สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

อังคารคลุมโปง RECAP

สองพี่น้องอยากไปงานวัด แต่ติดลมจนรถหมด ตัดสินใจโบกรถแถวนั้นกลับบ้าน บังเอิญว่าคันที่ให้ติดไปด้วยดันเป็นรถขนโลงศพ! นั่งไปสักพักโลงศพก็เปิดออกมาเป็นหน้าคนแล้วถามว่า “มึง 2 คนเป็นใคร! มาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องน่าสลดกับสองพี่น้อง!

25 ก.ย. 2023

        รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ที่จะมาพบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ พร้อมกับเรื่องเล่าของสองพี่น้องที่ต้องเดินกลับบ้านหลายสิบกิโลเมตรในตอนตี 2 จะเกิดเรื่องอะไรหลอน ๆ ในคืนนี้ จะเป็นยังไงไปอ่านกันเลย!

        พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจาก ‘พี่หม่อม’ นักเล่าเรื่องผีที่รู้จักกัน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณ 20 กว่าปี เกิดขึ้นที่ภาคอีสาน เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลกับตัวเมือง ชื่อ ‘หนุ่ม’ และ ‘เปีย’ ในช่วงเวลานั้นมีการจัดงานวัด แต่ว่างานวัดแห่งนี้จัดขึ้นในตัวอำเภอเมือง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ในสมัยนั้นการจะโดยสารเข้าไปในตัวอำเภอค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านจึงต้องรวมจำนวนคนให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้ไปด้วยกันทีเดียว

        งานวัดงานนี้เป็นงานประจำปีของจังหวัด สองพี่น้องก็มีรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวกันมาก จึงคุยปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านว่าจะเดินทางไปอย่างไรกันดี เพราะตอนกลางคืนจะไม่มีรถประจำทางมาให้บริการ ผู้ใหญ่บ้านเห็นความตั้งใจของลูกบ้าน และอยากให้ไปเที่ยวกันจึงติดต่อรถให้ ซึ่งเป็นรถขนส่งสินค้าที่เข้ามารับวัตถุดิบจากหมู่บ้านไปขายในตัวจังหวัด ทางเจ้าของรถขนส่งก็รับปากว่าจะมารับ แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วต้องกลับเลย ห้ามโอ้เอ้ เพราะเขาจะต้องตื่นมารับสินค้าแต่เช้าตรู่เพื่อไปขายในเมืองวันพรุ่งนี้ และทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันตามนั้น

        พอถึงวันงาน ชาวบ้านทั้งหมดก็มารวมตัวกันเพื่อโดยสารรถขนส่งคันนี้ไป ซึ่งมี 2 พี่น้องหนุ่มกับเปียไปด้วย พอไปถึงงาน  เจ้าของรถก็บอกว่า “เที่ยงคืนนะ นี่คือเวลานัดหมายของเรา เที่ยงคืนต้องกลับ ไม่ว่าจะอะไร ห้ามโอเอ้ ถ้ามาไม่ทันก็จะไม่รอ” ทุกคนก็แยกย้ายกันไปสนุกสนาน จนใกล้เวลาเที่ยงคืน เปียคนเป็นน้องก็บอกหนุ่มคนพี่ว่า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวรถไม่รอเรานะ” คนพี่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรช่างมัน จะเป็นอะไรวะนาน ๆ มาเที่ยวกันที กลับกันเองก็ได้ เดี๋ยวหาโบกรถชาวบ้านกลับไปที่อำเภอเราก็ได้” พอถึงเวลาเที่ยงคืน รถขนส่งคันนั้นก็กลับไป สองพี่น้องก็ยังเที่ยวกันไปเรื่อย ๆ จนร้านค้า, ลิเก, หมอลำ และดนตรี เริ่มทยอยกันปิด บรรยากาศเริ่มกร่อย จนคนเป็นน้องบอกกับพี่ว่า “หรือเราจะนอนกันที่วัดก็ได้นะแล้วตอนเช้าค่อยกลับ” แต่คนพี่ก็ปฏิเสธเพราะตนกลัวผี จึงตัดสินใจกันเดินกลับในเวลาตี 2

        สองพี่น้องพากันเดินกลับ และคิดว่าจะโบกรถระหว่างทาง ในระหว่างทางเดินที่ออกจากวัดก็มีเสียงหมาหอนตลอดทาง สองพี่น้องโบกรถกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีคันไหนไปทางเดียวกันเลย สุดท้ายโชคก็เข้าข้าง ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งขับผ่านมา เป็นลุงขับรถกระบะขนของที่ไปหมู่บ้านใกล้เคียงหมู่บ้านของสองพี่น้อง ทั้งคู่จึงขอติดรถไปด้วย จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทั้งสองก็พูดคุยกันไปว่าโชคดีที่มีรถกลับ ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าบนรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วย แต่เพราะความมืดทำให้มองไม่ชัด กระทั่งรถขับไปถึงไฟแดง แสงไฟก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่ารถกระบะที่พวกเขาขึ้นมานั้นบรรทุกโรงศพมา! ทั้งคู่ผงะถอยหลัง และคิดว่าจะลงจากรถ แต่ก็ไม่ทันเพราะว่ารถออกตัวก่อน ทั้งคู่รู้สึกเริ่มกลัว และเนื่องจากเส้นทางในต่างจังหวัดไม่ได้ราบเรียบ ทำให้จู่ ๆ ฝาโรงศพก็เปิดเอง! แล้วฝาโรงศพที่เปิดอยู่ก็เลื่อนปิดเอง! ด้วยความกลัว เปียคนน้องก็ย้ายตัวเองไปนั่งข้างพี่หนุ่มและคิดว่าจะเอาอย่างไรกันดี ระหว่างนั้นฝาโรงก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง! ทั้งคู่เห็นดังนั้นก็พยายามเอื้อมมือเคาะกระจกให้ลุงจอดรถ แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือ มีหน้าคนโผล่ออกมาจากโรงศพ ใบหน้านั้นมองมาที่สองพี่น้องและพูดว่า “มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง!” สิ้นเสียงนั้น สองพี่น้องก็ร่วงลงตกจากรถทันที!

        ลุงคนขับตกใจ จึงจอดรถและลงมาดู ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องตกจากรถ คนพี่อย่างหนุ่มร้องโอดโอย แต่คนน้องอย่างเปียสลบไปแล้ว ลุงคนขับโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการสอบสวน ลุงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า ลุงขับรถมากันสองคนกับเด็กขนของ แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็โบกรถขอติดกลับไปด้วย แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววของเด็กขนของ ตำรวจจึงถามว่าเด็กขนของอยู่ไหน ลุงก็ชี้ไปที่ท้ายรถ ตำรวจจึงเรียกมาคุย เด็กขนของบอกว่า “ผมนั่งหลังรถมา ผมหนาว เลยเข้าไปนอนในโรง ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็ไม่รู้ว่าใครมาคุยกันบนรถ ผมเลยเปิดโรงมาดู แล้วถามว่า มึงสองคนเป็นใครมาอยู่บนนี้ได้ยังไง” สรุปแล้วตำรวจจึงต้องดำเนินคดีกับเด็กขนของเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิต และระหว่างที่จะพาตัวคุณลุงและเด็กขนของไปสถานีตำรวจ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า คนพี่ที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาลเสียชีวิตแล้ว เรียกได้ว่าเสียชีวิตทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ทั้งตัวลุงคนขับและเด็กขนของต้องติดคุก แต่ก็ติดคุกได้ไม่นาน เพราะทางเจ้าของร้านโรงศพช่วยอธิบายว่าการกระทำของทั้งคู่นั้นไม่ได้เจตนา หลังออกจากคุกและมาทำงานต่อเหมือนเดิม เจ้าของร้านก็สั่งไม่ให้เด็กขนของคนนี้นอนในโรงอีก แต่ว่าผ่านไปได้ไม่นาน เด็กขนของคนนี้ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกรถตายเหมือนกัน! คนจึงโจษขานกันเป็นสองเสียงว่า เป็นเพราะเมาจึงตกรถ แต่อีกเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะอาธรรพ์ที่ไปหลอกสองพี่น้องจนทำให้เขาตาย..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

24 พ.ย. 2023

เดจาวูสุดหลอนในวัยเด็ก ฝันเห็นคนเสียชีวิต พอตื่นขึ้นมาเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเหมือนในฝันเป๊ะ!

ระหว่างทางไปน้ำตกเผลอนอนหลับในรถ จึงฝันเห็นเหตุการณ์​คนเสียชีวิตในสถานที่ที่กำลังจะไป ปรากกฎว่า พอไปถึง.. เหตุการณ์เหมือนในฝันดันเกิดขึ้นจริง! เรื่องนี้ ‘NICECNX’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตัวตายตัวแทน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! คุณไนซ์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของทีมงานใกล้ตัว นามสมมติว่า ‘พี่หนึ่ง’ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณไนซ์พอสมควร เพราะทุกคนล้วนเคยเกิดเหตุการณ์ ‘เดจาวู’ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่หนึ่งถือว่าแรงมาก ๆ เพราะพอเดจาวูเสร็จ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงในอีกประมาณ 10 นาทีต่อมา เรื่องมีอยู่ว่าในตอนเด็ก พ่อกับแม่พาพี่หนึ่งไปเที่ยวน้ำตก เป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น ซึ่งในน้ำตกจะมีชั้นนึงที่เป็นวังน้ำวน พี่หนึ่งชอบไปเล่นที่ชั้นนี้มาก ขณะเดินทางไปน้ำตก ด้วยความเป็นเด็กจึงนอนหลับในรถตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า พอไปถึงน้ำตก กำลังจะลงเล่นน้ำ คนที่อยู่บริเวณนั้นอย่างพ่อค้าแม่ค้าวิ่งแตกตื่นกันมา พ่อกับแม่จึงถามไปถามคนแถวนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้น อันนี้น้ำตกเปิดตามปกติรึเปล่า?” พ่อค้าแม่ค้าก็ตอบว่า “มีเด็กผู้หญิงจมน้ำ ไม่รู้เสียชีวิตรึเปล่า เพราะยังหาร่างไม่เจอ หากันมาเป็นชั่วโมงแล้ว อาจจะไม่รอดแล้วมั้ง” จากนั้นในฝันก็ตัดภาพเห็นพี่หนึ่งถึงน้ำตก เดินงัวเงียลงจากรถเพราะพึ่งตื่น เป็นจังหวะที่เขากู้ศพขึ้นมาพอดี พี่หนึ่งจึงชะเง้อดู เห็นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าหมวย ใส่ชุดแขนสั้นสีฟ้า ผมประบ่า เป็นศพที่ถูกกู้ขึ้นมาจากในน้ำ จนในที่สุดก็สะดุ้งตื่น เป็นจังหวะเดียวกับรถใกล้จะถึงน้ำตกพอดี พอรถจอด พ่อกับแม่ก็ลงไปจากรถ แล้วคนก็วิ่งแตกตื่น แล้วหลังจากนั้นก็มีการพบศพคนเสียชีวิตเหมือนกับในฝัน! นั่นเป็นเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกที่หนึ่งไม่เคยลืม นอกจากนี้ คุณไนซ์ยังเสริมอีกว่า จริง ๆ แล้วตอนแรกน้ำตกมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง แต่พอมีนักท่องเที่ยวมาเสียชีวิตซ้ำเยอะ ๆ เขาจึงตั้งชื่อตามและเปลี่ยนชื่อมาเรื่อย ๆ ในมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานที่อันตราย แต่ว่าถ้าลองมุมอีกมองอาจจะเป็นการหาตัวตายตัวแทนก็เป็นได้...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

20 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณขวัญ ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณขวัญ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ศูนย์รวมวิญญาณ’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเริ่มเล่าว่า คุณขวัญทำอาชีพเป็นหมอดู ซึ่งคุณขวัญมีลูกดวงอยู่คนหนึ่ง เคยปรึกษาปัญหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกดวงอยากปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ โดยคุณแม่มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่ขาไล่จนมาถึงศีรษะ ซึ่งจะเป็นหนักในช่วงวันพระและวันโกนของทุก ๆ เดือน ลูกดวงเองจึงสัมผัสได้ว่า ‘น่าจะมีบางอย่างผิดปกติ..’ ลูกดวงคนนี้ อาศัยอยู่ในภาคอีสาน จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณค่อนข้างมาก หลังจากนั้น คุณแม่ก็ได้ไปปรึกษากับ ‘หมอธรรม’ บุคคลที่มีคนให้ความนับถือทางด้านคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ เป็นหมอธรรมแถวบ้านท่านหนึ่ง หมอธรรมจึงทำพิธีสื่อวิญญาณ อ้างว่าดวงวิญญาณที่สื่อด้วยเป็น ‘วิญญาณของเจ้าที่’ ซึ่งดวงวิญญาณเกิดความไม่พอใจในตัวของคุณแม่ สาเหตุเป็นเพราะว่า คุณแม่ทำบุญให้น้อย ดวงวิญญาณยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งต้องการให้คุณแม่รับขันธ์ และกลับมาทำพิธีขอขมาคุณพ่อ เพราะเจ้าที่ท่านไม่พอใจคุณแม่ที่ชอบบ่นชอบดุคุณพ่อ แถมยังกำชับว่า คุณแม่ต้องเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และเหล้าในพื้นที่บริเวณบ้าน คุณแม่จึงตั้งข้อสงสัยว่า “การทำแบบนี้เป็นการเลี้ยงผีหรือเปล่า?” ทำให้คุณแม่ไม่ได้ทำตามที่คุณหมอธรรมแนะนำมา หลังจากนั้นลูกดวงก็ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่คุยกับคุณขวัญ สิ้นเสียงคำว่า “ฮัลโหล” สิ่งที่คุณขวัญเห็น คือ บ้านไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังที่ใต้ถุนบ้านยกขึ้นสูง แล้วก็ยังเห็นดวงวิญญาณของผู้ชายดวงหนึ่ง มีลักษณะสูงค่อนไปทางผอม หน้าคม ผิวสีดำแดง มีท่าทางคล้ายกับคนของเมา คุณขวัญจึงบอกภาพที่เห็นให้กับคุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีใดตอบกลับมา คุณขวัญจึงถามคุณแม่ไปว่า “ปกติคุณพ่อดื่มเหล้าไหมคะ.. แล้วช่วงนี้คุณพ่อมีอาการแปลกออกไปหรือเปล่า ?” หลังจากที่คุณขวัญถามไป คุณแม่จึงยอมเล่าว่า “โดยปกติแล้วคุณพ่อเป็นคนดื่มเหล้า และชอบสังสรรค์กับเพื่อน แต่ช่วงหลังมานี้ คุณพ่อดื่มหนักมากจนเกินไป ตกเย็นมาเป็นอันต้องดื่ม จนบางครั้งคุณพ่อก็นั่งดื่มคนเดียวที่หน้าบ้าน แต่ที่น่าแปลกคือ คุณพ่อมีท่าทีเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับใครบางคน ทั้งที่จริงแล้วคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียว จนกระทั่งคืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คุณพ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปกินเหล้าที่หน้าบ้าน ซึ่งครั้งนี้คุณพ่อได้ลุกขึ้นเต้น ร้องรำทำเพลงและมีท่าทีที่สนุกสนาน ทั้งที่ปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอคุณแม่ตื่นมาเห็นก็ตกใจ ถามคุณพ่อว่า “แกเป็นอะไร ?” เมื่อคุณพ่อเห็นคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร และรีบขับรถออกไปทันที กลับมาอีกทีคือช่วงเช้า” คุณขวัญจึงเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับมาบอกกับคุณแม่ไปว่า “คุณแม่คะ นั่นไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่กำลังแฝงคุณพ่ออยู่ แล้วสิ่งที่คุณหมอธรรมบอกกับคุณแม่ว่าเป็นเจ้าที่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เป็นดวงวิญญาณของผู้ชายคนนี้ที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ขวัญจึงถามคุณแม่ต่อว่า “คุณพ่ออยากกินก้อยบ้างไหม ? เพราะดวงวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่าก้อย” คุณแม่จึงตอบว่า “ใช่ ปกติคุณพ่อไม่เคยกินก้อยเลย แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ คุณพ่อก็เลยเริ่มอยากกินก้อยขึ้นมา” ขวัญจึงบอกคุณว่า “ตอนนี้โดนผีหลอกของจริงแล้วละค่ะ” หลังจากนั้นคุณแม่ก็เล่าต่อว่า “ลักษณะบ้านที่ขวัญเห็น เคยเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคุณแม่มาก่อน ซึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้น มีพฤติกรรมติดเหล้ามาก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ” และในระหว่างที่ขวัญคุยกับคุณแม่อยู่ คุณขวัญก็มักจะได้ยินเสียงคนคุยกันแทรกบทสนทนาอยู่เสมอ คุณขวัญจึงบอกกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ขวัญว่าไม่ได้มีแค่นี้แน่เลย คุณแม่ได้เจออะไรที่มันเยอะกว่านี้ไหม ?” คุณแม่จึงเล่าว่า “เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกสะใภ้นอนอยู่ในห้อง แล้วก็เห็นวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองตรงมาที่เตียงนอน และในช่วงเวลากลางคืน มักจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในบริเวณบ้านเป็นประจำ” ซึ่งคุณแม่ทำอาชีพ ‘รับเหมาก่อสร้าง’ ทำให้มีคนงานเข้าออกอยู่เสมอ คนงานคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงเย็นหลังจากทำงาน ตนผูกเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงคนคุยเล่นกันเสียงดังสนุกสนาน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเจอใครเลย นอกจากนี้ คุณแม่เองก็เคยเจอผีภายในบริเวณบ้าน พร้อมเล่าว่า “ตอนนั้นคุณแม่ออกมาตามคุณพ่อไปทานข้าว เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลับเห็นดวงวิญญาณสีดำสนิท ปีนอยู่ข้างกำแพง และกระโดดลอยออกนอกหน้าต่างไป” ซึ่งมักมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง คุณแม่เล่าต่ออีกว่า “คุณแม่มักได้ยินเสียง วี๊ด.. เบา ๆ บริเวณหลังบ้าน” และในระหว่างที่คุณแม่กำลังเล่าอยู่ ขวัญก็ได้เห็นภาพลักษณะคล้าย ‘เปรต’ อยู่บริเวณหลังบ้าน จึงถามคุณแม่ว่า “คุณแม่เคยเจอเปรตบ้างไหมคะ ?” คุณแม่ก็ตกใจถามว่า “รู้ได้ยังไง เพราะมีคนงานเคยเจอจริง ๆ ซึ่งเป็นช่วงเย็นหลังจากทำงาน คนงานคนนั้นกำลังนอนเล่นอยู่บริเวณหลังบ้าน เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ เดินข้ามกำแพงบ้านมาแล้วก็มาหยุดมองมาทางเขา ทำให้ไม่มีคนงานกล้านอนในบริเวณบ้านอีกเลย” ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นภายในบ้านเยอะขึ้น และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณแม่เล่าต่อว่า “วันนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว มีลมลูกใหญ่ปะทะเข้ามาที่บ้าน ทำให้ประตูและหน้าต่างที่เปิดอยู่ ปิดเสียงดัง ปัง ! ปัง ! ปัง ! ไปทีละบาน ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว รีบหอบข้าวหอบลูกไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด” ซึ่งคุณแม่ต้องทนกับเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม โดยที่ทุกคนในบ้านก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ คุณแม่เล่าว่า “คุณพ่อเคยเจอวิญญาณของผู้หญิงตนหนึ่ง นั่งหวีผมตรงสวยอยู่ที่หน้ากระจก ซึ่งคุณพ่อมักจะเจอดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณพ่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มาดี เพราะเมื่อคุณพ่อฝันถึง ก็มักที่จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกลอตเตอรี่อยู่เสมอ” หลังจากนั้นคุณขวัญกับคุณแม่รวมถึงลูกดวง ก็ได้นัดมาเจอกันที่บ้านของคุณแม่ และทันทีที่ขวัญ ก้าวขาลงจากรถ ขวัญก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมายอยู่ทุกจุด ทุกพื้นที่ในบริเวณบ้าน คุณขวัญจึงอธิบายกับคุณแม่ว่า “สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่บริเวณบ้านของคุณแม่ เข้าออกได้ง่ายเกินไป สำหรับวิญญาณและสัมภเวสี” ขวัญจึงทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก หลังจากเสร็จพิธี ในระหว่างที่ขวัญกำลังจะแยกย้ายกลับ ลูกดวงก็ได้ถามว่า “ดวงวิญญาณผู้หญิงที่ตามติดคุณพ่อ คุณขวัญได้เชิญหรือจัดการอะไรไหม ?” ขวัญจึงตอบว่า “เรียบร้อยค่ะ” ลูกดวงยังแซวอีกว่า “สงสัยคุณพ่อจะถูกลอตเตอรี่น้อยลงแน่เลย” เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีสายโทรศัพท์จากลูกดวงโทรเข้ามาเล่าว่า “ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ตามติดคุณพ่อ มายืนเคาะกระจกหน้าต่าง พร้อมโวยวายว่า เปิดบ้าน! เข้าบ้านไม่ได้! มีท่าทีกังวลรีบร้อน เหมือนคล้ายว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่าง” ขวัญจึงบอกว่า “น่าจะเกิดจากการที่เราคุยเล่นกัน แล้วดวงวิญญาณสำคัญตนว่าเจ้าของบ้านอยากให้อยู่ ก็เลยมีการเข้าฝัน เพื่อให้เจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาอยู่” ท้ายที่สุดแล้ว ขวัญก็มานั่งคิดว่า “วันนั้นที่ขวัญไปบ้านของคุณแม่ ขวัญเจอดวงวิญญาณถึง 8-9 ตน สาเหตุคงเป็นเพราะพื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเป็นป่ารกร้าง และด้านหน้าบ้านไม่เคยปิดประตูเลย ซึ่งนับตั้งแต่คุณแม่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยตีกรอบพื้นที่บ้าน วันนั้นนอกเหนือจากการที่ขวัญทำพิธีเชิญดวงวิญญาณออก ขวัญก็ทำพิธีแบ่งเขตบ้านด้วย” ซึ่งเหตุการณ์ดูดวงในครั้งนี้ กลายเป็นสถิติใหม่.. ที่คุณขวัญพบเจอกับดวงวิญญาณมากที่สุดในชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

12 ก.ค. 2023

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ในครั้งนี้ (27 มิถุนายน 2566) ต้อนรับแขกรับเชิญอย่าง ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังที่มาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจม’ ฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะนั้นคุณฝนกำลังไฟแรงเดินหน้าปฏิบัติธรรม ด้วยความที่ร้อนวิชาจึงเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อคุณฝนสามารถตอบชื่อแฟนของผู้ชายคนนี้ รวมถึงสีที่แฟนของเขาชอบ ไปจนถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถชนได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ถึงกับต้องผละตัวออกมาจากงานที่เขากำลังทำแล้วมานั่งฟังที่คุณฝนพูด คุณฝนเห็นภาพว่าผู้ชายคนนี้ได้เสียขาไป จึงเตือนผู้ชายคนนั้นว่า ให้ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดี และยังบอกอีกว่า เขาเคยสัญญาว่าจะไปบวชตอนรอดจากเหตุการณ์รถชนครั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปบวช เขาจึงตอบกลับมาว่า จะไปบวชภายในเดือนนี้ คุณฝนจึงกำชับว่าให้รีบบวชโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้โดนรถชนครั้งนั้น อาจจะตามมาเอาชีวิตไปก็ได้ ผู้ชายคนนี้ขอบคุณคุณฝนเป็นอย่างมากที่ช่วยแนะนำวิธีการแก้เคราะห์ให้เสร็จสรรพโดยไม่ได้เก็บค่าครูแม้แต่บาทเดียว ในตอนนั้นเอง.. คุณฝนไม่รู้เลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป! เมื่อคุณฝนกลับมาถึงที่บ้าน ก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มที่ตัว เริ่มอ่อนเพลียและหนักที่หัวจนอยากเข้านอน พอตื่นมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนทรมานไปหมด คุณฝนรู้สึกเหมือนหัวถูกกดเอาไว้แล้วมีใครบางคนทุบมาที่หัวตลอดเวลา! คุณฝนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการคุณฝนตอนนั้นเหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นไข้ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเหตุการณ์ที่ได้ไปช่วยผู้ชายคนนั้น และแล้วในความฝันกลางดึก คุณฝนก็พบกับร่างของชายคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ ที่ผิวของร่างชายคนนี้ไหม้เกรียมแถมมีไฟฟอนสีแดงแตกออกมา คุณฝนมองเห็นร่างนี้ได้แบบพร่ามัวและเลือนลาง แต่ก็ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา สิ่งนั้นเองที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูดวงของคุณฝนตลอดไป “มึงอ่ะ อยากยุ่งเรื่องของกูมากใช่ไหม มึงตายแทนมันไปเลยนะ!” แม้จะตื่นอยู่แต่คุณฝนกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย ที่ดวงตาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา คุณฝนนอนปวดหัวแสบร้อน ขณะที่คนในบ้านคอยเช็ดตัวให้ คุณฝนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่ามีคำพูดนั้นกระแทกเข้าหาตลอดเวลา ตอนนี้คุณฝนรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกทึ้งไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแฟนและแม่แฟนต้องพาไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลสารพัดวิธีแล้ว หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณฝนเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายหมอจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องเจาะไขสันหลังมาตรวจดูและผ่าเปิดกะโหลกไปเลย เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับน้ำในสมอง เมื่อคุณฝนซึ่งตอนนั้นไม่สามารถขยับร่างกายได้ยินเข้า จึงอธิษฐานให้บุญกุศลที่เคยทำไว้และการไปฏิบัติธรรมตลอดมาช่วยให้รอด คุณฝนบอกกับเสียงที่เข้ามาว่านับจากนี้ทุกเดือนจะไปปฏิบัติธรรมและไม่ทักใครหรือเข้าไปช่วยใครอีกเลย หากเขามิได้มีเจตนาจะร้องขอตั้งแต่แรก คุณฝนสะอื้นให้กับตัวเองแล้วรำพันว่าตนไม่ควรไปอวดอุตริไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมนี้แต่แรกเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวร เสียงนั้นก็ตอบกลับว่าคุณฝนไม่มีทางรอดไปได้ เพราะคุณฝนได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขณะที่ได้ยินแพทย์เจ้าของไข้ถามแฟนว่าให้เจาะไขสันหลังเลยไหม ผ่าตัดเลยไหม เพราะต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณฝนพยายามส่ายหัวให้คนเห็นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการ คุณฝนผู้ซึ่งเป็นคนที่นับถือ “พระแม่” เป็นอย่างยิ่ง จึงบอกกับพระแม่ว่าตนขออุทิศชีวิตตัวเองให้กับการทำดี แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเลย.. เช้าวันต่อมา หมอคนที่จะผ่าตัดให้ก็มีเคสพิเศษเข้ามากะทันหัน จึงต้องให้หมอคนใหม่มาดูแลแทน แล้วคำวินิจฉัยก็เปลี่ยนไป หมอคนใหม่บอกว่าคุณฝนไม่ได้เป็นอะไรสามารถกลับบ้านได้ทันที สาเหตุที่ไม่สามารถขยับตัวได้คงเป็นเพราะไมเกรนทำพิษ ซึ่งอาจเกิดความเครียดตอนทำงาน สุดท้ายอาการต่าง ๆ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระยะ หลังจากนั้น คุณฝนก็ไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนตามสัญญา คุณฝนเรียนรู้ว่าบางครั้งแม้เราจะมีดวงตาเห็นนิมิตอะไรบางอย่างในตัวคนคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกเขาอยู่ดี เพราะผลที่ตามมามันอาจรุนแรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่มีครู..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านที่อุบลสุดหลอนของม้าม่วง!

07 เม.ย. 2024

บ้านที่อุบลสุดหลอนของม้าม่วง!

‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ กับประสบการณ์หลอนที่บ้านหลังเก่า ตอนแรกไม่เชื่อจนได้มาเจอกับตัวเอง! เรื่องนี้ ‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผู้หญิงในบ้าน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณม้าม่วง’ โดยเล่าว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ เมื่อตอนเป็นเด็ก ทุกคนจะอยู่รวมกันทั้งเครือญาติเป็นครอบครัวใหญ่ เมื่อทุกคนแยกย้าย คุณม้าม่วงจึงได้ไปอีกอยู่จังหวัดหนึ่ง แล้วบ้านหลังนี้ก็ถูกทิ้งร้างเป็นปี แต่ก็กลับมาทำความสะอาดเดือนละ 1 ครั้ง จนกระทั่งมีช่วงหนึ่ง คุณม้าม่วงเริ่มย้ายกลับเข้ามา ซึ่งเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นคุณม้าม่วงไปเที่ยวแล้วกลับมาที่บ้าน จึงมองขึ้นไปบนบ้าน (ข้างบนบ้านมีระเบียง มีห้องพระ) ก็เห็นว่ามีเงาหนึ่งยืนมอง เหมือนคนรอให้กลับบ้าน ตอนแรกม้าม่วงคิดว่าเป็นป้าหรือคนในบ้านมารอด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อขึ้นไปบนบ้าน ปรากฏว่าทุกคนนอนกันหมดแล้ว ม้าม่วงก็คิดว่าคงไม่มีอะไร วันต่อมา คุณม้าม่วงเลิกเรียนประมาณ 4-5 โมงเย็น ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนบ้าน เวลาเดินบนพื้นไม้จะมีเสียงแอ๊ด ๆ ของไม้ดังขึ้น คุณม้าม่วงก็คิดว่ามีคนอยู่ข้างบน จึงตะโกนบอกไปว่า “หนูกลับมาแล้วนะ หนูกลับมาแล้วจ้า เย็นนี้กินอะไรกันดี?” เมื่อพูดจบก็ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ก็ได้ยินเสียงแอ๊ด ๆ อีก คุณม้าม่วงสงสัยจึงถามอีกว่า “ทำอะไรกัน” จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนบ้าน ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่ คุณม้าม่วงก็คิดว่า “เอาแล้ว ใช่แล้วแหละ” คุณม้าม่วงก็คิดว่านี่คือบ้านเรา แล้วก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนชิน และรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง คุณป้าก็เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเจอ แต่คุณม้าม่วงไม่เชื่อเพราะยังไม่ได้เจอกับตัวเอง จนวันหนึ่ง คุณม้าม่วงนอนอยู่ในห้องกับน้องสาวและรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ก็สงสัยว่าตนเป็นอะไร ขณะที่คุณม้าม่วงกำลังจะหันไปหาน้องสาว ซึ่งน้องสาวนอนหันหลังให้ คุณม้าม่วงก็เห็นผู้หญิงนอนมองหน้าอยู่ข้างหน้าตน ด้วยความที่ปิดไฟจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ผมของผู้หญิงคนนั้นจะปิดเหนือตาข้างหนึ่ง ตอนนั้นคุณม้าม่วงกลัวมากจึงสวดมนต์ ปรากฏว่าเขาก็ไม่ไป คุณม้าม่วงโมโหเลยบอกว่า “ไป ๆ ไม่ไปจะด่าแล้วนะ” จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็หายไป คุณม้าม่วงลุกขึ้นนั่งและปลุกน้องสาวแล้วถามว่า “มึง เมื่อกี้มึงหันหน้ามาป่ะ?” น้องสาวบอกว่า “ฉันนอน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” คุณม้าม่วงก็คิดว่าช่างมัน ‘ยังไงมันก็คือบ้านเรา’ หลังจากนั้นระหว่างที่น้องสาวของคุณม้าม่วงกำลังอาบน้ำ อยู่ ๆ ก็มีหน้าผู้หญิงลอดออกมาจากช่องอาบน้ำ น้องสาวกรี๊ดลั่น คุณม้าม่วงที่กำลังกินข้าวอยู่ก็วิ่งมาดูน้องสาวแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” น้องสาวก็บอกว่า “เห็นผู้หญิงมาก้มมอง” คุณม้าม่วงเลยเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกว่า “ฉันเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่หน้าประตู เห็นแค่ช่วงบน ไม่เห็นช่วงล่าง เป็นผู้หญิงสวยมาก มายืนมองว่าคนนี้คือใคร ตอนที่คุณแม่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ใหม่ ๆ” คุณม้าม่วงก็คิดว่าคงเป็นผีที่บ้าน จนเวลาผ่านไป วันนั้นคุณม้าม่วงเลิกเรียนประมาณ 4-5 โมงเย็นเหมือนเดิม คนที่บ้านจะชอบบอกว่า ห้ามนอนตอนเย็น แต่คุณม้าม่วงก็นอนเพราะง่วง ระหว่างที่นอนอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็คลานมาบนที่นอน แต่เห็นแค่เงากับผม คุณม้าม่วงจึงพยายามหลับตาและสวดมนต์ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “สวดมนต์ก็ไม่ถูก สวดใหม่!” พูดท้าคุณม้าม่วง ตอนนั้นคุณม้าม่วงยอมรับว่าสวดมนต์ไม่ถูกจริง ๆ เพราะตกใจมาก ด้วยความโมโหคุณม้าม่วงก็เลยด่าว่า “อีผี ถ้ามึงไม่ไปกูจะสาปแช่งมึง ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย” หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็หายไป คุณม้าม่วงจึงรีบลุกแล้ววิ่งไปหน้าบ้าน คนที่บ้านก็บอกว่า “ไม่มีหรอก ถ้าอยู่ เขาคงมาเล่น มาหยอกหรือเปล่า?” และเสียงที่เดินบนพื้นไม้ก็ยังมีเหมือนเดิม หลังจากเหตุการณ์วันนั้นน้องสาวอีกคนก็นอนในห้องที่คุณม้าม่วงเจอกับผู้หญิงคนนั้น ระหว่างที่นอนอยู่ น้องสาวก็โดนดึงแขน จากนั้นก็กรี๊ดแล้วร้องไห้ แต่คุณม้าม่วงคิดว่าบ้านเราจึงไม่กลัว มีวันหนึ่ง คุณย่าของคุณม้าม่วงออกไปใส่บาตรหน้าบ้าน พระก็ยืนมองและถามว่า “โยม ผู้หญิงในบ้านคือใคร? ที่ยืนอยู่ตรงนั้น” คุณย่าก็บอกว่า “อ๋อ หลานใส่วิก” จนล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณม้าม่วงจะมีการดูดวงปีละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ไปดูดวงกับหมอดูท่านหนึ่ง โดยวิดีโอคอลไปหาหมอดูและบอกว่า “มึงดูให้กูหน่อยดิ บ้านกูมีอะไรบ้างวะ?” หมอดูก็เลยบอกว่า “โอเค” คุณม้าม่วงก็แพลนกล้องให้ดูรอบ ๆ บ้าน หมอดูก็พูดว่า “พี่หนุ่มขึ้นไปห้องพระหน่อยสิ” คุณม้าม่วงจึงเดินขึ้นไปบนห้องพระ หมอดูก็บอกว่า “พี่หนุ่ม หนูเห็นผู้ชายตัวใหญ่ เขารู้ว่าหนูเห็นเขา” คุณม้าม่วงก็พูดว่า “หรอ?” หมอดูก็บอกอีกว่า “จริงพี่หนุ่ม หนูไม่รู้ว่าใคร ไม่รู้สึกว่าเป็นญาติพี่หนุ่มด้วยซ้ำ แต่อยู่ในห้องพระ เป็นผู้ชายตัวใหญ่มาก” คุณม้าม่วงก็เลยบอกว่า “เออ ๆ ช่างมัน” แล้วถามต่อว่า “หิ้งพระทำอะไรผิดไหม?” หมอดูก็บอกว่า “พี่หนุ่มมันแปลก ๆ ตรงพานนั้นมันมีอะไรหนูบอกไม่ถูก มันไม่ดีเลย พี่หนุ่มช่วยดูให้หน่อย” คุณม้าม่วงดูในพานและเจอกับถุงใบหนึ่งเลยเปิดดู เห็นเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ แต่หักตรงคอ หมอดูบอกว่า “เนี่ย เอาไปทิ้งเลย” จากนั้นคุณม้าม่วงก็ถามคุณย่าของตนว่า “อะไรเนี่ย?” คุณย่าบอกว่า “เก็บไว้ เสียดาย” จากนั้นคุณม้าม่วงก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์นำพระพุทธรูปที่คอหักโยนเข้าวัดแล้วพูดว่า “ไปเลยไป ของไม่ดีออกไปจากบ้านกู” ตกดึกคืนถัดมา ถึงรอบที่จะต้องดูดวงกับหมอดูอีกครั้ง หมอดูก็พูดทักขึ้นมาว่า “พี่หนุ่ม คนนั้นเขารู้ว่าหนูเห็นเขา เขายืนมองใหญ่เลยอยู่บนบ้าน” คุณม้าม่วงก็แหงนกล้องแล้วพูดว่า “ไหนอะ เขามองหรอ มองกันซิ จ้องตากัน” หมอดูคนนั้นก็พูดว่า “พี่หนุ่มอย่าทำเป็นเล่นนะเว้ย เดี๋ยวเขาลงมาหาจริง ๆ นะ” คุณม้าม่วงก็บอกว่า “มาหาเธอหรือมาหาฉัน” หมอดูคนนั้นก็บอกว่า “พี่หนุ่มอย่าเล่น เขารู้นะว่าหนูเห็นเขา เขาจะลงมาจริง ๆ ตอนนี้เขามองหนูแบบโมโหเลย” คุณม้าม่วงก็ไม่เชื่อ จนเวลาผ่านไปไม่ถึง 1 นาที คุณม้าม่วงก็ได้ยินเสียงหมาหอนที่บ้านของหมอดู เพราะผู้ชายคนนั้นไปหาหมอดูที่บ้าน! หมอดูบอกว่า “พี่หนุ่มบอกเขากลับบ้านเลย” คุณม้าม่วงก็เรียกเขาให้กลับบ้าน สักพักทุกอย่างก็เงียบ หมอดูบอกอีกว่า “เขากลับแล้ว พี่หนุ่มอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ” หลังจากนั้นก็เช็คดวงกันจนเสร็จ ซึ่งหมอดูก็บอกว่า “คนนี้อยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างบ้าน เป็นเจ้าที่อยู่ตรงที่ดินนี้มานานแล้ว เมื่อมีห้องพระ เขาจึงขึ้นมาอยู่บนห้องพระที่บ้าน” ตอนนั้นหมอดูเห็นแค่ผู้ชายแต่ไม่เห็นผู้หญิงที่คุณม้าม่วงเคยเห็น ด้วยความสงสัยคุณม้าม่วงจึงไปถามคุณย่าของตนเพราะอยากรู้ว่า ผู้หญิงที่เคยเห็นคือใคร คุณย่าก็บอกว่า “ไม่ใช่แม่ตะเคียนหรอ?” แล้วคุณม้าม่วงก็พูดว่า “แล้วมาจากไหนอะ?” คุณย่าก็บอกว่า “นี่ไง ไม้แผ่นนี้ไงเป็นไม้ตะเคียน” คุณม้าม่วงก็ตกใจที่คุณปู่นำไม้ตะเคียนมาปูเป็นพื้นบ้านชั้น 2 คุณม้าม่วงก็เล่าว่า คุณปู่เป็นทหารมาก่อน แล้วจึงมาเป็นตำรวจ คุณปู่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ และไม่กลัวอะไร จึงนำไม้นี้มาสร้างพื้นที่บ้าน และคนในบ้านก็จะเจอเหมือนคุณม้าม่วง แต่เพื่อนของคุณม้าม่วงหรือคนข้างนอก เมื่อไปนอนบ้านคุณม้าม่วงก็จะนอนไม่ได้เลย ถ้าไม่ขออนุญาตก่อน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1