดี เขามากินข้าวบ่อย แล้วก็หลังจากที่ทำเสร็จปุ๊บ เขาก็โดนรถชนตาย! ผู้ชายคนนี้ชอบใส่เสื้อลายสก็อตสีแดง ไว้ผมทรงรากไทรด้วย!” ปรากฏว่าทุกอย่างมันตรงกับที่เจอพอดี! หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง และทำบุญไปให้ นอกจากนี้พี่แจ็คก็ยังเสริมอีกว่า ตอนที่คุณแอมแปร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าในห้องมีแอร์เก่า ๆ ตู้เย็นไม่ได้เสียบปลัก ฝุ่นหนา แต่ก็มองว่าโรงแรมมันคงสกปรกแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงิน 500 บาท คุณแอมแปร์บอกว่าจ่ายไปจริง ๆ และคุณแม่ก็บอกว่าคิดซะว่าทำบุญให้เขา ก่อนปิดรายการพี่แจ็คทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ระบุไปด้วยว่า “ขอให้เจอที่ที่ไม่มีผี นอนรอดปลอดภัย”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

28 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

(Trigger Warning อาจมีเนื้อหาที่แสดงถึงพฤติกรรมรุนแรงทางเพศ เกี่ยวข้องกับศพ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึก) ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เตียงนอนตาย’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณตั้นเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณอัญญะ’ เรื่องเริ่มต้นที่โรงพยาบาลที่คุณอัญญะทำงานอยู่ ที่แห่งนี้จะมีเตียงหนึ่งที่เป็นตำนาน ใน 4 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 48 ศพ เป็นตำนานที่ลือกันว่าผู้ป่วยคนไหนก็ตามที่มานอนเตียงนี้จะไม่รอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มจากมีเวรเปลอยู่ 2 คน ที่จ้างมาทำงานใหม่ชื่อ ‘เสก’ กับ ‘อเนก’ ซึ่งตัวเสกเป็นคนไม่กลัวผี หน้าที่ของเสกคือการเข็นคนไปส่งตามที่ต่าง ๆ แต่อเนกเป็นคนกลัวผี จึงขอทำหน้าที่เป็นเคสย้ายผู้ป่วยไปตามห้องต่าง ๆ วันหนึ่ง อเนกเลิกงานและกำลังรอเสกที่เป็นเพื่อนสนิทเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งดื่มกาแฟรอ ก็มีคนโหวกเหวกโวยวายว่ามีอุบัติเหตุเคสใหญ่เกิดขึ้น เสกจึงรีบไปบอกอเนกว่าต้องไปช่วย ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นคือมีรถพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยชนเข้ากับรถของชาวบ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเกิน 10 ราย ผู้ป่วยที่อยู่บนรถพยาบาลก็เสียชีวิต พยาบาลก็ได้รับบาดเจ็บ แต่รถชาวบ้านมีผู้เสียชีวิตหลายราย เสกก็ไปช่วยที่ห้องฉุกเฉินอย่างที่เคยทำ แต่อเนกที่ไม่เคยทำก็ไปหลบยืนอยู่ที่มุมห้อง หลบคนนู้นทีคนนี้ทีจนไปชนเตียงข้างหลัง คนอื่นเริ่มเห็นว่าอเนกเกะกะ เสกจึงบอกให้อเนกไปเอาใบส่งตัว แล้วเอาศพที่อยู่ข้างหลังไปส่งห้อง พออเนกได้ยินก็สะดุ้งโหยง เพราะเตียงที่อยู่ข้างหลังคือศพ อเนกจึงไปรับใบส่งตัวและเข็นศพไปตามทาง ปกติโรงพยาบาลจะเปิดเพลงบรรเลงให้คนฟัง แต่ระหว่างที่อเนกเข็นนั้น จู่ ๆ ก็มีจังหวะที่เพลงค่อย ๆ เบาลงแล้วก็ดังขึ้นเป็นเพลงปี่พาทย์ แล้วไฟก็หรี่แสงสว่างลง ระหว่างที่เข็นไปก็ได้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ อเนกคิดในใจว่าคนหรือผี แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเป็นคน ขณะที่อเนกกำลังเดินผ่านไป ลุงก็ทักว่า “หนุ่ม ห้องรับศพไปทางไหน” ตัวอเนกที่กำลังไปห้องนั้นจึงตอบลุงว่า “ผมกำลังไป เดินไปด้วยกันละกัน” ลุงก็เดินตามหลังมา ปรากฎว่าระหว่างนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินสวนออกมา ลุงก็ทักขึ้นมาว่า “อ้าวแม้นจะไปไหน” ป้าคนนี้เลยตอบว่า “เจอก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจอสงสัยคงเร่ร่อนตาย” ตอนนั้นตัวอเนกก็รู้สึกว่าลุงกับป้าทักกันแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าคงมีอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็มี 3 คนที่กำลังไปห้องส่งศพด้วยกัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไป ลุงกับป้าก็คุยกันต่อประมาณว่า ลูกกับหลานจะทำอย่างไร? จะอยู่ได้ไหม? เมื่อไปถึงหน้าห้องส่งศพ อเนกก็ชี้ไปว่าที่นี่ห้องส่องศพ และอเนกก็ไปส่งเอกสารต่าง ๆ จากนั้นอเนกก็เข็นศพเข้าไป พอเข็นเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งพี่คนนี้ชื่อ ‘พี่ยับ’ เป็นรุ่นใหญ่ในโรงพยาบาล พอพี่ยับรับศพไปก็พูดว่า “อ้าว ลุงวิเชียรมาแล้วหรอ ป้าแม้นแกรออยู่จะได้ไปด้วยกันเลย” แล้วตัวพี่ยับก็เปิดหน้าศพ อเนกพูดอะไรไม่ออก จนเดินถอยไปชนกับเตียงหนึ่งและกำลังจะล้มลงไปนอน พี่ยับบอกว่า “หยุด ถ้านอนมึงตายนะ เพราะว่าเตียงนี้ตายมาแล้ว 48 ศพ” และพี่ยับยังบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเตียงนี้พรุ่งนี้ให้มาหา อเนกจึงกลับมาหา พี่ยับก็เล่าให้อเนกฟังว่าเตียงนี้ก่อนที่จะมีคนตาย 48 ศพ เคยมีหนึ่งเคสเป็นผู้หญิงชื่อ ‘น้องเน’ อายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนสวยของอำเภอนี้ ปรากฎว่าวันหนึ่งเธอนอนแล้วเธอก็หลับไม่ตื่น จึงเลยกลายเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมถึงเสียชีวิตเช่นนี้ คุณหมอพยายามชันสูตรหาว่าเป็นอะไร แล้วก็แจ้งกับทางญาติว่าขอเอาศพไว้ที่นี่ก่อนเพื่อหาสาเหตุ หลังจากรับศพมาก็มานอนปกติ แต่แปลกมากที่ศพนี้เป็นศพที่มารอชันสูตรที่สวยมาก สภาพเหมือนผู้หญิงสวยที่กำลังนอนหลับ ในวันแรกที่ศพมาถึง ช่วงเปลี่ยนเวรของคนเฝ้าศพ คนที่เข้ามาเฝ้าต่อรู้สึกว่าสภาพห้องเก็บศพนั้นผิดปกติ คือห้องกระจัดกระจาย และเตียงน้องเนอยู่ไม่ตรงกับตำแหน่งเดิม จนสืบสาวเรื่องไปเจอกล้องวงจรปิดและรปภ.หน้าห้องเก็บศพก็หายไป เมื่อเปิดภาพในกล้องวงจรปิดก็พบว่ามีการข่มขืนศพ และทุกคนก็ตามหาตัวรปภ.แต่ไม่เจอ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้รับแจ้งว่าเจอรปภ.คนนี้แล้ว แต่เจอที่ห้องฉุกเฉิน เพราะมีคนไปพบศพรปภ.ในคืนนั้นซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตคือจมน้ำ แต่ที่แปลกคือในมือของรปภ.กำสายชื่อศพของน้องเนไว้ด้วย เรื่องนี้ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวพี่ยับต้องไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณ แล้วกลับบ้านไม่ไหวเพราะต้องเข้าเวร แต่ไม่สามารถเข้าด้านหน้าได้เพราะมีกล้องวงจารปิดที่จะเห็นสภาพที่เมาของพี่ยับ จึงเลือกที่จะเข้าทางหน้าต่างบานเลื่อนที่หลบมุมได้ แต่หน้าต่างของห้องเก็บศพไม่ได้ใช้งานบ่อยก็มักจะมีเสียงดัง พอพี่ยับเปิดเข้าไปก็ดันได้ยินเสียงกุกกักข้างใน จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเข้าไปก็เจอบุรุษพยาบาลคนหนึ่งชื่อ ‘เต้’ เอาเสื้อพาดบ่าเหมือนกำลังแต่งตัว พี่ยับถามว่ามาทำอะไร เต้จึงบอกว่ามาดูเอกสารว่าศพเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วก็รีบออกไป พอเต้ออกไปพี่ยับก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เจอคือผ้าของศพของน้องเนถูกถลกขึ้นและเปลือย ตัวพี่ยับเองก็ไม่กล้าบอกใครเพราะว่ามันจะกระทบต่อตัวเอง แต่เรื่องก็แดงขึ้น เพราะหลังจากนั้น 2 วัน มีคนบอกกันต่อ ๆ ว่าเต้ตาย โดยมีคนบอกว่าเห็นเต้กำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง แล้วพยายามจะข้ามถนนและโดนรถกระบะชนเสียชีวิตคาที่ ซึ่งศพของเต้คือศพที่ 2 จากการที่มีคนมาทำแบบนี้กับน้องเน หลังจากนั้นเหมือนกับวิญญาณของน้องเนถูกทำร้าย คนในโรงพยาบาลจะเริ่มเห็นน้องเนออกมาเดินในตอนกลางคืน โดยจะเดินไปทั่วเพื่อให้ทุกคนเห็น พอผ่านเรื่องราวนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น คือ ศพน้องเนหาย ทุกคนต่างมึนงงกับเหตุการณ์นี้มาก และวันนั้นไม่ใช่เวรเฝ้าศพของพี่ยับ เมื่อรู้ว่าศพหาย ทุกคนจึงมาไล่ดูกล้องวงจรปิดกัน ภาพที่เห็นคือ กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คน ใส่ชุดของคนทำงานในโรงพยาบาล ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แล้วเข็นศพน้องเนออกทางประตูที่รับศพด้านหลัง จากนั้นก็นำศพของน้องเนใส่ท้ายรถแล้วขับออกไป เมื่อทุกคนไล่ตามไป ก็ไปเจอรถของเด็กวัยรุ่น 5 คนจอดอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง ขณะที่ตำรวจและพยาบาลกำลังขึ้นไปที่อาคารร้างแห่งนี้ ได้มองไปที่อาคารร้าง และเห็นเป็นกองไฟกำลังเผาไหม้ จึงรีบเข้าไปในอาคาร พร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง เมื่อไปถึงก็พบว่า ศพน้องเนกำลังถูกเผาจนเกรียมและไหม้หมด! ตำรวจจึงสงสัยว่าคนทำหายไปไหน เพราะรถที่ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม ตำรวจจึงพยายามตามหา ผลปรากฏว่า วัยรุ่นทั้ง 5 คนที่นำศพน้องเนมาเผานั้นไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ เพราะเสียชีวิตทั้งหมด! บางศพตกบันไดคอหักตาย บางศพถูกแทง ทำให้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากสาเหตุอะไร ตัดกลับมาที่ศพของน้องเน ศพของน้องถูกไหม้เกรียมไม่ได้สวยเหมือนเดิม แล้วก็ถูกนำกลับมาที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลกลัวว่าญาติของน้องเนจะมาเอาเรื่อง จึงตัดสินใจแจ้งกับญาติว่าศพของน้องเนนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ โรงพยาบาลจะนำศพไปเผาแล้วนำเถ้ากระดูกมาให้ และเรื่องราวของน้องเนก็จบลงตรงนี้ แต่เมื่อนำศพน้องเนออกจากเตียงนี้ ก็เท่ากลับว่าตอนนี้เตียงนี้เป็นเตียงเปล่า ที่จะถูกเวียนใช้ต่อในโรงพยาบาล โดยเตียงนี้ได้ถูกดึงไปใช้ในส่วนของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เมื่ออเนกได้ฟังเรื่องราวนี้จากพี่ยับ ก็รู็สึกไม่สบายใจเพราะตัวของอเนกเองได้เผลอนอนไปแล้ว พี่ยับจึงบอกว่าให้ทำใจเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อเนกเองจึงตัดสินใจว่า จะตื่นเช้ามาทำบุญทุกวัน เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับน้องเน แล้วกลับมาบอกพี่ยับว่า “ผมทำบุญแล้ว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น” แต่ในขณะที่อเนกกำลังเดินออกจากห้องเก็บศพ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะตามหลังจึงคิดในใจว่า ตัวอเนกเองนั้นจะรอดหรือไม่ เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน อเนกรู้สึกว่าเลขที่เตียงของน้องเนน่าเอามาลุ้นโชค ปรากฏว่าอเนกถูกรางวัลจึงนำเงินบางส่วนไปทำบุญให้น้องเน และยังไม่ลืมที่จะนึกถึงพี่ยับคนที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง จึงตั้งใจจะไปเลี้ยงพี่ยับด้วย พอไปเรียกพี่ยับที่หน้าห้องพักพนักงานก็ไม่มีเสียงตอบรับ อเนกจึงลองเปิดประตูเข้าไปเห็นพี่ยับนั่งอยู่กลางห้อง อเนกซึ่งไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงรีบเอาอาหารไปจัดวางและกินกับพี่ยับอย่างสนุกสนาน เมื่อมีอาการกรึ่ม ๆ ทั้งสองได้มีการพูดคุยกันมากขึ้น จู่ ๆ พี่ยับก็เริ่มดึงดราม่าด้วยการบอกว่า "อเนกพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม" อเนกจึงตอบว่า "ถ้าไม่ได้ให้ไปตาย ผมทำได้ทุกอย่างเลยพี่" พี่ยับจึงพูดกับอเนกว่า "หากวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม" อเนกมีอาการงงและสงสัย ระหว่างนั้นพี่ยับจึงยื่นกำไลข้อเท้าของเด็กพร้อมกับผ้าชิ้นหนึ่งที่เหมือนชุดผู้ป่วย อเนกจึงถามว่าของใคร พี่ยับบอกว่าเป็นของน้องเนทั้งกำไลและชุด อเนกจึงตอบตกลงแบบปัด ๆ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร หลังจากนั้น 2 - 3 วัน เสกเพื่อนรักของอเนกรู้ว่าอเนกถูกรางวัลที่ได้เลขมาจากเตียงน้องเน จึงขอให้อเนกเลี้ยงแต่อเนกบอกว่า เงินนั้นเหลือน้อยแล้วเพราะนำไปเลี้ยงพี่ยับแล้ว ตัวเสกจึงเงียบไปและถามว่า “เลี้ยงพี่ยับไปวันไหน” อเนกตอบกลับไป “ว่าประมาณ 2 - 3 วันที่แล้ว” เสกถามกลับอีกว่า “ล้อกันเล่นรึเปล่า เพราะพี่ยับตายไปเป็นอาทิตย์แล้ว” เสกอธิบายเพิ่มว่าเพราะตัวเสกเป็นคนเข็นศพพี่ยับออกมาจากรถพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในขณะที่กำลังเข็นเตียงพี่ยับ พี่ยับกลับยิ้มและดูไม่มีสติทั้งที่คนโดนรถชนจะต้องมีบาดแผลตามร่างกายและรู้สึกเจ็บปวด แต่การช่วยพี่ยับไม่เป็นผล พี่ยับเสียชีวิต ส่วนกำไลและผ้าที่พี่ยับฝากไว้กับอเนก อเนกก็ขอให้เสกช่วยนำไปคืนด้วยกัน แต่เสกไม่ว่างที่จะไปด้วย อเนกจึงตัดสินใจนำของไปที่ห้องพี่ยับ โดยนำกำไลไปวางที่หัวเตียงของพี่ยับแล้วพูดว่า "ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมขอเอามาคืนแล้วกัน" ระหว่างที่อเนกกำลังออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า "มึงสัญญากับกูแล้ว ทำไมมึงไม่ทำ" หลังจากนั้น อเนกก็ช็อกแล้วหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ยับชะโงกหน้ามองตัวเองและบอกว่า "มึงสัญญาแล้ว มึงต้องช่วยปลดปล่อยเค้า" ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่เท้าพร้อมกลิ่นไหม้ เมื่อมองลงไปก็เห็นศพน้องเนกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัว และพูดว่า “แกต้องช่วยฉัน แกต้องปล่อยฉัน หวยก็ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนศพอื่น ๆ!” อเนกที่นึกอะไรไม่ออกจึงนึกถึงพระคุณพ่อแม่ และตะโกนว่า "แม่ช่วยด้วย" หลังจากนั้นน้องเนก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับได้ยินเสียงแผ่เมตตาของแม่ เมื่อน้องเนถอยไปแล้วแต่ก็ยังพูดอยู่ว่าให้ช่วย เมื่ออเนกฟื้น เสกก็เล่าว่ามีคนเจออเนกสลบอยู่ที่ตึกพนักงาน พยาบาลจึงนำของที่ติดตัวอเนกมาคืนนั่นก็คือกำไลและผ้า อเนกจึงตัดสินใจเก็บไว้กับตัวเพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่ก็ได้คำแนะนำว่าให้นำไปหล่อพระพุทธรูป เพราะถ้าเอาไปไว้กับคนไม่ดี วิญญาณของน้องเนก็จะไม่ถูกปลดปล่อย หลังจากนั้นอเนกก็ได้ยินว่าก่อนที่พี่ยับจะเสียชีวิต พี่ยับเดินยิ้มแล้วพูดว่า "ลูก พ่อขอโทษ" แล้วเดินข้ามถนนไปด้วยจึงถูกรถชน ทุกคนสืบสาวราวเรื่องจนไปรู้ว่าในวันที่เผาศพน้องเน คนที่มารับเถ้ากระดูกคือภรรยาเก่าพี่ยับและน้องเนก็คือลูกพี่ยับ และในคืนก่อนที่พี่ยับเมาทุกคนก็สงสัยว่าไปทำอะไรศพน้องเนหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

16 มิ.ย. 2023

ขาไปเบาะยังว่าง พอลืมตาขึ้นมาดันเจอลุงแปลกหน้านั่งอยู่ข้าง ๆ ซะได้! แถมลุงยังบอกอีกว่า “เห็นใช่มั้ย ถ้าเห็นจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็วาร์ปไปเหตุการณ์ที่รถตู้เกิดอุบัติเหตุ รู้ตัวอีกทีก็มีแหวนปริศนาอยู่ในมือแล้ว

‘อังคารคลุมโปง X’ (13 มิถุนายน 2566) ได้แขกรับเชิญสุดพิเศษที่เล่าเรื่องหลอนได้ถึงพริกถึงขิงอย่าง ‘คุณตั้น The Shock’ พร้อมกับเรื่องที่ชวนขนหัวลุกของรถตู้ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ คิ้วขมวดตลอดทั้งเรื่อง! แต่จะหลอนชวนปริศนาแค่ไหน แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณเอ’ (นามสมมุติ) ปัจจุบันเป็นสต๊าฟงานอีเวนต์จึงได้รู้จักกับคุณตั้น แล้ววันนั้นก็ต้องนั่งรถตู้ไปพร้อมกับคุณตั้นพอดี คุณตั้นจึงบอกคุณเอไปว่า “เอนั่งข้างหน้าต่างแล้วกัน พี่รู้ว่าเอชอบนั่งริมหน้าต่าง แล้วพี่จะนั่งเบาะกลางเอง” แต่คุณเอกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เอาพี่ เราเว้นที่นั่งเบาะกลางไว้ดีกว่า ผมจะนั่งริมหน้าต่าง ส่วนพี่นั่งริมประตูละกัน” ด้วยความสงสัยคุณตั้นก็ถามไปว่า “ทำไมล่ะ?” คุณเอก็บอกว่า “เดี๋ยวขึ้นรถแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง” หลังจากนั้น คุณเอก็เริ่มเล่า..ย้อนกลับไปตอนที่คุณเอยังเป็นนักดนตรีแบคอัพ มีงานเดินสายเล่นดนตรีแทบทุกคืน คืนหนึ่ง คุณเอต้องเดินทางไปเล่นดนตรีที่ภาคอีสาน โดยการนั่งรถตู้ไปพร้อมกับนักดนตรีแบคอัพวงเดียวกัน แต่รถตู้ของน้าคนขับคู่ใจดันเสีย จึงต้องใช้รถตู้คันอื่นโดยสารไปแทน เมื่อรถมาถึง นักดนตรีก็แยกย้ายกันขึ้นไปนั่ง แบ่งเป็นแถวละ 1 คน ส่วนเบาะที่ยังว่างก็ใช้วางอุปกรณ์ดนตรีแทน คุณเอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแถวหลังคนขับ เมื่อจัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย รถตู้ก็ออกเดินทางตามกำหนดเดินทางออกไปได้สักพัก คุณเอก็เริ่มเคลิ้มหลับ แต่เพราะนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้หัวมักจะชนกับหน้าต่างบ่อย ๆ และจะรู้สึกตัวเป็นพัก ๆ กระทั่งเวลา 2 ทุ่ม หัวคุณเอชนเข้ากับหน้าต่างจนสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ข้างทางเป็นต้นไม้ มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนเป็นระยะ คุณเอเหลือบหางตาไปทางด้านขวามือ เห็นเป็นหน้าผู้ชายในกระจก! คุณเอตกใจสะดุ้งแล้วขยี้ตา มองไปอีกที สิ่งนั้นก็หายไป! คุณเอคิดว่าคงเป็นเงาของตัวเอง ไม่ก็คิดมากไปเองเพราะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ จึงไม่ได้คิดอะไรมากและกำลังจะหลับต่อ สักพักก็มีเสียงดังก้องในหูว่า “ตื่น.. มีของจะฝาก” คุณเอลืมตาขึ้นมาและมองไปที่กระจกอีกครั้ง ก็เห็นเป็นหน้าผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนอยู่ คุณเอพยายามตั้งสติและมองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เป็นเพื่อนจากข้างหลังที่ย้ายมานั่งข้าง ๆ กันหรือเปล่า ระหว่างที่คิดนั้น คุณเอก็พยายามหลบสายตาผู้ชายในกระจก แล้วเบี่ยงหน้าทางซ้าย ปรากฏว่าสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เบาะกลางด้านซ้ายมือของคุณเอ มีผู้ชายแปลกหน้านั่งอยู่!คุณเอคิดในใจว่า “มึงใครวะ” หลังจากสติเริ่มเข้าที่ ก็เริ่มประมวลภาพข้างหน้า ลุงคนนี้ใส่เสื้อลายสก็อต มีย่ามสะพายคาด นั่งมองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “เห็นใช่มั้ย?” คุณเอและคิดในใจว่า “ก็คนน่ะ ก็เห็นสิ” แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป ลุงคนนั้นถามอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นว่า “เห็นใช่มั้ย?” จากนั้นก็หันหน้ามา ทำให้เห็นว่าหน้าอีกฝั่งเละไปทั้งแถบ! ตอนนั้นคุณเอคิดว่าต้องตะโกนแล้ว แต่พอกำลังจะอ้าปาก มือของลุงคนนั้นก็มาตบที่ต้นขาของคุณเอดังป๊าบ! แล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องกลัว” คุณเอสับสนในหัว ไม่รู้จะทำยังไงต่อ และคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือหลับดีกว่า! หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมานั่งตรงเพื่อที่จะหลับต่อ แต่ความรู้สึกที่ต้นขายังสัมผัสได้ว่ามือของลุงคนนั้นยังจับอยู่ที่ขา จากนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็น จะเล่าให้ฟัง..”เวลาผ่านไปสักพัก คุณเอไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่ต้นขาแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไร จึงลืมตาขึ้น แต่ก็พบว่าสภาพแวดล้อมในรถมันไม่เหมือนเดิม! รอบข้างกลายเป็นเวลากลางวัน คนขับรถตู้ก็ไม่ใช่คนเดิม คนในรถก็ไม่ใช่เพื่อน ทางด้านซ้ายกลายเป็นลุงคนนั้นนั่งอยู่ตรงเบาะกลาง ถัดไปเป็นผู้หญิง และที่นั่งในรถตู้คันนี้ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสารเต็มคัน คล้ายกับรถตู้คันนี้เป็นรถตู้โดยสารข้ามจังหวัด! คุณเอมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามมองว่าลุงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจะสื่อสารอะไรกับคุณเอกันแน่ ภาพที่เห็นคือ คุณลุงหยิบรูปถ่ายออกมาจากย่าม เป็นรูปถ่ายผู้หญิงใส่ชุดรับปริญญา คุณลุงอมยิ้มให้กับรูปถ่าย แล้วก็หยิบแหวนขึ้นมา คุณเอยังไม่เข้าใจความหมายของภาพตรงหน้า สักพักก็มีเสียง “เอี๊ยดดดดดด!” จากนั้นก็รู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในรถที่เสียการทรงตัว “โคร้มมม!” รถตู้หยุดแน่นิ่ง ภาพตัดมาที่คุณเอกำลังยืนมองดูรถตู้คันนั้นอยู่ข้างทาง เสียงร้องโอดครวญจากคนในรถ และมีหลายคนพยายามตะเกียกตะกายออกมา คุณเอคิดในใจว่าอยากจะเข้าไปช่วย แต่กลายเป็นว่าคุณเอจับแขนใครไม่ได้เลย เหมือนกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า มีลุงคนนึงที่นั่งมาด้วยกัน ตอนนี้ลุงคนนั้นอยู่ไหน คุณเอขึ้นไปยืนบนรถตู้ที่นอนตะแคงอยู่แล้วมองผ่านกระจกรถที่แตก ก็เห็นว่าคุณลุงยังอยู่ตรงนั้น เศษกระจกบาดใบหน้าจนเละ และมีเสียงหายใจบวกกับกระอักเลือดอยู่ แทนที่คุณลุงจะตะเกียกตะกายเพื่อออกจากรถ กลายเป็นคุณลุงยื่นมือส่งแหวนให้คุณเอกำไว้ในมือ! หลังจากนั้นก็เหมือนอาการวาร์ป คุณเอรู้สึกตัวอีกทีบนรถตู้คันเดิมที่นั่งมา คุณเอหันไปมองข้าง ๆ ก็ไม่เจอคุณลุงคนนั้นแล้ว เมื่อพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ พอคลายมือก็พบว่ามันคือแหวน! คุณเอทั้งตกใจทั้งมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงร้านที่จะต้องไปเล่นดนตรีแล้ว จึงเก็บแหวนใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปทำงาน จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเล่นดนตรี ทุกคนก็กำลังสนุกสนานไปกับบรรยากาศในร้าน มีแว๊บนึงที่คุณเอนึกขึ้นได้ว่า “แหวนยังอยู่มั้ยวะ?” แล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกงเพื่อเช็คแหวน จังหวะนั้นก็เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าเวทีกำลังสนุกสนาน คุณเอรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก หรือเธอจะสวยจนเตะตา แต่ก็ไม่ใช่สเปกขนาดนั้น คุณเอรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนสักที่ หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีต่อจนจบ เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ ได้ วงของคุณเอไม่ได้มีงานต่อ ที่ร้านจึงจองโต๊ะไว้ให้นั่งสังสรรค์ต่อ ระหว่างนั้นเรื่องแหวนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังติดอยู่ในใจคุณเออยู่ กระทั่งคนในวงเอ่ยทัก เพราะคุณเอดูไม่ร่าเริง แต่คุณเอก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น จึงคิดในใจว่า “หรือผู้หญิงคนนี้ จะเป็นคนที่อยู่ในรูป” และคิดว่าจะเอาแหวนไปให้เธอดู อาจจะคลายปมปริศนาที่สงสัยอยู่ก็เป็นได้จากนั้น คุณเอก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในวงที่ส่งเสียงแซวตามหลัง เมื่อมาถึงที่โต๊ะ คุณเอก็ถามผู้หญิงคนนั้นว่า “น้องครับ พี่ขอเวลาสักครู่ได้มั้ย?” ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกจริงจัง จากนั้นก็หยิบแหวนขึ้นมา แล้วพูดว่า “น้องเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย?” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ แล้วก็วิ่งออกจากร้านไป! เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะก็เริ่มโวยวาย คิดว่าคุณเอเป็นคนไม่ดี แต่คุณเอก็รีบปฏิเสธว่าตนยังไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็วิ่งตามออกไป พอออกไปข้างนอกก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อยู่ตรงทางเท้า เพื่อนก็เข้าไปปลอบ เธอร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ หลังจากเธอเริ่มได้สติ คุณเอก็เริ่มเข้าไปคุยด้วยว่า “น้อง.. มันเกิดเรื่องอะไรกับพี่ไม่รู้ แต่มันมีแหวนวงนี้มาอยู่ที่พี่ น้องรู้มั้ยว่ามันคืออะไร?” จากนั้นเธอก็เริ่มตั้งสติ และบอกว่า “แหวนวงนี้ เป็นของพ่อหนู คือตอนนั้นหนูเรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ถ่ายรูปใส่ชุดรับปริญญาส่งไปให้พ่อดู พ่อหนูไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินให้หนูเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด แล้วพ่อก็บอกว่าพ่อจะกลับไปงานรับปริญญา แล้วก็จะมีของขวัญไปให้ด้วย” แล้วเธอก็เปิดรูปที่พ่อส่งมาให้ในไลน์ เห็นเป็นคุณพ่อถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับแหวนส่งมาให้ แต่ระหว่างที่คุณพ่อเดินทางกลับ รถตู้ที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ค้นหาแหวนยังไงก็ไม่เจอ นั่นทำให้คุณเอพอจะเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น จากนั้นก็มอบแหวนคืนน้องผู้หญิงไปแต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจคือ “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วยวะ?” คุณเอจึงไปหาน้าคนขับรถตู้เพื่อถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่น้าคนขับรถก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะรถตู้คันนี้ก็เช่ามาอีกทีเหมือนกัน จึงโทรกลับไปหาเจ้าของรถตู้ ได้เรื่องว่ารถตู้คันนี้พึ่งซ่อมเสร็จ กำลังใหม่เอี่ยม แถมยังให้เช่าราคาถูกอีกด้วย นั่นจึงทำให้รู้ว่ารถตู้คันนี้คือต้นเรื่องราวทั้งหมด เป็นรถคันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง!สุดท้ายแล้วคุณตั้นได้มานั่งวิเคราะห์กับคุณเอว่า หรือจริง ๆ แล้ว แหวนวงนี้ มันอยู่ในรถตั้งแต่แรก แต่ไม่มีใครหาเจอ แล้วคุณเออาจจะไปสัมผัสโดนแหวน ทำให้คุณพ่อสามารถสื่อสารกับคุณเอได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเอมีความคิดว่า ถ้ารักใคร จะไม่ให้คนนั้นนั่งเบาะกลาง.. แล้วคุณล่ะ ชอบนั่งตรงไหน แต่เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งด้วยนะ ด้วยความหวังดีจาก อังคารคลุมโปง X(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1