ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

05 พ.ค. 2023

การไปเยือนยังสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็เสี่ยงเจอกับเรื่องขนหัวลุกกันได้ทั้งนั้น เหมือนกับเอเจนซี่หนุ่มอย่าง ‘คุณแดน’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 เมษายน 2566) และได้เล่าประสบการณ์หลอนในการไปทำงานต่างจังหวัดที่จำได้ไม่เคยลืม ให้กับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจมดดำ’ และ ‘ดีเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลย! 

 

คุณแดนเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดเมื่อประมาณสองปีก่อน ตนและพี่สาวต้องไปทำงานเก็บข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของการวางระบบต่าง ๆ ให้กับทางลูกค้าที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังต้องลงพื้นที่ไปยังสถานที่จริง เพื่อศึกษาและสอดส่องคู่แข่งกว่า 14 สถานที่ ใช้เวลาโดยประมาณ 4 วัน ซึ่งลูกค้าเจ้านี้ เป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ คุณแดนเล่าเพิ่มเติมว่า ลูกค้าได้รับมรดกมาจากคุณพ่อ เขาจึงอยากเปลี่ยนแปลงพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นใหม่ เพราะในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด ไม่มีใครมาใช้บริการสนามกอล์ฟแห่งนี้เลย จึงปล่อยเช่าให้คนเกาหลีอยู่พักหนึ่ง แต่หลังหมดสัญญาเช่าก็ปิดสถานที่ไว้ชั่วคราว

เมื่อเดินทางมาถึงสนามกอล์ฟของลูกค้า คุณแดนก็สังเกตบรรยากาศรอบ ๆ สนาม ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่อาคารเก่าสำหรับเก็บอุปกรณ์ช่าง ส่วนขวามือมีรถและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกทิ้งไว้ ถัดไปมีอาคารร้างตั้งอยู่ โดยมีลักษณะเป็นประตูกระจกใสและมีผ้าม่านเก่า ๆ ที่หลุดมากองรวมกันอยู่ตรงกลางประตู คุณแดนที่เป็นคนขับรถและมักจะสังเกตมองซ้าย, ขวา, หน้า, หลังอยู่ตลอดเวลา จึงเหลือบไปเห็นในอาคารนั้นว่ามี ‘ผู้หญิงผมยาวแต่ไม่เห็นหน้า ใส่ชุดสีขาว ยืนเอามือที่ซีดเผือดข้างหนึ่งจับผ้าม่านเพื่อแหวกดูว่าใครมา’ คุณแดนเห็นดังนั้นก็เงียบและหันไปมองหน้าพี่สาว ปรากฏว่าพี่สาวเองก็หน้าเริ่มเสีย จึงรีบขับรถผ่านอาคารร้างนี้ไป และบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าออกจากสถานที่ตรงนี้แล้ว จะเล่าให้ฟัง” เพราะคิดว่าพี่สาวน่าจะเห็นแบบที่ตนเห็นเช่นกัน

 

เมื่อเข้าไปดูสถานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับก็ต้องขับรถออกมาเจอกับอาคารร้างแห่งนี้อีกครั้ง คุณแดนรีบขับรถออกมาแทบจะไม่ชะลอเลย หลังจากนั้นก็ตรงไปยังสนามกอล์ฟของคู่แข่ง และก่อนจะกลับมายังที่พักได้มีโอกาสถามพี่สาวว่าตอนที่เข้าไปยังสนามกอล์ฟของลูกค้า รู้สึกอะไรไหม? พี่สาวก็ตอบมาว่า “รู้สึกขนลุกตั้งแต่เห็นอาคารหลังนั้นแล้ว” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เห็นให้พี่สาวฟัง

 

หลังจากนั้น ด้วยความเพลียที่ต้องขับรถทั้งวันคุณแดนจึงอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทันที และได้ฝันเห็นถึงอาคารหลังนั้นอีกครั้ง ในนั้นมีคนอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่คุณแดนเห็นอยู่ตรงนั้นด้วย เขาเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ช่วยเค้าหน่อยเค้าร้อนมาก” จากนั้นก็ยื่นรีโมทสีฟ้าเก่า ๆ มาให้ แถมยังพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าช่วยเขาหน่อยเขาร้อนมาก คุณแดนเองก็ได้สังเกตเห็นว่าตรงขอบกระจกภายในตึกถูกทุบจนบิ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จึงได้บอกเขาไปว่ามันเปิดไม่ได้ มันเสีย เขาก็ทำหน้าโกรธเหมือนไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่ช่วยเขา หลังจากนั้นนาฬิกาก็ปลุกทำให้คุณแดนสะดุ้งตื่น และได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้พี่สาวฟัง พี่สาวเลยบอกว่า “ลองพูดอะไรสักอย่างดูสิ” คุณแดนจึงพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เอางี้ ถ้าได้โครงการนี้ กลับกรุงเทพฯไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้” หลังจากนั้นจึงขับรถออกไปดูสนามกอล์ฟของคู่แข่งที่เหลือ ซึ่งมีอยู่ที่หนึ่งจะต้องไปแถวอำเภอสันทราย แต่อำเภอนี้ถูกแบ่งเป็นสองที่ได้แก่ สันทรายหลวง และ สันทรายน้อย ด้วยความที่ไม่ใช่คนในพื้นที่จึงเปิด GPS เพื่อนำทางแทน 

 

ระหว่างทางคุณแดนมองเห็นภูเขา ซึ่งบนภูเขามีวัดสีขาวสวยงามตั้งอยู่ จึงพูดกับพี่สาวว่า “หูย วัดสีขาวสวยมากเลยอ่ะ ตั้งอยู่บนนั้นเด่นมากเลย” สักพัก GPS ก็บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนจึงขับไปตามเส้นทางนั้น แต่ถนนก็เริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่เลนเดียว และเห็นว่าที่กำลังตรงไปมันเหมือนถนนขึ้นไปบนภูเขา แต่คุณแดนก็ได้เช็คดูใน GPS  อีกครั้ง พบว่าพื้นที่ข้าง ๆ เป็นสนามกอล์ฟ จึงคิดว่าทางเข้าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ยิ่งขับเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าถนนเส้นนี้พาเข้าไปในป่ามากขึ้นทุกที เพราะบรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มครึ้มไปด้วยเงาจากต้นไม้ แถมระหว่างทางก็เต็มไปด้วยการบวชต้นไม้ (การนำจีวรพระมาพันรอบต้นไม้เพื่อทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสเติบโตได้เต็มที่)

 

หลังจากขับไปเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร คุณแดนกลับรู้สึกเหงื่อแตกและขนลุก เมื่อหันไปมองพี่สาวที่นั่งตัวแข็งทื่อ มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างเดียว ไม่เหลียวซ้ายแลขวาเลย ทั้งคู่ต่างรับรู้กันว่าเริ่มใจเสียแล้ว จึงเปิดดู GPS อีกครั้ง และเห็นว่าใกล้จะถึงทางเข้าสนามกอล์ฟแล้วจึงรีบขับขึ้นไป แต่ด้วยสัญชาตญาณการขับรถทำให้คุณแดนรู้สึกว่าถ้ามันใกล้จะถึงแล้วทำไมถึงไม่เห็นทางเข้าเลย จึงเบรกรถทันที และ GPS ก็แจ้งขึ้นมาว่าให้เลี้ยวขวา คุณแดนก็ยิ่งเอะใจหนักกว่าเดิม และเปิดกระจกมองดูรอบ ๆ แล้วก็พบว่า “ถ้าตัดสินใจเลี้ยวขวารถก็คงตกจากภูเขาทันที” เมื่อเห็นดังนั้นคุณแดนเลยขับตรงไปอีกหน่อยเพื่อหาที่กลับรถ แต่ปรากฏว่าเป็นทางตัน ยิ่งไปกว่านั้นมันดันเป็นทางที่ขึ้นไปยังวัด วัดเดียวกับที่พูดตอนอยู่บนถนนว่าวัดนี้สวยจังอีกด้วย!! คุณแดนจึงนึกถึงที่เขาเคยพูดไว้กับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาว่า “ถ้าได้งานนี้ จะกลับกรุงเทพไปทำบุญให้” แต่เหมือนเขาใจร้อนจึงพามายังวัดนี้เพื่อให้เรารีบทำบุญให้ คุณแดนรีบกลับรถและลงมายังข้างล่างทันที ซึ่งตอนนั้นไม่มีสัญญาณ แต่ระหว่างทาง GPS ก็ดังขึ้นมาและพูดซ้ำ ๆ ว่า “กลับรถ ๆๆๆๆๆๆ” จนพี่สาวบอกให้คุณแดนปิดโทรศัพท์ทันที! 

 

เมื่อกลับมาถึงตรงที่ตอนแรก GPS บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนก็เลี้ยวขวา ใช้เวลาขับรถไปอีกแค่ 200 เมตรเท่านั้น ทั้งคู่ก็ถึงสนามกอล์ฟ หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะไปต่ออีกที่ ซึ่งได้หาข้อมูลมาแล้วว่าสนามกอล์ฟนี้ยังเปิดให้บริการอยู่ จึงเปิด GPS นำทางอีกครั้ง เมื่อขับรถไปได้สักพักก็ได้เจอกับโค้งหักศอก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเลยทางเข้าสนามกอล์ฟไปแล้ว! คุณแดนจึงหยุดรถ แต่ดันหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันบ้านร้าง! พอกลับรถมาถึงตรงทางเข้าสนามกอล์ฟตามที่ GPS บอก คุณแดนหันไปเห็นว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวที่มีสายสิญจน์กั้นอยู่ ทั้งสองคนเริ่มใจคอไม่ดีและคิดว่าไม่น่าจะใช่ทางเข้าสนามกอล์ฟแน่ ๆ จึงขับรถกลับไปยังถนนเส้นหลักเพื่อเริ่มต้นใหม่และเปิด GPS ให้นำทางอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดิมเพราะต้องเลี้ยวซ้ายจากทางเลียบชลประทาน แต่กลับกลายเป็นว่าถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่นำพาทั้งสองคนกลับขึ้นมายังบ้านร้างหลังนั้นเหมือนเดิม! พี่สาวเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีว่า ถ้าครั้งนี้ไม่เจอกลับเลยนะ! เพราะว่ามันใกล้จะมืดแล้ว คุณแดนจึงตัดสินใจว่าจะเลี้ยวขวาจากทางเลียบชลประทานแทน และขับไปอีกประมาณ 10 นาที ในที่สุดก็ได้เจอกับทางเข้าสนามกอล์ฟ

แต่ความชื้นใจก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสนามกอล์ฟตรงนี้ดันไม่ตรงปก ดูร้างกว่าที่คิด และมีโปสเตอร์ที่เขียนข้อความประมาณว่าจะพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างเป็นหมู่บ้านแปะอยู่ คุณแดนจึงเช็คเส้นทางอีกครั้ง ว่าถ้าขับตรงเข้าไปข้างใน จะมีสนามกอล์ฟจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งมันก็มี จึงคิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ขับเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน สักพักก็เจอศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง และรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ทั้งสองข้างถนน ความรู้สึกตอนนั้นของทั้งคู่คงหนีไม่พ้นสุภาษิตที่ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” 

 

เมื่อขับรถตรงเข้าไปอีกสักพักก็เจอกับสโมสรและหมู่บ้านตัวอย่างร้าง จู่ ๆ ก็มีคุณลุงขับรถโฟวิลออกมาจากอีกทาง คุณแดนจึงจะเลี้ยวไปตามทางที่ลุงคนนั้นขับรถออกมา เผื่อจะเจอสนามกอล์ฟ พี่สาวจึงทักขึ้นมาว่า “เธอคิดว่าเขาเป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม” คุณแดนจึงตอบไปว่า “เป็นคนสิ เนี่ยรถมันเคลื่อนตัวอยู่” ซึ่งคุณแดนคิดถูก เพราะมันเป็นทางเข้าสนามกอล์ฟจริง ๆ แต่ทว่าที่ตรงนั้นกลับร้างไปหมด มีเพียงแม่บ้านคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นคุณแดนเกิดปวดปัสสาวะจึงขอเข้าห้องน้ำ แต่พี่สาวก็รีบห้ามและบอกว่าไม่ให้ลงจากรถ “เพราะถ้าลงไปแล้วเธอมองไม่เห็นพี่ พี่มองไม่เห็นเธอจะทำยังไง” คุณแดนคิดได้ดังนั้นประกอบกับความกลัวเพราะบรรยากาศเริ่มมืดค่ำแล้ว จึงรีบขับรถออกมาทันที ระหว่างที่ขับรถออกมาจากเส้นทางนั้นแล้วต้องผ่านศาลเพียงตาก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนมีคนมองตามอยู่ตลอดเช่นเดิม 

 

หลังจากเจอเหตุการณ์ชวนหลอนมาทั้งวัน ทั้งคู่จึงซื้อชุดสังฆทานเพื่อเตรียมไปทำบุญในวันถัดไป และย้ายไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง หลังจากดื่มด่ำค่ำคืนในเชียงใหม่ด้วยน้ำเมาแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อจะนอนหลับให้สนิท ไม่ต้องตื่นมาเจออะไรกลางดึกอีก ซึ่งห้องที่คุณแดนพักนั้นอยู่ชั้น 1 และอยู่ใกล้ถนน ทำให้ฤทธิ์น้ำเมาก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะได้ยินเสียงคนหลายคนมายืนเรียกชื่ออยู่หน้าห้อง ก่อนที่จะเผลอขานรับไป แต่ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าที่เชียงใหม่แทบจะไม่มีคนรู้จักเลย แล้วจะมีคนมาเรียกได้อย่างไร? เสียงเรียกนั้นดังแว่วอยู่ประมาณ 15 นาที พอเช้าวันใหม่มาถึงปรากฏว่าพี่สาวก็มาเล่าให้ฟังว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับคุณแดนเป๊ะ! ทั้งคู่จึงรีบเก็บของและเช็คเอาท์ออกทันทีโดยที่ไม่ลืมว่าจะต้องไปทำบุญ ซึ่งใกล้  ๆ นั้นเองมีวัดที่ชื่อว่า “วัดลอยเคราะห์” จึงตัดสินใจว่าจะไปทำบุญที่นี่ และพี่สาวก็ชอบชื่อวัดนี้มากๆ เพราะความหมายดี 

 

ทั้งสองคนเดินถือถังสังฆทานเข้าไปในวัดเพียงไม่กี่ก้าว พระที่นั่งอยู่ก็กวักมือเรียกทันทีว่า “โยมมานี่ ๆ” ซึ่งคุณแดนคิดว่าปกติเราจะต้องสวดนะโมสามจบแล้วพูดบทสวดถวายสังฆทาน แต่พระท่านกลับบอกว่า “ไม่ต้อง เดี๋ยวอาตมาสวดให้เลย” ซึ่งพระท่านเองก็สวดเป็นบทภาษาเหนือและให้กรวดน้ำ ระหว่างกรวดน้ำก็มีบทสวดแปลก ๆ อีกเพราะไม่เคยได้ยิน ซึ่งในใจคุณแดนขณะนั้นก็พูดว่า “ถ้าได้รับบุญกุศลในครั้งนี้แล้วช่วยทำให้รับรู้ด้วย ว่าได้รับแล้วจริง ๆ” ปรากฏว่าพอคุณแดนนำน้ำที่กรวดไปเทที่ต้นไม้และกลับเข้ามาที่อุโบสถ ตอนนั้นเองก็มีลมแรงพัดมากระทบกับกระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ชายหลังคา ไล่จากด้านหน้าไปด้านหลัง “ดังติ้งติ้งดิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่สาวหันมามองหน้าคุณแดนด้วยอาการตกใจ จึงเล่าสิ่งที่คุณแดนอธิษฐานในใจให้ฟัง และมานั่งคุยกันอีกครั้งหนึ่งว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรู้แน่เลยว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานที่นี่เราไปทำบุญกับครูบาน้อยกันมา และพอได้มาเจอกันจึงคิดว่าถ้ามาสื่อสารกับเราทั้งสองคน เราจะทำบุญให้เขาได้เร็ว

 

หลังจากอ่านเรื่องนี้จบ หลาย ๆ คนคงจะเห็นใจคุณแดนและพี่สาวกันแน่นอน เพราะเหนื่อยจากการทำงานไม่พอยังต้องมาเหนื่อยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เจอจากผีขี้ใจร้อนอีก สุดท้ายการพูดหรือรับปากกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม จะต้องใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะความหวังดีมันจะดีก็ต่อเมื่อเราไม่เดือดร้อน

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

01 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเคเบิ้ล’ เรื่องที่มีชื่อว่า ‘บ้านรีโนเวท’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็คบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณบอย’ โดยต้องย้อนกลับไปในช่วงที่คุณบอยทำอาชีพฉีดปลวก ซึ่งตัวคุณบอยจะมีเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจต่าง ๆ เพื่อนของคุณบอยได้ไปรับงานจากคนที่รู้จัก ซึ่งคนนี้คือเพื่อนของเพื่อนคุณบอยและเป็นหลานเจ้าของบ้าน เขาอยากให้ไปจัดการปลวก หนู และแมลงต่าง ๆ แต่ก่อนที่จะไปทำ คุณบอยได้เข้าไปดูสถานที่จริงว่าบ้านเป็นอย่างไร ซึ่งคุณบอยบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นปูน ด้านบนเป็นไม้ บริเวณด้านล่างจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ด้านบนจะสำคัญกว่าเพราะเป็นไม้ จะต้องไล่ปลวกและฉีดปลวกก่อน ด้วยความที่ตัวคุณบอยเชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่แล้ว จึงรู้ว่าควรจะเริ่มทำอย่างไรก่อน บริเวณชั้น 2 จะมี 3 ห้องได้แก่ 2 ห้องนอน 1 ห้องโถง ก่อนที่คุณบอยจะเริ่มสำรวจ เจ้าของบ้านได้บอกให้เข้าไปดูห้องหนึ่ง เป็นห้องที่คิดว่าน่าจะเสียหายมากที่สุด คุณบอย เพื่อนคุณบอย และเจ้าของบ้านจึงขึ้นไปยังห้องนั้น คุณบอยบอกว่าแว๊บแรกที่เปิดประตูเข้าไปคือมีกลิ่นเหม็นเน่า เหมือนมีซากสัตว์ตายจำนวนมาก ตามสัญชาตญาณของคนทำงานแนวนี้สันนิษฐานว่าจะมีอยู่ 2 อย่างที่ตาย คือไม่หนูก็ตุ๊กแก จากนั้น คุณบอยก็ได้เดินไปสำรวจ ในระหว่างที่เดินสำรวจมุมต่าง ๆ คุณบอยก็ได้ไปเจอกับซากตุ๊กแกตายหลายจุด แต่มีอยู่หนึ่งตัวที่ดูแปลกไปคือมีแต่ตัวส่วนหัวหายไป ทำให้คุณบอยทราบว่าที่ห้องนี้เหม็นเพราะตุ๊กแกตาย คุณบอยจึงแจ้งกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้อาจจะต้องทำเยอะ ยังไม่รวมบนฝ้าที่ไม่รู้ว่าหนักขนาดไหน คุณบอยจึงจำเป็นที่จะต้องปีนขึ้นไปดู เมื่อคุณบอยเห็นก็ได้บอกว่า “หนักกว่าข้างล่างอีก” เพราะว่ามีซากตุ๊กแกนอนตายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด แต่คุณบอยก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะบ้านหลังนี้อยู่ในสวนจึงไม่แปลก แต่ที่ผิดปกติคือบนฝ้ามีรอยมือคนที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้า รอยเท้า รอยมือเต็มไปหมด ที่แปลกที่สุดคือตรงไหนที่มีคานติดกับฝ้าที่มีระยะห่างเพียงแค่นิดเดียว จะมีรอยมือที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้าสามารถผ่านช่องเล็ก ๆ นั้นไปได้ เมื่อคุณบอยลงมาด้านล่าง ได้บอกกับเจ้าของบ้านว่า “ด้านบนต้องทำความสะอาดเยอะนะ” เพราะกลิ่นเหม็นมาจากด้านบนเนื่องจากมีตุ๊กแกตายเยอะ หลังจากสำรวจห้องนี้เสร็จก็ไปสำรวจห้องอื่นต่อซึ่งเป็นห้องของน้าสาว ห้องนี้ก็เละไม่ต่างกัน มองไปทางไหนก็มีซากตุ๊กแกตาย เมื่อสำรวจเสร็จคุณบอยก็มาคุยกับเจ้าของบ้านว่า “ต้องทำเยอะนะ” เวลานั้นเป็นช่วงเที่ยงพอดี คุณบอยจึงลงมาพักทานข้าว ระหว่างที่กินข้าว ด้วยความที่คุณบอยเป็นคนที่ปีนขึ้นไปสำรวจบริเวณฝ้าและรู้สึกผิดปกติจึงคิดอยากถามกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าของบ้านจึงได้เล่าว่า อดีตของบ้านหลังนี้มีน้าสาวของเจ้าของบ้านอาศัยอยู่ ซึ่งห้องที่ไปดูมาเป็นห้องของน้าสาว น้าสาวเป็นคนหน้าตาดี สวย มีผู้ชายมาจีบเยอะ วัน ๆ ก็มักจะมีหนุ่ม ๆ ขี่รถมาจีบจนเป็นกิจวัตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของน้าสาว ซึ่งบ้านหลังนี้ไม่มีรั้ว เมื่อจอดเสร็จผู้หญิงคนนี้ก็ได้หยิบห่อผ้าขาวที่พกมาปาเข้าไปในห้องของน้าสาว หลังจากนั้นก็ด่าน้าสาวพร้อมกับสาปแช่ง คนในบ้านและน้าสาวตกใจจึงพากันแห่ออกมาดู ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนนี้โกรธจัดยืนชี้หน้าด่าน้าสาว จนคนในบ้านต้องจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและไล่น้าสาวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างที่กำลังจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและน้าสาวกำลังกลับเข้าห้อง ขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงน้าสาวกรี๊ด ทุกคนจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือน้าสาวนอนสลบอยู่ข้าง ๆ ห่อผ้า ซึ่งหลังจากที่ห่อผ้าถูกปาเข้ามาก็แตกกระจาย สิ่งที่ทุกคนเห็น คือ เป็นก้อนขาว ๆ ขุ่น ๆ มีเศษผม เศษเล็บ เต็มไปหมด เหมือนกับเป็นห่อผ้าที่ใช้ห่อกระดูกคนแล้วถูกเอามาโยนใส่เพื่อทำอะไรบางอย่าง ในช่วงชุลมุนนั้นเอง ญาติก็ช่วยกันเก็บห่อผ้าไปไว้สักที่ แล้วพาน้าสาวไปโรงพยาบาล เมื่อตรวจแล้วก็ไม่มีความผิดปกติ แต่หลังจากวันนั้น น้าสาวมักจะบ่นปวดหัว และทำตัวไม่ปกติ จากที่เป็นคนสวย เป็นมิตร กลับกลายเป็นเก็บตัวไม่ออกจากห้อง ไม่กินข้าว จนต้องนำข้าวเข้าไปในห้อง แม้จะพาไปหาหมอแต่ก็ได้ความเหมือนเดิมว่าน้าสาวไม่ได้เป็นอะไร แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้น คนในบ้านกำลังจะเอาข้าวไปให้น้าสาว ปรากฏว่าเคาะประตูแล้วแต่ก็ไม่ยอมเปิด จึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือน้าสาวนั่งอยู่ที่มุมห้องกำลังทำอะไรบางอย่าง พอเรียกน้าสาวที่ทำตัวยุกยิก น้าสาวที่กำลังทำอะไรอยู่นั้นก็หยุดทันทีแล้วหันมา สิ่งที่เห็นทำเอาคนในบ้านตกใจมาก คือ น้าสาวกำลังคาบหัวตุ๊กแกที่ถูกดึงออกมาจากตัวและเต็มไปด้วยเลือด ด้วยความที่ทุกคนในบ้านตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้าและเอาหัวตุ๊กแกออกแล้วนำส่งโรงพยาบาล โรงพยาบาลจึงแจ้งว่าอาการนี้น่าจะผิดปกติทางจิต มีใครในบ้านไปทำอะไรที่ส่งผลให้น้าสาวได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจรึป่าว ทางบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร ไปหาพระก็แล้ว หมอดูก็แล้ว ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอาการของน้าสาวคือ ‘โดนของ’ แต่ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่สิ่งที่หนักขึ้นกว่าเดิม คือทุกวันที่มีฝนตกน้าสาวจะกรีดร้องเสียงดัง โหวกเหวกโวยวายเหมือนคนเสียสติ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนมาเยี่ยมบ้านหลังนี้ ประจวบเหมาะกับวันนั้นเป็นวันฝนตก ทุกคนในบ้านก็เฝ้าระวังว่าน้าสาวจะกรีดร้องหรือไม่ ปรากฏว่าเมื่อฝนตกน้าสาวกลับเงียบกริบ แต่ฝ้าเพดานข้างบนมีเสียง กุกกักไปมา คนในบ้านจึงคิดว่าเป็นหนู เลยพยายามไล่ดูและเอาไม้กระทุ้งเพดาน ระหว่างที่กำลังเอาไม้กระทุ้งนั้นก็มีฝ้าแผ่นหนึ่งหลุดลงมา แล้วทุกคนก็หันไปมอง สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ น้าสาวห้อยหัวลงมาจากฝ้าปากคาบตุ๊กแกไปด้วย แล้วน้าสาวก็วิ่งกลับเข้าไปในเพดาน พอปีนเข้าไปดูปรากฎว่าฝ้าเพดานเต็มไปด้วยซากตุ๊กแกที่น้าสาวเหมือนไปจับแล้วกิน เหมือนกับคนโรคจิต คนในบ้านเลยจับน้าสาวลงมาสงบสติ ระหว่างที่ลงมาน้าสาววิ่งเข้าไปในอีกห้อง ทุกคนจึงรีบวิ่งตามไป พอไปถึงก็เห็นน้าสาวกำลังนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง นั่งหันหลังให้ออกไปด้านนอก หันหน้าเข้ามาในบ้านแล้วแกก็เคี้ยวตุ๊กแกไปด้วย คนในบ้านจึงจะรีบวิ่งไปจับ ปรากฏน้าสาวทิ้งตัวเองหงายลงไปจากชั้น 2 นอนแน่นิ่งอยู่ด้านล่าง ทุกคนจึงรีบพาไปโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นหมอแจ้งว่าน้าสาวเสียชีวิตแล้ว สาเหตุการตายไม่ได้มาจากการตกจากชั้น 2 แต่เสียชีวิตจากการที่เลือดเป็นพิษที่น่าจะมาจากสิ่งที่น้าสาวกินเข้าไป ก็คือตุ๊กแกจำนวนมากที่ทั้งดิบทั้งสกปรก หลังจากจัดการพิธีศพของน้าสาวเสร็จ คนในบ้านก็คิดกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้าสาว สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวคนในบ้าน คือผู้หญิงที่เคยมาโยนห่อผ้าสีขาวใส่หิ้งของน้าสาว คนในบ้านเลยคุยกันว่าห่อผ้าที่ถูกเก็บไปอยู่ที่ไหน ซึ่งก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเก็บและห่อผ้าถูกเก็บไว้ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าของบ้านต้องหาให้ได้คือผู้หญิงคนนี้เป็นใคร จึงเริ่มสืบจากการไปถามคนนั้น คนนี้ ว่ารู้จักผู้หญิงลักษณะแบบนี้ไหม แล้วก็ได้คำตอบจากป้าคนหนึ่งในหมู่บ้านว่ารู้จัก บ้านอยู่ไม่ไกลกันเอง ทำให้ฉุกคิดได้ว่าทำไมรู้สึกหน้าคุ้น ๆ เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเลยไปที่บ้านของผู้หญิงคนนี้ เมื่อไปถึงคนข้างบ้านบอกว่าบ้านหลังนี้เคยมีสามีภรรยาอยู่ แต่เสียชีวิตหมดแล้ว เหมือนคู่นี้ทะเลาะกันแล้วผู้ชายหนี ผู้หญิงจึงผูกคอตาย จากนั้นก็มีการสืบเรื่องต่อไปอีก ได้ความว่า ผู้ชายบ้านนี้เจ้าชู้ จีบผู้หญิงไปเรื่อย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ผู้ชายจะไปจีบบ่อยก็คือน้าสาว ผู้หญิงจึงจับได้ว่าสามีตัวเองมาบ้านน้าสาวบ่อย จึงทะเลาะกับผู้ชายทำให้ผู้ชายหนีออกจากบ้านไป ผู้หญิงคนนี้เสียใจมากเลยผูกคอตาย แต่ก่อนที่จะผูกคอตายผู้หญิงคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่บ้านของน้าสาวก่อนแล้วทำคุณไสยใส่น้าสาว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณโบ ‘206 ห้องอาถรรพ์’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

06 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณโบ ‘206 ห้องอาถรรพ์’ I อังคารคลุมโปง X POPPY C. [ 2 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณโบว์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘206 ห้องอาถรรพ์’ จะหลอนขนาดไหนนั้นไปอ่านกันเลย! คุณโบว์เล่าว่า ก่อนที่จะมาอยู่ที่ห้องเช่าตนอยู่ที่บ้านเป็นปกติ แต่เมื่อต้องมาทำงานในเมืองจึงอยากจะเช่าหอหรือคอนโดอยู่ ไม่นานก็มีน้องแนะนำหอพักแห่งหนึ่งให้ได้รู้จัก จะได้อยู่ใกล้กันด้วย คุณโบว์จึงไปดูสถานที่นั้น ซึ่งหอพักนี้เป็นหอพักที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่หอพักแห่งนี้ค่อนข้างเก่า ด้านขวามือจะเป็นตึก 1 ถ้าตรงไปจะเป็นตึก 2 เมื่อไปถึงเจ้าของห้องก็พาคุณโบว์เดินชมสถานที่ แล้วก็เลือกห้องพัก เมื่อไปถึงตึก 1 ก็ขึ้นไปในห้องที่อยู่ชั้น 2 คุณโบว์รู้สึกว่า ห้อง 206 ดูดี แต่เสียอย่างหนึ่งก็คือมันติดกับถนน จึงขึ้นไปดูชั้น 4 ปรากฏว่าสภาพดีกว่าชั้น 2 แต่คุณโบว์ไม่ค่อยถูกใจ รู้สึกว่าตอนเดินเข้าไปมันอึดอัด คุณโบว์จึงไปเดินอีกตึกแต่ก็ยังไม่ถูกใจ จึงเลือกห้องที่อยู่ชั้น 2 นั่นก็คือห้อง 206 แม้ห้องมีเสียงดังเพราะติดกับถนนแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนจึงเลือกห้องนี้ เวลาผ่านไป 1 เดือน คุณโบว์ก็ได้เข้ามาอยู่ห้องนี้ ตอนแรกไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ด้านซ้ายมือจะเป็นประตู ถัดมาจะเป็นชั้นวางของ ปลายเตียงเป็นทีวี ด้านขวามือเป็นห้องน้ำ มีอยู่คืนหนึ่ง คุณโบว์ได้พูดคุยกับเพื่อน เพื่อนก็ได้เล่าเรื่องตลกให้ฟัง คุณโบว์นั่งหัวเราะคุยกันยาวจนถึงตี 2 จากนั้นปลายตาก็สังเกตุเห็นด้านซ้ายเป็นชายผ้าถุง ตอนแรกก็รู้สึกว่าตนอาจจะง่วงนอน หรือตาฝาด จึงพยายามที่จะเพ่งไป แต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพราะรู้สึกแปลก ๆ ขออธิบายเพิ่มเติมว่าผนังห้องเป็นสีเหลืองทั้งหมด คุณโบว์ได้แต่สงสัยว่าทำไมตนถึงได้เห็นชายผ้าถุง หลังจากนั้นก็ขอวางสายเพื่อน เพราะเริ่มรู้สึกกลัวและมันก็ดึกมากแล้ว พอวางสายเสร็จ คุณโบว์ก็หันไปเล็กน้อย ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวใส่ผ้าถุงก้มหน้าแต่ไม่มีขา แต่คุณโบว์เองก็ไม่กล้าที่จะหันไปตรง ๆ เพราะเห็นที่ปลายตาแล้ว จากนั้นก็รวบรวมสติและหันไปอีกที ทีนี้ไม่เจออะไร! คุณโบว์คิดว่าตนตาฝาด และอาจจะมโนคิดภาพไปเอง แต่ก็กลัวจึงเอาพระมาใส่แล้วก็นอนหลับไป วันรุ่งขึ้น คุณโบว์ทำงานเสร็จแต่เลิกเร็วกว่าปกติ จึงกลับมานอนช่วงบ่าย พอนอนไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนถูกอำ กระดิกตัวไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “กูจะกินพ่อกับแม่มึง” คุณโบว์พยายามที่จะพูดแต่พูดไม่ออก จึงรวบรวมสติและสวดมนต์ แต่ก็นึกบทสวดไม่ออกเพราะกลัวมาก จากนั้นก็พยายามพูดว่า “ไม่ได้” ออกไปอีกรอบ ครั้งนี้หลุดออกมาได้ จากนั้นแม่ก็โทรมาพอดี คุณโบว์ตัดสินใจถามแม่ว่า “แม่ ที่บ้านมีอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า” แม่ก็บอก “ไม่มีนะ” คุณโบว์ถามต่อว่า “แม่ทำอะไรอยู่” แม่บอกว่า “ แม่กำลังเอาน้ำแดงไปไหว้ทางสามแพร่ง” คุณโบว์จึงสงสัยว่าไปไหว้ทำไมเพราะปกติก็ไม่ได้ทำ ไม่นานคุณแม่ก็บอกว่า “เห็นคนอื่นทำเลยทำบ้าง” คุณโบว์จึงห้ามคุณแม่เพราะตนรู้สึกเหมือนเป็นการเรียกสัมภเวสีเข้าบ้าน หลังจากนั้นคุณโบว์ที่ยังรู้สึกกลัว จึงคิดว่าจะกลับบ้านและไปอัญเชิญพระที่บ้านมาไว้ที่หอ วันต่อมา คุณโบว์กลับบ้านและนำมาพระมาไว้ที่หอ ก็รู้สึกสบายใจขึ้น และคิดว่าตนอาจจะคิดภาพมโนหรือตาฝาดไปเอง ในวันนั้นก็นอนดึก คืนถัดไปก็นอนดึก แล้วก็สวดมนต์ แต่ในขณะที่สวดมนต์คุณโบว์รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ข้างหลัง แล้วบทสวดที่สวดคือบทชิณบัญชร จากนั้นก็มีเสียงกรี๊ดใส่หู คุณโบว์ตกใจเพราะบริเวณหอพักในตอนนั้นควรจะเงียบสงบ คุณโบว์รู้สึกกลัวมากจึงเอาพระมาวางรอบตัวและใส่พระนอน แต่ก็ทนไม่ไหวเพราะอยากทราบว่าในห้องมีผีจริงหรือไม่ จึงติดต่อหมอดูท่านหนึ่งที่ดังระดับประเทศมาช่วยเหลือ สิ่งแรกที่หมอดูบอกคือให้ออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพราะว่าถ้าไม่ออกจากห้องนี้เขาจะทำให้เราซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย! แล้วหมอดูก็เล่าให้คุณโบว์ฟังว่า เดิมหอพักนี้ไม่ใช่หอพัก เมื่อ 30 ปีที่แล้วสถานที่นี้เป็นบ้านคน และมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่และมีลูกสาว ลูกสาวคนนี้มีความดาร์ก และถูกพ่อแม่ขัดขวาง จึงผูกคอตายที่ประตูซ้ายที่คุณโบว์เห็น ซึ่งวิญญาณเหมือนดลจิตดลใจให้ตัวคุณโบว์มาพักที่ห้องนี้ และเหมือนเขาจะอยากให้คุณโบว์ไปอยู่เป็นเพื่อน เพราะว่าชีวิตคุณโบว์คล้ายกับเขา เวลาที่คุณโบว์อยู่ห้องนี้จะทำให้ทุกข์ใจมาก เช่น บางทีทะเลาะกับแม่ ทะเลาะกับเพื่อน หรือทะเลาะกับแฟน ตัวคุณโบว์ก็จะร้องไห้ทุกวัน และเวลาที่คุณโบว์ร้องไห้เขาก็จะมายืนดู หรือบางทีก็มานอนข้าง ๆ และหมอดูก็บอกต่ออีกว่า หลังจากที่ฟังจบแล้วให้รีบไปถวายพระ 9 นิ้วและปล่อยปลาตามอายุเพื่อส่งวิญญาณไป และให้รีบย้ายออกโดยด่วน คุณโบว์จึงพยายามจะไปทำตามที่หมอดูบอก แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ไม่ได้ไป เช่น ฝนตก ติดงาน ทำให้เวลาล่วงเลยไปกว่า 2 เดือน เหมือนเขาไม่อยากให้คุณโบว์ไป จนเวลายืดยาวทำให้คุณโบว์อยู่ห้องนี้ 1 ปีเต็ม พอถึงวันสุดท้ายที่คุณโบว์จะออกจากห้องนี้ คุณโบว์ก็บอกกับเขาว่า “เราทำบุญให้แล้วอย่าตามเรามานะ เราไม่รู้ว่าจะช่วงส่งวิญญาณไปได้ไหม แต่เราเต็มใจที่จะทำบุญให้นะ”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

29 ก.ย. 2023

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

เมื่อตัดสินใจเช่าบ้านใจกลางเมืองในราคาถูก แถมยังได้รับคำเตือนชวนหลอนจากยายเจ้าของบ้านอีก งานนี้จะเจออะไรในบ้านหลังนี้บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ก.ย. 2566) จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวที่คุณอ๊อฟไปประสบพบเจอเป็นมาจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของญาติคุณอ๊อฟ เริ่มจากเขาอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีพี่สาว3 คน พี่สาวต่างก็มีแฟนกันหมด จึงคิดว่าจะแยกตัวออกมาเช่าบ้านด้วยกัน และก็มีคนแนะนำบ้านมาให้ลองไปติดต่อดู เหล่าพี่น้องจึงไปดูบ้านตามคำแนะนำ บ้านที่ไปดูคือบ้านไม้ใหญ่สองชั้น มองไปก็เห็นว่ามีคุณยายกวาดพื้นอยู่ข้างล่าง หนึ่งในพี่สาวของคุณอ๊อฟจึงเดินไปถามว่า “ขอโทษนะคะ จะมาเช่าบ้าน” จากนั้นก็ได้รายละเอียดค่าเช่าบ้านจากคุณยาย เช่าเพียงเดือนละ 1,000 บาท มัดจำอีก 3,000 บาท ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจตกลงเช่าบ้านตอนนั้นทันที จากนั้นคุณยายก็พูดกลับมาว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” แต่ทุกคนก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งวันที่ต้องย้ายเข้าไป คุณยายก็ให้กุญแจมาพร้อมกับบอกว่า “ห้องในสุด ที่ล็อคกุญแจไว้ เป็นห้องของเจ้าของบ้าน ห้ามไปเปิด ห้ามไปยุ่งกับมัน” ซึ่งทุกคนก็คิดว่าในเมื่อเช่าทั้งหลังแล้วมันก็ต้องเป็นของเราทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และคิดต่อว่าคงเป็นที่เก็บของ บ้านหลังนี้อาจจะมีเจ้าของที่ไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นทุกคนก็ย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ ซึ่งจะแบ่งห้องเป็นพี่สาวทั้งสามและแฟนอยู่ชั้นบน ญาติคนอื่นและคุณอ๊อฟจะนอนชั้นล่าง หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณอ๊อฟเริ่มรู้สึกว่า มีเงาสีขาว ๆ เหมือนกลุ่มควัน แอบมองคุณอ๊อฟอยู่ตลอด แต่พอหันไปก็ไม่มีอะไร แต่พออยู่ไปนาน ๆ คุณอ๊อฟก็รู้สึกว่า ‘บ้านหลังนี้ต้องมีอะไรแน่นอน’ จึงไปบอกพี่คนโต แต่พี่คนโตก็บอกว่าคิดมากไปเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกคนไปต่างจังหวัดกันหมด เหลือแค่แฟนของพี่คนโตอยู่คนเดียว ซึ่งห้องของเขาจะอยู่ตรงข้ามกับห้องที่ล็อคกุญแจ พอตกดึกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนเป็นเสียงเคาะฝาบ้านรอบ ๆ ข้างนอก แต่ก็คิดว่าคงเป็นกิ่งไม้ พอนอนไปสักพัก ก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อออกมาก พอมองไปที่พัดลมปลายเท้าก็รู้สึกว่ามีหมอกกลุ่มควันดำ ๆ เขาคิดว่าพัดลมไหม้ จึงลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าทุกอย่างยังปกติเหมือนเดิม และกลุ่มควันนั้นได้หายไปแล้ว จึงตัดสินใจหลับต่อ แต่รอบนี้เสียงมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเสียงรอบนอกและตัวพัดลมก็มีเสียง แป๊ก! เหมือนเป็นเสียงกดพัดลม ตอนนั้นก็คิดว่าเขาอยู่คนเดียว ถ้าเขาไม่กดแล้วใครจะกด จึงคิดว่าเป็นขโมย เขาจึงลุกขึ้นมา แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาช็อกมาก! เพราะมันคือเงาสีขาว ๆ เป็นกลุ่มควัน นั่งเอามือจิ้มปุ่มพัดลมอยู่ ดัง แป๊ก แป๊ก แป๊ก เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไปหน้าปากซอยเพราะเป็นจุดที่สว่างที่สุด จนถึงเวลาตี 4 จึงกลับไปที่บ้าน หลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ อยู่ดี ๆ ก็เกิดลมพัดแบบแปลก ๆ และมีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นเหมือนเสียงของเล็บขูดผนังไม้ ทุกคนก็คิดว่าเป็นกิ่งไม้ แต่น้องของคุณอ๊อฟพูดขึ้นมาว่า “กิ่งไม้บ้าอะไรล่ะ ต้นไม้บ้านเรายังไม่มีเลยซักต้น” เมื่อทุกคนคิดได้ดังนั้น ก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี จึงตัดสินใจแยกกันไปนอนชั้นบนกับพี่ ๆ ตัวคุณอ๊อฟได้ไปนอนกับพี่คนโต ซึ่งก่อนที่คุณอ๊อฟจะเข้าห้องไป ได้เห็นห้องตรงข้ามที่ล็อคกุญแจอยู่ แต่ว่าในตอนนั้น กุญแจมันได้หายไป! แต่คุณอ๊อฟก็ไม่ได้คิดอะไรจึงเข้าห้องของพี่สาวคนโตไป แล้วคุยกับพี่สาวว่า “มันไม่มีกุญแจแล้วนะ ใครเปิดห้องหรือเปล่า เดี๋ยวคุณยายก็ว่าเอา” พี่สาวจึงตอบกลับมาว่า “มันไม่มีใครเปิด ใครจะเปิดไม่มีลูกกุญแจ” แต่ตัวของแฟนพี่สาวพูดออกมาว่า “ไม่มีลูกได้ไง วันนั้นผมยังเห็นคุณเปิดอยู่เลย!” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงพากันออกไปดูที่ประตู คนที่อยู่ห้องอื่น ๆ ก็พากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือตัวแม่กุญแจ ดังแกร๊กขึ้นมา ซึ่งมันปลดล็อคเอง! ทุกคนอึ้งแต่ก็คิดว่า มันคงเก่าสลักเลยปลดเอง แล้วตัวของแฟนพี่สาวคนโตก็เป็นคนเปิดประตูเข้าไป ข้างในที่เห็นคือเป็นห้องไม้ มีหยากไย่ มีฝุ่นเยอะ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นเล็กน้อย มีผ้าคลุมกล่องปริศนา และผนังจะมีรูปอยู่ 3 ใบ แต่ฝุ่นเยอะมากจนทำให้ไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไร ด้วยความสงสัยทำให้เขาไม่ฟังคำเตือนของทุกคนว่าอย่าไปยุ่ง เขาจึงเปิดผ้าออก ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่ผ้าคลุมอยู่คือหีบใบใหญ่ใบหนึ่ง มีเงินวางอยู่ในหีบ 4,000 บาท บนห่อผ้าขาว! เงิน 4,000 บาท นั้นเท่ากับเงินที่จ่ายค่าเช่าไป จากนั้นพี่สาวคนเล็กหันไปทางขวามือ ก็เจอคุณยายคนที่กวาดพื้นนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องกำลังกอดรูปอยู่! จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดรูปลง และแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้พี่สาวคนเล็กกรี๊ดออกมา! ทุกคนจึงหันไปมอง แล้วทุกคนก็เห็นคุณยายเหมือนกันหมด! ทุกคนก็คิดว่า คุณยายเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ในเมื่อปล่อยเช่าแล้ว หรือว่าคุณยายนอนอยู่ในนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ให้เราเข้ามายุ่ง ทุกคนก็พยายามถามคุณยาย แต่คุณยายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วหยิบรูปขึ้นมาค่อย ๆ ปัดเช็ดรูปให้สะอาดจนเห็นภาพชัดขึ้น.. ปรากฏว่านั่นเป็นรูปของตัวคุณยายเอง! ในรูปเขียนว่า ชาตะ-มรณะ ทำให้ทุกคนตกใจวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หลังจากนั้นทุกคนก็มาคิดย้อนคำของคุณยายที่บอกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” ทุกคนก็กลับไปซักถามกับพี่คนโตว่า “คนที่รู้จักอ่ะ ไหนบอกว่ามีบ้านเช่าที่มันปลอดภัยไงวะ” พี่คนโตจึงไปคุยกับคนที่แนะนำบ้านเช่า สรุปว่า บ้านที่เขาบอกนั้นให้เข้าซอยกลาง แต่ที่ทุกคนเข้าไปคือเข้าซอยซ้ายมือสุด สรุปคือทุกคนไปผิดหลัง เมื่อไปสอบถามคนระแวกแถวนั้นก็ได้ความมาว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณยายที่มีนิสัยงกมาก ขนาดที่ว่าพระมาบิณฑบาตก็ว่าพระ ทำให้ชาวบ้านทนไม่ได้ก็ย้ายออก จนเหลือบ้านคุณยายหลังเดียว นอกนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกเลย.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1