เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

11 พ.ค. 2024

           เรื่องราวนี้ ‘คุณหมิง’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกัน!

           โดยคุณหมิงเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยที่คุณหมิงยังเรียนอยู่ปี 1 คณะที่คุณหมิงกำลังศึกษาอยู่นั้น ได้เปิดสอนรายวิชาอนาโตมีหรือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะต้องเอาความรู้ทั้งหมดไปสอบ ‘แล็บกริ๊ง’ หรือการสอบดูชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลำไส้ และกระดูก โดยต้องแข่งกับเวลาที่จำกัด

           คุณหมิงจึงตัดสินใจอยู่ที่ห้องเรียนจนดึก เพื่อต้องการศึกษาด้วยตนเองนอกรอบ ภายในห้องเรียนนั้น จะพบกับร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งอาจารย์ใหญ่บางท่านที่ผ่านการดองมานาน หรือผ่านมือลูกศิษย์มาหลายคน ยิ่งเวลานานเข้า สภาพศพก็ยิ่งเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา อาจารย์ใหญ่บางท่านก็อาจจะถูกตัดชิ้นเนื้อบางส่วนออกไป หรือมีการเลาะเส้นเลือดออก เพื่อศึกษาอวัยวะ

           คุณหมิงใช้เวลาในห้องเรียนนี้มาถึงช่วงตีหนึ่งกว่า ความมืดทำให้การมองเห็นยากขึ้น คุณหมิงต้องใช้ความพยายามที่จะเพ่งดูเส้นเลือดขนาดเล็ก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกดดันและความเครียด คุณหมิงจึงเริ่มสติหลุด ด้วยความเหนื่อยจึงบ่นกับตัวเองว่า

           “โอ้ย ! อะไรเนี่ย… จะจำได้ไหม สอบไม่ได้แน่เลย”

           และยังปากพล่อยออกไปอีกว่า “ท่านคะ มาสอนหนูหน่อย หนูจำอะไรไม่ได้”

           ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี คุณหมิงไม่สามารถใช้โทรศัพท์บันทึกภาพหรือวิดีโอได้ คุณหมิงทำได้เพียงจดจำทุกอย่างเท่าที่จะจำได้

           จากนั้นไม่นาน คุณหมิงก็ตัดสินใจกลับหอพัก หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ คุณหมิงก็พร้อมนอน ระหว่างที่กำลังจะหลับสนิท คุณหมิงก็เห็นภาพในห้วงนิมิต เป็นภาพคล้ายร่างของอาจารย์ใหญ่ มายืนจ้องเขม็งสายตามองตรงมาที่คุณหมิง โดยร่างมีสภาพเปลือยเปล่าเหมือนศพ สักพักภาพก็ค่อย ๆ ใกล้ขึ้น เป็นภาพกล้ามเนื้อตรงหน้าอก ซึ่งอาจารย์ใหญ่ท่านก็กำลังยืนฉีกและแหวกหน้าอกของตนโชว์ต่อหน้าคุณหมิง! ท่านค่อย ๆ ฉีก ค่อย ๆ แหวก ทำให้หนังด้านนอกหลุดออก จนสามารถเห็นกล้ามเนื้อด้านในชัดเจนมากขึ้น ซึ่งภาพตรงเข้ามาหาคุณหมิงเรื่อย ๆ!

           ความรู้สึกของคุณหมิงตอนนั้น คือ ช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ตกใจสุดขีด แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก กลัวจนตัวสั่น คุณหมิงจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง ลงมานั่งยกมือไหว้ พูดขอขมาซ้ำไปซ้ำมาว่า

           “หนูขอโทษ ไม่ต้องมาสอนหนูแล้ว หนูรับไม่ไหว… หนูขอโทษค่ะ”

           หลังจากนั้นไม่นานภาพก็หายไป แล้วคุณหมิงก็ไม่เห็นภาพอาจารย์ใหญ่อีกเลย ซึ่งพอคุณหมิงดึงสติกลับมาได้ จึงมานั่งคิดว่า “ถ้าหากตนทนต่อตอนนั้น มีหวังอาจารย์ใหญ่ก็คงจะสอนต่อจนหมดทั้งร่างแน่นอน”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

16 มี.ค. 2024

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘อ.บาส 7th Sense’ ที่ได้นำเรื่องมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตหลังความตายที่้เกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย อ.บาส ได้เล่าย้อนไปเมื่อช่วงที่ตนอายุประมาณหนึ่งขวบกว่า ตอนนั้นคุณย่าเสีย ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่มีเวลาดูแล จึงพาไปฝากไว้สถานรับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากนมที่นั่นอาจจะไม่สะอาด หลังจากที่พ่อแม่กลับมาจากงานศพย่า เห็นว่าลูกเงียบไปรวมทั้งมีอาการช็อกจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล ระหว่างทางแม่ก็สันนิษฐานว่าน่าจะไม่อยู่แล้ว พอถึงโรงพยาบาลหมอก็ได้ทำการเอาน้ำเกลือเจาะเข้าที่หัวและเท้า ผ่านไปสักพัก หัวใจก็กลับมาเต้นปกติ อ.บาส ได้เล่าอีกว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ ตนชอบทำบุญ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนโกรธง่าย พอมีปัญหาก็จะชอบทำสมาธิ พอช่วงอายุประมาณ 25 ปี เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มทำงานเกี่ยวกับ IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังสร้างตัว ตนจึงทำงานหักโหมมากตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ทำให้ อ.บาส ห่างหายไปจากการทำบุญ และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตหนักมาก วันหนึ่ง ตนรู้สึกว่าไม่มีเอเนอร์จีและเจ็บที่หน้าอก แต่ก็ยังไปทำงานใช้ชีวิตปกติ ผ่านไปหลายวันก็รู้สึกว่ามันเจ็บมากขึ้น มีไข้และเริ่มไปทำงานไม่ไหว จึงไปหาหมอแต่ก็ตรวจไม่เจออะไร หมอบอกแค่ว่าพักผ่อนน้อย หลายวันผ่านไป อ.บาส รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวและมีไข้สูงประมาณ 39-40 องศา จะเรียกรถพยาบาลแต่ก็ไม่มีแรงแม้กระทั่งลืมตา และเริ่มคิดว่า “คนจะตายความรู้สึกเป็นแบบนี้หรอ” หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนลูกตามันกลับเข้าไปแล้วมันก็มืดไปหมดและรู้สึกว่า ตนยืนอยู่ข้างเตียงและเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ก็ตกใจ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จึงเริ่มเข้าใกล้ตัวเองที่นอนอยู่ แต่ก็ไปไม่ได้และคิดว่าจะทำอย่างไรให้พ่อกับแม่รู้ ผ่านไปสักพัก ก็มีอาการเจ็บปอดขึ้นมาและรู้สึกว่าตนเองถูกดูดไป เห็นบ้านพ่อกับแม่ และเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตนทำ หลังจากนั้น ก็รู้สึกว่าเจ็บปอดและก็โดนดูดมาที่บ้านเกิดในจ.อยุธยา ตรงสวนมะม่วงและได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ หลังจากนั้น หน้าของผู้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนจากหน้าผู้ชายกลายเป็นหมาแต่ร่างกายยังเป็นคนปกติ อ.บาสจำแววตาได้ว่านี่คือ ดำ หมาที่ตนเคยเลี้ยงสมัยประถม ดำเป็นหมาที่ตนรักมาก แต่ดำโดนยิงตายเพราะไปกัดคนอื่น หลังจากที่อ.บาสรู้ว่านี่คือดำ ในใจก็คิดว่า “ตกลงเราตายหรือยัง” หลังจากสิ้นสุดความคิดก็ได้ยินเสียงออกมาจากผู้ชายคนนั้นว่า “ให้แรงบุญ แรงกรรมพาไป และมีอะไรให้ พุท โธ ไว้นะ” หลังจากนั้นก็เกิดอาการเจ็บปอดและถูกดูดมาอีกที่หนึ่ง ที่นี่มืดมีแสงเพียงเล็กน้อยและร้อนเหมือนอยู่ในเตา สิ่งที่เห็นคือเหมือนเป็นกรงไม้ไผ่สูงยาวเป็นแถว ส่วนชั้นล่างเป็นเหมือนริมน้ำ มีคนและสัตว์อยู่ข้างในเหมือนกำลังเอาตัวรอด หลังจากนั้น อ.บาสได้เห็นห้องหนึ่ง ตนจึงคิดกับตัวเองในใจว่า “เราต้องไปอยู่ในห้องนั้นแน่เลย” แต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ และอยู่ ๆ ก็มีภาพย้อนเข้ามาในหัวว่า ตอนที่อ.บาสอยู่บ้านหลังเก่าได้เจอกับลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ตนนั้นจับมันขึ้นมาแล้วบีบ แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันตายหรือเปล่าจึงโยนลงไปในบ่อน้ำ นั่นทำให้คิดได้ว่าคงต้องอยู่ที่นี่เพื่อรับกรรม และก็นึกขึ้นมาได้ว่า ดำ เคยบอกไว้ว่า “มีอะไรให้ พุธ โธ” จึงท่อง พุธ โธ หลังจากพูดได้ 2-3 ครั้ง ก็รู้สึกถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่เป็นที่ที่สว่างมาก เป็นสนามหญ้ายาว ด้านข้างของสนามหญ้ามีโต๊ะอาหารยาว แต่ละโต๊ะมีทั้งคนแก่และเด็กยิ้มแย้มแจ่มใส อ.บาสมีความรู้สึกว่า “อยากอยู่ที่นี่จังเลย อาหารน่ากิน” จึงเดินเข้าไปหาคุณยาย คุณยายได้บอกว่า “กินสิ กินแล้วก็อยู่ที่นี่เลย ที่นี่สบาย” หลังจากนั้นก็รู้สึกอบอุ่นและได้หยิบอาหารขึ้นมา แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากกิน รู้สึกหิวน้ำมากกว่า หลังจากนั้นจิตของ อ.บาส ก็ถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่มีพราหมณ์ มีกระดานชนวนและมีคนนั่งเรียนเหมือนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ หลังจากนั้นพราหมณ์คนหนึ่งก็หันมาหา อ.บาส และเอาเงินให้ 600 บาท แล้วก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ใส่ในกระดานชนวน เขาบอกว่า “จำไว้ เอาเงินไปใช้แล้วก็กลับไปก่อนยังไม่ถึงเวลา” หลังจากนั้นไม่นาน อ.บาส บอกว่าถูกดูดกลับมา เจ็บหน้าอกเหมือนเดิมแล้วลืมตาขึ้นมาและรู้สึกว่ามีแรงขึ้น จึงลองโทรไปเบอร์ที่พราหมณ์เขียนไว้ให้ พอปลายสายรับ อ.บาส ก็ได้ถามว่า “ที่นั่นที่ไหน” ปลายสายตอบว่า “โรงพยาบาล…ค่ะ” “ช่วยส่งรถมารับหน่อยครับ ผมไม่ไหวแล้ว ผมหายใจไม่ออก” อ.บาสรีบบอก “ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ… ขอแจ้งนิดนึงนะคะ ที่นี่ถ้าจะส่งรถพยาบาลไปรับคนต้องมีค่าบริการนะคะ” ปลายสายรีบบอกเงื่อนไข “เท่าไหร่ครับว่ามาเลย” “600 บาท ค่ะ” ทันทีปลายสายบอกราคา อ.บาสก็นึกขึ้นมาได้ว่าพราหมณ์คนนั้นให้เงินมาด้วย 600 บาท จึงลองเปิดดูในกระเป๋าสตางค์ปรากฏว่ามีเงินอยู่ในนั้น 600 บาท เป็นแบงก์ร้อยทั้งหมด อ.บาสบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เพราะตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในกระเป๋านั้นมีเงินอยู่แล้วหรือไม่ หลังจากนั้นรถโรงพยาบาลก็มารับที่หอพัก หลังจากนั้น อ.บาส นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 9 วัน เพราะหมอบอกว่าปอดติดเชื้อ ช่วงที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีความรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ร่างกายค่อย ๆ ดีขึ้น หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาดูดวงเพราะอยากรวย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยป่วยโรคร้ายอะไรอีกเลย อ.บาสเองบอกว่าตอนที่วูบไปรู้สึกว่านานมากเหมือนเป็นวัน แต่จริง ๆ แล้วมันแค่ครู่เดียว มันอาจจะแค่ฝันไปก็ได้ แต่มันก็มีเหตุผลของมัน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

29 ก.ย. 2023

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

เมื่อตัดสินใจเช่าบ้านใจกลางเมืองในราคาถูก แถมยังได้รับคำเตือนชวนหลอนจากยายเจ้าของบ้านอีก งานนี้จะเจออะไรในบ้านหลังนี้บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ก.ย. 2566) จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวที่คุณอ๊อฟไปประสบพบเจอเป็นมาจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของญาติคุณอ๊อฟ เริ่มจากเขาอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีพี่สาว3 คน พี่สาวต่างก็มีแฟนกันหมด จึงคิดว่าจะแยกตัวออกมาเช่าบ้านด้วยกัน และก็มีคนแนะนำบ้านมาให้ลองไปติดต่อดู เหล่าพี่น้องจึงไปดูบ้านตามคำแนะนำ บ้านที่ไปดูคือบ้านไม้ใหญ่สองชั้น มองไปก็เห็นว่ามีคุณยายกวาดพื้นอยู่ข้างล่าง หนึ่งในพี่สาวของคุณอ๊อฟจึงเดินไปถามว่า “ขอโทษนะคะ จะมาเช่าบ้าน” จากนั้นก็ได้รายละเอียดค่าเช่าบ้านจากคุณยาย เช่าเพียงเดือนละ 1,000 บาท มัดจำอีก 3,000 บาท ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจตกลงเช่าบ้านตอนนั้นทันที จากนั้นคุณยายก็พูดกลับมาว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” แต่ทุกคนก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งวันที่ต้องย้ายเข้าไป คุณยายก็ให้กุญแจมาพร้อมกับบอกว่า “ห้องในสุด ที่ล็อคกุญแจไว้ เป็นห้องของเจ้าของบ้าน ห้ามไปเปิด ห้ามไปยุ่งกับมัน” ซึ่งทุกคนก็คิดว่าในเมื่อเช่าทั้งหลังแล้วมันก็ต้องเป็นของเราทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และคิดต่อว่าคงเป็นที่เก็บของ บ้านหลังนี้อาจจะมีเจ้าของที่ไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นทุกคนก็ย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ ซึ่งจะแบ่งห้องเป็นพี่สาวทั้งสามและแฟนอยู่ชั้นบน ญาติคนอื่นและคุณอ๊อฟจะนอนชั้นล่าง หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณอ๊อฟเริ่มรู้สึกว่า มีเงาสีขาว ๆ เหมือนกลุ่มควัน แอบมองคุณอ๊อฟอยู่ตลอด แต่พอหันไปก็ไม่มีอะไร แต่พออยู่ไปนาน ๆ คุณอ๊อฟก็รู้สึกว่า ‘บ้านหลังนี้ต้องมีอะไรแน่นอน’ จึงไปบอกพี่คนโต แต่พี่คนโตก็บอกว่าคิดมากไปเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกคนไปต่างจังหวัดกันหมด เหลือแค่แฟนของพี่คนโตอยู่คนเดียว ซึ่งห้องของเขาจะอยู่ตรงข้ามกับห้องที่ล็อคกุญแจ พอตกดึกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนเป็นเสียงเคาะฝาบ้านรอบ ๆ ข้างนอก แต่ก็คิดว่าคงเป็นกิ่งไม้ พอนอนไปสักพัก ก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อออกมาก พอมองไปที่พัดลมปลายเท้าก็รู้สึกว่ามีหมอกกลุ่มควันดำ ๆ เขาคิดว่าพัดลมไหม้ จึงลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าทุกอย่างยังปกติเหมือนเดิม และกลุ่มควันนั้นได้หายไปแล้ว จึงตัดสินใจหลับต่อ แต่รอบนี้เสียงมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเสียงรอบนอกและตัวพัดลมก็มีเสียง แป๊ก! เหมือนเป็นเสียงกดพัดลม ตอนนั้นก็คิดว่าเขาอยู่คนเดียว ถ้าเขาไม่กดแล้วใครจะกด จึงคิดว่าเป็นขโมย เขาจึงลุกขึ้นมา แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาช็อกมาก! เพราะมันคือเงาสีขาว ๆ เป็นกลุ่มควัน นั่งเอามือจิ้มปุ่มพัดลมอยู่ ดัง แป๊ก แป๊ก แป๊ก เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไปหน้าปากซอยเพราะเป็นจุดที่สว่างที่สุด จนถึงเวลาตี 4 จึงกลับไปที่บ้าน หลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ อยู่ดี ๆ ก็เกิดลมพัดแบบแปลก ๆ และมีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นเหมือนเสียงของเล็บขูดผนังไม้ ทุกคนก็คิดว่าเป็นกิ่งไม้ แต่น้องของคุณอ๊อฟพูดขึ้นมาว่า “กิ่งไม้บ้าอะไรล่ะ ต้นไม้บ้านเรายังไม่มีเลยซักต้น” เมื่อทุกคนคิดได้ดังนั้น ก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี จึงตัดสินใจแยกกันไปนอนชั้นบนกับพี่ ๆ ตัวคุณอ๊อฟได้ไปนอนกับพี่คนโต ซึ่งก่อนที่คุณอ๊อฟจะเข้าห้องไป ได้เห็นห้องตรงข้ามที่ล็อคกุญแจอยู่ แต่ว่าในตอนนั้น กุญแจมันได้หายไป! แต่คุณอ๊อฟก็ไม่ได้คิดอะไรจึงเข้าห้องของพี่สาวคนโตไป แล้วคุยกับพี่สาวว่า “มันไม่มีกุญแจแล้วนะ ใครเปิดห้องหรือเปล่า เดี๋ยวคุณยายก็ว่าเอา” พี่สาวจึงตอบกลับมาว่า “มันไม่มีใครเปิด ใครจะเปิดไม่มีลูกกุญแจ” แต่ตัวของแฟนพี่สาวพูดออกมาว่า “ไม่มีลูกได้ไง วันนั้นผมยังเห็นคุณเปิดอยู่เลย!” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงพากันออกไปดูที่ประตู คนที่อยู่ห้องอื่น ๆ ก็พากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือตัวแม่กุญแจ ดังแกร๊กขึ้นมา ซึ่งมันปลดล็อคเอง! ทุกคนอึ้งแต่ก็คิดว่า มันคงเก่าสลักเลยปลดเอง แล้วตัวของแฟนพี่สาวคนโตก็เป็นคนเปิดประตูเข้าไป ข้างในที่เห็นคือเป็นห้องไม้ มีหยากไย่ มีฝุ่นเยอะ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นเล็กน้อย มีผ้าคลุมกล่องปริศนา และผนังจะมีรูปอยู่ 3 ใบ แต่ฝุ่นเยอะมากจนทำให้ไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไร ด้วยความสงสัยทำให้เขาไม่ฟังคำเตือนของทุกคนว่าอย่าไปยุ่ง เขาจึงเปิดผ้าออก ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่ผ้าคลุมอยู่คือหีบใบใหญ่ใบหนึ่ง มีเงินวางอยู่ในหีบ 4,000 บาท บนห่อผ้าขาว! เงิน 4,000 บาท นั้นเท่ากับเงินที่จ่ายค่าเช่าไป จากนั้นพี่สาวคนเล็กหันไปทางขวามือ ก็เจอคุณยายคนที่กวาดพื้นนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องกำลังกอดรูปอยู่! จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดรูปลง และแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้พี่สาวคนเล็กกรี๊ดออกมา! ทุกคนจึงหันไปมอง แล้วทุกคนก็เห็นคุณยายเหมือนกันหมด! ทุกคนก็คิดว่า คุณยายเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ในเมื่อปล่อยเช่าแล้ว หรือว่าคุณยายนอนอยู่ในนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ให้เราเข้ามายุ่ง ทุกคนก็พยายามถามคุณยาย แต่คุณยายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วหยิบรูปขึ้นมาค่อย ๆ ปัดเช็ดรูปให้สะอาดจนเห็นภาพชัดขึ้น.. ปรากฏว่านั่นเป็นรูปของตัวคุณยายเอง! ในรูปเขียนว่า ชาตะ-มรณะ ทำให้ทุกคนตกใจวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หลังจากนั้นทุกคนก็มาคิดย้อนคำของคุณยายที่บอกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” ทุกคนก็กลับไปซักถามกับพี่คนโตว่า “คนที่รู้จักอ่ะ ไหนบอกว่ามีบ้านเช่าที่มันปลอดภัยไงวะ” พี่คนโตจึงไปคุยกับคนที่แนะนำบ้านเช่า สรุปว่า บ้านที่เขาบอกนั้นให้เข้าซอยกลาง แต่ที่ทุกคนเข้าไปคือเข้าซอยซ้ายมือสุด สรุปคือทุกคนไปผิดหลัง เมื่อไปสอบถามคนระแวกแถวนั้นก็ได้ความมาว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณยายที่มีนิสัยงกมาก ขนาดที่ว่าพระมาบิณฑบาตก็ว่าพระ ทำให้ชาวบ้านทนไม่ได้ก็ย้ายออก จนเหลือบ้านคุณยายหลังเดียว นอกนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกเลย.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

16 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเฌอปราง ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’เฌอปราง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เงาที่ทอดไป 5 ชั้น’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เฌอปรางเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนอายุ 5 ขวบ ช่วงสุดสัปดาห์ไปอยู่คุณปู่ที่อพาร์ทเม้นท์ที่ไม่ได้ไปบ่อยนัก ตอนนั้นหลังกลับจากเที่ยวห้างและสวนสัตว์กับคุณปู่ ทางกลับจะเป็นซอยเข้าไปลึก ทางเปลี่ยว ไม่ค่อยมีผู้คน และเป็นอพาร์ทเม้นท์หลายตึก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม ทุกอย่างมืดมาก ต้องเปิดไฟ สองปู่หลานเดินจูงมือกันไปตามทาง เดินผ่านซอกอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นถนนที่ต้องเดินผ่าน ด้านข้างเป็นผนังสีขาว โล่ง ๆ สูงประมาณตึก 5 ชั้น ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเป็นทางที่ผ่านประจำ แต่ครั้งนี้เฌอปรางรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม ไม่รู้อะไรดลใจ เท่าที่จำได้ เฌอปรางเห็นตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปในซอกนั้น เป็นเงารูปคนสูงเท่าตึก แขนและขา ยาว ผอม เฌอปรางก็มองแล้วคิดในใจตามประสาเด็กว่า “มันคืออะไร” พอพยายามมองไปรอบ ๆ ก็เจอไฟที่ส่องมา แต่ไม่เจอต้นกำเนิดหรือเจ้าของเงา พอเดินไปต่ออีกประมาณ 5 นาที ระหว่างนั้นก็เดินแล้วก็มองอยู่หลายครั้ง เงานั้นก็อยู่เฉย ๆ ตอนนั้นคิดว่าน่าจะรู้สึกกลัวเลยไม่ได้ถามคุณปู่ เฌอปรางจำได้ว่าหลังจากนั้นก็กลัวที่จะเดินผ่านซอกนั้น และระแวงซอกที่คล้าย ๆ ตอนนั้นไปเลย จนทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย 5-6 ปีผ่านไป พอโตขึ้นมาก็ได้ยินเรื่องเล่าว่า ‘มันมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวสูงเท่าตึก แขน-ขา ยาว ผอมแห้ง ปากเท่ารูเข็ม เรียกว่าเปรต’ เฌอปรางจึงเอะใจว่าวันนั้นที่เราเจอมันจะใช่ไหมนะ จึงถามว่า ”ตอนนั้นตอนเด็ก หนูเจอที่อพาร์ทเม้นท์ปู่เนี่ย มันใช่ไหมคะ“ เขาก็บอกว่า ”เฌอไปทำบุญเถอะ เขาน่าจะมาขอส่วนบุญ“ และนี่เป็นไม่กี่เรื่องที่เฌอปรางยังจำได้ตั้งแต่เด็ก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

26 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับเรื่องหลอนจาก ‘คุณจอย‘ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ทางที่ต้องเลือก’ จากรายการอังคารคลุมโปง X (22 ตุลาคม 2567) โดยมี ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลอนไปพร้อมกัน เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่วิญญาณคุณจอยออกจากร่าง และเกือบจะเลือกทางผิด! จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณจอยได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อเเละคุณแม่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทก็มีบ้านพักไว้ให้พนักงาน บ้าน 1 หลังให้พัก 2 ครอบครัว ครอบครัวของคุณจอยพักอยู่ชั้นล่าง ครอบครัวพี่ปรีชาอยู่ชั้นบน ในตอนนั้นคุณจอยทำงานที่โรงพยาบาลหนักจนมีความเครียดสะสม ทำให้มีอาการปวดท้องบ่อย โดยปกติเเล้วเวลาเลิกงานของคุณจอยคือ 2 ทุ่ม เเต่วันนั้นพี่หัวหน้าพยาบาลเห็นอาการของตนไม่ค่อยดี จึงบอกให้คุณจอยกลับก่อน ตนจึงกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เมื่อถึงบ้านเเล้วตนรู้สึกหิวข้าวมากจึงเดินไปหาคุณเเม่เเล้วถามว่ามีอะไรให้กินหรือไม่ คุณเเม่ : อ่าว เวลานี้มันจะมีอะไรกินล่ะ ก็เห็นปกติเเล้วเห็นซื้อมากิน คุณจอย : พอดีวันนี้ไม่สบาย ก็เลยกลับมาบ้านเลย ก็ไม่คิดว่าที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน คุณเเม่ : งั้นไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินสิ คุณจอยที่ไม่สบายและเหนื่อยจากการทำงาน ทั้งยังรู้สึกหิวแต่ที่บ้านกลับไม่มีอะไรกิน ก็เริ่มน้อยใจแม่ จึงเดินเข้าห้องตัวเองเเล้วนั่งร้องไห้กับพื้น ไม่มีใครรู้ว่าคุณจอยร้องไห้ยกเว้นน้องเพราะนอนห้องเดียวกัน หลังจากร้องไห้ได้สักพัก คุณจอยก็รู้สึกแน่นหน้าอก มือเท้าชา เเล้วก็ฟุ้บลงไปกับพื้น! ในตอนนั้นรู้ว่าตัวเองชักเกร็ง จากนั้นน้องก็เดินเข้ามาเห็นเเล้วก็ตะโกนเรียกแม่ ในตอนนั้นคุณพ่อคิดว่าตนเรียกร้องความสนใจ เพราะคุณพ่อทราบเรื่องที่คุณจอยทะเลาะกับคุณแม่เรื่องของกิน เมื่อคุณแม่มาเห็นสภาพคุณจอยที่ชักตาตั้ง น้ำลายไหลอยู่กับพื้น เห็นท่าทีไม่ค่อยดีจึงอุ้มคุณจอยไปโรงพยาบาล คุณพ่อกับพี่ปรีชาก็ออกไปเรียกรถเเท็กซี่ มีเเท็กซี่คันหนึ่งจอดแต่กลับบอกว่า “ไม่รับ ผมไม่เอา ผมกลัวไปตายในรถผม หาคันใหม่นะครับ“ ในตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึก จึงทำให้หารถยากมาก ระหว่างนั้น คุณจอยนอนอยู่บนตักแม่โดยมีเเม่กอดอยู่ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีหัวเเล้วเหมือนมีแรงผลักทำให้ลุกขึ้น! เเล้วความรู้สึกที่แน่นหน้าอกก็หายไป ตนได้ยินเสียงร้องไห้มาจากข้างหลังจึงหันไปดู ภาพที่ตนเห็นคือเห็นแม่กอดตนอยู่! มีน้องนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณพ่อกับพี่ปรีชากำลังเรียกรถ ตนจึงได้เเต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น? จิตหลุดหรือเราตายไปแล้วหรือยัง ตนได้เเต่ยืนร้องไห้ดูตัวเอง ตนจึงรู้สึกผิดที่โกรธเเม่ จากนั้นก็พยายามที่จะจับเเม่เเต่ก็จับไม่ได้ เรียกก็ไม่มีใครได้ยิน จากนั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหลังบ้านว่า “มานี่ มาทางนี้” เป็นเสียงผู้ชายดุ ๆ เมื่อตนมองไปก็เห็นเป็นผู้ชายร่างใหญ่ สูง ไม่เหมือนคนเเล้วมีควันลอยฟุ้งเต็มไปหมด จากนั้นก็เริ่มเสียงดังขึ้น “มานี่! เดี๋ยวนี้!” คุณจอยรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต คิดว่าคงมารับจึงก้าวขาไปหา เเต่ในขณะที่กำลังจะก้าวก็มีเสียงตายายเรียกจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “อีหนู! จะไปไหนลูก” ตนจึงหยุดเเล้วก้าวกลับมาที่เดิม เมื่อหันไปทางเสียงนั้นตนก็รู้สึกต่างกับฝั่งซ้าย ฝั่งขวามันสว่างเหมือนตอนเช้า เห็นตายายใส่โจงกระเบนยืนอยู่เเล้วเรียกว่า “อีหนูมานี่ลูก มันไม่ยังไม่ถึงคราวเอ็ง จะไปทำไม” ด้วยความรู้สึกว่าฝั่งขวามันน่าไปกว่า จึงตัดสินใจก้าวขาเดินไปตายาย เมื่อตนก้าวไปขาเหยียบลงพื้น ทันใดนั้นตนก็กลับมารู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนเดิม เเล้วลืมตาขึ้นเห็นเเม่ร้องไห้ ผ่านไปไม่นานตนก็รู้สึกดีขึ้น ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วเเต่รู้สึกเพลีย ในตอนเช้าจึงไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาจากโรงพยาบาลก็ได้เดินไปที่ศาลตายาย เมื่อส่องเข้าไปดูก็เห็นชุดที่ตายายใส่นั้นเป็นชุดเดียวกันกับที่ตนเจอเมื่อคืน หลังจากนั้นคุณจอยก็เห็นตายายตลอด เพราะเวลานอนตนจะเปิดหน้าต่างรับลมเอาไว้ เเต่คุณจอยไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะตายายมาหาเหมือนมาช่วยตนให้พ้นจากอันตราย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1