เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

อังคารคลุมโปง RECAP

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

       เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’  เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย

       คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’

       เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง

       เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด

       ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า

       “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ”

       เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ”

       เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ”

       เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง”

       พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู

       “เฮ้ย! ดูนั้นดิ”

       เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง”

       เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า

       “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ”

       ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ”

       เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด”

       ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ”

       ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว”

       คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ”

       เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า

       “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน”

       คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย”

       เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ”

       คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว”

       เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง  ตือโป๊ยก่าย และซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก!

       จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง”

       เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ

       เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ”

       เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่”

       เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป”

       พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า

       “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ”

       เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง

       แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน

       เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนุ่น ‘ห้อง 404’ l อังคารคลุมโปง X เนตร คืนปล่อยผี [ 16 ก.ย.2568 ]

26 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณนุ่น ‘ห้อง 404’ l อังคารคลุมโปง X เนตร คืนปล่อยผี [ 16 ก.ย.2568 ]

อาถรรพ์เลขหลอน ณ ห้อง 404 เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณนุ่น’ ที่เข้ามาเล่าเรื่องของ ‘คุณน้อง’ ที่ได้ไปเจอเสียงปริศนาห้องชั้นบนของอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ประสบการณ์ระทึกขวัญที่คล้ายจะโดนผีหลอกแต่ผีกลับบอกว่าจะช่วย! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เนตร คืนปล่อยผี’ (16 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้อง 404’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณน้อง’ เธอเล่าว่า ในตอนที่เรียนจบ น้องได้ขอไปอยู่กับแฟนที่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ลักษณะของอะพาร์ตเมนต์นี้จะมีทั้งหมด 4 ชั้น และห้องที่น้องอยู่คือชั้นที่ 3 หมายเลขห้อง 304 วันแรกของการเข้าอยู่ ทุกอย่างยังคงปกติ แฟนของน้องทำงานเป็นนักดนตรีในร้านเหล้าแห่งหนึ่งใกล้ที่พัก ในระหว่างที่แฟนของเธอออกไปทำงาน น้องจึงต้องอยู่ที่ห้องคนเดียว แต่ปรากฏว่าเธอมักจะได้ยินเสียงคนจากห้องข้างบนซึ่งก็คือ ‘ห้อง 404’ คล้ายกับว่าเป็นเสียงของคู่รักทะเลาะกัน แรก ๆ ที่ได้ยินน้องก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติของคู่สามีภรรยา แต่เมื่อผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือน เธอก็ยังคงได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทของห้องชั้นบนทุกวัน จนเกิดความรำคาญในการใช้ชีวิตเพราะมันค่อนข้างรบกวนการนอนหลับของเธอ น้องจึงต้องบอกให้แฟนช่วยไปแจ้งคนดูแลเรื่องปัญหาการส่งเสียงรบกวนจากห้องชั้นบน แต่เมื่อแฟนเอาเรื่องนี้ไปแจ้งป้าที่ดูแลอะพาร์ตเมนต์ก็ได้รับคำตอบชวนขนหัวลุกกลับมา เพราะป้าได้บอกกับแฟนของน้องว่า “ชั้นบนไม่มีคนอยู่นะลูก” เมื่อเห็นท่าทีสับสนของชายหนุ่ม ป้าจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของห้อง 404 ให้กับแฟนของน้องฟัง “เมื่อก่อนห้อง 404 เนี่ยมันมีคนอยู่ ผู้หญิงเขาตั้งท้องและอยู่กับแฟนสองคน แต่แฟนเขาพลั้งมือทำร้ายร่างกายที่คอ จนฝ่ายหญิงเสียชีวิต” นอกจากนี้ ป้ายังเล่าต่อว่าฝ่ายชายพยายามหนีความผิด จึงกระโดดตึกจบชีวิตตนเองตามไป แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้นอกจากน้อง แฟนของน้องที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนก็ไม่เคยเจอเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้น แฟนของน้องก็รู้สึกเป็นห่วงน้องที่จะต้องอยู่คนเดียวในช่วงที่แฟนต้องออกไปทำงาน แฟนของน้องจึงเก็บเรื่องราวนี้ไว้ ไม่ได้นำไปบอกน้องในทันที เวลาผ่านไป น้องก็ยังคงได้ยินเสียงนั้นอยู่บ่อย ๆ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ในช่วงเวลานั้นน้องจึงเลือกที่จะออกไปซื้อของ แต่ในทันใดนั้นเองก็ได้บังเอิญพบกับ ‘น้องน้ำ’ นักศึกษาสาวรุ่นน้องที่อาศัยอยู่ที่ห้อง 405 และด้วยความที่คุยกันถูกคอ มีการไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้เกิดความสนิทชิดเชื้อกัน อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างที่น้องกำลังเดินไปที่ห้องของน้ำ น้องก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมากจากห้อง 404 “ช่วยด้วย ช่วยด้วย…” เสียงพร่ำร้องของหญิงสาวที่เหมือนกับว่ากำลังจะขาดใจ ในคราแรกน้องตั้งใจจะโทรแจ้งตำรวจ แต่เมื่อรวบรวมสติได้จึงตัดสินใจโทรแจ้งป้าเจ้าของหอเป็นคนแรกว่าตนนั้นได้ยินเสียงผู้หญิงถูกทำร้ายมาจากห้อง 404 “ห้องอะไรนะ!” ป้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ห้อง 404 ค่ะ” “ไม่มี! เป็นไปไม่ได้ ห้องข้างบนมันไม่มีคนอยู่” ป้ารีบตอบทันควัน เมื่อเกิดความสับสนในปลายสาย ป้าจึงบอกให้น้องกับน้ำรอพรุ่งนี้แล้วตนจะไปเปิดห้องยืนยันให้ดูว่าห้อง 404 นั้นไม่มีคนอยู่ เช้าวันใหม่ ตามคำสัญญาของคืนก่อน ป้ามาไขประตูห้อง 404 ให้ดู ซึ่งก็ทำให้น้องเห็นกับตาว่าภายในห้องแห่งนี้ไม่มีคนอยู่จริง ๆ นั่นแปลว่าเสียงที่เธอได้ยินอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เสียงของคนเหมือนกัน! ภายในห้องว่างเปล่า คงเหลืออยู่เพียงแค่เตียง โต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้า ป้าเห็นน้องยืนดูด้วยสีหน้าไม่สู้ดีจึงเอ่ยถาม “หนูอยู่ห้องไหน เป็นแฟนของน้องผู้ชายคนนั้นรึเปล่า” ป้าเอ่ยถาม “ใช่ค่ะ ที่หนูให้แฟนไปบอกว่าได้ยินเสียงจากห้อง 404 ทะเลาะกัน” น้องตอบกลับไป “แล้วแฟนยังไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ” จบประโยคนั้น ป้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้องฟัง แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของน้ำดังออกมาจากตรงบริเวณตู้เสื้อผ้า “กรี๊ดดดดดดดดด!” สิ้นเสียง น้องกับป้าก็เดินไปดูที่ตู้เสื้อผ้าก็พบกับกระถางธูปและกระทงถวายเครื่องเส้นไหว้ผี ด้วยความตกใจกลัวของน้อง ป้าจึงเล่าให้ฟังว่าเขาจำเป็นต้องทำพิธีแบบนี้เพื่อที่จะให้ต่างคนต่างอยู่ เพราะเขาก็ต้องทำมาหากินเหมือนกัน อยู่ไปอยู่มา น้องก็ตั้งท้องได้ประมาณ 3-4 เดือน และด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เรื่องราวความรุนแรงประทุขึ้นมาอีกครั้ง เพราะน้องกับแฟนเกิดการทะเลาะจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน บ่อยขึ้น บ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น จนเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่น้องต้องเดินไปซื้อข้าวก็ได้ไปพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงนั่งกอดเข่าอยู่ตรงบันได “เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” น้องถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อสาวปริศนาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็ทำให้น้องเห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นมีเลือดอาบคอตัวเองเต็มเสื้อไปหมด! และคิดได้ว่าตรงหน้าคงไม่ใช่คนแน่ ๆ จึงรีบวิ่งลงไปและนั่งรถไปหาแฟนที่ทำงานและนั่งรอจนถึงช่วงประมาณตีสาม แต่ตัวของเธอก็ไม่กล้าพูดอะไรได้แต่เก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในตอนที่ทั้งสองลงจากรถ ก็ได้เกิดเสียงวัตถุใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากที่สูงดัง ตุ้บ! เหมือนเสียงคนกระโดดตึกลงมา แม้ตอนนั้นจะเกิดความสงสัยว่าเสียงมากจากไหนแต่ด้วยความกลัวทั้งสองจึงเลือกที่จะเดินขึ้นห้องไป หลายเดือนต่อมา น้องฝันเห็นผู้หญิงมาพูดกับตนเองว่า “หนีไป! อย่าอยู่ที่นี่” ถึงอย่างนั้นน้องก็ไม่ได้คิดอะไร จนสถานการณ์น้องกับแฟนทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นที่ทำให้น้องต้องสูญเสียลูกในท้องไปจากการทำร้ายร่างกายของแฟน หลังจากนั้นน้องก็ฝันเห็นผู้หญิงคนเดิมมาบอกว่า ‘เขาไม่ได้เห็นหน้าลูก แต่ตัวเธอเองยังโชคดีที่ได้เห็นลูกอย่างน้อยก็ในตอนที่คลอดออกมาแม้ว่าหลังจากนั้นเด็กจะเสียชีวิตก็ตาม’ เวลาผ่านไป แฟนของน้องก็ยังคงทำร้ายร่างกายและตบตีน้องเหมือนเดิม จนอยู่มาวันหนึ่ง แฟนก็เกิดอาการหลอน เห็นหน้าน้องแล้วมีท่าทีหวาดกลัว “อย่าเข้ามาใกล้กู กูกลัวแล้ว” ชายหนุ่มตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “กูจะไม่ทำอีกแล้ว กูขอโทษ” เมื่อเห็นแบบนั้นน้องจึงพยายามเข้าไปจับแขนเพื่อเรียกสติแฟนกลับมา แต่มันก็ไม่ได้ผล เกิดการฉุดกระชากลากถูกันสักพัก แฟนของน้องก็เดินหนีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพลัดตกลงมาจากตึกสูงและเสียชีวิตทันที! ความเศร้าเกาะกินหัวใจ น้องเกิดคำถามมากมายในหัวว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเธอกันแน่ ไม่เพียงแต่เสียลูกไปแต่เธอยังเสียคนรักไปด้วยอีกคน หลังจากเสร็จธุระงานศพ น้องเดินทางมาเก็บของที่ห้องและได้ผล็อยหลับไป ในยามหลับน้องก็เล่าว่าฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมาบอกกับน้องว่า เขาช่วยได้แค่นี้นะ เขายินดีด้วยที่ผ่านเรื่องนี้มาได้และก็ดีใจที่ได้กำจัดผู้ชายแบบนี้ออกไปจากชีวิตเธอ คำบอกกล่าวจากผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่ต้องการจะสื่อว่าตนได้มาช่วยน้องแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้น้องต้องมาเผชิญปัญหาเดียวกับเขา ต้องมาโดนทำร้ายและเสียชีวีตไปเหมือนกับเขา เช้ามาน้องจึงได้ทำบุญ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่หญิงสาวคนนั้นเป็นการขอบคุณที่ช่วยให้น้องหลุดพ้นจากผู้ชายพรรค์นั้นและขอบคุณที่ทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนน้ำก็ได้มาเฉลยว่าจริง ๆ เธอเป็นน้องสาวของผู้หญิงที่อยู่ห้อง 404 และการมาอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ก็เป็นเพราะพี่สาวถูกฆ่าตาย สุดท้ายอาถรรพ์เลขห้อง 404 ก็ได้เปลี่ยนชีวิตของน้องไป จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นการขอบคุณ ความหวังดีจากคนที่ไม่รู้จักที่ถึงแม้ในตอนนี้จะไม่ได้มีลมหายใจอยู่แล้วก็ยังรู้สึกขอบคุณ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

25 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’แพรว-นฤภรกมล’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เสียงใคร’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย โดยคุณแพรวเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต วันนั้นตนอยู่ที่หอพัก โดยปกติแล้วระแวกนั้นจะมีการละหมาดทำให้มีเสียงสวด แต่จะทำเป็นเวลา ซึ่งคุณแพรวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ใช้ชีวิตไปแบบทุกวัน แต่ก็มีเรื่องผิดปกติก็คือ คุณแพรวไปซอยข้าง ๆ มหาวิทยาลัย แล้วเห็นคุณลุงคนหนึ่งนั่งขายของอยู่ที่พื้น นั่นก็คือ ‘ตุ๊กตาปิ๊กกาจู’ แล้วก็จะมีเสียงหลอน ๆ วางอยู่ที่พื้น คุณแพรวพูดกับเพื่อนว่า ”อยากช่วยลุงเขาซื้อ” จากนั้น เพื่อนตอบมาเล่น ๆ ว่า “มันเป็นตุ๊กตาผีสิงหรือเปล่า“ ในใจคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนจะพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม สุดท้ายคุณแพรวก็ซื้ออยู่ดี แล้วก็เอาตุ๊กตากลับมาที่ห้อง โดยปกติแล้ว ห้องไม่เคยมีเรื่องอะไรเลย แต่วันนั้นคุณแพรวกับเพื่อนกำลังจะนอน ระหว่างที่นอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่ สักพักได้ยินเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง ดูไม่มีความหมาย เหมือนเสียงสวดมนต์ และมันดังอยู่ในห้อง เพราะเสียงละหมาดที่เคยได้ยินบ่อย ๆ จะฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันดังมาจากนอกห้อง แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ในห้อง! ตอนแรกคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะปกติก็มีการเล่นกันอยู่บ้าง แต่จังหวะที่กำลังจะหันไป เพื่อนก็เขยิบตัวมาเบียดตน แล้วหันมาบอกว่า “มึง กูไม่ได้พูด” ตอนนั้นคุณแพรวรู้สึกเหมือนซีนในหนังมาก หลังจากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเปิดไฟ คุณแพรวก็พูดว่า “มันยังไงกันวะ” แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่า “หรือว่าเป็นเพราะตุ๊กตาที่ซื้อมา” ในใจก็คิดว่าเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมี แต่พอมีก็เกิดสิ่งนี้ คุณแพรวจึงเอาไปแอบไว้ในห้องเพื่อนในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่ห้องเพื่อน ปกติแล้วคุณแพรวจะนอนอยู่ 2 ห้องคือเพื่อนคนแรก กับเพื่อนคนที่ 2 มีวันหนึ่งที่ต้องออกไปทำงานแล้วนัดกับเพื่อนคนที่ 2 ว่าจะกลับมานอนที่ห้องด้วย (ห้องที่เอาตุ๊กตามาแอบ) แต่ปรากฏว่าไม่ได้กลับไป เพื่อนคนนั้นบอกว่าเห็นคุณแพรวเดินมาที่หัวเตียง แล้วก้มมามอง ตอนแรกคิดว่าเป็นคุณแพรว แต่พอมองดี ๆ กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนผมยาว แล้วมองไม่เห็นหน้า และได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ทั้งที่อยู่คนเดียว แล้วหลังจากนั้นห้องนั้นก็เจอเรื่องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าตุ๊กตานั้นไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียงมากจากตุ๊กตาหรือไม่ แต่สำหรับตนแล้ว ตุ๊กตามันน่ารักมาก เพราะตอนไปซื้อก็มีหลายตัว แล้วเลือกหยิบมาแค่หนึ่งตัว จากนั้นก็ไม่เห็นลุงอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

30 มิ.ย. 2023

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

วันนี้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ รับหน้าที่จัดรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิ.ย. 66) เช่นเคย คนที่โทรมาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ชื่อว่า ‘คุณแบงค์’ เขามาพร้อมกับภารกิจตามหารักแท้ ซึ่งต้องแลกมากับเรื่องเขย่าขวัญในค่ำคืนนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์อาศัยอยู่ในคอนโดที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ ‘คลีน’ ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวอาศัยอยู่ เขากับน้องสาว 1 คนพักด้วยกันที่ห้องบนชั้น 14 ของตึก ด้วยความที่คอนโดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองและคุณแบงค์เองก็นอนอยู่ฝั่งข้างที่ติดผ้าม่าน เขาจึงสามารถเห็นบริเวณภายในห้องตอนกลางคืนผ่านแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ในคืนหนึ่งขณะที่คุณแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ เขาฝันว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะบุกเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งบนหลังคา ทุบห้อง ข่วนห้อง คล้ายพยายามจะทำให้เขากับน้องกลัว และมันก็ได้ผลจริง ๆ ในฝันน้องสาวบอกให้แกล้งหลับกัน เพื่อหลอกตัวอะไรก็ตามที่กำลังพยายามจะพังเข้ามาในห้อง แล้วพอเขาข่มตาหลับลง ‘มัน’ ก็ได้เข้ามาในห้อง! เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นที่ลอยผ่านตัวเขาไปมา แล้วสักพักหนึ่งก็มีเหมือนเศษผ้าปาดผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแส้หางม้า ทันใดนั้นน้องสาวคุณแบงค์กรีดร้องและพูดขึ้นว่า “มีอะไรไม่รู้มาจับอวัยวะเพศ” คุณแบงค์รับรู้ว่ามีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มาจั๊กจี้ที่รักแร้ของเขาและในเวลาต่อมาก็มาตะครุบอวัยะเพศของเขา! คุณแบงค์ตกใจจนตื่นขึ้นจากฝัน ณ ขณะนั้นห้องทั้งห้องของเขาก็เปลี่ยนจากสีดำมืดเป็นสีแดงเหมือนกับห้องเชือด ตัดภาพไปด้านซ้ายของเขา ฝั่งที่เป็นผ้าม่าน เขาเห็นลิงหน้าสีแดงสดกำลังแหวกม่านโผล่หัวของมันเข้ามา ระหว่างเขากับลิงตัวนี้อยู่ห่างกันเพียงเมตรเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะเริ่มตกตะกอนทางความคิดกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นคน ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าจะใช้ของไทยแน่นอน! “หรือว่าจะเป็นของที่เราเอาเข้ามา” คุณแบงค์คิดกับตัวเอง พอเขาเริ่มตั้งสติได้ จึงขยับตัวสะบัดผ้าม่านและผ้าห่ม สักพักห้องของเขาจากสีแดงก็กลับกลายเป็นความมืดดังเดิม หน้าของเจ้าจ๋อที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามลำดับ ดีเจแนนถามคุณแบงค์ว่าน้องสาวของเขาเห็นเหมือนกับที่เขาเห็นด้วยรึเปล่า คุณแบงค์จึงตอบกลับว่าตอนแรกเขาคิดว่าน้องน่าจะเห็นด้วย แต่พอถามถึงเรื่องลิงตัวนี้ตอนเช้า น้องสาวของเขากลับตอบว่า เธอนั้นหลับอยู่ตลอดเวลาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่คุณแบงค์เห็นและประสบพบเจอในค่ำคืนนั้น มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงได้ ดีเจทั้งสองพยายามสอบถามคุณแบงค์ต่อว่า แล้วคุณแบงค์พอจะทราบที่มาที่ไปของลิงตัวนี้หรือไม่ คุณแบงค์ก็บอกว่าเมื่อเขากลับมาย้อนนึกดูแล้วก็พบว่าคืนนั้น เขาได้เอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งสอดไว้ใต้หมอนก่อนนอน ย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์พึ่งจะเลิกกับแฟน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เขาไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อนพอดี เขาเดินทางไปวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก สิ่งที่เขาได้กลับมาจากวัดในวันนั้นคือด้ายแดง ขณะที่เขาไปขอพรเขาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาได้ขอพรว่า หากแฟนคนที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันเป็นคนที่ใช่จริง ก็ขอให้คบกันไปตราบนานเท่านาน แต่ถ้าไม่ใช่คู่กันจริงก็ขอให้เลิกกันโดยเร็วที่สุด แล้วหลังกลับจากไต้หวันได้สองสัปดาห์ เพื่อนของเขากับแฟนก็เลิกกัน... คุณแบงค์ได้อธิษฐานขอคนรักพร้อมบอกชื่อที่อยู่ของตนไปด้วย เขาเลยสันนิษฐานน่าจะเป็นเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เทพท่านมาหาเขาตอนกลางคืน เขาคิดว่าท่านน่าจะมาหาเขาเพื่อ ‘ดูตัว’ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ในภายหลังว่าวัดแห่งนั้นที่เขาไปไหว้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเลย แต่ทั้งเพื่อนที่เป็นหมอดูที่เป็นเพื่อนของเขามีข้อเสนอว่า ลิงตัวนี้อาจมาในลักษณะของการเป็นคำใบ้บอกถึงเนื้อคู่ของเขา และเมื่อลองตรวจตามปีนักษัตร เขาสามารถวิเคราะห์ได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นคนอายุ 19 หรือ 31 ปี แต่เรื่องนี้คุณแบงค์ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันทีว่ามันเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ คงต้องรอดูกันไปเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

20 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘ส้ม มัลนิการ์’ ที่มาเล่าเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไปตกปลาบนเขา แล้วปัสสาวะโดยที่ไม่ขอเจ้าที่เจ้าทางจนมีอันเป็นไป! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฉี่ทับที่ผี’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฟ้า’ (นามสมมติ) เธอเพิ่งสูญเสียสามีไป จึงติดต่อให้รายการช่วยเหลือ โดยสามีของเธอชื่อว่า ‘คุณเอก’ (นามสมมติ) วันหนึ่งคุณเอกได้ขึ้นไปตกปลาที่บึงร้างบนเขา แล้วเกิดปวดปัสสาวะ จึงไปปัสสาวะที่โขดหินริมน้ำก้อนหนึ่ง ซึ่งฟ้าเองก็ตกใจและเตือนสามีให้ไหว้เจ้าที่ก่อน เอกได้ยินก็ยกมือไหว้ส่ง ๆ เพราะส่วนตัวเอกไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน เอกก็มีอาการป่วยและตรวจพบว่าเป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งทั้งตระกูลไม่เคยมีใครเป็น ดังนั้นไม่ใช่กรรมพันธุ์แต่อย่างใด จากนั้นก็เข้ารับการรักษาตามอาการ ส่วนทางด้านฟ้าก็ฝันว่ามีวิญญาณผีผู้หญิงตัวเปียกน้ำใส่ชุดขาวมาบอกให้นำกระทงเซ่นไหว้ขึ้นไปไหว้ เขาไม่ได้มาขอร้องแต่เป็นการมาสั่งว่าต้องขึ้นไปไหว้ ฟ้ารู้สึกกลัวจึงไปบอกเอก แต่กลับได้คำตอบว่า “ไร้สาระ” ขณะนั้นเอง ครอบครัวของเอกก็มาได้ยิน ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่หากมีวิธีใดที่ทำให้ลูกดีขึ้นก็จะทำ ในที่สุดวันนั้นก็พากันขึ้นไปบนเขา พ่อกับแม่ได้นำกระทงไปวางไว้บริเวณหนึ่งใกล้ ๆ กับจุดที่เอกปัสสาวะ หลังจากกลับมาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน โรคลูคีเมียของเอกก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกคนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะหายขาด ทุกคนต่างก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 เดือน เอกกลับมามีอาการอีกครั้ง และครั้งนี้อาการหนักกว่าเดิม นอกจากนี้ฟ้าก็ฝันเห็นวิญญาณผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เขามาบอกว่าให้ขึ้นไปไหว้อีกครั้ง แต่คราวนี้เอกไม่เชื่อและเลือกที่จะไม่กลับไปไหว้เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกใช้เป็นข้อต่อรอง เขารู้ตัวว่าอาการป่วยครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์แน่ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เอกก็เสียชีวิตลงด้วยการกระอักเลือด เลือดออกทางรูทวาร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีอาการทรุดหรือผิดปกติ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะวิญญาณผีผู้หญิงตนนี้ก็มาเข้าฝันฟ้าอีกครั้งแล้วบอกว่า ‘จะเอาไปอยู่ด้วยอีกคน’ ด้วยความกลัวจึงติดต่อคุณส้มให้ไปช่วยสื่อสารให้ เมื่อคุณส้มไปถึงพื้นที่ก็เจอกับดวงวิญญาณดวงนี้ ในคืนนั้นคุณส้มและทีมงานลงพื้นที่ถึง 3 โลเคชันโลเคชันที่ 1 บ้านของฟ้า คุณส้มได้ทำการสื่อสารและสืบเรื่องราวประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายข้อมูลก็ไม่เกี่ยวกับเอกเลย มีเพียงวิญญาณหญิงชุดขาวที่พยายามจะสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเปลี่ยนโลเคชันโลเคชันที่ 2 บ้านของเอก คุณส้มได้สื่อสารและพยายามพูดคุยกับพ่อแม่ แต่พวกท่านยังคงมีอาการเสียใจจากการสูญเสียลูก พูดรู้เรื่องแต่ช้า ส่วนดวงวิญญาณของเอกก็สัมผัสได้ว่าไม่ได้อยู่บริเวณในบ้าน แต่จะอยู่หน้าบ้านในสภาพนั่งยองและมีวิญญาณหญิงชุดขาวจิกหัวอยู่ เหมือนเป็นทาส เหตุการณ์นี้ทำให้ฉุดคิดได้ว่ามันแปลกและต้องมีอะไรบนเขาแน่ ๆ จึงเปลี่ยนโลเคชันอีกครั้งสุดท้าย โลเคชันที่ 3 เขาบริเวณที่ตกปลา การไปสถานที่นี้มีพ่อแม่ของเอกขับรถขึ้นไปด้วยตัวเอง เมื่อไปถึงก็จะพบกับโขดหิน 2 ก้อน บนโขดหินฝั่งซ้ายมีวิญญาณผู้ชายนั่งชันขาข้างขวา หันหน้ามามองทีมงานด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อพูดลักษณะออกมา ฟ้าและครอบครัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือ ‘วิญญาณของเอก’ แน่นอน เมื่อนำรูปมาเทียบก็ยืนยันได้ว่าคนเดียวกัน ซึ่งที่สำคัญหินก้อนนั้นคือบริเวณที่เอกได้ไปปัสสาวะไว้นั่นเอง คืนนั้นท่ามกลางความมืดแต่ภาพข้างหน้ายังชัดเจนเหมือนมีแสงไฟสาดส่องไป จนทำให้คุณส้มต้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ คุณพ่อคุณแม่เมื่อทราบว่าลูกยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ แถมโดนกดกักขังไว้ให้เป็นเบี้ยล่างและบริวารอีก จึงร้องไห้สะอื้นออกมา การช่วยเหลือในครั้งนี้ลำพังแค่คุณส้มคงไม่สามารถช่วยได้ จึงมีคุณโอมาช่วยเพิ่ม จากนั้นก็เริ่มทำพิธีทางเต๋า เพื่อเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน โดยการสร้างม่านกำบังไม่ให้วิญญาณผู้หญิงติดตามมา ขณะที่กำลังทำพิธีกรรมก็มีอภินิหารเกิดลำแสงส่องสว่างขึ้นมาบนน้ำคล้ายเงาจันทร์แม้คืนนั้นจะไม่มีพระจันทร็ตาม ทุกคนเห็นจึงเริ่มถอยห่างพร้อมจุดธูปคนละดอกให้พ่อแม่เรียกชื่อลูกและเดินกลับไปที่รถ ห้ามหันมามองเด็ดขาด ตลอดการเดินแม่เรียกลูกตลอดทาง “ไปอยู่กับแม่นะ”, “กลับมาหาแม่นะลูก” พร้อมเสียงสะอื้นจนจะขาดใจ กว่าวิญญาณของเอกจะหลุดพ้นมาได้ก็โดนวิญญาณหญิงชุดขาวฉุดรั้งไว้ เกิดการต่อสู้กับวิชาของคุณโอพอสมควร เมื่อดวงวิญญาณออกมาได้ บรรยากาศตรงนั้นกลับเกิดฝนปรอย ๆ เหมือนน้ำมนต์ พร้อมกับดวงจันทร์ที่ออกจากเงาเมฆพอดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าดวงวิญญาณได้ออกมาแล้ว เอกนั่งบนหลังคารถกระบะลงมาจากเขาพร้อมกับทุกคน เมื่อมาถึงบ้าน รถยังไม่ทันจอดสนิท สุนัขตัวโปรดที่ดุจนต้องล่ามโซ่ไว้กลับทำเสียงอ้อนด้วยความคิดถึง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สุนัขตัวนี้เป็นทุกครั้งเมื่อเห็นเอกกลับบ้าน ทำให้มั่นใจว่าวิญญาณของเอกกลับถึงบ้านแล้วจริง ๆ เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณโอได้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณให้สถิตไว้ในรูปและทำตามพิธีกรรมต่อไป ในขณะที่วิญญาณของเอกออกมาได้แล้ว แต่วิญญาณหญิงชุดขาวก็ยังคงอยู่ที่เดิม คุณส้มจึงสัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นของเขาเพราะรู้สึกเหมือนเขาพยายามที่จะจัดการเรา เช่น เข้าฝัน หรือทำให้กลัวจนหลอน ดวงวิญญาณดวงนี้คือคนงานที่ถูกฆาตกรรมแล้วโดนผลักตกลงไปในน้ำ ทำให้จิตสุดท้ายก่อนตายมีแรงอาฆาตสูงจึงคิดจะเอาชีวิตคนไปอยู่ด้วยตลอด สุดท้ายคุณส้มทำการสวดมนต์ แผ่เมตตา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันเพื่อบรรเทาความรุนแรง เมื่อไหร่ที่ไปทริปทำบุญก็กรวดน้ำให้ตลอด..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1