น้ำมันพราย ‘เป็นหนี้ พี่ต้องใช้’ l อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ุ13 พ.ค.2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

น้ำมันพราย ‘เป็นหนี้ พี่ต้องใช้’ l อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ุ13 พ.ค.2568]

21 พ.ค. 2025

       นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดหลอน ที่ความตายก็ไม่อาจล้างหนี้ได้! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณ ‘จ๊ะโอ๋’ ที่ได้ให้พี่สาวข้างบ้านคนสนิทยืมเงินไป พอทวงเงินก็กลับได้เพียงความนิ่งเฉย แต่ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่ง พี่สาวที่เธอเคยรู้จักจะไม่ใช่คนอีกต่อไป สุดท้ายเธอจะได้เงินคืนหรือไม่ หาคำตอบได้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (13 พฤษภาคม 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจเเนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ‘ดีเจมดดำ’ กับชื่อเรื่องว่า ‘เป็นหนี้ พี่ต้องใช้’

       คุณขวัญ น้ำมันพราย เล่าว่า ‘คุณผึ้ง’ เป็นหัวหน้าเซลส์อยู่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน และมีลูกทีมใหม่ชื่อว่า ‘คุณจ๊ะโอ๋’ เธอมักเล่าให้ฟังว่าตนเป็นคนขยัน ทำงานช่วยที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งต้องย้ายไปอยู่บ้านเช่าหลังเล็ก ๆ ในย่านที่ถนนยังเป็นดินแดง รายล้อมด้วยป่าอ้อยและต้นไม้ใหญ่ บ้านตรงข้ามคือบ้านของคุณตากับคุณยาย และก็ได้รู้จักกับพี่ข้างบ้านที่เป็นผู้หญิงชื่อว่า ‘พี่พี’ จนสนิทสนมกัน แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ทั้งคู่ห่างกันไปเพราะพี่พีมีแฟน จนวันหนึ่ง พี่พีโทรมาหาและชวนจ๊ะโอ๋ไปที่บ้าน เมื่อไปถึง พี่พีก็พูดขึ้นว่า

       “ยืมตังค์หน่อยดิ”

       โดยให้เหตุผลว่ามีเรื่องต้องใช้เงิน และขอยืมไป 10,000 บาท ด้วยความไว้ใจ จ๊ะโอ๋จึงให้ยืม แต่เมื่อถึงกำหนดคืนเงิน จ๊ะโอ๋ไปทวง พี่พีก็ขอผลัดเป็นเดือนหน้า

       หนึ่งเดือนผ่านไป จ๊ะโอ๋กลับไปเคาะประตูบ้าน แต่พี่พีไม่ยอมเปิด เธอจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป บ้านที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยของพี่พีกลับกลายเป็นบ้านที่ดูอึมครึม รกรุงรัง เมื่อทวงเงิน พี่พีพูดเพียงว่า

       “รอแป๊บ”

       ก่อนจะยื่นเงินให้เพียงหนึ่งพันบาท

       เมื่อนึกขึ้นได้ เธอพยายามติดต่อพี่พีแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จนผ่านไปหลายเดือน เธอจึงตั้งใจว่าเสร็จงานวันนี้จะขับรถไปหาพี่พี

       ขณะขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน ไฟหน้ารถส่องไปเห็นต้นไม้ใหญ่ มีชิงช้าห้อยอยู่ในระดับที่สูงจากพื้นดินเกินศีรษะ พอขับเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่บนชิงช้า เป็นพี่พีนั่นเอง จ๊ะโอ๋เอ่ยปากทวงเงินอีกครั้งว่า

       “ไหนบอกจะคืน หนูก็ต้องใช้เงินนะ”

       แต่พี่พีไม่ตอบอะไร กลับโยกชิงช้าไปมา แล้วแลบลิ้นใส่เธอ จากนั้นก็มีลมเย็น ๆ พัดวูบมา เธอจึงพูดว่า

       “งั้นเดี๋ยวเดือนหน้าหนูกลับมาทวงอีกนะ ไม่งั้นจะแจ้งความ”

       แต่ในใจก็รู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมของพี่พี

       หนึ่งเดือนต่อมา...

       จ๊ะโอ๋ขับรถกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง พบว่าบ้านของคุณตาคุณยายย้ายออกไปแล้ว และบ้านของพี่พีก็มีป้ายติดไว้ว่า ‘ให้เช่า’ จ๊ะโอ๋เห็นก็ยิ่งรู้สึกโกรธ จึงขับรถไปจอดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ และพูดคุยกับคุณป้าเจ้าของร้าน เมื่อเล่าให้คุณป้าฟังว่าเพิ่งเจอพี่พีเมื่อเดือนที่แล้ว คุณป้ากลับหน้าถอดสีแล้วถามว่า

       “ไปเจอเขามาตอนไหน?”

       จากนั้นก็เล่าให้ฟังว่า พี่พีผูกคอตายตรงต้นไม้ที่มีชิงช้า และทิ้งจดหมายไว้ว่า

       “สุดท้ายมึงก็เลือกมัน มึงจะไปอยู่กับมันใช่ไหม เดี๋ยวกูจะตายตรงนี้ เพื่อรอดูว่ามึงจะมาหากูรึเปล่า แล้วกูจะคอยดูว่าใครจะมาทวงหนี้กูบ้าง”

       คุณป้าเล่าว่า พี่พีหลงรักหัวหน้างานที่ฐานะดี จึงพยายามยกระดับตัวเองโดยการยืมเงินคนอื่น จนบัตรเอทีเอ็มถูกยึด วันหนึ่งภรรยาของหัวหน้าได้ขับรถมาหาที่บ้านพี่พี ทำให้เกิดการทะเลาะรุนแรง จนพี่พีเสียใจมาก และตัดสินใจจบชีวิตลง หลังจากนั้นทุกคืน คุณตาคุณยายที่อยู่ข้างบ้าน ก็มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง คุณยายเปิดประตูไปดู ก็เห็นวิญญาณของพี่พีกำลังร้องไห้พร้อมกับเดินออกจากบ้าน และก่อนจะผ่านหน้าบ้านคุณยาย วิญญาณพี่พีกลับหยุดเดิน แล้วหันมามอง เหตุการณ์นี้ทำให้คุณตาคุณยายทนไม่ไหว จนต้องย้ายออกไป

       ในคืนนั้นเอง ขณะที่จ๊ะโอ๋กลับถึงบ้าน ก็ได้รับข้อความเด้งขึ้นมาว่า ‘พี่เป็นหนี้ พี่ต้องใช้’

       จากนั้นสองสัปดาห์ถัดมา ระหว่างที่จ๊ะโอ๋เดินออกจากร้านสะดวกซื้อ ก็มีคุณป้าคนหนึ่งยื่นลอตเตอรี่ให้ พร้อมบอกว่า “มีคนซื้อให้” แล้วชี้ไปข้างหลัง แต่เมื่อหันกลับไปก็ไม่พบใครอยู่ตรงนั้น

       ต่อมา ลอตเตอรี่ใบนั้นถูกรางวัล ได้เงินประมาณ 8,000 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนเงินที่พี่พีเคยยืมไป จ๊ะโอ๋จึงนำเงินไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พี่พี พร้อมพูดว่า

       “เงินอีกพันหนูยกให้”

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

11 ส.ค. 2023

ไปงานแต่งเพื่อนสมัยมัธยม พอไปถึงงาน เจ้าสาวกลับเอาหุ่นมาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วยืนจูบกัน! คนในงานที่มีอยู่น้อยนิดก็เป็นหุ่นเหมือนกัน สรุปคือมีเราคนเดียวที่เป็นแขก!

งานแต่งงานขึ้นชื่อว่าเป็นงานที่คู่บ่าวสาวและแขกในงานต้องเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ หลายครั้งเราอาจจะต้องเจอรูปแบบงานที่ออกจะแปลกไปซะบ้าง แต่คงจะไม่แปลกเท่ากับเรื่องที่ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘งานแต่งสุดเพี้ยน’ เจ้าของเรื่องนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘คุณฮารุ’ เธอได้รับสายจากเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้คุยกันนาน นามสมมุติว่า ‘คุณโนริ’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ โนริก็บอกว่ากำลังจะแต่งงาน แต่ยังกังวลอยู่เพราะไม่มีแขกมาร่วมงานและไม่รู้จะเชิญใครมา จึงชวนฮารุมาร่วมงานแต่ง ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ฮารุก็ตอบตกลงเพราะเห็นแก่มิตรภาพ โนริกล่าวขอบคุณและบอกว่าจะออกค่าที่พักและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ขอแค่มาร่วมงานก็พอ หลังจากวางสาย ฮารุก็รู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ส่วนใหญ่เจ้าภาพมักจะดูแลค่าใช้จ่ายให้เฉพาะญาติสนิทหรือเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แต่กับเธอนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างเหิน “ทำไมโนริจะต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ด้วย ?” แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ กระทั่งถึงวันงาน ฮารุออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังสถานที่จัดงาน เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเป็นอาคารที่เอาไว้ใช้สำหรับจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ แต่พอเดินเข้าไปก็หาห้องที่จัดงานแต่งของโนริไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายงานแต่งของโนริติดไว้ ฮารุเดินต่อไปจนเห็นฮอล์นึงที่ประตูเปิดแง้มไว้ ฮารุชะเง้อมองเข้าไปก็เห็นภายในงานที่เก้าอี้วางเรียงราย มีคนนั่งอยู่แค่ 2 – 3 คน จากนั้นโนริก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ทั้งสองทักทายกันพอเป็นพิธีโนริก็พาฮารุเดินเข้าไปในงาน ในจังหวะนั้นฮารุก็คิดในใจว่า ปกติเจ้าสาวจะต้องเก็บตัว แต่นี่มารับแขกเองถึงหน้างาน แล้วคนในงานก็ยังนิ่ง ไม่ได้หันมามองเลยว่าเจ้าสาวมาต้อนรับใคร ทุกคนในนั้นนั่งหันมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา ฮารุจึงบอกโนริไปว่า “เธอไปเตรียมตัวเข้าพิธีดีกว่า เราดูแลตัวเองได้” โนริก็ตอบกลับมาว่า “โอเค ๆ งั้นเราไปเตรียมตัวก่อนนะ อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเลยนะ” หลังจากโนริเดินจากไป ฮารุก็เลือกที่นั่งหลังสุดเพื่อความสบายใจของตัวเอง เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูฮอล์นั้นก็ปิดลง พิธีกรขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำพิธี (พร้อมทั้งเป็นบาทหลวงไปในตัว) จากนั้นก็เชิญเจ้าสาว ประตูเปิดออกมา โนริที่เป็นเจ้าสาวก็เดินออกมาคนเดียว ตอนนั้นเองฮารุก็สงสัยว่าทำไมไม่มีคนในครอบครัวเดินมาส่งตัวเจ้าสาวเลย แต่ก็เพราะไม่ได้ติดต่อกันนาน ครอบครัวของโนริอาจจะไม่สะดวกมาร่วมพิธีก็เป็นได้ ฮารุคิดไว้เพียงเท่านั้น หลังจากโนริเดินขึ้นไปบนเวที พิธีกรก็กล่าวเชิญเจ้าบ่าว ประตูเปิดอีกครั้ง ฮารุได้ยินเสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าด พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่แล้วมีพนักงานเข็น แต่ด้วยความที่เห็นจากที่ไกล ๆ จึงคิดแค่ว่าเจ้าบ่าวอาจจะพิการหรือป่วยอยู่จึงเดินไม่ได้ จนกระทั่งรถเข็นเลื่อนไปถึงข้างหน้า เจ้าสาวก็เดินลงมาจับมือเจ้าบ่าวให้ยืนขึ้น แล้วเจ้าบ่าวก็ยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง! จากนั้นเจ้าสาวก็จับขาให้ยืดตรง จับหลังให้ยืดตรง จนเจ้าบ่าวอยู่ในท่าตรง วินาทีนั้นทำให้ฮารุได้เห็นว่าเจ้าบ่าวคือหุ่น! พิธีกรมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาคงจะรู้อยู่แล้ว จึงทำหน้าที่ต่อให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงตอนสุดท้าย เจ้าสาวก็จูบหุ่นที่เป็นเจ้าบ่าว ซึ่งปกติแล้วคนในงานจะต้องพากับปรบมือร่วมยินดี แต่กลายเป็นว่าทั้งฮอล์นี้ มีเพียงฮารุที่ปรบมืออยู่คนเดียว! ฮารุคิดในใจว่า “อย่าบอกนะ ว่าเราเป็นคนคนเดียวที่เป็นแขกในงานนี้” คิดได้ดังนั้นก็เตรียมลุกออกจากงาน พอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังออกมา เป็นโนริที่วิ่งออกมา เธอบอกว่า “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ ถ้าเป็นไปได้อยู่ปาร์ตี้ต่อคืนนี้ที่โรงแรมด้วยกันนะ” สีหน้าของโนริดูอ้อนวอนสุดขีด แต่ฮารุก็จำต้องปฏิเสธและให้เหตุผลว่าเกรงใจ แต่โนริก็ไม่ยอมแพ้ เธอบอกว่า “นะ ๆ อยู่ต่อเถอะนะ มีเธอเป็นแขกเพียงคนเดียวเลยนะ” นั่นทำให้ฮารุคิดได้ว่าแขกที่นั่งอยู่ในฮอล์ไม่กี่คนนั้น ไม่ใช่คน! หรือมันจะเป็นหุ่น! ฮารุจึงถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอโอเคใช่มั้ย?” โนริตอบกลับว่าเธอโอเค และขอร้องให้ฮารุอยู่ร่วมงานปาร์ตี้คืนนี้อีกครั้ง ฮารุจึงตอบตกลง ฮารุเปลี่ยนชุดมาร่วมงานปาร์ตี้ที่จะเริ่มประมาณ 2 ทุ่ม สถานที่จัดงานคือโรงแรมริมทะเล ในงานมีเก้าอี้เรียงรายจัดเตรียมไว้แต่ไม่มีใครมาร่วมงาน ฮารุไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เพราะไม่มีพนักงานมาต้อนรับ เธอจึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนึง แต่ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าสาวก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทักทายฮารุแต่อย่างใด เธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางทะเลด้านหน้าสุด ฮารุเห็นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เพราะบนโต๊ะไม่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เลย มองซ้ายขวาหาพนักงานก็ยังไม่เจอใคร ฮารุจึงคิดว่าถือซะว่ามาร่วมงานแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเตรียมจะเดินกลับห้อง ทันใดนั้นเอง เสียงเพลงประจำงานแต่งก็ดังขึ้น จากนั้น เจ้าสาวอย่างโนริก็ลุกขึ้นส่งยิ้มแล้วหันมาโบกมือให้รอบ ๆ ราวกับว่ามีแขกมาร่วมงานอย่างไรอย่างนั้น! ฮารุสังเกตเห็นว่าโนริยิ้มไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย และโนริยังพูดขึ้นมาอีกว่า “ไปก่อนนะทุกคน เรากำลังจะไปมีความสุขแล้ว” สิ้นเสียงโนริ เธอก็ค่อย ๆ เดินลงไปในทะเล! ฮารุตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวไม่ถูก พอมองไปรอบ ๆ จากตอนแรกที่ไม่มีใครก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตามโต๊ะทั่วงาน! เงาดำเหล่านั้นทำท่าปรบมือแสดงความยินดีกับโนริอีกด้วย! พอฮารุหันไปมองโนริอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีเงาคนมาดึงโนริลงไปในทะเล ฮารุตกใจสุดขีดกรี๊ดลั่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองทันที! กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที มีคนมาเคาะประตูห้องของฮารุ “เป็นพนักงานโรงแรมนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า อยากให้เราแจ้งตำรวจมั้ย” ฮารุยอมเปิดประตูและเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง จากนั้นพนักงานก็ค่อย ๆ เล่าให้ฮารุฟังว่า “ผมก็ไม่ได้รู้จักคุณโนริเป็นการส่วนตัวอะไร แต่เห็นว่าเขาน่าสงสาร เขาบอกว่าขอให้จัดงานให้ตามปกติ ไม่ต้องมีอาหารอะไรเลย พอถึงวันงานก็เห็นว่าไม่มีแขกมาร่วมงานเลย” นอกจากนี้พอเอาชื่อของโนริไปเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูก็พบข่าวที่น่าตกใจว่า โนริเป็นคนเดียวที่ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากการที่โนริและครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน มี (ว่าที่) สามีเป็นคนขับรถ นั่นอาจทำให้โนริรู้สึกเสียใจที่ดันเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เธออาจจะอยากไปอยู่กับครอบครัวและว่าที่สามีในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนโรงแรมก็พยายามตามหาโนริที่หายตัวไปในทะเลอยู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฮารุไม่เข้าไปช่วยหรือห้ามโนริ ดีเจเจ็มก็เสริมว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่อยู่ตรงนั้น แล้วเห็นเงาคนที่อยู่รอบ ๆ อาจจะคิดได้ว่าหรือตัวเจ้าสาวก็อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้ หรือถ้าเป็นคนจริง ๆ เราที่เจอเรื่องราวแบบนั้นก็คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดก็เป็นได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เจ้าของเดิม ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

11 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เจ้าของเดิม ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ’หมอพิพิม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 กันยายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เจ้าของเดิม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! หมอพิพิมเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของศิลปินคนหนึ่ง ให้สมมติว่า ‘คุณเอ๋’ โดยปกติแล้วการจ้างนักดนตรีไปต่างจังหวัดก็มักจะจ้างยาว คุณเอ๋ถูกจ้างไปเล่นดนตรีทางภาคใต้พร้อมกับวงดนตรี ก็ได้บ้านเช่าตึกแถวหนึ่งชั้น มีประตูรั้วเหล็กแบบเลื่อนปิด บ้านเป็นลักษณะตรงยาวลึกเข้าไป พอเข้าประตูไปก็จะมีศาลตี่จู่เอี๊ยะ ด้านขวาเป็นทางเดินตรงยาว ห้องแรกไม่มีประตู ห้องที่สองมีประตู ตรงเข้าไปข้างหลังก็จะมีห้องครัว บ้านหลังนี้ไม่ได้หรูหรา แต่ก็พออยู่ได้ บรรยากาศโอเค หลังจากเล่นดนตรีเสร็จ ปกติก็มักจะชอบสังสรรค์หลังเลิก แต่แล้วก็มีพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่โต้’ เขาขอกลับก่อน เพราะยังเล่นไม่คล่องเลยอยากแกะเพลงเพิ่ม เมื่อถึงบ้านเขาก็ล็อคประตู แล้วก็ไปอยู่ที่ห้องแรก พี่โต้เอากีตาร์และเอาวิทยุมาเปิดเพลง ด้วยความที่ต้องแกะเพลงจึงต้องเปิดเสียงดัง ในระหว่างที่ก้มหน้าอยู่นั้น หางตาก็เห็นมีคนเดินจากหน้าบ้านไปหลังบ้าน ในใจพี่โต้คิดว่า ‘เพื่อนมาแล้วหรอ ทำไมไม่ได้ยินเสียงประตู หรือเป็นเพราะเราเปิดเพลงเสียงดัง’ พี่โต้ชะโงกออกไปมอง ปรากฏว่าไม่เจอใคร จึงตะโกนเรียกว่า “เจม ใช่เจมป่าว (นามสมมุติ)” แต่แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา จึงคิดว่าตนอาจจะเบลอหรือตาฝาดไปเอง แล้วก็กลับมาโฟกัสกับการแกะเพลงต่อ สักพักก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกคือหางตาเห็นเหมือนมีใครเดินผ่านไป แต่ครั้งนี้ เดินมาอีกทางจากหลังบ้านมาหน้าบ้าน พี่โต้ทำเช่นเดิมคือก็ชะโงกหน้าออกมา แล้วตะโกนถามว่า ”เจมป่าว“ แต่ก็ยังไม่มีคนตอบ พี่โต้เดินออกไปที่ประตู ปรากฎว่าประตูก็ยังล็อคอยู่เหมือนเดิม พี่โต้พยายามไม่คิดอะไรเยอะ จึงกลับมาแกะเพลงต่อ ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่กำลังแกะเพลงอยู่ ก็เห็นคนเดินมาจากหน้าบ้าน แต่รอบนี้ไม่เดินผ่านแล้ว เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ประตู รอบแรกกับรอบสองที่พี่โต้เห็น ก็เริ่มรู้สึกไม่ดี พี่โต้รู้สึกแปลกที่ด้วยความที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ จึงไม่แน่ใจว่าคืออะไร พี่โต้สับสน อยากจะเงยหน้ามอง แต่ขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นมา ทุกอย่างก็ช้าลงผิดปกติ หางตาเห็นคนเท้าซีด ไม่ใส่รองเท้า พอค่อย ๆ เงยขึ้นมา ก็เห็นเป็นขากางเกงสีน้ำเงินคล้ายขาก๊วย พี่โต้ตัวนิ่งและค่อย ๆ ชา แล้วขนก็ลุก แต่แล้วก็พยายามเงยหน้าขึ้นมาดูต่อ เห็นเป็นแขนแนบตัว ผิวซีด และเห็นเป็นคนไม่มีหัว! พี่โต้ช็อกจนอึราด แล้วเขาก็หลับตา พยายามรวบรวมสติ คิดว่าคงตาฝาด แต่พอลืมตามาอีกครั้ง ก็ยังเห็นคนไม่มีหัวอยู่ ในตอนนั้น พี่โต้ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา น้ำหูน้ำตาออกมาหมด พี่โต้ลองหลับตาอีกครั้ง แล้วบอกว่า “อย่าทำอะไรผมเลย ผมมาทำงาน ถ้าเกิดว่าการที่ผมทำอะไรเสียงดัง หรือทำอะไรรบกวน ผมขอโทษจริง ๆ เดี๋ยวผมจะให้เพื่อนทำบุญไปให้ (เขาไม่สามารถทำได้เพราะด้วยศาสนาของเขา)” จากนั้นพี่โต้ก็ลืมตาขึ้นมา คนไม่มีหัวก็หายไป.. เมื่อเหตุการณ์สงบ สติของพี่โต้กลับเข้าที่ เขาก็ทำความสะอาดเตียง ทำความสะอาดตนเอง อาบน้ำล้างตัว พอเพื่อนกลับมาก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า ”อย่ามาหลอกเลย ไม่เชื่อหรอก” แล้วก็ขำตลกเฮฮากันแล้วก็ผ่านไป แต่เพราะต้องอยู่ต่ออีกหลายวัน หลังจากวันนั้น เพื่อน ๆ ก็ได้เจอกันทีละคน บางคนเห็นมีคนเดินผ่าน บางคนได้ยินเสียงเท้า เรียกว่าสมาชิกทุกคนได้เจอกันจนครบ สุดท้ายก็มาคุยกันว่า อยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจย้ายออกกัน ระหว่างที่กำลังย้ายออก ป้าข้างบ้านก็มาพูดด้วยว่า “อ้าว เจอแล้วหรอ กำลังจะย้ายออกใช่ไหม” เหมือนว่าใครมาอยู่ที่นี่ต้องได้เจอทุกคน หลังจากนั้นก็ถามคุณป้า คุณป้าบอกว่า “คนที่อยู่ที่นี่ เขาเป็นคนแก่ ซึ่งอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล ก็เสียชีวิตที่นี่”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

13 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก นนท์ อินทนนท์ ’คืนสยองวันรับน้อง‘ I อังคารคลุมโปง X นนท์ อินทนนท์ [ 9 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณนนท์ อินทนนท์‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’คืนสยองวันรับน้อง‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณนนท์เล่าว่า ตนเป็นรุ่นพี่ที่ไปดูรุ่นน้องในค่ายรับน้อง 3 วัน 2 คืน จึงจองรีสอร์ทกับเพื่อน ซึ่งเป็นรีสอร์ทกลางนา ในห้องน้ำมีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางห้อง ส่วนห้องนอนรวมกันประมาณ 7 คน เเละสุนัขของเพื่อนอีก 1 ตัว หลังจากเหนื่อยจากการรับน้องจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำเเล้วมาเข้านอน คืนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งตื่นมาเวลาประมาณตี 2 เเล้วก็สังเกตเห็นใครบางคนกำลังแสดงอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง แล้วสุนัขก็เห่าเเล้วมองไปทางเดียวกันกับที่เพื่อน จนคุณนนท์ตื่นเเล้วมองไปที่สุนัข เเต่ก็ไม่เห็นอะไร เพื่อนถามคุณนนท์ว่า “มึง มึงไม่เห็นหรอ เขารำใหญ่เลย” ตนจึงตอบไปว่า “ใครรำ ใครจะรำตอนนี้ บ้าปะเนี่ย” เพื่อนจึงบอกให้คุณนนท์ตั้งสติ เเล้วคุณนนท์ก็เห็นเป็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่วางทีวี หัวของร่างนั้นติดอยู่ตรงพัดลมที่กำลังส่าย คุณนนท์เเละเพื่อนรู้สึกช็อคจึงสวดมนต์กับเพื่อน สักพักร่างนั้นก็หายไป..! วันต่อมา คุณนนท์ได้คุยกับเพื่อนว่าอยากให้ย้ายออกจากรีสอร์ท เเล้วจากนั้นตนก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง เมื่อเล่าเสร็จก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดท้าทายว่า “จะรำได้ขนาดไหน เดี๋ยวมารอดูสิว่าการรำกับการนอนของกูอันไหนจะพังกว่ากัน” เเต่คุณนนท์รู้สึกไม่สบายใจจึงบอกให้เพื่อนขอโทษขอขมากับคำพูดที่ได้พูดลบหลู่ไป คืนนั้นเวลาตี 3 ขณะที่ทุกคนนอนอยู่ ก็มีกลิ่นน้ำอบลอยเข้ามาในห้อง ทำให้ทุกคนในห้องตื่น สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงดนตรีขึ้น ทุกคนจึงหลับตากอดกัน เเล้วก็มีลมแรงมาก ๆ พัดเข้ามาในห้อง! คุณนนท์รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงทำสัญญาณบอกเพื่อนว่า ออกไปเถอะ เเล้วก็รีบเก็บของไปนอนที่อื่น วันต่อมา คุณนนท์ได้ไปพูดคุยกับเจ้าของรีสอร์ทว่า “หนูนอนไม่ได้เลย” เขาก็ตอบกลับว่า “ห้องนั้นเคยมีเด็กที่เป็นนางรำมานอน เเล้วเหมือนโรคประจำตัวเขากำเริบ เเล้วก็ชัก” คุณนนท์จึงคิดว่าสิ่งที่ตนเเละเพื่อน ๆ เจอนั้น คงเป็นวิญญาณของเด็กที่เป็นนางรำนั่นเอง…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

มีปัญหากับเพื่อนบ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ! สุดท้ายยอมลดอีโก้มอบของขวัญขอคืนดี แต่เรื่องไม่จบ! เพราะของขวัญมันมี....ติดมาด้วย!!

26 ม.ค. 2024

มีปัญหากับเพื่อนบ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ! สุดท้ายยอมลดอีโก้มอบของขวัญขอคืนดี แต่เรื่องไม่จบ! เพราะของขวัญมันมี....ติดมาด้วย!!

เมื่อเพื่อนบ้านล้ำเส้นจนเกิดปากเสียงทำให้ต้องผิดใจ แต่หลังจากนั้นเพื่อนบ้านก็ให้ของขวัญ 1 ชิ้นแทนคำขอโทษ รับมาโดยที่ไม่รู้ว่าของขวัญชิ้นนี้มาพร้อมกับความหลอน สุดท้ายรู้ความจริงถึงกับช็อค เพราะเขาจะเอาให้ถึงตาย! เรื่องนี้ ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ของฝากจากเพื่อนบ้าน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโต้ง’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้ครูตรีได้ฟัง คุณโต้งเล่าว่า ตนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวแต่มีรั้วบ้านติดกัน คุณโต้งซื้อบ้านหลังนี้เพื่อต้องการให้ครอบครัวมีความสุขที่สุด และได้จ้างคนมาจัดสวนที่บ้านเพื่อความสวยงาม ทางเพื่อนบ้านก็จัดสวนเหมือนกัน แต่สวนของเพื่อนบ้านนั้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ และกิ่งไม้ก็เริ่มยื่นเข้ามาในตัวบ้านของคุณโต้ง (ด้านบนคือต้นไม้ของเพื่อนบ้าน ส่วนด้านล่างคือสวนของคุณโต้ง) ใบไม้ก็ร่วงลงมาที่สวนที่จัดไว้ และในสวนมีบ่อน้ำ ใบไม้ก็ร่วงลงมาตลอด คุณโต้งบอกว่าฤดูหนาวจะยิ่งเจอปัญหาหนัก เพราะใบไม้ผลัดใบก็ร่วงลงมาเต็มไปหมด คุณโต้งเคยพยายามไปเจรจากับเพื่อนบ้านแล้วว่า จะขอตัดกิ่งที่ยื่นเข้ามาได้หรือไม่ คำตอบที่ได้มาคือ ถ้าตัดมันจากพุ่มสวย ๆ มันก็จะกลายเป็นเบี้ยว และเพื่อนบ้านก็ไม่สนใจ กลายเป็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น คุณโต้งจึงให้ช่างเอาเลื่อยไฟฟ้าตัดกิ่งที่ยื่นเข้ามาบ้านของตัวเอง เมื่อตัดเสร็จก็ให้ช่างโยนกลับไปที่บ้านหลังนั้น เมื่อเพื่อนบ้านกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นสภาพต้นไม้ของตัวเองกองอยู่เต็มพื้น จึงมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน คุณโต้งก็บอกไปตรง ๆ ว่า “เฮ้ย! ก็ไม้บ้านคุณมันยื่นมา บอกหลายหนแล้วว่าให้ตัด ก็ไม่ตัด” หลังจากนั้นก็เกิดปากเสียงถึงขั้นชกต่อยกันหน้าบ้าน จนมีคนมาห้ามแล้วก็แยกย้ายกัน นั่นคือเหตุการณ์ของเดือนพฤศจิกายน ในเวลาต่อมาช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คนในหมู่บ้านนี้ค่อนข้างมีฐานะ ต่างคนต่างเป็นเจ้าของบริษัท คุณโต้งและภรรยาก็มีบริษัทเป็นของตัวเอง และทั้ง 2 คนจะมีลูกค้านำกระเช้าและของขวัญมาให้ คุณโต้งและภรรยาก็รับไว้แล้วนำไปเก็บไว้ที่บริษัท จนกระทั่งช่วงปีใหม่ คุณโต้งกับภรรยาและลูกได้ไปเที่ยว หลังจากเที่ยวเสร็จก็กลับบ้าน สิ่งที่คุณโต้งตกใจคือ เพื่อนบ้านตัดต้นไม้จนเหลือพุ่มเตี้ย ๆ และไม่ยื่นเข้ามาในบ้านของตนเลย ต่อให้ใบไม้ร่วงก็จะร่วงอยู่ในสวนของเพื่อนบ้านเท่านั้น คุณโต้งรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากนั้นไม่นาน คุณโต้งก็ขนกระเช้าของขวัญต่าง ๆ กลับมาจากบริษัทแล้วนำมาไว้ที่ห้องรับแขก ส่วนภรรยาก็นำของขวัญที่ได้มาไปเก็บที่ห้องรับแขกด้วยเพราะค่อนข้างเยอะ ทุกอย่างวางกองกันไว้ในห้องนั้น วันหนึ่ง คุณโต้งต้องรีบไปทำธุระ แต่เจอสิ่งที่ช็อคหนักกว่าเดิมคือ เมื่อเปิดประตูรั้วออกไป ก็เจอเพื่อนบ้านถือกล่องของขวัญมากล่องหนึ่ง ซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่แล้วก็บอกว่า “มาขอโทษในสิ่งที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว เรามาตั้งต้นดีกันใหม่ทั้งหมดเลยได้ไหม?” ด้วยความที่คุณโต้งต้องรีบไปทำงานเลยตัดสินใจพูดไปว่า “ขอบคุณครับ” และนำเข้าบ้านไปวางรวมกับของขวัญที่อยู่ในห้องรับแขกทั้งหมด แต่ระหว่างที่เดินถือไปนั้น ก็สังเกตว่ากล่องของขวัญนี้ห่อด้วยกระดาษของห้างดังห้างหนึ่ง ซึ่งกระดาษสามารถซื้อกลับมาห่อเองได้ และฝีมือการห่อของขวัญน่าจะเป็นการห่อเอง เพราะไม่ได้ละเอียดเหมือนกับที่ซื้อมาแล้วให้ทางห้างห่อให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะต้องรีบออกไปทำธุระ ระหว่างวันนั้นทั้งวัน คุณโต้งก็ไม่มีสมาธิเพราะในใจคิดอย่างเดียวว่า ‘เพื่อนบ้านเอาอะไรมาให้’ เมื่อกลับมาที่บ้าน ปรากฏว่าของในห้องรับแขกไม่มีแล้ว เพราะภรรยาของคุณโต้งให้แม่บ้านขนของไปไว้อีกห้องหนึ่ง คุณโต้งจึงเดินไปที่ห้องเก็บของ ก็เจอกับของที่เพื่อนบ้านเอามาให้ หลังจากนั้นก็แกะกล่องออกมาดู ก็พบว่าเป็นตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งซึ่งน่ารักมาก ตอนแรกคุณโต้งคิดว่าจะเอาให้ลูกเล่น แต่เมื่อคิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาจึงเกิดความระแวง คุณโต้งจึงโยนตุ๊กตาหมีทิ้งไว้ในห้องและปิดห้องไว้ แล้วก็กลับเข้าห้องของตัวเอง เช้าวันต่อมา คุณโต้งเดินเข้าไปในห้องเพื่อสำรวจตุ๊กตาว่าตุ๊กตาตัวนี้มีอะไรแปลกไปหรือไม่ จากการสำรวจ ผลออกมาว่าทุกอย่างปกติ จึงคิดว่าเพื่อนบ้านคงสำนึกได้จริง ๆ และคงอยากคืนดีด้วย จึงตัดสินใจว่าวันนี้จะแวะซื้อของขอบคุณเพื่อนบ้าน จะได้ปิดศึกที่มีมายาวนาน จากนั้นก็นำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางประดับไว้ที่ห้องรับแขกและออกไปทำงาน เมื่อกลับมาพี่เลี้ยงบอกว่า “คุณโต้งคะ น้องร้องไห้ทั้งวันเลย เอาไม่อยู่เลยค่ะ” คุณโต้งจึงเข้าไปคุยกับลูกว่า “หนูเป็นอะไร?” ลูกก็ตอบว่า “ผี ๆ ผีมา ผีมา” คุณโต้งคิดว่าไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน หรืออาจจะเกี่ยวกับตุ๊กตา คุณโต้งพยายามพลิกดูตุ๊กตาแต่ก็ไม่มีอะไร จากนั้นก็นำตุ๊กตาไปเก็บไว้อีกห้องหนึ่งแล้วปิดประตู คืนนั้น คุณโต้งนอนหลับ แล้วรู้สึกร้อน กระสับกระส่าย หายใจไม่ออก จึงลืมตาเพื่อจะไปปรับแอร์ แต่สิ่งที่คุณโต้งเห็นคือ มีผู้ชายคนหนึ่ง หน้าเต็มไปด้วยเลือด ก้มหน้าจ้องเขาอยู่ สภาพดูโกรธและอาฆาตแค้น! คุณโต้งรู้สึกช็อคเพราะหน้าจะประสานกันแล้ว คุณโต้งร้องโวยวายเสียงดังจนภรรยาตื่น พอลุกไปเปิดไฟก็พบว่าไม่มีอะไร คุณโต้งคิดว่าตนอาจจะฝันไป เช้าวันถัดมา คุณโต้งนั่งคุยกับภรรยาที่ห้องรับแขกและเล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้ฟัง ขณะที่คุยกันอยู่นั้น ในห้องรับแขกจะมีจุดหนึ่งที่เป็นกล้องวงจรปิดและก็มีจอมอนิเตอร์อยู่ คุณโต้งก็เห็นเหมือนเงาดำ ๆ เงาหนึ่งเดินไป-มาในห้องเก็บของ! คุณโต้งก็ฉุกคิดขึ้นว่า ‘เฮ้ย! หรือว่าเกี่ยววะ’ แต่ตอนนั้นคุณโต้งยังไม่มั่นใจจึงปล่อยผ่านไป คืนนั้นคุณโต้งนอนหลับและรู้สึกหนักกว่าเดิม เหมือนมีอะไรมาทับที่ตัว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เจอผู้ชายคนเดิมกำลังเอามือกดเขาอยู่ และแนบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยสภาพหน้าซีด ตาโบ๋ เลือดเต็มตัว แล้วพยายามจะขยี้! คุณโต้งก็ร้องโวยวายจนภรรยาตื่น ลุกไปเปิดไฟขึ้นมาดูก็ไม่เจออะไรเหมือนเดิม แต่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต้องเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณโต้งจัดการเผาตุ๊กตาตัวนี้เพื่อที่เรื่องจะได้จบ เมื่อเผาเสร็จ ก็ชวนภรรยาไปทำธุระข้างนอก หลังจากเสร็จธุระก็กลับบ้าน ด้วยความที่สบายใจว่าทุกอย่างจบแล้ว คืนนั้นก็เจอผู้ชายคนเดิมแต่หนักขึ้น เพราะเขาเลื่อนมาตรงหน้าอก พยายามขยี้! คุณโต้งก็ดิ้น และนานมากกว่าภรรยาจะตื่นมาเปิดไฟ เมื่อตื่นมาคุณโต้งก็คิดว่าทำไมเรื่องยังไม่จบ ทั้ง ๆ ที่เผาไปแล้ว เช้าวันถัดมาจึงคุยกับภรรยาว่า “ไปปรึกษาหลวงพ่อที่เรารู้จักไหม” ซึ่งเป็นวัดในจังหวัดอยุธยา จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่วัดแห่งนั้น เมื่อไปถึงหลวงพ่อก็ขอดูดวงชะตา หลังจากที่ดูเสร็จ หลวงพ่อก็พูดว่า “มีของตามตัวเรามา แล้วของนี้ต้องการจะทำให้เราถึงตาย” คุณโต้งก็บอกว่า “ผมเจอแล้วหลวงพ่อ แต่ผมเผาไปแล้ว” หลวงพ่อก็บอกว่า “วิธีแก้คือวิธีนั้นแหละ ต้องเผาและบังสกุล คือทำบุญอุทิศให้เขาไป เขาจะได้ไป” คุณโต้งก็บอกว่า “ถ้างั้นหลวงพ่อ ผมเผาไปเรียบร้อย ทำแค่พิธีบังสกุลให้ก็พอ” หลวงพ่อก็มองและพูดต่อว่า “มันไม่ใช่ มันไม่จบ เพราะว่าที่เผาไปมันไม่ใช่ต้นเหตุ ต้องหาสาเหตุให้เจอเพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเขาอาฆาตรุนแรงมาก ต้องหาให้เจอว่าต้นเหตุคืออะไร?” หลังจากนั้นคุณโต้งก็กลับมาคุยกับภรรยาที่ห้องรับแขก ทุกอย่างเริ่มตันเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ตาก็เหลือบไปเห็นที่เดิมตรงจอมอนิเตอร์ ก็เห็นเงาที่ห้องนั้นเหมือนเดิมจึงคิดว่าต้องเป็นห้องนั้นแน่ ๆ คุณโต้งเข้าไปรื้อของในห้อง สิ่งที่เจอคือ กล่องของขวัญของเพื่อนบ้าน ที่ตอนแรกคุณโต้งแกะไปแล้ว เมื่อหยิบขึ้นมา ภรรยาก็นึกขึ้นได้ทันที เพราะตอนวันปีใหม่ภรรยาได้ของที่จับฉลากแบบเดียวกันมาจากห้างเดียวกัน แต่อันนั้นห่อดีกว่า ปรากฏว่าที่คุณโต้งแกะตอนแรกคือของภรรยา แต่ของเพื่อนบ้านยังอยู่ในห้องนั้น! หลังจากแกะออกมา ของที่อยู่ข้างในคือกล่องเครื่องประดับ แต่ไม่สามารถเปิดได้ คล้าย ๆ เป็นโมเดลเพื่อตั้งโชว์อย่างเดียว ด้วยความที่ไม่รู้ คุณโต้งจึงนำกล่องนี้กลับไปหาหลวงพ่อ แล้วบอกว่า “หลวงพ่อครับ ที่ผมเจอคืออันนี้ หลวงพ่อว่ามันใช่ไหม” หลวงพ่อดูเสร็จจึงบอกว่า “ใช่ และตรงนี้มันมีที่เปิด ยังไงก็ทุบ” แต่หลวงพ่อพูดก่อนว่า “ธรรมดาคุณไสยที่มันผูกจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน มันต้องมีสื่อ ถ้ามีเศษกระดูกหรือเถ้ากระดูกของผีตายโหง มันจะต้องมีของโยมด้วย ดังนั้นมันต้องมีสื่อจากโยมและสื่อของโยมคืออะไร เพื่อนบ้านเขาทำยังไงถึงได้” เรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลง หลังจากที่ให้เด็กวัดกับสัปเหร่อนำเหล็กมาตอกเพื่อเปิดออก สิ่งที่เจอคือ ท่อนกระดูกสีขาว เหมือนกระดูกที่เผาแล้ว แต่สิ่งที่มัดด้วยคือ ผมกระจุกหนึ่ง แล้วคุณโต้งก็จำได้ทันทีว่าเป็นผมของเขาเอง ซึ่งเพื่อนบ้านเอาไปตั้งแต่ตอนชกต่อยกัน เขาวางแผนทั้งหมดไว้ตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยจงใจจิกหัว และกระตุกผมไปเพื่อนำไปทำสิ่งนี้ หลวงพ่อจึงจัดการทำพิธีคลายและเผาทุกอย่างเรียบร้อย คุณโต้งบอกว่า “หลังจากนี้ มันจะเป็นยังไงต่อหลวงพ่อ เราจะต้องทำอะไรกักอะไรเขาไหม” หลวงพ่อบอกว่า “ไม่ต้อง เพราะสิ่งนี้ดวงวิญญาณเขาถูกกักมาเพื่อนำมาทำร้ายโยม เมื่อมันคลายสะกดทุกอย่าง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคนนั้น เพราะเขาเป็นคนบังคับดวงวิญญาณนี้มา” หลังจากนั้นสิ่งที่คุณโต้งรู้คือไม่นานเพื่อนข้างบ้านของคุณโต้งก็ย้ายออกไปจากหมู่บ้านแห่งนั้นโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1