เรื่องเล่าจากหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ 'ลบผง' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ 'ลบผง' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568 ]

12 ม.ค. 2025

       ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล’ ได้นำเรื่องเล่าที่มาจากประสบการณ์จริง มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) โดยมี ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ร่วมรายการ ทั้ง 2 ดีเจก็ได้คิดเห็นตรงกันว่า เรื่องที่หมอบีเล่าสามารถเป็นข้อคิดให้กับแฟน ๆ ของรายการได้อย่างแน่นอน

       หมอบีได้เล่าว่าเหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยเนื้อหาหรือสถานที่ของเหตุการณ์ได้มากนัก

       โดยเริ่มแรก มีลูกศิษย์ของพระรูปหนึ่ง (พระรูปนี้เสียชีวิตไปนานแล้ว) ได้มาบอกหมอบีว่า พระอาจารย์ท่านนี้เก่งในเรื่องเกี่ยวกับการ ‘สักยันต์ วิชาอาคม ไสยศาสตร์’ แต่ส่วนตัวของหมอบีนั้นไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้ แต่เหตุผลที่ตกลงไปเพราะได้รับการชวนหลายครั้ง และอีกใจหนึ่งก็อยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาด้วย

       เมื่อไปถึงสถานที่แห่งนั้น ก็พบว่าเป็นสถานที่รกร้างแต่กว้างใหญ่ แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนมีผู้คนจำนวนมากที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ หลังจากได้เห็นสถานที่ หมอก็เริ่มรับรู้ได้ว่าพระรูปนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะได้เจอกับรูปปั้นของพระรูปนั้น และได้ทราบภายหลังว่าพระรูปนี้มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ ในประวัติท่านได้บอกว่าท่านได้เก็บพระไว้ในโถหรือไห ที่บริเวณรอบ ๆ ของต้นโพธิ์ที่อยู่ใกล้กับรูปปั้นของท่านและยังมีของที่ตัวท่านทำเอง เก็บไว้ที่ฐานของรูปปั้น (ในตอนแรก หมอบีก็ยังไม่ทราบว่าคืออะไร) แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานาน ทำให้มีหลายคนได้เข้ามาขโมยพระเหล่านั้นไป หมอบีจึงตัดสินใจที่จะลองดูที่ใต้ฐานของพระพุทธรูป จนได้เจอกับแผ่นจานทองเหลืองที่มีอักขระเขียนไว้ พอได้เปิดเข้าไปข้างใน หมอบีก็ได้เจอกับร่างของพระรูปนั้น ซึ่งร่างของท่าน ไม่มีการเน่าเปื่อยแต่อย่างใด กลับมีลักษณะเป็นเหมือน ‘ไม้’ มากกว่า และอักขระที่เป็นยันต์ตามตัวก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

       หลังจากนั้น ลูกศิษย์ของพระท่านนั้นก็ได้ลองให้หมอบีเขียนอักขระยันต์ พอหมอบีเขียนเสร็จ ลูกศิษย์คนนั้นได้นำไปให้คุณป้าท่านหนึ่งดู ป้าท่านนั้นตกใจเป็นอย่างมาก เพราะลายมือของหมอบี มีความเหมือนกับของพระอาจารย์เป็นอย่างมาก

       ต่อมา หมอบีได้เจอกับกุฏิของพระรูปนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านใช้ชีวิตอยู่และทำพิธีต่าง ๆ จึงไม่สามารถให้คนอื่นเข้าได้ แต่คุณป้าที่เป็นผู้ดูแลกลับอนุญาตให้หมอบีเข้าไป

       คุณป้าได้ให้หมอบีนั่งตรงจุดที่พระอาจารย์ได้ทำการ ‘ลบผง’ และคุณป้าก็ได้หยิบกระดานชนวนและชอล์กมาให้หมอบี ซึ่งกระดานชนวนที่หมอบีรับมาก็คือกระดานชนวนที่หลวงพ่อเคยใช้ หมอบีได้แต่สงสัยว่าต้องทำอะไร แต่พอเวลาได้ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้หมอบีทำการเขียนอักขระลงไป ซึ่ง ณ ตอนนั้น ในใจของหมอบีได้แต่คิดในใจว่าหลวงพ่อท่านแกล้ง เพราะรู้ว่าหมอบีไม่ค่อยได้สนใจในศาสตร์ด้านนี้ พอเขียนเสร็จ หมอบีก็ลบอักขระเหล่านั้นออกจากกระดาน สิ่งนี้เองที่เรียกว่าการ ‘ลบผง’ หลังจากหมอบีได้ทำไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จึงได้รับรู้ว่า การทำแบบนี้เป็นเหมือนกับการฝึกสมาธิและสติ ทำให้หมอบีได้รับรู้ถึงความหมายอักขระแต่ละตัว

       “เปรียบเสมือนกับทุกสิ่ง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป”

       หลังจากนั้น หมอบีได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านนี้เคยได้ทำการสักยันต์ให้กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งหมอบีกับผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านนี้ได้ทำการติดต่อหมอบีและส่งรถยนต์มารับ พร้อมกับได้บอกกับหมอบีว่า

       “หลวงพ่อท่านได้ทำการเข้ามาในความฝันและบอกให้เรียกหมอบีมา”

       หลังจากนั้น หมอบีก็ได้ตระเวนไปตามเคสต่าง ๆ จนได้ไปเจอกับหลวงปู่สุข และได้รับคำสอนในเรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิอีกครั้ง หลังจากครั้งนั้น ทำให้หมอบีต้องกลับมายังกุฏิของหลวงพ่อท่านนั้นอีก ในครั้งนี้เหมือนหมอบีได้รับรู้ว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า “เห็นไหม เรียนกับเราแต่แรกก็จบแล้ว”

       หลังจากวันนั้น หมอบีก็เข้าใจและไม่ได้ต่อต้านเรื่องเหล่านี้อีก ทั้งสองดีเจได้เห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งที่หมอบีได้รับเป็นเสมือนคำสอน อีกทั้งยังเหมือนได้รับเครื่องเตือนใจหรือสติสอนใจ หมอบีได้เล่าต่อว่าสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ที่ดินของพื้นที่นี้ได้มีการถูกแย่งพื้นที่ไปมา และหลวงพ่อท่านยังเคยมาบอกหมอบีด้วยว่า

       “จะมีคนมาแย่งร่างของท่านกัน อยากให้หมอบีมาช่วยแย่งร่างท่านไปด้วย”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

23 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

เมื่อต้องขอยืมสถานที่จากทางมหาลัยเพื่อซ้อมทำกิจกรรม แต่อาจจะไม่ได้จุดธูปขอเจ้าของที่จริงๆ จนทำให้เจ้าของที่ต้องมาแสดงตัวให้เห็น! เรื่องราวนี้ ’อ้อยใจ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘คืนก่อนวันแสดง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! อ้อยใจเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2 ที่มีกิจกรรมรับน้องมหาลัย ซึ่งจะให้แต่ละคณะมาแข่งกัน โดยให้เหล่าตัวแม่แต่ละคณะคิดโชว์เพื่อมาแข่งกัน แต่คณะของอ้อยใจมีเวลาซ้อมกัน 2 วัน จึงตกลงกันว่าจะไปซ้อมที่ตึกคณะ ซึ่งตึกคณะเป็นตึกแฝดคู่กัน ตรงกลางจะเป็นที่โล่ง และที่สำคัญ ตึกนี้จะมีข้อห้ามว่าห้ามอยู่ถึงตอนกลางคืน.. ย้อนกลับมาวันที่ซ้อม ทุกคนนัดกันตอน 6 โมงเย็น ซ้อมจนถึง 2 ทุ่ม ตอนนั้นสายตาของอ้อยใจเหลือบขึ้นไปทางฝั่งขวาของตึกคณะ ซึ่งชั้น 2 ตึกนั้นจะเป็นห้องเก็บหุ่นและห้องเก็บโครงกระดูกเป็นงานประติมากรรมของรุ่นพี่ และสิ่งที่อ้อยใจเห็นคือ เหมือนมีคนยืมมองซ้อมเต้นอยู่.. ในใจก็คิดว่าอาจจะเป็นหุ่น แต่คนที่มองอยู่เขาเดินไปและก็เดินกลับ อ้อยใจพยายามไม่คิดอะไร และกลับไปตั้งใจซ้อมการแสดงต่อ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็พักกินข้าว ตอนนั้นอ้อยใจก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเพื่อน และระหว่างที่พัก ก็มีเพื่อนพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวเราจะย้ายตึกซ้อมกันนะ เพราะยุงเยอะ” จากนั้น ทุกคนก็ย้ายตึกซ้อมไปที่ตึกเรียนอีกตึก พอถึงตรงนั้นสิ่งเเรกที่อ้อยใจรู้สึกคือ มีลมพัดปึ้งเข้ามาที่หน้า! อ้อยใจจึงหันไปมองเพื่อนอีกคนที่มีเซนส์ ชื่อว่า ‘ยัยเมาท์’ (นามสมมติ) หลังจากหันไปมองหน้า ยัยเมาท์ก็หันมาพยักหน้าให้อ้อยใจเหมือนจะรู้กันว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้บอกเพื่อน ซึ่งในเหตุการณ์นั้นมีเหล่าตัวแม่ทั้งหมด 30 กว่าชีวิต ทุกคนโดนลมปะทะหน้ากันหมด แต่ก็คิดว่าเป็นลมธรรมชาติ เย็นสบาย จากนั้นก็ซ้อมกันต่อ ระหว่างนั้นอ้อยใจและยัยเมาท์ก็ถือกระเป๋ามาวางไว้ที่โต๊ะใต้ตึก อยู่ ๆ ยัยเมาท์ก็หันมาทางอ้อยใจแล้วก็นิ่ง พอถามก็ไม่ตอบ จากนั้นก็หันไปทางข้างหลังตึกแล้วก็นิ่งอีก และหันมาทางอ้อยใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มองที่อ้อนใจแล้ว แต่มองผ่านอ้อยใจไป ซึ่งข้างหลังไม่มีอะไรนอกจากร้านถ่ายเอกสาร ตอนนั้นอ้อยใจจึงเอะใจว่าทำไมยัยเมาท์นิ่ง และน้ำตาคลอ แต่เพื่อนก็ไม่เล่าอะไร และบอกว่า “มันไม่มีอะไรหรอก” แล้วก็ซ้อมกันปกติ จนเวลาประมาณตี 3 ระหว่างที่ซ้อมถึงเพลงท่อนที่อ้อยใจต้องเต้น อยู่ ๆ เพลงก็ดับ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะบางทีแบตเตอรี่ของลำโพงอาจจะหมด มารอบสอง เปิดเพลงเดิม ท่อนเดิม เพลงก็ดับอีก ครั้งนี้ก็เอะใจ แต่ก็ซ้อมกันต่อจนมารอบที่ 3 รอบสุดท้าย เพลงก็ยังดับท่อนเดิมที่อ้อยใจต้องเต้น คราวนี้ รุ่นพี่ปี 3 ก็เรียกน้องทุกคน 30 ชีวิตมารวมตัว แล้วยัยเมาท์ก็เฉลยว่า.. ตอนที่หันไปที่ตึกแล้วหยุดนิ่ง คือเห็นผีหลายตน ยืนล้อมเรียงกัน ไม่ใช่แค่สิบ แต่เป็นร้อยตน ส่วนตอนที่หันมาหาอ้อยใจแล้วนิ่งก็เห็นอีกประมาณ 30-40 ตน ตรงร้านถ่ายเอกสารและยืนดูพวกเราอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ ยัยเมาท์ยังเล่าต่อว่า ทุกคครั้งที่หันไปมองและหันกลับมา พวกผีทุกตนจะเดินเข้ามาทีละก้าวเสมอ จนสุดท้ายก็ไม่หันอีก เพราะอยู่ขอบตึกแล้ว ถ้าหันไปคงจะมาถึงแน่ ๆ หลังจากได้ยินที่ยัยเมาท์เล่า รุ่นพี่ปี3 ก็เริ่มนำสวด โดยเอาบทสวดจากทางอินเตอร์เน็ต ทุกคนก็สวดแล้วหลับตา ปกติแล้วถ้าหลับตาเราจะยังเห็นแสงวูบวาบของหน้าจอมือถือได้ สิ่งที่อ้อยใจสัมผัสได้คือ เหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา จึงรีบสวดมนต์ ขอขมา จนสุดท้ายก็หายไปหมด จึงคิดว่าทุกอย่างจบแล้ว และซ้อมกันต่อจนถึง 6 โมงเช้า และไปเรียนตามปกติ มาถึงวันที่ต้องแสดงในโรงยิม วันนี้ดูเหมือนคนดูเยอะมากกว่าปกติ และเสียงก็ดังกระหึ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ ๆ อ้อยใจที่กำลังเต้นอยู่ พอลืมตาขึ้นไปก็เห็นเป็นเงาคนเยอะมากจนนับไม่ได้ เป็นเงานับ ร้อยกว่าตนลุกขึ้นยืนและส่งเสียงดังมากล้อมรอบพวกเราอยู่ และสุดท้ายก็เต้นจนจบ พอย้อนคิดกลับไปก็คิดออกว่าสิ่งที่ทำผิดพลาดไปในตอนนั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยของคุณอ้อยใจมีความเชื่อว่า ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใหญ่หรือเล็ก ก็ควรที่จะจุดธูปไหว้ทุกครั้ง แล้ววันนั้นทุกคนไม่มีใครจุดธูปไหว้กันเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’ เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ” เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ” เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ” เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง” พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู “เฮ้ย! ดูนั้นดิ” เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง” เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ” ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ” เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด” ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ” ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว” คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ” เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน” คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย” เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ” คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว” เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง ตือโป๊ยก่ายและซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก! จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง” เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ” เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่” เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป” พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ” เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

นอนอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเย็น ๆ ที่นิ้ว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีผีดูดนิ้วอยู่! โดนดูดอยู่ 2 วัน ต้องทำบุญให้ถึงจะยอมไป พอมาคิดดูอีกที ก็จำได้ว่าเก็บนางกวักใส่กระเป๋าเดินทาง ทุกวันนี้ยังเก็บไว้แล้วบอกผีตนนั้นว่า “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย”

14 มิ.ย. 2023

นอนอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเย็น ๆ ที่นิ้ว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีผีดูดนิ้วอยู่! โดนดูดอยู่ 2 วัน ต้องทำบุญให้ถึงจะยอมไป พอมาคิดดูอีกที ก็จำได้ว่าเก็บนางกวักใส่กระเป๋าเดินทาง ทุกวันนี้ยังเก็บไว้แล้วบอกผีตนนั้นว่า “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย”

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิถุนายน 2566) ครั้งนี้มีสายจาก ‘คุณอั้บ’ นักร้องนำวง WHAT’S UP มาส่งต่อประสบการณ์ชวนขนหัวลุกให้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ ได้ฟังกัน เรื่องราวครั้งนี้เกี่ยวกับหญิงปริศนาที่มาดูดนิ้วคุณอั้บตอนกลางคืน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปตามอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณอั้บพึ่งเริ่มเดินสายเล่นดนตรีกลางคืนได้ใหม่ ๆ มีวันหนึ่งเขาเหนื่อยมากหลังจากไปเที่ยวเกาะกูดและแสดงคอนเสิร์ตที่ระยองมา พอกลับมาที่ห้อง คืนนั้นเขาก็หลับเป็นตาย ทว่าขณะที่นอนหงายอยู่ คุณอั้บก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเย็น ๆ อยู่ที่นิ้วกลางกับนิ้วนางข้างขวา พอลืมตาขึ้นมาก็ปรากฎให้เห็น ผู้หญิงผมยาว ตัวดำทั้งตัว เห็นแต่เพียงดวงตาสีขาว กำลังก้มดูดนิ้วของเขาอยู่! คุณอั้บเป็นคนไม่กลัวผี (ถึงขั้นที่ว่าสามารถกล่าวทักทายผีได้เลย) เขาจึงสบถด่าใส่ผีตนนั้นไปว่า “เห้ย มึงหื่นหรอ!” คุณอั้บเหนื่อยมากและไม่ต้องการให้ผีตนนี้มารบกวนเวลานอน จึงบอกกับผีตนนั้นไปว่าว่าเขาไม่กลัวเธอหรอก เมื่อผีเงยหน้ามองคุณอั้บ สีหน้าของเธอไม่ได้ดูดุร้ายแต่กลับดูเป็นมิตร เขาใช้เวลายื้อยุดอยู่กับเธอประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้เลิกดูดนิ้ว ตอนนั้นคุณอั้บไม่สามารถขยับตัวซีกขวาได้เลย และผีตนนี้ก็ยังดูดนิ้วเขาต่อไป สุดท้ายคุณอั้บก็พูดกับเธอไปว่า “ถ้าขยับตัวได้ จุดธูปแช่งจริง ๆ ด้วย แต่ถ้าเกิดเอาจนตาย ไปเจอกันตอนเป็นผี” พอพูดเช่นนี้ผีตนนั้นก็หายตัวไป และลำตัวด้านขวาก็เริ่มขยับได้อีกครั้ง คุณอั้บจึงนอนต่อ เช้าวันถัดมา คุณอั้บแทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปแล้ว กระทั่งถึงเย็นวันนั้น ขณะที่กำลังจะต้องออกไปทำงานข้างนอก คุณอั้บก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้... คุณอั้บเริ่มสงสัยกับตัวเองว่าเขาฝันไปหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ จากนั้นก็ลองพูดลอย ๆ ขณะยืนแต่งตัวในห้องว่า “เห้ย ตัวเมื่อคืนน่ะ ถ้ามีจริง ๆ คืนนี้มาอีก เดี๋ยวจะรอ” และพูดต่อด้วยว่าจะยังไม่ทำบุญไปให้ เพราะไม่แน่ใจว่าผีที่เขาเจอมามีจริงรึเปล่า จากนั้นก็ออกไปทำงานตามปกติ ในคืนนั้นเอง คุณอั้บก็ลืมเรื่องที่ตัวเองได้พูดไปตอนเย็นเสียสนิท เขากลับมานอนอนที่ห้องเช่นเคย หลังจากที่ได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนเล็กน้อย แต่เมื่อนอนไปได้สักพัก เขาก็รู้สึกแน่นที่ท้องมาก ๆ เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เธอมองหน้าของเขาอยู่ สองมือประสานใต้คาง และเอาเท้ากดไปที่ท้องของคุณอั้บ เรียกได้ว่าแทบจะนั่งอยู่บนตัวคุณอั้บเลยก็ว่าได้! เมื่อเห็นดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่าผีที่เห็นน่าจะมีตัวตนจริง เขาจึงพูดกับเธอว่า “โอเค เดี๋ยวทำบุญไปให้ ไปนะ” จากนั้นผีตนนั้นก็ยิ้มแล้วหายไป วันต่อมาคุณอั้บก็ได้ไปทำบุญให้เธอตามสัญญา และคิดว่า ที่ผ่านมาเขาก็อยู่ห้องนี้มานาน ยังไม่เคยเจออะไร ตอนไปเที่ยวก็ไม่เคยทำตัวลบหลู่สถานที่ แล้วผีตนนี้มาจากไหนกัน? จนคุณอั้บมาเก็บกระเป๋าเดินทาง เขาก็ถึงบางอ้อว่า มีนางกวักรูปหนึ่งอยู่ในกระเป๋าตัวเอง จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เคยไปเที่ยวแล้วได้สิ่งนี้กลับมา ก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋าวางไว้ใต้เบาะ แล้วนั่งทับเธอมาตลอดทาง! “อยู่ด้วยกันไปเลยนะ ช่วยทำมาหากินกันไปเลย” คุณอั้บบอกกับนางกวักตนนี้ จนทุกวันนี้คุณอั้บก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย และที่น่าแปลกส่งท้ายคือ ห้องของคุณอั้บซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น ไม่เคยมีใครมาอยู่อีกเลย นับแต่เขาย้ายออกไป พอเขาย้ายกลับมาเจ้าของตึกก็บอกกับเขาว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

21 ส.ค. 2023

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

‘ตั้ม The Shock’ กลับมาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 สิงหาคม 2566) ได้ฟังอีกครั้ง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้อง 329’ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคดีจริงเมื่อปี 2550 เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วไปอ่านเลย! เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากคดีฆาตกรรมเมื่อปี 2550 ที่จ.นครราชสีมา มีแม่บ้านจากโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 3 หมายเลขห้อง 329 เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องผงะ เพราะกลิ่นเหม็นสาบคาวเลือดพุ่งกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง แถมยังลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้น 3 อีกด้วย แม่บ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรม และติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งหน่วยกู้ภัย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ตรวจสอบพบว่า มีคราบเลือด คราบน้ำเหลืองอยู่บนเพดานห้อง กู้ภัยจึงเปิดฝ้าเพดานและได้เจอกับศพผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งร่างมีคราบน้ำเหลืองและเลือดไหลปะปนกัน ยิ่งเข้าไปใกล้ ๆ ก็ยิ่งส่งกลิ่นให้แรงทวีคูณ เจ้าหน้าที่จึงทำการเคลื่อนย้ายร่างผู้ตายเพื่อส่งไปชันสูตรหาตัวตนและสาเหตุการตายต่อไป ตัดภาพมาที่ ‘คุณโก้’ เจ้าของเรื่องหลอนในครั้งนี้ คุณโก้เป็นคนเชียงใหม่ มีธุรกิจอยู่ที่โคราช ทำให้ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง 2 จังหวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 คุณโก้ก็ไม่ได้เดินทางมาที่โคราชเป็นเวลากว่า 3 ปี หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย คุณโก้จึงเดินทางไปที่โคราชอีกครั้ง ในครั้งนี้มีครอบครัวที่ประกอบไปด้วย คุณแจง (นามสมมุติ) ผู้เป็นภรรยาและ น้องจอย (นามสมมุติ) ลูกไปด้วย เมื่อถึงวันเดินทาง คุณโก้ก็ได้มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ เป็นห้องชั้น 3 หมายเลข 329 ซึ่งปกติแล้วคุณโก้ก็เคยมาพักที่นี่ แต่ก็ได้ห้องชั้นอื่นตลอด คุณโก้เช็คอินเข้าห้องพัก กระเป๋าและสัมภาระก็ถูกขนขึ้นไปไว้บนห้อง ระหว่างนั้นครอบครัวคุณโก้ก็ออกไปรับประทานอาหารร้านประจำซึ่งมีพนักงานเสิร์ฟสาวที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอกล่าวทักทายคุณโก้ “สวัสดีค่ะคุณโก้ มาเที่ยวเหมือนเดิมเหรอคะ? แล้วพักที่ไหนคะ?” คุณโก้บอกชื่อโรงแรมไป แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า “แล้ว.. ห้องไหนคะ?” คุณโก้ก็ตอบไปตามปกติว่า “เมื่อก่อนได้ห้องชั้น 1 บ้าง ชั้น 2 บ้าง แต่รอบนี้ได้ห้อง 329 เหมือนจะเลขสวยด้วยน้า” เด็กเสิร์ฟที่กำลังตักข่าวอยู่ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เดินหนีออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย! คุณโก้ได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอจึงเดินหนีออกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวของคุณโก้ก็กลับมาที่โรงแรม เมื่อถึงโรงแรม คุณแจงและน้องจอยโก้ก็ขึ้นไปบนห้อง ส่วนคุณโก้นั้นลงมาซื้อขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเผื่อหิวกลางดึก ในระหว่างนั้น น้องจอยก็เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ สักพักก็เดินออกมาแล้วบอกว่า “แม่ มีผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำ” คุณแจงบอกกับลูกว่า “ไม่มีหรอกลูก ผู้หญิงที่ไหน เราอยู่กันสองคน” น้องจอยก็ยืนยันว่ามีจริง คุณแจงคิดว่าน้องจอยไม่ได้โกหกแต่อาจจะเป็นจินตนาการของน้องจอยที่คิดไปเอง “งั้นพาแม่ไปดูหน่อยสิ้” น้องจอยก็พาคุณแจงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่คุณแจงก็ไม่เจออะไร จึงถามน้องจอยว่าเจอผู้หญิงตรงไหน น้องจอยก็ชี้ไปที่อ่างน้ำ แต่ในเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ คุณแจงจึงพาน้องจอยออกมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณโก้กลับมาเข้าที่ห้องพอดี คุณโก้และคุณแจงนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ส่วนน้องจอยจะนอนอยู่บนเตียงเด็กที่เตรียมมาเองในตำแหน่งปลายเตียงของพ่อแม่ คุณโก้บอกให้คุณแจงและน้องจอยรีบนอน เพราะพรุ่งนี้หลังจากทำธุรเสร็จแล้ว จะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน ทุกคนดูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยว คุณโก้จึงปิดไฟเหลือไว้เพียงแสงจากโทรทัศน์ หลังจากนอนไปได้สักพัก คุณแจงที่มักจะนอนหงายอยู่ฝั่งขวา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก รู้สึกอบอ้าวและร้อนไปหมดทั้งตัว แถมยังรู้สึกระคายเคืองที่คอ และยังได้ยินเสียงเหมือนคนสำลักออกมาด้วย คุณแจงตื่นขึ้นมาแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงชำเลืองหางตาไปทางขวามือที่คุณโก้นอนอยู่ ก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าในมุมมืดข้างเตียง ลิ้นจุกอยู่ที่ปากส่งเสียงสำลักในคอมาเป็นระยะ! คุณแจงที่ยังขยับตัวไม่ได้ก็สังเกตเห็นอีกว่ามือของผู้หญิงคนนั้นเอือมมาบีบคอตัวเองอยู่! คุณแจงพยายามดิ้นและนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สักพักก็หลุดพ้น คุณแจงลุกขึ้นมานั่งแล้วสะกิดคุณโก้เสียงเบาเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น คุณแจงบอกว่าตนนั้นโดนผีหลอก คุณโก้ปลอบใจและพยายามบอกว่าอาจจะเหนื่อยมากไปเพื่อให้คุณแจงใจเย็นลง หลังจากใช้เวลาสักพัก คุณแจงก็ยอมนอนต่อแต่โดยดี เมื่อคุณแจงหลับไป คุณโก้ที่ปกติแล้วชอบนอนตะแคงก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนมากอดจากข้างหลัง จึงคิดว่าอาจจะเป็นคุณแจง แต่มันแปลกตรงที่การกอดมันแน่นรุนแรงขึ้น และยังรู้สึกอีกว่าแขนที่มากอดมันหนักเกินกว่าจะเป็นแขนของภรรยาได้! จากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ และรู้สึกว่าแขนนั้นมันเปียกชื้นแฉะ คุณโก้จึงหันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาว ลิ้นจุกปาก น้ำเหลืองและน้ำเลือดไหลออกจากตา สำลักในลำคอของเธอก็ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับสายตาน่ากลัวที่มองคุณโก้! คุณโก้ตกใจดิ้นหลุดจนตกลงมาซอกเตียง หลังจากควบคุมสติได้ก็มองขึ้นบนเตียงอีกที ทุกอย่างก็หายไป! คุณโก้ใช้มือยันพื้นหลังติดผนังแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกุกกักจากข้างบนฝ้าตามมาด้วยเสียงสำลักในลำคอดังขึ้นมาอีก! คุณโก้รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างบนนั้นมันกำลังจะร่วงลงมา จากนั้นฝ้าก็เผยอเปิดออก! คุณโก้รีบไปดึงตัวคุณแจงและน้องจอยออกจากห้องโดยที่ไม่พูดอะไรและทิ้งของทุกอย่างไว้ที่ห้องนั้น แล้วขับรถออกจากโรงแรมทันที! เมื่อมาถึงอีกโรงแรม คุณโก้ก็บอกน้องจอยแค่ว่า “พ่อนัดเพื่อนไว้ ลูกขึ้นไปนอนก่อนนะ” คุณแจงและน้องจอยก็ขึ้นไปบนห้อง คุณโก้นั่งอยู่ที่ฟร้อนโรงแรมเพื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เห็นป้อมยามของโรงแรม จึงไปเดินถามเพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องผีจริง คนที่จะรู้มากที่สุดก็คงจะเป็นคนในพื้นที่ ก็เจอลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ในป้อมยาม คุณโก้เล่าให้คุณลุงฟังว่าเจออะไรมาบ้าง พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่เจอ คุณลุงถามกลับมาทันทีว่า “329 ใช่มั้ย?” คุณโก้พยักหน้าตอบ คุณลุงจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นทำให้คุณโก้ตัดสินใจว่าหลังจากนี้ จะไม่มาพักที่โรงแรมต้นเรื่องอีก ต้นตอของคดีฆาตกรรมห้อง 329 คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีสามีอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอาชีพเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ และมีงานพิเศษเป็นสาวอาบอบนวด ทำให้มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาพัวพันด้วย ผู้ชายคนนี้ทำอาชีพเป็นช่างแอร์ เมื่อคบกันไปได้สักพัก ผู้ชายก็จับได้ว่าเธอมีสามีอยู่แล้ว ทั้งคู่นักมาเคลียร์ใจกันที่โรงแรมนี้ในห้อง 329 เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายเกิดบันดาลโทสะบีบคอฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ด้วยความที่เขาเป็นช่างแอร์ จึงนำศพของผู้หญิงอำพรางไว้ในช่องข้างฝ้าเพดานข้างบน จากนั้นก็ลงไปซื้อเครื่องดื่มขึ้นบนดื่มบนห้องอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน เขาก็เช็คเอาท์ออก หลังจากนั้น 3 วัน แม่บ้านก็เข้ามาทำความสะอาดในห้อง จากนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่และพบศพอยู่ข้างบนฝ้าในห้อง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1