รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

อังคารคลุมโปง RECAP

รับของมาไม่รู้ตัว พอไม่สวดมนต์ให้ก็ตามมาหาถึงเตียง! ร้องบอก “กูหิว กูหิว!” จนอยู่แทบไม่ได้ สุดท้ายไปหลอกฝรั่งว่าเป็นแองเจิ้ลของไทย บูชาแล้วจะได้ดี!

24 ก.พ. 2024

           เมื่อย้ายห้องไปอยู่กับรุ่นน้องที่ทำงาน แต่กลับเจอเป็นพวงกุญแจผู้หญิงเปลือยกาย ก็คิดว่าไม่มีอะไรจึงเก็บไว้กับตัว จนเจอดีถึง 3 ครั้ง! สุดจะทนต่างคนต่างอยู่ละกันก็นำไปทิ้งโดยไม่ทำพิธี แต่แล้วก็ต้องช็อคเมื่อสิ่งนั้นกลับมาอีกครั้ง! เรื่องนี้ ‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘กูหิว’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณออโต้’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณขวัญน้ำมันพรายได้ฟัง โดยคุณออโต้เล่าว่า พึ่งได้รับเรื่องนี้มาเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งคนที่ฝากเรื่องมาคือ ‘คุณดา’ มีอาชีพเป็นผู้ช่วยเชฟอยู่ต่างประเทศ (จากนี้จะขอเรียกว่าพี่ดา) เมื่อพี่ดาไปทำงานที่ต่างประเทศ ช่วงที่ไปทำงานแรก ๆ นั้นสถานที่พักอาศัยยังไม่สะดวก จึงต้องไปอยู่รวมกับคนไทยที่รู้จักกันในบ้านหลังใหญ่ แต่ด้วยความที่พี่ดาต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อทำงานได้ประมาณ 2-3 ปี อยู่ดี ๆ มีน้องที่ทำงานชื่อว่า  ‘คุณส้ม’ บอกพี่ดาว่า “พี่ดา คอนโดที่หนูอยู่ รูมเมทที่อยู่ห้องเดียวกันเขาออก พี่ดาเอาป่าว?” พี่ดาใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ตอบตกลง

           เช้าวันรุ่งขึ้นพี่ดาย้ายของไปอยู่ห้องใหม่ ซึ่งลักษณะของห้องนี้มี 2 ห้องอยู่ในห้องใหญ่ มีห้องน้ำและห้องครัวแยกต่างหาก พี่ดาอยู่อีกห้องหนึ่ง คุณส้มก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันเพราะทำงานที่เดียวกันและเป็นผู้ช่วยเชฟเหมือนกัน วันแรกที่พี่ดาเข้าไปอยู่นั้นก็ทำความสะอาดห้อง ด้วยความที่เป็นคนรักความสะอาดอยู่แล้ว ก็ปัดกวาดเช็ดถูผิวปากอารมณ์ดีเพราะดีใจที่ได้ห้องส่วนตัว นอกจากนี้ในห้องจะมีตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน พี่ดาปัดโดนอะไรบางอย่างหล่นลงบนพื้น พอหยิบขึ้นมาสิ่งนั้นเป็นเหมือนพวงกุญแจ รูปผู้หญิงเปลือย พี่ดาจึงคิดในใจว่า ‘น่ารักดี ใครเอามาทิ้งไว้ งั้นอยู่ด้วยกันละกัน’ จากนั้นพี่ดาจึงนำพวงกุญแจไปใส่ไว้ในกระป๋องสังกะสีที่วางอยู่บนหัวเตียงนอน

           พี่ดามักจะสวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป 2 เดือน มีอยู่คืนหนึ่งที่พี่ดาลืมสวดมนต์และแผ่เมตตา คืนนั้นฝันว่าตัวเองอยู่บนเตียง จู่ ๆ ระหว่างที่กำลังมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็มีเสียงเหมือนดัง ก๊อกแก๊ก ๆ เสียงเหมือนคนรื้อของ พี่ดาก็เหลือบตาไปมองตรงบริเวณต้นเสียง ซึ่งตรงนั้นเป็นเหมือนโต๊ะกินข้าวที่อยู่ในห้อง (พี่ดาเป็นคนที่ชอบซื้อของตุนไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง ขนมก็วางไว้ตรงนั้น) เมื่อหันไปมองปรากฏว่าในฝัน เห็นผู้หญิงนั่งยอง ๆ หันหลังให้อยู่บนเก้าอี้ ผู้หญิงคนนั้นพยายามค้นอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปสักพักพี่ดาก็สงสัยว่าใครมาอยู่ในห้องของตน ซึ่งลักษณะของผู้หญิงคนนั้นคือไม่ใส่เสื้อผ้า ระหว่างที่พี่ดากำลังคิดและกำลังจะเอ่ยปากถาม ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วหันหน้ามาพูดว่า “เอากูมาเลี้ยง แล้วปล่อยให้กูอดอยากทำไม กูหิว!” สักพักผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาหาพี่ดาแล้วกระโดดใส่ที่เตียง! พี่ดาสะดุ้งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมามีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก คุณส้มมาเรียกว่า “พี่ดาไปทำงานเร็ว ยังไม่ตื่นหรอ?” จากนั้นพี่ดาก็ไปทำงานและไม่ได้เล่าอะไรให้คุณส้มฟัง

           เวลาผ่านไปอีกประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นพี่ดาติดละครไทยจึงดูแล้วเผลอหลับไปจนลืมสวดมนต์ แต่คราวนี้พี่ดายืนยันว่าตนไม่ได้ฝัน ขณะที่นอนอยู่นั้นก็มีเสียงเปิดประตูดัง แอ๊ด… แล้วก็มีเสียงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงโต๊ะนั้น จากนั้นก็มีเสียงเหมือนค้นของ พี่ดาคิดว่าเป็นรูมเมท พี่ดาก็นอนตะแคงถามว่า “ส้มมารื้ออะไรวะตอนนี้ พี่จะนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ไป ๆ พี่จะนอน” หลังจากนั้นเสียงก็เงียบลง และไม่มีเสียงตอบกลับ พี่ดาสงสัยว่าทำไมคุณส้มไม่ตอบ เพราะปกติคุณส้มจะเป็นคนโต้ตอบเสียงแจ๋น จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ‘อ้าว กูล็อคห้องนี่หว่า!’ แล้วก็เอี้ยวคอหันไปดูที่โต๊ะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียง ปรากฏว่าพี่ดาเห็นเป็นผู้หญิงที่อยู่ในฝันมารื้อของอยู่บนโต๊ะ พี่ดาตกใจจึงหันไปดู ระหว่างที่พี่ดากำลังจะเอ่ยปากถาม เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนในฝัน และเหมือนผู้หญิงคนนั้นเขาจะรู้ว่าพี่ดารู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ พี่ดาตกใจมาก ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาพูดว่า “กูหิว!” แล้วกระโดดมาหาพี่ดา! พี่ดาดึงผ้าห่มคลุมโปงร้องกรี๊ดลั่นห้อง สักพักมีเสียงเคาะประตู คุณส้มถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดากลั้นใจสะบัดผ้าห่มแล้ววิ่งไปเปิดประตู คุณส้มเข้ามาในห้องและกระโดดกอดร้องไห้ พี่ดาบอกคุณส้มว่า “พี่เจอผี” แล้วเล่าทุกอย่างให้คุณส้มฟัง

         เมื่อคุณส้มได้ฟังเรื่องทั้งหมดกลับไม่มีอาการตกใจ แต่กลับนิ่งแล้วพูดว่า “พี่ดาเจอผีบราซิลหรอ? ไม่ใช่พี่คนแรกหรอกที่เจอ คนที่อยู่ในคอนโดนี้ก็เจอกันหลายคน” พี่ดาก็ถามว่า “แล้วมันคืออะไร” คุณส้มก็เล่าย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้วว่า ก่อนที่ส้มจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เขาเล่ากันว่าที่นี่เคยมีคนมาแบ่งห้องเช่ากัน และมีสาวจากประเทศบราซิลมาอยู่ที่นี่ เขาทำงานบริการก็พาลูกค้ามานอนที่ห้องนี้ แล้วเกิดการทะเลาะกัน จนผู้หญิงบราซิลถูกฆ่าตายในห้อง ซึ่งเป็นห้องที่พี่ดาอาศัยอยู่ พี่ดาก็พูดว่า “เฮ้ยแก แต่เขาพูดภาษาไทยนะ” ส้มก็พูดว่า “เอ๊ะ! หนูก็ไม่รู้อะพี่ แต่ที่นี่เขาเจอแต่ผีบราซิล” จบสนทนาเวลาก็ผ่านไป

           เช้าวันถัดมาพี่ดาก็บอกว่า “พี่ไม่ไหวว่ะส้ม พี่ลางานดีกว่า” พี่ดาลางานกับหัวหน้าแล้วนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้อง เมื่อตื่นมาตอนสาย จึงเดินลงไปข้างล่างใต้ตึกที่มีร้านโชว์ห่วย เจ้าของร้านเป็นคนที่มาจากประเทศอินเดีย ร้านก็จะขายของกินและขายเครื่องรางสายมู พี่ดาจึงพยายามไปตะล่อมถามคนขายและเล่าว่าตนเจอกับอะไร เจ้าของร้านก็พูดว่า “เธอเจอผีบราซิลหรอ?” ลูกค้าที่อยู่ในตึกก็พูดเหมือนกัน เมื่อเสร็จจากซื้อของพี่ดาก็ขึ้นไปบนห้องคิดในใจว่า ‘ไม่รู้เป็นเจ้าที่หรืออะไร แต่ต่างประเทศเจ้าที่พูดไทยได้ด้วยหรอ’ ตามความเชื่อของตนนั้นเวลาเจอผีก็จะสวดมนต์แผ่เมตตา จึงซื้อของขึ้นไปวางไว้หน้าห้อง จุดธูป 1 ดอกแล้วก็ไหว้พร้อมพูดว่า “หนูมาอยู่ที่นี่นะ อย่าทำอะไรหนูเลย ให้หนูอยู่พักผ่อนอย่างดี” หลังจากนั้นพี่ดาก็เข้านอน

          เวลาผ่านไป 3-4 เดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนอยู่มาวันหนึ่งเป็นวันที่พี่ดาเล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “พี่จำไม่เคยลืมเลยเรื่องนี้” วันนั้นพี่ดารู้สึกเพลียเพราะเป็นประจำเดือนจึงนอนพัก จากนั้นก็เผลอหลับไปและลืมสวดมนต์อีกเช่นเคย พี่ดาตื่นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงเหมือนเดิม มีคนเปิดประตูเข้ามา แต่คราวนี้พี่ดาเปิดประตูไว้ เพราะว่าเผื่อคุณส้มจะเข้ามาเอาของ และเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันห่างมาหลายเดือนคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่อยู่แล้ว ระหว่างที่พี่ดานอนหลับนั้น เสียงเปิดประตูก็ดัง แอ๊ด… พี่ดาสงสัยว่าเป็นคุณส้มที่มาค้นของจึงพูดว่า “ส้ม รีบเอารีบออกไปพี่จะนอน พี่เพลีย วันนี้พี่เป็นประจำเดือนด้วย” หลังจากพูดจบเสียงก็เงียบ และไม่มีเสียงตอบกลับ สักพักพี่ดาลืมตาแล้วเอี้ยวคอมาดูเหมือนเดิม สิ่งที่เห็นคราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งครั้งแรกเจอในฝัน ครั้งที่ 2 เจอผู้หญิงนั่งหันหลังให้ แต่ครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว แล้วก็หันหน้ามามองพี่ดาพร้อมกับโยกหัว และพูดว่า “กูหิว เอากูมาเลี้ยงทำไมเลี้ยงกูไม่ดี กูหิว มึงเข้าใจไหม กูหิว!!!”

         หลังจากนั้นพี่ดาตกใจลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังกระโดดเข้ามาหาตน และระหว่างที่จะลอยมาหานั้นร่างก็หายไป พี่ดาก็อึ้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ดาจึงมองหาว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน เหลือบไปมองปลายเตียง ก็ค่อย ๆ มีมือเกาะขอบเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากขอบเตียง เมื่อเห็นหน้าเต็ม ๆ พี่ดาเล่าให้ฟังว่า หน้าของเขาเป็นหน้าซีด ๆ แต่ที่แปลกคือตาของเขาโตเป็นไข่ห่าน และแลบลิ้นเลีย พี่ดารีบดึงเท้าของตน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นตะปบขา แล้วจับขาไว้ แลบลิ้น และคลานเข้าไปหาพยายามเอาหน้าซุกตรงระหว่างขาของพี่ดา พี่ดากรีดร้องด้วยความกลัว จนคุณส้มเปิดประตูเข้ามาและถามว่า “พี่ดาเป็นอะไร ๆ” พี่ดาก็พยายามเหวี่ยงมือสะบัดจนปัดไปโดนกล่องบนหัวเตียง พี่ดาจะก้มเก็บ แต่คุณส้มบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวหนูช่วย” คุณส้มก็ช่วยเก็บ เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณส้มก็พูดกับพี่ดาว่า “พี่ดาเลี้ยงอีเป๋อด้วยหรอ?” พร้อมทั้งหยิบของขึ้นมาแล้วชูให้พี่ดาดู พี่ดาก็ตอบกลับไปว่า “อีเป๋อไหน?” ความจริงแล้วเป็นพวงกุญแจที่เคยหล่น แล้วพี่ดาลืมไปว่าตนเก็บใส่กล่องเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออีเป๋อ!

          พี่ดาก็ถามว่า “แล้วอีเป๋อมันคืออะไรพี่ไม่เข้าใจ” คุณส้มบอกว่า “ก็นี่ไงเล่นของเรียกมนต์เสน่ห์ ถ้าเลี้ยงบูชาดี ๆ หรือถ้าดีไปกว่านั้นก็คือ เนี่ยถ้าเอาประจำเดือนให้เขาจะดีมากจะประสบผลสำเร็จ” พี่ดาบอกว่า “อะไร กูไม่ได้เลี้ยง มันมาเอง กูเห็นมันอยู่บนหลังตู้” จากนั้นจึงโทรกลับไปหารูมเมทคนเก่าที่เป็นคนไทยซึ่งเคยทำงานด้วยกัน เมื่อโทรไปทั้งคู่เปิด สปีกเกอร์โฟนและด่าทอว่า “ทำไมเอามาเลี้ยงแล้วมึงไม่เอาไปด้วยล่ะ?” คนที่รับสายนั้นอยู่ประเทศไทยก็ไม่ฟังอะไร พูดสวนกลับมาว่าของมันดี ฝั่งพี่ดาก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันออกค่าขนส่งให้ เดี๋ยวจ่ายเองเอาไปเลย” ปลายสายก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ แบ่ง ๆ กันใช้” แล้วก็รีบวางสายไป จากนั้นพี่ดาโมโหจึงเอาทิชชูห่ออีเป๋อเดินไปตรงหน้าต่าง แล้วก็พูดว่า “มึงกับกูต่างคนต่างอยู่ละกัน” แล้วจึงขว้างอีเป๋อออกไปข้างนอก เสร็จแล้วพี่ดาก็สบายใจขึ้น

          เช้าวันถัดมา ต่างคนก็ต่างออกไปทำงาน ตกเย็นพี่ดาเข้าห้องก่อน ส่วนคุณส้มซึ่งทำโอทีตามมาทีหลัง คุณส้มก็มาเคาะประตูแล้วพูดว่า “พี่ดา ๆ มานี่ มานี่เร็ว” พี่ดาเปิดประตูออกไปหาคุณส้ม ณ ตอนนั้นคุณส้มยืนอยู่ตรงหน้าประตู แต่ไม่ยืนใกล้ประตูและชี้ลงพื้น ถามว่า “พี่ดา พี่เอามาทำไม? ปรากฏว่าอีเป๋อวางอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ดาก็ช็อกไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาคลอคิดว่าชีวิตเจอกับอะไรอยู่ ขนาดปาทิ้งยังกลับมาอีก คุณส้มก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ หนูจัดการเอง” คุณส้มจึงตัดสินใจคว้าอีเป๋อยัดใส่ถุงดำวิ่งลงไปข้างล่าง ขณะนั้นรถขยะมาพอดี คุณส้มจึงโยนใส่รถขยะไป และอีเป๋อก็ไปกับรถขยะ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ

          เวลาผ่านไป 2-3 เดือน พี่ดาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าเชฟ จากที่เคยเป็นผู้ช่วยเชฟ แต่เจ้านายอยากให้พี่ดาไปดูแลสาขาอีกเมือง จึงต้องย้ายห้อง ระหว่างนั้นคุณส้มชวนแฟนชาวต่างชาติมาช่วยขนของ จากนั้นก็นั่งกินเลี้ยงกันเพื่อขอบคุณ พี่ดานั้นเป็นคนที่เก็บแก้วแหวนเงินทองที่สะสมไว้ในถุงแดง เมื่อหยิบมาจากบนหัวเตียงแล้วแกะดู จู่ ๆ ขณะที่เปิดถุงแดงพี่ดาก็ขว้างลงพื้น ของกระจายเต็มไปหมด และมีสิ่งหนึ่งกลิ้งมาตรงโต๊ะที่คุณส้มและแฟนนั่งอยู่ ปรากฏว่าอีเป๋ออยู่ในถุง! พี่ดาเห็นแบบนั้นก็ร้องไห้ พี่ดากลัวแฟนต่างชาติของคุณส้มตกใจ จึงวิ่งไปล้างหน้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอคุณส้มยืนยิ้มอยู่หน้าห้องน้ำ คุณส้มพูดว่า “พี่ดา ไม่ต้องห่วงแล้วนะ หนูหาทางออกให้พี่ได้แล้ว” พี่ดาก็ถามว่า “ยังไงอะ?” คุณส้มตอบว่า “ผัวฝรั่งหนูคนนี้ มันเปิดร้านอาหารกลางคืน หนูก็ไปหลอกมันว่าเป็นแองเจิ้ลของคนไทยนะ เนี่ยเอาไปบูชาถ้ามีประจำเดือนก็ให้กิน” แฟนของคุณส้มก็งงว่ากินประจำเดือนด้วยหรอ แต่ก็ยินดีรับไป หายไปประมาณเกือบครึ่งปี คุณส้มมีโอกาสได้ไปหาพี่ดาอีกเมือง เมื่อคุณส้มเจอพี่ดาก็ยื่นเงินให้หนึ่งหมื่น พี่ดาก็ถามว่า “เงินใคร?” คุณส้มก็บอกว่า “อ้าว ก็ส่วนแบ่งไง แบ่งกันคนละหมื่น” ฝรั่งคนนั้นบูชาอีเป๋อไปสองหมื่นบาท แล้วปรากฏว่า ในช่วงเวลานั้นกิจการของเขารุ่งเรือง เปิดร้านหลายสาขา แต่ชีวิตครอบครัวจากที่อบอุ่นก็แตกแยกกัน และทุกวันนี้อีเป๋อก็อยู่กับฝรั่งคนนั้น…

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณจ๊อด มนต์ดำ ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

12 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณจ๊อด มนต์ดำ ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

‘คุณจ๊อด มนต์ดำ’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องเกี่ยวเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นภายในร้านซ่อมรถแห่งหนึ่ง ที่มีคนนำรถมอเตอร์ไซค์ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมาซ่อม แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ขนหัวลุก เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ คุณจ๊อดเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชาย ให้นามสมมติว่า ‘พี่โอ’ เขาเปิดร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ และใช้ร้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัยอยู่ด้วย โดยอาศัยอยู่เพียงลำพัง วันหนึ่ง มีวัยรุ่นชายคนหนึ่งนำรถมอเตอร์ไซค์มาให้ซ่อม สภาพรถค่อนข้างยับเยิน ต้องใช้เวลาซ่อมนานกว่าปกติ ระหว่างที่ยังซ่อมไม่เสร็จ พี่โอก็นำรถคันนั้นเก็บไว้ภายในร้าน คืนนั้น พี่โอรู้สึกแปลก ๆ เหมือนในร้านไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนคอยมองอยู่ตลอดเวลา ตอนอาบน้ำก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ในร้าน แต่ก็พยายามคิดว่าอาจคิดมากไปเอง จึงเข้านอนตามปกติ กระทั่งเวลาประมาณตีสอง พี่โอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่ชั้นล่าง สักพักเสียงนั้นก็เดินขึ้นบันไดมา จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก สิ่งที่เขาเห็นคือเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว สีดำ มองไม่เห็นหน้า ขณะนั้นพี่โอรู้สึกเหมือนโดนผีอำ ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่นั่งมองเงานั้นลอยมานั่งอยู่บนตัวเขา เขาพยายามตั้งสติและสวดมนต์ แต่สิ่งที่ได้ยินคือเสียงกระซิบของผู้หญิงคนนั้นที่พูดว่า “มึงจะสวดทำไม ไปอยู่กับกูดีกว่า...” พี่โอตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่พลันนึกขึ้นได้ว่ามีหลวงปู่ทวดอยู่บนหัวเตียง จึงคว้ามาวางไว้บนอก ทันใดนั้น วิญญาณผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! หลังจากขยับตัวได้ เขาก็รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากร้าน ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดของถนน ในขณะที่ขับไปก็รู้สึกเหมือนมีลมหายใจรดต้นคอ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเดิมซ้อนท้ายมาด้วย! พี่โอรีบขับรถไปเคาะประตูบ้านของคุณจ๊อด พร้อมพูดซ้ำ ๆ ว่า “ช่วยด้วย ผีหลอก!” คุณจ๊อดตกใจและพาพี่โอไปโรงพยาบาล แต่ผลตรวจออกมาพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พี่โอยังมีอาการหวาดระแวงและไม่เป็นปกติ จึงตัดสินใจพาไปสำนักทรง ทันทีที่กำลังจะเดินขึ้นไปหาร่างทรง ก็ถูกทักว่า “เอาผีมาทำไม!” จากนั้นร่างทรงได้นำน้ำมนต์มารดตัวพี่โอ แล้วพาทุกคนกลับไปที่ร้านซ่อมรถ พร้อมกับพรมน้ำมนต์รอบร้าน ด้วยความสงสัยจึงถามร่างทรงว่า “ผีผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน?” ร่างทรงก็ชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันที่ยังซ่อมไม่เสร็จ แล้วพูดว่า “วิญญาณผู้หญิงคนนั้นติดมากับรถคันนี้” ไม่นานนัก เจ้าของรถก็กลับมาเอารถ พอถามว่า “รถคันนี้ของใคร?” วัยรุ่นชายเจ้าของรถก็ตอบว่า “รถพี่สาวผมเองครับ พี่สาวผมทำงานโรงงาน ขี่รถแล้วถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิต” เมื่อได้ฟังคำตอบ ทุกอย่างก็ชัดเจน วิญญาณของพี่สาวคนนั้นยังไม่ไปไหน และตามติดรถกลับมาที่ร้านซ่อม เหตุการณ์ครั้งก็นี้ทำให้พี่โอเชื่ออย่างสนิทใจว่า ‘สิ่งที่มองไม่เห็น นั้นมีอยู่จริง..’เขียน: ชิติพัทธ์ เพ็ชรมาลัยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณดิว 'หลังเที่ยงคืน' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

15 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณดิว 'หลังเที่ยงคืน' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณดิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (10 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘หลังเที่ยงคืน’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! โดยคุณดิวเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นตนจัดทริปกับเพื่อนไปเที่ยวทะเลด้วยกัน โดยทำการจองโรงแรมผ่านแอพฯ เลือกที่อยู่ใกล้กับร้านอาหารที่ทานเป็นประจำ โดยมีข้อแม้ว่า ให้มีสระน้ำใหญ่ เพราะไปกันทั้งหมด 7 คน รวมทั้งหมด 3 ห้อง ห้องแรก ‘ห้อง A’ อยู่กัน 3 คน เป็นห้อง Family Type ห้องที่สอง ‘ห้อง B’ สำหรับแฟนที่อยู่กัน 2 คน และห้องสุดท้าย ‘ห้อง C’ สำหรับตนเองอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ห้องทั้งหมดจองได้ชั้น 4 ของโรงแรม ซึ่งเป็นชั้นของสระว่ายน้ำพอดี พอไปถึงโรงแรมก็ทำการเช็คอิน และขึ้นห้องตามปกติ โรงแรมสวยตามรูป ตรงตามปก ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ แต่สิ่งที่ผิดปกติมันเกิดขึ้นตอนหลังเที่ยงคืน.. พอหลังเที่ยงคืน ในห้อง A มีเพื่อนคนหนึ่งให้นามสมมติว่า ‘กุ้ง’ สะดุ้งตื่นขึ้นมา กุ้งบอกว่า แอร์ในห้องมีการถูกปิดและเปิดใหม่ ซึ่งตอนนั้นทุกคนหลับกันหมดเเล้ว กุ้งจึงพยายามจะนอนต่อ โดยลักษณะของห้อง A จะมีห้องนั่งเล่นก่อน แล้วเป็นห้องนอน แต่ในคืนนั้น กุ้งได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ทำให้นอนไม่หลับ จึงต้องออกมาเปิดไฟนั่งอยู่ข้างนอก เหตุการณ์ต่อไปเกิดในห้อง C ห้องนี้มีคุณดิวและเพื่อนที่เป็นผู้หญิงให้นามสมมติว่า ‘เนย’ ลักษณะห้องคือ พอเปิดประตูเข้าไปขวามือจะเป็นตู้เสื้อผ้า ซ้ายมือจะเป็นห้องที่เป็นกระจกใสเห็นข้างในห้องน้ำได้ ซึ่งจะติดอยู่กับเตียงนอน มีม่านกั้นแต่ก็ยังมองเห็นหากมีอะไรในห้องน้ำ พอหลังจากเวลาเที่ยงคืน เนยก็เข้าไปอาบน้ำ ส่วนดิวนั่งอยู่ที่เตียงร้องเพลงเล่นอยู่ ระหว่างนั้นก็เห็นเงาที่ลักษณะเป็นเหมือนกับผู้ชาย ไม่มีผม ดูซูบผอม สูงเกือบถึงเพดาน หลังค่อม แขนและขายาวผิดรูปมนุษย์ เหมือนเขากำลังก้าวเดินอยู่ในห้องน้ำ และมาที่อ่างอาบน้ำที่ติดอยู่กับเตียงของตน! ดิวจึงตะโกนเรียกเนยว่า “อาบน้ำแล้วหรอ?!” เพื่อนตอบกลับมาว่า “ยัง เรานั่งส้วมอยู่” จริง ๆ ดิวก็รู้เเล้วนั่นว่าไม่ใช่เนย แต่ที่ถามก็เพราะว่าไม่อยากคิดมาก หลังจากนั้น ก็ยังไม่ได้พูดอะไร รอจนเนยออกมาจากห้องน้ำ แล้วดิวก็ไปอาบน้ำต่อ พออาบเสร็จ ก็กลับมานั่งฟังเพลงที่ตนบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ จำได้ว่าร้องเพลงปกติ เริ่มต้นเพลงก็เป็นเสียงของตน แต่พอผ่านไปไม่กี่วินาที ก็เป็นเสียงซ่า แล้วก็เสียงวี๊ด จนจบเพลง ตอนนั้นก็ส่งบันทึกเสียงนี้ให้เพื่อนในแอพฟัง เพื่อนก็บอกว่า “มันแปลก ๆ แล้วนะแบบนี้” ซึ่งที่ผ่านมา ดิวก็เล่นแอพนี้มาตลอด แต่ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ดิวก็ทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็ปิดไฟนอน พอช่วงเวลาประมาณตี 2 ทั้ง ๆ ที่หลับไปแล้วแต่ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าเปิดออกดัง แอ๊ดดด แล้วก็ ปึ้ง! ดิวตื่นแล้วก็นอนฟัง เสียงนั้นก็เงียบ สักพักมันดังขึ้นมาอีกรอบ ครั้งนี้ดิวลุกขึ้นมาชะโงกดู ก็ไม่เจออะไร ตู้ก็ปิดสนิท จึงนอนเล่น ไม่นานเนยก็ลุกขึ้นมา แล้วชะโงกหน้าตาม พอเนยนอนลงมา เนยก็พูดว่า “ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม” พอพูดจบ เสียงก็ดังอีกครั้ง แอ๊ดดด ปึ้ง! ทั้งคู่จับมือกัน แล้วลุกขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม พอลงมานอนอีกรอบ มันกลับดังมากกว่าเดิม! เป็นเสียงปิดประตูตู้เสื้อผ้า 3 รอบ ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง! เหมือนคนปิดประตูห้อง จึงโทรหาเพื่อนที่อยู่ห้อง A ว่าจะขอไปหา ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณเกือบตี 4 ทั้งโรงแรมเงียบมาก ทั้งหมดอยู่กันจนถึงประมาณ 6 โมง และก็โทรหาเพื่อนห้อง B ให้นามสมมติว่า ‘หยาด’ ซึ่งหยาดก็บอกว่า “อยู่ที่ล็อบบี้แล้ว” ดิวก็รู้สึกแปลกใจ เพราะมันเช้าเกินไป หยาดจึงเล่าให้ฟังว่า.. ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเช็คอิน ทุกคนรวมถึงแฟนของหยาดก็นั่งรออยู่ที่สระว่ายน้ำ แต่หยาดอยากขึ้นไปเปลี่ยนชุด แม้โรงแรมจะมีหลายห้องแต่มีลิฟต์แค่ตัวเดียวกลางโรงแรม หยาดก็เข้าลิฟต์ พอขึ้นไปได้ 2 ชั้น ไฟก็ดับ แล้วลิฟต์ก็หล่นลงมา ค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่ชั้น 1 ใหม่ หยาดพยายามกดปุ่มเรียกพนักงาน เเต่ประตูเปิดออกพอดี จึงเดินออกมา แล้วก็ลิฟต์ขึ้นไป แต่ประตูไม่เปิดแล้ว หยาดจึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไป และเล่าให้แฟนฟัง หลังจากนั้น พอขึ้นไปที่ห้อง คือลักษณะห้อง B จะเหมือนกับห้อง C แต่ของหยาดเป็นเตียงคู่ ตอนที่เปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นอับ ทั้งที่ห้องดูใหม่ หยาดและแฟนก็อยากย้ายห้อง แต่เกรงใจอีก 2 ห้องที่มาด้วยกันจึงไม่ได้ย้าย เมื่อถึงเวลานอน หยาดนอนเตียงติดห้องน้ำ ส่วนแฟนนอนเตียงที่ติดกับหน้าต่าง พอหลังเที่ยงคืน หยาดได้ยินเสียงน้ำที่อ่างล้างมือหยด ติ้ง ติ้ง ติ้ง สักพักมันหยดเร็วขึ้น หยาดจึงเรียกแฟนประมาณ 2-3 ครั้ง แฟน : “มีอะไร” หยาด : “หนูเหมือนได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ” แฟน : “มันก็เป็นไปได้ที่จะได้ยิน ไม่แปลกอะไร” พอพูดจบ เสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงคนเปิดน้ำในห้องน้ำเหมือนคนเปิดน้ำเพื่อล้างมือแล้วก็ปิด! หยาดจึงย้ายไปนอนเบียดอยู่ที่เตียงของแฟน แฟนก็พยายามปลอบแล้วก็หลับไป ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไหร่ อยู่ ๆ หยาดก็ตื่นมาเพราะรู้สึกร้อน ปรากฎว่าไฟดับ แอร์ดับ หยาดหันไปมองที่เตียงที่เคยนอน ตอนนั้นทุกอย่างมืดหมด แต่ภาพที่เห็นมันชัดมาก ๆ คือเป็นผู้หญิงนอนอยู่ที่เตียงนอนตะแคงข้างหันมา พร้อมกับเอามือสางผมจากข้างหลัง แล้วพาดผมมาด้านหน้า แล้วค่อย ๆ ฉีกยิ้มเรื่อย ๆ ให้ ตัวของผู้หญิงคนนี้ซีด เหมือนศพจมน้ำ แต่ไม่ได้บวม ไม่ได้เละ จากนั้นหยาดก็กรี๊ดดังลั่นห้อง แล้วบอกแฟนว่า ”หนูว่าหนูโดนผีหลอกแล้ว ลงไปที่ล็อบบี้กันเถอะ” พอทั้งคู่ลงไปนั่ง ก็เห็นว่าเป็นเวลา ตี 3 เกือบตี 4 แล้ว เมื่อลงไปเช็คเอาท์ก็ถามพนักงานว่าในวันที่พวกเราเข้ามาพักนี้ มีคนเข้ามาพักกี่ห้อง แต่ก็ได้ความว่ามีแค่ 3 ห้อง ของพวกเราเท่านั้น ซึ่งแปลกมาก ๆ เพราะตอนที่เข้ามา ได้ยินเสียงแต่ละห้องเหมือนมีคนเข้าพักอยู่ แต่จริง ๆ กลับไม่มีใครเลย ดิวจึงถามไปตรง ๆ ว่า ”โรงแรมนี้มีผีมั้ย“ พนักงานก็อึ้งไปสักพัก แล้วก็บอกแค่ว่า “ไม่มีค่ะ“ แต่พอรู้ได้จากท่าทีของพนักงาน แล้วตนก็ถามต่อว่า ”เมื่อคืนนี้ที่โรงแรมไฟดับใช่มั้ย“ พนักงานบอกว่า ”โรงแรมไม่เคยฟังดับนะคะ เมื่อคืนก็ปกติดี“ ทั้ง ๆ ที่ห้องของเพื่อนทั้ง 2 ห้องไฟดับ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

14 ก.ย. 2023

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

เมื่อความหลอนมาเยือนตอนเข้าเวรไม่พอ แต่ยังตามติดไปถึงห้องน้ำยันห้องนอน สุดท้ายมารู้ความจริงทีหลังถึงขั้นหลอนซ้ำหลอนซ้อน! เรื่องราวนี้จะทำให้ประสบการณ์การทำงานตอนกลางคืนระแวงมากขึ้นขนาดไหน ‘คุณคิงส์’ ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ บอกเลยว่างานนี้คนทำงานกะดึกมีระแวงตามกันเป็นแถว ๆ แน่ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘วันที่เข้าเวร’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ตรงที่คุณคิงส์สัมผัสด้วยตัวเอง สมัยที่เพิ่งเข้าทำงานในช่วงแรกที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะที่ทำงานคือเป็นตึกสี่ชั้น พอเข้าไป พี่ ๆ ในที่ทำงานก็แจ้งว่าเวลาเข้ามาทำงานต้องมีการเข้าเวรเพื่อรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ด้วยความเป็นเด็กใหม่ คุณคิงส์ตื่นเต้นกับการเข้าเวรครั้งแรก คิดในใจว่าแค่เข้าเวรเฉย ๆ ก็ตื่นเต้นขนาดนี้ คงไม่มีอะไรตื่นเต้นมากกว่านี้หรอก เพราะว่าที่ทำงานก็อยู่ในกรุงเทพกลางใจเมืองพอสมควร เมื่อถึงวันเข้าเวรจริง ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ด้วยความเป็นตึกสี่ชั้น คุณคิงส์จึงต้องเดินตรวจทุกชั้น สองรอบ ในครั้งแรกเริ่มตรวจตอน 1 ทุ่ม ทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยดี และในรอบที่สอง เริ่มตรวจตอน 4 ทุ่ม ก็นัดกับรุ่นพี่ว่าจะเริ่มเดินตรวจจากชั้นสี่ไล่ลงมา แล้วจะมาเจอกันที่ชั้นหนึ่ง การตรวจเป็นไปอย่างปกติ เริ่มที่ชั้นสี่ คุณคิงส์ก็ไล่ปิดไฟในแต่ละชั้นลงมา เมื่อเดินลงมาถึงชั้นสาม ที่เป็นห้องประชุมและห้องทำงาน จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงตัวเครื่องกันไฟกระชากจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด คุณคิงส์จึงเดินเข้าไปหาว่าห้องไหนลืมปิดคอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งที่ตึกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกระจก ส่วนประตูจะเป็นบานสวิง ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ก็ก้มหน้าหยิบกุญแจขึ้นมา แล้วค่อย ๆ เสียบเข้าไปในช่องกุญแจ ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้ออกแรง แต่ประตูกลับมีแรงดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปข้างใน! ด้วยความตกใจจึงส่งเสียง “เห้ย!!!” ออกมาแล้วหันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีใคร และตะโกนออกไปว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ผมเข้ามาตรวจเวรครับ” แต่ทุกอย่างกลับเงียบ.. ไม่มีเสียงตอบกลับมา! จากนั้นก็ค่อย ๆ เอาหน้าแนบไปกับกระจก ชำเลืองมองเข้าไปข้างใน เห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีการกั้นห้องของระดับหัวหน้าแผนกสองห้องอยู่ข้างใน สักพักสายตามองเห็นเหมือนเป็นคนเดินผ่านวูบนึงไป! จึงตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ใครครับ ใครอยู่ในห้องครับ” แต่ก็ยังเงียบไม่มีใคร คุณคิงส์ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องมืด มีเพียงแสงไฟจากข้างนอกสะท้อนเข้ามา เมื่อเดินดูรอบ ๆ ห้องปรากฎว่าไม่มีใครจริง ๆ แต่สายตาหันไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเปิดอยู่ จึงปิดให้เรียบร้อย เหมือนจะไม่มีอะไรแล้วก็กำลังจะเดินออกมา แต่หางตาก็เห็นเป็นคนเดินอีกรอบ แต่รอบนี้เดินอยู่ในห้องเล็ก คุณคิงส์ยังรู้สึกไม่มั่นใจจึงตะโกนอีกครั้งว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะล็อคห้องแล้วนะครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา ด้วยความสงสัย คุณคิงส์จึงเดินไปที่ห้องเล็กด้านซ้าย ปรากฏว่าห้องที่เห็นว่ามีคนเดินเข้าไป ไม่มีใครสักคน ในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้คือ ควรเอาตัวเองออกจากจุดนี้! จึงรีบเดินออกมาแล้วล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเดินลงไปที่ชั้นสอง แต่ตอนนั้นคุณคิงส์เดินออกมาได้แค่ 3 ก้าว เสียงเขย่าประตูก็ดังขึ้น กึ้ก กึ้ก กึ้ก กึ้ก! จากข้างในห้องที่ล็อคแล้ว คุณคิงส์หันไปอีกรอบ แว็บเดียวที่เห็นคือ คนยืนตะคุ่มอยู่! จากนั้นคุณคิงส์ก็ไม่สนอะไรแล้วรีบเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งทันที! เมื่อเจอรุ่นพี่ที่รออยู่เขาก็ถามว่า “เป็นอะไรทำไมหน้าตาตื่น ๆ” คุณคิงส์กำลังจะเล่าแต่รุ่นพี่ก็ทำท่าให้หยุดแล้วพูดขึ้นว่า “กลางคืนเขาไม่ให้เล่า” จากนั้นรุ่นพี่ก็ให้แยกย้าย คุณคิงส์จึงขึ้นไปทำธุระที่ชั้นสอง ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ จึงตะโกนไปว่า “พี่จะมาตรวจเวรหรอครับ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ คุณคิงส์คิดขึ้นได้ว่าการที่จะเข้ามาในห้องน้ำได้ ต้องมีเสียงประตูก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียอะไร จึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ถามอีกรอบ “ใครครับ” ไม่มีเสียงตอบกลับแต่มีเสียงคนกำลังทำอะไรอยู่บางอย่างที่อ่างล้างมือ คุณคิงส์คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก จึงรีบอานน้ำต่อให้เสร็จ พออาบน้ำเสร็จ คุณคิงส์กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัว ปรากฏว่าเห็นเป็นมือสองข้างกำลังเกาะอยู่ที่ขอบประตูด้านบน ลักษณะเป็นมือเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ตอนนั้นคุณคิงส์ชะงักไปไม่เป็น คิดว่ารุ่นพี่รับน้องแกล้ง จึงกลั้นใจเปิดน้ำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งระดับขึ้น จากนั้นก็สาดขึ้นไปด้านบน แล้วมือนั้นก็หายไป! คุณคิงส์รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีเสียงเปิดประตู คุณคิงส์รู้สึกอาการไม่ค่อยดีจึงรีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นคุณคิงส์พยายามสวดมนต์ไหว้พระก่อนที่จะเดินไปส่องหน้าต่างดู มองรอบ ๆ ก็ไม่มีอะไร จึงตัดสินใจปิดไฟ แต่ไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเขย่าประตูดังขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว! ที่นี่ไม่มีใครสามารถเข้าได้ นอกจากคนด้านในจะเปิดออกไป คุณคิงส์จึงส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ว่าได้เดินขึ้นมาชั้นสองหรือไม่ แต่รุ่นพี่ก็ปฏิเสธ คุณคิงส์คิดว่าคืนนี้จะสวนมนต์ชุดใหญ่ จากนั้นก็นอนหลับไป แต่ในตอนที่นอนอยู่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มมันค่อย ๆ ไหลลงไป จากหน้าอก ไหลลงไปที่เอว จนเริ่มรู้สึกตัวชัดขึ้นแต่ไม่กล้าลืมตา คิดว่าโดนรับน้องอีกแน่นอน แต่ก็จำได้ว่าห้องมันล็อค ไม่มีใครเข้ามาได้แน่ ๆ จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วกระตุกผ้าห่ม แต่มันกลับมีแรงรั้งไว้! จุดนั้นคุณคิงส์ลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่เห็นคือ ผ้าห่มถูกยกขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมาที่เท้า! คุณคิงส์ทิ้งทุกอย่างแล้วรีบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เพื่อไปขอนอนกับรุ่นพี่ เช้าวันถัดมา คุณคิงส์ก็เล่าเหตุการณ์ให้พี่ในแผนกฟังว่าเจออะไรบ้าง พี่ ๆ ในแผนกก็มองหน้ากันด้วยความเลิ่กลั่ก แล้วถามย้ำว่า “เจอจริง ๆ หรอ” จากนั้นก็พาเดินไปดูในห้องเล็ก แล้วชี้ให้มองตรงมุมห้องเล็ก หลังตู้เอกสาร เห็นเป็นน้ำแดง น้ำเปล่า และพวงมาลัยวางอยู่ หลังจากนั้นพี่ในแผนกก็เล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี มีคุณป้าคนนึงนั่งทำงานฝ่ายบัญชี จู่ ๆก็บ่นว่าปวดหัวมาก แล้วก็เกิดอาการวูบระหว่างทำงาน แล้วเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล” หลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ ๆ ในแผนกก็มักจะเจอว่า ถ้าทำงานดึก จะเห็นคุณป้าคนนี้เดินอยู่ เหมือนยังวนเวียน ยังห่วงงานบัญชีที่ทำค้างไว้อยู่ (ค้างไว้แค่ 2 บรรทัด) คุณคิงส์ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “พี่ ผมว่าป้าแกห่วงเรื่องงาน เรามาช่วยงานของป้าให้เสร็จดีไหมครับ” จากนั้นก็ช่วยกันรวมยอดให้เสร็จ แล้วลงปากกาสีแดงว่า ‘ปิดบัญชี’ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำบัญชีนั้นเสร็จคือ ขวดน้ำที่ตั้งอยู่หลังตู้เอกสารล้มลง แล้วน้ำกระเด็นมาโดนสมุดบัญชี ทำให้คิดว่าป้ารับรู้แล้ว!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

20 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘ส้ม มัลนิการ์’ ที่มาเล่าเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไปตกปลาบนเขา แล้วปัสสาวะโดยที่ไม่ขอเจ้าที่เจ้าทางจนมีอันเป็นไป! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฉี่ทับที่ผี’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฟ้า’ (นามสมมติ) เธอเพิ่งสูญเสียสามีไป จึงติดต่อให้รายการช่วยเหลือ โดยสามีของเธอชื่อว่า ‘คุณเอก’ (นามสมมติ) วันหนึ่งคุณเอกได้ขึ้นไปตกปลาที่บึงร้างบนเขา แล้วเกิดปวดปัสสาวะ จึงไปปัสสาวะที่โขดหินริมน้ำก้อนหนึ่ง ซึ่งฟ้าเองก็ตกใจและเตือนสามีให้ไหว้เจ้าที่ก่อน เอกได้ยินก็ยกมือไหว้ส่ง ๆ เพราะส่วนตัวเอกไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน เอกก็มีอาการป่วยและตรวจพบว่าเป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งทั้งตระกูลไม่เคยมีใครเป็น ดังนั้นไม่ใช่กรรมพันธุ์แต่อย่างใด จากนั้นก็เข้ารับการรักษาตามอาการ ส่วนทางด้านฟ้าก็ฝันว่ามีวิญญาณผีผู้หญิงตัวเปียกน้ำใส่ชุดขาวมาบอกให้นำกระทงเซ่นไหว้ขึ้นไปไหว้ เขาไม่ได้มาขอร้องแต่เป็นการมาสั่งว่าต้องขึ้นไปไหว้ ฟ้ารู้สึกกลัวจึงไปบอกเอก แต่กลับได้คำตอบว่า “ไร้สาระ” ขณะนั้นเอง ครอบครัวของเอกก็มาได้ยิน ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่หากมีวิธีใดที่ทำให้ลูกดีขึ้นก็จะทำ ในที่สุดวันนั้นก็พากันขึ้นไปบนเขา พ่อกับแม่ได้นำกระทงไปวางไว้บริเวณหนึ่งใกล้ ๆ กับจุดที่เอกปัสสาวะ หลังจากกลับมาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน โรคลูคีเมียของเอกก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกคนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะหายขาด ทุกคนต่างก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 เดือน เอกกลับมามีอาการอีกครั้ง และครั้งนี้อาการหนักกว่าเดิม นอกจากนี้ฟ้าก็ฝันเห็นวิญญาณผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เขามาบอกว่าให้ขึ้นไปไหว้อีกครั้ง แต่คราวนี้เอกไม่เชื่อและเลือกที่จะไม่กลับไปไหว้เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกใช้เป็นข้อต่อรอง เขารู้ตัวว่าอาการป่วยครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์แน่ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เอกก็เสียชีวิตลงด้วยการกระอักเลือด เลือดออกทางรูทวาร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีอาการทรุดหรือผิดปกติ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะวิญญาณผีผู้หญิงตนนี้ก็มาเข้าฝันฟ้าอีกครั้งแล้วบอกว่า ‘จะเอาไปอยู่ด้วยอีกคน’ ด้วยความกลัวจึงติดต่อคุณส้มให้ไปช่วยสื่อสารให้ เมื่อคุณส้มไปถึงพื้นที่ก็เจอกับดวงวิญญาณดวงนี้ ในคืนนั้นคุณส้มและทีมงานลงพื้นที่ถึง 3 โลเคชันโลเคชันที่ 1 บ้านของฟ้า คุณส้มได้ทำการสื่อสารและสืบเรื่องราวประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายข้อมูลก็ไม่เกี่ยวกับเอกเลย มีเพียงวิญญาณหญิงชุดขาวที่พยายามจะสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเปลี่ยนโลเคชันโลเคชันที่ 2 บ้านของเอก คุณส้มได้สื่อสารและพยายามพูดคุยกับพ่อแม่ แต่พวกท่านยังคงมีอาการเสียใจจากการสูญเสียลูก พูดรู้เรื่องแต่ช้า ส่วนดวงวิญญาณของเอกก็สัมผัสได้ว่าไม่ได้อยู่บริเวณในบ้าน แต่จะอยู่หน้าบ้านในสภาพนั่งยองและมีวิญญาณหญิงชุดขาวจิกหัวอยู่ เหมือนเป็นทาส เหตุการณ์นี้ทำให้ฉุดคิดได้ว่ามันแปลกและต้องมีอะไรบนเขาแน่ ๆ จึงเปลี่ยนโลเคชันอีกครั้งสุดท้าย โลเคชันที่ 3 เขาบริเวณที่ตกปลา การไปสถานที่นี้มีพ่อแม่ของเอกขับรถขึ้นไปด้วยตัวเอง เมื่อไปถึงก็จะพบกับโขดหิน 2 ก้อน บนโขดหินฝั่งซ้ายมีวิญญาณผู้ชายนั่งชันขาข้างขวา หันหน้ามามองทีมงานด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อพูดลักษณะออกมา ฟ้าและครอบครัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือ ‘วิญญาณของเอก’ แน่นอน เมื่อนำรูปมาเทียบก็ยืนยันได้ว่าคนเดียวกัน ซึ่งที่สำคัญหินก้อนนั้นคือบริเวณที่เอกได้ไปปัสสาวะไว้นั่นเอง คืนนั้นท่ามกลางความมืดแต่ภาพข้างหน้ายังชัดเจนเหมือนมีแสงไฟสาดส่องไป จนทำให้คุณส้มต้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ คุณพ่อคุณแม่เมื่อทราบว่าลูกยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ แถมโดนกดกักขังไว้ให้เป็นเบี้ยล่างและบริวารอีก จึงร้องไห้สะอื้นออกมา การช่วยเหลือในครั้งนี้ลำพังแค่คุณส้มคงไม่สามารถช่วยได้ จึงมีคุณโอมาช่วยเพิ่ม จากนั้นก็เริ่มทำพิธีทางเต๋า เพื่อเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน โดยการสร้างม่านกำบังไม่ให้วิญญาณผู้หญิงติดตามมา ขณะที่กำลังทำพิธีกรรมก็มีอภินิหารเกิดลำแสงส่องสว่างขึ้นมาบนน้ำคล้ายเงาจันทร์แม้คืนนั้นจะไม่มีพระจันทร็ตาม ทุกคนเห็นจึงเริ่มถอยห่างพร้อมจุดธูปคนละดอกให้พ่อแม่เรียกชื่อลูกและเดินกลับไปที่รถ ห้ามหันมามองเด็ดขาด ตลอดการเดินแม่เรียกลูกตลอดทาง “ไปอยู่กับแม่นะ”, “กลับมาหาแม่นะลูก” พร้อมเสียงสะอื้นจนจะขาดใจ กว่าวิญญาณของเอกจะหลุดพ้นมาได้ก็โดนวิญญาณหญิงชุดขาวฉุดรั้งไว้ เกิดการต่อสู้กับวิชาของคุณโอพอสมควร เมื่อดวงวิญญาณออกมาได้ บรรยากาศตรงนั้นกลับเกิดฝนปรอย ๆ เหมือนน้ำมนต์ พร้อมกับดวงจันทร์ที่ออกจากเงาเมฆพอดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าดวงวิญญาณได้ออกมาแล้ว เอกนั่งบนหลังคารถกระบะลงมาจากเขาพร้อมกับทุกคน เมื่อมาถึงบ้าน รถยังไม่ทันจอดสนิท สุนัขตัวโปรดที่ดุจนต้องล่ามโซ่ไว้กลับทำเสียงอ้อนด้วยความคิดถึง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สุนัขตัวนี้เป็นทุกครั้งเมื่อเห็นเอกกลับบ้าน ทำให้มั่นใจว่าวิญญาณของเอกกลับถึงบ้านแล้วจริง ๆ เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณโอได้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณให้สถิตไว้ในรูปและทำตามพิธีกรรมต่อไป ในขณะที่วิญญาณของเอกออกมาได้แล้ว แต่วิญญาณหญิงชุดขาวก็ยังคงอยู่ที่เดิม คุณส้มจึงสัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นของเขาเพราะรู้สึกเหมือนเขาพยายามที่จะจัดการเรา เช่น เข้าฝัน หรือทำให้กลัวจนหลอน ดวงวิญญาณดวงนี้คือคนงานที่ถูกฆาตกรรมแล้วโดนผลักตกลงไปในน้ำ ทำให้จิตสุดท้ายก่อนตายมีแรงอาฆาตสูงจึงคิดจะเอาชีวิตคนไปอยู่ด้วยตลอด สุดท้ายคุณส้มทำการสวดมนต์ แผ่เมตตา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันเพื่อบรรเทาความรุนแรง เมื่อไหร่ที่ไปทริปทำบุญก็กรวดน้ำให้ตลอด..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1