ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

11 ม.ค. 2024

       เจอดีที่ห้องน้ำกลางดึก พอกลับมานอนพักช่วงเบรก ผีที่เจอฝากเพื่อนที่นอนข้าง ๆ มาบอกเลขเด็ดแต่ไม่ซื้อ ปรากฏว่าออกตามที่ผีบอกจริง ๆ ! เรื่องราวจาก ‘คุณยาย’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณยาย’ โดยคุณยายได้เริ่มเกริ่นว่า ช่วงชีวิตของคุณยายจะมี 2 พาร์ท เป็นพาร์ทโรงงานและพาร์ทตอนขับรถ ซึ่งก่อนที่คุณยายจะมาขับรถเหมือนในปัจจุบัน ได้ทำงานในโรงงานที่ผลิตเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่บางปู เป็นโรงงานที่มีตึกถล่มจนกลายเป็นข่าวดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อน

       หลังจากที่โรงงานนี้ถล่มไปปีกว่า คุณยายได้ไปสมัครงานที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้จะมีอยู่หลายโรงงาน แต่โรงงานที่ถล่มเป็นข่าวดังคือโรงงานที่ 5 คุณยายไปสมัครโดยที่จะไม่รู้ว่าตนจะได้ไปทำที่โรงงานใด ทำได้เพียงแต่ภาวนาขออย่าให้เป็นโรงงานที่ 5 ก็พอ แต่ผลออกมาสรุปว่าได้ไปทำโรงงานที่ 5 พอดี ภายในโรงงานนี้จะเป็นไลน์ผลิตที่วิ่งไปเรื่อย ๆ 2 แถว งานที่คุณยายทำจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น รัด cable tie, หยอดกาว และเช็คตะกั่ว เป็นต้น

       ไลน์ผลิตที่โรงงานนี้ค่อนข้างแข็งแรง เพราะเป็นสแตนเลสทั้งหมด อีกทั้งคุณยายยังบอกว่าทางโรงงานจะแจ้งพนักงานไว้ว่า ถ้ากลางคืนจะนอนพักให้นอนใต้ไลน์ผลิต เพราะถ้ามีเหตุการณ์ตึกถล่มเหมือนที่เคยเกิด ไลน์ผลิตจะสามารถช่วยรองรับได้ ซึ่งในเวลางานจะมีแบ่งให้พักเบรก ไม่ว่าเป็น แบ่งเบรกย่อย 10 นาที, แบ่งเบรกเข้าห้องน้ำ และเบรกตอนตี 5 มีเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งส่วนมากในเบรกนี้คนที่โรงงานจะนอนพักกัน

       ต้องอธิบายก่อนว่าไลน์ผลิตจะวิ่งตลอดเวลาไม่มีการหยุดพัก จึงต้องคอยมีคนซัพพอร์ตเปลี่ยนกะเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งคุณยายก็พยายามที่จะไม่เข้าห้องน้ำบ่อย เพราะตอนไปสามารถไปได้แค่คนเดียว ไม่สามารถพาเพื่อนไปด้วยถ้าไม่ใช่เวลาพักจริง ๆ

       แต่แล้ววันนึง คุณยายอยากเข้าห้องน้ำ ในเวลาที่คนซัพพอร์ตมาเปลี่ยน ในใจคุณยายก็รู้สึกกลัวที่จะต้องไปคนเดียว คุณยายเกริ่นก่อนว่า “คนที่จะเจอเรื่องลี้ลับเนี่ย นอกจากเวลาจังหวะที่พอดีแล้ว มันจะมีเรื่องนึงที่เราจะเจอคือความสาระแนของเรานี่แหละ มันจะทำให้เราเจอผี” และเล่าถึงลักษณะห้องน้ำว่า ห้องน้ำที่โรงงานจะเหมือนห้องน้ำปั๊ม แต่สมัยก่อนห้องน้ำจะเป็นการก่ออิฐ ไม่มีชักโครก เวลาเข้าก็จะต้องนั่งยอง ๆ ภายในห้องน้ำก็จะมีอิฐก่อไว้ใส่น้ำ และมีขันไว้ราดในนั้น

       ก่อนที่คุณยายจะเข้าห้องก็เอานิ้วดันประตูเพื่อเช็คความสะอาดของแต่ละห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดันไปถึงประตูห้องหนึ่ง ปรากฏว่าเจอผู้หญิงคนนึง สภาพผมโกยลงมาปิดบังใบหน้า นั่งยอง ๆ อยู่ในห้องน้ำ คุณยายบอกว่าไม่มีเสียงกรีดร้อง หรือตกใจจากผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนที่คุณยายดันไปเจอ คุณยายก็ตกใจจึงพูดไปว่า “ขอโทษค่ะ ๆ” พร้อมกับปิดประตูให้ผู้หญิงคนนั้น แต่ก็รู้สึกแปลก เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปโดนเปิดประตูก็คงจะโวยวาย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       ด้วยความอยากรู้ คุณยายจึงไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ และทำธุระเบา เพื่อที่จะฟังความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น ปรากฏว่าคุณยายไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขัน หรือเสียงราดน้ำ จนกระทั่งคุณยายทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกจากห้อง ก็หันไปชะเง้อมองห้องข้าง ๆ เห็นว่าประตูเปิดแง้มไว้อยู่ จึงผลักเข้าไป ปรากฏว่า..ไม่ใครอยู่ในนั้น! พอคุณยายเห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในไลน์ผลิต ฝ่ายซัพพอร์ตเห็นคุณยายมีท่าทีแปลก ๆ จึงหันมามองหน้าคุณยายแล้วถามว่า “ยายเจออะไร?” คุณยายจึงตอบไปว่า “ไม่เจอ..” แต่หน้าคุณยายคงจะฟ้องว่าเจออะไรมา ซัพพอร์ตจึงบอกคุณยายอีกว่า “เดี๋ยวคุยกันนะตอนเบรก” แต่คุณยายก็ตอบกลับไปว่า “ไม่คุย” จนกระทั่งเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ซ้ายขวาหันมาถามคุณยายว่า “มึงเจออะไร” คุณยายตอบไปว่า “ไม่แน่ใจ” แต่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง  

       เมื่อถึงเวลาเบรกใหญ่ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะทำโอทีในช่วงตี 5 พนักงานในโรงงานก็นอนใต้ไลน์ผลิตกันตามปกติ โดยในช่วงเวลานั้นโรงงานจะปิดไฟมืดทั้งหมด คุณยายได้นอนใกล้เพื่อนที่ชื่อว่า “แหวว (นามสมมติ)” ซึ่งคุณยายก็นอนไม่หลับ เพราะในหัวมีแต่เรื่องที่เจอจึงนอนคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาเปิดไฟ ไลน์ผลิตกลับมาทำงานปกติ เพื่อนชื่อแหววที่นอนข้าง ๆ หันมาบอกคุณยายว่า “หวยออก 500 นะ” คุณยายก็ไม่เชื่อเพราะหวยอะไรจะออกเลข 500 เพื่อนที่ชื่อแหววยังบอกคุณยายอีกว่า “มึงเชื่อกู..กูฝันเมื่อกี้ได้หวย” แต่คุณยายก็ไม่เชื่อจึงไม่ได้ซื้อ

       ปรากฏว่าเมื่อถึงวันหวยออก กลับเป็นเลขตรงตามที่เพื่อนคุณยายบอกจริง ๆ เพื่อนที่ชื่อแหววถูกหวยถึงขั้นซื้อรถกระบะป้ายแดงได้ 1 คัน! และเล่าให้คุณยายฟังว่าวันนั้น ตอนนอนเห็นผู้หญิงเดินมาทางห้องน้ำแล้วมานานอนข้าง ๆ เขา  พร้อมบอกว่า “หวยออก 500 นะ บอกเพื่อนมึงด้วย” คุณยายบอกว่า เพื่อนของคุณยายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงเดินตามคุณยายมาจากห้องน้ำเพื่อมาบอก แต่คุณยายไม่ได้หลับ จึงสื่อสารกันไม่ได้..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

         

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเรนนี่น้ำพริกผีบอก 'ตามหาเเฟน' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

09 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเรนนี่น้ำพริกผีบอก 'ตามหาเเฟน' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

ไปส่งของให้แม่ตอนตี 3 เพราะจำเป็นต้องใช้เงิน รถก็ไม่มี ต้องนั่งรอวินอยู่หน้าวัดกับน้องชาย 2 คน แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงวิ่งเข้ามาแล้วถามหาแฟน ‘แฟนพี่หายไปไหนไม่รู้!!’ และพอมองไปที่เท้าก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ลอยอยู่!! #อังคารคลุมโปงวิญญาณที่ล่องลอยไม่มีที่ไป!! วนเวียนตามหาแฟน จนคนในชุมชนต้องเจอเหตุการณ์สุดหลอนไปตามๆ กันเรื่องราวสุดเฮี้ยนนี้จะจบลงอย่างไร….?! ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตามหาแฟน’ จาก ‘คุณเรนนี่’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(4 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!! เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่คุณเรนนี่อายุประมาณ 19-20 ปี ตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านประกอบอาชีพเย็บกระเป๋าขาย ในช่วงนั้นธุรกิจที่บ้านได้มีการทำข้อตกลงกับร้านในสำเพ็งไว้ และเป็นที่รู้กันว่า ถ้าต้องไปเดินสำเพ็งจะต้องไปช่วงกลางคืน และเช่นเดียวกับที่ต้องไปส่งสินค้า ก็ต้องไปช่วงกลางคืน บ้านของคุณเรนนี่จะอยู่ติดกับวัด โรงเรียน ไม่มีรถประจำทางผ่านเข้ามา และเป็นชุมชนที่มักจะเห็นอะไรแปลกๆ อยู่บ่อยครั้งในวันเกิดเหตุคุณเรนนี่ และน้องชายอายุ 9 ขวบ ได้รับภารกิจจากคุณพ่อคุณแม่ ให้ไปส่งสินค้าช่วงตี 2 ตี 3 ให้กับคุณป้าเหี่ยว และต้องไปส่งที่ร้านของ ป้าเหี่ยว ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกระเป๋าที่สำเพ็ง พากันแบกของเพื่อที่จะไปส่งของ ที่ต้องไปส่งเวลานี้เพราะแม่บอกว่า ต้องเอาเงินค่าสินค้า ไปจ่ายค่าบ้าน จึงจำเป็นมาก ๆ ที่จะออกไปส่งในตอนนั้นในคืนนั้น แถวบ้านของคุณเรนนี่ ก็ไม่มีรถประจำทาง หรือรถสองแถว มีแค่วินมอเตอไซค์ที่จะวิ่งทั้งคืน เพราะออกไปถนนหลัก ตรงที่คุณเรนนี่และน้องชายยืนอยู่นั้น เมื่อก่อนจะมีตู้โทรสับสาธารณะ ติดกับกำแพงของโรงเรียน เมื่อถัดไปอีกก็จะเป็นโกศที่เก็บอัฐิที่ดูสยดสยอง แต่ด้วยความเป็นคนในพื้นที่จึงไม่ได้คิดอะไรมาก และรอวินต่อไป…เมื่อรอไปได้ 15 นาที ก็ยังไม่มีวินมอเตอร์ไซค์มา แต่จู่ๆ ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ผมยุ่งเหยิง อาการเหมือนคนขาดสติ วิ่งมาหาคุณเรนนี่ และน้องชายด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก ทั้งสองพี่น้องก็หันมองหน้ากัน และสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มาจากไหน ไม่เคยเห็นอยู่ในชุมชนเลย และเมื่อหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้น ก็เข้ามาใกล้ทั้งสองคน ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นว่า“น้องๆ ช่วยพี่ด้วย เนี่ย ไม่รู้ว่าพี่มาอยู่ที่ไหน พี่จะกลับบ้าน แล้วแฟนพี่ก็หายไปไหนไม่รู้”ในขณะนั้นคุณเรนนี่ก็เริ่มรู้สึกกลัว เพราะผู้หญิงคนเข้ามาด้วยท่าทีโวยวาย คุณเรนนี่เลยบอกไปว่า “พี่คะ ใจเย็นๆ นะ คือยังไงคะพี่ พี่จะไปไหน”ตอนนั้นคุณเรนนี่คิดว่าผู้หญิงคนนี้หลงทางมา เนื่องจากซอยเข้าออกค่อนข้างลำบาก ผู้หญิงคนนั้นจึงเลยพูดต่อว่า “พี่ก็ไมรู้” แล้วร้องไห้ออกมา“เนี่ยพี่มากับแฟน พี่นั่งรถมากับแฟน ไม่รู้ว่าแฟนพี่หายไปไหนแล้ว”ทำให้ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามที่เข้ามาประชิดตัว โดยการเอามือมาจับที่ไหล่ และเขย่าตัวคุณเรนนี่ ในขณะที่ตัวของผู้หญิงคนนั้นก็สั่น แต่คุณเรนนี่ก็รู้สึกว่า ‘มือที่จับอยู่นั้นไม่รู้สึกถึงแรงกด และทำไมตัวเราถึงไม่สั่นตามแรงเขย่า‘คุณเรนนี่กับน้องชายจึงค่อยๆ หันลงไปมองช่วงตัวของผู้หญิงคนนั้น และสิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีขา มีแค่ท่อนบนและกางเกงยีนส์ แต่ส่วนเท้าหายไป ไม่มีรองเท้า เมื่อเห็นดังนั้นคุณเรนนี่ก็รีบยกกระเป๋า และวิ่ง โดยน้องชายก็วิ่งนำไปก่อนแล้วเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อ และแม่ฟัง ซึ่งพ่อ และแม่ก็เข้าใจเพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับคุณเรนนี่ และน้องชายแต่ครั้งนี้ทำให้ต้องเสียงานที่ต้องไปส่ง แม่จึงตำหนิ และโทรไปหาป้าเหี่ยว เพื่อขอไปส่งของใหม่ในตอน 9 โมงเช้า ตอนที่ป้าเหี่ยวเก็บร้านแล้ว ป้าเหี่ยวตอบตกลง โดยคุณเรนนี่ให้เหตุผลกับป้าเหี่ยวว่า ที่ไม่สามารถไปส่งของให้ได้เพราะปวดท้องในตอนเช้า เมื่อคุณเรนนี่ไปส่งของให้ป้าเหี่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับมาบ้านใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม และวันหนึ่งเวลา 6 โมงเย็น คุณเรนนี่ที่กำลังล้างจานอยู่ โดยที่ล้างจานที่บ้านจะอยู่ข้างหน้าบ้าน เมื่อใกล้ล้างเสร็จ น้องชายของคุณเรนนี่ก็วิ่งมาหา ด้วยหน้าตาตื่นแล้วมาบอกกับคุณเรนนี่ว่า“พี่ พี่มากับผมหน่อย” คุณเรนนี่จึงถามว่า “ไปไหน พี่ยังล้างจานไม่เสร็จเลย”แต่น้องชายก็ยังลากคุณเรนนี่ไปจนเกือบใส่รองเท้าไม่ทัน และระหว่างทางคุณเรนนี่ก็ยังถามน้องชายตลอดว่าจะไปไหน เพื่อที่จะได้รับมือถูก แต่ถามมาตลอดทางน้องชายก็ยังไม่ตอบ จนกระทั้งมาถึงวัดที่อยู่ติดกับบ้าน พอมาถึงทั้งสองคนก็ไปที่ศาลาหนึ่ง ที่มีคนกำลังจัดงานศพอยู่ ซึ่งก็เป็นปกติของวัด แต่น้องชายก็ยังยืนยันให้คุณเรนนี่เข้าไปดูรูปข้างในงาน คุณเรนนี่ก็สังสัยว่าเข้าไปทำไม และพอเดินเข้าไปในงานรูปที่อยู่หน้าโรงศพคือ ผู้หญิงที่คุณเรนนี่ และน้องชายเห็นในคืนนั้น น้องชายจึงหันมาถามคุณเรนนี่ว่า..“พี่ ใช่ปะเนี่ย ใช่ ใช่ไหม”“เออ ใช่”ในตอนนั้นคุณเรนนี่ก็อึ้งกับสิ่งที่เห็น เลยได้ไปคุยกับคนในงานศพว่า ศพนี่คือใคร ซึ่งก็ได้รู้ว่าคุณแม่ของผู้ตาย เป็นคนที่คุณเรนนี่รู้จัก และผู้ใหญ่ในงานก็ถามกับคุณเรนนี่ว่า“จำไอยุ้ยไม่ได้หรอ” แต่คุณเรนนี่ก็ยังนึกไม่ออกว่ายุ้ยไหน ผู้ใหญ่ในงานเลยพูดต่อว่า “มันน่าจะจำไม่ได้แหละ”ซึ่งคุณเรนนี่ และยุ้ย เคยเล่นด้วยกันตอนอายุ 4-5 ขวบ และยุ้ยก็ได้กลับไปบ้านพ่อที่ต่างจังหวัด ไม่ได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพอีก ต่อมายุ้ยได้มาอยู่กับแฟนที่กรุงเทพ และระหว่างที่นั่งรถเพื่อจะไปที่ไหนสักแห่ง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุทำให้ยุ้ย และแฟนเสียชีวิตทั้งคู่ แม่ของยุ้ยจึงได้นำศพของลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลที่วัดนี้แต่เรื่องก็ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ เพราะลุงวินแถวนั้นก็เอาเรื่องที่ไปพูดต่อๆ กันว่า มีผู้หญิงใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มายืนโบกรถ แล้วขอให้ไปส่งเพราะว่าเแฟนรออยู่ พอลุงวินขี่มาได้สักพักก็เจอเข้ากับลูกระนาดบนถนน แต่ลุงวินก็มองไม่เห็น ด้วยความเป็นห่วงผู้โดยสารลุงวินจึงหันกลับไปมองข้างหลัง แต่ก็ไม่พบผู้โดยสารที่นั่งซ้อนมา ลุงวินจึงวนรถกลับไปดูว่าผู้โดยสารอยู่ไหน แต่ก็ไม่พบใคร ลุงวินจึงขี่รถกลับบ้านและยังมีคนที่เจอเหตุการณ์นี้เหมือนกัน คือ น้าจ่า เป็นทหารเก่า น้าจ่าก็เป็นวินเหมือนกัน และมีผู้หญิงโบกรถจากหน้าวัด เพื่อให้ไปส่งที่หน้าปากซอยเหมือนกัน พอขี่ไปถึงที่หน้าปากซอยก็ไม่เจอคนกลายเป็นว่า ยุ้ย ก็เป็นวิญญาณที่ล่องลอยที่ตาหาแฟน และฝั่งของฝ่ายชาย แฟนของยุ้ย ที่ได้ถูกนำศพไปทำพิธีที่บ้านเกิด ก็ได้เป็นวิญญาณที่ล่องลอย และตามหาแฟนเหมือนกัน จนสุดท้ายก็ได้มีการนำศพของทั้งคู่ไปตั้งคู่กัน และได้ทำการเผาพร้อมกัน ทุกอย่างถึงได้สงบลง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

08 ธ.ค. 2023

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

ไปเที่ยวประจำปีกับเพื่อน ๆ ตามปกติ แต่กลับเจอดีจากสถานที่ที่ไปพัก เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ม.3 เทอม1’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็ค The Ghost Radio บอกว่า ‘คุณเอิร์ท’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง โดยต้องเล่าย้อนกลับไปสมัย Hi5 คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนมักจะมีการนัดไปเที่ยวประจำปี กลุ่มนี้สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 เทอมหนึ่ง จนขึ้น ม.2 เทอมหนึ่ง ก็มีการรวมตัวนัดคุย และเก็บเงินรายอาทิตย์ไว้ไปเที่ยวกัน เมื่อเก็บเงินครบจึงไปเที่ยวทะเลด้วยกัน พอมารอบนี้ ม.2 เทอมสอง ก็ไปเที่ยวกันอีก แต่รอบนี้ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา พอขึ้น ม.3 เทอมหนึ่ง ทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปเที่ยวทะเล เพราะว่าอยากกลับไปที่พักเดิมที่เคยไปในรอบแรก จึงรวมตัวกันได้ 14 คน เหมารถตู้กันไป และสมัยนั้นยังต้องโทรไปจองโรงแรม เพราะยังไม่แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสบาย เมื่อไปถึงที่พักในจังหวัดเพชรบุรี ปรากฎว่าเข้าพักไม่ได้ เพราะแขกที่พักก่อนหน้านั้นขออยู่ต่ออีกหนึ่งคืน คุณเอิร์ทกับเพื่อนก็รู้สึกเคว้งจึงไปนั่งปรึกษากันอยู่ริมทะเล งานนี้นอกจากจะมีวัยรุ่น 14 คนแล้ว ยังมีคุณ ‘แม่ของคุณเอิร์ท’ ไปด้วย ระหว่างที่นั่งปรึกษากันอยู่นั้น ก็มีวินมอเตอไซค์ขับผ่านมา แล้วถามว่า “นั่งทำอะไรกัน ได้ที่พักกันหรือยังหนุ่ม ๆ ?” เด็ก ๆ จึงบอกไปว่าต้องการที่พัก และโจทย์คือต้องอยู่ด้วยกันทั้ง 14 คน ทางวินมอเตอไซค์จึงขับรถนำรถตู้พาไปดูโรงแรม พอไปถึงที่แรกเป็นบ้านสองหลังติดกัน นอนได้ 14 คน แต่ไม่มีแอร์จึงขอผ่านไปก่อน อีกที่ เป็นบ้านสองหลังเหมือนกันแต่ไม่ตอบโจทย์ เพราะมีหลังอื่นขั้นตรงกลาง กระทั่งมาที่สุดท้าย เป็นบ้านสองหลังติดกัน มีแอร์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นทาวน์เฮ้าส์สองหลัง สองชั้น รวมสองหลังมีประมาณ 4 ห้องนอน รวมห้องโถงอีก ทุกคนโอเค ทางคุณแม่ของคุณเอิร์ทจึงไปติดต่อกับเจ้าของที่พักให้ บ้านทั้งสองหลังจะแบ่งเป็นสายเล่นเกมอยู่หลังที่หนึ่ง ส่วนหลังที่สองมีแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณเอิร์ท รวมถึงเพื่อน ๆ อีกประมาณนึง ระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกอยู่ คุณเอิร์ทก็หันมามองบ้านหลังที่สอง เห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังไขประตูแต่ไขไม่ออก คุณเอิร์ทจึงไปช่วยเพื่อน และนำกุญแจไปไขแทน สรุปก็คือไขไม่ออกจริง ๆ เหมือนติดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน คุณเอิร์ททั้งทุบกลอน ทั้งไข ทั้งเขย่าประตู ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนเลยพูดกับประตูไปว่า “ถ้ามึงไม่เปิด ถ้าเปิดไม่ออก กูจะพังแล้วนะ” สิ้นเสียงคุณเอิร์ท ก็มีเสียงลูกบิดกลอนประตูดังก๊อก! แล้วประตูก็เปิดดังเอี๊ยดดดด! ณ ตอนนั้นคุณเอิร์ทกับเพื่อนยืนมองหน้ากัน แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นจังหวะที่ทุบแล้วมันหลุดมาพอดี ในระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกคุณเอิร์ทรู้สึกว่าร้อน แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะยังไม่ได้เปิดแอร์ แต่พอเป็นบ้านหลังที่สอง เขากลับรู้สึกเย็นเหมือนเปิดแอร์ทิ้งไว้ ขออธิบายภายในบ้านเพิ่มเติมว่า จากประตูที่คุณเอิร์ทยืนอยู่ มองไปข้างหลังจะเป็นเหมือนกับประตูที่ออกไปข้างนอก เป็นลานซักล้างและข้างประตูมีบานเกร็ด คุณเอิร์ทบอกว่าจังหวะที่ประตูเปิดเข้าไป คุณเอิร์ทมองไปที่บานเกร็ดเห็นเป็นเหมือนผ้าขาว ๆ พลิ้ว ๆ เหมือนคนตากผ้าไว้ จึงคิดว่าแขกคนเก่าอาจจะลืม คุณเอิร์ทจึงเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน พอเปิดประตูเสร็จ สิ่งที่คุณเอิร์ทเห็นเป็นผ้าสีขาวกลับไม่มี! คุณเอิร์ทคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงยืนนิ่ง ๆ อยู่สักพักนึง แล้วก็สะดุ้งเพราะเพื่อนทั้งหมดวิ่งกรูขึ้นไปข้างบนเสียงดังเฮฮาโวกเวกโวยวาย ความสนุกของเพื่อน ๆ ก็แผ่กลบบรรยากาศอันน่าสยองนี้ไป.. นอกจากบ้านที่คุณเอิร์ทมาพักแล้ว ฝั่งตรงข้ามก็มีอีกหลัง ซึ่งเป็นของพี่ ๆ น้อง ๆ ชาว LGBTQ พอพวกเขาเห็นกลุ่มคุณเอิร์ธที่เป็นวัยรุ่น จึงแซวข้ามไปข้ามมา สนุกสนานกันไป มีบางเวลาที่บ้านหลังแรกเล่นเกมกันไม่ออกไปไหน ส่วนหลังที่สอง คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนก็ไปเล่นน้ำ ในระหว่างทางเดินไปเล่นน้ำ จะมีเพื่อนคนหนึ่งของคุณเอิร์ทค่อนข้างหน้าตาดี จึงโดนพี่ ๆ ชาว LGBTQ แซวว่ามีแฟนหรือยังตามประสาทั่วไป ในจังหวะที่คุณเอิร์ทกับเพื่อนเล่นน้ำนั้น ตัดภาพมาที่บ้านหลังแรก มีเพื่อนของคุณเอิร์ทคนหนึ่งนอนอยู่ข้างบน ขณะที่คนอื่นกำลังเล่นเกมกันอยู่ เพื่อนที่นอนอยู่ก็ฝันเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีขาว ถักผมเปียคาดหน้าผาก มายืนมองเพื่อนคนนี้อยู่ที่ปลายเตียง แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น จากนั้นก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมอยู่ฟัง เพื่อน ๆ ก็บอกว่าสงสัยเห็นสาวที่ร้านสะดวกซื้อแล้วคิดมาก แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป ตัดภาพที่ฝั่งของคุณเอิร์ท หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘คุณปาร์ค’ ก็เดินไปบ้านหลังที่สอง ซึ่งบ้านหลังนี้ก็มีเพื่อนบางส่วน และมีคุณแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ คุณปาร์คไปเคาะประตูบ้านเพื่อที่จะอาบน้ำ ปรากฏว่ายืนเคาะอยู่ครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีใครมาเปิด จนกระทั่งเพื่อนออกมาเปิดประตู เพื่อนก็งงว่า “ทำไมไม่เคาะประตูทำไมถึงไม่เรียก มายืนค้างหน้าประตูทำไม” คุณปาร์คจึงตอบไปว่า “เรียกตั้งนานแล้ว ทั้งเคาะ ทั้งตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน” จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ขณะที่คุณปาร์คกำลังอาบน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าตรงท่อระบายน้ำมีเส้นผมของผู้หญิง เขาคิดว่ามันเป็นของแขกคนก่อน พออาบน้ำเสร็จก็มานอนที่เตียง แล้วก็เคลิ้มหลับ คุณปาร์คก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดเดรสสีขาว ทรงผมถักเปียคาดหน้าผาก ยืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วค่อย ๆ เดินมาหาคุณปาร์ค ค่อย ๆ คุกเข่าคลานขึ้นมาบนเตียง แล้วก็เอามือมาจับที่แขนของคุณปาร์ค แต่ว่าจังหวะที่มือจับ คุณปาร์คสะดุ้งตื่น เพราะเพื่อนมาสะกิดพอดี คุณปาร์คไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่เก็บไว้ในใจ ตัดภาพมาที่ข้างล่าง ขณะนี้เป็นเวลาช่วงเย็น ตัวคุณแม่นั่งอยู่ข้างล่าง ส่วนคุณเอิร์ทไปปั่นจักรยานกับเพื่อน คุณแม่จึงโทรสั่งอาหารที่ดีลไว้กับที่พักให้มาส่ง เมื่ออาหารมาส่ง คุณแม่ก็บอกว่าเข้ามาได้เลย แต่คนส่งอาหารก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา จนกระทั่งคุณแม่ต้องให้เพื่อนคนนึงเดินเอาเงินไปให้และไปเอาอาหารเข้ามา หลังจากนั้นแต่ละบ้านก็แยกกันกินข้าว พอกินข้าวเสร็จ กลุ่มเพื่อน ๆ ก็ขึ้นไปข้างบน มีเพื่อนคนหนึ่งจะหาครีมทาตัว ก็ช่วยกันหาครีม ปรากฏว่าหลอดครีมทาตัวที่เขาวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมันไปอยู่ใต้เตียง ก็คิดว่าใครมาแกล้ง หรือผีหลอก จากนั้นก็เล่นปิดไฟหลอกผีกันไปมา โครมครามกันอยู่ข้างบน คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ พอเด็ก ๆ เล่นกันเสร็จก็ลงมานั่งดูทีวีกันข้างล่าง ปรากฏว่าตอนที่เด็ก ๆ ทั้งหมดลงมา คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงบนห้องเป็นเสียงกรี๊ด! เสียงปิดประตูปั๊งงงงง! เสียงเดิน เสียงย่ำเท้า คุณแม่จึงถามเด็ก ๆ ว่า “ได้ยินมั้ย?” เด็ก ๆ ตอบว่า “ไม่ได้ยิน” ต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ของคุณเอิร์ทเป็นคนมีจิตสัมผัส คุณแม่จึงบอกว่า “มาลองจับตัวแม่” พอทุกคนจับตัวแม่เสร็จปุ๊ป พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ยิน” ตอนแรกเป็นเสียงเหมือนอยู่ไกล ๆ แต่พอไปๆ มา ๆ ก็แน่ใจว่าเสียงอยู่ชั้นสองของบ้าน พอเป็นเสียงกรี๊ด ก็กรี๊ดดังมาก ทุกคนจึงมานั่งกระจุกตัวอยู่กับคุณแม่ จังหวะนั้นคุณเอิร์ทก็เปิดประตูเข้ามาบ้านพอดี พอเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเกาะแม่อยู่ คุณแม่ก็บอกว่าให้เงียบ ๆ แล้วถามว่า “เอิร์ทได้ยินมั้ย?” ด้วยความที่คุณเอิร์ทก็มีจิตสัมผัสเหมือนกัน จึงตอบว่า “ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง แต่ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงมาจากทีวี” พอหันไปมองที่ทีวีแต่ทีวีก็ปิดอยู่ คุณเอิร์ทจึงตั้งใจฟัง ปรากฏว่าได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดข้างบน จากนั้นก็ปิดประตูแล้วก็วิ่ง คุณแม่จึงหันขึ้นไปข้างบนแล้วบอกว่า “ถ้ามึงไม่หยุด กูจะแช่ง” พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูปั๊งงง! แล้วก็เสียงกรี๊ด แล้วก็เสียงวิ่งดัง ๆ ตอนนั้นทุกคนกลัวมาก คุณแม่จึงบอกว่า “ให้ไปตามเพื่อนหลังแรกมาช่วยขนของที่นี่ แล้วเราไปอยู่หลังแรกกันก่อน” แต่ก็ไม่มีใครกล้าไป คุณเอิร์ทกับคุณปาร์คจึงอาสา พอเปิดประตูออกมาจากบ้านก็เดินผ่านหน้าบ้านชาว LGBTQ ซึ่งตอนนั้นพวกเขากำลังล้างรถกันอยู่ จึงแซวว่า “แหมม..มีแฟนแล้วก็ไม่บอก พาแฟนมาด้วยสวยเชียวนะ” ทั้งคู่ก็ตกใจเพราะไม่ได้มีผู้หญิงคนไหนมาด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปบ้านหลังแรก บ้านหลังแรกที่นั่งเล่นเกมกันอยู่ก็ตกใจ จึงแซวว่า “โดนผีหลอกมาเหรอ” แล้วก็ขำกัน ส่วนตัวของคุณปาร์คก็วิ่งขึ้นไปนอนคลุมโปงอยู่ข้างบน คุณเอิร์ทจึงตอบเพื่อนไปว่า “ใช่ กูโดนผีหลอก” แล้วก็เล่ารายละเอียดให้เพื่อนฟัง พร้อมบอกให้เพื่อน ๆ ไปช่วยกันเก็บของที่บ้านหลังที่สอง เมื่อไปถึงบ้านหลังที่สอง ก็รีบเก็บของจากข้างล่างขึ้นไปเก็บข้างบน ซึ่งข้างบนจะมีอยู่สองห้อง ห้องซ้ายกับห้องขวา ห้องหนึ่งเปิดประตูเก็บของเรียบร้อย ในตอนนั้นคุณเอิร์ทยืนอยู่ระหว่างทางห้องหนึ่งกับห้องสอง เขาก็ถามเพื่อนว่า “ของเก็บหมดยัง” เพื่อน ๆ จึงตอบไปว่า “เก็บหมดแล้วมั้ง” คุณเอิร์ทจึงหันไปมองห้องสอง แล้วพูดว่า “แล้วห้องนี้เก็บหรือยัง” พอพูดจบ ประตูก็ปิดเข้าหาหน้าดังปั๊งง! ใส่หน้าคุณเอิร์ท ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่บนนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง วิ่งไปขึ้นรถตู้ แต่คุณแม่ไม่อยู่ ทุกคนจึงรอคุณแม่มา เพราะคุณแม่ไปถามเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอคุณแม่กลับมา ก็ขึ้นรถตู้เรียบร้อย รถก็ขับออกมา ทางด้านบ้านฝั่ง LGBTQ ก็ยังคงแซวอยู่ว่า “กลับแล้วหรอ” แต่ในระหว่างที่รถออกมา คุณเอิร์ทมองไปที่พี่ ๆ กลุ่มนั้น ก็เห็นว่าเขามองรถและมองบ้านสลับกันไปมา แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านตัวเอง เหมือนมองประมาณว่า ‘มึงลืมใครไว้ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่า’ พอรถตู้ออกมาได้สักพัก ภายในรถก็นั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุณแม่บอกว่า “เจ้าของบ้านแทนที่จะตอบ กลับไม่ตอบแล้วทำท่าอึกอัก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้” จนกระทั่งคุณแม่พูดถึงความผิดปกติของบ้าน คือบ้านสองหลังเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นตรงบันได บันไดบ้านหลังแรกเป็นบันไดไม้เวลาเดินขึ้นลงจะเห็นเท้าปกติ แต่บ้านหลังที่สองมีปูนถูกก่อขึ้นมาปิดใต้บันไดเอาไว้ จึงถามว่า “ตรงใต้บันไดมีอะไรหรือเปล่า เพราะมันไม่หมือนหลังหนึ่ง” ปรากฏว่าเจ้าของบ้านเล่าว่า “สมัยก่อน มีผู้หญิงผู้ชายเคยมาเช่าอยู่ แต่ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้ผู้ชายลงมือฆ่าผู้หญิง เอาศพไปไว้ใต้บันได พยายามให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว แต่มันทำความสะอาดไม่ได้ คราบเลือดคราบน้ำหนองมันไม่หาย จึงโบกปูนขึ้นมาปิดเพื่อที่จะไม่ให้มีใครเห็น ก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไร” หลังจากนั้นระหว่างที่รถแวะจอดกินข้าว เพื่อนของคุณเอิร์ทได้นำไปเล่าให้กับป้า ๆ ที่ทำอาหารฟัง ป้าจึงบอกว่า “ยังไปพักกันอยู่อีกเหรอ ที่นี่ไม่มีใครไปพักนานแล้วนะ” หลังจากนั้นก็ได้แวะวัด ปรากฏว่ามีพระทักว่า “โยมไปเจออะไรกันมา หนักนะเนี่ย” พระท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ คุณเอิร์ทจึงติดใจมาตลอดว่าทำไม่ถึงถูกพระทักแบบนี้ และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนั้นมีคนรู้จักแนะนำให้ไปหาคนทรง คนทรงบอกว่า “เหมือนกับคนนี้ดวงซวยที่ไปเจอไปเห็นอะไร” เขาบอกว่ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเย็น’ ตอนที่จะเข้าไปเก็บของจากบ้านที่สองไปบ้านแรก คุณเย็นเปิดประตูเข้าไปแล้วยืนนิ่ง ๆ น้ำตาไหลร้องไห้ คุณเย็นบอกว่าพอเปิดประตูเข้าไป มองผ่านประตูข้างหลังที่มันทะลุไปพื้นที่ซักล้าง ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้น ยืนมองเขาผ่านหน้าช่องบานเกร็ด เขาบอกสิ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่มาเข้าฝัน ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ได้ยังไง เขาก็จึงยืนช็อคอยู่แบบนั้น คนทรงบอกว่า “ที่ไปเจอมาแบบนี้เพราะว่าจิตเราเปิด พอจิตเราเปิดเราจะมองเห็นอะไรอย่างอื่นด้วย” เพื่อนจึงตอบว่า “ใช่” เพราะหลังจากกลับจากไปเที่ยววันนั้น เขาฝันทุกวัน เห็นเป็นผู้ชายจะมาเอาชีวิต ซึ่งผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ พอมาคุยกับคนที่เป็นคนทรงจึงได้รู้ว่าคนนี้คือ เจ้ากรรมนายเวรที่จะมาเอาชีวิตหลังจากที่จิตเปิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือไปบวช เพื่อนคนนี้จึงไปบวชเณร หลังจากที่บวชเสร็จก็ใช้ชีวิตตามปกติ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เจอที่ที่พักนั้นยังอยู่หรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

22 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

‘คุณใหม่ รอเรน’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ร้องขอชีวิต’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณใหม่เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้อง ‘เลิ่กลั่ก’ ดาว TikTok ที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเห็นคลิปของน้องมาไม่มากก็น้อย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าน้องมีเอเนอร์จี้เหลือล้น ตลก และสนุก แต่เรื่องราวที่น้องเจอมานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นเรื่องราวในวัยเด็กที่โหดร้ายมากเสียจนแทบจะเป็นหนังฆาตกรรมได้ แต่เลิกลั่กก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ร่าเริงได้ขนาดนี้ คุณใหม่ถึงกับเอ่ยปากชมไม่หยุด เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ชายของน้องเลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนั้น เลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ภาคใต้ ซึ่งจะเป็นครอบครัวที่เป็นหมอคุณไสย์ มนตร์ดำ มีอยู่วันหนึ่ง คุณไสย์บอกว่าให้ลงไปงมในบ่อที่เป็นบ่อน้ำเหมือนทะเลสาบ บอกว่าใต้น้ำนั้นมีไม้ตะเคียนใหญ่ 2 ต้น และสั่งให้พ่อเอาขึ้นมา เพื่อเอามาทำเป็นเสาบ้าน คุณพ่อจึงลองงมตามที่บอกและปรากฎว่าเจอจริง ๆ จากนั้นก็นำกลับมาไว้ที่บ้าน ซึ่งน้องเลิ่กลั่กก็จะตกใจทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วเจอไม้ใหญ่ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น อันดับแรก วันแรกที่เอาไม้ตะเคียนมาพ่อก็หนีออกจากบ้าน แล้วไปนอนบนภูเขา ตอนเช้าค่อยกลับมาบ้าน รอบแรกไปแค่วันเดียว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มเพิ่มเป็น 2 วัน บางทีเป็นอาทิตย์ ตอนที่ลงจากเขาก็ถามว่า “ไปไหนมา” พ่อก็บอก “ไปนอนบนภูเขา” ซึ่งมันแปลกมาก ทุกคนในบ้านก็งง และพ่อเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป จู่ ๆ ก็หยิบปืนลูกซองขึ้นมาเล็งคนในบ้าน และพูดว่า “กูจะเอาชีวิตทุกคนในครอบครัว” ตอนนั้น เลิกลั่กพึ่งจะอายุ 12 ยังเด็กมาก ต้องไปหลบใต้ต้นพลูกับพี่ชายเพื่อหลบปืนจากพ่อ มีบางวัน พ่อก็ลุกขึ้นมาต่อยกระจกบ้านรอบบ้านจนแตก และมือก็เป็นแผลเลือดออกเต็มไปหมด หลังจากนั้นพ่อก็เอามือที่เต็มไปด้วยเลือดป้ายตามบ้านเต็มไปหมด ซึ่งทุกวันนี้รอยเลือดนั้นก็ยังอยู่ ในตอนกลางคืนที่น้องนอนก็มักจะได้ยินเสียงพ่อใช้เคียวกรีดยางขูดกับอะไรบางอย่างเหมือนในหนังฆาตกรรม เลิกลั่กจึงบอกกับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว และในทุก ๆ วันแม่ก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปกรีดยาง ทุกครั้งที่ไปกรีดยางจะเห็นพ่อยืนอยู่ไกล ๆ เหมือนแอบส่องมาจากไกล ๆ แม่เดินไปทางไหนพ่อก็จะมองตาม พ่อเริ่มอาการหนักมาก จึงไปปรึกษาพระแถวบ้าน พระท่านบอกให้เอาต้นตะเคียนออกจากบ้านไป และนำมาไว้ที่วัดแล้วพรมน้ำมนต์ หลังจากทำตามที่พระบอก พ่อก็หายตัวไปเป็นระยะเวลา 10 ปี เลิกลั่กพึ่งจะมาได้ข่าวพ่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากแม่ว่าเจอพ่อแล้ว แต่พ่อไม่มีสติแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1