เห็นศาลาริมน้ำวิวสวยบรรยากาศดี มองดูดี ๆ ก็เจอคนนั่งห้อยขา ไม่ใส่เสื้อผ้า มีผ้าดิบคลุมผูกหัวผูกเท้า!

อังคารคลุมโปง RECAP

เห็นศาลาริมน้ำวิวสวยบรรยากาศดี มองดูดี ๆ ก็เจอคนนั่งห้อยขา ไม่ใส่เสื้อผ้า มีผ้าดิบคลุมผูกหัวผูกเท้า!

23 มี.ค. 2024

           ประสบการณ์เจอเรื่องหลอนระหว่างทางกลับบ้าน! เรื่องนี้ ‘คุณนุ้ย’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ศาลาริมน้ำ’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

           เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณนุ้ย’ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณนุ้ยเล่าว่า วันนั้นเป็นช่วงที่แหล่งท่องเที่ยวจัดงานกลางคืน คุณนุ้ยไปเที่ยวบ้านเพื่อนกลับมาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง เกือบ 3 ทุ่ม ระหว่างทางที่กลับก็นั่งรถคุยกันรับลมชมวิว คืนนั้นอากาศดีมาก กระทั่งขับรถมาถึงสะพานที่อยู่ใกล้กับศาลาริมน้ำจุดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ คุณนุ้ยขี่รถมอเตอร์ไซค์มากับแฟน ซึ่งคุณนุ้ยเป็นคนซ้อน แล้วมองไปที่สะพานนั้น เห็นเงาตะคุ่ม ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นคนนั่งอยู่

           จากนั้นคุณนุ้ยก็เอามือชี้ไปตรงนั้น แล้วพูดว่า “เฮ้ย น่าไปเที่ยวเนอะ ตรงนั้นไฟแสงสีดีจังเลย มีเพลงด้วยน่าเข้าไป” เมื่อคุณนุ้ยลดมือลง คุณนุ้ยก็ตกใจ เพราะเห็นเป็นคนลักษณะนั่งห้อยขา ตัวเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่เป็นผ้าดิบคลุมไว้ทั้งตัว ผูกหัวผูกเท้า เหมือนหมอนข้างผูกหัวกับท้าย ระหว่างที่ลดมือลงเขาก็ค่อย ๆ มองหน้าคุณนุ้ย หันมาแต่คอ ตัวไม่หันตาม!

           คุณนุ้ยจึงถามแฟนว่า “เห็นไหม เธอเห็นไหม?”

           แฟนของคุณนุ้ยบอกว่า “ไม่เห็น”

           คุณนุ้ยเห็นแค่เพียงคนเดียว ระหว่างที่คุณนุ้ยอยู่บนสะพานกำลังจะลงจากสะพาน เขาก็มองหันมาแต่คอเหมือนเดิม คุณนุ้ยก็คิดว่าเอาแล้ว จึงถามแฟนอีกครั้งว่า “เห็นไหม ๆ”

           แฟนบอกว่า “อะไร ไม่เห็น!” คุณนุ้ยเก็บความพิศวงตรงนี้เอาไว้ไม่พูดอะไร

           เมื่อคุณนุ้ยกลับมาถึงที่บ้าน คุณนุ้ยก็ไม่สบาย อาการของคุณนุ้ยคือขนหัวลุกจนเป็นไข้ ระหว่างที่เป็นไข้อยู่นั้น เขาก็มาหาที่บ้าน มีเสียงหมาหอนอยู่หน้าบ้าน 2-3 วัน คุณนุ้ยรู้ทันทีเลยว่าต้องเป็นเขาแน่ ๆ และพูดว่า “เดี๋ยวหนูหายป่วย หนูจะไปทำบุญให้นะ”

          หลังจากที่คุณนุ้ยหายป่วยก็ได้ไปวัดแห่งหนึ่ง ไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง คุณนุ้ยก็ซื้อสังฆทานไปให้เขา พระอาจารย์ก็บอกกลับมาว่า “โยมทำแบบนี้นะ ทำเป็นกระทงแล้วนำไปวางไว้” คุณนุ้ยก็เตรียมอุปกรณ์เป็นกระทง แก้วน้ำ นำของคาว ของหวานใส่ไปในกระทงให้เขา พระอาจารย์บอกอีกว่า “ให้ไปตอน 6 โมง แล้วโยมไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง จุดธูป 1 ดอกวางไว้บนของที่เราถวายเขา” คุณนุ้ยก็ทำตามที่พระอาจารย์บอกทุกอย่าง

           คืนนั้นคุณนุ้ยฝันเห็นลุงที่นั่งตรงศาลาริมน้ำ ปรากฏว่าคุณนุ้ยเห็นภาพตัวเองเมื่อตอนเย็น ที่กำลังนำของไปวางให้เขา และในฝันเขานั่งรอเอามือรับของจากคุณนุ้ย หลังจากที่ฝันคุณนุ้ยก็ไม่เจออะไรอีก แต่ด้วยความที่ยังรู้สึกค้างคาใจว่าเขาเป็นใคร จึงไปถามคนแถวนั้นว่า “พี่ รู้ไหมว่าตรงนี้มีเหตุการณ์อะไร ตรงศาลาตรงนี้มีอะไรไหม?”

           เขาก็บอกว่า “อ๋อ มีลุงคนนึงแกเมา แล้วแกตกน้ำตาย!”

           เมื่อได้ยินดังนั้น คุณนุ้ยก็ใจชื้นขึ้นและได้รู้แล้วว่าลุงเสียชีวิตตรงนี้

           เวลาผ่านไป คุณนุ้ยก็คลายความกลัว ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น จนวันหนึ่งคุณนุ้ยมาเจอรุ่นน้องซึ่งเป็นเพื่อนกับแฟนของตน ทำงานอยู่ที่มูลนิธิ เขาบอกว่า วันนั้นเขาไปเก็บศพลุงคนนี้ เอาผ้าห่อเอาไว้ เขาก็ให้ลุงนอนรอที่ศาลา แล้วเขาถึงไปตามเพื่อนและไปเอารถมูลนิธิ เพื่อมารับร่างของลุงใส่รถกลับไป…

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

28 ก.ค. 2023

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 กรกฎาคม 2566) ได้เล่าเรื่องหลอนที่เคยเจอกับตัว ระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์รอบดึก ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘โรงหมายเลข 6’ ใครที่มีแพลนจะไปดูหนังรอบดึก นับจำนวนคนให้ดี ๆ นะ! เรื่องหลอนนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณชิ’ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เข้าทำงานเป็นกะ ทั้งกลางวันและกลางคืนหมุนเวียนสลับกันไป คุณชิเองเป็นคนที่ชื่นชอบการดูหนังรอบ Midnight อยู่แล้ว เมื่อถึงวันที่ต้องเข้ากะดึก จึงไปเช็คก่อนว่ามีลูกค้าเข้าไปใช้บริการในโรงหนังรอบนั้นกี่คน ปรากฏว่ามีลูกค้าเพียง 5 คนเท่านั้น เมื่อถึงเวลา คุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังในโรงหมายเลข 6 พร้อมกับลูกค้าทั้ง 5 คนนั้น.. โรงหมายเลข 6 นี้เป็นโรงที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แถวที่คุณชิเข้าไปนั่ง คือแถว AA (ด้านบนสุด) ทำให้สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งโรง คุณชิจึงคอยสอดส่องว่าลูกค้าเข้ามาครบหรือยัง เพราะที่นั่งที่คุณชินั่ง อาจจะไปตรงกับลูกค้าก็เป็นได้ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาครบ คุณชิก็สบายใจเพราะไม่ได้นั่งทับที่ใคร จากนั้นหนังก็เริ่มฉายไปตามปกติ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็กวาดสายตาไปมองบรรดาลูกค้าอีกครั้ง แต่เมื่อลองนับจำนวนดูกลับพบว่ามีทั้งหมด 6 คน! คุณชิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตัวเองนั่งอยู่ในจุดที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของทุกอย่างในโรงได้ ไม่ยักกะเห็นคนเดินเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว คุณชิคิดว่าอาจจะเบลอนับพลาดไป จึงนับใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็น 6 คนอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจมาก คุณชิจึงไม่คิดอะไรต่อ แล้วกลับไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เช่นเดิม เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง หันหน้ามองซ้ายขวาไปรอบ ๆ โรงโดยที่ตัวไม่ได้หันตามไปด้วย จากนั้นก็หันกลับไปดูหนังตามปกติ พอมีจังหวะที่หนังตบมุกตลก ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะ “หึ ๆ” เสียงต่ำในลำคอ ทั้ง ๆ ที่คนในโรงต่างเงียบกัน คุณชิคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้หัวเราะแปลก ๆ สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็หันคอกลับมามองที่คุณชิ! แล้วก็จ้องหน้าคุณชิอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 วินาทีได้ จากนั้นก็หันกลับไปช้า ๆ ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ก็หันกลับมามองที่คุณชิอีกรอบ! แต่รอบนี้ตาของผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสีแดงไปแล้ว! คุณชิตกใจและสงสัยว่าเขาจะมองหน้าตัวเองไปทำไม ในตอนนั้นคุณชิยังคงคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนดวงตาที่เป็นสีแดง อาจเป็นเพราะแสงจากการฉายหนังก็เป็นได้ หลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็หันกลับไปเหมือนเดิม กระทั่งหนังฉายจบ คุณชิก็รีบเดินออกไปรอหน้าโรงหนัง เพื่อที่จะดูว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกมาหรือไม่ แต่กลายเป็นว่ามีคนเดินออกไปแค่ 5 คนเท่านั้น! เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินออกมาแค่ 5 คน คุณชิจึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเดินออกประตูอื่น เพราะในช่วงนั้นจะมีป้าแม่บ้านมาทำความสะอาด เขาอาจจะออกประตูนั้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ คุณชิจึงเดินไปหาป้าแม่บ้าน A แต่เมื่อถามว่ามีลูกค้าเดินสวนออกมาทางนี้หรือไม่ ป้า A ก็ตอบกว่า “ไม่มีนะ” คุณชิเริ่มคิดในใจว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ใช่คน แต่ก็ยังไม่ได้บอกป้าเอว่าตนเจออะไรมา จากนั้นคุณชิก็กลับไปทำงานตามปกติ ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ คุณชิยังคงไปทำงานตามปกติ ก็ได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศคุยกันว่า “เมื่อคืนนี้ ลูกค้าเจอผี” คุณชิหูผึ่งทันที จึงขอให้พี่ในออฟฟิศเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็เล่าว่า “เมื่อคืน ก่อนที่ลูกค้าผู้ชาย A จะเข้าห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีลูกค้าผู้ชาย B ยืนส่องกระจกอยู่ แต่ไม่เชิงว่าส่องกระจก เพราะเขายืนตรง ๆ แต่ลูกค้า A ก็ไม่คิดอะไร เดินเข้าไปยืนทำธุระส่วนตัวตรงโถ ซึ่งเป็นมุมที่ต้องยืนหันหลังให้ลูกค้า B เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยไม่ถึงหนึ่งนาที หันกลับมาก็ไม่มีใครยืนส่องกระจกอยู่แล้ว! แถมประตูก็ไม่ได้เปิดอยู่ด้วย ทุกอย่างในห้องน้ำดูเงียบสงัด ลูกค้า A จึงไปบอกกับป้าแม่บ้าน C และเล่าว่าเขาเจอผีบ่อยมากเลยเวลามาดูหนังที่นี่ แต่ป้าแม่บ้านก็ทำได้แค่ตอบรับแล้วก็เดินจากไป” หลังจากทราบคร่าว ๆ แล้ว คุณชิจึงไปหาป้าแม่บ้าน C เพื่อถามเรื่องราวต่อ แต่ป้าก็ปฏิเสธบอกเพียงว่า “ป้าไม่รู้หรอก ไม่รู้ ๆ เราทำงานที่นี่ เรารู้อยู่แล้ว ป้าไม่อยากพูด” พูดจบก็รีบเดินจากไป แต่อาการลุกลี้ลุกลนของป้า ทำให้คุณชิยืนงง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อป้าไม่บอก ก็ไม่ต้องรู้ก็ได้ คุณชิคิดแบบนั้นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงวันที่คุณชิต้องเข้างานกะดึกอีกครั้ง วันนั้นมีหนังเรื่องใหม่ที่คุณชิอยากดูอยู่พอดี จึงเข้าอีหรอบเดิม แต่ครั้งนี้คุณชิเข้าไปเช็คทั้งหน้าแอปฯ หน้าเคาน์เตอร์ ว่ามีลูกค้ากี่คน แล้วก็จะเข้าโรงหนังช้ากว่าปกติเพื่อให้ลูกค้าเข้าโรงให้หมดก่อน แต่เมื่อเช็คแล้ว ในรอบนั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเลย ตามปกติแล้วรอบนี้ก็จะงดฉาย แต่คุณชิขอให้เพื่อนร่วมงานฉายหนังตามปกติ จากนั้นคุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังคนเดียว เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ก็สังเกตเห็นว่ามีคนมานั่งอยู่แถว F ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้! (ห่างจากแถว AA ประมาณ 5-6 แถว) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งเดิมที่คุณชิเจอเมื่อคราวก่อนด้วย คุณชิเกิดคำถามในหัวมากมายว่าเขาคนนั้นเข้ามาในโรงหนังได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รอบนี้มันไม่ควรจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที เขาก็หันกลับมามองที่คุณชิด้วยตาแดงก่ำคู่นั้น! สักพักเขาก็อ้าปาก แล้วเลือดก็ไหลออกมา! คุณชิตกใจด้วยความกลัวก็รีบวิ่งออกจากโรงหนังทันที คุณชินั่งอยู่หน้าโรงหนังนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามันไม่มีใครอยู่ในโรงหนังนั้นเลยสักคน! คุณชิในตอนนั้นเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่น่ามีใครมาแกล้งอะไรแบบนี้ และนั่นคงจะเป็นผีแน่ ๆ จากนั้นก็เดินไปหาน้องที่ทำงานเกี่ยวกับตั๋วแถวนั้น คุณชิเล่าเรื่องที่เจอให้น้องฟัง และยังเล่าให้เพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คนฟัง แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าคุณชิตาฝาดไปเองมากกว่า และทุกคนก็ยืนยันว่าที่นี่ไม่มีผี คุณชิก็พยายามไม่คิดอะไร แล้วกลับไปทำงานตามปกติ คุณชิเล่าว่าในห้องที่ฉายหนัง จะมีหน้าต่าง 3 บาน ตรงกลางเป็นช่องสำหรับฉายโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นหน้าต่างที่สามารถเปิดปิดได้ เป็นช่องขนาดเล็กที่เอาไว้ชะโงกดูความเรียบร้อยภายในโรงหนัง คืนหนึ่ง หลังจากที่หนังรอบสุดท้ายฉายจบแล้ว คุณชิก็จะมีหน้าที่เดินปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดเสียง และระบบต่าง ๆ และจะต้องเปิดหน้าต่างเหล่านั้น เพื่อให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดความชื้นในห้องฉายหนัง ขณะที่เปิดหน้าต่าง คุณชิก็ต้องชะโงกหัวออกไปเพื่อเช็คความเรียบร้อยในโรงหนัง คุณชิต้องก้มหน้าเพื่อเอาหัวสอดเข้าไปในช่องนั้น แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา ก็ประจันหน้าเข้ากับผู้ชายที่ตาแดงก่ำหน้าโชกไปด้วยเลือดอย่างสยดสยอง! คุณชิตกใจรีบเอาตัวถอยหลังจนชนกำแพง และบอกว่า “อย่า อย่าพี่! ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ!” จากนั้นพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่โปรเจคเตอร์ก็วิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ คุณชิก็เล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง แต่พี่เขาก็บอกว่าคงไม่มีอะไร จากนั้นก็เช็คในโรงอีกรอบ และก็บอกว่า “ไม่มีใครเลยนะ ตั้งสติแล้วมาดูดี ๆ” แต่คุณชิก็ยืนกรานว่าเขาเห็นจริง ๆ จากนั้นก็ชะโงกหัวไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็ไม่มีใครจริง ๆ หลังจากนั้นก็รีบปิดระบบทุกอย่างแล้วกลับบ้านทันที คุณชิเล่าว่าภาพนั้นมันยังติดตาอยู่เลย เพราะเป็นการประจันหน้าในระยะห่างกันแค่ 20 เซนติเมตร และหน้าต่างตรงนั้นอยู่ในจุดที่สูงจากพื้นเมตรกว่าได้ ไม่น่ามีใครยื่นหน้าเข้ามาหาแบบนั้นได้เลย คุณชิยังบอกอีกว่าเขาเองก็ห้อยพระ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมาก หลังจากนั้นก็ต้องมาทำงานกะดึกปกติ ในจังหวะที่ต้องเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้านั้น ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่เดิมในโรงหนัง แล้วเขาก็ลุกขึ้นมากำลังจะเดินออก ก็มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามา เอามีดมาจ้วงแทงเขาหลายรอบ เขาสำลักเลือดแล้วก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มลงนอนตรงนั้น ส่วนคนที่แทงก็วิ่งหนีหายไปเลย! คุณชิตกใจรีบตะโกนเสียงดังและวอร์วิทยุว่ามีคนแทงกันในโรงให้ทุกคนเข้ามาช่วยกัน เมื่อทุกคนเข้ามา ในโรงกลับว่างเปล่า! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คุณชินั่งหน้าซีดตัวสั่น ไม่คุยกับใครเลย เมื่อสงบสติได้แล้ว พี่ในออฟฟิศก็เล่าว่า “มีคนเคยแทงกันตายจริง แต่ว่ามันผ่านมานานมากแล้ว” จากนั้นก็แนะนำให้คุณชิไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณนั้น และก็ให้คุณชิหยุดทำงานไปสักพัก หลังจากเจอเหตุการณ์นั้นคุณชิก็จับไข้หัวโกร๋น และไปทำบุญให้ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้วิญญาณนั้นหายไป คุณชิยังคงเห็นเขานั่งอยู่ที่นั่งเดิม เพียงแต่ไม่ได้ทำให้กลัวเหมือนที่เคยเจอ ล่าสุด คุณชิเข้าไปดูหนังรอบดึกอีกครั้ง แต่ด้วยความล้าจากการทำงาน จึงเผลอหลับ แต่ก็มีคนมาสะกิด คุณชิก็สะดุ้งตื่น แล้วก็เห็นว่าหน้าเขาก้มลงมามองที่คุณชิอยู่! คุณชิก็รีบบอกไปว่าจะทำบุญไปให้ พอลืมตามาอีกที เขาก็หายไปแล้ว! ปัจจุบันนี้คุณชิยังทำงานอยู่ที่เดิม เพราะงานก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ และเล่าเพิ่มเติมว่าถ้าไปที่โรงนั้น แล้วสังเกตก็จะเห็นว่ามีศาลตั้งอยู่หลังม่าน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก” พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดีปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า “ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบเวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ย้ายไปทำงานที่นอกตัวเมืองต่างจังหวัด พี่เขาถามมาประโยคเดียวว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คืนแรกที่มานอนก็ได้ยินเสียงเคาะห้องทั้งคืน เพราะอยากมาอยู่ด้วย! เคาะไม่หยุดจนต้องสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา”

12 มิ.ย. 2023

ย้ายไปทำงานที่นอกตัวเมืองต่างจังหวัด พี่เขาถามมาประโยคเดียวว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คืนแรกที่มานอนก็ได้ยินเสียงเคาะห้องทั้งคืน เพราะอยากมาอยู่ด้วย! เคาะไม่หยุดจนต้องสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา”

‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (6 มิถุนายน 2566) ‘ส้ม มัลนิการ์’ ได้เล่าเรื่องสุดหลอนที่ได้เจอตอนย้ายไปเช่าบ้านพักที่ต่างจังหวัด ที่ฟังจบแล้ว ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน! จะหลอนแค่ไหนนั้น เปิดแสงสว่างจอให้สุดแล้วปิดไฟอ่านพร้อมกันเลย!คุณส้มเริ่มเล่าว่า มีช่วงหนึ่งที่กำลังตามหาตัวเอง จึงไปทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งที่จันทบุรี แต่สาขางานที่ทำอยู่นั้นค่อนข้างห่างจากตัวเมือง บางวันอยู่เคลียร์งานจนต้องกลับดึกทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่จึงแนะนำให้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ สาขาที่ทำมากขึ้น ซึ่งบ้านพักที่ย้ายมา อยู่ใกล้มาก เยื้องกับสาขาที่ทำงาน บ้านพักมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวที่ยกสูงจากพื้นประมาณ 2 ฟุต ต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะเข้าห้องพัก อยู่หลังริมสุดติดรั้ว คุณส้มรู้จักกับพี่เจ้าของบ้านพักเพราะเขาทำงานบริษัทเดียวกันแต่คนละสาขา จึงได้ในราคาที่ถูกลง จากประมาณ 5,000 เหลือ ประมาณ 3,500 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมาก ทั้งสะดวก ทั้งอยู่ติดที่ทำงาน โรงพยาบาล และร้านอาหาร จึงตัดสินใจย้ายของเข้า แต่แล้วพี่เจ้าของบ้านพักก็ถามขึ้นมาว่า “นอนได้ใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” คุณส้มก็ตอบไปว่า “ได้ค่ะ” แม้จะเอะใจแต่ก็คิดว่า พี่เขาคงเป็นห่วงเพราะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวคืนแรกที่มาอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้ ก็ต้องขนของจัดของเข้าห้อง กว่าจะเสร็จก็ดึกมาก และต้องรีบนอนเพราะต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้า ระหว่างที่จัดของในห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงเดิน เป็นเสียงรองเท้าเดินบนพื้นหินกรวด เข้ามาทางประตูด้านหลังของตัวบ้านพัก คุณส้มก็คิดว่าเป็นพี่ผู้ชายห้องข้าง ๆ เดินมา เพราะเสียงฝีเท้ามันหนักและใหญ่เหมือนใส่รองเท้าบูทหรือไม่ก็คอมแบต ชัดเจนมากว่าเป็นของผู้ชายดัง “ฉึบ ฉึบ ฉึบ” เหมือนเดินมาด้วยความรีบ สักพักเสียงก็หยุดไป คุณส้มคิดในแง่ดีว่า ยังไงก็ต้องเป็นคน อาจจะเป็นเสียงของพี่ห้องข้าง ๆ จึงไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำ ขณะที่คุณส้มกำลังแปรงฟัน เสียงเดินก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เสียงเดินมันดังขึ้นมาจากบันได “ตึง ตึง ตึง” มาหยุดที่หน้าประตูด้านหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหลาย ๆ ครั้ง แล้วก็มีเสียงผู้ชายตะโกนมาว่า “เห้ย เปิดโว้ย!” คุณส้มจึงตะโกนกลับไป “ใครอ่ะ!” แล้วก็คิดในใจว่าเราเข้าผิดห้องหรือไปจอดรถขวางใครหรือเปล่า แล้วก็ตอบไปว่า “แป๊บนึงนะคะพี่” จากนั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปเปิดประตูแง้ม ๆ แต่เสียงมันเงียบจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้! คุณส้มมั่นใจมาก ว่ามีคนมาเคาะประตูห้องจริง ๆ จึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู เท่านั้นแหละ ขนลุกเลย! ข้างนอกไม่มีคนอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้า ส่วนพี่ผู้ชายที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ยังไม่กลับ ในใจก็คิดว่าถ้าเป็นเจ้าที่ คุณส้มจึงก็ขอโทษ ขอขมา ขอให้อยู่ปลอดภัย เดี๋ยวจะเอาพวงมาลัยไปไหว้จากนั้นคุณส้มก็กลับเข้ามาดูทีวี สักพักก็ได้ยินเสียงรถ เสียงเดินมาไขกุญแจของพี่ข้างห้อง คุณส้มก็คิดว่าเสียงเมื่อสักครู่ไม่ใช่พี่ข้างห้องแน่ๆ คงไม่มีอะไรจึงไปนอน นอนไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะผนังไม้บริเวณหัวเตียง เคาะจนคุณส้มตื่น ในใจคิดว่าคงเป็นเสียงกิ่งไม้มาโดนกับผนัง จึงนอนต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะ “ตึง!” ที่ชัดและดังมาก ๆ ทำให้สะดุ้งตื่น คราวนี้คุณส้มคิดว่าไม่ใช่เสียงกิ่งไม้แล้วแน่ๆ แล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีก เป็นเสียงเคาะที่ไล่จากซ้ายไปขวา ขึ้นบนลงล่าง สลับกันทั่วห้อง ด้วยความที่คุณส้มง่วงมากจึงตะโกนกลับไป “หยุด! จะนอน!” แล้วเสียงนั้นก็หยุด เงียบไปสักพักก็กลับมาเคาะอีก เป็นเสียงเคาะเหมือนวิ่งอยู่รอบ ๆ ตัว คุณส้มคิดว่าโดนคนแกล้งแน่ ๆ เลยเปิดประตูออกไปแต่กลับไม่มีอะไรเลย!พอกลับเข้ามาคุณส้มก็รวบรวมสมาธิ พยายามที่สื่อสารบอกเขาว่าเรามาดีนะ แต่เสียงเคาะก็ไม่หยุดแต่ถี่น้อยลง คุณส้มจึงใช้เซนส์ดู ก็เห็นว่าเขาเป็นผู้ชาย ผิวซีด เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์ไม่ก็รถยนต์ที่โรงพยาบาลใกล้ที่พัก พอถามเขาว่าต้องการอะไร เขาก็ไม่ตอบแต่กลับก่อกวนและทำให้รู้ ว่าเขาอยากมาอยู่ที่นี่กับเรา แต่ไม่ได้มาอยู่แบบดี เขาทำให้กลัว หลอน ระแวงเสียงต่าง ๆ คุณส้มบอกว่าจะทำบุญแผ่ส่วนบุญไปให้ เขาก็ไม่เอา จึงสื่อสารกับเจ้าที่ว่า “เจ้าที่คะ กั้นรอบรั้วทีค่ะ หนูจะเล่นเขา” สักพักนึงในเซนส์ของคุณส้ม รอบรั้วก็มีแสงสว่างขึ้น! ผู้ชายคนนี้เหมือนพยายามจะเดินออกแต่ก็ออกไม่ได้ คุณส้มเลยขู่เขาว่า “ถ้ายังเป็นแบบนี้ ต่อไปจะแช่ง ติดต่อให้ยมทูต ยมบาลมาเก็บแล้วนะ” จากนั้นก็เริ่มสวดคาถาสายร้อน เพื่อที่จะให้เขาตอบว่าเขาต้องการอะไร และให้เขารู้ว่าอยู่ตรงนี้ไม่ได้ แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายเจ้าที่ช่วย เขาก็ขอร้องที่จะออกไปเองแล้วไม่กลับมาที่นี่อีก คุณส้มจึงพูดกลับไปว่า “ถ้ากลับมาก่อกวนอีกเมื่อไหร่ โดนนะ!” พูดคุยกันจบคุณส้มจึงไปนอนต่อเช้าวันถัดมา พี่เจ้าของที่พักก็มารอตั้งแต่เช้าเพื่อถามเพียงแค่ประโยคเดียวว่า “ส้ม เมื่อคืนนอนได้ไหม?” คุณส้มจึงตอบกลับไปว่า “พี่รู้อะไรบอกมาเดี๋ยวนี้ ทำไมถามแบบนี้” พี่เขาก็จับแขนแล้วพูดว่า “ฟังพี่นะ ห้องเนี้ย ไม่เคยมีใครอยู่ได้เลย เห็นส้มสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้เลยไม่ได้บอก แล้วเขาว่ายังไงบ้าง” คุณส้มก็บอกพี่เขาไปว่าคุยอะไรกับวิญญาณ และต้องทำอะไรบ้างให้พี่เจ้าของบ้านพักฟัง หลังจากนั้นไม่นานคุณส้มก็ต้องย้ายสาขาที่ทำงานมาในตัวเมืองจึงย้ายออกมาจากที่บ้านพักนั้น…คุณส้มบอกว่า ไม่รู้ว่าที่วิญญาณเขาทำแบบนั้นเขาต้องการอะไร แต่เขาพูดกับคุณส้มว่า “วันนึง จะต้องขอบคุณเขา” แล้วคุณส้มก็เพิ่งมานึกออกตอนเห็นว่ารายการอังคารคลุมโปงใช้เรื่องนี้เพื่อโปรโมทในรายการ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

25 พ.ค. 2023

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

‘คุณอาร์ท’ สายจากทางบ้าน ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ว่าได้เจอเรื่องหลอนขณะที่กำลังจะบวช ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวของคุณอาร์ทจะเป็นอย่างไร.. ไปติดตามอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นกำลังจะเตรียมตัวบวชพระ สถานที่คือวัดเดิมที่เคยมาบวชเณรมาก่อน โดยต่างจังหวัดนั้นมีธรรมเนียมว่า ใครจะบวชต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกไปไหนเพราะเป็นบุญใหญ่ คุณอาร์ทจึงต้องไปเป็นฆราวาสที่วัด 7 วัน 2 วันก่อนที่จะถึงวันบวช คุณอาร์ทก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติในช่วงกลางวัน พอ 5 โมงเย็น คุณอาร์ทก็เห็นว่าหน้าเมรุมันเลอะเทอะ เพราะไม่มีใครไปทำความสะอาดเลย คุณอาร์ทจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะไปกวาดทำความสะอาดสักหน่อย และด้วยความที่คุณอาร์ทเวลาจะทำอะไรชอบฟังเพลงไปด้วย ขณะที่กวาดเลยนำหูฟังขึ้นมาฟังเพลงในยูทูป เมื่อวิดีโอจบลงมันก็จะหยุดอัตโนมัติเอง คุณอาร์ทก็เห็นว่าใกล้จะกวาดเสร็จแล้ว จึงเสียบหูฟังคาหูอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้กดเล่นเพลง.. สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่พูดคุยเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ คุณอาร์ทจึงถอดหูฟังออก พอมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นใคร จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่บ้านอยู่ติดกับวัดแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน คุณอาร์ทกดเล่นเพลงอีกครั้งหนึ่งจนมันหยุดอัตโนมัติอีกครั้ง เป็นเวลาที่กวาดเสร็จพอดีจึงถอดหูฟังออก จังหวะที่ถอดหูฟังนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูชัดเจนว่า “เค้ามาบวชใหม่หรอ” คุณอาร์ทนึกในใจว่า “ใครมาพูดวะ” และมองไปที่กุฎิหลวงตา ก็คิดว่าหลวงตาน่าจะคุยกับคนที่มาเยี่ยม แล้วก็น่าจะถามว่ามีเด็กมาบวชใหม่หรอ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ามาในวัดสักเท่าไหร่ คุณอาร์ทก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่พอสังเกตดี ๆ ก็พบว่าในตอนนั้นมีแค่คุณอาร์ทและหลวงตาเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณวัด คุณอาจก็พยายามคิดในแง่ดีตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าน่าจะเป็นเสียงแว่วที่ลอยมาจากที่อื่น เพราะบริเวณวัดตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณอาร์ทจึงไปนั่งคุยกับหลวงตาที่นอนอยู่ในกุฎิ และถามว่าพรุ่งนี้มีบิณฑบาตหรือไม่ หลวงตาก็บอกว่า “มี ให้ตื่นมาตอนตีสี่นะ” คุณอาร์ทรับทราบดังนั้นแล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง คุณอาร์ทก็อธิบายเพิ่มว่า กุฎิข้างล่างมีลักษณะเป็นปูน ส่วนข้างบนยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่กำลังนอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบกุฎิ จึงคิดว่าเป็นสุนัขเพราะสุนัขที่วัดชอบขึ้นมานอนข้างบน พอจะนอนต่อ คุณอาร์ทก็นอนไม่หลับ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี 2 จึงลุกมากินน้ำและคิดว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว งั้นไม่นอนเลยก็แล้วกัน เพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เมื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าอากาศดีมากเพราะช่วงค่ำมีฝนตก จึงเดินออกไปนั่งสูดอากาศอยู่ที่กลางวัด โดยไปนั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงกดโทรวิดีโอคอลหาเพื่อน ๆ เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งเพื่อนก็ทักขึ้นมาว่า “อาร์ท มึงเอาใครมานอนที่วัดด้วยรึเปล่าวะ” คุณอาร์ทจึงตอบไปว่า “เฮ้ย กูมานอนคนเดียว ที่วัดเค้าไม่ให้เอาใครเข้ามาด้วย” เพื่อนก็เลยถามต่อว่า “มึงอย่ามาหลอกกู แล้วใครยืนอยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” คุณอาร์ทก็บอกไปว่า “มึงอย่ามาตลก กูไม่เล่นนะนี่ในวัดในวา” เพื่อนก็พูดอีกว่า “เอ้า อาร์ทคนเดิมหายไปไหนละวะ คนที่ชอบท้าทายอ่ะ แหมจะบวชซะหน่อยทำเป็นคนดีหรอ” และเพื่อนก็ยังพูดไม่หยุดว่า “น่ะมาอีกคนแล้วน่ะ เอาเพื่อนแถวบ้านเข้ามานอนในวัดด้วยหรอ” จากนั้นก็กดตัดสายไปเลย คุณอาร์ทนึกว่าเพื่อนแกล้ง จึงโทรไปอีกหลาย ๆ รอบ แต่เพื่อนคนนี้ก็กดตัดสายตลอด และส่งเป็นข้อความว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เข้าไปที่บ้านมึงเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” คุณอาร์ทจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทักเหมือนเพื่อนคนแรกเลยว่า “มึงเอาใครมานอนด้วยเนี่ย มึงไปให้เค้ายืนอยู่ข้างหลังทำไมน่ะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดตายหรอก” คนอาร์ทจึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มึงอย่ามาพูดบ้า ๆ อย่างนี้นะ ในวัดในวากลางค่ำกลางคืน กูกลัวจริง ๆ นะ” จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็กดวางสายไป ด้วยความที่เริ่มกลัว คุณอาร์ทจึงโทรหาเพื่อนอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนที่สามก็พูดทำนองเดียวกันเหมือนกับเพื่อนสองคนแรก คุณอาร์ทได้ยินอย่างนั้น ก็กดตัดสายไป เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใคร แต่จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวว่า “กูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่หว่า” จากนั้นก็เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วฉายขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ปรากฏว่าสิ่งที่คุณอาร์ทเห็นคือ คนนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อยู่ประมาณสี่ห้าคนแกว่งขาเล่นไปมา! มองลงมายังคุณอาร์ทตาแข็งแทบไม่กระพริบ และมีเสียงคนแก่พูดว่า “มาบวชใหม่หรอ ขอบุญมั่งดิ” คุณอาร์ทถึงกับช็อคไปชั่วครู่ แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ได้มาทำอะไร” สิ้นเสียงนั้นคุณอาร์ทถึงกับต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังกุฏิหลวงตา ตะโกนเรียกหลวงตาว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!” อยู่อย่างนั้น แต่หลวงตาก็ไม่ยอมตื่น ทำให้คุณอาร์ทต้องนั่งหน้ากุฏิหลวงตาจนเช้า และเมื่อได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับหลวงตาฟัง หลวงตาก็บอกว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่พระใหม่จะมีคนมาขอส่วนบุญ แล้ววันวันบวชก็มาถึง เมื่อใกล้เสร็จพิธี คุณอาร์ทกำลังจะก้มลงกราบที่หน้าพระพุทธรูป ซึ่งหน้าต่างของอุโบสถก็ตรงกับกิ่งของต้นฉำฉาพอดี คุณอาร์ทจึงหันไปมองแล้วก็เห็นเป็นวิญญาณกลุ่มเดิมมาในรูปร่างที่ดูเป็นคนปกติ ใส่ชุดทำบุญ แต่ไม่ใส่รองเท้า และนั่งพนมมืออยู่บนกิ่งต้นไม้นั้น พร้อมกับหันมาทางคุณอาร์ทด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ จังหวะนั้นคุณอาร์ทถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่เป็นพระเต็มตัวแล้วคุณอาร์ทจึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ และได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับวิญญาณเหล่านั้น เมื่อก้มกราบจนครบ 3 ครั้งแล้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้นแล้ว! ต่อมาคุณอาร์ทก็ได้ออกไปหาเพื่อน ๆ ที่นอกวัดและสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มึงเจอกับอะไร ให้เล่ามาตรง ๆ ได้เลย” เพื่อนคนแรกก็เล่าว่า “เห็นคนมาจับไหล่มึง และชะโงกหน้ามายิ้มข้าง ๆ แก้มมึงแล้วก็เดินออกไป และคนที่สองก็เดินเข้ามายิ้มให้กล้อง แล้วก็เดินออกไปอีก” เพื่อนคนที่สองก็เล่าเสริมว่าเขาเห็นเป็นเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีผ้าขาวม้าพาดเอวเดินเข้ามามองที่กล้อง แล้วก็ลุกออกไป และสุดท้ายเพื่อนคนที่สามก็เล่าว่าเห็นเป็นผู้ชายสองคน เดินกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินผ่านกล้องไปสักพัก ก็เดินย้อนกลับมาและชะโงกหน้าเข้ามาในกล้องจนหน้าแทบจะติดกับคุณอาร์ท! และพอถึงวันสึก คุณอาร์ทยังฝันอีกด้วยว่าตัวเองนั้นได้ไปกวาดใบไม้ตรงเมรุ แล้วมีคนเดินมาพูดด้วยว่า “จะสึกแล้วหรอ ทำไมรีบสึกไวจัง น่าจะอยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ เนี่ยตัวจะจับสีผ้าเหลืองอยู่แล้วน่ะ” (ความหมายคือถ้าบวชนาน สีตัวก็จะเข้ากับผ้าเหลืองอยู่แล้ว ทำไมถึงรีบสึก) ซึ่งในฝันคุณอาร์ทก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ก็ทำให้คุณอาร์ทที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เกเร ชอบท้าทาย ก็กลายเป็นคนที่เรียบร้อย อยู่ในร่องในรอยมากยิ่งขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1