เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

อังคารคลุมโปง RECAP

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

       เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’  เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย

       คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’

       เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง

       เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด

       ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า

       “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ”

       เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ”

       เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ”

       เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง”

       พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู

       “เฮ้ย! ดูนั้นดิ”

       เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง”

       เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า

       “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ”

       ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ”

       เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด”

       ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ”

       ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว”

       คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ”

       เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า

       “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน”

       คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย”

       เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ”

       คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว”

       เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง  ตือโป๊ยก่าย และซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก!

       จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง”

       เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ

       เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ”

       เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่”

       เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป”

       พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า

       “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ”

       เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง

       แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน

       เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

22 ธ.ค. 2023

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

เมื่อต้องไปเลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock งานนี้จะเจออะไรหลอน ๆ บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธ.ค 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘ตั้น The Shock’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของคุณตั้นที่ได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลยยย เรื่องนี้ ‘คุณตั้น’ ได้เริ่มเล่าว่า ทางทีมงาน The Shock ได้เดินทางไปเลี้ยงโต๊ะจีนผี ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock ซึ่งปีนี้จะไปจัดกันที่สุสานจังหวัดราชบุรี เวลางานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม โดยปีนี้ ‘พี่ป๋อง The Shock’ นำทัพไปจัดโต๊ะหมู่ขึ้นที่สุสานใหญ่ มีอาหารบางส่วนและวงปี่พาทย์ เอาไปตั้งไว้ที่เก็บศพไร้ญาติ ตัวคุณตั้นตามไปทีหลัง ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม เป็นเวลาใกล้จบงาน ช่วงที่วงปี่พาทย์เล่นให้ผีฟัง ซึ่งตรงนั้นจะมีซองเก็บศพประมาณ 300 – 400 ซอง คุณตั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าวงปี่พาทย์และซองเก็บศพ ซึ่งปกติธรรมเนียมของ The Shock ที่ทำกันมาเป็น 10 ปี คือ เวลาที่เลี้ยงผี ก็จะมีการนำใบตองมาวางและเอาแป้งมาโรยไว้ เพื่อเป็นการเก็บรอยเท้าว่าเขามาหรือเปล่า ซึ่งก็มีรอยเท้ามาจริง ๆ ในระหว่างที่ทุกคนยืนดูกันอยู่ ก็มีเสียงเครื่องเซ็นเซอร์ดังขึ้น “ตื้อดึง ตื้อดึง ตื้อดึง” ดังอยู่อย่างนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่ตัวเดียว ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มฮือฮาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างนั้น ด้วยความห่ามของคุณตั้น คุณตั้นได้เดินผ่านซองเก็บศพไป และในขณะที่เดินก็ได้พูดว่า “สวัสดีครับ อยากได้อะไรมาบอกเนาะ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน แล้วก็มาพูดกับเราแล้วกัน” เมื่อคุณตั้นเดินไปถึง เครื่องจับเซ็นเซอร์ก็เงียบเสียงลง คุณตั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก” แต่ถามด้วยความไม่ลบหลู่ ไม่ได้ท้าทาย แต่ระหว่างที่คุณตั้นเดินย้อนกลับมา ก็มองกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปสะดุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นร่างสีขาวในความมืด เขาเดินและหายไป คุณตั้นที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ตรงนั้นมีอะไร มีทีมงานเอาเครื่องเซ่นไปไว้หรือเปล่า’ เพราะตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว คุณตั้นจึงเดินกลับมา คนอื่น ๆ รีบมาถามถามคุณตั้นว่า “มึงไม่กลัวหรอ” แต่คุณตั้นก็ไม่ได้คุยอะไร แต่พูดไปประโยคหนึ่ง คือ “ตรงนั้นมีอะไร เราจะได้ไปช่วยเก็บ” ทุกคนก็หันมาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” คุณตั้นก็หันไปบอกว่า “ก็เห็นสิ ตรงนั้นน่ะ มีคนยืนอยู่” แล้วก็มีคนตอบกลับมาว่า “ไม่มีพี่ ไม่มีอะไรด้วย ตรงนั้นคือ เชิงตะกอนเผาศพของมูลนิธิ” คุณตั้นก็รู้ได้เลยว่า นั่นคือผี หลังจากที่ฟังจบ คุณตั้นก็เงียบไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” หลังจากนั้นก็จะมีเหล่าคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่า “เนี่ย ตรงนี้มี ตรงนี้น่ากลัวมาก รู้สึกว่ามี” คุณตั้นก็ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผีจริง ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

22 ก.ย. 2023

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถมาติดตามความหลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จากเรื่อง ‘แฝงร่างจนตาย’ โดย ‘คุณเป้’ สายจากรายการอังคารคลุมโปงX (19 กันยายน 2566) ถ้าพร้อมแล้วปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับน้าสาว นามสมมุติ ‘คุณเอ๋’ เมื่อ 10-12 ปี ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสามีของคุณเอ๋เป็นคนเจ้าชู้และมีผู้หญิงเข้าหาเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายคุณเอ๋ก็ได้สามีคนนั้นมาครอบครอง จากการที่คุณเอ๋แย่งมาจากผู้หญิงอื่น ต่อมาไม่นานลูกของคุณเอ๋เริ่มเข้าสู่ช่วงประถมวัย คุณเอ๋อยากมีรายได้เพิ่ม จึงเข้าไปสมัครงานในตัวอำเภอ เมื่อได้งานทำแล้ว ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณเอ๋ทำงานครบ 1 ปี ก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามสวัสดิการของบริษัท ปรากฏว่าหลังจากที่เธอตรวจสุขภาพเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น หมอได้แจ้งกับเธอว่าเธอป่วยเป็นวัณโรค นั่นทำให้คุณเอ๋เกิดความกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปตรวจเช็คอีกรอบในโรงพยาบาลประจำจังหวัด เรื่องสุดช็อคก็ได้เกิดกับเธอหลังจากทางโรงพยาบาลแจ้งกับเธอว่าเธอพบมะเร็งปอด หลังจากที่คุณเอ๋ทราบผลตรวจแล้ว เธอรู้สึกกังวลและเกิดอาการเครียด จากชีวิตการงานและครอบครัวที่กำลังดำเนินไปได้ดีก็หยุดลง จากนั้นเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และกลับมารักษาตัวที่บ้านกับครอบครัว คุณเป้บอกว่า น้าเอ๋มีการรักษาโรคมะเร็งปอดนี้ด้วยยาหม้อ ซึ่งสมัยนั้นมีความเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วจะมีอาการดีขึ้น และทางครอบครัวของคุณเอ๋ก็มีการรักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ แต่ในชนบทเมื่อ 10-12 ปีก่อน มักมีความเชื่อกันว่ามะเร็งจะรักษาไม่ได้ หลังจากคุณเอ๋ตรวจพบโรคมะเร็งปอด สามีของเธอก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยการไปคบหากับผู้หญิงใหม่ แล้วทิ้งคุณเอ๋ให้อยู่กับลูกตามลำพังในช่วงเวลากลางคืน ต่อมาคุณเป้จึงตัดสินใจพาคุณเอ๋มาอยู่ที่บ้านของยายเพื่อจะได้ดูแลใกล้ชิดขึ้น จากอาการของคุณเอ๋ที่ทรุดตัวลง คุณเป้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติว่าจากที่กินอะไรได้น้อย เดินไม่ไหว ก็กลับมากินอะไรได้เยอะมากกว่าปกติและมีพฤติกรรมแปลกจากเดิม ตามปกติแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านแถบนั้นก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของคุณยาย มาถามไถ่อาการและดูอาการของคุณเอ๋ ในคืนหนึ่งเมื่อทุกคนมารวมตัวกันครบ คุณเอ๋ก็พูดว่า “มึงมากันทำไม มาทำอะไรกันมากมาย” คุณเอ๋ด่าทอทุกคนที่อยู่ที่บ้าน มีคนนึงที่มีรอยสักเต็มตัวเข้าใกล้เธอ เธอก็พูดว่า “ไอ้มารหัวขน มึงเข้ามาทำไม กูร้อน กูอึดอัด กูรู้สึกกลัวมึงจังเลย!” นี่คือลักษณะนิสัยที่คุณเป้ไม่เคยเห็นคุณเอ๋เป็นมาก่อน หลังจากคุณเอ๋มีอาการแปลกไป ก็มีการเรียนเชิญหลวงตามาพรมน้ำมนต์ และมีการฟาดไม้หวายลงกับพื้นตามความเชื่อสมัยนั้น แต่หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คุณเอ๋ ก็พูดท้าทายไปว่า “ไอ้พระแก่ ตีกู ดีนะกูโดดหลบทัน ถ้ากูโดดหลบไม่ทันกูเจ็บแน่เลย” หลังจากนั้นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณเอ๋มีอาการทรุดลงทำให้ปวดท้องรุนแรง จนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็กลับฟื้นขึ้นมา แล้วพุ่งตัวไปกอดแม่ของเธอพร้อมกับพูดว่า “แม่ ต่อไปนี้ลูกจะอยู่กับแม่นะ ลูกจะไม่ไปไหนแล้วนะ” ทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวคุณเอ๋ เพราะเธอมีอาการแลบลิ้นปลิ้นตา และขอกินทุกอย่างที่เธออยากจะกิน หลังจากวันนั้นคุณเป้ได้ไปปรึกษากับหลวงพี่ที่เป็นญาติกัน หลวงพี่ได้แนะนำให้โทรไปปรึกษาวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีพระอาจารย์ที่เก่งเรื่องดูว่าคนนี้เป็นคนจริง ๆ หรือมีอะไรแฝงในตัวหรือไม่ พระอาจารย์บอกกับเธอว่าคุณเอ๋มีผีสิงในตัวและกินคนมาเยอะแล้ว และพระอาจารย์ก็ยังบอกกับคุณเป้อีกว่าสิ่งที่เธอขอและกินเข้าไปนั้น ห้ามกินต่อเด็ดขาดให้นำไปทิ้งที่ป่าช้าเท่านั้น ถ้ากินแล้วจะได้รับเคราะห์แทน หลังจากคุณเป้ได้โทรไปปรึกษาพระอาจารย์แล้วนั้น ตากับยายก็ได้เดินทางไปยังวัดดังกล่าว แต่พระอาจารย์ไม่ว่างจึงให้สายสิญจน์และน้ำมนต์มาให้คุณเอ๋ดื่ม ในขณะที่เธอดื่ม เธอบอกว่ามันร้อน จนเธอต้องนั่งเป่าให้เย็น ทุกคนที่เห็นก็งง เพราะน้ำมันก็ไม่ได้ผ่านการต้มมาแต่อย่างใด ผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าในตัวของคุณเอ๋ไม่ใช่คุณเอ๋อีกต่อไป จึงพากันรุมเค้นถามว่าคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเธอเลย จนกระทั่งคุณเอ๋รู้ว่าพระอาจารย์จะมา จึงได้พูดออกมาว่า “กูไปละ” จากนั้นเธอก็เสียชีวิตไป เพื่อให้ทางครอบครัวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ หลังจากจบงานศพของคุณเอ๋ไม่กี่วัน สามีของคุณเอ๋ก็พาผู้หญิงเข้าบ้าน จนคุณเป้และครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจที่สามีของคุณเอ๋ทำเช่นนี้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง สามีของคุณเอ๋ได้ไปรับสัปเหร่อมาทำพิธีสะกดวิญญาณในห้องน้ำ ทำให้ร่างของคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ และต่อมาสามีของคุณเอ๋ก็หนีหายไปกับผู้หญิงใหม่ และคุณเป้ก็ยังได้ฝันหลายครั้งว่าคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ เธออยู่ในห้องน้ำ จนคุณเป้มารู้ทีหลังว่าสามีของน้าสาวและสัปเหร่อได้สะกดวิญญาณของเธอไว้ในชักโครกห้องน้ำ ซึ่งมีรูปและมีดอยู่ในชักโครก นั่นทำให้คุณเป้รู้สึกสงสารคุณเอ๋เป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้นคุณเอ๋ก็ได้กลับมาเข้าฝันอีกครั้ง และได้บอกเธอว่าใครที่แฝงในร่างของเธอ ในฝันเธอบอกว่ามีบ้านเยื้องไปไม่กี่หลัง จะเป็นบ้านของหมอธรรมที่ภรรยาของเขาเป็นผีปอบและได้เสียชีวิตไป ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งก็ตรงกับช่วงที่เธอดวงตกจนทำให้วิญญาณผีตนนั้นมาแฝงในตัวของคุณเอ๋นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

29 มี.ค. 2024

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

เรื่องนี้ ‘คุณโนอาร์’ จากเพจ ‘โนอาร์-Noah’ ได้นำเรื่องดล่าสุดหลอนที่เจอเข้ากับตัวเองมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ได้ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจอป้าที่โบสถ์เก่า’ ‘คุณโนอาร์’ เล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม 2567) ได้เดินทางไปยังโบสถ์ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ตามคำแนะนำของผู้กำกับอย่าง ‘พี่ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ’ เพื่อพิสูจน์และสัมผัสประสบการณ์หลอนด้วยตนเอง คุณโนอาร์และแฟนใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงโบสถ์ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่โบสถ์แห่งนั้นมีบ่อน้ำคั่นกลางต้นไม้ เมื่อไปถึงก็จัดแจงตั้งกล้องหันไปทางโบสถ์ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ระหว่างที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาจากต้นโพธิ์ด้านหลังคุณโนอาร์ คุณโนอาร์เหลือบมองเห็นจึงสลับให้แฟนทำหน้าที่พูดไลฟ์แทน ส่วนคุณโนอาร์ก็ลุกไปหาคุณป้าที่ต้นโพธิ์ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น คุณป้าก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณโนอาร์ยังไม่ได้พูดอะไรว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์ได้ยินก็คิดว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ จึงถามกลับไปว่า “ป้าเป็น FC ผมหรือเปล่าครับ?” แต่คุณป้ากลับไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปสักพัก คุณป้าก็พูดประโยคเดิมว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์จึงบอกไปว่า “ประมาณ 2-3 ทุ่ม ผมจะเริ่มสำรวจโบสถ์ ป้าจะไปที่โบสถ์กับผมมั้ย?” คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า “ป้าอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง” ได้ยินดังนั้น คุณโนอาร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น คุณโนอาร์ก็มองไปที่ตาของคุณป้า สังเกตได้ว่าดวงตาของคุณป้าไม่กะพริบเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็คิดเพียงว่าเป็นบุคลิกของคุณป้าเท่านั้น หลังจากไลฟ์ช่วงเย็นจบไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเก็บภาพด้านในของโบสถ์ ตอนนั้นเป็นเวลา 2-3 ทุ่มตามที่วางแผนไว้ คุณโนอาร์เดินอ้อมบ่อน้ำเข้าไปในโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์ก็มีแมวดำกระโดดออกมาจากข้างใน ตนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปสำรวจต่อไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก จากคานไม้ด้านบน ตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าอาจจะเป็นเสียงนก จึงหันหลังมองย้อนกลับไปที่ต้นโพธิ์ ก็เห็นว่าแฟนของตนนั้นยืนถือตะเกียงอยู่ข้างคุณป้าปริศนาท่านนั้น เมื่อเห็นดังนั้นก็สบายใจที่แฟนไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อสำรวจไปได้สักพัก คุณโนอาร์ก็เดินกลับออกมายังรถที่จอดไว้ใกล้ต้นโพธิ์ จากนั้นก็พูดกับคุณป้าว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาอีกรอบ” คุณป้าจึงตอบกลับมาว่า “พรุ่งนี้ จะมาอีกใช่มั้ย?” คุณโนอาร์ย้ำคำตอบเดิมไปว่า “ใช่ครับ” แต่คุณป้าก็ถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะได้ยินไม่ค่อยชัด คุณโนอาร์จึงต้องตอบแบบเดิมอยู่ 3-4 รอบ จากนั้นจึงบอกคุณป้าไปว่า “ผมจะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศข้างในอีกรอบ อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จครับ” เมื่อบอกคุณป้าเสร็จ ตนก็เดินเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเก็บภาพบรรยากาศรอบโบสถ์เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่รถอีกครั้ง รอบนี้คุณโนอาร์ตั้งใจจะไปหยิบน้ำดื่มที่หลังรถเพื่อมาดื่มและจะให้คุณป้าด้วย แต่เมื่อเดินมาที่หลังรถก็ไม่พบคุณป้าแล้ว คุณโนอาร์ย้อนกลับไปว่าช่วงเวลาที่ตนเข้าไปเก็บภาพในโบสถ์นั้น แฟนก็ยืนคุยกับคุณป้า แต่แฟนรู้สึกว่ายุงเยอะจนทนไม่ไหว จึงบอกคุณป้าไปว่า “หนูขอเข้าไปรอในรถนะคะ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” คุณป้าไม่ตอบอะไรกลับมา จากนั้นแฟนก็เดินขึ้นรถ และคิดว่าคุณป้าน่าจะยืนอยู่ข้างนอกคนเดียวพร้อมกับตะเกียงที่แฟนเคยถือเอาไว้ เมื่อคุณโนอาร์มาถึงรถและเดินไปข้างหลังแต่ไม่เห็นคุณป้าจึงคิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว ส่วนแฟนเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคุณป้าไปไหนหรือกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับ วันถัดมา รอบนี้จะเป็นการถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะมีทีมงานมาช่วยถ่ายด้วย ฝ่ายทีมงานเดินทางมาถึงก่อนคุณโนอาร์ครึ่งชั่วโมง เมื่อตนมาถึงก็ถามทีมงานว่า “มีใครเข้ามาหรือยัง?” เพราะตนจำได้ว่าคุณป้าบอกว่าจะเข้ามาหา แต่ทีมงานส่ายหัวและบอกว่า “ยังไม่มีใครเข้ามานะ” ได้ยินดังนั้นคุณโนอาร์ก็คิดว่าคุณป้าอาจจะมาเวลาเดียวกับเมื่อวานจึงไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทีมงานก็จัดแจงสถานที่ ปูเสื่อเพื่อพักผ่อนและรอเวลา เมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง คุณป้าก็ยังไม่ปรากฏตัว จากนั้นก็ถึงเวลาไลฟ์สด คุณโนอาร์ต้องไปยืนที่หน้าต้นโพธิ์เพื่อถ่ายเปิดรายการ เวลานั้นคุณโนอาร์เหลือบมองเห็นกรอบรูปอยู่ข้างหลังตากล้อง เมื่อเห็นรูปชัดขึ้นตนก็อุทานออกมาว่า “ป้า! ในรูป!” คุณโนอาร์จึงเรียกให้แฟนมาดู แฟนก็พูดว่า “เห้ย! ป้านี่นา!” ทีมงานทุกคนก็ตกใจ เพราะในช่วงที่ทีมงานมาถึงก่อนนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปนี้เลย นอกจากนี้ยังมีถุงอัฐิห่อวางไว้ข้าง ๆ กันอีกด้วย คุณโนอาร์จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทีมงานฟัง หลังจากได้ฟังก็มีข้อถกกันมากมาย คิดไปต่าง ๆ นานาว่าคุณป้าอาจจะมีแฝด แต่การถ่ายรายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สรุปแล้วในวันที่สองนั้น คุณป้าก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คุณโนอาร์จึงโพสต์เรื่องราวที่เจอลงในเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นก็มีการแชร์ออกไปมากมาย แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนทักเข้ามาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณป้า! ตอนแรกคุณโนอาร์ยังไม่เชื่อ จึงขอตรวจสอบข้อมูล บุคคลปริศนาก็ส่งมาให้ทั้งรูปถ่ายงานศพของคุณป้า และส่งนามสกุลในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนในครอบครัวจริง นั่นทำให้คุณโนอาร์เชื่อว่านี่คือลูกของคุณป้าอย่างแน่นอน ลูกของคุณป้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่โพสต์ ก็คงจะไม่มีใครรู้เลย” คุณโนอาร์จึงสอบถามต้นสายปลายเหตุว่า รูปของคุณป้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ลูกของคุณป้าเล่าว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่าใครนำมาทิ้ง แต่คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอุบัติเหตุรถชน หลังจากทำพิธีชาปณกิจศพเสร็จ ลูกหลานและคนในครอบครัวของคุณป้าต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตที่อื่น ส่วนรูปของคุณป้านั้นเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังเก่า คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของคนใหม่หรือคนในครอบครัวที่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครเอามาทิ้งก็เป็นได้ คุณโนอาร์จึงนัดวันเวลากับลูกของป้าเพื่อรับรูปและอัฐิ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณโนอาร์และครอบครัวก็ได้พบกัน ทางครอบครัวถามคุณโนอาร์ว่า “ตอนที่เห็นป้า รูปร่างเป็นยังไง ใส่เสื้อผ้ายังไง” คุณโนอาร์ก็เล่ารายละเอียดที่จำได้ให้ฟัง ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกันหมด จากนั้นหลวงพ่อก็ช่วยทำพิธีสวดมนต์เพื่อที่จะได้นำรูปนั้นไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1