ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

30 มิ.ย. 2023

       วันนี้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ รับหน้าที่จัดรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิ.ย. 66) เช่นเคย คนที่โทรมาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ชื่อว่า ‘คุณแบงค์’ เขามาพร้อมกับภารกิจตามหารักแท้ ซึ่งต้องแลกมากับเรื่องเขย่าขวัญในค่ำคืนนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย!

       เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์อาศัยอยู่ในคอนโดที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ ‘คลีน’ ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวอาศัยอยู่ เขากับน้องสาว 1 คนพักด้วยกันที่ห้องบนชั้น 14 ของตึก ด้วยความที่คอนโดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองและคุณแบงค์เองก็นอนอยู่ฝั่งข้างที่ติดผ้าม่าน เขาจึงสามารถเห็นบริเวณภายในห้องตอนกลางคืนผ่านแสงที่ส่องผ่านเข้ามา

       ในคืนหนึ่งขณะที่คุณแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ เขาฝันว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะบุกเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งบนหลังคา ทุบห้อง ข่วนห้อง คล้ายพยายามจะทำให้เขากับน้องกลัว และมันก็ได้ผลจริง ๆ ในฝันน้องสาวบอกให้แกล้งหลับกัน เพื่อหลอกตัวอะไรก็ตามที่กำลังพยายามจะพังเข้ามาในห้อง แล้วพอเขาข่มตาหลับลง ‘มัน’ ก็ได้เข้ามาในห้อง! เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นที่ลอยผ่านตัวเขาไปมา แล้วสักพักหนึ่งก็มีเหมือนเศษผ้าปาดผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแส้หางม้า ทันใดนั้นน้องสาวคุณแบงค์กรีดร้องและพูดขึ้นว่า “มีอะไรไม่รู้มาจับอวัยวะเพศ” คุณแบงค์รับรู้ว่ามีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มาจั๊กจี้ที่รักแร้ของเขาและในเวลาต่อมาก็มาตะครุบอวัยะเพศของเขา!

       คุณแบงค์ตกใจจนตื่นขึ้นจากฝัน ณ ขณะนั้นห้องทั้งห้องของเขาก็เปลี่ยนจากสีดำมืดเป็นสีแดงเหมือนกับห้องเชือด ตัดภาพไปด้านซ้ายของเขา ฝั่งที่เป็นผ้าม่าน เขาเห็นลิงหน้าสีแดงสดกำลังแหวกม่านโผล่หัวของมันเข้ามา ระหว่างเขากับลิงตัวนี้อยู่ห่างกันเพียงเมตรเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะเริ่มตกตะกอนทางความคิดกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นคน ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าจะใช้ของไทยแน่นอน!

       “หรือว่าจะเป็นของที่เราเอาเข้ามา” คุณแบงค์คิดกับตัวเอง พอเขาเริ่มตั้งสติได้ จึงขยับตัวสะบัดผ้าม่านและผ้าห่ม สักพักห้องของเขาจากสีแดงก็กลับกลายเป็นความมืดดังเดิม หน้าของเจ้าจ๋อที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามลำดับ ดีเจแนนถามคุณแบงค์ว่าน้องสาวของเขาเห็นเหมือนกับที่เขาเห็นด้วยรึเปล่า คุณแบงค์จึงตอบกลับว่าตอนแรกเขาคิดว่าน้องน่าจะเห็นด้วย แต่พอถามถึงเรื่องลิงตัวนี้ตอนเช้า น้องสาวของเขากลับตอบว่า เธอนั้นหลับอยู่ตลอดเวลาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่คุณแบงค์เห็นและประสบพบเจอในค่ำคืนนั้น มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงได้

       ดีเจทั้งสองพยายามสอบถามคุณแบงค์ต่อว่า แล้วคุณแบงค์พอจะทราบที่มาที่ไปของลิงตัวนี้หรือไม่ คุณแบงค์ก็บอกว่าเมื่อเขากลับมาย้อนนึกดูแล้วก็พบว่าคืนนั้น เขาได้เอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งสอดไว้ใต้หมอนก่อนนอน

       ย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์พึ่งจะเลิกกับแฟน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เขาไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อนพอดี เขาเดินทางไปวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก สิ่งที่เขาได้กลับมาจากวัดในวันนั้นคือด้ายแดง ขณะที่เขาไปขอพรเขาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาได้ขอพรว่า หากแฟนคนที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันเป็นคนที่ใช่จริง ก็ขอให้คบกันไปตราบนานเท่านาน แต่ถ้าไม่ใช่คู่กันจริงก็ขอให้เลิกกันโดยเร็วที่สุด แล้วหลังกลับจากไต้หวันได้สองสัปดาห์ เพื่อนของเขากับแฟนก็เลิกกัน...

       คุณแบงค์ได้อธิษฐานขอคนรักพร้อมบอกชื่อที่อยู่ของตนไปด้วย เขาเลยสันนิษฐานน่าจะเป็นเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เทพท่านมาหาเขาตอนกลางคืน เขาคิดว่าท่านน่าจะมาหาเขาเพื่อ ‘ดูตัว’ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ในภายหลังว่าวัดแห่งนั้นที่เขาไปไหว้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเลย แต่ทั้งเพื่อนที่เป็นหมอดูที่เป็นเพื่อนของเขามีข้อเสนอว่า ลิงตัวนี้อาจมาในลักษณะของการเป็นคำใบ้บอกถึงเนื้อคู่ของเขา และเมื่อลองตรวจตามปีนักษัตร เขาสามารถวิเคราะห์ได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นคนอายุ 19 หรือ 31 ปี

       แต่เรื่องนี้คุณแบงค์ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันทีว่ามันเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ คงต้องรอดูกันไปเรื่อย ๆ

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

27 ต.ค. 2023

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 ตุลาคม 2566) ต้อนรับฮาโลวีนที่กำลังจะถึงกับเรื่องชวนขนหัวลุกจากสาย ‘คุณแฟร้งค์’ ที่ทำเอา ‘ดีเจเจ็ม’ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ต้องอึ้ง! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ยายคง’ ถ้าพร้อมแล้วก็ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปประมาณ 5 ปีที่แล้ว ความหลอนได้เกิดขึ้นที่จังหวัดอุทัยธานี โดยคุณแฟร้งค์เป็นคนชื่นชอบการตกปลาและได้ทำการวางแผนนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ผลัดเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ แต่มีอยู่ที่หนึ่ง ที่คนมักจะเล่าต่อกันมาว่าเป็นห้วยตกปลาที่เหี้ยนที่สุด และคุณแฟร้งค์ก็ดันนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาที่ห้วยแถวนั้นด้วยกัน เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่นัดกันไว้ คุณแฟร้งค์กับเพื่อนกำลังเตรียมอุปกรณ์ไปตกปลาและได้เดินทางไปถึงที่หมายประมาณสามทุ่ม ทุกคนเริ่มเขวี้ยงเบ็ดตกปลาทิ้งไว้จนถึงสี่ทุ่ม แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีท่าทีที่จะมีปลาสักตัวมาติดเบ็ด เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงเปิดไฟฉาย เดินส่องตามทางข้าง ๆ ห้วยนั้น เมื่อเดินไปเรื่อย ๆก็ได้ไปเจอกับที่ดักปลา มีปลาติดอยู่ประมาณ 2-3 ตัว เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและยกขึ้นมา ก็เห็นว่ามีปลาติดอยู่ คุณแฟร้งค์รีบพูดห้าม “เห้ย!! นั้นมันของเค้านะ เอาไปไม่ได้นะ” แต่เพื่อนคุณแฟร้งกลับไม่ได้มีท่าทางกลัว และตอบกลับมาเพียงว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่ตัวสองตัวเองเอาไปเผากินกัน” จากนั้นเพื่อนของคุณแฟร้งค์ก็เอาปลามาเผานั่งกินกันตามประสาวัยรุ่น ในระหว่างที่นั่งกินด้วยกันเพื่อนของคุณแฟร้งค์อีกคนก็ลืมเตรียมน้ำมาด้วย ทำให้สถานการณ์ตอนนั้นเริ่มไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนตัดสินใจนั่งกินกันต่อค่อยไปหาน้ำทีหลัง ไม่นาน จู่ ๆ ก็มีคุณยายคนหนึ่งเดินตรงออกมาจากในป่า และเดินไปยกกับดักปลาพร้อมกับบ่นพึมพำว่าทำไมปลาไม่ติดเลย หรือว่าปลาหายไปไหน คุณแฟร้งค์จึงตะโกนพูดคุยกับคุณยายว่า “ยายได้ไปแล้ว” แต่ในความจริงแล้ว ปลาที่หายไปคือปลาที่พวกเขากำลังเผานั่งกินกันอยู่ คุณยายส่ายหัวส่งท่าทางกลับมาว่ายังไม่ได้ คุณแฟร้งค์ถามคุณยายอีกว่า “ยาย บ้านยายอยู่ไหน” คุณยายก็ชี้นิ้วไปทางหลังป่า โดยไม่พูดไม่จาอะไร คุณแฟร้งค์จึงเอ่ยปากขอน้ำดื่มจากคุณยาย และถามซ้ำไปว่า “บ้านยายอยู่ไกลไหม ผมลืมเอาน้ำมา ขอน้ำดื่มจากยายหน่อยได้ไหม” คุณยายจึงตอบกลับมาว่า “ได้ เอ็งเดินตามทางไปนะ เดี๋ยวยายเดินตามไป เอ็งเดินตามทางไปเลยมันจะมาทางไปบ้านยายอยู่” คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่รอช้า เดินตามหลังคุณยายเข้าไปในป่า ส่วนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันนั่งรออยู่ที่ห้วยตกปลา คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินเข้าไปตามทางสักพักก็ได้เห็นปลายทางเป็นบ้านไม้ หลังคาแฝก มีใต้ถุนต่ำ สามารถเหยียบจากพื้นขึ้นบ้านได้เลย และมีโอ่งตั้งอยู่ จากนั้นบริเวณรอบเป็นป่าทั้งหมด คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่ได้คิดอะไร มองหาขวดน้ำเพื่อจะกรอกน้ำในโอ่งไปให้เพื่อนที่นั่งรออยู่ เมื่อคุณแฟร้งค์กรอกน้ำใส่ขวดจนเต็ม จึงตะโกนขอบคุณยายแล้วหันหลังจะเดินกลับไปยังห้วยตกปลา จังหวะที่กำลังจะเดินออกก็ได้ยินเสียงครก เหมือนยายกำลังตำหมากหรือตำอะไรสักอย่าง จากนั้นสายตาคุณแฟร้งค์ก็มองไปยังประตูบ้านของยาย เห็นว่าประตูบานนั้นค่อย ๆ เปิดออกเองและมีเสียงดังขึ้น ‘แกร๊กกกกก’ แล้วยายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อย ๆ ยิ้มเห็นฟันดำมาทางคุณแฟร้งค์และเพื่อนอย่างช้า ๆ จังหวะนั้นยายก็หักคอตัวเอง! ต่อหน้าต่อตาคุณแฟร้งค์และเพื่อน จากนั้นก็ก้มเก็บหัวขึ้นมายิ้มให้อีกครั้ง ในตอนนั้นทั้งคู่สติแตก พร้อมกับตะโกนว่า “ผีหลอก ผีหลอก!!!” แล้วก็รีบวิ่งหนีทะลุป่าออกไป เมื่อวิ่งไปถึงยังห้วยตกปลา ปรากฏว่าเพื่อนที่นั่งรออยู่ก็หายไป คุณแฟร้งค์และเพื่อนไม่สามารถติดต่อได้ พยายามโทรหาแต่ก็ไม่รับสาย ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็รีบเก็บของและระแวงอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าคุณยายจะตามมา จู่ ๆ เพื่อนที่หายไปก็โทรกลับมา คุณแฟร้งค์ได้ถามหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พร้อมกับเล่าว่าทั้งคู่โดนผีหลอกมา เพื่อนที่หายไปรีบตอบกลับมาว่าโดนผีหลอกเหมือนกัน! ตอนนี้อยู่ที่บ้านใครก็ไม่รู้วิ่งหนีมาด้วยความตกใจกลัว ตัวคุณแฟร้งค์เองก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ ทำได้เพียงรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด และรีบตามไปหาเพื่อน เมื่อตามไปเจอเพื่อนคุณแฟร้งค์รีบเล่าทันทีว่าตนไปเจอดีอะไรมา จากนั้นเพื่อนที่หายตัวไปก็รีบเล่าให้ฟังว่า จังหวะที่คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินตามเข้าไปในป่า จู่ ๆ ยายก็หันแค่คอมาแล้วส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูกจึงรีบวิ่งหนีออกไปก่อนโดยไม่ได้ตะโกนบอกคุณแฟร้งค์และเพื่อนก่อน คุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจถามคุณลุงเจ้าของบ้านที่เพื่อนวิ่งหนีมาหลบ คุณลุงเล่าว่ายายที่ทั้งสามคนเจอชื่อว่า ‘ยายดง’ แกชอบมาดักปลาอยู่ตรงริมห้วยนี้ แล้ววันดีคืนดีแกก็มาดักปลาตามปกติ จู่ ๆ ก็เกิดฝนฟ้าตกลมแรงจนพัดต้นไม้หักมาทับคอยายแกตายบริเวณตรงนั้น และคาดว่าปลาที่ทั้งสามคนนำมาเผากินกัน น่าจะเป็นปลาที่ยายแกดักไว้ก่อนตาย คุณลุงก็พาเดินย้อนกลับไปดูว่ายังมีรอยคราบเลือดติดอยู่เลย เพราะเหตุเพิ่งเกิดได้เพียง 7 วันเท่านั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

24 พ.ย. 2023

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

ติดตามความราวสยองจากเรื่อง ‘ตามมาจากเสียงเรียก’ โดย ‘คุณดี้’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (21 พฤจิกายน 2566) จะหลอนชวนสยองขนาดไหน.. ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันได้เลย! เรื่องราวแปลก ๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อคุณดี้ได้ไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดหนึ่ง อยู่ติดกับริมแม่น้ำโขงเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณดี้จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน แต่ในวันที่จะเดินทางปรากฏว่าเที่ยวบินดีเลย์จึงไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด เมื่อคุณดี้เดินทางมาถึงที่พัก ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ทุ่มแล้ว ด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงรีบเดินเข้าไปรับคีย์การ์ดจากพนักงานต้อนรับ จากนั้นพนักงานก็แจ้งว่าได้พักห้องที่ชั้น 3 ห้อง 310 คุณดี้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงรีบเก็บสัมภาระและเข้านอนทันที โดยเลือกที่จะเปิดไฟตรงระเบียงไว้เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไป ระหว่างที่นอนหลับอยู่ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้นแบบผิดปกติ พร้อมกับมีเสียงดังว่า “310” อยู่หลาย ๆ ครั้ง คุณดี้ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยกหูโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วก็กลับมานอนที่เตียง! คุณดี้คิดว่าตัวเองอาจจะฝันหรือละเมอไปเอง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันเหมือนจริงมาก คุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงยื่นมือไปเปิดไฟและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อมองดูที่จอเพื่อดูเวลา ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 กว่า ๆ ตอนนั้นคุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งตี 3 กว่า ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้รู้สึกว่าใครบางคุณกำลังหายใจรดต้นคออยู่! ด้วยความกลัว คุณดี้จึงพูดในใจถึงเจ้าที่เจ้าทางว่า “มาดีนะ แค่มาทำงาน ไม่ได้มีเจตนามาร้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญถวายสังฆทานให้” จากนั้นก็หลับไป พอรุ่งขึ้นก็ได้แจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์ที่ห้องมีปัญหาพร้อมกับให้ช่างก็ขึ้นมาดู ปรากฏว่าโทรศัพท์ก็ปกติดีไม่ได้มีปัญหาอะไร ในคืนที่สอง คุณดี้ได้ถอดสายโทรศัพท์ออกพร้อมกับเปิดไฟทุกดวง และตัดสินใจสวดมนต์ก่อนนอน รวมถึงก่อนเข้านอนก็ได้วางเหรียญไว้บนหัวเตียงเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อความสบายใจ ในระหว่างที่กำลังจะนอน คุณดี้รู้สึกว่าไฟที่เปิดไว้มันสว่างเกินไป จึงตัดสินใจว่าจะปิดไฟทั้งหมด เหลือไว้แค่โคมไฟบริเวณหัวเตียง จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้น แล้วไฟก็เปิดขึ้นมาเอง! ความกลัวเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณดี้พูดในใจว่า “อย่ามาแกล้งได้มั๊ย ทำบุญให้แล้ว ขอนอนได้มั๊ย” แล้วคืนที่สองก็ผ่านไป.. คืนที่สามคุณดี้ก็เข้านอนตามปกติ แต่พอรุ่งขึ้นคุณดี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะหยิบสายชาร์จเพื่อชาร์จโทรศัพท์ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังเสียบสายชาร์จไปที่ปลั๊กไฟนั้น ก็เกิดไฟฟ้าลัดวงจร! จึงรีบไปแจ้งพนักงานขอเปลี่ยนห้อง ตอนแรกทางที่พักแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่นานก็โทรกลับมาว่าจะเปลี่ยนห้องให้กับคุณดี้ โดยย้ายจากห้องเดิมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นห้อง 412 หลังจากแม่บ้านขนย้ายสัมภาระข้องคุณดี้มายังห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว พอคุณดี้กลับมาถึงห้องก็ตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคือเหรียญที่เคยวางไว้ที่หัวเตียงก็ถูกย้ายมาที่ห้องใหม่ด้วย! ด้วยความกลัวจึงให้แม่บ้านนำออกไปไว้ที่ห้องเดิม จากนั้นคุณดี้ก็เข้าห้องนอนตามปกติ วันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่คุณดี้กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปรากฏว่าไฟหน้าห้องน้ำก็กระพริบขึ้นมาหลายครั้ง คุณดี้ตัดสินใจออกจากห้องน้ำมาปิดไฟ และเก็บกระเป๋าเพื่อ Check out ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่เธอเก็บสัมภาระนั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ อยู่หน้าห้อง ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นแม่บ้าน จึงรีบไปเปิดแล้วจะแจ้งว่าไฟมีปัญหา ปรากฏว่าพอเปิดประตูห้องออกไป กลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องเลย! จากนั้นเธอก็รีบออกมาเพื่อ Check out แล้วก็ออกจากที่พักทันที ในระหว่างทางที่กำลังจะกลับ ปรากฏว่ารถตู้ที่นั่งมาเกิดเสียกลางทาง โชคดีที่ไม่ได้ห่างจากปั๊มน้ำมันมาก จึงตัดสินใจมารอที่ร้านกาแฟ และไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายทะเบียนรถตู้ไว้เพื่อเขียนรายงานในการมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ หลักจากที่รอประมาณเกือบชั่วโมง รถก็ซ่อมเสร็จ คุณดี้ถามคนขับรถว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบไฟภายในตัวรถ คุณดี้คิดในใจว่าทำไมตนเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ตลอด 4 วัน แต่แล้วก็นั่งรถมาที่สนามบินปกติ ในระหว่างที่อยู่บนเคื่องบิน ก็ได้เปิดดูคลังรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปป้ายทะเบียนรถที่ถ่ายไว้ ถึงกับต้องขนลุก! เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นคือรถเสียบริเวณร้านขายโกศใส่กระดูก เธอจึงนึกไปถึงเช้าของวันแรกที่มาว่า ในวันนั้นเธอมีเวลาว่าง 1 วัน จึงตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ในระหว่างทาง คุณดี้เดินมาได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ก็รู้สึกร้อน มองไปเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นวัด จึงได้ข้ามไปฝั่งนั้นเพราะจะได้อาศัยเงาของต้นไม้เดินไป แต่พอข้ามมาแล้วปรากฏว่าเห็นโกศใส่กระดูกเยอะมาก คิดในใจตอนนั้นว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนจะไม่เดินบริเวณนี้เด็ดขาด ระหว่างที่เดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถของคุณลุงขับผ่านมา คุณดี้ตัดสินใจโบกรถแล้วเรียกคุณลุงว่า “ขอไปด้วยคนค่ะ” นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น นั่นทำให้คุณดี้ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า อาจเป็นเพราะเธอโบกรถแล้วพูดว่า ‘ขอไปด้วยคน’ หรือเปล่า ทำให้ต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกัน 4 วันเช่นนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘4 คืนหลอนนอนโรงเเรม’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

04 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘4 คืนหลอนนอนโรงเเรม’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘พี่แจ็ค เดอะโกสต์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘4 คืนหลอนนอนโรงแรม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณไบก้อน’ เกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย โดยคุณไบก้อนต้องไปทำงานที่อินโดนีเซีย ทางบริษัทจึงเตรียมที่พักให้ นอกจากนี้ก็ยังมีทีมงานจากหลายประเทศมาพักที่โรงแรมนี้ด้วยเช่นกัน การเดินทางไปครั้งนี้ รวมเวลากว่า 4 วัน วันแรก คุณไบก้อนเข้าเช็คอินที่โรงแรมประมาณ 2 ทุ่ม โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ดี ห้องใหญ่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเก่า ปกติแล้วหากเป็นโรงแรมที่อยู่มานาน เราจะสังเกตุได้ว่าพื้นจะถูกปูด้วยพรม และผนังจะอัดไม้ ตกแต่งด้วยไม้ ส่วนในห้องนอนเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะมีตู้ขนาดใหญ่ที่เข้าไปได้ 3-4 คน และมีหน้าต่างใหญ่มองวิวได้ทั่วถึง คุณไบก้อนบอกว่า จากประตูผ่านห้องน้ำ ผ่านตู้ และไปถึงเตียง มีระยะทางค่อนข้างไกลเล็กน้อย เพราะห้องใหญ่มาก ในคืนแรก เมื่อมาถึงห้อง คุณไบก้อนก็อาบน้ำและรีบเข้านอนเพราะต้องตื่นไปทำงานตอนเช้า ปรากฏว่าตอนที่หลับได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดิน ‘แตะ แตะ’ และเสียง ‘ฟึ้บ ฟึ้บ’ คุณไบก้อนที่กำลังงัวเงียก็คิดว่า ‘คงเป็นหมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมันเดินแหล่ะ’ แต่สักพัก ก็ได้ยินเสียงแบบเดิม แต่พอครั้งที่ 2 นี้ เขาฉุกคิดว่า “เห้ย กูไม่ได้อยู่บ้านนี่ กูนอนโรงแรม“ คุณไบก้อนจึงพยายามนอนฟังเสียง แต่ไม่ได้เปิดไฟ และไม่ได้ลืมตา เปิดแค่ไฟห้องน้ำ ปรากฎว่าเสียงเคลื่อนที่เดินจากขวาไปซ้าย และเดินไปเดินมาผ่านเตียง ผ่านห้องน้ำ แล้วก็หายไป! จนถึงรอบที่ 4 คุณไบก้อนก็คิดในใจว่า ‘ถ้ารอบนี้มาอีกจะลืมตาดูว่ามันคือเสียงอะไร’ ปรากฎว่าสมความปรารถนา มีเสียงเดินมาอีกรอบ คุณไบก้อนจึงลืมตาขึ้นมานิดนึง แล้วก็เห็นเป็นขาคน เป็นขาที่มีแต่ขามาถึงแค่เอว ใส่กางเกงพละ เดินมาแล้วก็หยุด คุณไบก้อนพยายามเพ่งมอง แต่พอเพ่งมอง เหมือนเจ้าขานั้นมันจะรู้ว่าคุณไบก้อนมอง ก็เลยวิ่งจากปลายเตียงทะลุเข้ากำแพงไปดังฟึ้บ! มาโผล่อีกฝั่งหนึ่ง วิ่งเข้าไปที่ห้องน้ำ แล้วก็วิ่งวนในห้องน้ำ วิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้ววิ่งผ่านเตียงทะลุกำแพงแล้วหายไป! ตอนนั้นคุณไบก้อนได้แต่งง ว่าตนหลับ ฝัน หรือตื่น มันเกิดอะไรขึ้น เพราะปกติคุณไบก้อนเป็นคน ไม่กลัวเรื่องพวกนี้ จึงหลับไปจนถึงเช้า จากนั้นก็มาเล่าให้คนที่ทำงานด้วยกัน แต่คนอื่นก็ไม่ได้เจอ แล้วก็แยกย้ายไปทำงาน จนถึงตอนเย็น ในคืนที่ 2 คุณไบก้อนไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เจอเมื่อคืน จึงอาบน้ำนอนตามปกติ จากนั้นก็เผลอหลับไป แต่ก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะอยากเข้าห้องน้ำ หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว ออกมาก็พบว่าม่านไม่ได้ปิด ทำให้มีแสงผ่านเข้ามาในห้อง จึงคิดจะไปปิดจะได้หลับสบาย จากนั้นก็เดินไปหาตัวชักม่านฝั่งซ้ายแล้วก็ปิดม่าน แล้วก็เดินไปฝั่งขวา แต่กลับไม่เจอตัวชักม่าน เจอแผงสีดำแทน คุณไบก้อนจึงเอาผ้าม่านฝั่งขวาออก แล้วก็ต้องตกใจ เพราะแผงสีดำนั้น คือผมคนที่ห้อยยาวมาจากด้านบนเพดานข้างบน! คุณไบก้อนรู้สึกตกใจอย่างแรง แต่ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก! ระหว่างนั้น ก็เห็นผมที่ย้อยลงมาค่อย ๆ ถูกดึงม้วนกลับขึ้นไปแล้วก็หายไปบนเพดานต่อหน้าต่อตา! คุณไบก้อนกลั้นใจปิดผ้าม่านแล้วกลับมานั่งที่เตียง คิดในใจว่า ‘ตกลงมันคืออะไร เจออะไรไม่รู้’ สักพักก็ข่มตานอนแล้วก็ตื่นขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง แต่เพื่อนก็หัวเราะ แล้วก็พูดว่า “ยูอย่าคิดมาก เดี๋ยวถ้าคืนนี้เจออีก ก็มาเล่าให้ฟังอีก อยากรู้ว่าจะเจออะไร” แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน คืนที่ 3 คุณไบก้อนบอกว่าวันนั้นทำงานเหนื่อยมาก จึงไปอาบน้ำ แล้วหลับไปเลย แต่คืนนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เป็นห้องที่เงียบมาก และไม่เจออะไรเลย พอตื่นเช้ามาก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เห็นมั้ย ยูน่ะคิดมาก มันไม่มีอะไรหรอก“ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงาน คืนที่ 4 คืนสุดท้าย คุณไบก้อนบอกว่า ”คืนนี้ทำให้ผมจำไม่ลืม มันคือไฮไลต์ของเรื่องนี้” หลังจากทำงานเสร็จคุณไบก้อนก็กลับมาที่ห้อง กำหนดการขึ้นเครื่อง 7 โมงเช้า เขาจึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 3 พอถึงเวลา 3-4 ทุ่มก็เตรียมตัวเข้านอน แต่คุณไบก้อนบอกว่ารอบนี้น่าจะความฝัน.. ในฝันนั้น คุณไบก้อนนอนอยู่บนเตียง แล้วลุกมาจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ แต่ระหว่างที่จะไปเข้าก็มองเห็นหน้าต่างกระจก รู้สึกว่าวิวกลางคืนสวยมาก จึงไปยืนดูมองวิวเก็บบรรยากาศคืนสุดท้ายเอาไว้ ด้วยความที่ในห้องเปิดไฟไว้บางจุด เช่นไฟห้องน้ำ ไฟหน้าห้องน้ำ จึงทำให้เวลาที่เรามองออกนอกหน้าต่าง จะเห็นเงาสะท้อนตัวเรา และด้านหลัง ระหว่างที่เขายืนมองอยู่ ปรากฎว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องโฟกัส เพราะขณะที่เขามองวิว แล้วมองเห็นตู้เสื้อผ้า เขาจำได้ว่าเขาปิดตู้เสื้อผ้าไว้ตลอด แต่ตอนนั้นมันแง้มออกมา และมีขาซ้ายค่อย ๆ ยื่นออกมาจากตู้ ซึ่งคุณไบก้อนจำได้ว่ามันเป็นขาเดียวกันกับที่เจอในคืนแรกเพราะใส่กางเกงพละโผล่ออกมา แล้วครั้งนี้มันมีมือโผล่มาจับที่ขอบตู้ด้วย! คุณไบก้อนคิดในใจว่า ‘มันมีขา มีมือมา ครั้งนี้ มันต้องมีหัวมาด้วย’ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งนั้นค่อย ๆ โผล่หัวออกมา เป็นผู้หญิงที่มองไม่เห็นหน้า แต่คุณไบก้อนจำได้ว่าผมที่อยู่บนหัวเป็นอันเดียวกันกับที่เจอในคืนที่ 2 เพราะมันยาวมาจนถึงพื้น ระหว่างที่เขากำลังสงสัยอยู่ หน้าของผู้หญิงก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากตู้ แล้วหน้าผู้หญิงก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอสังเกตดี ๆ แล้ว หน้าของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่หน้าของผู้หญิงคนนี้ค่อย ๆ เข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ ใกล้มากจนหายใจรดต้นคอคุณไบก้อน! สิ่งนี้ไม่ได้ทำอะไรคุณไบก้อน แต่แค่จ้องออกไปทางหน้าต่างเหมือนกำลังสงสัยว่าคุณไบก้อนมองอะไร แล้วอยู่ ๆ มันก็หยุด ฟึ้บ เหมือนกำลังรู้ตัวว่าคุณไบก้อนเห็นแล้ว คุณไบก้อนจึงกลั้นใจ “เอาวะ ตายเป็นตาย อย่างน้อยก็มีเรื่องเล่า” แล้วก็หันไปหามัน ในจังหวะนั้นมันก็หันหน้ามาหาคุณไบก้อน จ้องหน้ากัน แล้วมันก็รีบหดคอเข้าไปในตู้ แล้วก็ปิดตู้ดัง ปึ้ง! คุณไบก้อนยืนช็อคทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีคือตอนตื่น แล้วก็ออกมาเช็คเอาท์ ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะถามพนักงาน พอกำลังจะเอ่ยปากถาม รถที่เรียกไว้ก็มาพอดี จึงต้องรีบไปสนามบิน ทำให้ไม่รู้ว่าที่โรงแรมแห่งนั้นมีอะไรกันแน่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’ เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ” เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ” เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ” เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง” พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู “เฮ้ย! ดูนั้นดิ” เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง” เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ” ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ” เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด” ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ” ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว” คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ” เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน” คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย” เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ” คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว” เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง ตือโป๊ยก่ายและซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก! จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง” เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ” เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่” เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป” พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ” เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1