Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

อังคารคลุมโปง RECAP

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

21 ก.ย. 2023

            จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘Retrospect’ วงร็อกแนวหน้าของเมืองไทย เจอเรื่องหลอนที่ทำให้ทั้งวงนอนกันไม่ได้! ทั้งเสียงเคาะและเสียงกรี๊ดมากันให้ครบ เรื่องนี้ทำเอาแฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 กันยายน 2566) รวมทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงขั้นอ้าปากค้าง! จะอึ้งตามกันขนาดไหน ตามไปอ่านกันเลย!

            ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับวง Retrospect โดยตรง ในวันนั้นทุกคนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม โดยปกติแล้ว โรงแรมธรรมดาที่ไม่ได้ใหญ่โตมากในสมัยนั้น ควรจะเป็นทางบันไดเดินขึ้นลงธรรมดาไม่ได้เอื้อต่อคนที่ต้องใช้รถเข็น แต่ที่โรงแรมแห่งนี้ มีทางเดินสำหรับคนใช้รถเข็นแทบทุกจุด ราวกับว่าก่อนจะเป็นโรงแรม ที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่มีคนป่วยใช้รถเข็นอยู่มาก่อน วง Retrospect คิดได้เพียงเท่านั้น แต่ก็เข้าพักตามปกติ

            เมื่อเดินเข้าไปยังล็อบบี้ ทุกคนก็มองเห็นว่า มีเส้นทางเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน แต่มีไม้อัดปิดกั้นไว้เต็มไปหมด และมีศาลตี่จู้เอี๊ยะตั้งอยู่ด้านหน้า ทุกคนยังไม่ได้คิดอะไรเช่นเดิม ต่างคนต่างแยกย้ายเก็บของ ไปทานข้าว เตรียมซาวด์เช็ค และเล่นคอนเสิร์ตตามปกติ เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนหลังเล่นคอนเสิร์ตจบ ทุกคนก็กลับมายังโรงแรม และแยกย้ายอาบน้ำเตรียมตัวนอน โดยพี่บอมนอนพักร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ชื่อว่า ‘เดวิด’ ลักษณะของห้องมีห้องน้ำ ถัดมาเป็นเตียง 2 เตียง ถัดไปเป็นระเบียง พี่บอมคิดว่าการแบ่งสัดส่วนเช่นนี้ดูคล้ายกับห้องในโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น

            ก่อนจะนอน พี่บอมปิดไฟห้องจนมืดมีเพียงแสงจากโทรทัศน์เท่านั้น สายตาหันไปมองด้านข้างก็พบว่าเดวิดหลับไปแล้ว ตัวพี่บอมเองก็เริ่มง่วงกำลังจะหลับตาลง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ดังขึ้นรัว ๆ แต่ในตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องผีแม้แต่น้อย คิดว่าเพื่อนมาเคาะเรียก เพื่อชวนไปสังสรรค์ เพราะตามปกติของวงจะมีห้องที่รวมตัวกันเรียกว่า ‘ห้องงาน’ พี่บอมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เห็นมีแต่ความว่างเปล่า! พอชะโงกหน้ามองซ้ายขวาปรากฏว่าไม่มีคน ทุกอย่างตรงนั้นเงียบสนิท จึงตัดสินใจปิดประตูหันหลังเข้าห้อง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่นาน เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้เสียงไม่ได้ดังมาจากประตูหน้าห้อง แต่ดังมาจากห้องน้ำภายในห้อง! พี่บอมเริ่มรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปกติแล้ว ระหว่างนั้นก็พยายามจ้องไปบริเวณที่มีเสียง เสียงก็ดังขึ้นอีก และค่อย ๆ ย้ายมาจากห้องน้ำ เป็นดังมาจากตู้เสื้อผ้า เคาะไล่มาเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตั้งโทรทัศน์! ตอนนั้นพี่บอมเริ่มมีความรู้สึกกลัว แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร สายตาก็หันไปมองที่เดวิดอีกครั้ง ทำให้ยังมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้นเพราะมีเพื่อนอยู่ด้านข้าง พี่บอมพยายามจะจ้องไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ แต่จังหวะนั้น  ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากใต้เตียง! ในตอนนั้นพี่บอมก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกของเตียง จึงตัดสินใจลุกวิ่งหนีทันที แล้วทิ้งเดวิดให้นอนอยู่ในห้อง!

            เมื่อวิ่งออกมาถึงห้องงานก็รีบเปิดประตูเข้าไป แต่ดันเจอเซอร์ไพรส์กว่า เพราะภาพที่เห็นคือทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว ซึ่งปกติทั้งวงจะไม่ค่อยมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ พี่บอมเดินเข้าไปขอเครื่องดื่ม แล้วนั่งลงโดยที่ยังไม่เล่าอะไร แต่แล้วสมาชิกในวงก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เจอแล้วใช่ไหม” เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ทั้ง 11 คนเจอเหมือนกันทุกคน แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง เมื่อเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าและความเงียบเช่นเดิม เพียงเท่านั้นทุกคนมองหน้ากันแล้วคิดตรงกันว่า ‘ใช่แน่นอน’ จากนั้นก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะออกไปข้างนอก แต่พี่บอมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเดวิดนอนอยู่ในห้อง แล้วตำแหน่งห้องงานและห้องที่เดวิดนอน อยู่ห่างกันคนละฝั่ง (โรงแรมมีลิฟต์ตรงกลาง ห้องงานอยู่ฝั่งซ้ายสุด ส่วนห้องที่เดวิดนอนอยู่ฝั่งขวาสุด) พี่บอมจึงชวนทุกคนออกไปด้วยกัน กลายเป็นทั้งหมดเดินเกาะแขนกันไปเพื่อที่จะไปเรียกเดวิดออกมา

            ระหว่างทางทุกคนค่อย ๆ เดินช้า ๆ ขณะที่กำลังเดิน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซ้ำอีก แต่รอบนี้ดังจากในห้อง เป็นจังหวะแบบที่เมื่อห้องด้านซ้ายดัง ห้องด้านขวาจะดังต่อ สลับกันอย่างต่อเนื่อง! ยังไม่ทันจะถึงห้องของเดวิด เสียงเคาะก็ดังขึ้นก็ไล่มาจนถึงห้องด้านขวาของทุกคน เมื่อทุกสายตามองไปทางประตูด้านขวา เสียงเคาะนั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิงกรี๊ดดังขึ้นจากห้องด้านซ้ายแทน! จังหวะนั้นทุกคนส่งเสียงพร้อมกัน “ไป มึงไปปปป!” แล้วก็ตัดสินใจไปนั่งที่ร้านข้าวต้มแถวนั้นจนถึงเช้า

            เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็กลับเข้าไปยังที่โรงแรมนั้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือ เดวิดยังคงนอนอยู่ท่าเดิมตื่นมาด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และยังยืนยันว่านอนหลับสบายปกติ ทุกคนในวงจึงตัดสินใจเข้าไปถามพนักงานที่ทำงานในโรงแรม คำตอบที่ได้มาคือ ตามปกติแล้วจะเจอที่ชั้น 5 และทั้งชั้นจะไม่มีคนเลย (แต่ที่ Retrospect เจอคือชั้น 4) แต่ทุกเวลาหกโมงเย็น ประตูจะเปิดเองทุกห้อง พร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เป็นเสียงเพลงชาติเปิดดังขึ้นเอง เมื่อเพลงจบลงโทรทัศน์จะดับเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนประตูทุกห้องก็จะปิดกลับตามเดิมแบบไร้สาเหตุเช่นกัน!

            เรื่องหลอนยังไม่จบเพียงเท่านี้ พี่บอมเล่าว่าเมื่อย้อนกลับไปวันที่เข้าพัก ก่อนที่จะไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนได้มีโอกาสไปทานข้าวร่วมกับเจ้าของโรงแรม โดยเจ้าของเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด และหลังจากคืนที่เกิดเหตุการณ์เสียงเคาะนั้นจบลงไปได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า เจ้าของได้เสียชีวิตลงจากเหตุฆาตกรรม!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’งานลิเกในคืนนั้น‘ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 30 ก.ค. 2567]

07 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’งานลิเกในคืนนั้น‘ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 30 ก.ค. 2567]

ตั้งแต่เด็กจนโตได้ยินมาตลอดว่าเจออะไรห้ามทักมั่วซั่วถ้าไม่อยากเจอผี แล้วเคยสงสัยไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ทำตาม หรือเราทักโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวนี้มีชื่อว่า ‘งานลิเกในคืนนั้น’ จาก ’พี่แจ็ค The Ghost’ ได้นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง ในรายการ อังคารคลุมโปง X’ (30 กรกฎาคม 2567) ถ้าอยากรู้ว่าจะเจออะไร ตามไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงประมาณปี 2554 ตอนนั้นคุณนิว (เจ้าของเรื่อง) ยังเรียนอยู่ ซึ่งครอบครัวของคุณนิวเป็นครอบครัวลิเก มีพระเอก นางเอก เป็นหัวหน้าอยู่ในคณะ ซึ่งวันนั้นหลังจากเลิกเรียน คุณนิวก็มุ่งไปโรงลิเก เพราะต้องไปเล่นที่จ.ลพบุรี ซึ่งใช้เวลาเดินทางพอสมควร จากช่วงเย็น ๆ กว่าจะไปถึงก็เกือบ 2 ทุ่ม โดยมีพี่สาวเป็นคนขับ แม่นั่งข้างคนขับ ส่วนคุณนิวนั่งดูวิวนอกหน้าต่าง ระหว่างเดินทางคุณนิวก็นั่งมองอะไรไปเรื่อย เห็นอะไรก็ทักตามประสาวัยรุ่น พอไปเจอสี่แยกหนึ่งซึ่งรถจอดรอไฟแดง คุณนิวเห็นผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษายืนตรงสี่แยก ด้วยความที่เห็นสาวเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่วัดนี้คืนนี้มีเล่นลิเก ตามมาดูซิ” พี่สาวหันมามองแล้วถามว่า “พูดอะไร” แต่คุณนิวมักจะโดนดุบ่อย ๆ ว่าอย่าทักอะไรไปเรื่อย คิดว่าเดี๋ยวโดนบ่นอีก จึงพูดไปว่า ”ไม่มีอะไร ซ้อมบทเล่นลิเกคืนนี้อยู่“ ไม่นานก็มาถึงโรงลิเก ทุกคนเข้าไปแต่งหน้าที่หลังเวที โดยที่จะมีพ่อแก่อยู่หลังฉาก หันหน้ามาทางด้านหลังเวที แล้วเหล่าบรรดาลิเกที่แต่งหน้าก็จะหันหน้าไปทางพ่อแก่ ตอนที่คุณนิวแต่งหน้าก็มีกระจกบานใหญ่ ทำให้เมื่อมองด้านหลังจะเห็นแม่ยืนคุยเรื่อยเปื่อยกับพระเอกลิเก แต่หางตาดันเป็นนักศึกษาผู้หญิงเดินผ่านหลังโรงลิเกไป พอหันไปมองอีกรอบแต่ก็ไม่เห็น เห็นแค่เเม่กับพระเอกลิเกที่ยืนคุยกันอยู่ จากนั้นก็ได้เวลาออกไปเล่นลิเก ทุกคนก็ออกไปเล่นลิเกปกติ ในคืนนั้นคุณนิวต้องออกไปแสดงทั้งหมด 4 ซีน ซีนแรกก็รำออกไปปกติ แล้วก็มองไปที่คนดูด้านหน้าเวที พอมองเลยไปก็จะเป็นซุ้มประตูวัด แล้วคุณนิวก็เห็นผู้หญิงชุดนักศึกษาอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่า ‘มาได้ไงวะ’ เพราะจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะใช่ แล้วก็แสดงไปจนกระทั่งจบซีนที่ 1 หลังจากนั้นซีนที่ 2-3 ที่คุณนิวออกไปแสดงก็เล่นตามปกติ จนมาถึงซีนที่ 4 ซีนที่ 4 คุณนิวต้องแสดงเป็นโจร เป็นซีนที่จะจับนางเอกไปเป็นภรรยา แล้วนางเอกต้องตบหน้า พอจังหวะนั้นคุณนิวต้องร้อง แต่ปรากฎว่าเขาไม่ร้อง เขาค้าง เพราะผู้หญิงชุดนักศึกษาที่ยืนหน้าซุ้มประตู เขาไปยืนอยู่บนกำแพงวัด! คุณนิวก็ค้าง แล้วก็ช็อตไปเลย นางเอกลิเกจึงเอาไมค์ออกแล้วถามว่า ”นิวเป็นอะไร ทำไมไม่โฟกัสเล่นลิเก“ คุณนิวใช้เวลาในการตั้งสติ แต่ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่บนกำแพงวัดแล้วยิ้ม คุณนิวพยายามเล่นลิเกต่อจนเสร็จ พอกลับเข้ามาหลังเวที ตอนนั้นคุณนิวรู้สึกแปลก ๆ และนึกถึงคำพูดที่ตนพูดบนรถ คำนั้นอาจทำให้ผู้หญิงคนนี้ตามมาก็เป็นได้ ในระหว่างนั่งพักอยู่ข้างหลังโรงลิเก ซึ่งตอนนั้นซีนของคุณนิวหมดแล้ว เหลือเวลาอีก 30 นาทีก่อนที่การแสดงจะจบลงแล้วทุกคนต้องออกมาเรียงแถวกันลาผู้ชม คุณนิวก็เกิดอาการปวดท้อง จึงถามหัวหน้าว่าจะไปเข้าห้องน้ำจะกลับมาทันก่อนจบการแสดงหรือไม่ หัวหน้าก็ดูเวลาแล้วบอกว่าทัน คุณนิวจึงถอดชุดลิเกแล้วเดินไปห้องน้ำ จากโรงลิเกไปห้องน้ำนั้นทางเปลี่ยวและมืดมาก ตอนที่เดินไปก็จะมีไฟสลัวเป็นระยะ คุณนิวจึงร้องเพลงลูกทุ่งขึ้นมา ร้องมาได้แค่ 1 ท่อน หลังจากจบท่อนนี้ก็ได้ยินเสียงเดิน เสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้นของผู้หญิงดังมาจากทางที่มาจากโรงลิกเก คุณนิวจึงหยุดแล้วฟังเสียง แล้วก็เห็นผู้หญิงชุดนักศึกษาร้องไห้ ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนที่ทักอะไรไปเรื่อยจึงพูดขึ้นมาว่า ”เธอเป็นอะไรไหม ร้องไห้กลางค่ำกลางคืนแบบนี้เป็นอะไรไหม“ ผู้หญิงคนนี้ก็เดินไปแล้วก็ร้องไห้ คุณนิวก็พยายามเดินตามไปถามว่า ”เป็นอะไรไหม” ระหว่างที่เดินตามผู้หญิงคนนี้ก็ถามไปเดินไปด้วย แล้วก็หันมองไปทางโรงลิเกเพราะกลัวว่าตนจะกลับไปไม่ทัน จนคุณนิวก็พูดว่า “ตกลงคุณเป็นอะไรไหมเนี่ย” ผู้หญิงคนนั้นก็หยุด คุณนิวหันไปมองทางโรงลิเก มองดูระยะทางเพราะมันก็คงใช้เวลาสักพักกว่าจะเดินไปถึง พอคุณนิวหันกลับมา ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาก็ทำให้คุณนิวช็อคจนถึงทุกวันนี้! ผู้หญิงคนนั้นหันมาหน้าไม่ใช่หน้าคน แต่หน้าตาเละ ถ้าถามว่าเละแบบไหน ให้นึกถึงลูกแตงโมที่โดนรถทับแล้วเละ จังหวะนั้นคุณนิวตกใจรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิตกลับมาที่โรงลิเกทันที พอมาถึงโรงลิเก พี่พระเอกและพี่นางเอกก็ถามว่า “เป็นอะไร” ตัวคุณนิวก็ไม่กล้าพูดเพราะไม่รู้ว่าไปเจออะไรมา ไม่รู้ว่าผีหลอกหรืออะไร รู้แค่ว่าสิ่งที่เขาเจอเมื่อครู่มันทำให้เขามาอยู่ตรงนี้ เขาจึงนั่งพัก ตั้งสติ พอขึ้นลาโรงลิเก ก็ไปเล่าให้กับหัวหน้าฟังว่าเจอแบบนี้ หัวหน้าก็บอกว่า “ก็ว่าแล้วทำไมแปลก ๆ เห็นตั้งแต่ตอนแต่งหน้า เห็นร้องไห้อยู่หลังโรงลิเกตั้งแต่เย็นแล้ว ก็นึกว่าเป็นแฟนคลับนิว เห็นจ้องแต่นิว“ คุณนิวก็ไปเล่าต่อให้คุณแม่ ให้กับผู้ใหญ่ฟัง และก็เดินเข้าไปหาเณรที่มาดูลิเกเพื่อสอบถามว่า ”ที่วัดยังมีพระองค์ไหนที่ยังไม่นอนไหม อยากให้พรมน้ำมนต์ให้หน่อย“ เณรตอบตกลง แต่ระหว่างที่คุยกัน ก็มีหลวงตาเดินเข้ามาพูดว่า “เจอหรอ เจอผู้หญิงนักศึกษาใช่ไหม” คุณนิวถามต่อว่า “หลวงตารู้ได้ยังไง” หลวงตาบอกว่า “ผู้หญิงที่รถทับตายตรงสี่แยกใช่ไหมหล่ะ” คุณนิวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็พาไปกุฏิเพื่อพรมน้ำมนต์ให้แล้วพูดว่า “เป็นไงหล่ะ ชอบไปทัก ไปชวนอะไรเขามั่วซั่ว เห็นอะไรก็พิจารณาให้ดีก่อนว่าใช่หรือเปล่า เบื่อกับการเรียกแฟนคลับมาดูลิเกแล้วหรือไง ถึงไปเรียกผีมา“ สรุปคือตรงสี่แยกนั้นมีนักศึกษาโดนรถสิบล้อทับที่หัวเสียชีวิตเมื่อ 4 วันก่อนศพเพิ่งเผาไปก่อนวันที่คุณนิวมาเล่นลิเก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

03 พ.ค. 2025

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

สมัครงานพาร์ทไทม์ที่โรงหนัง แต่พนักงานด้วยกันชอบแกล้งเรื่องผีอยู่เป็นประจำ จนได้มามาทำงานตำแหน่งฉายหนัง ที่ต้องเอาพวงมาลัย น้ำ นม มาไว้ที่ห้องฉายทุกครั้งในวันพระ แต่วันที่เกิดเรื่องดันลืม…! จึงได้เจอดีเข้าให้! ไปติดตามเรื่องเล่าจาก ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ที่ได้นำเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ เรื่องของ ‘คุณดิ๊ก’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(29 เมษายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณดิ๊กอยากหางานพิเศษทำ ในตอนนั้นมีห้างหนึ่งกำลังถูกสร้าง ซึ่งเป็นห้างที่มีโรงหนังทั้งหมด 3 โรง หลังจากห้างสร้างเสร็จเรียบร้อย คุณดิ๊กจึงได้ไปยื่นใบสมัครไว้ เผื่อว่ามีงานที่พอจะทำได้ หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็มีสายจากโรงหนังโทรเข้ามา โดยสอบถามกับคุณดิ๊กว่าพร้อมจะมาทำงานที่โรงหนังหรือไม่ คุณดิ๊กก็ตกลงที่จะทำงานเป็นพาร์ทไทม์ของโรงหนังนี้ เมื่อไปถึงคุณดิ๊กก็ได้เจอกับผู้จัดการ ผู้จัดการจึงพาแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงหนัง และกำหนดตำแหน่งที่คุณดิ๊กจะได้ทำคือ ตำแหน่งฉีกตั๋ว คุณดิ๊กทำงานมาได้ 1 อาทิตย์ ผู้จัดการก็โทรมา ให้คุณดิ๊กลองมาอยู่กะกลางคืน โดยผู้จัดการจะเพิ่มชั่วโมงในการทำงานให้คุณดิ๊ก กะดึกคืนนั้น มีพนักงานทั้งหมด 7 คน (รวมคุณดิ๊กแล้ว) ในกลุ่มพนักงงานนั้นจะมี 3 คนรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งชอบแกล้ง-ชอบอำคนอื่น ในกลุ่มนั้นมี ‘คุณแมน’ และ ‘คุณหนุ่ม’ ทำหน้าที่ฉายหนัง และ ‘คุณเอก’ เป็นพนักงานฉีกตั๋วเหมือนคุณดิ๊ก เมื่อแมน หนุ่ม และเอกเห็นว่ามีเด็กใหม่มา ก็เริ่มแผนการแกล้งทันที.. โดยเริ่มจากคุณเอกได้พาทัวร์ในโรงหนังรอบกลางคืน และบอกว่า “โรง 3 มึงต้องระวังนะ โรง 3 เจอกันเยอะ ผีดุ” นอกจากนี้ คุณเอกก็เล่าเรื่องผีให้ฟัง แต่คุณดิ๊กไม่ได้เป็นคนกลัวผีมากจึงไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเอกก็ยังบอกต่ออีกว่า “เดี๋ยวกูขอเช็คโรง 1 โรง 2 ละกันนะ โรงสามกูกลัวผี กูไม่กลัาไป” คุณดิ๊กจึงตอบตกลงและไปดูเอง พอมาถึงโรง 3 ก็เปิดประตูเข้าไป และเดินมาจนถึงที่นั่ง ก็ได้มีเสียงว.มาจากห้องฉายด้านบน โดยคุณหนุ่มกับคุณแมนก็ว.มาบอกว่า “ดิ๊ก ลองเช็คแขกดูหน่อย มีทั้งหมดกี่คน” คุณดิ๊กเดินไปเช็คตามที่บอก และตอบทั้งสองคนไปว่า “แถว I มีทั้งหมด 7 คน” “เฮ้ย นับดูดี ๆ 7 คนแน่หรอ” คุณดิ๊กก็เริ่มนับใหม่ และตอบย้ำไปว่า “7 คนพี่ แถว I” เสียงจากว.แย้งขึ้นมาทันทีว่า “เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว มันมีแถวหลังอีก 2-3 คนไม่เห็นหรอ” คุณดิ๊กมองตามที่ทั้งสองคนบอก และเงยหน้ามองไปบนห้องฉาย ก็เห็นทั้งสองคนนั่งหัวเราะกันอยู่ คุยดิ๊กก็คิดในใจว่า ‘พวกที่ชอบอำผม วันไหนขอให้โดนเอง’ หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปกติ คุณดิ๊กก็ยังทำงานเหมือนเดิม จนกระทั่งคุณแมนมาบอกกับทุกคนว่าลาออกแล้ว โดยไม่บอกเหตุผลว่าออกเพราะอะไร แต่ก่อนที่จะออกก็ยังไปบอกกับคุณดิ๊กอีกว่า “ถ้าต้องขึ้นไปทำงานห้องฉายอะ ระวังโรง 3 ไว้นะ” คุณแมนบอกไว้เท่านี้และออกไป หลังจากนั้นคุณดิ๊กก็ยังโดนคุณเอกและคุณหนุ่มแกล้งอำเรื่องผีมาโดยตลอด วันหนึ่งผู้จัดการโทรมาหาคุณดิ๊กให้มาช่วยงานที่ห้องฉาย เพราะตอนนี้เหลือแค่คุณหนุ่มคนเดียว จึงให้คุณดิ๊กไปเรียนรู้งานกับคุณหนุ่ม เมื่อไปถึงห้องฉาย คุณหนุ่มก็พาดูภายในห้องฉายว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีห้องฉาย 3 ห้อง หนึ่งห้องต่อหนึ่งโรงอยู่เรียงกัน และคุณหนุ่มก็ได้บอกกฎกติกากับคุณดิ๊กว่า “สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้เลย หนึ่งคือทุกวันพระจะต้องเอาพวงมาลัย เอาน้ำ เอานม มาไว้ที่เครื่องฉายทุกครั้ง ห้ามลืมเด็ดขาด สองคือห้ามพาบุคคลภายนอกเข้ามาภายในห้องฉายเด็ดขาด และสามคือห้ามเตรียมไฟล์หนังผิดเด็ดขาด” คุณดิ๊กก็รับทราบ และถามคุณหนุ่มว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องรู้อีกไหม คุณหนุ่มจึงบอกไปว่า “ถ้าวันไหนที่มึงมาทำงาน แล้วเปิดเข้ามาที่ห้องฉายหนัง ถ้าเห็นเส้นผมอยู่ตรงพื้น อยู่ตรงเครื่องฉาย ไม่ต้องตกใจ มองให้เป็นเรื่องปกติ” คุณดิ๊กก็คิดในใจว่าคุณหนุ่มแกล้งกันอีกแล้ว คุณดิ๊กก็ถามกลับไปว่า “พี่ปั่นผมปะเนี่ย” คุณหนุ่มจึงตอบกลับมาทันทีว่า“มึงเชื่อกู ไม่เชื่อมึงลองไปดูตามห้องก่อนก็ได้” คุณดิ๊กจึงเดินถือว.ไปตามห้องฉายต่าง ๆ คุณดิ๊กเดินไปห้องแรก ก็เจอกับเส้นผม แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจเป็นเส้นผมของแม่บ้าน ซึ่งห้องฉายที่ 2 ก็มีเหมือนกัน และเมื่อเปิดไปห้องที่ 3 ก็มีเส้นผมเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เส้นผมเส้นเล็ก ๆ แต่เป็นกระจุกเส้นผมที่กองอยู่ตามพื้น และในวันหนึ่ง คุณดิ๊กก็ฉายหนังตามปกติที่โรง 2 แต่ผ่านไป 30 นาทีก็ไม่มีคนดู คุณดิ๊กจึงปิดเครื่องฉาย ปิดไฟและกำลังจะเดินออกมาจากห้องฉาย แต่อยู่ ๆ ก็มีว.มาว่า “เฮ้ย ดิ๊ก ปิดเครื่องฉายหรอโรงสอง มีคนดูอยู่” คุณดิ๊กก็บอกไปว่า “ผมเช็คแล้วนะ โรงสองไม่มีลูกค้า” “ไม่มีบ้าอะไร ลูกค้าเดินออกมาบอกว่าเขานั่งดูอยู่” คุณดิ๊กก็คิดว่าโดนผีหลอกแล้วหรือเปล่า จึงเดินไปดูที่นั่ง ก็เห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่แถว A ซึ่งเป็นจุดบอดที่มองเห็นได้ยาก และวันต่อมา ขณะที่คุณดิ๊กกำลังฉายหนังโรง 3 อยู่ ซึ่งวันนั้นมีคนมาดูหนังน้อยมาก คุณดิ๊กจึงคอยสังเกตว่าจะมีคนเข้ามาหรือไม่ พอใกล้ 30 นาที คุณดิ๊กก็เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาแถวกลาง แต่ก็ไม่ได้นั่ง จนเดินลงไปนั่งแถวหน้าสุด คุณดิ๊กจึงสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไปนั่งตรงนั้น จากนั้นก็ว.ไปหาคุณเอกให้เช็คว่ามีลูกค้ามาในรอบนี้หรือไม่ แล้วทำไมถึงนั่งแถวหน้าสุด ทั้งที่โรงก็ว่างอยู่ จากนนั้นคุณเอกก็เช็ครอบหนัง ณ เวลานั้นให้คุณดิ๊ก และพบว่า หนังในรอบนั้นไม่มีคนซื้อตั๋วไว้เลย คุณดิ๊กจึงตอบกลับไปว่า “จะไม่มีคนจองได้ยังไง ก็เห็นคนนั่งอยู่ ลองเข้าไปดูให้หน่อย” คุณเอกจึงตอบตกลงจะเข้าไปเช็คให้ และถ้าถึงแล้วจะบอกว่าอยู่ตรงไหน คุณดิ๊กจึงรออยู่บนห้องฉาย จากนั้นไม่นานมีแสงเลเซอร์สว่างเข้ามาในห้อง คุณดิ๊กจึงโผล่ไปที่ช่องกระจก ที่สามารถมองเห็นข้างล่างได้ คุณดิ๊กจึงว.ไปบอกคุณเอกว่า “เขานั่งอยู่นี่ไง แถวหน้าสุด ตรงกลาง” คุณเอกจึงชะเง้อมองและเดินไปตามทางที่คุณดิ๊กบอก “ตรงไหน” คุณเอกถาม “ตรงนี้ ๆ เก้าอี้ตัวนั้นแหละ เขานั่งอยู่ข้างหน้ามึงเลย” “นั่งอยู่ข้างหน้าบ้าอะไร ไม่เห็นใครสักคน” คุณดิ๊กคิดในใจว่า ‘อีกแล้ว โดนแกล้งอีกแล้ว’ คุณดิ๊กจึงพยายามส่องเลเซอร์ลงไปว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ เมื่อคุณเอกไม่เชื่อ คุณดิ๊กจึงเปิดไฟให้ดู ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทางประตูหนีไฟ จากนั้นคุณเอกก็ตกใจแล้ววิ่งออกมา คุณดิ๊กจึงวิ่งลงมาจากห้องฉายและตามคุณเอกไป ในตอนนั้นคุณเอกก็ได้บอกกับคุณดิ๊กว่า“เห็นเหมือนกูใช่ไหม ผู้หญิงเมื่อกี้ ที่อยู่ๆ ลุกขึ้นมา แล้ววิ่งออกไป” คุณดิ๊กจึงตอบทันทีว่าใช่ เพราะมีลูกค้านั่งอยู่ คุณเอกจึงบอกกับคุณดิ๊กว่า “ตอนที่ลูกค้านั่งอยู่มันไม่เท่าไหร่ แต่พอไฟเปิด อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้” คุณดิ๊กก็ตอบกลับไปว่า “ก็เรื่องปกติ วิ่งออกไปดูสิ เผื่อเป็นคนสติไม่ดีหรือใครแอบเข้ามา” คุณเอกจึงบอกว่า “มึงดูดี ๆ ประตูหนีไฟ มันไม่ได้เปิดนะ มันเป็นประตูที่ล็อกไว้อยู่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งหนีไปจริง ๆ ก็คงวิ่งไปอีกฝั่งที่ประตูมันเปิดอยู่” คุณดิ๊กจึงเดินไปดูตรงประตูหนีไฟที่ผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไป และพบว่ามันล็อกอยู่จริง ๆ วันรุ่งขึ้นคุณดิ๊กจึงได้เล่าเรื่องที่เจอให้คุณหนุ่มฟัง คุณหนุ่มก็สงสัย เมื่อค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด จนคุณหนุ่มถามขึ้นมาว่า “เมื่อวานลืมอะไรปะ” คุณดิ๊กจึงตอบกลับทันทีว่า“ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ ผมก็ทำงานปกติ” “เมื่อวานวันพระ มึงลืมอะไรเปล่า” คุณหนุ่มถามต่อ คุณดิ๊กก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองลืมซื้อดอกไม้ ซื้อพวงมาลัย ซื้อน้ำ ซื้อนมมาไว้ และคิดว่าครั้งนี้ที่ได้เห็นเพราะเขามาเตือนที่ไม่ได้ทำตามที่บอก และคุณหนุ่มยังเล่าให้ฟังต่อว่า มีอยู่พนักงานคนหนึ่งที่เคยฉายหนังปกติแบบนี้ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่มีคนมาดูหนังจนเต็มโรง ระหว่างที่พนักงานคนนั้นฉายหนังอยู่ก็ได้มองลงมาข้างล่าง พนักงานคนนี้เห็นลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่ได้มองไปที่จอหนังที่กำลังฉาย แต่หันหน้าขึ้นมามองพนักงานคนนั้นแล้วก็ยิ้มให้ เมื่อจอหนังลูบดับไปและสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ที่ตรงนั้นกลับไม่มีคนนั่งอยู่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

11 เม.ย. 2023

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

ไปทำงานต่างจังหวัดจึงเลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีเสียงเปิด-ปิดประตูตลอดเวลา! แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก! จะออกไปทำบุญก็เจออุปสรรค พอทำบุญให้ก็ยังไม่หายไปไหน! ..ต้องทนนอนด้วยความหวาดผวาถึง 8 คืน! หลายคนคงไม่เชื่อว่าประสบการณ์ขนหัวลุกจะเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังนอนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวได้ เรื่องราวสุดหลอนนี้มาจากสาย ‘คุณแดน’ ที่ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 เมษายน 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เป็นเรื่องที่ทั้งสตูต้องร้อง “ห๊า!” ไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันได้เลย! คุณแดนเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ไปทำงานที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 9 วัน 8 คืน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน จึงวางแผนว่าจะนอนพักที่โรงแรม 5 ดาว เพื่อความปลอดภัย แต่จังหวัดนั้นมีโรงแรม 5 ดาวอยู่เพียง 2 แห่ง จึงเลือกโรงแรมที่เป็นแบรนด์ที่เคยใช้บริการ ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ คุณแดน พี่สาว บัดดี้ของพี่สาว และทีมงานอีก 2 คน ทั้งหมดได้จองห้องพักไว้ 3 ห้อง โดยคุณแดนนอนคนเดียว ส่วนพี่สาวนอนกับบัดดี้ ทั้ง 2 ห้องนี้จะอยู่ติดกัน ส่วนอีกห้องเป็นของทีมงานที่เหลือ ตำแหน่งของห้องอยู่ตรงข้ามห้องของพี่สาว เมื่อมาถึงโรงแรม ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามที่คาดหวังสมมาตรฐานระดับ 5 ดาว บรรยากาศในโรงแรมดูคึกคักเพราะช่วงนั้นมีการจัดสัมมนาด้วย ส่วนห้องพักเองก็ดูใหม่ มีผนังห้องน้ำเป็นกระจกและมีผ้าม่านช่วยเพิ่มความหรูหรา และยังมี Daybed (เตียงนอนเล่น) ให้นั่งพักผ่อนอย่างสะดวกสบาย ส่วนด้านนอกมีระเบียงหลอก ๆ ที่ทำขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่ไม่สามารถออกไปยืนข้างนอกได้ แม้ในห้องจะดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัว แต่ในคืนแรก เวลาประมาณ ตี 1 – 2 คุณแดนก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเปิด-ปิดประตูเสียงดังอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่าอาจเป็นเพราะมีสัมมนาจึงทำให้คนเยอะกว่าปกติ และเดินเข้าออกบ่อย จากนั้นคุณแดนก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูดังมาจากห้องของพี่สาว จึงคิดว่าพี่สาวและบัดดี้คงออกไปเที่ยวกันแน่ ๆ จากนั้นก็หลับต่อจนถึงเช้า เมื่อเจอพี่สาวตอนเช้าก็ได้ถามไปว่า “เมื่อคืนออกไปไหนกันมาหรอ เห็นเปิด-ปิดประตูเสียงดัง” แต่เธอก็ปฏิเสธ จากนั้นก็ถามคุณแดนกลับ เพราะเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องคุณแดนเหมือนกัน คุณแดนตอบปฏิเสธไป เพราะไม่ได้ออกไปไหนจริง ๆ ส่วนห้องของทีมงานอีก 2 คนที่เหลือ เขากลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คุณแดนและพี่สาวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก คืนที่สอง ก็ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเหมือนเดิมคือมีเสียงเปิด-ปิดประตูอยู่แทบจะตลอดเวลา ก่อนหน้านี้คุณแดนก็ได้ไปเช็คกิจกรรมภายในโรงแรม ซึ่งก็มีตารางค่อนข้างเยอะ จึงพอจะเข้าใจได้และทำใจนอน แต่ยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับ คุณแดนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมดังขึ้นมาจากห้องพี่สาว แล้วเสียงนั้นก็ดังมาที่ห้องคุณแดนแทน เป็นเสียงที่เหมือนมีใครพยายามเข้ามาในห้องแต่เปิดประตูไม่ได้ เนื่องจากประตูมีโซ่ล็อคอยู่อีกชั้นหนึ่งจากประตูดิจิทัล สักพักอีกประมาณ 10 นาที ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินลากเท้าเข้ามาในห้อง และมาหยุดที่ปลายเตียงของคุณแดน คุณแดนขนลุกกลัวไปหมดจนไม่กล้าลืมตา และก็รู้สึกว่าเขายืนแบบนั้นอยู่ ประมาณ 5 นาที คุณแดนจึงพูดในใจว่า “ผมกลัวนะ อย่าทำอะไรผม” แล้วเขาก็หายไป..! เช้าของวันถัดมา พี่สาวคุณแดนก็มาสะกิดถามว่า “เมื่อคืนเธอเจออะไรมั้ย” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟัง และเธอก็บอกว่าเจอเหมือนกัน โดยเขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่แสงไฟเล็ดลอดออกมา (พี่สาวเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก่อนนอน) เธอจึงเหลือบตามอง และพบว่าเป็นผู้ชายยืนมองเธออยู่! เพื่อให้แน่ใจจึงรวบรวมความกล้าเปิดไฟหรี่ที่หัวเตียงขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน! เพราะมองไม่เห็นส่วนของใบหน้า เป็นเพียงเงาลาง ๆ ดำ ๆ และยังยืนมองมาอยู่ประมาณ 5 นาที เหมือนกับเวลาที่เขายืนมองคุณแดนด้วยเช่นกัน! คุณแดนกับพี่สาวจึงตัดสินใจว่าจะปลีกตัวออกไปทำบุญ ซึ่งมีบัดดี้ติดรถมาด้วย เมื่อซื้อสังฆทานเสร็จ ก็กำลังจะนำไปทำบุญตามที่ตั้งใจ คุณแดนก็เดินจ้ำไปที่รถ จู่ ๆ ก็มีรถอีกคันมาจอดแนบตรงประตูฝั่งคนขับ ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถได้ คุณลุงเจ้าของรถลงมาเห็นพอดี จึงกล่าวขอโทษและย้ายรถออกให้ จากนั้นคุณแดนก็รีบนำสังฆทานไปยังวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที แต่พอไปถึงปรากฏว่าวัดเงียบมาก คุณแดนวนรถหากุฏิเจ้าอาวาสก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจหาวัดใกล้ ๆ อีกแห่ง พอมาถึง พระที่นั่นกลับไม่รับถวายสังฆทาน โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้เขาจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมไปสอบ” คุณแดนก็คิดในใจว่า “ทำไมอุปสรรคเยอะจัง” สุดท้ายก็ไปอีกวัด และคิดว่าถ้าไม่ได้ถวายสังฆทานในวัดนี้ คืนนี้ก็คงต้องกล้ำกลืนอดทนกันไป แต่ในที่สุดก็สามารถถวายสังฆทานได้เป็นที่เรียบร้อย คืนที่สามนี้ คุณแดนและพี่สาวพยายามดื่มกันหนักมาก เพื่อที่จะได้หลับแบบไม่รู้สึกตัว ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จึงคิดว่าเขาน่าจะได้รับส่วนบุญกุศลที่พึ่งทำไปให้ไปแล้ว แต่พอตกคืนที่สี่คุณแดนและทีมงานทั้งหมดออกไปเที่ยวกลางคืน และกลับมานอนตามปกติ ซึ่งงานสัมมนาและงานประชุมใด ๆ ที่โรงแรมจัดได้หมดไปแล้ว ทำให้บรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างเงียบ และเหตุการณ์เดิม ๆ ก็วนมาอีกครั้ง หนึ่งในผู้ร่วมชะตาหลอนคนใหม่ คือบัดดี้ของพี่สาวนั่นเอง.. ต่อมาในคืนที่ห้า คุณแดนและทีมงานยังคงอยู่ระหว่างการคุยงานเนื่องจากลูกค้าอยากนัดทานข้าวไปด้วย ซึ่งทางลูกค้าก็ถามว่า “นอนพักที่ไหนกัน” พอคุณแดนตอบไป เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า “คนที่นี่เขาไม่นอนที่โรงแรมนั้นกันหรอกนะ” เนื่องจากตึกของโรงแรมมันเคยร้างมา 10 กว่าปี จนได้เจ้าของใหม่มารีโนเวทและเปิดกิจการโรงแรม ซึ่งก็ถูกเทคโอเวอร์ไปเป็นแบรนด์ปัจจุบันนี้ และเล่าต่ออีกว่า เพื่อนของลูกค้าเคยมาพักที่นี่ เป็นห้องและชั้นเดียวกันกับที่คุณแดนพัก แถมยังเจอเหตุการณ์เดียวกันแบบเป๊ะ ๆ อีกด้วย คุณแดนได้ยินก็ตกใจและกลัวมาก จึงดื่มแอลกอฮอล์เพื่อมอมตัวเอง ทำให้กลับมาถึงห้องพักเกือบตี 2 พอออกจากลิฟต์ หางตาก็มองไปสุดทางเดิน ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาคนยืนอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เจอตลอดเกือบทุกคืน ทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายพากันเข้าห้องทันที ระหว่างนั้นสุนัขก็พากันหอนเสียงดังมาจากหลังโรงแรม แต่ความหลอนมันก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะกลางดึกคืนนั้น คุณแดนสะดุ้งตื่นเนื่องจากพี่สาวโทรมาขอให้เปิดประตูห้อง เมื่อไปเปิดก็เห็นพี่สาวและบัดดี้เดินหน้าซีดเข้ามาในห้องพร้อมกับหมอนผ้าห่ม ทั้งสองเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบเดิมเลย แต่บัดดี้ดันเห็นว่าเงานั้นเดินชนเก้าอี้ ทำให้มีเสียงดัง บัดดี้จึงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และพากันหนีมานอนที่ห้องคุณแดนแทน! พอเช้าวันถัดมา คุณแดนได้มอบผ้ายันต์พระเวสสุวรรณให้กับบัดดี้เพื่อนำไปติดในห้อง และขอให้แผนกต้อนรับของโรงแรมแจ้งกับแม่บ้านว่าอย่าขยับเขยื้อนผ้ายันต์เด็ดขาด ซึ่งพอวันใกล้จะกลับกรุงเทพฯ ก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกซ้ำ ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงเคาะมาจากกระจกฝั่งระเบียงห้องคุณแดน 3 ครั้ง! ซึ่งตอนนั้นมีผ้าม่านกั้นไว้อยู่ คุณแดนแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมเปิดผ้าม่าน จนผ่านไปสักพัก เสียงเคาะนั้นก็ดังและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จากก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็น ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ คุณแดนกลัวมาก จึงตัดสินใจเปิดไฟนอน สักพักพี่สาวก็ไลน์มาถามว่า “เค้ามาเคาะกระจกห้องเธอหรือเปล่า” คุณแดนเลยตอบกลับไปว่า “ใช่” จนมาถึงวันสุดท้ายที่กำลังจะกลับ พี่สาวเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ปรากฏว่ามีน้ำอัดลมที่ถูกดื่มไปแล้วประมาณ 1/4 ของขวดถูกแช่อยู่ในตู้เย็น ซึ่งพอสอบถามกันไปมา ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของน้ำอัดลมที่ว่าเลยสักคน จึงสันนิษฐานกันว่า หรือแม่บ้านอาจจะรู้ ว่าในห้องนี้มีอะไรจึงนำน้ำอัดลมมาให้สิ่งนั้น.. และขณะที่กำลังเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก คุณแดนได้ถามพนักงานต้อนรับว่าที่ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า เขาก็ไม่ยอมบอก และถามกลับว่าเจออะไร คุณแดนจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่พนักงานต้อนรับกลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ถามต่อว่า “ทำไมไม่แจ้งตั้งแต่แรก จะได้ย้ายห้องให้” คุณแดนจึงบอกไปว่า “ตอนแรกผมคิดว่าทำบุญให้จะไม่เจออีก แต่ใครจะไปคิดว่าจะเจอเกือบทุกวัน” เมื่อออกจากโรงแรมมาแล้ว คุณแดนและพี่สาวจึงตัดสินใจกลับไปเจอลูกค้าอีกครั้งเพื่อสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้ จนรู้คำตอบว่าตอนที่ตึกมันร้าง วิญญาณตนนั้นอาจจะมาเสียชีวิตตรงเตียงห้องของพี่สาว นั่นเลยทำให้เขากลับมายังที่ตรงนั้นตลอดวนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ซึ่งคุณแดนเองก็คิดว่าที่เขามาบ่อยก็เพราะเขาตายมานานแล้วไม่มีใครทำบุญให้ ทางลูกค้าก็ได้เล่าต่ออีกว่า อย่างน้อยโรงแรมแห่งนี้ยังดีกว่า 5 ดาวอีกแห่งหนึ่ง ตรงนั้นเจอหนักกว่านี้เยอะ เพราะเพื่อนลูกค้าที่เคยไปพัก ถึงขั้นต้องอุ้มลูกวิ่งหนีออกมาจากห้องพักเลย เพราะมีเงาผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินออกมาจากผนังห้อง คุณแดนยังทิ้งท้ายอีกว่า “การที่โรงแรมดาวเยอะ ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เจอเรื่องอะไรแบบนี้เสมอไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1