ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทำงานที่เชียงใหม่ 4 วัน แต่ดันพบเจอผีสาวในตึกร้าง กะว่าถ้าเสร็จงานนี้จะกลับไปทำบุญให้ แต่ใครจะไปคิด! ว่าผีก็ใจร้อนเป็น!รีบทวงบุญมัดมือชก พาหลงขึ้นไปยังวัดบนภูเขา!

05 พ.ค. 2023

การไปเยือนยังสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็เสี่ยงเจอกับเรื่องขนหัวลุกกันได้ทั้งนั้น เหมือนกับเอเจนซี่หนุ่มอย่าง ‘คุณแดน’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 เมษายน 2566) และได้เล่าประสบการณ์หลอนในการไปทำงานต่างจังหวัดที่จำได้ไม่เคยลืม ให้กับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจมดดำ’ และ ‘ดีเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลย! 

 

คุณแดนเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดเมื่อประมาณสองปีก่อน ตนและพี่สาวต้องไปทำงานเก็บข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของการวางระบบต่าง ๆ ให้กับทางลูกค้าที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังต้องลงพื้นที่ไปยังสถานที่จริง เพื่อศึกษาและสอดส่องคู่แข่งกว่า 14 สถานที่ ใช้เวลาโดยประมาณ 4 วัน ซึ่งลูกค้าเจ้านี้ เป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ คุณแดนเล่าเพิ่มเติมว่า ลูกค้าได้รับมรดกมาจากคุณพ่อ เขาจึงอยากเปลี่ยนแปลงพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นใหม่ เพราะในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด ไม่มีใครมาใช้บริการสนามกอล์ฟแห่งนี้เลย จึงปล่อยเช่าให้คนเกาหลีอยู่พักหนึ่ง แต่หลังหมดสัญญาเช่าก็ปิดสถานที่ไว้ชั่วคราว

เมื่อเดินทางมาถึงสนามกอล์ฟของลูกค้า คุณแดนก็สังเกตบรรยากาศรอบ ๆ สนาม ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่อาคารเก่าสำหรับเก็บอุปกรณ์ช่าง ส่วนขวามือมีรถและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกทิ้งไว้ ถัดไปมีอาคารร้างตั้งอยู่ โดยมีลักษณะเป็นประตูกระจกใสและมีผ้าม่านเก่า ๆ ที่หลุดมากองรวมกันอยู่ตรงกลางประตู คุณแดนที่เป็นคนขับรถและมักจะสังเกตมองซ้าย, ขวา, หน้า, หลังอยู่ตลอดเวลา จึงเหลือบไปเห็นในอาคารนั้นว่ามี ‘ผู้หญิงผมยาวแต่ไม่เห็นหน้า ใส่ชุดสีขาว ยืนเอามือที่ซีดเผือดข้างหนึ่งจับผ้าม่านเพื่อแหวกดูว่าใครมา’ คุณแดนเห็นดังนั้นก็เงียบและหันไปมองหน้าพี่สาว ปรากฏว่าพี่สาวเองก็หน้าเริ่มเสีย จึงรีบขับรถผ่านอาคารร้างนี้ไป และบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าออกจากสถานที่ตรงนี้แล้ว จะเล่าให้ฟัง” เพราะคิดว่าพี่สาวน่าจะเห็นแบบที่ตนเห็นเช่นกัน

 

เมื่อเข้าไปดูสถานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับก็ต้องขับรถออกมาเจอกับอาคารร้างแห่งนี้อีกครั้ง คุณแดนรีบขับรถออกมาแทบจะไม่ชะลอเลย หลังจากนั้นก็ตรงไปยังสนามกอล์ฟของคู่แข่ง และก่อนจะกลับมายังที่พักได้มีโอกาสถามพี่สาวว่าตอนที่เข้าไปยังสนามกอล์ฟของลูกค้า รู้สึกอะไรไหม? พี่สาวก็ตอบมาว่า “รู้สึกขนลุกตั้งแต่เห็นอาคารหลังนั้นแล้ว” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เห็นให้พี่สาวฟัง

 

หลังจากนั้น ด้วยความเพลียที่ต้องขับรถทั้งวันคุณแดนจึงอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทันที และได้ฝันเห็นถึงอาคารหลังนั้นอีกครั้ง ในนั้นมีคนอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่คุณแดนเห็นอยู่ตรงนั้นด้วย เขาเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ช่วยเค้าหน่อยเค้าร้อนมาก” จากนั้นก็ยื่นรีโมทสีฟ้าเก่า ๆ มาให้ แถมยังพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าช่วยเขาหน่อยเขาร้อนมาก คุณแดนเองก็ได้สังเกตเห็นว่าตรงขอบกระจกภายในตึกถูกทุบจนบิ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จึงได้บอกเขาไปว่ามันเปิดไม่ได้ มันเสีย เขาก็ทำหน้าโกรธเหมือนไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่ช่วยเขา หลังจากนั้นนาฬิกาก็ปลุกทำให้คุณแดนสะดุ้งตื่น และได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้พี่สาวฟัง พี่สาวเลยบอกว่า “ลองพูดอะไรสักอย่างดูสิ” คุณแดนจึงพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เอางี้ ถ้าได้โครงการนี้ กลับกรุงเทพฯไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้” หลังจากนั้นจึงขับรถออกไปดูสนามกอล์ฟของคู่แข่งที่เหลือ ซึ่งมีอยู่ที่หนึ่งจะต้องไปแถวอำเภอสันทราย แต่อำเภอนี้ถูกแบ่งเป็นสองที่ได้แก่ สันทรายหลวง และ สันทรายน้อย ด้วยความที่ไม่ใช่คนในพื้นที่จึงเปิด GPS เพื่อนำทางแทน 

 

ระหว่างทางคุณแดนมองเห็นภูเขา ซึ่งบนภูเขามีวัดสีขาวสวยงามตั้งอยู่ จึงพูดกับพี่สาวว่า “หูย วัดสีขาวสวยมากเลยอ่ะ ตั้งอยู่บนนั้นเด่นมากเลย” สักพัก GPS ก็บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนจึงขับไปตามเส้นทางนั้น แต่ถนนก็เริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่เลนเดียว และเห็นว่าที่กำลังตรงไปมันเหมือนถนนขึ้นไปบนภูเขา แต่คุณแดนก็ได้เช็คดูใน GPS  อีกครั้ง พบว่าพื้นที่ข้าง ๆ เป็นสนามกอล์ฟ จึงคิดว่าทางเข้าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ยิ่งขับเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าถนนเส้นนี้พาเข้าไปในป่ามากขึ้นทุกที เพราะบรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มครึ้มไปด้วยเงาจากต้นไม้ แถมระหว่างทางก็เต็มไปด้วยการบวชต้นไม้ (การนำจีวรพระมาพันรอบต้นไม้เพื่อทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสเติบโตได้เต็มที่)

 

หลังจากขับไปเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร คุณแดนกลับรู้สึกเหงื่อแตกและขนลุก เมื่อหันไปมองพี่สาวที่นั่งตัวแข็งทื่อ มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างเดียว ไม่เหลียวซ้ายแลขวาเลย ทั้งคู่ต่างรับรู้กันว่าเริ่มใจเสียแล้ว จึงเปิดดู GPS อีกครั้ง และเห็นว่าใกล้จะถึงทางเข้าสนามกอล์ฟแล้วจึงรีบขับขึ้นไป แต่ด้วยสัญชาตญาณการขับรถทำให้คุณแดนรู้สึกว่าถ้ามันใกล้จะถึงแล้วทำไมถึงไม่เห็นทางเข้าเลย จึงเบรกรถทันที และ GPS ก็แจ้งขึ้นมาว่าให้เลี้ยวขวา คุณแดนก็ยิ่งเอะใจหนักกว่าเดิม และเปิดกระจกมองดูรอบ ๆ แล้วก็พบว่า “ถ้าตัดสินใจเลี้ยวขวารถก็คงตกจากภูเขาทันที” เมื่อเห็นดังนั้นคุณแดนเลยขับตรงไปอีกหน่อยเพื่อหาที่กลับรถ แต่ปรากฏว่าเป็นทางตัน ยิ่งไปกว่านั้นมันดันเป็นทางที่ขึ้นไปยังวัด วัดเดียวกับที่พูดตอนอยู่บนถนนว่าวัดนี้สวยจังอีกด้วย!! คุณแดนจึงนึกถึงที่เขาเคยพูดไว้กับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาว่า “ถ้าได้งานนี้ จะกลับกรุงเทพไปทำบุญให้” แต่เหมือนเขาใจร้อนจึงพามายังวัดนี้เพื่อให้เรารีบทำบุญให้ คุณแดนรีบกลับรถและลงมายังข้างล่างทันที ซึ่งตอนนั้นไม่มีสัญญาณ แต่ระหว่างทาง GPS ก็ดังขึ้นมาและพูดซ้ำ ๆ ว่า “กลับรถ ๆๆๆๆๆๆ” จนพี่สาวบอกให้คุณแดนปิดโทรศัพท์ทันที! 

 

เมื่อกลับมาถึงตรงที่ตอนแรก GPS บอกให้เลี้ยวซ้าย คุณแดนก็เลี้ยวขวา ใช้เวลาขับรถไปอีกแค่ 200 เมตรเท่านั้น ทั้งคู่ก็ถึงสนามกอล์ฟ หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะไปต่ออีกที่ ซึ่งได้หาข้อมูลมาแล้วว่าสนามกอล์ฟนี้ยังเปิดให้บริการอยู่ จึงเปิด GPS นำทางอีกครั้ง เมื่อขับรถไปได้สักพักก็ได้เจอกับโค้งหักศอก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเลยทางเข้าสนามกอล์ฟไปแล้ว! คุณแดนจึงหยุดรถ แต่ดันหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันบ้านร้าง! พอกลับรถมาถึงตรงทางเข้าสนามกอล์ฟตามที่ GPS บอก คุณแดนหันไปเห็นว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวที่มีสายสิญจน์กั้นอยู่ ทั้งสองคนเริ่มใจคอไม่ดีและคิดว่าไม่น่าจะใช่ทางเข้าสนามกอล์ฟแน่ ๆ จึงขับรถกลับไปยังถนนเส้นหลักเพื่อเริ่มต้นใหม่และเปิด GPS ให้นำทางอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดิมเพราะต้องเลี้ยวซ้ายจากทางเลียบชลประทาน แต่กลับกลายเป็นว่าถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่นำพาทั้งสองคนกลับขึ้นมายังบ้านร้างหลังนั้นเหมือนเดิม! พี่สาวเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีว่า ถ้าครั้งนี้ไม่เจอกลับเลยนะ! เพราะว่ามันใกล้จะมืดแล้ว คุณแดนจึงตัดสินใจว่าจะเลี้ยวขวาจากทางเลียบชลประทานแทน และขับไปอีกประมาณ 10 นาที ในที่สุดก็ได้เจอกับทางเข้าสนามกอล์ฟ

แต่ความชื้นใจก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสนามกอล์ฟตรงนี้ดันไม่ตรงปก ดูร้างกว่าที่คิด และมีโปสเตอร์ที่เขียนข้อความประมาณว่าจะพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างเป็นหมู่บ้านแปะอยู่ คุณแดนจึงเช็คเส้นทางอีกครั้ง ว่าถ้าขับตรงเข้าไปข้างใน จะมีสนามกอล์ฟจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งมันก็มี จึงคิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ขับเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน สักพักก็เจอศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง และรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ทั้งสองข้างถนน ความรู้สึกตอนนั้นของทั้งคู่คงหนีไม่พ้นสุภาษิตที่ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” 

 

เมื่อขับรถตรงเข้าไปอีกสักพักก็เจอกับสโมสรและหมู่บ้านตัวอย่างร้าง จู่ ๆ ก็มีคุณลุงขับรถโฟวิลออกมาจากอีกทาง คุณแดนจึงจะเลี้ยวไปตามทางที่ลุงคนนั้นขับรถออกมา เผื่อจะเจอสนามกอล์ฟ พี่สาวจึงทักขึ้นมาว่า “เธอคิดว่าเขาเป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม” คุณแดนจึงตอบไปว่า “เป็นคนสิ เนี่ยรถมันเคลื่อนตัวอยู่” ซึ่งคุณแดนคิดถูก เพราะมันเป็นทางเข้าสนามกอล์ฟจริง ๆ แต่ทว่าที่ตรงนั้นกลับร้างไปหมด มีเพียงแม่บ้านคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นคุณแดนเกิดปวดปัสสาวะจึงขอเข้าห้องน้ำ แต่พี่สาวก็รีบห้ามและบอกว่าไม่ให้ลงจากรถ “เพราะถ้าลงไปแล้วเธอมองไม่เห็นพี่ พี่มองไม่เห็นเธอจะทำยังไง” คุณแดนคิดได้ดังนั้นประกอบกับความกลัวเพราะบรรยากาศเริ่มมืดค่ำแล้ว จึงรีบขับรถออกมาทันที ระหว่างที่ขับรถออกมาจากเส้นทางนั้นแล้วต้องผ่านศาลเพียงตาก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนมีคนมองตามอยู่ตลอดเช่นเดิม 

 

หลังจากเจอเหตุการณ์ชวนหลอนมาทั้งวัน ทั้งคู่จึงซื้อชุดสังฆทานเพื่อเตรียมไปทำบุญในวันถัดไป และย้ายไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง หลังจากดื่มด่ำค่ำคืนในเชียงใหม่ด้วยน้ำเมาแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อจะนอนหลับให้สนิท ไม่ต้องตื่นมาเจออะไรกลางดึกอีก ซึ่งห้องที่คุณแดนพักนั้นอยู่ชั้น 1 และอยู่ใกล้ถนน ทำให้ฤทธิ์น้ำเมาก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะได้ยินเสียงคนหลายคนมายืนเรียกชื่ออยู่หน้าห้อง ก่อนที่จะเผลอขานรับไป แต่ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าที่เชียงใหม่แทบจะไม่มีคนรู้จักเลย แล้วจะมีคนมาเรียกได้อย่างไร? เสียงเรียกนั้นดังแว่วอยู่ประมาณ 15 นาที พอเช้าวันใหม่มาถึงปรากฏว่าพี่สาวก็มาเล่าให้ฟังว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับคุณแดนเป๊ะ! ทั้งคู่จึงรีบเก็บของและเช็คเอาท์ออกทันทีโดยที่ไม่ลืมว่าจะต้องไปทำบุญ ซึ่งใกล้  ๆ นั้นเองมีวัดที่ชื่อว่า “วัดลอยเคราะห์” จึงตัดสินใจว่าจะไปทำบุญที่นี่ และพี่สาวก็ชอบชื่อวัดนี้มากๆ เพราะความหมายดี 

 

ทั้งสองคนเดินถือถังสังฆทานเข้าไปในวัดเพียงไม่กี่ก้าว พระที่นั่งอยู่ก็กวักมือเรียกทันทีว่า “โยมมานี่ ๆ” ซึ่งคุณแดนคิดว่าปกติเราจะต้องสวดนะโมสามจบแล้วพูดบทสวดถวายสังฆทาน แต่พระท่านกลับบอกว่า “ไม่ต้อง เดี๋ยวอาตมาสวดให้เลย” ซึ่งพระท่านเองก็สวดเป็นบทภาษาเหนือและให้กรวดน้ำ ระหว่างกรวดน้ำก็มีบทสวดแปลก ๆ อีกเพราะไม่เคยได้ยิน ซึ่งในใจคุณแดนขณะนั้นก็พูดว่า “ถ้าได้รับบุญกุศลในครั้งนี้แล้วช่วยทำให้รับรู้ด้วย ว่าได้รับแล้วจริง ๆ” ปรากฏว่าพอคุณแดนนำน้ำที่กรวดไปเทที่ต้นไม้และกลับเข้ามาที่อุโบสถ ตอนนั้นเองก็มีลมแรงพัดมากระทบกับกระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ชายหลังคา ไล่จากด้านหน้าไปด้านหลัง “ดังติ้งติ้งดิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่สาวหันมามองหน้าคุณแดนด้วยอาการตกใจ จึงเล่าสิ่งที่คุณแดนอธิษฐานในใจให้ฟัง และมานั่งคุยกันอีกครั้งหนึ่งว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรู้แน่เลยว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานที่นี่เราไปทำบุญกับครูบาน้อยกันมา และพอได้มาเจอกันจึงคิดว่าถ้ามาสื่อสารกับเราทั้งสองคน เราจะทำบุญให้เขาได้เร็ว

 

หลังจากอ่านเรื่องนี้จบ หลาย ๆ คนคงจะเห็นใจคุณแดนและพี่สาวกันแน่นอน เพราะเหนื่อยจากการทำงานไม่พอยังต้องมาเหนื่อยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เจอจากผีขี้ใจร้อนอีก สุดท้ายการพูดหรือรับปากกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม จะต้องใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะความหวังดีมันจะดีก็ต่อเมื่อเราไม่เดือดร้อน

related อังคารคลุมโปง RECAP

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

25 ก.ค. 2023

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

สำหรับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ครั้งนี้ (11 กรกฎาคม 2566) ยังอยู่กับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ เช่นเคย มาพร้อม ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ ที่จะมาเล่าเรื่องหลอนชวนผวาขณะถ่ายรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟ รายการเล่าเรื่องผีของคุณอุ๋มอิ๋มเอง เรื่องจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่คุณอุ๋มอิ๋มจะมารายการอังคารคลุมโปงเพียงไม่กี่วัน เป็นช่วงขณะที่กำลังถ่ายทำรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟอยู่บริเวณลานวัด ซึ่งปกติแล้ว รายการจะมีสถานที่ประจำในการถ่ายทำอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ทีมงานเห็นว่าลานวัดตรงนี้ให้บรรยากาศหลอนชวนขนหัวลุกมากกว่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาถ่ายทำที่สถานที่แห่งนี้แทน เมื่อวันถ่ายทำมาถึง ฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน ในช่วงเย็นบรรยากาศยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ พอถึงเวลาถ่ายทำรายการประมาณ 2 ทุ่ม ฝนหยุดตก และบริเวณนั้นก็ไม่มีไฟฟ้า ทีมงานจึงต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง นอกจากนี้บริเวณที่ถ่ายทำนั้นยังมีต้นหูกระโจงสูงใหญ่กางออกแกมกับไม้ต้นเล็ก ๆ อยู่ริมคลอง ถัดจากจุดที่ทีมงานและคุณอุ๋มอิ๋มอยู่ มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของคนในหมู่บ้านและยังมีชุดไทยอีกประมาณ 30 ชุดวางเรียงราย ด้านหลังเป็นห้องน้ำเก่าที่ไม่มีใครใช้แล้ว เมื่อสำรวจมาถึงตรงนี้ ทีมงานถึงกับพูดออกมาเลยว่าถ่ายรายการจบเมื่อไหร่ จะไปนั่งสมาธิโชว์ให้ทุกคนดูตรงห้องน้ำ ก่อนเริ่มถ่ายรายการ มีทีมงานเดินเข้ามาบอกคุณอุ๋มอิ๋มว่า “วันนี้เป็นวันโกน” ปกติคุณอุ๋มอิ๋มเป็นคนเห็นผีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าวันนี้ จะเป็นวันที่ได้เห็นเยอะขนาดนี้! คุณอุ๋มอิ๋มบอกกับดีเจทั้งสองคนฟังว่า “มันเหมือนคนมาเดินตลาดนัด” ทั้งเห็นออกเข้าวัด เดินสวนเข้าด้านข้างเยอะเต็มไปหมด แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นเรื่องปกติของวันโกนที่วิญญาณจะถูกปล่อยออกมาขอส่วนบุญ รายการเล่าเรื่องผีของคนอุ๋มอิ๋มนี้ จะเชิญแขกรับเชิญมาเล่าประสบการณ์หลอนที่เคยเจอมา หลังจากเริ่มถ่ายทำรายการทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งถึงคิวแขกรับเชิญคนที่สอง คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเสียงของน้ำที่ไหลลงมาจากต้นหูกระโจง แต่สิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่คิดไว้น่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หลังจากนั้นแขกรับเชิญและคุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง! จึงตกลงกันว่าจะไม่หันไปทัก อย่างไรก็ดี สายตาคุณอุ๋มอิ๋มก็หันไปเห็นชายร่างท้วมใหญ่ ตัดผมเกรียน แต่งกายด้วยสีดำทั้งตัว เดินวูบผ่านข้างหลังไป! คุณอุ๋มอิ๋คิดว่าวิญญาณดวงนี้คงแค่อยากลองมาทักทายเท่านั้น แต่เมื่อดวงวิญญาณนี้เดินผ่านไป เขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง! จังหวะนั้นทั้งคุณอุ๋มอิ๋มและแขกรับเชิญต่างหันหลังพร้อมกัน เสียงที่ได้ยินก็ยังคงเหมือนเดิม และเมื่อเธอหันไปบอกตากล้อง ตากล้องก็บอกว่าเขาก็ได้ยินเช่นกัน! รายการยังต้องดำเนินต่อไป คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตอนนี้ผีคงสนุกกับการที่จะได้แกล้งพวกเธอ จากนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็เห็นวิญญาณเดินมาข้างหลังแขกรับเชิญแล้วก็เป่าไปที่หูของเขา! คุณอุ๋มอิ๋มคิดในใจว่า “อย่ากลัวนะ” และสิ่งที่แขกรับเชิญคนนี้แสดงออกมาเป็นเพียงแต่การปัดหู เหมือนมีแมลงมาตอม ซึ่งก็โชคดีที่เขาเป็นคนไม่กลัวผี เขาบอกกับคุณอุ๋มอิ๋มว่าเดี๋ยวรอให้ถ่ายเทปนี้จบก่อน จากนั้นจะไปเคลียร์ คุณอุ๋มอิ๋มจำเป็นต้องใช้สถานที่ตรงนี้ถ่ายทำรายการต่อให้เสร็จ เธอจึงขอให้ผีอย่าพึ่งรบกวน แต่ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม คุณอุ๋มอิ๋มเหลือบไปมองแขกรับเชิญผู้หญิงอีกคนหนึ่งและพบว่ามีเจ้ากรรมนายเวรตามเธอมาเป็นจำนวนมาก! คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตนคงเข้าแอดมิดแน่นอน ถ้าบอกผู้หญิงคนนั้นไปว่าตอนนี้ว่าคุณอุ๋มอิ๋มเห็นอะไร และในตอนที่แขกรับเชิญหญิงคนนั้นเดินกลับมาจากการเปลี่ยนเสื้อ ก็มีวิญญาณประมาณ 3 - 4 ตนจิ้มไปที่หลังของแขกรับเชิญคนนั้นตลอดเวลา คุณอุ๋มอิ๋มสงสัยว่าพวกเขาจะจิ้มไปทำไม แต่ก็ห้ามใจไว้ไม่พูดหรือสื่อสารอะไรออกไป รายการจำเป็นต้องถ่ายทำต่อ แขกรับเชิญผู้หญิงก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวรที่ตามติดตัวพอดี แต่ไม่ทันไรทีมงานก็ต้องบอกให้หยุดเล่าก่อน เพราะมีสัญญาณรบกวนในไมค์ตลอดเวลา พอเปลี่ยนไมค์อีกครั้งก็ยังแทรกเหมือนเดิม ประสบการณ์ทำให้คุณอุ๋มอิ๋มตระหนักได้ว่าอะไรแบบนี้เกิดจากมีวิญญาณพยายามที่จะรบกวนการทำงาน คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าสิ่งที่ตามแขกรับเชิญคนนี้อยู่น่าจะไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรกลุ่มเดิมกับในเรื่องที่เล่า เพราะเจ้าของเรื่องเธอเล่าว่ามันเกิดขึ้นมาเมื่อ 20 กว่าปีแล้ว เมื่อตากล้องพยายามเปลี่ยนไมค์เป็นครั้งที่ 3 ก็ปรากฎว่าไม่เป็นผลสำเร็จ คุณอุ๋มอิ๋มจึงตัดสินใจนำ “กระบองอากง” เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งไว้ข้างหลัง และคราวนี้ก็ไม่เสียงใด ๆ มารบกวนอีกเลย.. เมื่อเรื่องถูกเล่าไปสักพัก คุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มได้กลิ่นเน่าของคนโชยมา ในใจก็เริ่มถามกับดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่มาป่วนการถ่ายทำในครั้งนี้ว่าพวกเขาต้องการอะไร สักพักก็มีร่างผู้หญิงคนหนึ่ง ผมหยักศก ตาโบ๋ ใส่เสื้อผ้าเก่าทรุดโทรม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ปรากฏขึ้นมาข้างหลังแขกรับเชิญ วิญญาณตนนี้จิ้มไปมาที่หัวของแขกรับเชิญ ตอนนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่ได้แผ่บุญให้กับวิญญาณตนนี้ เธอบอกกับวิญญาณตนนี้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นมันผิด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ในที่สุดก็อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยแทน! คุณอุ๋มอิ๋มขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พาวิญญาณผู้หญิงตนนี้ไปสู่ภพภูมิที่ดี และหากตนมีเศษเสี้ยวของบุญในลักษณะที่วิญญาณตนนี้ต้องการก็ขอให้เขาได้รับมันไป และยังขอให้สิ่งเร้นลับที่เจอปล่อยมือจากแขกรับเชิญ แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ช่วยได้เพียงดวงวิญญาณนี้ดวงเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่สามารถช่วยได้ หลังจากถ่ายรายการเสร็จในวันนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับทีมงานของเธอฟัง สิ่งที่น่าสนใจก็คือคืนนั้นไม่ใช่แค่คุณอุ๋มอิ๋มคนเดียวที่ได้กลิ่นศพเน่า แต่ทุกคนในกองก็ได้กลิ่นนั้นเหมือนกัน!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ได้ยินเสียงอุบัติเหตุ ด้วยความอยากรู้ จึงเดินเข้าไปดู เห็นร่างหญิงสาวถูกรถชน สภาพตัวขาดออกเป็นสองท่อน! พอตกกลางคืน ท่อนล่างเดินตามเข้ามาในฝัน แม้จะวิ่งหนีด้วยความตกใจ สวดมนต์ด้วยความกลัวแต่ก็หนีไม่พ้น เพราะท่อนบนตามมาเกาะบนคอแบบไม่ทันตั้งตัว!

30 ส.ค. 2023

ได้ยินเสียงอุบัติเหตุ ด้วยความอยากรู้ จึงเดินเข้าไปดู เห็นร่างหญิงสาวถูกรถชน สภาพตัวขาดออกเป็นสองท่อน! พอตกกลางคืน ท่อนล่างเดินตามเข้ามาในฝัน แม้จะวิ่งหนีด้วยความตกใจ สวดมนต์ด้วยความกลัวแต่ก็หนีไม่พ้น เพราะท่อนบนตามมาเกาะบนคอแบบไม่ทันตั้งตัว!

เปิดสตูต้อนรับ ‘ต้า-สอง Paradox’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 สิงหาคม 2566) พร้อมเรื่องเล่าที่จะมาเปิดประสบการณ์เรื่องราวอุบัติเหตุที่ชวน ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ มาขนหัวลุกด้วยกันกับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘สาวครึ่งตัว’ เรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรงของ ‘คุณอ๊อฟ’ รูมเมทคุณต้า Paradox เหตุเกิดเมื่อคืนวันหนึ่ง มีเสียงดัง ตู้ม!! เกิดขึ้นบริเวณด้านข้างหอพัก คุณอ๊อฟได้ยินเสียงก็รีบลงมาดูด้วยความอยากรู้ ปรากฏว่าภาพที่เห็นคือ ผู้หญิงถูกรถชน และมีคนกำลังยืนมุงดูร่างที่มีสภาพตัวขาดออกเป็นสองท่อน! ส่วนรถที่ประสบอุบัติเหตุต้องหยุดทันที เพราะท่อนล่างของหญิงสาวติดอยู่ที่ด้านล่างของรถ ท่อนบนกระแทกทะลุกับกระจก มาตกอยู่ที่หน้าตักคนนั่งข้างคนขับ หลังจากเคลียร์อุบัติเหตุจบลง คุณอ๊อฟเดินกลับขึ้นห้องและเข้านอนตามปกติ ระหว่างนั้นเขาก็ฝันว่า ตัวเองกำลังเดินข้ามถนนเส้นที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุ แล้วมีเสียงเท้าเหมือนคนกำลังเดินตามดังขึ้นเรื่อย ๆ สักพักเมื่อมองออกไปไกล ๆ ก็เห็นแสงไฟสลัวตามมุมเสาไฟ เมื่อเขาหันไปด้านหลัง ก็เห็นเป็นท่อนร่างของผู้หญิงที่เกิดอุบัติเหตุ เดินตามอยู่ไกล ๆ ทำให้เขาตกใจ! รีบข้ามถนนวิ่งกลับขึ้นห้องทันที แต่เสียงคนเดินตามก็ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปแล้วปิดประตูล็อคห้องทันที แต่เมื่อมองออกไปเขาก็ยังเห็นเป็นเงาคนยืนรออยู่ที่ขอบประตู ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไง จึงตัดสินใจสวนมนต์และกลั้นใจเปิดประตูดู เงามืดนั้นก็หายไป เขาคิดว่าทุกอย่างคงสงบลงแล้ว จึงเดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าตามเคล็ด แต่พอเงยหน้ามองที่กระจก สิ่งที่เขาเห็นปรากฏว่าเป็นท่อนบนของหญิงสาวผู้นั้นเกาะอยู่บนคอของเขา หลังจากนั้นก็สะดุ้งตื่นทันที! ที่จริงมีเคล็ดที่ผู้ใหญ่เคยพูดไว้ว่า ถ้าหากเราผ่านไปเจออุบัติเหตุ อย่าทัก เพราะว่าเขาอาจจะตามมาแบบไม่รู้ตัว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

06 พ.ย. 2023

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (31 ตุลาคม 2566) ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้ฟังเรื่องราวเจ้ากรรมนายเวรที่ต้องการตามเอาชีวิตคนใกล้ตัวอย่างคุณแม่ที่ชวนให้ทุกคนขนหัวลุก! เรื่องจาก ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ จะเป็นอย่างไรนั้นตามไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มเอง ซึ่งในทุก ๆ ปี คุณแม่จะกลับจากอเมริกาเพื่อมาเมืองไทยและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเป็นเวลา 3 - 4 เดือน เดิมทีตัวคุณแม่เองเคยมีปัญหาสุขภาพแต่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ตัวคุณอุ๋มอิ๋มเองก็คิดว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เพราะจากท่าทางของคุณแม่ที่สามารถไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่จู่ ๆ มือของคุณแม่ก็เริ่มสั่น และสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมได้ คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มสังเกตเห็นก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า คุณแม่เป็นอะไร และตัวคุณแม่เองก็รับรู้ได้ว่าอาการเป็นหนักขึ้นกว่าทุกครั้ง และเริ่มเป็นตั้งแต่ก่อนจะมาถึงเมืองไทยแล้ว คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าอาการสั่นนั้นเป็นอาการของโรคพาร์กินสันตามวัยของผู้สูงอายุ จากนั้นไม่นานมือของคุณแม่ที่สั่น ๆ ก็เริ่มลามมาสั่นที่ปาก ในตอนนั้น คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรู้สึกว่าอาการมันเริ่มหนักขึ้นจึงถามไปว่า “แม่เป็นอะไร” คำตอบสั้น ๆ ที่ได้จากคุณแม่คือ “แม่ป่วย” เพียงเท่านั้น และไม่ได้อธิบายต่อว่าป่วยเป็นอะไร คุณอุ๋มอิ๋มจึงรีบนำแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในทันที หลังจากได้รับการตรวจคุณหมอก็ได้อธิบายว่า ผู้สูงอายุจะมีเส้นปลายประสาทและเป็นเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ซึ่งมีบางส่วนที่เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายเส้นประสาทเล็ก ๆ เหล่านั้น ส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการสั่นดังกล่าว และอาการเหล่านี้ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเช่น เพิ่มการออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด หลังจากรู้สาเหตุ คุณแม่ก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมทุกอย่างและดูเหมือนว่าอาการของคุณแม่จะดีขึ้น แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณแม่กำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่ดันล้มขาพับลงไปอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นก็ต้องใช้สามง่ามในการพยุงตัวเดิน เพราะไม่สามารถเดินเองได้ ถึงขั้นต้องมีแม่บ้านคอยดูแล พยุงไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่อาการของคุณแม่เริ่มหนักขึ้นทุกที คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ถามย้ำว่า “ทำไมแม่ถึงไม่ไปหาหมอ?” คุณแม่ตอบกลับว่า “หมอก็บอกแล้วว่ารักษาไม่ได้ แล้วจะไปหาทำไม” แต่คุณอุ๋มอิ๋มทนเห็นแม่ต้องทรมาณแบบนี้ไม่ได้ จึงตัดสินที่จะพาคุณแม่ไปหาหมออีกครั้ง ในขณะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้รับสายจากพี่ชาย โทรเข้ามาเล่าว่าเมื่อคืนนี้เขาอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลคุณแม่ ได้เจอกับผู้หญิงแก่ หน้าห้อย ตาตี่ แววตาล่อกแลกมองซ้ายทีขวาที สวมเสื้อลายดอกสีแดง กางกางขายาวสีดำ เดินเข้ามาในบ้าน จังหวะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มถามกลับไปทันทีว่า “ผู้หญิงแก่ ๆ ที่เห็นเนี่ยเป็นคน หรือไม่ใช่คน” ปลายสายตอบกลับมาเพียงคำสั้น ๆ ว่า “ก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว” ผู้หญิงแก่คนนี้เดินขึ้นมาจนถึงชั้นสามแล้วตะโกนส่งเสียงรีบร้อนลนลานว่า “เห็นไหม ว่ามัณฑนาอยู่ไหน เห็นไหม เห็นไหม มัณฑนาอยู่ไหน” ซึ่ง มัณฑนานั้น คือชื่อจริงของคุณแม่ พี่ชายเริ่มสัมผัสได้ว่าผู้หญิงแก่ตนนี้ไม่ใช้วิญญาณปกติ ต้องมีอะไรเป็นแน่ จึงตอบกลับไปว่า “ไม่มี ไม่มีหรอกคนนี้เค้าไม่อยู่แล้ว หายไปแล้ว” วิญญาณหญิงแก่ตนนี้ไม่เชื่อ “จะหายไปได้ยังไง เค้าบอกว่าอยู่บ้านนี้” พี่ชายจึงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงแข็ง แบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น “ไม่มี ออกไป! ถ้าไม่ออกไปจะไล่และจะเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว!!” ด้วยความโมโหวิญญาณหญิงแก่ทำท่าทางฉุนเฉียวไม่พอใจและหายไปในทันที คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าคงจะจบลงเท่านี้ จึงพุดคุยให้คุณแม่สบายใจว่า “ไม่เป็นอะไร เพราะยังไงที่บ้านก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลเต็มไปหมดอยู่แล้ว ยังไงคุณแม่ก็ต้องปลอดภัย” แต่แล้วอาการของคุณแม่ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากมือสั่น ปากสั่น เดินไม่ได้ จนมาถึงปากของคุณแม่เริ่มแข็ง ขยับไม่ได้ จนทำให้คุณแม่ไม่สามารถพูดได้ วินาทีนั้นตัวคุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ออกมาด้วยความสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ จึงคิดได้เพียงว่าต้องไปจุดธูปถามอากงเท่านั้น แม้รู้ว่าตามหลักแล้วจะไม่สามารถถามเรื่องราวของคนในครอบครัวได้ แต่ในครั้งนี้เกิดขึ้นกับคุณแม่ คุณอุ๋มอิ๋มทนไม่ไม่ไหวจริง ๆ จึงขอร้องให้อากงช่วยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น คำแรกที่ได้ยินจากอากงคือ “เจ้ากรรมนายเวร” คุณอุ๋มอิ๋มรีบถามทันทีว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำอย่างไรคุณแม่ถึงจะหาย คุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ไปพร้อมกับขอร้องให้อากงช่วยเพราะไม่อยากให้คุณแม่ต้องทรมานเช่นนี้ อากงบอกมาเพียงว่า “อาร่างต้องมีสติก่อนนะ ไปทำทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไปหาหมอ เอาผลทุกอย่างออกมา” เช้าวันรุ่งขึ้น คุณอุ๋มอิ๋มรีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลทันที เพื่อทำทุกอย่างตามที่อากงบอกไว้แต่สุดท้ายผลออกมาก็เป็นดังเดิมคือเลือดไม่ไปเลี้ยงยังเส้นปลายประสาท คุณอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่าตนเองทำทุกอย่างแล้ว จึงกลับไปหาอากงอีกครั้ง แล้วบอกกับท่านว่าทุกอย่างที่ทำนั้น มันไม่มีอะไรที่จะรักษาคุณแม่ได้เลย มีเพียงแค่ต้องให้เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้นเท่านั้น อากงได้พูดกลับมาอีกครั้ง “ให้เค้ากลับบ้าน (อเมริกา) ต้องกลับเท่านั้น และต้องกลับภายใน 7 วันนี้เท่านั้น” ด้วยอาการต่าง ๆ ที่คุณแม่กำลังเผชิญอยู่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ยาก คุณอุ๋มอิ๋มจึงหลุดปากพูดออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้คุณแม่เดินได้” อากงรับปากตกลงตามคำขอจะช่วยกันวิญญาณหญิงแก่ให้ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วง 7 วันนี้จนกว่าคุณแม่จะขึ้นเครื่องเดินทางกลับไป หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกับอากงจบลง สิ่งที่คุณอุ๋มอิ๋มเห็นคือ มีผู้หญิงแก่ กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีลักษณะเดียวกันกับที่พี่ชายโทรมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเชื่อว่ามายืนอยู่นานแล้ว และรู้ว่าคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มก็อยู่ในบ้านหลังนี้ และในทุกครั้งที่คุณแม่ออกจากบ้าน วิญญาณตนนี้จะคอยมาเกาะตามไปทุกที่เพื่อให้อาการของคุณแม่แย่ลง เมื่อคุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรับรู้ถึงสาเหตุก็ได้อุทิศบุญภาวนาให้ ปรากฏว่าวิญญาณตนนี้พยายามสื่อออกมาว่า “อั๊วไม่รับ ทุกครั้งมันทำให้อั๊ว อั๊วก็ไม่รับ ยังไงอั๊วก็จะเอามันไปด้วย” เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้ต่อรองอะไรกับวิญญาณตนนั้น คิดเพียงแค่ว่าจะหาทุกวิธีที่เคยทำได้ผลมาใช้ในการต่อชีวิตคนคนนึง ตามวิธีการของคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้เตรียมผ้าไตร 3 ชุดเพื่อนำไปถวายพระบวชใหม่ ปรากฏว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้น เริ่มพูดได้อย่างช้า ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะพาคุณแม่ไปส่งขึ้นเครื่องกลับต่างประเทศให้ได้ตามคำที่อากงเคยกล่าวไว้ว่าเป็นทางรอดเดียวที่จะช่วยคุณแม่ได้ วิญญาณผู้หญิงแก่ได้หายไปถึง 2 วันก่อนที่คุณแม่จะเดินทาง โดยไม่ปรากฎตัวให้เห็นเหมือนในทุกครั้ง คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ภาวนาว่าวิญญาณคงจะไม่ตามไปถึงที่อเมริกา ในระหว่างเดินทางทุกอย่างก็ปกติดี เมื่อคุณแม่เดินทางไปถึงอเมริกา คุณอุ๋มอิ๋มได้ติดต่อขอร้องให้คุณลุง (แฟนใหม่ของคุณแม่) ช่วยสวดบทสวดเกาะกำแพงแก้วเพื่อสื่อว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาและไม่อนุญาตให้ใครตามมา พร้อมกับบอกกล่าวไปถึงอาป๋ากวนอูและอากงว่าคุณแม่ได้เดินทางกลับไปที่อเมริกาแล้ว หลังจากนั้นคุณแม่ได้เข้ารับการรักษา แต่สิ่งที่ได้รับจากการตรวจของคุณหมอคือ “คุณไม่เป็นอะไรเลยนะ” และอาการของคุณแม่ก็ดีขึ้นจริง ๆ สามารถยกแขนได้ และเริ่มลุกขึ้นเดินได้อย่างช้า ๆ ปากหายสั่นสามารถพูดคุยได้ตามปกติ วินาทีที่คุณอุ๋มอิ๋มทราบว่าคุณแม่อาการดีขึ้นถึงขั้นไม่เชื่อ จึงขอให้คุณลุงพาไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอื่นอีกครั้ง แต่ผลปรากฏเช่นเดิมว่าคุณแม่ปกติดีทุกอย่าง แม้จะมีผลว่าคุณแม่มีปัญหาที่เส้นประสาท แต่อาการของคุณแม่แตกต่างไปจากตอนที่อยู่เมืองไทยอย่างน่าเหลือเชื่อ คุณอุ๋มอิ๋มได้สื่อถึงอากงอีกครั้งเพื่อที่จะถามว่าต้องทำอย่างไรต่อไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ และอากงได้ชี้ทางให้คุณอุ๋มอิ๋มในฐานะที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันว่า ต้องทำบุญส่งไปให้ถึงวิญญาณผู้หญิงแก่โดยภาวนาให้วิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวิญญาณตนนี้ทำให้คุณแม่ต้องเจ็บป่วย คุณอุ๋มอิ๋มจึงเดินทางทำบุญแก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีกำลังในการรักษาอาการป่วย เพื่อภาวนาส่งบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา วิญญาณผู้หญิงแก่ตนนี้ก็ได้หายไป และไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย หลังจากเหตุการณ์เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไป ตัวคุณอุ๋มอิ๋มได้นั่งสมาธิและเห็นภาพพร้อมกับสัมผัสได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรตนนี้ตามมาจากภพภูมิอื่น โดยฝังใจถึงคุณแม่ที่กลับมาภพนี้แล้วได้ดิบได้ดี จนลืมเขา ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือคุณแม่มาก่อน จนสุดท้ายเค้าต้องมาป่วยตายกะทันหันด้วยโรคลมชัก จึงเกิดความแค้นต้องการให้คุณแม่เจ็บป่วยเช่นเดียวกันนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทำบุญที่ศาลเจ้ามาเลฯ หนึ่งวันก่อนเขาล้างป่าช้า มองไปรอบ ๆ ก็เจอกองทัพผีบุกมาขอส่วนบุญ! พอบอกให้หลังไหว้เสร็จต้องกรวดน้ำ ลูกทริปดันลืม ทำให้เจอผีมาตามขอส่วนบุญถึงในฝน

18 ก.ค. 2023

ไปทำบุญที่ศาลเจ้ามาเลฯ หนึ่งวันก่อนเขาล้างป่าช้า มองไปรอบ ๆ ก็เจอกองทัพผีบุกมาขอส่วนบุญ! พอบอกให้หลังไหว้เสร็จต้องกรวดน้ำ ลูกทริปดันลืม ทำให้เจอผีมาตามขอส่วนบุญถึงในฝน

‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ มาเยือนรายการอังคารคลุมโปง X (11 กรกฎาคม 2566) ครั้งนี้พร้อมกับเรื่องราวสุดหลอนจากมาเลเซียมาเล่าให้ฟังกัน เรื่องนี้ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ รวมถึงชาวอังคารคลุมโปงทุกคนต้องเสียวสันหลัง! ตามไปอ่านกันเลย เมื่อไม่นานมานี้ คุณอุ๋มอิ๋มได้จัดทริปเดินทางไปประเทศมาเลเซียพร้อมลูกทริปจำนวนหนึ่ง จุดประสงค์คือการไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามศาลเจ้า 7 แห่งของมาเลเซีย แต่ใครจะรู้ว่าพอถึงศาลเจ้าแรกก็เจอทีเด็ดเลย! ศาลเจ้าที่แรกที่คุณอุ๋มอิ๋มและลูกทริปไปนั้นตั้งอยู่ในเขตชุมชน โดยปกติแล้ว คุณอุ๋มอิ๋มจะต้องลงไปดูลาดเลาของสถานที่เสียก่อน จึงค่อยให้คนอื่น ๆ ในทัวร์ตามลงไป แต่เมื่อเท้าเริ่มแตะลงที่พื้นหน้าทางเข้า คุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มสงสัยแล้วว่า “นี่ใช่ศาลเจ้าใช่ป่าววะ” เพราะถ้าปกติแล้ว สถานที่ที่คนไปไหว้พระนั้นควรจะทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ที่แห่งนี้คุณอุ๋มอิ๋มกลับรู้สึกอึดอัด แน่นตัว เหมือนกำลังเดินเข้าไปในฝูงชนอะไรซักอย่าง อย่างไรก็ดี คุณอุ๋มอิ๋มตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เชื่อว่าคงเป็นเพียงความรู้สึก jet lag หรือเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบิน เมื่อคุณอุ๋มอิ๋มเดินต่อไปก็เจอกับศาลเจ้าตั้งอยู่ข้างนอก มีรูปเคารพของเจ้าที่ที่แต่งกายชุดมาเลเซีย คุณอุ๋มอิ๋มไหว้ศาลเจ้านี้ จากนั้นก็หันไปเห็นศาลเจ้าที่ที่ใหญ่กว่ามากตั้งอยู่ด้านหลัง ในนั้นดูเหมือนกำลังจัดงานใหญ่อะไรบางอย่าง โดยรอบตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากกลุ่มคนที่มาทริปกันแต่จู่ ๆ ก็มีแสงวิบวับปรากฎให้เห็นตามถนน แต่คุณอุ๋มอิ๋มพยายามคิดแบบวิทยาศาสตร์ก่อนว่าคงเป็นแสงสะท้อนจากไฟตกกระทบกับถนนเพราะตอนนั้นมีฝนตกพรำ “โอ้โห!” คุณอุ๋มอิ๋มอุทานออกมา และบอกว่าในชีวิตนี้ยังไม่เคยเห็นศาลเจ้าที่ไหนทำพิธีใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน มีคนนำกระดาษไหว้เจ้ามาพับทำเป็นสรวงสวรรค์อย่างอลังการ ด้านข้างมีกระดาษถูกพับเป็นคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สูงตระหง่านเช่นกัน คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มเกิดความสงสัยแล้วว่านี่คืองานอะไรกันแน่ และยังมีความรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มีความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก นอกจากนี้ยังมีหุ่นฟางขนาดยักษ์สูงประมาณตึกหนึ่งชั้นที่ตาก็ถูกปิดเอาไว้ มีมือสี่ข้างถือหนังสือ พู่กัน และอาวุธอีก 2 อย่าง นึกกี่ครั้งเธอก็ยังนึกไม่ออกว่านี่คืออะไรกันแน่ พอคุณอุ๋มอิ๋มกับทีมงานเริ่มเดินเข้าไปตัวอาคารของศาลเจ้า คุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น คนข้างในให้การต้อนรับอย่างดิบดี เจ้าหน้าที่บอกว่า ณ ตอนนี้ให้ไหว้ได้เฉพาะตรงห้องโถงกลางเท่านั้น เพราะว่าห้องที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในนั้น มีการเชิญเจ้าเข้ามาในห้องนั้นแล้ว จึงห้ามรบกวน แม้จะสามารถไหว้ได้เฉพาะตรงส่วนกลาง แต่ในใจคุณอุ๋มอิ๋มก็อธิษฐานขอให้เทพท่านแสดงอิทธิฤทธิ์บารมีเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนในทริปได้รู้จักกับเทพแบบท่านมากขึ้น จากนั้นคุณอุ๋มอิ๋มและทีมงานต่างก็พากันเดินออกจากศาลเจ้า และในจังหวะที่คุณอุ๋มอิ๋มกลับหลังหัน เธอก็มองเห็นดวงวิญญาณจำนวนมากเรียงรายอยู่เต็มทั้งถนน! วิญญาณบางตนนั้นก็หน้าเละบ้าง ขาขาดบ้าง “ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ให้ลูกทริปลงไม่ได้แน่” คุณอุ๋มอิ๋มคิดกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับไปหาศาลเจ้าและอธิษฐานจิตถามเทพท่านว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร เมื่อลองไปถามเจ้าหน้าที่ คุณอุ๋มอิ๋มก็ถึงบางอ้อว่า สถานที่แห่งนี้กำลังจะทำพิธีล้างป่าช้าครั้งแรกในรอบ 12 ปี และวันที่มาก็เป็นหนึ่งวันก่อนที่เขาจะทำพิธีกันพอดีเมื่อถึงขั้นนี้แล้วคุณอุ๋มอิ๋มก็ภาวนาให้เทพเจ้าประทานพรให้ส่งทหารอากงทหารสวรรค์ปกปักษ์รักษาเธอ ทีมงาน และลูกทริปทุกคนให้ปลอดภัย เมื่อคุณอุ๋มอิ๋มปล่อยให้ลูกทริปลงมา ก็ยังไม่กล้าบอกว่าตนไปเจออะไรมา ลูกทริปถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย เมื่อไหว้เทพเจ้าข้างในตัวอาคารเสร็จแล้ว ก็ยังเหลือที่สุดท้ายที่จะต้องไปไหว้กันคือศาลเจ้าที่ซึ่งตั้งอยู่ข้างนอก คุณอุ๋มอิ๋มกำชับให้ลูกทริปทุกคนเมื่อไหว้เสร็จแล้วเดินกลับมาเลย หากเห็นอะไรไม่ต้องไปสนใจ ในจังหวะนั้นทุกคนก็เริ่มสงสัยแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เมื่อถึงเวลาต้องกลับ คุณอุ๋มอิ๋มก็กวาดสายตามองลูกทริปเป็นรายคน เพื่อป้องกันใครติดสอยห้อยตามมาด้วย พอทุกคนจะเดินทางกลับขึ้นรถก็มีเจ้าหน้าที่ศาลเจ้าเรียงรายส่งแขกตามริมทางเดิน คุณอุ๋มอิ๋มบอกว่าในเมื่อเธอและทุกคนที่มาในวันนี้ก็มาเพื่อมาทำความดีแล้ว ก็จะขอให้ลูกทริปทุกคนอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณต่าง ๆ ด้วยผ่านการกรวดน้ำ และคุณอุ๋มอิ๋มก็เฉลยเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกทริปฟังตอนอยู่บนรถ แต่ผลคือลูกทริปทุกคนต่างก็พากันยินดีที่ตนเองได้มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นกัน แต่เรื่องของเรายังไม่จบแค่นี้ หลายวันให้หลัง เมื่อกลับถึงประเทศไทย คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มได้รับข้อความจากคนที่ไปทริปมาเลซีย เขาบอกว่าตัวเองฝันเห็นคนสภาพเหมือนซอมบี้มาทึ้งมาจับตัว เขาสงสัยอยู่สักพักว่าวิญญาณนี้ต้องการอะไร จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กรวดน้ำให้ดวงวิญญาณที่เจอที่ศาลเจ้าเลย เขาจึงรีบกรวดน้ำเสร็จสรรพแล้วบอกคุณอุ๋มอิ๋ม สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ลูกทริปคนนี้คนเดียว มีลูกทริปจำนวนหนึ่งเลยที่มีวิญญาณที่เขาตามมาขอส่วนบุญ คุณอุ๋มอิ๋มยังฝากทิ้งท้ายให้กับชาวคลุมโปงทุกคนด้วยว่า เราควรกรวดน้ำหลังทำบุญ เพราะมันเหมือนเป็นการทำบุญอย่างเสร็จสมบูรณ์ นอกจากเราจะตั้งจิตภาวนาให้ได้มาซึ่งบุญกุศลแล้ว เรายังให้ทานแก่ดวงวิญญาณที่เขามาขออีกด้วย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1