ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

อังคารคลุมโปง RECAP

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

16 ม.ค. 2024

       เรื่องนี้ ‘หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคุมโปง X’ (9 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘อูน ชนิสรา’ , ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวของหญิงชาวต่างชาติ ตัวเธอ ลูกสาวและพี่สาว ทั้ง 3 คนป่วยหนักเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และได้ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอคนหนึ่ง ในที่สุดหายเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย

       นี่เป็นเรื่องของหญิงต่างชาติประเทศเพื่อนบ้านเรา สมมุติว่าชื่อ ‘คุณเอ’ คุณเอมาหาหมอบี 3 รอบ สองรอบแรกนั้นคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีเรื่องผิดปกติ แต่รอบที่ 3 คุณเอมาพร้อมกับลูกสาวและพี่สาว เธอเล่าให้หมอบีฟังว่า เธอป่วยเป็นมะเร็ง ลูกสาวก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนพี่สาวก็ป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ซึ่งหมอบีเล่าว่าจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่แย่มาก ๆ คุณเอยังเล่าอีกว่า ที่ประเทศของเธอ จะมีแม่หมอคนหนึ่ง เก่งมาก หาตัวจับยากมาก คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว ก็ไปรักษากับแม่หมอคนนั้น จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็หายเป็นปกติ หมอบีฟังก็คิดว่าโอเค

       แต่ครั้งนี้ที่คุณเอมาหาหมอบีก็เพราะว่า คุณเอกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่พบหลังจากไปหาแม่หมอคนนี้นั่นก็คือจะมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับคนที่ไปรักษา หลังจากรักษาจนหายพอกลับมาก็จะมีอาการทางจิต ทั้งเครียด กังวล หลอน ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ไหว จากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตายทุกคน! คุณเอยังจับสังเกตได้อีกว่า ทุกคนที่ผูกคอตายก็ตายเป็นลำดับ ใครเข้าไปหาก่อนก็จะตายก่อน ไล่ตามลำดับมา และรอบที่กำลังจะมาถึง เป็นรอบของพี่สาว ต่อมาเป็นลูกสาว แล้วก็ถึงตาคุณเอ คุณเอรู้สึกเครียด คิดว่าก็ต้องมาถึงคิวคุณเออย่างแน่นอน จึงอยากกลับไปหาแม่หมอคนนั้นอีกครั้ง ด้วยความที่แม่หมอหาตัวยากมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณเอก็สืบค้นจนรู้ว่า แม่หมอคนนี้มาที่ประเทศไทย คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว จึงเดินทางมาตามหาแต่ก็ไม่เจอ คุณเอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ มีคนบอกให้คุณเอไปหาพระ ท่านอายุเยอะ แต่ท่านเก่งมาก อยู่ที่จังหวัดลำปาง พวกเธอก็ไปหา แต่พระท่านก็ได้แค่บอกให้พวกเธอไปหาหมอบี ท่านบอกว่าหมอบีช่วยได้

       ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพวกเธอจึงมาหาและเล่าให้หมอบีฟัง พอเล่าเสร็จก็เปิดรูปให้หมอบีดู รูปเยอะมาก ซึ่งรูปนั้นเป็นรูปของผู้เสียชีวิตตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่รูปที่ผูกคอตาย เป็นรูปที่ถ่ายติดคน บางรูปเป็นจาง ๆ บางรูปเป็นเหมือนนั่งกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มแต่จะมีที่ว่างหนึ่งที่ราวกับมีคนนั่งอยู่ด้วย เป็นแบบนี้ทุกรูป รูปถัดมาเป็นรูปคุณเอกับคุณป้า แต่รูปนี้มีสิ่งผิดปกติ เช่น ถ่ายรูป 2 คน ก็เว้นที่ว่างไว้เหมือนถ่าย 3 คน และรูปที่ถ่ายคนเดียว แต่เว้นที่ว่างเหมือนถ่าย 2 คน เจอแบบนี้ทั้งหมด ทั้งลูกสาวและพี่สาวก็เจอแบบนี้เหมือนกัน แต่ของพี่สาวถึงขั้นไปร้านถ่ายรูป พี่สาวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปนั่งถ่ายที่เป็นสตูดิโอ คนที่ถ่ายรูปก็มาจัดเก้าอี้ให้พี่สาวนั่ง ลูกสาวของพี่สาว 1 คน และก็เอาเก้าอี้อีกตัวมาวางข้าง ๆ พี่สาว พี่สาวจึงถามว่า “เอามาตั้งทำไม?” คนที่ถ่ายรูปก็ตอบว่า “ก็มาอีกคน เป็น 3 คน” พอพี่สาวได้ยินแบบนั้น ก็ตัดสินใจยกเลิกการถ่ายรูปไป

       เรื่องนี้หมอบีสัมผัสไม่ได้ สุดท้ายหมอบีก็พูดให้คุณเอเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ’ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน ที่รักษาหายนั้น แท้จริงแล้วคือ ‘คนที่ถึงเวลาตาย แต่โกงความตายมา’ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่เดิมอยู่ดี ได้แค่ยื้อเวลา พอฟังที่หมอบีพูด คุณเอก็เข้าใจว่า “หนึ่งคือทุกคนป่วยหนักมาก สองพิธีกรรมของแม่หมอคือการเอาชีวิตของอีกคนที่มีชีวิตอยู่ มาแทนชีวิตให้อีกคนที่กำลังจะตาย มันถูกต้องแล้วหรอ คนเราไม่สามารถเปลี่ยนระบบกรรมได้ จุดเริ่มต้นของความตายคือการเกิดไม่ใช่หรอ แล้วเราควรเสียใจกับความตายหรือเสียใจเรื่องการเกิดมากกว่ากัน”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

22 ก.ย. 2023

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! ญาติให้พระอาจารย์มาช่วยดู แต่ไม่ยอมเจอ สุดท้ายแล้วพูดทิ้งท้ายว่า "กูไปละ" จากนั้นก็เสียชีวิตไป!

ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังไปได้ดี แต่หลังรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายแปลกไป เหมือนมี 'ใคร' มาแทนที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถมาติดตามความหลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จากเรื่อง ‘แฝงร่างจนตาย’ โดย ‘คุณเป้’ สายจากรายการอังคารคลุมโปงX (19 กันยายน 2566) ถ้าพร้อมแล้วปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับน้าสาว นามสมมุติ ‘คุณเอ๋’ เมื่อ 10-12 ปี ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสามีของคุณเอ๋เป็นคนเจ้าชู้และมีผู้หญิงเข้าหาเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายคุณเอ๋ก็ได้สามีคนนั้นมาครอบครอง จากการที่คุณเอ๋แย่งมาจากผู้หญิงอื่น ต่อมาไม่นานลูกของคุณเอ๋เริ่มเข้าสู่ช่วงประถมวัย คุณเอ๋อยากมีรายได้เพิ่ม จึงเข้าไปสมัครงานในตัวอำเภอ เมื่อได้งานทำแล้ว ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณเอ๋ทำงานครบ 1 ปี ก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามสวัสดิการของบริษัท ปรากฏว่าหลังจากที่เธอตรวจสุขภาพเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น หมอได้แจ้งกับเธอว่าเธอป่วยเป็นวัณโรค นั่นทำให้คุณเอ๋เกิดความกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปตรวจเช็คอีกรอบในโรงพยาบาลประจำจังหวัด เรื่องสุดช็อคก็ได้เกิดกับเธอหลังจากทางโรงพยาบาลแจ้งกับเธอว่าเธอพบมะเร็งปอด หลังจากที่คุณเอ๋ทราบผลตรวจแล้ว เธอรู้สึกกังวลและเกิดอาการเครียด จากชีวิตการงานและครอบครัวที่กำลังดำเนินไปได้ดีก็หยุดลง จากนั้นเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และกลับมารักษาตัวที่บ้านกับครอบครัว คุณเป้บอกว่า น้าเอ๋มีการรักษาโรคมะเร็งปอดนี้ด้วยยาหม้อ ซึ่งสมัยนั้นมีความเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วจะมีอาการดีขึ้น และทางครอบครัวของคุณเอ๋ก็มีการรักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ แต่ในชนบทเมื่อ 10-12 ปีก่อน มักมีความเชื่อกันว่ามะเร็งจะรักษาไม่ได้ หลังจากคุณเอ๋ตรวจพบโรคมะเร็งปอด สามีของเธอก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยการไปคบหากับผู้หญิงใหม่ แล้วทิ้งคุณเอ๋ให้อยู่กับลูกตามลำพังในช่วงเวลากลางคืน ต่อมาคุณเป้จึงตัดสินใจพาคุณเอ๋มาอยู่ที่บ้านของยายเพื่อจะได้ดูแลใกล้ชิดขึ้น จากอาการของคุณเอ๋ที่ทรุดตัวลง คุณเป้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติว่าจากที่กินอะไรได้น้อย เดินไม่ไหว ก็กลับมากินอะไรได้เยอะมากกว่าปกติและมีพฤติกรรมแปลกจากเดิม ตามปกติแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านแถบนั้นก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของคุณยาย มาถามไถ่อาการและดูอาการของคุณเอ๋ ในคืนหนึ่งเมื่อทุกคนมารวมตัวกันครบ คุณเอ๋ก็พูดว่า “มึงมากันทำไม มาทำอะไรกันมากมาย” คุณเอ๋ด่าทอทุกคนที่อยู่ที่บ้าน มีคนนึงที่มีรอยสักเต็มตัวเข้าใกล้เธอ เธอก็พูดว่า “ไอ้มารหัวขน มึงเข้ามาทำไม กูร้อน กูอึดอัด กูรู้สึกกลัวมึงจังเลย!” นี่คือลักษณะนิสัยที่คุณเป้ไม่เคยเห็นคุณเอ๋เป็นมาก่อน หลังจากคุณเอ๋มีอาการแปลกไป ก็มีการเรียนเชิญหลวงตามาพรมน้ำมนต์ และมีการฟาดไม้หวายลงกับพื้นตามความเชื่อสมัยนั้น แต่หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คุณเอ๋ ก็พูดท้าทายไปว่า “ไอ้พระแก่ ตีกู ดีนะกูโดดหลบทัน ถ้ากูโดดหลบไม่ทันกูเจ็บแน่เลย” หลังจากนั้นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณเอ๋มีอาการทรุดลงทำให้ปวดท้องรุนแรง จนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็กลับฟื้นขึ้นมา แล้วพุ่งตัวไปกอดแม่ของเธอพร้อมกับพูดว่า “แม่ ต่อไปนี้ลูกจะอยู่กับแม่นะ ลูกจะไม่ไปไหนแล้วนะ” ทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวคุณเอ๋ เพราะเธอมีอาการแลบลิ้นปลิ้นตา และขอกินทุกอย่างที่เธออยากจะกิน หลังจากวันนั้นคุณเป้ได้ไปปรึกษากับหลวงพี่ที่เป็นญาติกัน หลวงพี่ได้แนะนำให้โทรไปปรึกษาวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีพระอาจารย์ที่เก่งเรื่องดูว่าคนนี้เป็นคนจริง ๆ หรือมีอะไรแฝงในตัวหรือไม่ พระอาจารย์บอกกับเธอว่าคุณเอ๋มีผีสิงในตัวและกินคนมาเยอะแล้ว และพระอาจารย์ก็ยังบอกกับคุณเป้อีกว่าสิ่งที่เธอขอและกินเข้าไปนั้น ห้ามกินต่อเด็ดขาดให้นำไปทิ้งที่ป่าช้าเท่านั้น ถ้ากินแล้วจะได้รับเคราะห์แทน หลังจากคุณเป้ได้โทรไปปรึกษาพระอาจารย์แล้วนั้น ตากับยายก็ได้เดินทางไปยังวัดดังกล่าว แต่พระอาจารย์ไม่ว่างจึงให้สายสิญจน์และน้ำมนต์มาให้คุณเอ๋ดื่ม ในขณะที่เธอดื่ม เธอบอกว่ามันร้อน จนเธอต้องนั่งเป่าให้เย็น ทุกคนที่เห็นก็งง เพราะน้ำมันก็ไม่ได้ผ่านการต้มมาแต่อย่างใด ผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าในตัวของคุณเอ๋ไม่ใช่คุณเอ๋อีกต่อไป จึงพากันรุมเค้นถามว่าคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเธอเลย จนกระทั่งคุณเอ๋รู้ว่าพระอาจารย์จะมา จึงได้พูดออกมาว่า “กูไปละ” จากนั้นเธอก็เสียชีวิตไป เพื่อให้ทางครอบครัวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ หลังจากจบงานศพของคุณเอ๋ไม่กี่วัน สามีของคุณเอ๋ก็พาผู้หญิงเข้าบ้าน จนคุณเป้และครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจที่สามีของคุณเอ๋ทำเช่นนี้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง สามีของคุณเอ๋ได้ไปรับสัปเหร่อมาทำพิธีสะกดวิญญาณในห้องน้ำ ทำให้ร่างของคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ และต่อมาสามีของคุณเอ๋ก็หนีหายไปกับผู้หญิงใหม่ และคุณเป้ก็ยังได้ฝันหลายครั้งว่าคุณเอ๋ไม่สามารถไปไหนได้ เธออยู่ในห้องน้ำ จนคุณเป้มารู้ทีหลังว่าสามีของน้าสาวและสัปเหร่อได้สะกดวิญญาณของเธอไว้ในชักโครกห้องน้ำ ซึ่งมีรูปและมีดอยู่ในชักโครก นั่นทำให้คุณเป้รู้สึกสงสารคุณเอ๋เป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้นคุณเอ๋ก็ได้กลับมาเข้าฝันอีกครั้ง และได้บอกเธอว่าใครที่แฝงในร่างของเธอ ในฝันเธอบอกว่ามีบ้านเยื้องไปไม่กี่หลัง จะเป็นบ้านของหมอธรรมที่ภรรยาของเขาเป็นผีปอบและได้เสียชีวิตไป ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งก็ตรงกับช่วงที่เธอดวงตกจนทำให้วิญญาณผีตนนั้นมาแฝงในตัวของคุณเอ๋นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

มีปัญหากับเพื่อนบ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ! สุดท้ายยอมลดอีโก้มอบของขวัญขอคืนดี แต่เรื่องไม่จบ! เพราะของขวัญมันมี....ติดมาด้วย!!

26 ม.ค. 2024

มีปัญหากับเพื่อนบ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ! สุดท้ายยอมลดอีโก้มอบของขวัญขอคืนดี แต่เรื่องไม่จบ! เพราะของขวัญมันมี....ติดมาด้วย!!

เมื่อเพื่อนบ้านล้ำเส้นจนเกิดปากเสียงทำให้ต้องผิดใจ แต่หลังจากนั้นเพื่อนบ้านก็ให้ของขวัญ 1 ชิ้นแทนคำขอโทษ รับมาโดยที่ไม่รู้ว่าของขวัญชิ้นนี้มาพร้อมกับความหลอน สุดท้ายรู้ความจริงถึงกับช็อค เพราะเขาจะเอาให้ถึงตาย! เรื่องนี้ ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ของฝากจากเพื่อนบ้าน’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโต้ง’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้ครูตรีได้ฟัง คุณโต้งเล่าว่า ตนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวแต่มีรั้วบ้านติดกัน คุณโต้งซื้อบ้านหลังนี้เพื่อต้องการให้ครอบครัวมีความสุขที่สุด และได้จ้างคนมาจัดสวนที่บ้านเพื่อความสวยงาม ทางเพื่อนบ้านก็จัดสวนเหมือนกัน แต่สวนของเพื่อนบ้านนั้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ และกิ่งไม้ก็เริ่มยื่นเข้ามาในตัวบ้านของคุณโต้ง (ด้านบนคือต้นไม้ของเพื่อนบ้าน ส่วนด้านล่างคือสวนของคุณโต้ง) ใบไม้ก็ร่วงลงมาที่สวนที่จัดไว้ และในสวนมีบ่อน้ำ ใบไม้ก็ร่วงลงมาตลอด คุณโต้งบอกว่าฤดูหนาวจะยิ่งเจอปัญหาหนัก เพราะใบไม้ผลัดใบก็ร่วงลงมาเต็มไปหมด คุณโต้งเคยพยายามไปเจรจากับเพื่อนบ้านแล้วว่า จะขอตัดกิ่งที่ยื่นเข้ามาได้หรือไม่ คำตอบที่ได้มาคือ ถ้าตัดมันจากพุ่มสวย ๆ มันก็จะกลายเป็นเบี้ยว และเพื่อนบ้านก็ไม่สนใจ กลายเป็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น คุณโต้งจึงให้ช่างเอาเลื่อยไฟฟ้าตัดกิ่งที่ยื่นเข้ามาบ้านของตัวเอง เมื่อตัดเสร็จก็ให้ช่างโยนกลับไปที่บ้านหลังนั้น เมื่อเพื่อนบ้านกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นสภาพต้นไม้ของตัวเองกองอยู่เต็มพื้น จึงมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน คุณโต้งก็บอกไปตรง ๆ ว่า “เฮ้ย! ก็ไม้บ้านคุณมันยื่นมา บอกหลายหนแล้วว่าให้ตัด ก็ไม่ตัด” หลังจากนั้นก็เกิดปากเสียงถึงขั้นชกต่อยกันหน้าบ้าน จนมีคนมาห้ามแล้วก็แยกย้ายกัน นั่นคือเหตุการณ์ของเดือนพฤศจิกายน ในเวลาต่อมาช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คนในหมู่บ้านนี้ค่อนข้างมีฐานะ ต่างคนต่างเป็นเจ้าของบริษัท คุณโต้งและภรรยาก็มีบริษัทเป็นของตัวเอง และทั้ง 2 คนจะมีลูกค้านำกระเช้าและของขวัญมาให้ คุณโต้งและภรรยาก็รับไว้แล้วนำไปเก็บไว้ที่บริษัท จนกระทั่งช่วงปีใหม่ คุณโต้งกับภรรยาและลูกได้ไปเที่ยว หลังจากเที่ยวเสร็จก็กลับบ้าน สิ่งที่คุณโต้งตกใจคือ เพื่อนบ้านตัดต้นไม้จนเหลือพุ่มเตี้ย ๆ และไม่ยื่นเข้ามาในบ้านของตนเลย ต่อให้ใบไม้ร่วงก็จะร่วงอยู่ในสวนของเพื่อนบ้านเท่านั้น คุณโต้งรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากนั้นไม่นาน คุณโต้งก็ขนกระเช้าของขวัญต่าง ๆ กลับมาจากบริษัทแล้วนำมาไว้ที่ห้องรับแขก ส่วนภรรยาก็นำของขวัญที่ได้มาไปเก็บที่ห้องรับแขกด้วยเพราะค่อนข้างเยอะ ทุกอย่างวางกองกันไว้ในห้องนั้น วันหนึ่ง คุณโต้งต้องรีบไปทำธุระ แต่เจอสิ่งที่ช็อคหนักกว่าเดิมคือ เมื่อเปิดประตูรั้วออกไป ก็เจอเพื่อนบ้านถือกล่องของขวัญมากล่องหนึ่ง ซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่แล้วก็บอกว่า “มาขอโทษในสิ่งที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว เรามาตั้งต้นดีกันใหม่ทั้งหมดเลยได้ไหม?” ด้วยความที่คุณโต้งต้องรีบไปทำงานเลยตัดสินใจพูดไปว่า “ขอบคุณครับ” และนำเข้าบ้านไปวางรวมกับของขวัญที่อยู่ในห้องรับแขกทั้งหมด แต่ระหว่างที่เดินถือไปนั้น ก็สังเกตว่ากล่องของขวัญนี้ห่อด้วยกระดาษของห้างดังห้างหนึ่ง ซึ่งกระดาษสามารถซื้อกลับมาห่อเองได้ และฝีมือการห่อของขวัญน่าจะเป็นการห่อเอง เพราะไม่ได้ละเอียดเหมือนกับที่ซื้อมาแล้วให้ทางห้างห่อให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะต้องรีบออกไปทำธุระ ระหว่างวันนั้นทั้งวัน คุณโต้งก็ไม่มีสมาธิเพราะในใจคิดอย่างเดียวว่า ‘เพื่อนบ้านเอาอะไรมาให้’ เมื่อกลับมาที่บ้าน ปรากฏว่าของในห้องรับแขกไม่มีแล้ว เพราะภรรยาของคุณโต้งให้แม่บ้านขนของไปไว้อีกห้องหนึ่ง คุณโต้งจึงเดินไปที่ห้องเก็บของ ก็เจอกับของที่เพื่อนบ้านเอามาให้ หลังจากนั้นก็แกะกล่องออกมาดู ก็พบว่าเป็นตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งซึ่งน่ารักมาก ตอนแรกคุณโต้งคิดว่าจะเอาให้ลูกเล่น แต่เมื่อคิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาจึงเกิดความระแวง คุณโต้งจึงโยนตุ๊กตาหมีทิ้งไว้ในห้องและปิดห้องไว้ แล้วก็กลับเข้าห้องของตัวเอง เช้าวันต่อมา คุณโต้งเดินเข้าไปในห้องเพื่อสำรวจตุ๊กตาว่าตุ๊กตาตัวนี้มีอะไรแปลกไปหรือไม่ จากการสำรวจ ผลออกมาว่าทุกอย่างปกติ จึงคิดว่าเพื่อนบ้านคงสำนึกได้จริง ๆ และคงอยากคืนดีด้วย จึงตัดสินใจว่าวันนี้จะแวะซื้อของขอบคุณเพื่อนบ้าน จะได้ปิดศึกที่มีมายาวนาน จากนั้นก็นำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางประดับไว้ที่ห้องรับแขกและออกไปทำงาน เมื่อกลับมาพี่เลี้ยงบอกว่า “คุณโต้งคะ น้องร้องไห้ทั้งวันเลย เอาไม่อยู่เลยค่ะ” คุณโต้งจึงเข้าไปคุยกับลูกว่า “หนูเป็นอะไร?” ลูกก็ตอบว่า “ผี ๆ ผีมา ผีมา” คุณโต้งคิดว่าไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน หรืออาจจะเกี่ยวกับตุ๊กตา คุณโต้งพยายามพลิกดูตุ๊กตาแต่ก็ไม่มีอะไร จากนั้นก็นำตุ๊กตาไปเก็บไว้อีกห้องหนึ่งแล้วปิดประตู คืนนั้น คุณโต้งนอนหลับ แล้วรู้สึกร้อน กระสับกระส่าย หายใจไม่ออก จึงลืมตาเพื่อจะไปปรับแอร์ แต่สิ่งที่คุณโต้งเห็นคือ มีผู้ชายคนหนึ่ง หน้าเต็มไปด้วยเลือด ก้มหน้าจ้องเขาอยู่ สภาพดูโกรธและอาฆาตแค้น! คุณโต้งรู้สึกช็อคเพราะหน้าจะประสานกันแล้ว คุณโต้งร้องโวยวายเสียงดังจนภรรยาตื่น พอลุกไปเปิดไฟก็พบว่าไม่มีอะไร คุณโต้งคิดว่าตนอาจจะฝันไป เช้าวันถัดมา คุณโต้งนั่งคุยกับภรรยาที่ห้องรับแขกและเล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้ฟัง ขณะที่คุยกันอยู่นั้น ในห้องรับแขกจะมีจุดหนึ่งที่เป็นกล้องวงจรปิดและก็มีจอมอนิเตอร์อยู่ คุณโต้งก็เห็นเหมือนเงาดำ ๆ เงาหนึ่งเดินไป-มาในห้องเก็บของ! คุณโต้งก็ฉุกคิดขึ้นว่า ‘เฮ้ย! หรือว่าเกี่ยววะ’ แต่ตอนนั้นคุณโต้งยังไม่มั่นใจจึงปล่อยผ่านไป คืนนั้นคุณโต้งนอนหลับและรู้สึกหนักกว่าเดิม เหมือนมีอะไรมาทับที่ตัว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เจอผู้ชายคนเดิมกำลังเอามือกดเขาอยู่ และแนบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยสภาพหน้าซีด ตาโบ๋ เลือดเต็มตัว แล้วพยายามจะขยี้! คุณโต้งก็ร้องโวยวายจนภรรยาตื่น ลุกไปเปิดไฟขึ้นมาดูก็ไม่เจออะไรเหมือนเดิม แต่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต้องเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณโต้งจัดการเผาตุ๊กตาตัวนี้เพื่อที่เรื่องจะได้จบ เมื่อเผาเสร็จ ก็ชวนภรรยาไปทำธุระข้างนอก หลังจากเสร็จธุระก็กลับบ้าน ด้วยความที่สบายใจว่าทุกอย่างจบแล้ว คืนนั้นก็เจอผู้ชายคนเดิมแต่หนักขึ้น เพราะเขาเลื่อนมาตรงหน้าอก พยายามขยี้! คุณโต้งก็ดิ้น และนานมากกว่าภรรยาจะตื่นมาเปิดไฟ เมื่อตื่นมาคุณโต้งก็คิดว่าทำไมเรื่องยังไม่จบ ทั้ง ๆ ที่เผาไปแล้ว เช้าวันถัดมาจึงคุยกับภรรยาว่า “ไปปรึกษาหลวงพ่อที่เรารู้จักไหม” ซึ่งเป็นวัดในจังหวัดอยุธยา จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่วัดแห่งนั้น เมื่อไปถึงหลวงพ่อก็ขอดูดวงชะตา หลังจากที่ดูเสร็จ หลวงพ่อก็พูดว่า “มีของตามตัวเรามา แล้วของนี้ต้องการจะทำให้เราถึงตาย” คุณโต้งก็บอกว่า “ผมเจอแล้วหลวงพ่อ แต่ผมเผาไปแล้ว” หลวงพ่อก็บอกว่า “วิธีแก้คือวิธีนั้นแหละ ต้องเผาและบังสกุล คือทำบุญอุทิศให้เขาไป เขาจะได้ไป” คุณโต้งก็บอกว่า “ถ้างั้นหลวงพ่อ ผมเผาไปเรียบร้อย ทำแค่พิธีบังสกุลให้ก็พอ” หลวงพ่อก็มองและพูดต่อว่า “มันไม่ใช่ มันไม่จบ เพราะว่าที่เผาไปมันไม่ใช่ต้นเหตุ ต้องหาสาเหตุให้เจอเพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเขาอาฆาตรุนแรงมาก ต้องหาให้เจอว่าต้นเหตุคืออะไร?” หลังจากนั้นคุณโต้งก็กลับมาคุยกับภรรยาที่ห้องรับแขก ทุกอย่างเริ่มตันเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ตาก็เหลือบไปเห็นที่เดิมตรงจอมอนิเตอร์ ก็เห็นเงาที่ห้องนั้นเหมือนเดิมจึงคิดว่าต้องเป็นห้องนั้นแน่ ๆ คุณโต้งเข้าไปรื้อของในห้อง สิ่งที่เจอคือ กล่องของขวัญของเพื่อนบ้าน ที่ตอนแรกคุณโต้งแกะไปแล้ว เมื่อหยิบขึ้นมา ภรรยาก็นึกขึ้นได้ทันที เพราะตอนวันปีใหม่ภรรยาได้ของที่จับฉลากแบบเดียวกันมาจากห้างเดียวกัน แต่อันนั้นห่อดีกว่า ปรากฏว่าที่คุณโต้งแกะตอนแรกคือของภรรยา แต่ของเพื่อนบ้านยังอยู่ในห้องนั้น! หลังจากแกะออกมา ของที่อยู่ข้างในคือกล่องเครื่องประดับ แต่ไม่สามารถเปิดได้ คล้าย ๆ เป็นโมเดลเพื่อตั้งโชว์อย่างเดียว ด้วยความที่ไม่รู้ คุณโต้งจึงนำกล่องนี้กลับไปหาหลวงพ่อ แล้วบอกว่า “หลวงพ่อครับ ที่ผมเจอคืออันนี้ หลวงพ่อว่ามันใช่ไหม” หลวงพ่อดูเสร็จจึงบอกว่า “ใช่ และตรงนี้มันมีที่เปิด ยังไงก็ทุบ” แต่หลวงพ่อพูดก่อนว่า “ธรรมดาคุณไสยที่มันผูกจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน มันต้องมีสื่อ ถ้ามีเศษกระดูกหรือเถ้ากระดูกของผีตายโหง มันจะต้องมีของโยมด้วย ดังนั้นมันต้องมีสื่อจากโยมและสื่อของโยมคืออะไร เพื่อนบ้านเขาทำยังไงถึงได้” เรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลง หลังจากที่ให้เด็กวัดกับสัปเหร่อนำเหล็กมาตอกเพื่อเปิดออก สิ่งที่เจอคือ ท่อนกระดูกสีขาว เหมือนกระดูกที่เผาแล้ว แต่สิ่งที่มัดด้วยคือ ผมกระจุกหนึ่ง แล้วคุณโต้งก็จำได้ทันทีว่าเป็นผมของเขาเอง ซึ่งเพื่อนบ้านเอาไปตั้งแต่ตอนชกต่อยกัน เขาวางแผนทั้งหมดไว้ตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยจงใจจิกหัว และกระตุกผมไปเพื่อนำไปทำสิ่งนี้ หลวงพ่อจึงจัดการทำพิธีคลายและเผาทุกอย่างเรียบร้อย คุณโต้งบอกว่า “หลังจากนี้ มันจะเป็นยังไงต่อหลวงพ่อ เราจะต้องทำอะไรกักอะไรเขาไหม” หลวงพ่อบอกว่า “ไม่ต้อง เพราะสิ่งนี้ดวงวิญญาณเขาถูกกักมาเพื่อนำมาทำร้ายโยม เมื่อมันคลายสะกดทุกอย่าง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคนนั้น เพราะเขาเป็นคนบังคับดวงวิญญาณนี้มา” หลังจากนั้นสิ่งที่คุณโต้งรู้คือไม่นานเพื่อนข้างบ้านของคุณโต้งก็ย้ายออกไปจากหมู่บ้านแห่งนั้นโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

17 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้นหลังจากได้หุ่นกระบอกเก่า ๆ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเพียงของสะสม กลับพาเขาไปพบกับความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งเสียงแปลก ๆ และสัมผัสที่เย็นราวกับมือคนจริง ๆ แล้วหุ่นกระบอกนี้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่? ฟังเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณอาจจะไม่มองหุ่นกระบอกแบบเดิมอีกเลย! ‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าว่าโดยพื้นเพของตัวเองนั้นเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งสถานที่นี้ ในอดีต มีคณะหุ่นกระบอกอยู่หลายคณะที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง โดยส่วนตัวคุณต๊ะเป็นคนที่ชอบของเก่าหรือของโบราณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีความคิดว่าอยากได้หุ่นกระบอกมาเก็บไว้สักหนึ่งชิ้น เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูก-รุ่นหลานไว้ดูว่าหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นอย่างไร คุณต๊ะจึงเริ่มค้นหาข้อมูลและตามหาผู้ที่ยังเก็บรักษาหุ่นกระบอกไว้ จนกระทั่งได้พบกับเพจหนึ่งซึ่งมีคุณลุงท่านหนึ่งเป็นเจ้าของ คุณต๊ะจึงส่งข้อความไปติดต่อ แต่ไม่ว่าจะพยายามติดต่อไปกี่ครั้ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากคุณลุงคนนั้น สุดท้าย คุณต๊ะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา หลังจากที่คุยกันคุณลุงก็บอกว่า ‘ยังมีหุ่นอยู่นะ ตามที่ลงไว้ เพราะเขาเป็นคนที่เก็บอย่างเดียว ไม่ได้มีความคิดที่จะขาย’ ด้วยความที่คุณต๊ะ ถูกชะตากับหุ่นกระบอกที่คุณลุงมีอยู่ จึงบอกคุณลุงไปว่า “คุณลุงครับ ขอร้องได้ไหมคือผมอยากจะเอากลับมาไว้ที่อัมพวาจริง ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าถูกชะตาและอยากเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์สักหนึ่งตัว” หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก คุณลุงก็เริ่มใจอ่อนยอมให้ แต่มีข้อแม้ว่า “จะต้องมารับด้วยตัวเองนะ จะไม่ส่งไปรษณีย์เด็ดขาด ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น” ตัวเหตุบังเอิญ บ้านของคุณลุงกับที่ทำงานของคุณต๊ะ อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งบ้านของคุณลุงนั้นอยู่ในสวนทางฝั่งนนทบุรี หลังจากที่คุณต๊ะไปถึงบ้านของคุณลุง ซึ่งโครงสร้างบ้านของคุณลุงเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ห้องแรกที่คุณต๊ะก้าวเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะการตกแต่งเป็นแบบสมัยรัชกาลที่ 5 พอคุณต๊ะมองเข้าไปจนสุดกำแพง จะเห็นเป็นตู้บานหนึ่งที่วางอยู่ พร้อมกับหุ่นที่คุณลุงได้โพสต์ไว้ในเพจตั้งอยู่สามตัว แวบแรกที่คุณต๊ะเห็น ‘หุ่นตัวกลางยิ้มให้’ ตั้งแต่คุณต๊ะเดินเข้ามา และคุณลุงก็ได้พูดขึ้นมาว่า “หนุ่มนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้” หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นั่งรอคุณลุงอยู่ โดยหันด้านข้างให้กับหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ระหว่างนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นขณะรอคุณลุงกลับมา สักพักหนึ่ง คุณต๊ะรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจ้องอยู่ จึงหันหน้าไปมอง สิ่งที่คุณต๊ะเห็นก็คือ ‘หุ่นตัวกลางหันหัว มามองหน้าตัวเองพอดี’ ในตอนแรกที่คุณต๊ะเดินเข้ามาในบ้าน ใบหน้าของหุ่นหันตรงออกมาทางหน้าประตูบ้าน แต่ในตอนนี้หุ่นตัวนั้นกำลังจ้องหน้าคุณต๊ะที่นั่งทางด้านข้างของหุ่นอยู่! พอคุณลุงเดินกลับมาพร้อมน้ำที่เตรียมมาให้ และพูดว่า “เลือกเอาเลยสามตัวนี้ ชอบตัวไหน เอาตัวนั้น” ซึ่งตัวคุณต๊ะเองก็ได้เล็งเอาไว้แล้วว่าจะเอาตัวที่ยิ้มให้กับตัวเอง หลังจากที่เดินไปดู คุณลุงก็พูดขึ้นมาว่า “ลองยกลองจับดูก็ได้ อันไหนที่ชอบก็เอาไปนะ” คุณต๊ะก็ได้ลองยก ลองจับดู ปรากฏว่าหุ่นตัวแรกที่อยู่ริมสุด คุณต๊ะสามารถยกขึ้นมาดูได้แบบสบาย ๆ ส่วนหุ่นอีกฝั่งก็ยกได้ง่ายเช่นกัน แต่พอคุณต๊ะยกหุ่นตัวที่อยู่ตรงกลาง คุณต๊ะรู้สึกเหมือน พยายามยกคนจริง ๆ คือน้ำหนักของหุ่นมันหน่วงมือจนไม่สามารถที่จะยกขึ้นได้ คุณต๊ะเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงยกไม่ขึ้น จึงก้มตัวลงไปดูเผื่อมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร คุณต๊ะจึงอธิษฐานในใจว่า ‘ถ้าอยากจะไปอยู่กับเราที่อัมพวา เราขออนุญาตยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง’ จากนั้นคุณต๊ะก็ลองยกหุ่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำหนักของหุ่นเบาเหมือนกับทั้งสองตัวก่อนหน้านี้ นั่นคือครั้งแรกที่คุณต๊ะรู้สึกว่าหุ่นตัวนี้ไม่ใช่หุ่นธรรมดา.. คุณต๊ะจึงบอกกับคุณลุงไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมเอาตัวนี้แล้วกันครับคุณลุง” คุณลุงตอบกลับทันทีว่า “ลุงคิดอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะอยากไปอยู่กับคุณ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณต๊ะก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที ‘จะเอาดีไหม?’ เขาคิดในใจว่าหุ่นกระบอกตัวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วย หลังจากตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วยแล้ว คุณลุงก็เดินมาส่งคุณต๊ะที่หน้าบ้าน ก่อนจะยื่นหุ่นให้เขา ทันทีที่มือของหุ่นสัมผัสตัวคุณต๊ะ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นราวกับเป็นมือของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสของหุ่นไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนไม้ธรรมดา หากแต่นุ่มคล้ายมือของมนุษย์จริง ๆ หลังจากคุณต๊ะนำหุ่นกระบอกขึ้นรถโดยวางหุ่นไว้ที่เบาะด้านหลัง เขาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับอัมพวา โดยใช้เส้นทางถนนพระราม 2 ระหว่างทาง คุณต๊ะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง พนักงานก็สอบถามตามปกติ ซึ่งคุณต๊ะก็ตอบกลับไป พนักงานพยักหน้าและยิ้มให้เขา แต่สิ่งที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลกคือ พนักงานคนนั้นหันไปมองที่เบาะหลังของรถ ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง ราวกับกำลังยิ้มให้กับบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว บริเวณนั้นมีเพียงหุ่นกระบอกเท่านั้น หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ คุณต๊ะจ่ายเงินตามปกติ ขณะที่พนักงานรับเงินก็กล่าวขอบคุณตามมารยาท ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลก พนักงานไม่ได้ขอบคุณแค่เขาเพียงคนเดียว แต่กลับชะโงกหน้าไปทางเบาะหลัง ราวกับกำลังกล่าวขอบคุณใครอีกคนที่อยู่ตรงนั้น คุณต๊ะไม่ได้คิดอะไรและขับรถต่อไปตามปกติ เมื่อถึงถนนแม่กลอง เขาต้องขับเข้ามายังสวนที่บ้าน ซึ่งต้องผ่านวงเวียนและสะพานสูง ก่อนที่จะเข้าสวนจริง ๆ ถนนจะเป็นทางสองเลนสวนกันและค่อนข้างมืด ระหว่างทางจู่ ๆ รถที่ตามหลังและรถที่สวนทางมาก็เริ่มกระพริบไฟและบีบแตรใส่เขาตลอดทาง โดยที่คุณต๊ะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของรถตัวเองเอง รู้สึกแค่เพียงว่าเวลาที่เหยียบคันเร่ง รถกลับไม่ค่อยไปเหมือนมันหนักกว่าหนึ่งคนนั่ง ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน คุณต๊ะต้องผ่านฝูงหมาที่มักจะวิ่งไล่รถของเขาเป็นประจำ แต่ในวันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ปกติ ฝูงหมาไม่เพียงแค่วิ่งไล่รถเขาเท่านั้น แต่ยังเห่าไล่ตามหลังมาด้วย การเห่านั้นเหมือนกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง เมื่อถึงบ้าน คุณต๊ะรู้สึกลังเลที่จะนำหุ่นกระบอกขึ้นไปบนบ้าน เพราะกลัวว่าคนในบ้านอาจจะตกใจหรือกลัว เนื่องจากหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นนางรำ ซึ่งอาจทำให้ดูน่ากลัว จึงตัดสินใจว่าจะรอจนถึงตอนเช้ามืด แล้วค่อยใส่หุ่นลงในกล่องก่อนที่จะนำขึ้นไปบนบ้านจากนั้น เขาก็เข้าไปในบ้านและเข้านอนตามปกติ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต๊ะรีบนำกล่องลงมาเพื่อใส่หุ่นกระบอก แต่ยังไม่ทันได้เปิดรถ จู่ ๆ คุณป้าข้างบ้านที่กำลังรอใส่บาตรก็พูดถามขึ้นมาว่า “ที่โรงเรียนลูก มีงานโรงเรียนเหรอ เห็นซ้อมรำตั้งแต่เช้ามืดแล้ว” ณ ตอนนั้น คุณต๊ะไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับกลับไป จากนั้นจึงรีบนำกล่องมาเตรียมเก็บหุ่นกระบอก ขณะที่เปิดรถ กลับได้กลิ่นน้ำอบและน้ำหอมฟุ้งกระจายอบอวลไปทั่วทั้งรถ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังไม่มีกลิ่นอะไรเลย คุณต๊ะพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่คุณลุงใช้ไหว้ ซึ่งอาจติดมากับหุ่นกระบอก แต่ทันทีที่ยกหุ่นออกจากรถ กลิ่นเหล่านั้นกลับจางหายไป หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นำหุ่นกระบอกไปวางที่ห้อง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่แฟนของคุณต๊ะนั่งทำงานอยู่ด้านนอก แต่จู่ ๆ เขาก็เรียกขึ้นมา “ออกมานี่สิ มานี่ ๆ” ตุณต๊ะตกใจและคิดในใจว่าหรือว่าเขารู้ว่าเราเอาของแปลก ๆ เข้าบ้านแต่พอมาถึงแฟนคุณต๊ะก็พูดต่อว่า “เมื่อกี้นี้ประตูห้องเก็บของมันเปิดออก แล้วมีชายผ้าไทย แวบเข้าไปในห้อง เข้าไปดูหน่อย” คุณต๊ะเปิดห้องเก็บของแล้วก้าวเข้าไปดู ปรากฏว่าหุ่นกระบอกยังคงอยู่ในกล่องตามเดิม ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เขาจึงคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ก่อนจะปิดห้อง เขาก็ยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้ามีอะไรหรืออยากจะบอกอะไร ให้มาบอกกับเราโดยตรง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าทำให้คนในบ้านกลัว จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หลังจากนั้นหนึ่งวัน คุณต๊ะฝันแปลกไปจากปกติ ในความฝัน เขาเห็นนางรำคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะชี้มาทางเขาแล้วพูดว่า “ข้าชื่อม่านแก้ว” จากนั้น นางรำก็จูงมือเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านทรงไทย ข้างหน้ามีคณะละครกำลังแสดงอยู่ เสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอไปกับการแสดง นางรำพาเขาไปนั่งชมละคร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขากลับรู้สึกเหมือนตกจากม้านั่ง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที ด้วยความสงสัยว่าชื่อ ‘ม่านแก้ว’ ที่ได้ยินในฝัน อาจเป็นชื่อของคณะละครหรือไม่ คุณต๊ะจึงลองค้นหาข้อมูล ปรากฏว่าเขาพบเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ลาวม่านแก้ว’ ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองเปิดฟัง และทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้น คุณต๊ะก็ต้องตกตะลึง เพราะทำนองของเพลงนั้นกลับเหมือนกับเสียงดนตรีที่เขาได้ยินในฝันทุกอย่าง เมื่อรู้แล้วว่านางรำในฝันชื่อม่านแก้ว คุณต๊ะก็ยังคงสงสัยว่าเธอมีความเป็นมาอย่างไร เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคุณลุง เพื่อขอให้ช่วยเล่าประวัติของหุ่นกระบอกตัวนี้ให้ฟัง คุณลุงกลับตอบมาว่า ‘หุ่นกระบอกนี้มีคุณป้าท่านหนึ่งเอามาขาย ซึ่งก็คือหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่อยู่บ้านของคุณลุง ตัวคุณป้าท่านนี้เป็นคนในคณะละครหุ่นกระบอกเก่าทางอัมพวา’ คุณต๊ะจึงถามต่อว่า “มันมีอะไรหรือเปล่าครับ ในหุ่นกระบอก” คุณลุงก็ตอบกลับมาว่า “เสื้อผ้าของหุ่น ทำจากเสื้อผ้าของนางรำที่เสียชีวิตแล้ว” ในอดีต การสร้างหุ่นกระบอกมีความเชื่อว่า หากหุ่นมีชีวิตหรือมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน จะทำให้การแสดงสมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำชุดของนางรำที่เสียชีวิตแล้วมาใช้กับหุ่นกระบอก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณลุง คุณต๊ะคิดว่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงตัดสินใจสอบถามครูอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านหุ่นกระบอกเกี่ยวกับกระบวนการสร้างหุ่นกระบอกดังกล่าว ครูท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน นอกจากจะใช้ผ้าของนางรำจริง ๆ มาทำชุดให้หุ่นกระบอกแล้ว ยังมีวัตถุบางอย่างที่เป็นของนางรำที่เสียชีวิตแล้วถูกบรรจุไว้ภายในหุ่น ลองเปิดดูสิว่ามีหรือไม่” คุณต๊ะจึงทำตามคำแนะนำของครูท่านนั้น เขาลองตรวจดูหุ่นกระบอกอย่างละเอียด จนสังเกตเห็นว่าบริเวณศีรษะของหุ่นมีรูซึ่งใช้สำหรับปักเข้ากับไม้แกนของหุ่น เมื่อลองเปิดดูภายใน เขาก็ว่ามีเส้นผมและชิ้นส่วนกระดูกบางอย่าง ถูกห่อด้วยผ้าขาวอัดแน่นอยู่ข้างใน หลังจากนั้น คุณต๊ะจึงนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทำพิธีตามความตั้งใจที่ว่า อยากปลดปล่อยจิตวิญญาณของนางรำ เขาทำบุญให้และกล่าวกับหุ่นกระบอกว่า ‘ถ้าถึงเวลาแล้ว ก็ขอให้เขาไปแต่ถ้ายังไม่ไปก็อยู่กับเรา เเต่ว่าอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อย่าแสดงตัวให้ใครเห็น’ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่มันรุนแรงมาก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เล็ก ๆ อย่าง เสียงหรือเงาที่แวบไปมาอยู่บ้าง จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณต๊ะได้นำหุ่นกระบอกนี้ไปถ่ายรายหนึ่ง มีน้องท่านหนึ่งที่คุณต๊ะไม่รู้จัก น้องท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา นั่งดูรายการตามปกติ แต่ก็หันไปพูดกับแฟนเขาว่า “เนี่ยไม่จริงหรอก เหมือนเอาหุ่นมาโม้ เพราะความจริงมันไม่มีผีหรอก” ในคืนนั้น น้องคนนั้นฝันว่า เขากำลังนั่งอยู่บนรถกับคุณต๊ะ โดยนั่งที่เบาะหน้า ขณะที่ด้านหลังเบาะมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนางรำสีขาวนั่งอยู่ เธอหันมามองและพูดขึ้นว่า “ทีนี้เชื่อหรือยัง” วันรุ่งขึ้น น้องคนนั้นขับรถจากอยุธยา มาถึงบ้านของคุณต๊ะและนำโรตีสายไหมมาให้ถึงหนึ่งร้อยชุด พร้อมกับพูดกับคุณต๊ะว่า “ให้นำโรตีสายไหมนี้ ห่อแล้วก็ให้พี่เขาด้วย” เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือขอขมาอย่างไร น้องคนนั้นจึงเพียงบอกว่า “เดี๋ยวผมซื้อขนมไปให้” หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา โรตีสายไหมก็ถูกส่งมาให้คุณต๊ะทุกสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยชุดจากนั้นพี่ม่านแก้วก็กลายเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์ที่คอยให้พรมาเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

28 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

(Trigger Warning อาจมีเนื้อหาที่แสดงถึงพฤติกรรมรุนแรงทางเพศ เกี่ยวข้องกับศพ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึก) ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เตียงนอนตาย’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณตั้นเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณอัญญะ’ เรื่องเริ่มต้นที่โรงพยาบาลที่คุณอัญญะทำงานอยู่ ที่แห่งนี้จะมีเตียงหนึ่งที่เป็นตำนาน ใน 4 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 48 ศพ เป็นตำนานที่ลือกันว่าผู้ป่วยคนไหนก็ตามที่มานอนเตียงนี้จะไม่รอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มจากมีเวรเปลอยู่ 2 คน ที่จ้างมาทำงานใหม่ชื่อ ‘เสก’ กับ ‘อเนก’ ซึ่งตัวเสกเป็นคนไม่กลัวผี หน้าที่ของเสกคือการเข็นคนไปส่งตามที่ต่าง ๆ แต่อเนกเป็นคนกลัวผี จึงขอทำหน้าที่เป็นเคสย้ายผู้ป่วยไปตามห้องต่าง ๆ วันหนึ่ง อเนกเลิกงานและกำลังรอเสกที่เป็นเพื่อนสนิทเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งดื่มกาแฟรอ ก็มีคนโหวกเหวกโวยวายว่ามีอุบัติเหตุเคสใหญ่เกิดขึ้น เสกจึงรีบไปบอกอเนกว่าต้องไปช่วย ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นคือมีรถพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยชนเข้ากับรถของชาวบ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเกิน 10 ราย ผู้ป่วยที่อยู่บนรถพยาบาลก็เสียชีวิต พยาบาลก็ได้รับบาดเจ็บ แต่รถชาวบ้านมีผู้เสียชีวิตหลายราย เสกก็ไปช่วยที่ห้องฉุกเฉินอย่างที่เคยทำ แต่อเนกที่ไม่เคยทำก็ไปหลบยืนอยู่ที่มุมห้อง หลบคนนู้นทีคนนี้ทีจนไปชนเตียงข้างหลัง คนอื่นเริ่มเห็นว่าอเนกเกะกะ เสกจึงบอกให้อเนกไปเอาใบส่งตัว แล้วเอาศพที่อยู่ข้างหลังไปส่งห้อง พออเนกได้ยินก็สะดุ้งโหยง เพราะเตียงที่อยู่ข้างหลังคือศพ อเนกจึงไปรับใบส่งตัวและเข็นศพไปตามทาง ปกติโรงพยาบาลจะเปิดเพลงบรรเลงให้คนฟัง แต่ระหว่างที่อเนกเข็นนั้น จู่ ๆ ก็มีจังหวะที่เพลงค่อย ๆ เบาลงแล้วก็ดังขึ้นเป็นเพลงปี่พาทย์ แล้วไฟก็หรี่แสงสว่างลง ระหว่างที่เข็นไปก็ได้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ อเนกคิดในใจว่าคนหรือผี แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเป็นคน ขณะที่อเนกกำลังเดินผ่านไป ลุงก็ทักว่า “หนุ่ม ห้องรับศพไปทางไหน” ตัวอเนกที่กำลังไปห้องนั้นจึงตอบลุงว่า “ผมกำลังไป เดินไปด้วยกันละกัน” ลุงก็เดินตามหลังมา ปรากฎว่าระหว่างนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินสวนออกมา ลุงก็ทักขึ้นมาว่า “อ้าวแม้นจะไปไหน” ป้าคนนี้เลยตอบว่า “เจอก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจอสงสัยคงเร่ร่อนตาย” ตอนนั้นตัวอเนกก็รู้สึกว่าลุงกับป้าทักกันแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าคงมีอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็มี 3 คนที่กำลังไปห้องส่งศพด้วยกัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไป ลุงกับป้าก็คุยกันต่อประมาณว่า ลูกกับหลานจะทำอย่างไร? จะอยู่ได้ไหม? เมื่อไปถึงหน้าห้องส่งศพ อเนกก็ชี้ไปว่าที่นี่ห้องส่องศพ และอเนกก็ไปส่งเอกสารต่าง ๆ จากนั้นอเนกก็เข็นศพเข้าไป พอเข็นเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งพี่คนนี้ชื่อ ‘พี่ยับ’ เป็นรุ่นใหญ่ในโรงพยาบาล พอพี่ยับรับศพไปก็พูดว่า “อ้าว ลุงวิเชียรมาแล้วหรอ ป้าแม้นแกรออยู่จะได้ไปด้วยกันเลย” แล้วตัวพี่ยับก็เปิดหน้าศพ อเนกพูดอะไรไม่ออก จนเดินถอยไปชนกับเตียงหนึ่งและกำลังจะล้มลงไปนอน พี่ยับบอกว่า “หยุด ถ้านอนมึงตายนะ เพราะว่าเตียงนี้ตายมาแล้ว 48 ศพ” และพี่ยับยังบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเตียงนี้พรุ่งนี้ให้มาหา อเนกจึงกลับมาหา พี่ยับก็เล่าให้อเนกฟังว่าเตียงนี้ก่อนที่จะมีคนตาย 48 ศพ เคยมีหนึ่งเคสเป็นผู้หญิงชื่อ ‘น้องเน’ อายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนสวยของอำเภอนี้ ปรากฎว่าวันหนึ่งเธอนอนแล้วเธอก็หลับไม่ตื่น จึงเลยกลายเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมถึงเสียชีวิตเช่นนี้ คุณหมอพยายามชันสูตรหาว่าเป็นอะไร แล้วก็แจ้งกับทางญาติว่าขอเอาศพไว้ที่นี่ก่อนเพื่อหาสาเหตุ หลังจากรับศพมาก็มานอนปกติ แต่แปลกมากที่ศพนี้เป็นศพที่มารอชันสูตรที่สวยมาก สภาพเหมือนผู้หญิงสวยที่กำลังนอนหลับ ในวันแรกที่ศพมาถึง ช่วงเปลี่ยนเวรของคนเฝ้าศพ คนที่เข้ามาเฝ้าต่อรู้สึกว่าสภาพห้องเก็บศพนั้นผิดปกติ คือห้องกระจัดกระจาย และเตียงน้องเนอยู่ไม่ตรงกับตำแหน่งเดิม จนสืบสาวเรื่องไปเจอกล้องวงจรปิดและรปภ.หน้าห้องเก็บศพก็หายไป เมื่อเปิดภาพในกล้องวงจรปิดก็พบว่ามีการข่มขืนศพ และทุกคนก็ตามหาตัวรปภ.แต่ไม่เจอ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้รับแจ้งว่าเจอรปภ.คนนี้แล้ว แต่เจอที่ห้องฉุกเฉิน เพราะมีคนไปพบศพรปภ.ในคืนนั้นซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตคือจมน้ำ แต่ที่แปลกคือในมือของรปภ.กำสายชื่อศพของน้องเนไว้ด้วย เรื่องนี้ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวพี่ยับต้องไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณ แล้วกลับบ้านไม่ไหวเพราะต้องเข้าเวร แต่ไม่สามารถเข้าด้านหน้าได้เพราะมีกล้องวงจารปิดที่จะเห็นสภาพที่เมาของพี่ยับ จึงเลือกที่จะเข้าทางหน้าต่างบานเลื่อนที่หลบมุมได้ แต่หน้าต่างของห้องเก็บศพไม่ได้ใช้งานบ่อยก็มักจะมีเสียงดัง พอพี่ยับเปิดเข้าไปก็ดันได้ยินเสียงกุกกักข้างใน จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเข้าไปก็เจอบุรุษพยาบาลคนหนึ่งชื่อ ‘เต้’ เอาเสื้อพาดบ่าเหมือนกำลังแต่งตัว พี่ยับถามว่ามาทำอะไร เต้จึงบอกว่ามาดูเอกสารว่าศพเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วก็รีบออกไป พอเต้ออกไปพี่ยับก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เจอคือผ้าของศพของน้องเนถูกถลกขึ้นและเปลือย ตัวพี่ยับเองก็ไม่กล้าบอกใครเพราะว่ามันจะกระทบต่อตัวเอง แต่เรื่องก็แดงขึ้น เพราะหลังจากนั้น 2 วัน มีคนบอกกันต่อ ๆ ว่าเต้ตาย โดยมีคนบอกว่าเห็นเต้กำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง แล้วพยายามจะข้ามถนนและโดนรถกระบะชนเสียชีวิตคาที่ ซึ่งศพของเต้คือศพที่ 2 จากการที่มีคนมาทำแบบนี้กับน้องเน หลังจากนั้นเหมือนกับวิญญาณของน้องเนถูกทำร้าย คนในโรงพยาบาลจะเริ่มเห็นน้องเนออกมาเดินในตอนกลางคืน โดยจะเดินไปทั่วเพื่อให้ทุกคนเห็น พอผ่านเรื่องราวนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น คือ ศพน้องเนหาย ทุกคนต่างมึนงงกับเหตุการณ์นี้มาก และวันนั้นไม่ใช่เวรเฝ้าศพของพี่ยับ เมื่อรู้ว่าศพหาย ทุกคนจึงมาไล่ดูกล้องวงจรปิดกัน ภาพที่เห็นคือ กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คน ใส่ชุดของคนทำงานในโรงพยาบาล ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แล้วเข็นศพน้องเนออกทางประตูที่รับศพด้านหลัง จากนั้นก็นำศพของน้องเนใส่ท้ายรถแล้วขับออกไป เมื่อทุกคนไล่ตามไป ก็ไปเจอรถของเด็กวัยรุ่น 5 คนจอดอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง ขณะที่ตำรวจและพยาบาลกำลังขึ้นไปที่อาคารร้างแห่งนี้ ได้มองไปที่อาคารร้าง และเห็นเป็นกองไฟกำลังเผาไหม้ จึงรีบเข้าไปในอาคาร พร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง เมื่อไปถึงก็พบว่า ศพน้องเนกำลังถูกเผาจนเกรียมและไหม้หมด! ตำรวจจึงสงสัยว่าคนทำหายไปไหน เพราะรถที่ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม ตำรวจจึงพยายามตามหา ผลปรากฏว่า วัยรุ่นทั้ง 5 คนที่นำศพน้องเนมาเผานั้นไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ เพราะเสียชีวิตทั้งหมด! บางศพตกบันไดคอหักตาย บางศพถูกแทง ทำให้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากสาเหตุอะไร ตัดกลับมาที่ศพของน้องเน ศพของน้องถูกไหม้เกรียมไม่ได้สวยเหมือนเดิม แล้วก็ถูกนำกลับมาที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลกลัวว่าญาติของน้องเนจะมาเอาเรื่อง จึงตัดสินใจแจ้งกับญาติว่าศพของน้องเนนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ โรงพยาบาลจะนำศพไปเผาแล้วนำเถ้ากระดูกมาให้ และเรื่องราวของน้องเนก็จบลงตรงนี้ แต่เมื่อนำศพน้องเนออกจากเตียงนี้ ก็เท่ากลับว่าตอนนี้เตียงนี้เป็นเตียงเปล่า ที่จะถูกเวียนใช้ต่อในโรงพยาบาล โดยเตียงนี้ได้ถูกดึงไปใช้ในส่วนของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เมื่ออเนกได้ฟังเรื่องราวนี้จากพี่ยับ ก็รู็สึกไม่สบายใจเพราะตัวของอเนกเองได้เผลอนอนไปแล้ว พี่ยับจึงบอกว่าให้ทำใจเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อเนกเองจึงตัดสินใจว่า จะตื่นเช้ามาทำบุญทุกวัน เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับน้องเน แล้วกลับมาบอกพี่ยับว่า “ผมทำบุญแล้ว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น” แต่ในขณะที่อเนกกำลังเดินออกจากห้องเก็บศพ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะตามหลังจึงคิดในใจว่า ตัวอเนกเองนั้นจะรอดหรือไม่ เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน อเนกรู้สึกว่าเลขที่เตียงของน้องเนน่าเอามาลุ้นโชค ปรากฏว่าอเนกถูกรางวัลจึงนำเงินบางส่วนไปทำบุญให้น้องเน และยังไม่ลืมที่จะนึกถึงพี่ยับคนที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง จึงตั้งใจจะไปเลี้ยงพี่ยับด้วย พอไปเรียกพี่ยับที่หน้าห้องพักพนักงานก็ไม่มีเสียงตอบรับ อเนกจึงลองเปิดประตูเข้าไปเห็นพี่ยับนั่งอยู่กลางห้อง อเนกซึ่งไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงรีบเอาอาหารไปจัดวางและกินกับพี่ยับอย่างสนุกสนาน เมื่อมีอาการกรึ่ม ๆ ทั้งสองได้มีการพูดคุยกันมากขึ้น จู่ ๆ พี่ยับก็เริ่มดึงดราม่าด้วยการบอกว่า "อเนกพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม" อเนกจึงตอบว่า "ถ้าไม่ได้ให้ไปตาย ผมทำได้ทุกอย่างเลยพี่" พี่ยับจึงพูดกับอเนกว่า "หากวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม" อเนกมีอาการงงและสงสัย ระหว่างนั้นพี่ยับจึงยื่นกำไลข้อเท้าของเด็กพร้อมกับผ้าชิ้นหนึ่งที่เหมือนชุดผู้ป่วย อเนกจึงถามว่าของใคร พี่ยับบอกว่าเป็นของน้องเนทั้งกำไลและชุด อเนกจึงตอบตกลงแบบปัด ๆ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร หลังจากนั้น 2 - 3 วัน เสกเพื่อนรักของอเนกรู้ว่าอเนกถูกรางวัลที่ได้เลขมาจากเตียงน้องเน จึงขอให้อเนกเลี้ยงแต่อเนกบอกว่า เงินนั้นเหลือน้อยแล้วเพราะนำไปเลี้ยงพี่ยับแล้ว ตัวเสกจึงเงียบไปและถามว่า “เลี้ยงพี่ยับไปวันไหน” อเนกตอบกลับไป “ว่าประมาณ 2 - 3 วันที่แล้ว” เสกถามกลับอีกว่า “ล้อกันเล่นรึเปล่า เพราะพี่ยับตายไปเป็นอาทิตย์แล้ว” เสกอธิบายเพิ่มว่าเพราะตัวเสกเป็นคนเข็นศพพี่ยับออกมาจากรถพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในขณะที่กำลังเข็นเตียงพี่ยับ พี่ยับกลับยิ้มและดูไม่มีสติทั้งที่คนโดนรถชนจะต้องมีบาดแผลตามร่างกายและรู้สึกเจ็บปวด แต่การช่วยพี่ยับไม่เป็นผล พี่ยับเสียชีวิต ส่วนกำไลและผ้าที่พี่ยับฝากไว้กับอเนก อเนกก็ขอให้เสกช่วยนำไปคืนด้วยกัน แต่เสกไม่ว่างที่จะไปด้วย อเนกจึงตัดสินใจนำของไปที่ห้องพี่ยับ โดยนำกำไลไปวางที่หัวเตียงของพี่ยับแล้วพูดว่า "ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมขอเอามาคืนแล้วกัน" ระหว่างที่อเนกกำลังออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า "มึงสัญญากับกูแล้ว ทำไมมึงไม่ทำ" หลังจากนั้น อเนกก็ช็อกแล้วหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ยับชะโงกหน้ามองตัวเองและบอกว่า "มึงสัญญาแล้ว มึงต้องช่วยปลดปล่อยเค้า" ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่เท้าพร้อมกลิ่นไหม้ เมื่อมองลงไปก็เห็นศพน้องเนกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัว และพูดว่า “แกต้องช่วยฉัน แกต้องปล่อยฉัน หวยก็ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนศพอื่น ๆ!” อเนกที่นึกอะไรไม่ออกจึงนึกถึงพระคุณพ่อแม่ และตะโกนว่า "แม่ช่วยด้วย" หลังจากนั้นน้องเนก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับได้ยินเสียงแผ่เมตตาของแม่ เมื่อน้องเนถอยไปแล้วแต่ก็ยังพูดอยู่ว่าให้ช่วย เมื่ออเนกฟื้น เสกก็เล่าว่ามีคนเจออเนกสลบอยู่ที่ตึกพนักงาน พยาบาลจึงนำของที่ติดตัวอเนกมาคืนนั่นก็คือกำไลและผ้า อเนกจึงตัดสินใจเก็บไว้กับตัวเพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่ก็ได้คำแนะนำว่าให้นำไปหล่อพระพุทธรูป เพราะถ้าเอาไปไว้กับคนไม่ดี วิญญาณของน้องเนก็จะไม่ถูกปลดปล่อย หลังจากนั้นอเนกก็ได้ยินว่าก่อนที่พี่ยับจะเสียชีวิต พี่ยับเดินยิ้มแล้วพูดว่า "ลูก พ่อขอโทษ" แล้วเดินข้ามถนนไปด้วยจึงถูกรถชน ทุกคนสืบสาวราวเรื่องจนไปรู้ว่าในวันที่เผาศพน้องเน คนที่มารับเถ้ากระดูกคือภรรยาเก่าพี่ยับและน้องเนก็คือลูกพี่ยับ และในคืนก่อนที่พี่ยับเมาทุกคนก็สงสัยว่าไปทำอะไรศพน้องเนหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1