เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ ปู่ยักษ์ใจดี I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ ปู่ยักษ์ใจดี I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

19 ก.ค. 2024

        ‘คุณเป้ MVL’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ปู่ยักษ์ใจดี’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

        คุณเป้เล่าว่า คุณเป้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณเป้เรียกว่า ‘ปู่ พ่อ และเตี่ย’ ที่คุณเป้จะไหว้สักการะที่บ้านเป็นประจำนอกเหนือจากพระ โดยคุณเป้จะเรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ‘ปู่’ เรียกพระพิฆเนศว่า ‘พ่อ’ และเรียกกรมหลวงชุมพรว่า ‘เตี่ย’

        ซึ่ง 3 องค์นี้คุณเป้บูชาอยู่ที่บ้าน แต่โดยปกติก่อนหน้านี้คุณเป้เป็นคนไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ เลขที่ลงท้ายของเบอร์คือ 5995 ซึ่งถ้าใครที่เล่นเรื่องเลขมงคลจะทราบดีว่าเลขนี้เป็นเลขสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเบอร์ที่เกี่ยวกับธรรมะธัมโม ใครใช้ก็จะชอบเข้าวัดสวดมนต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และคุณเป้รู้สึกว่าเมื่อเปลี่ยนเบอร์แล้วชีวิตนั้นเปลี่ยนไปอีกทาง จากที่เป็นคนทำงานกลางคืน นอนตอนกลางวัน อยู่แต่ในที่มืด ณ ตอนนั้นเรื่องสวดมนต์แค่ท่องนะโมได้คือเก่งแล้ว แต่หลังจากใช้เบอร์ใหม่ได้ประมาณ 3 เดือน คุณเป้กลับกลายเป็นคนที่ตื่นเช้าเพื่อมาเปลี่ยนน้ำพระทุกวัน ได้มีโอกาสได้รับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือเข้าบ้าน เริ่มนั่งสมาธิ หากมีโอกาสก็จะไปทำสังฆทานและกลายเป็นคนเข้าวัดที่ชอบทำบุญ โดยที่ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะไม่มีจุดเปลี่ยนอะไรนอกจากเบอร์มือถือ นั่นทำให้คุณเป้มีความเชื่อมากขึ้น

        หลังจากนั้น คุณเป้ได้เจอจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง เป็นวันเกิดปีหนึ่งของคุณเป้ ซึ่งเป็นตอนที่มีลูกแล้ว ภรรยาของคุณเป้แนะนำว่าวันเกิดปีนี้อยากพาคุณเป้ไปที่วัดหนึ่ง ซึ่งวัดนี้จะโดดเด่นมากเรื่องของท้าวเวสสุวรรณ โดยก่อนหน้านี้คุณเป้เพียงแต่เคยได้ยินว่าท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นใคร แต่ไม่เคยสนใจถึงขึ้นอยากจะเข้าไปบูชาสักการะ และไหน ๆ ก็เป็นวันดีคุณเป้จึงตัดสินใจไปไหว้วัดแห่งนี้

        เมื่อไปถึงก็กราบสักการะบูชาพระต่าง ๆ ถวายสังฆทาน และมีแม่ชีแนะนำว่าควรจะไปไหว้พระเวสสุวรรณที่อยู่ด้านหลัง และมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าให้เดินลอดใต้ขาท่านเพื่อสะเดาะเคราะห์และขอพร ตอนนั้นลูกของคุณเป้ยังเด็กและเดินไม่ได้คุณเป้จึงอุ้มลอดใต้ขาของท้าวเวสสุวรรณขอพรให้ดูแลปกปักรักษา เพราะก็จะมีความเชื่อที่ว่าเด็กนั้นมีโอกาสที่สิ่งต่าง ๆ จะเข้ามารบกวน คนก็จะมักมีความเชื่อที่ว่าให้นำท้าวเวสสุวรรณไว้ที่บริเวณไหนก็ได้ในบริเวณที่เด็กนอน เมื่อลอดเสร็จ ในช่วงขาออกจะมีโต๊ะที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำเงินไปบูรณะวัด ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณเป้ไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้เสียสักเท่าไหร่ แต่มีแม่ชีมาแนะนำคุณเป้จึงรับมาโดยที่ตนก็ยังไม่ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับท้าวเวสสุวรรณ  

        หลังจากที่ไปไหว้วัดดังกล่าว มีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณเป้ที่ทำให้คุณเป้รู้สึกว่าเรื่องราวไปโยงกังองค์ท่าน เช่น อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อของภรรยาได้ยกท้าวเวสสุวรรณองค์สีทองมาไว้ที่บ้าน แล้วบอกให้บูชาองค์นี้เพื่อที่จะช่วยให้ลูก ๆ ของคุณเป้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น และช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดี เพราะบางทีคุณเป้ไปทำงานต่างจังหวัดต่างที่ต่างถิ่นไม่ได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันอาจจะพาสิ่งที่ไม่ดีกลับมาแล้วไปโดนลูก ๆ หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้เริ่มศึกษาและบูชาท่าน และขอพรตามปกติ

        จนมีช่วงหนึ่งได้เกิดเรื่องราวแปลก ๆ ที่ได้เห็นชัดคือในช่วงวันโกนวันพระ เด็ก ๆ จะมีอาการร้องไห้และนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องอุ้มเดินทั้งคืนจะหลับอีกทีก็ 6 โมงเช้า ในขณะที่อุ้มจะมีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ เวลาที่คุณเป้มองหน้าลูก จะเห็นว่าลูกไม่ได้มองหน้าคุณเป้แต่จะมองผ่านไปอีกฝั่งบ้าง มองข้ามหลังไปบ้าง จนทำให้คุณเป้รู้สึกว่าที่บ้านไม่ได้มีแค่คุณเป้

        จนเมื่อลูกเริ่มโตขึ้นคุณเป้ได้มีโอกาสพาไปทะเลต่างจังหวัดและไปพักโรงแรมแห่งหนึ่ง 3 วัน 2 คืน โดยคุณเป้จะขอเป็นห้องครอบครัว และนำฟูกมาต่อเป็นคอกให้กับลูก

        ในวันแรกคุณเป้ได้พาลูกไปเล่นสนุกมาก พอตกกลางคืนลูกก็หลับเพราะเหนื่อย แต่หลับไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ลูกก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วมองเลยคุณเป้ขึ้นไปแล้วชี้พร้อมพูดว่า “ผี” แต่คุณเป้คิดว่าสิ่งที่ลูก เห็นไม่น่าใช่ผีเพราะคุณเป้ไม่เคยสอนคำนี้ คุณเป้จึงคิดว่าลูกเรียกว่า “พี่” เพราะอาจจะพูดไม่ชัด แต่คุณเป้ก็คิดว่าแล้ว “พี่” คนนั้นคือใคร เพราะในห้องนั้นมีแค่ลูก 2 คน จากนั้นลูกก็นั่งมองสิ่งที่เขาชี้ทั้งคืนไม่ยอมนอนแต่ไม่ร้องไห้

        เมื่อถึงคืนที่ 2 ลูกเป็นเหมือนเดิมแต่คราวนี้ร้องไห้ทั้งคืนไม่หยุด คุณเป้เหนื่อยมากเพราะไม่ได้นอนทั้ง 2 คืนและอีกวันก็ต้องขับรถกลับ พอดีวันนั้นคุณเป้ห้อยท้าวเวสสุวรรณ จู่ ๆ ก็มีอะไรดลใจให้คุณเป้จับท้าวเวสสุวรรณและบอกว่า

        “ปู่ครับ ช่วยลูกผมด้วย ให้ลูกผมได้หลับให้ลูกผมได้นอน อย่าให้มีอะไรมารบกวน ขอให้คนนี้ทุกคนหลับสบาย”

        แล้วคุณเป้ก็นำท้าวเวสสุวรรณวนหัวลูก 3 รอบ เมื่อเสร็จลูกคุณเป้ล้มลงนอนทันทีหลับไปเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทำให้คุณเป้เชื่อว่าปู่เวสสุวรรณมีจริง และพกติดตัวตลอดเวลา

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

18 ต.ค. 2024

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับ ‘เเรก หลอนสออนผี‘ ได้นำเรื่อง ‘ตรงทางหนีไฟ’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (15 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจอขณะไปเล่นดนตรีที่ต่างจังหวัด เเล้วได้เจอกับน้องคนหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วมารู้ความจริงว่าน้องคนนั้นตายไปแล้ว! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเเรก หลอนสออนผีได้เล่าว่า ตอนนั้นตนได้ไปเล่นดนตรีที่จังหวัดหนึ่ง ทางค่ายต้นสังกัดได้เช่าอะพาร์ตเมนต์ให้วงเข้าพักประมาณ 5 ห้อง เมื่อเสร็จจากเล่นดนตรี เพื่อนในวงก็มักจะปาร์ตี้สังสรรค์กัน แต่ตนไม่รู้จะทำอะไร จึงเล่นเกมเพลย์ เเต่เเล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินออกไปเปิดประตูทางเดินหนีไฟ ซึ่งทางเดินหนีไฟเชื่อมต่อกันทุกชั้น คุณแรกอยู่ชั้น 7 ตามประสาคนต่างจังหวัดที่ห่างจากบ้านก็รู้สึกเหงา จึงยืนเล่นรับลมอยู่ตรงนั้น สักพักก็มีเสียงเปิดประตูที่มีระยะห่างกัน 1 ชั้น เป็นผู้หญิงกำลังยืนสูบบุหรี่ วันเเรกที่เจอคุณแรกก็คิดว่า ‘เขาสวยจัง หุ่นดี น่ารักดี’ หลังจากนั้นคุณแรกก็ออกมายืนเล่นตรงทางหนีไฟทุกวัน แล้วก็มักจะเจอผู้หญิงคนนี้สูบบุหรี่อยู่ที่เดิมทุกวัน จนมาถึงในวันที่ 4 ผู้หญิงคนนั้นคงรู้สึกว่ามีใครมองอยู่ข้างบน จึงแหงนหน้ามองขึ้นมายิ้มให้เเล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ” หลังจากได้คุยกัน ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ แล้วก็เริ่มคุยกันจนรู้จักกัน ทั้งคู่ต่อบทสนทนาอย่างลื่นไหล คุยสนุก หายเหงา เมื่อคุณแรกเลิกงานก็รีบกลับมาห้องเเล้วลากเก้าอี้มานั่งรอคุยกับน้องผู้หญิงตรงทางหนีไฟนี้เป็นเวลา 5 วัน จนกระทั่งคุณแรกเริ่มสังเกตว่ามันมีสิ่งผิดปกติก็คือ ช่วงหลัง ๆ ที่คุยกันอยู่ น้องผู้หญิก็ขอตัวกลับห้องเร็วขึ้น เเละทุกครั้งที่น้องเขาดูร้อนรน ก็จะมีรถจิ๊บทหารเลี้ยวเข้ามาจอด ตนก็ได้เเต่คิดในใจว่าคงกลัวแฟนเห็นหรือตนอาจจะแค่เข้าใจผิดไปเอง วันหนึ่งตนได้ไปกินข้าวระแวกอะพาร์ตเมนต์ เมื่อเดินผ่านป้อมยามก็ถามว่า คุณแรก : ลุง จะเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก ผมจะซื้อข้าวมาฝากน้องห้องข้างล่างด้วย ลุงยาม : ห๊ะ! อะไรนะ ห้องไหน? คุณแรก : ห้องข้างล่างผมอะ ห้องตรงกันเลย ลุงยาม : เฮ้ย ไปกินข้าวก่อน ค่อยว่ากัน หลังจากนั้นตนก็ได้ไปกินข้าว เเล้วก็ซื้อกลับมาฝากลุงยามกับน้องห้องข้างล่าง เมื่อมาถึงที่พักลุงยามก็ได้บอกกับตนว่า ลุงยาม : ไม่ต้องขึ้นไปหรอก คุณแรก : ทำไมครับลุง ลุงยาม : ไม่มีใครอยู่หรอกชั้นนั้นน่ะ เหลือไม่กี่ห้อง ตนก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทั้ง ๆ คุยกับน้องคนนั้นทุกวัน ได้เเต่คิดว่าลุงกั๊กผู้หญิงคนนี้ไว้หรือเปล่า ตนไม่เชื่อคำที่ลุงพูดจึงขึ้นไปหาห้องน้อง เมื่อขึ้นไปแล้วก็เห็นว่าทั้งชั้นนั้นมีคนพักอยู่เเค่ 2 ห้อง ห้องที่เหลือแปะป้ายว่างไว้ทั้งหมด คุณแรกเดินไล่หาห้องของน้องคนนั้นปรากฏว่าก็มีแปะป้ายว่างอยู่ที่ประตูจริง ๆ ! คุณแรกได้แต่อึ้งเเล้วก็ได้เคาะประตูเเล้วพูดว่า “พี่ซื้อของมาฝากนะ” จากนั้นก็ห้อยของที่ซื้อมาที่ประตู แล้วก็ได้เดินลงมาหาลุงยามอีกครั้ง แล้วก็ถามลุงว่า คุณแรก : ลุง มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ลุงยาม : อยากรู้ใช่มั้ย เเล้วลุงก็ได้ยื่นหนังสือพิมพ์ให้คุณแรกอ่านจนทราบความจริงว่า เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ก่อนที่คุณแรกจะเข้ามาพักที่นี่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งน้องผู้หญิงที่ตนคุยด้วยทุกวันนั้นเป็นเมียน้อยทหาร เปิดห้องเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ไว้ เเล้วเกิดอาการหึงหวงจึงทำให้เกิดการทะเลาะกัน ถึงขนาดที่เอาหมอนกดหัวเเล้วเอาปืนจ่อแล้วยิงที่หัว! เสียงดังสะนั่นจนคนทั้งชั้นออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เเล้วคนในชั้นก็เห็นทหารคนนี้แบกร่างผู้หญิง เลือดหยดลงตามทางเดิน ไปเปิดประตูทางหนีไฟ แบกศพขึ้นรถจิ๊บเเล้วก็ขับรถออกไป สุดท้ายทหารคนนั้นเลือกจะจบที่ชีวิตตามผู้หญิงด้วยการยิงตัวเองตายข้างทาง และนี่ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

24 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ’แพรว-นฤภรกมล’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เสียงใคร’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย โดยคุณแพรวเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต วันนั้นตนอยู่ที่หอพัก โดยปกติแล้วระแวกนั้นจะมีการละหมาดทำให้มีเสียงสวด แต่จะทำเป็นเวลา ซึ่งคุณแพรวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ใช้ชีวิตไปแบบทุกวัน แต่ก็มีเรื่องผิดปกติก็คือ คุณแพรวไปซอยข้าง ๆ มหาวิทยาลัย แล้วเห็นคุณลุงคนหนึ่งนั่งขายของอยู่ที่พื้น นั่นก็คือ ‘ตุ๊กตาปิ๊กกาจู’ แล้วก็จะมีเสียงหลอน ๆ วางอยู่ที่พื้น คุณแพรวพูดกับเพื่อนว่า ”อยากช่วยลุงเขาซื้อ” จากนั้น เพื่อนตอบมาเล่น ๆ ว่า “มันเป็นตุ๊กตาผีสิงหรือเปล่า“ ในใจคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนจะพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม สุดท้ายคุณแพรวก็ซื้ออยู่ดี แล้วก็เอาตุ๊กตากลับมาที่ห้อง โดยปกติแล้ว ห้องไม่เคยมีเรื่องอะไรเลย แต่วันนั้นคุณแพรวกับเพื่อนกำลังจะนอน ระหว่างที่นอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่ สักพักได้ยินเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง ดูไม่มีความหมาย เหมือนเสียงสวดมนต์ และมันดังอยู่ในห้อง เพราะเสียงละหมาดที่เคยได้ยินบ่อย ๆ จะฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันดังมาจากนอกห้อง แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ในห้อง! ตอนแรกคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะปกติก็มีการเล่นกันอยู่บ้าง แต่จังหวะที่กำลังจะหันไป เพื่อนก็เขยิบตัวมาเบียดตน แล้วหันมาบอกว่า “มึง กูไม่ได้พูด” ตอนนั้นคุณแพรวรู้สึกเหมือนซีนในหนังมาก หลังจากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเปิดไฟ คุณแพรวก็พูดว่า “มันยังไงกันวะ” แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่า “หรือว่าเป็นเพราะตุ๊กตาที่ซื้อมา” ในใจก็คิดว่าเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมี แต่พอมีก็เกิดสิ่งนี้ คุณแพรวจึงเอาไปแอบไว้ในห้องเพื่อนในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่ห้องเพื่อน ปกติแล้วคุณแพรวจะนอนอยู่ 2 ห้องคือเพื่อนคนแรก กับเพื่อนคนที่ 2 มีวันหนึ่งที่ต้องออกไปทำงานแล้วนัดกับเพื่อนคนที่ 2 ว่าจะกลับมานอนที่ห้องด้วย (ห้องที่เอาตุ๊กตามาแอบ) แต่ปรากฏว่าไม่ได้กลับไป เพื่อนคนนั้นบอกว่าเห็นคุณแพรวเดินมาที่หัวเตียง แล้วก้มมามอง ตอนแรกคิดว่าเป็นคุณแพรว แต่พอมองดี ๆ กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนผมยาว แล้วมองไม่เห็นหน้า และได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ทั้งที่อยู่คนเดียว แล้วหลังจากนั้นห้องนั้นก็เจอเรื่องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าตุ๊กตานั้นไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียงมากจากตุ๊กตาหรือไม่ แต่สำหรับตนแล้ว ตุ๊กตามันน่ารักมาก เพราะตอนไปซื้อก็มีหลายตัว แล้วเลือกหยิบมาแค่หนึ่งตัว จากนั้นก็ไม่เห็นลุงอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

22 ธ.ค. 2023

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

เมื่อต้องไปเข้าค่ายธรรมะประจำปีของโรงเรียน แต่กลับมีแขกรับเชิญสุดหลอนมาร่วมด้วย หลังจากเอ่ยปากท้า! เรื่องนี้ ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีเข้าค่ายธรรมะ’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณตั้น The Shock’ บอกว่า ‘น้องแนนสำลี’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ย้อนกลับไปเมื่อประาณ 10 ปีที่แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นค่ายอบรมธรรมะ และทุกวันนี้ วัดนั้นยังคงเปิดเป็นค่ายอยู่ น้องแนนบอกว่าตอนนั้นอยู่ม.3 จะต้องไปเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งโดยปกติแล้วจะมาเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้ทุกปี น้องแนนยังบอกอีกว่าครั้งแรกที่ไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเพียงคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพระและรุ่นพี่คอยเตือนว่าหากเป็นเด็กไม่ดีอาจจะเจอบางอย่างได้ น้องแนนที่ยังเด็กก็เชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างตั้งใจ และไม่เจออะไร แต่การไปค่ายปีนี้แตกต่างออกไปจากครั้งก่อน เนื่องจากน้องแนนโตขึ้น มีความเล่นซนเพิ่มขึ้นตามประสาเด็กทั่วไป ภายในสถานที่จัดค่ายจะมีห้องอบรมจะอยู่ที่ชั้นล่าง เป็นชั้นเดียวกับห้องนอนของเด็ก ๆ ส่วนห้องนอนอาจารย์จะอยู่ที่ชั้นสอง ห้องนอนสำหรับนักเรียนหญิงแบ่งเป็น 6 ห้อง เพื่อน ๆ และน้องแนนจึงไปสืบมาว่าห้องที่โดนผีหลอกเยอะที่สุดคือห้องที่ 4 น้องแนนจึงเลือกไปนอนห้องที่ 6 เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอ คืนแรกที่นอนในค่ายนั้น ต้องเข้านอนเร็วประมาณ 2 - 3 ทุ่ม อีกทั้งค่ายนี้พระอาจารย์ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้ามา แต่ทว่าน้องแนนและเพื่อน ๆ ได้แอบเอามา และนำออกมาเล่นก่อนนอน จนกระทั่งพระอาจารย์เดินตรวจความเรียบร้อย ก็พบว่าเด็ก ๆ แอบเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงได้ยึดโทรศัพท์ไป เด็ก ๆ เครียดมากกลัวไม่ได้คืน จึงรวมหัวนั่งปรึกษากัน แต่ก็คุยกันว่าให้รีบนอน เพราะได้ยินเสียงเล่าลือว่าที่นี่มีผี น้องแนนที่ยังโมโหเรื่องโดนยึดโทรศัพท์ก็พูดขึ้นมาว่า “ผีมาสิดี จะได้ไปบอกพระอาจารย์ขอโทรศัพท์คืน” จากนั้นก็แยกย้ายกันนอน คืนที่สอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงตะโกนจากห้องนอนที่ 3 ว่า “มีเงาอะไรแปลก ๆ เหมือนเจอผี!” น้องแนนที่ได้ยินจึงรีบวิ่งไปห้องที่สาม น้องแนนอยากรับผิดชอบคำพูดที่ตนเผลอพูดไปเมื่อคืน จึงบอกเพื่อนในห้องนั้นว่า “เดี๋ยวเรานอนห้องนี้เอง” หลังจากนั้นน้องแนนก็เก็บของจากห้องเก่าย้ายมาห้องใหม่ รวมทั้งพาเพื่อน และรุ่นน้องในกลุ่มไปด้วย ระหว่างที่นอนอยู่นั้น ก็หันไปเห็นพี่คนหนึ่งลุกขึ้นนั่งจากฟูก มีใบหน้าของคนรุ่นพี่คนนั้นถูกกระทบด้วยแสงที่ลอดมาจากบานเกร็ด แต่ทว่า หน้าของรุ่นพี่คนนี้ไม่ใช่คนที่น้องแนนรู้จัก กลายเป็น ‘หน้าของชายแก่สีขาวซีดที่หันมาจ้องน้องแนนอยู่..!’ จนกระทั่งน้องแนนรู้สึกว่าน้องที่นอนอยู่ข้าง ๆ มีเสียงสะอื้น ซึ่งเป็นเสียงสะอื้นที่แปลกมาก เพราะเป็นเสียงของน้องปนกับเสียงของผู้ชาย น้องแนนจึงหันไปถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” น้องคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูเห็นพี่..หนูเห็นเหมือนพี่แหละ” แล้วก็กรี๊ดออกมา! จากนั้นภายในห้องก็ชุลมุน ทันใดนั้น ใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นก็กลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนจากเพื่อนท้ายห้องว่า “ไอ้แนนไม่มีหัว!” จากนั้นเพื่อนคนที่ตะโกนก็ร้องห่มร้องไห้โวยวายอีกว่า “ผีเต็มเลย มันกำลังจะเข้ามาในห้องแล้ว ข้างนอกมีทั้งผีผู้ชาย ผีผู้หญิง ผีเด็กเต็มไปหมดเลย แล้วผีผู้หญิงอะ มันกำลังจะเปิดประตูเข้ามา ผมมันเลื้อยลอดประตูเข้ามาแล้ว!” ผ่านไปสักพัก ก็มีครูท่านหนึ่งวิ่งมา พยายามที่จะควบคุมสติทุกคน และบอกให้เด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องพระห้องใหญ่ น้องแนนบอกว่าตอนที่กำลังจะออกไป ได้ยินเหมือนเป็นเสียงฝีเท้าอยู่ที่ชั้นสองสะเทือนมาถึงชั้นที่น้องแนนอยู่ ในใจก็คิดว่าอาจารย์คงจะจัดพื้นที่เพื่อเตรียมให้เด็ก ๆ ย้ายขึ้นไป ปรากฏว่าพอขึ้นไปถึง ในห้องไม่มีใคร! เป็นห้องว่างเปล่าที่มีแค่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ในขณะนั้นเอง น้องแนนรู้สึกว่าอยากร้องไห้ รู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล และน้ำตาไหลก็ไม่หยุด! อาจารย์นำพระมาคล้องคอให้แต่ไม่หาย สุดท้ายอาจารย์คนนี้ต้องไปตามอาจารย์ที่เหลือมาช่วย แล้วจึงได้รู้ว่าอาจารย์กลุ่มที่เหลือ 20 กว่าคนนั้น หนีไปนอนที่รีสอร์ทกันหมดแล้ว เหตุเพราะปีที่แล้วอาจารย์กลุ่มนี้มานอนที่นี่และโดนผีหลอกนั่นเอง! เมื่ออาจารย์ที่เหลือมาถึง จึงไปตามพระอาจารย์อีกวัดมาช่วย ซึ่ง ณ ตอนนั้นไม่ได้มีแค่น้องแนนคนเดียวที่ร้องไห้ น้องผู้หญิงที่นอนสะอื้นอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มร้องไห้ด้วยเช่นกัน แต่น้องอาการไม่หนักเท่า อาจจะร้องเพราะตื่นตกใจ พระอาจารย์จึงมอบตะกรุดให้ แล้วบอกว่า “เป็นตะกรุดที่ถูกปลุกเสกขึ้นมาโดยเฉพาะ สำหรับเด็กที่ถูกผีหลอกที่นี่” พร้อมบอกว่า “มีอันนี้แค่อันเดียว เพราะคณะก่อนหน้า ก็โดนผีหลอกเหมือนกัน จึงแจกไปหมดแล้ว” สุดท้ายจึงเป็นน้องแนนที่ได้ตะกรุด หลังจากที่ได้มาก็น่าแปลกที่อาการเศร้าค่อย ๆ คลายหายไป เช้าวันต่อมาเป็นวันวิปัสสนา ทุกคนมานั่งร่วมกันบนอาสนะที่ถูกปูไว้ในห้องโถงใหญ่ เมื่อถึงช่วงเข้าฌาน พระอาจารย์ก็บอกให้ทุกคนเงียบ น้องแนนเริ่มรู้สึกเหมือนมีเสียงเรียกชื่อ “แนน...แนน...” อยู่ตลอดเวลา และรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลืมตา มีเสียงแทรกเข้ามาที่หู ซึ่งเป็นเสียงของพระอาจารย์ บอกว่า “อย่าลืมตานะ เคยมีคนลืมตาแล้วสติเสียไปเลย” จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพระอาจารย์ค่อย ๆ เดินออกไป ประกอบกับได้ยินเสียงเพื่อนข้างหลังที่น่าจะลืมตาขึ้นมาดู พูดว่า “กูไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย พระอาจารย์พูดอะไรวะ” น้องแนนจึงตัดสินใจที่จะลืมตาอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงประกาศออกไมค์จากพระอาจารย์ว่า “อย่าลืมตานะ ต้องเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ หลุดแล้วไม่มีใครช่วย” พอสิ้นเสียงพระอาจารย์ ก็มีลมพัดมา ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนมีนิ้วมือมาจับที่แขนทั้งสองข้างของน้องแนนล๊อคให้อยู่กับที่! วันเดินทางกลับในวันสุดท้าย ด้วยความที่เด็กมากันเยอะ อาจมีการพูดเล่นล่วงเกิน จึงมีการขอขมาเหล่าสัมภเวสีภูตผีวิญญาณ โดยการจุดธูปท่องคาถา และนำธูปไปปักที่พื้นนอกชายคาตามพิธีกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้องแนนปักธูปไม่ลง พยายามยังไงก็ปักไม่ลง นำไปปักตำแหน่งเดียวกับเพื่อนก็ปักไม่ลง ตอนนั้นน้องแนนคิดว่าในใจคิดว่า ‘เหมือนเขาไม่ยอมรับการขอขมาจากเรา’ ก็พยายามปักไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งธูปหัก! จึงนำธูปไปวางพิงไว้ เมื่อถึงเวลาจะเดินทางกลับ อาจารย์ได้ลงความเห็นว่าให้น้องแนนไปนั่งรถกับอาจารย์ ไม่ต้องไปนั่งรวมกับเพื่อน ในระหว่างที่กำลังจะเดินขึ้นรถ มีพระ 3 รูป เดินมาถามว่า “โยมเจออะไร” น้องแนนจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พระจึงพูดออกมาว่า “ว่าแล้วไง เจอแบบนี้จริง ๆ ด้วย เขาเจอกันแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่ โยม..เขาดุมากเลยนะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ เขามาเตือน ขอให้โยมกลับบ้านปลอดภัยแล้วกัน” แล้วพระอาจารย์ก็เดินจากไป ในมุมของน้องแนนที่นั่งรถกลับกับอาจารย์ น้องแนนบอกว่าได้กลิ่นธูปตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงที่หมาย เพื่อน ๆ ก็วิ่งมาหาน้องแนนอย่างตื่นตะหนกพร้อมถามว่า “มึงเจออะไรรึเปล่า บนรถกระบะอาจารย์” และเพื่อนยังบอกอีกว่า “พวกกูเจอทั้งคันเลย” เพื่อนน้องแนนเล่าว่าระหว่างที่นั่งรถกลับมา ทุกคนก็นั่งเล่นนั่งคุยตามปกติ สักพักจากรถที่มีเสียงดังก็ก็ค่อย ๆ เงียบลงเรื่อย ๆ โดยไล่จากท้ายรถมาหน้ารถ เพื่อนน้องแนนคนนี้ก็สงสัยว่าคนในรถเป็นอะไร แต่ระหว่างที่คิดอยู่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแตะที่ขา จึงก้มลงไปมอง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือ ‘เป็นมือคนหลายมือล้วงมาจากใต้เบาะที่นั่ง เหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง’ นั่นเป็นเหตุที่ทุกคนบนรถเงียบ และทำเป็นเมินกับสิ่งที่เห็น! ขออธิบายครอบครัวน้องแนนสั้น ๆ ว่า ที่บ้านจะมีคุณยายอยู่ด้วย ซึ่งอยู่กัน 2 คน และจะมีห้องนอนส่วนตัวแยกไป เมื่อน้องแนนมาถึงบ้านคืนแรก ในห้องน้องแนนจะมีเต็นท์กางอยู่ วันนั้นก็นอนในเต็นท์ตามปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนน้องแนนก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบ ๆ เต็นท์ นอกจากนั้น ยังมีเสียงมือขูดไปตามผ้าใบเต็นท์ ในที่สุดน้องแนนไม่รู้จะทำอย่างไร กลัวก็กลัว แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดวิ่งพุ่งไปนอนห้องคุณยาย คืนที่สอง น้องแนนสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกเช่นเคย จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา แต่ระหว่างที่ถือโทรศัพท์แสงจากจอสว่างมาก ทำให้เห็นคนอยู่ที่ปลายเท้า พอค่อย ๆ ลดแสงลง สิ่งที่เห็นคือ ‘ผู้ชายแก่ที่หน้าเหมือนคนที่เจอที่วัด ใส่เสื้อขาวกางเกงสีดำ มีมุ้งพาดคออยู่ และยืนมองผ่านมุ้งอยู่ที่ปลายเตียง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาแดงก่ำ!’ น้องแนนจึงพยายามสวดมนต์ตามบทสวดที่จำได้แต่ไม่ได้ผล จนสุดท้ายก็เผลอหลับไป ตื่นเช้ามาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ยายฟัง ยายบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปหาหมอธรรม เมื่อไปถึง หมอธรรมก็บอกว่า “เดี๋ยวเราต้องหาฤกษ์มารดน้ำมนต์ครั้งใหญ่ แต่ทำวันนี้ไม่ได้ ต้องมีฤกษ์” น้องแนนและคุณยายจึงกลับมาบ้านเพื่อรอฤกษ์อีกครั้ง ระหว่างนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น มายืนเฉย ๆ, เอาหน้ามาแนบมุ้ง, มาลูบมุ้ง จนถึงขั้นพยายามจะเอื้อมมือเข้ามาในมุ้งก็ทำมาแล้ว เรื่องนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เมื่อก่อนเจอแค่ในมุ้งตอนกลางคืน แต่ตอนนี้กลับเห็นในตอนกลางวันด้วย มีอยู่วันหนึ่งน้องแนนเพิ่งตื่น และกำลังจะเดินไปอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียน ก็เห็นชายคนนี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ก็ต้องจำใจเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทนเห็นอีกต่อไป จึงไปคุยกับยายว่าจะทำอย่างไร ยายบอกว่า “พอมาลองนับเวลาดูมันเลยช่วงวันที่นัดอาบน้ำมนต์ไปแล้ว” ราวกับว่าเมื่อถึงวันที่จะต้องไป ก็มักจจะเกิดเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้ไปไม่ได้เสมอ ไม่อาจารย์ก็เป็นคุณยายกับน้องแนนที่จะต้องติดธุระอะไรสักอย่าง ยายจึงตัดสินใจที่จะให้อาจารย์มาที่บ้านในวันนั้นเลย เพื่อที่จะทำขันธ์ 5 ให้ที่บ้าน เมื่ออาจารย์มาถึง คำแรกที่ทักคือ “โห อยู่กันเยอะเนอะ เต็มเลยอะ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก เต็มบ้านไปหมดเลย” หลังจากที่อาจารย์ทำพิธีให้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้บอกน้องแนนว่าบอกว่าภายใน 3 – 7 วันนี้ ต้องไปบวชชีที่วัด น้องแนนจึงไปบวชชีเป็นเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 3 เดือน ในช่วงระหว่างที่บวชก็มีเจอบ้าง แต่ไม่ได้มาให้เห็นเป็นตัว มาในมุมของความรู้สึก หรืออาจจะมีฝันถึง แต่คืนสุดท้ายก่อนวันสึก ช่วงเที่ยงคืนเวลาเดิม กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้ยินเสียงฝีเท้าคนหลายคนเดินรอบศาลา น้องแนนจึงคิดว่า ‘ยอมบวชขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอะไรเลยเหรอ’ แม่ชีข้าง ๆ จึงบอกว่า “หนูนอนเหอะ เขาคงรับรู้ในสิ่งที่เราทำ” น้องแนนจึงนอนหลับไป พอถึงตอนเช้าก็ไปสึกตามปกติ หลังจากที่สึกมาก็ไม่เคยต้องสะดุ้งตื่นเที่ยงคืน หรือต้องเจอวิญญาณเหล่านั้นอีกเลย.. คุณตั้นยังเสริมอีกว่า ก่อนที่น้องแนนจะมาเล่าให้คุณตั้นฟังในรายการ น้องแนนเก็บเรื่องนี้จนผ่านไป เกือบ 8 ปี ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนจะมาเล่าในรายการ The shock น้องพยายามลำดับเรื่องและหลับไป ปรากฎว่าสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกครั้ง พร้อมกับเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า “หึ!” เหมือนเขาไม่อยากให้เล่า จนเวลาผ่านไป สุดท้ายก็ตัดสินใจมาเล่า ซึ่งวันก่อนที่จะมาเล่า น้อนแนนยังฝันถึงเขา เป็นการฝันลำดับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เหมือนเขากลับมาเล่าให้ฟังว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่าอย่างไร จากนั้นน้องแนนก็สะดุ้งตื่นเที่ยงคืนอีกครั้ง และได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน อีกทั้งยังมีใบหน้ามาแนบที่มุ้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้น!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

21 ก.ย. 2023

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘Retrospect’ วงร็อกแนวหน้าของเมืองไทย เจอเรื่องหลอนที่ทำให้ทั้งวงนอนกันไม่ได้! ทั้งเสียงเคาะและเสียงกรี๊ดมากันให้ครบ เรื่องนี้ทำเอาแฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 กันยายน 2566) รวมทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงขั้นอ้าปากค้าง! จะอึ้งตามกันขนาดไหน ตามไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับวง Retrospect โดยตรง ในวันนั้นทุกคนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม โดยปกติแล้ว โรงแรมธรรมดาที่ไม่ได้ใหญ่โตมากในสมัยนั้น ควรจะเป็นทางบันไดเดินขึ้นลงธรรมดาไม่ได้เอื้อต่อคนที่ต้องใช้รถเข็น แต่ที่โรงแรมแห่งนี้ มีทางเดินสำหรับคนใช้รถเข็นแทบทุกจุด ราวกับว่าก่อนจะเป็นโรงแรม ที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่มีคนป่วยใช้รถเข็นอยู่มาก่อน วง Retrospect คิดได้เพียงเท่านั้น แต่ก็เข้าพักตามปกติ เมื่อเดินเข้าไปยังล็อบบี้ ทุกคนก็มองเห็นว่า มีเส้นทางเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน แต่มีไม้อัดปิดกั้นไว้เต็มไปหมด และมีศาลตี่จู้เอี๊ยะตั้งอยู่ด้านหน้า ทุกคนยังไม่ได้คิดอะไรเช่นเดิม ต่างคนต่างแยกย้ายเก็บของ ไปทานข้าว เตรียมซาวด์เช็ค และเล่นคอนเสิร์ตตามปกติ เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนหลังเล่นคอนเสิร์ตจบ ทุกคนก็กลับมายังโรงแรม และแยกย้ายอาบน้ำเตรียมตัวนอน โดยพี่บอมนอนพักร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ชื่อว่า ‘เดวิด’ ลักษณะของห้องมีห้องน้ำ ถัดมาเป็นเตียง 2 เตียง ถัดไปเป็นระเบียง พี่บอมคิดว่าการแบ่งสัดส่วนเช่นนี้ดูคล้ายกับห้องในโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะนอน พี่บอมปิดไฟห้องจนมืดมีเพียงแสงจากโทรทัศน์เท่านั้น สายตาหันไปมองด้านข้างก็พบว่าเดวิดหลับไปแล้ว ตัวพี่บอมเองก็เริ่มง่วงกำลังจะหลับตาลง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ดังขึ้นรัว ๆ แต่ในตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องผีแม้แต่น้อย คิดว่าเพื่อนมาเคาะเรียก เพื่อชวนไปสังสรรค์ เพราะตามปกติของวงจะมีห้องที่รวมตัวกันเรียกว่า ‘ห้องงาน’ พี่บอมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เห็นมีแต่ความว่างเปล่า! พอชะโงกหน้ามองซ้ายขวาปรากฏว่าไม่มีคน ทุกอย่างตรงนั้นเงียบสนิท จึงตัดสินใจปิดประตูหันหลังเข้าห้อง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่นาน เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้เสียงไม่ได้ดังมาจากประตูหน้าห้อง แต่ดังมาจากห้องน้ำภายในห้อง! พี่บอมเริ่มรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปกติแล้ว ระหว่างนั้นก็พยายามจ้องไปบริเวณที่มีเสียง เสียงก็ดังขึ้นอีก และค่อย ๆ ย้ายมาจากห้องน้ำ เป็นดังมาจากตู้เสื้อผ้า เคาะไล่มาเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตั้งโทรทัศน์! ตอนนั้นพี่บอมเริ่มมีความรู้สึกกลัว แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร สายตาก็หันไปมองที่เดวิดอีกครั้ง ทำให้ยังมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้นเพราะมีเพื่อนอยู่ด้านข้าง พี่บอมพยายามจะจ้องไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ แต่จังหวะนั้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากใต้เตียง! ในตอนนั้นพี่บอมก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกของเตียง จึงตัดสินใจลุกวิ่งหนีทันที แล้วทิ้งเดวิดให้นอนอยู่ในห้อง! เมื่อวิ่งออกมาถึงห้องงานก็รีบเปิดประตูเข้าไป แต่ดันเจอเซอร์ไพรส์กว่า เพราะภาพที่เห็นคือทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว ซึ่งปกติทั้งวงจะไม่ค่อยมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ พี่บอมเดินเข้าไปขอเครื่องดื่ม แล้วนั่งลงโดยที่ยังไม่เล่าอะไร แต่แล้วสมาชิกในวงก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เจอแล้วใช่ไหม” เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ทั้ง 11 คนเจอเหมือนกันทุกคน แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง เมื่อเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าและความเงียบเช่นเดิม เพียงเท่านั้นทุกคนมองหน้ากันแล้วคิดตรงกันว่า ‘ใช่แน่นอน’ จากนั้นก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะออกไปข้างนอก แต่พี่บอมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเดวิดนอนอยู่ในห้อง แล้วตำแหน่งห้องงานและห้องที่เดวิดนอน อยู่ห่างกันคนละฝั่ง (โรงแรมมีลิฟต์ตรงกลาง ห้องงานอยู่ฝั่งซ้ายสุด ส่วนห้องที่เดวิดนอนอยู่ฝั่งขวาสุด) พี่บอมจึงชวนทุกคนออกไปด้วยกัน กลายเป็นทั้งหมดเดินเกาะแขนกันไปเพื่อที่จะไปเรียกเดวิดออกมา ระหว่างทางทุกคนค่อย ๆ เดินช้า ๆ ขณะที่กำลังเดิน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซ้ำอีก แต่รอบนี้ดังจากในห้อง เป็นจังหวะแบบที่เมื่อห้องด้านซ้ายดัง ห้องด้านขวาจะดังต่อ สลับกันอย่างต่อเนื่อง! ยังไม่ทันจะถึงห้องของเดวิด เสียงเคาะก็ดังขึ้นก็ไล่มาจนถึงห้องด้านขวาของทุกคน เมื่อทุกสายตามองไปทางประตูด้านขวา เสียงเคาะนั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิงกรี๊ดดังขึ้นจากห้องด้านซ้ายแทน! จังหวะนั้นทุกคนส่งเสียงพร้อมกัน “ไป มึงไปปปป!” แล้วก็ตัดสินใจไปนั่งที่ร้านข้าวต้มแถวนั้นจนถึงเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็กลับเข้าไปยังที่โรงแรมนั้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือ เดวิดยังคงนอนอยู่ท่าเดิมตื่นมาด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และยังยืนยันว่านอนหลับสบายปกติ ทุกคนในวงจึงตัดสินใจเข้าไปถามพนักงานที่ทำงานในโรงแรม คำตอบที่ได้มาคือ ตามปกติแล้วจะเจอที่ชั้น 5 และทั้งชั้นจะไม่มีคนเลย (แต่ที่ Retrospect เจอคือชั้น 4) แต่ทุกเวลาหกโมงเย็น ประตูจะเปิดเองทุกห้อง พร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เป็นเสียงเพลงชาติเปิดดังขึ้นเอง เมื่อเพลงจบลงโทรทัศน์จะดับเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนประตูทุกห้องก็จะปิดกลับตามเดิมแบบไร้สาเหตุเช่นกัน! เรื่องหลอนยังไม่จบเพียงเท่านี้ พี่บอมเล่าว่าเมื่อย้อนกลับไปวันที่เข้าพัก ก่อนที่จะไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนได้มีโอกาสไปทานข้าวร่วมกับเจ้าของโรงแรม โดยเจ้าของเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด และหลังจากคืนที่เกิดเหตุการณ์เสียงเคาะนั้นจบลงไปได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า เจ้าของได้เสียชีวิตลงจากเหตุฆาตกรรม!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album
ภาพเรา (Good Quality Picture)

Artist: BUS Because of you i shine

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110