อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

อังคารคลุมโปง RECAP

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

18 ธ.ค. 2023

       อยากให้ร้านข้าวมันไก่ขายดีจนต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นของดำ! เรื่องราวจาก ‘คุณเบ้น’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณแม่บัว’ (นามสมมติ แม่ของคุณเบ้น) ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณเบ้นได้ฟัง โดยต้องย้อนกลับไปในสมัยที่คุณเบ้นอายุ 17 ปี ช่วงนั้นแม่บัวได้รู้มาว่า ‘ป้าเอ’ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านคนสนิทมาเปิดร้านข้าวมันไก่ในละแวกบ้านเช่าที่ตนอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะไปช่วยอุดหนุน พอถามไถ่กันจึงได้รู้ว่าป้าเอเปิดร้านข้าวมันไก่มาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว

       เมื่อไปถึง ป้าเอก็พูดกับแม่บัวด้วยความกังวลว่า “เจ้ หนูปรึกษาอะไรหน่อยสิ คือช่วงนี้ร้านหนูขายไม่ค่อยดีเลย หนูอยากขายได้เยอะ ๆ แต่ช่วงนี้ขายไก่ได้ประมาณ 5-6 ตัวเอง เจ้พอมีวิธีจะสื่อถึงอากง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ไหม” ที่ป้าเอถามเช่นนี้ ก็เพราะรู้ว่าแม่บัวสามารถสื่อถึงพลังงานบางอย่างได้ แต่เรื่องนี้จะมีแค่คนสนิทที่รู้เท่านั้น “ได้สิ เดี๋ยวสื่อให้” แม่บัวตอบกลับทันที ไม่นานหลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็เดินไปยังตี่จู้เอี๊ยะบริเวณหลังร้าน เพื่อสื่อกับอากงว่าต้องการอะไรหรือไม่ หรือต้องทำอย่างไรจึงจะขายดีขึ้น และได้รู้คำตอบว่าจะต้องถวายน้ำทุกวัน รวมถึงในทุกวันพระจะต้องมีการถวายพวงมาลัย และผลไม้หนึ่งชนิดจึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ป้าเอเชื่ออย่างนั้นจึงปฏิบัติตามที่แม่บัวบอก

       พอเวลาผ่านไปไม่นาน แม่บัวได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปทานข้าวในร้านป้าเออีกครั้ง และไม่ลืมที่จะถามว่าค้าขายเป็นอย่างไร ป้าเอยิ้มด้วยความดีใจและตอบกลับกลับทันทีว่า “เจ้! ขายดีมากเลย ตอนนี้ขายไก่ได้วันละ 10-12 ตัวเลย” แม่บัวดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น หลังจากพูดคุยและทานข้าวเสร็จก็กลับบ้านตามปกติ

       เวลาล่วงเลยมาประมาณเดือนกว่า แม่บัวได้แวะเข้าไปที่ร้านป้าเออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถึงกลับต้องตกใจและขนลุกไปทั้งตัว เพราะไปรู้มาว่าป้าเอได้ไปเช่าบูชากุมารมาไว้ที่ร้าน เพราะคิดว่าจะได้ขายดีขึ้น แต่แม่บัวกับสัมผัสได้ถึงพลังงานดำมืด บรรยากาศที่เธอเห็นตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามันมืดมัวไปหมด “เอ ! เธอไปเอามาจากไหน” แม่บัวถามด้วยสีหน้ากังวล ป้าเอก็ตอบกลับมาว่า “ฉันก็ไปเช่ามาแถวบ้านเจ้นั่นแหละ คนข้างบ้านเขาเปิดรับคนบูชามันมีแค่ 500 องค์เอง เช่ามาประมาณ 1,999 บาท เขาบอกกับฉันว่าถ้าบูชามาแล้วจะขายดีขึ้น” ได้ยินอย่างนั้นแม่บัวก็เงียบไปพร้อมกับขนลุกอยู่ตลอดเวลา

       ด้วยความที่ป้าเอเชื่อแบบนั้นก็บูชากุมารองค์นี้มาตลอด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ขายดีตามปกติ แต่ด้วยความเป็นห่วงแม่บัวจึงเตือนว่าอากงบอกมาว่าเป็นสิ่งไม่ดี ให้เอากลับไปส่งจากที่เช่ามา ได้ยินอย่างนั้นก็ลองทำตามคำแนะนำของแม่บัวดู แต่ปรากฏว่าร้านของป้าเอกลับเงียบไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนเหมือนเมื่อก่อน จึงตัดสินใจโทรไปหาแม่บัวและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บัวรีบมาที่ร้านและพยายามสื่อกับกุมาร แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ จึงคิดว่าจะไปให้หลวงพ่อช่วยสื่ออีกแรง

       หลังจากเสร็จภารกิจก็กลับบ้านตามปกติ แต่ในคืนนั้นแม่บัวรู้สึกว่ามีอาการเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล พ่อคุณเบ้นรู้ข่าวก็รีบโทรมาหาคุณเบ้น หลังจากวางสายก็ตรงมาที่โรงพยาบาลทันที คืนนั้นประมาณ 3-4 ทุ่ม พ่อเล่าให้ฟังว่าแม่บัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร ซึ่งผิดปกติจากนิสัยที่เป็นคนร่าเริง “เป็นใคร มึงเป็นใคร ?” พ่อถามด้วยความสงสัยเพราะตอนนั้นคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่  “มึงก็ลองถามเมียมึงสิ ! ว่ามันไปทำอะไรไว้ มันยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม อย่ามายุ่งเรื่องของกู และก็อย่ามาที่ร้านนี้อีก !” หลังจากที่แม่พูดจบ ก็หมดสติไปทันที

       เมื่อแม่บัวฟื้นขึ้นมาก็มีอาการปวดท้อง และพะอืดพะอมจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา ปรากฎว่าหลังจากที่อ้วกออกมา มันคล้ายกับน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่มีสีดำคล้ำ ตอนนั้นแม่บัวรู้สึกกลัวมาก ไม่คิดว่ากุมารองค์นั้นจะเล่นเธอกลับมาแรงขนาดนี้ และด้วยความกลัวนี้ แม่บัวจึงไม่คิดจะกลับไปที่ร้านข้าวมันไก่นั้นอีก

       ต่อมาไม่นาน คุณเบ้นก็ได้มีโอกาสแวะเข้าไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าเอมาฝากแม่ แต่ก็ไม่เจอกุมารองค์นั้นแล้ว ป้าเอบอกว่าหลังจากที่แม่บัวได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อวันนั้น หลวงพ่อก็บอกว่ากุมารองค์นี้เป็นสายดำ เป็นผี! จึงจะทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ แต่ในระหว่างที่ทำพิธีอยู่ก็ได้ไปเห็นเหมือนผงกระดูกบริเวณใต้ฐานกุมาร! และหลวงพ่อเชื่อว่าเศษกระดูกพวกนี้คือกระดูกเด็กที่มาจากข่าวดัง ‘ศพเด็ก 2,002 ศพ’ หลวงพ่อจึงรีบทำพิธีให้เสร็จ เพราะคิดว่าดวงวิญญาณเหล่านี้ทรมานมานานมากแล้ว

       หลังจากที่ป้าเอได้ไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณก็ปิดทำการร้านข้าวมันไก่ไป และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเจอมาก็หายไปตามกาลเวลา รวมถึงแม่บัวก็ไม่ได้สื่อสารกับดวงวิญญาณของกุมารเหล่านั้นอีกเลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

น้องชายตัวดี ปากแจ๋วกับผี! พี่สาวเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ตะโกนด่าไล่ผีออกจากห้อง ถ้าจะหลอกก็หลอกไป กูจะอยู่! เพราะจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว! เงินก็เงินผม ผีไม่ได้ช่วยออกสักหน่อย !?

05 พ.ค. 2024

น้องชายตัวดี ปากแจ๋วกับผี! พี่สาวเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ตะโกนด่าไล่ผีออกจากห้อง ถ้าจะหลอกก็หลอกไป กูจะอยู่! เพราะจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว! เงินก็เงินผม ผีไม่ได้ช่วยออกสักหน่อย !?

เรื่องราวนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 เมษายน 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ไอแผน’ จะหลอนแค่ไหนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ (นามสมมติ) ได้นำมาเล่าจากประสบการณ์ตรงของ ‘คุณอีฟ’ โดยคุณออโต้เล่าว่า หากย้อนไปในเมื่อ 10 ปีก่อน คุณอีฟทำงานเป็นทนายความ และมีลูกน้องชื่อ ‘แผน’ เป็นทนายความจบใหม่ โดยทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คุณแผนได้ไปรับทำคดีชุด ซึ่งคดีชุดเป็นคดีที่รวมคดีของภาคอีสานทั้งหมด พอได้รับทราบคดีแล้วก็ชวนพี่สาวของตัวเองไปช่วยทำเอกสารด้วย และขอให้คุณอีฟหยุดงาน 2 เดือน ในสมัยนั้นการทำคดี ต้องรับงานเหมือนกับ Salesmen ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ทนายความต้องรับคดีอย่างน้อย 80 คดีขึ้นไป ต้องใช้เวลา 38 ชั่วโมง ในการทำคดีและส่งเรื่องขึ้นศาล อีกทั้งสมัยนั้นระบบยังไม่เปิดให้ส่งออนไลน์ ต้องไปทำเรื่องแจ้งที่ศาลประจำจังหวัด ซึ่งการรับทำคดีเยอะ ๆ เช่นนี้ก็ทำให้เกิดอาการเครียดสะสม เขาทั้งคู่แทบที่จะไม่ได้พักผ่อน เมื่อทำคดีของจังหวัดหนึ่งเสร็จก็ต้องขับรถไปทำคดีของอีกจังหวัด ขณะที่กำลังขับรถเปลี่ยนจังหวัดนั้นเอง คุณแผนก็เริ่มที่จะง่วง จึงบอกกับพี่สาวว่า “ถ้าขับรถไป แล้วเจอรีสอร์ต หรือที่พักข้างทางก็ให้แวะพักเลย ขับต่อไปไม่ไหวแล้ว กลัวหลับใน เกิดอุบัติเหตุแน่” ช่วงเวลาประมาณสองทุ่ม แอปก็แจ้งเตือนว่า อีก 50 กิโลเมตรจะถึงตัวเมือง แต่คุณอีฟกับคุณแผนก็เจอกับรีสอร์ตข้างทางเข้าเสียก่อน จึงเลี้ยวรถเข้าไปทันที รีสอร์ตมีลักษณะเหมือนบ้านสวน มีการแบ่งกั้นบ้านเป็นหลังยาวเข้าไป ด้วยความที่คุณอีฟมีเซ้นส์บางอย่าง และเป็นคนที่ชอบเสพเรื่องผี จึงคาดการณ์ว่า การพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันน่าจะต้องมีอะไรบางอย่าง จึงบอกคุณแผนว่า “เราไปพักกันในตัวจังหวัดไหม?” เพราะในความรู้สึกของคุณอีฟ การพักในชานเมืองมันไม่ปลอดภัย แต่คุณแผนก็บอกว่า “เราพักตรงนี้แหละ เพราะผมไม่ไหวแล้ว เราต้องรวบรวมเอกสาร เพื่อคดีในวันพรุ่งนี้อีก” คุณอีฟก็เลยอยู่ในสถานะต้องจำยอม หลังจากนั้น ทั้งคู่จึงเข้าไปติดต่อกับพนักงาน แต่กลับพบลุงวัยกลางคนที่คาดเดาว่า ลุงน่าจะเป็นคนดูแลห้องพัก ลุงบอกว่า “มีห้องพักว่างอยู่เป็น 10 ห้อง อยากพักห้องไหนเลือกได้เลย” คุณอีฟสะกิดคุณแผนว่า “เปลี่ยนที่พักกันไหม ?” ซึ่งคุณแผนก็ยังยืนยันว่าจะพักที่นี่ ด้วยเรื่องของราคาห้องพักที่ประหยัด เพียง 450 บาท ทั้งคู่ก็ได้เข้าพักเลือกเป็นห้องริมสุดจากด้านใน ระหว่างที่กำลังขนของเข้าพัก คุณลุงก็พูดขึ้นว่า “ลุงสแตนบาย อยู่นี่ 24 ชั่วโมงนะ ถ้าเกิดเหตุอะไรหรืออยากจะเปลี่ยนห้อง ลุงอยู่ตรงนี้นะ” ตอนนั้นคุณอีฟกับคุณแผน ก็คิดเพียงว่า อาจจะเป็นไฟเสีย หรือ ห้องน้ำน้ำไม่ไหล พอจอดรถที่หน้าห้องเรียบร้อย คุณอีฟที่เป็นคนมีเซ้นส์ก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ เพียงแค่เปิดประตูห้องเข้าไป ก็ได้กลิ่นเหม็นอับ มีลมปะทะหน้า จากนั้นก็จัดเต็มทุกสิ่งตาม Step ของเรื่องผี คุณอีฟจึงบอกกับคุณแผนว่า “เฮ้ยแผน ! เรากลับตอนนี้ยังทันนะ” แต่คุณแผนก็ยังรั้นตอบว่า “ไม่กลับ!! ที่นี่ราคาห้อง 450 เอง ประหยัดกระเป๋าดี ผมน่ะไม่กลัวผี ! พี่เป็นพี่สาวผมก็ต้องไม่กลัวเหมือนกัน!” ด้วยความที่คุณอีฟเป็นพี่สาวที่แสนดี ก็ไม่อยากจะเถียงต่อด้วย บอกน้องชายไปว่า “เออ ก็แล้วแต่ละกัน !” จากนั้นคุณอีฟจึงเดินเข้าไปสำรวจในห้อง ภาพที่คุณอีฟเห็น คือ ภาพของเตียงนอนกลางห้องที่มีลักษณะก่ออิฐปูนขึ้นมาเป็นฐาน คุณอีฟสัมผัสได้ในทันทีว่า มันมีลักษณะคล้ายกับ ‘เมรุเผาศพ’ หรือที่เรียกว่า ‘เตาเผากลางแจ้ง’ เมื่อเดินไปสำรวจจุดอื่น พบว่าห้องดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน และที่พีคสุด ๆ คือ ‘โต๊ะเครื่องแป้ง’ ที่ทางรีสอร์ตน่าจะทำขึ้นเอง เหมือนเป็นไอเดียเฉพาะ สร้างจากอิฐและปูนที่ก่อขึ้นมา และมีกระจกติดไว้ด้านบน ลักษณะคล้ายกับโกศเก็บกระดูก ตอนนั้นคุณอีฟก็ทำได้เพียงแค่บ่นตามประสา หลังจากนั้นคุณอีฟก็เข้าไปอาบน้ำ ฝักบัวก็ไม่มี มีเพียงแต่ขันตักน้ำ ซึ่งน้ำก็เหม็นอีก คุณอีฟจึงตัดสินใจว่าจะไม่อาบน้ำ เลือกที่จะเอาน้ำเปล่ามาล้างหน้าแทน หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย คุณแผนเสียสละให้คุณอีฟนอนบนเตียง และตัวคุณแผนเองก็นอนบนฟูกข้างขวาของเตียง โดยที่ที่คุณแผนนอนจะนอนติดกับ ‘โต๊ะเครื่องแป้ง’ ที่มีลักษณะคล้ายกับโกศเก็บกระดูก ก่อนนอนคุณแผนก็บอกกับคุณอีฟว่า “พี่อีฟนอนก่อนเลยนะ เพราะผมกรนดัง” ไม่นานเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ในขณะที่คุณอีฟกำลังเคลิ้มหลับ จู่ ๆ คุณแผนก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ดูผู้หญิงคนนั้นดิ ! เขามาทำอะไร !?” คุณอีฟเลยถามกลับไปว่า “ใครแผน !?” คุณแผนจึงตอบว่า “ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ !? มายืนรำอยู่ที่หน้าผมเนี่ย !” ตอนนั้นคุณอีฟที่กำลังมึนงงจากการกึ่งหลับกึ่งตื่น คิดว่าน้องชายกำลังแกล้งตนอยู่ เพราะเมื่อหันมองในห้องกลับไม่พบอะไร คุณอีฟก็เลยว่ากลับไป “นี่แผนหลอกพี่หรอ !?” คุณแผนตอบกลับแทบจะทันทีว่า “ผมไม่ได้หลอกพี่ ไม่เชื่อพี่ก็ดูดิ เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ! กำลังตั้งท่ารำอยู่” คุณอีฟที่มองไม่เห็นอะไร จึงคิดในใจว่า “อะไรวะเนี่ย” คุณแผนก็บอกต่อว่า “ช่างเถอะพี่ ให้มันรำไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้า นอนเถอะ !” คุณอีฟที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถนอนหลับอีกต่อไป นอนมองซ้ายมองขวา ถามย้ำกับน้องชายว่า “แผน ! แผนเห็นจริง ๆ หรอ !?” น้องชายก็ทำท่าทางเอามือจุ๊ปาก แล้วบอกว่า “พี่อีฟ… เบา ๆ เดี๋ยวมันรู้ว่าเราเห็นมัน…” สักพักคุณแผนก็เอาเท้าขึ้นมาก่ายด้านบนเตียง แล้วก็บอกกับพี่สาวว่า “พี่ช่วยเอาเท้ามาพาดผมหน่อย อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกว่าผมมีเพื่อน” คุณอีฟบอกว่า “ทำไมไม่ขึ้นมานอนด้วยกันเลย” คุณแผนก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพี่” คุณอีฟก็ไม่อยากคิดมากอะไร ทำตามอย่างที่น้องบอก สัมผัสแรกคุณอีฟรู้สึกได้เลยว่า ตัวของคุณแผนเย็นมาก ! นอนไปได้สักพัก คุณอีฟก็เริ่มรู้สึกแปลกขึ้น เพราะคุณแผนไม่มีการขยับเท้า ไม่มีการพลิกตัว หรือขยับร่างกายเลย ด้วยความสงสัยเลยตะโกนถามไปว่า “แผน ! เท้าเอ็งอยู่ไหน !?” คุณแผนก็ตอบว่า “อ๋อ… ผมชักกลับมาแล้วพี่” พร้อมกับยกเท้าโชว์ขึ้นมาให้พี่สาวดู แต่ตอนนั้นคุณอีฟยังรู้สึกว่า เท้าของคุณอีฟยังแตะเท้าของคุณแผนอยู่ แต่เมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่เท้าของคุณแผน คุณอีฟจึงสะดุ้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง! ภาพที่คุณอีฟคือ เท้าของตนแตะอยู่ที่มือของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ปลายเตียง พอเห็นอย่างนั้น คุณอีฟก็ชักเท้ากลับทันที ตะโกนถามน้องชายว่า “แผน ! นั่นใคร !?” ทันทีหลังพูดจบ คุณแผนก็พลิกตัวกลับมาด่าว่า “มึงเป็นใครเนี่ย !? มึงมาหลอกพวกกูทำไม มึงจะหลอกมึงหลอกไปเลยนะ ยังไงกูก็จะนอน เพราะกูจ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว ! มีกูมีพี่สาวกู กูจะไม่ไปไหน !”ด้วยความที่คุณอีฟกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยตะโกนถามน้องชายว่า “แผน ! กลับไหม !?” คุณแผนก็ยังเถียงต่อว่า “พี่ ! เราเสียเงินตั้ง 450 ! เราต้องได้นอน ! เขาเป็นใครก็ไม่รู้จะมาไล่เราออกได้ยังไง พี่ต้องนอนเชื่อผม !” คุณอีฟที่ทนไม่ไหวแล้ว จึงคว้ากุญแจรถวิ่งหนีออกมา คิดว่าจะขับรถไปสงบสติอารมณ์ แต่อีกใจก็เป็นห่วงน้องชาย จึงเลือกที่จะนอนที่รถดีกว่า แต่ก็กลัวผีอีก จึงเดินไปหาลุงที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่ลุงกับไม่มีท่าทีตกใจ หันหน้ากลับมายิ้มให้เท่านั้น ก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจอแล้วหรอ…” คุณอีฟถามลุงว่า “ลุงรู้หรอ ว่าพวกหนูเจออะไร” ลุงก็ตอบกลับว่า “แหม๊ แค่ 450 ! มันมีอยู่แล้ว…” คุณอีฟก็คิดในใจว่า “ควรจะโกรธน้องชายตัวดี หรือโกรธลุงดี !” ลุงยังบอกอีกว่า “ลุงก็นั่งรอให้เอง มาเปลี่ยนห้องอยู่เนี่ย ก็ไม่เห็นออกมาสักที นึกว่าอยู่กันได้” ลุงก็ยิ้มบอกอีกว่า “ลุงพูดไม่ได้ ลุงแค่มาดูแลให้เฉย ๆ” คุณอีฟถามต่อว่า “ถ้าหนูย้ายห้องอื่น เขาจะตามมาด้วยไหม” ลุงตอบว่า “เขาเป็นเจ้าของเขาไปไหนก็ได้” แล้วคุณอีฟก็เผลอหลับที่รถไป… หลังจากนั้น คุณอีฟสะดุ้งตื่นมาตอนตี 5:45 รวบรวมความกล้า เดินกลับไปที่ห้องเพื่อตามน้องชาย เมื่อเจอพี่สาว คุณแผนก็ถามทันทีว่า “พี่ทิ้งผมทำไม !” คุณอีฟจึงตอบว่า “พี่ไม่อยากนอนร่วมห้องกับผีหรอกนะ” ก่อนที่จะพากันเก็บของ คุณอีฟก็ถามน้องชายต่อว่า “ผีที่เห็นล่าสุดอยู่ตรงไหน?” คุณแผนตอบว่า “อ๋อ มันเข้าห้องน้ำอยู่พี่ ผมเลยไม่อาบน้ำ กลัวมันมองพิกาจูผม” ก่อนที่ทั้งคู่จะออกมาอาบน้ำที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง คุณอีฟก็ถามต่ออีกว่า “แล้วเมื่อคืนอยู่ยังไง” คุณแผนก็ตอบว่า “ผมก็บอกมัน ถ้าอยากจะรำก็รำไป ผมต้องทำงานเช้า ผมจะนอน แล้วผมก็หลับไปเลย…”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

01 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเคเบิ้ล’ เรื่องที่มีชื่อว่า ‘บ้านรีโนเวท’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็คบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณบอย’ โดยต้องย้อนกลับไปในช่วงที่คุณบอยทำอาชีพฉีดปลวก ซึ่งตัวคุณบอยจะมีเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจต่าง ๆ เพื่อนของคุณบอยได้ไปรับงานจากคนที่รู้จัก ซึ่งคนนี้คือเพื่อนของเพื่อนคุณบอยและเป็นหลานเจ้าของบ้าน เขาอยากให้ไปจัดการปลวก หนู และแมลงต่าง ๆ แต่ก่อนที่จะไปทำ คุณบอยได้เข้าไปดูสถานที่จริงว่าบ้านเป็นอย่างไร ซึ่งคุณบอยบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นปูน ด้านบนเป็นไม้ บริเวณด้านล่างจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ด้านบนจะสำคัญกว่าเพราะเป็นไม้ จะต้องไล่ปลวกและฉีดปลวกก่อน ด้วยความที่ตัวคุณบอยเชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่แล้ว จึงรู้ว่าควรจะเริ่มทำอย่างไรก่อน บริเวณชั้น 2 จะมี 3 ห้องได้แก่ 2 ห้องนอน 1 ห้องโถง ก่อนที่คุณบอยจะเริ่มสำรวจ เจ้าของบ้านได้บอกให้เข้าไปดูห้องหนึ่ง เป็นห้องที่คิดว่าน่าจะเสียหายมากที่สุด คุณบอย เพื่อนคุณบอย และเจ้าของบ้านจึงขึ้นไปยังห้องนั้น คุณบอยบอกว่าแว๊บแรกที่เปิดประตูเข้าไปคือมีกลิ่นเหม็นเน่า เหมือนมีซากสัตว์ตายจำนวนมาก ตามสัญชาตญาณของคนทำงานแนวนี้สันนิษฐานว่าจะมีอยู่ 2 อย่างที่ตาย คือไม่หนูก็ตุ๊กแก จากนั้น คุณบอยก็ได้เดินไปสำรวจ ในระหว่างที่เดินสำรวจมุมต่าง ๆ คุณบอยก็ได้ไปเจอกับซากตุ๊กแกตายหลายจุด แต่มีอยู่หนึ่งตัวที่ดูแปลกไปคือมีแต่ตัวส่วนหัวหายไป ทำให้คุณบอยทราบว่าที่ห้องนี้เหม็นเพราะตุ๊กแกตาย คุณบอยจึงแจ้งกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้อาจจะต้องทำเยอะ ยังไม่รวมบนฝ้าที่ไม่รู้ว่าหนักขนาดไหน คุณบอยจึงจำเป็นที่จะต้องปีนขึ้นไปดู เมื่อคุณบอยเห็นก็ได้บอกว่า “หนักกว่าข้างล่างอีก” เพราะว่ามีซากตุ๊กแกนอนตายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด แต่คุณบอยก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะบ้านหลังนี้อยู่ในสวนจึงไม่แปลก แต่ที่ผิดปกติคือบนฝ้ามีรอยมือคนที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้า รอยเท้า รอยมือเต็มไปหมด ที่แปลกที่สุดคือตรงไหนที่มีคานติดกับฝ้าที่มีระยะห่างเพียงแค่นิดเดียว จะมีรอยมือที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้าสามารถผ่านช่องเล็ก ๆ นั้นไปได้ เมื่อคุณบอยลงมาด้านล่าง ได้บอกกับเจ้าของบ้านว่า “ด้านบนต้องทำความสะอาดเยอะนะ” เพราะกลิ่นเหม็นมาจากด้านบนเนื่องจากมีตุ๊กแกตายเยอะ หลังจากสำรวจห้องนี้เสร็จก็ไปสำรวจห้องอื่นต่อซึ่งเป็นห้องของน้าสาว ห้องนี้ก็เละไม่ต่างกัน มองไปทางไหนก็มีซากตุ๊กแกตาย เมื่อสำรวจเสร็จคุณบอยก็มาคุยกับเจ้าของบ้านว่า “ต้องทำเยอะนะ” เวลานั้นเป็นช่วงเที่ยงพอดี คุณบอยจึงลงมาพักทานข้าว ระหว่างที่กินข้าว ด้วยความที่คุณบอยเป็นคนที่ปีนขึ้นไปสำรวจบริเวณฝ้าและรู้สึกผิดปกติจึงคิดอยากถามกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าของบ้านจึงได้เล่าว่า อดีตของบ้านหลังนี้มีน้าสาวของเจ้าของบ้านอาศัยอยู่ ซึ่งห้องที่ไปดูมาเป็นห้องของน้าสาว น้าสาวเป็นคนหน้าตาดี สวย มีผู้ชายมาจีบเยอะ วัน ๆ ก็มักจะมีหนุ่ม ๆ ขี่รถมาจีบจนเป็นกิจวัตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของน้าสาว ซึ่งบ้านหลังนี้ไม่มีรั้ว เมื่อจอดเสร็จผู้หญิงคนนี้ก็ได้หยิบห่อผ้าขาวที่พกมาปาเข้าไปในห้องของน้าสาว หลังจากนั้นก็ด่าน้าสาวพร้อมกับสาปแช่ง คนในบ้านและน้าสาวตกใจจึงพากันแห่ออกมาดู ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนนี้โกรธจัดยืนชี้หน้าด่าน้าสาว จนคนในบ้านต้องจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและไล่น้าสาวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างที่กำลังจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและน้าสาวกำลังกลับเข้าห้อง ขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงน้าสาวกรี๊ด ทุกคนจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือน้าสาวนอนสลบอยู่ข้าง ๆ ห่อผ้า ซึ่งหลังจากที่ห่อผ้าถูกปาเข้ามาก็แตกกระจาย สิ่งที่ทุกคนเห็น คือ เป็นก้อนขาว ๆ ขุ่น ๆ มีเศษผม เศษเล็บ เต็มไปหมด เหมือนกับเป็นห่อผ้าที่ใช้ห่อกระดูกคนแล้วถูกเอามาโยนใส่เพื่อทำอะไรบางอย่าง ในช่วงชุลมุนนั้นเอง ญาติก็ช่วยกันเก็บห่อผ้าไปไว้สักที่ แล้วพาน้าสาวไปโรงพยาบาล เมื่อตรวจแล้วก็ไม่มีความผิดปกติ แต่หลังจากวันนั้น น้าสาวมักจะบ่นปวดหัว และทำตัวไม่ปกติ จากที่เป็นคนสวย เป็นมิตร กลับกลายเป็นเก็บตัวไม่ออกจากห้อง ไม่กินข้าว จนต้องนำข้าวเข้าไปในห้อง แม้จะพาไปหาหมอแต่ก็ได้ความเหมือนเดิมว่าน้าสาวไม่ได้เป็นอะไร แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้น คนในบ้านกำลังจะเอาข้าวไปให้น้าสาว ปรากฏว่าเคาะประตูแล้วแต่ก็ไม่ยอมเปิด จึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือน้าสาวนั่งอยู่ที่มุมห้องกำลังทำอะไรบางอย่าง พอเรียกน้าสาวที่ทำตัวยุกยิก น้าสาวที่กำลังทำอะไรอยู่นั้นก็หยุดทันทีแล้วหันมา สิ่งที่เห็นทำเอาคนในบ้านตกใจมาก คือ น้าสาวกำลังคาบหัวตุ๊กแกที่ถูกดึงออกมาจากตัวและเต็มไปด้วยเลือด ด้วยความที่ทุกคนในบ้านตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้าและเอาหัวตุ๊กแกออกแล้วนำส่งโรงพยาบาล โรงพยาบาลจึงแจ้งว่าอาการนี้น่าจะผิดปกติทางจิต มีใครในบ้านไปทำอะไรที่ส่งผลให้น้าสาวได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจรึป่าว ทางบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร ไปหาพระก็แล้ว หมอดูก็แล้ว ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอาการของน้าสาวคือ ‘โดนของ’ แต่ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่สิ่งที่หนักขึ้นกว่าเดิม คือทุกวันที่มีฝนตกน้าสาวจะกรีดร้องเสียงดัง โหวกเหวกโวยวายเหมือนคนเสียสติ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนมาเยี่ยมบ้านหลังนี้ ประจวบเหมาะกับวันนั้นเป็นวันฝนตก ทุกคนในบ้านก็เฝ้าระวังว่าน้าสาวจะกรีดร้องหรือไม่ ปรากฏว่าเมื่อฝนตกน้าสาวกลับเงียบกริบ แต่ฝ้าเพดานข้างบนมีเสียง กุกกักไปมา คนในบ้านจึงคิดว่าเป็นหนู เลยพยายามไล่ดูและเอาไม้กระทุ้งเพดาน ระหว่างที่กำลังเอาไม้กระทุ้งนั้นก็มีฝ้าแผ่นหนึ่งหลุดลงมา แล้วทุกคนก็หันไปมอง สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ น้าสาวห้อยหัวลงมาจากฝ้าปากคาบตุ๊กแกไปด้วย แล้วน้าสาวก็วิ่งกลับเข้าไปในเพดาน พอปีนเข้าไปดูปรากฎว่าฝ้าเพดานเต็มไปด้วยซากตุ๊กแกที่น้าสาวเหมือนไปจับแล้วกิน เหมือนกับคนโรคจิต คนในบ้านเลยจับน้าสาวลงมาสงบสติ ระหว่างที่ลงมาน้าสาววิ่งเข้าไปในอีกห้อง ทุกคนจึงรีบวิ่งตามไป พอไปถึงก็เห็นน้าสาวกำลังนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง นั่งหันหลังให้ออกไปด้านนอก หันหน้าเข้ามาในบ้านแล้วแกก็เคี้ยวตุ๊กแกไปด้วย คนในบ้านจึงจะรีบวิ่งไปจับ ปรากฏน้าสาวทิ้งตัวเองหงายลงไปจากชั้น 2 นอนแน่นิ่งอยู่ด้านล่าง ทุกคนจึงรีบพาไปโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นหมอแจ้งว่าน้าสาวเสียชีวิตแล้ว สาเหตุการตายไม่ได้มาจากการตกจากชั้น 2 แต่เสียชีวิตจากการที่เลือดเป็นพิษที่น่าจะมาจากสิ่งที่น้าสาวกินเข้าไป ก็คือตุ๊กแกจำนวนมากที่ทั้งดิบทั้งสกปรก หลังจากจัดการพิธีศพของน้าสาวเสร็จ คนในบ้านก็คิดกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้าสาว สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวคนในบ้าน คือผู้หญิงที่เคยมาโยนห่อผ้าสีขาวใส่หิ้งของน้าสาว คนในบ้านเลยคุยกันว่าห่อผ้าที่ถูกเก็บไปอยู่ที่ไหน ซึ่งก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเก็บและห่อผ้าถูกเก็บไว้ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าของบ้านต้องหาให้ได้คือผู้หญิงคนนี้เป็นใคร จึงเริ่มสืบจากการไปถามคนนั้น คนนี้ ว่ารู้จักผู้หญิงลักษณะแบบนี้ไหม แล้วก็ได้คำตอบจากป้าคนหนึ่งในหมู่บ้านว่ารู้จัก บ้านอยู่ไม่ไกลกันเอง ทำให้ฉุกคิดได้ว่าทำไมรู้สึกหน้าคุ้น ๆ เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเลยไปที่บ้านของผู้หญิงคนนี้ เมื่อไปถึงคนข้างบ้านบอกว่าบ้านหลังนี้เคยมีสามีภรรยาอยู่ แต่เสียชีวิตหมดแล้ว เหมือนคู่นี้ทะเลาะกันแล้วผู้ชายหนี ผู้หญิงจึงผูกคอตาย จากนั้นก็มีการสืบเรื่องต่อไปอีก ได้ความว่า ผู้ชายบ้านนี้เจ้าชู้ จีบผู้หญิงไปเรื่อย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ผู้ชายจะไปจีบบ่อยก็คือน้าสาว ผู้หญิงจึงจับได้ว่าสามีตัวเองมาบ้านน้าสาวบ่อย จึงทะเลาะกับผู้ชายทำให้ผู้ชายหนีออกจากบ้านไป ผู้หญิงคนนี้เสียใจมากเลยผูกคอตาย แต่ก่อนที่จะผูกคอตายผู้หญิงคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่บ้านของน้าสาวก่อนแล้วทำคุณไสยใส่น้าสาว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

10 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

หากคุณเป็นทาสแมว อาจจะต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องของ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่อง ‘แอปหลอนสื่อวิญญาณ’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มีทั้งรอยยิ้มและความหลอน จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของรุ่นน้องที่ชื่อว่า ‘คุณลูกนัท’ มีอาชีพเป็นหมอ จะขอเรียกว่า ‘หมอนัท’ ตอนนั้นหมอนัทได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้ทำการเช่าบ้านพักอาศัยอยู่กับแฟนคนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘คุณเกนจิ’ โดยหมอนัทเลือกเช่าบ้านบริเวณใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าของ ‘คุณยายริกะ’ ซึ่งคุณยายริกะปลูกบ้าน 2 หลังไว้ติดกันเพื่อปล่อยเช่า หมอนัทสนิทกับคุณยายริกะมาก เนื่องจากหมอนัทกับคุณเกนจิเป็นทาสแมว และคุณยายริกะเองก็เลี้ยงแมวเยอะมาก แต่จะมีอยู่หนึ่งตัวเป็นตัวแสบประจำบ้าน ชื่อว่า ‘ชิโร่’ เป็นแมวเปอร์เซียอ้วนปุกปุย หน้ามึน ขนสีขาว ชิโร่มักจะชอบปีนข้ามมาที่บ้านหมอนัทเป็นประจำ ทำให้ทุก ๆ วัน คุณยายริกะต้องมาตามชิโร่กลับบ้าน วันหนึ่ง หลังจากที่หมอนัทเรียนเสร็จ หมอนัทได้รับข่าวร้ายว่า แมวที่บ้านของคุณยายริกะเสียชีวิตทั้งหมดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือแต่ชิโร่แมวตัวแสบเพียงตัวเดียว เนื่องจากชิโร่ชอบแอบไปอยู่ที่บ้านของหมอนัท คุณยายริกะนั้นไม่มีญาติทำให้ผูกพันกับแมวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณยายริกะรู้สึกเสียใจมาก ทั้งยังมีอายุค่อนข้างมากแล้ว จึงทำให้คุณยายริกะเริ่มมีอาการป่วย จากนั้นไม่นาน คุณยายริกะก็เสียชีวิตลง.. หลังคุณยายเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์ เจ้าเหมียวชิโร่ก็ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู ตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เหล่าแมวจรจัดจะต้องถูกการุณยฆาต คุณเกนจิจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเจ้าชิโร่ต่อ ส่วนเรื่องบ้านเช่านั้น ทางบริษัทที่คุณยายริกะทำประกันไว้ ก็ได้ทำการยึดบ้านหลังนั้นคืน ทำให้ทั้งคู่ต้องไปหาที่พักใหม่ ด้วยความโชคดีที่ทั้งคู่ได้ที่พักใหม่ใกล้ ๆ กับย่านเดิม จึงไม่ต้องปรับตัวมากและก็ได้นำเจ้าชิโร่ไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วย หลังจากวันแรกที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ เจ้าชิโร่ได้หายออกจากบ้านไป ทั้งคู่พยายามเดินออกตามหา จนสุดท้ายมาเจอเจ้าชิโร่นอนอยู่หน้าบ้านของคุณยายริกะ ซึ่งบ้านของคุณยายริกะกำลังถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร เมื่อทั้งคู่เห็นเจ้าชิโร่ยิ่งทำให้สงสารมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าชิโร่เสียคุณยายริกะไปและกลัวว่าเจ้าชิโร่จะเกิดอันตรายหากเดินไปเดินมาอย่างอิสระ จึงตัดสินใจขังเจ้าชิโร่ให้อยู่ในบ้าน เป็นการเลี้ยงระบบปิด กลายเป็นว่าเจ้าชิโร่ไม่ยอมกินข้าว หมอนัทกลัวว่าน้องจะป่วย จึงพาชิโร่ไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ช่วยตรวจให้ พอตรวจดูจึงรู้ว่าชิโร่มีอาการซึมเศร้า สัตวแพทย์จึงแนะนำให้หมอนัทพาเจ้าชิโร่นั่งรถเข็นออกไปเที่ยวเล่นเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย อาการของชิโร่จึงจะดีขึ้น แต่หมอนัทกลับรู้สึกว่าเหมือนยังติดอะไรบางอย่างอยู่ จึงลองปรึกษากับเพื่อนว่า “จะทำยังไงดี ที่จะได้สื่อสารกับชิโร่ ให้ชิโร่กลับมาแอคทีฟได้เหมือนเดิม” เพื่อนก็แนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยแปลภาษาแมวมาให้ หลังจากกลับมา หมอนัทก็เลยลองใช้ ทำให้รู้ว่ามันสามารถบอกหมอนัทได้เลยว่า ‘ชิโร่หิวข้าว’ / ‘ชิโร่อยากเข้าห้องน้ำ’ ซึ่งมันทำให้หมอนัทสนิทกับเจ้าชิโร่มากขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นหมอจึงมีความคิดว่าข้อความที่เกิดขึ้นคือการรวบรวมข้อมูลเสียงแปลออกมาเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะแปลได้ตรงกับความต้องการของชิโร่จริง ๆ ได้ เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากมหาวิทยาลัย หมอนัทเห็นเจ้าชิโร่นั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่างตลอดเวลา เรียกก็ไม่หันมา จึงเปิดแอปแล้วถามชิโร่ว่า “ชิโร่ เป็นอะไร” ชิโร่ก็ร้อง “เหมียว เหมียว” แอปพลิเคชันแปลภาษาก็แปลออกมาว่า “อยากออกไปนั่งรถเล่น” หมอนัทตัดสินใจอุ้มเจ้าชิโร่ใส่รถเข็นออกไปเที่ยวเล่น บริเวณสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน พอชิโร่ได้ออกไปนอกบ้านทำให้ชิโร่อาการดีขึ้น สดใสขึ้น พออยู่ไปสักพักหมอนัทก็บอกกับชิโร่ว่า “วันนี้กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นแล้ว” พอกำลังจะกลับ ชิโร่ก็ชะเง้อคอร้องขึ้นเหมือนกับต้องการทำอะไรบางอย่างอย่าง หมอนัทเปิดแอปพลิเคชันแปลภาษา ก็แปลออกมาว่า “ไม่อยากกลับ” หมอนัทเริ่มรู้สึกประหลาดใจกับข้อความเสียงที่ตอบกลับมา หมอนัทจึงตอบกลับชิโร่ไปว่า “เย็นแล้ว กลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พามาใหม่ก็ได้น้า” ชิโร่ก็ร้องออกมา และแสดงท่าทางที่ดูจะไม่พอใจ แอปก็แปลออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่!!!” สิ่งที่เกิดขึ้นคือหมอนัทเริ่มรู้สึกขนลุกกับความแปลกจากข้อความเสียงที่เกิดขึ้น จึงอยากลองพิสูจน์ดู หมอนัทจึงถามไปว่า “แล้วอยากไปไหน พาหมอไปเลย” ชิโร่ก็ร้องออกมาอีก แอปก็แปลออกมา เป็นการบอกเส้นทางว่า ให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หมอนัทเดินตามไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็รู้สึกสนุก แต่พอหมอนัทเดินไปเรื่อย ๆ ระยะทางเริ่มไกลจากบ้านและเป็นทางที่ไม่คุ้นชิน หมอนัทกำลังจะวนกลับ แต่เจ้าชิโร่ก็วิ่งพล่านในรถเข็นแล้วร้องออกมา แอปก็แปลว่า “อย่า ใกล้ถึงแล้ว” หมอนัทพาชิโร่เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเสียงร้องสุดท้ายแอปก็แปลว่า “ถึงแล้ว” กลายเป็นว่าสถานที่ที่ชิโร่พามานั้น ทำให้หมอนัทขนลุกทั้งตัว เพราะมันพามาหยุดเดินตรงหน้าสุสาน หมอนัทพยายามตั้งสติอยู่สักพัก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ หมอนัทจอดรถเข็นของชิโร่และบอกกับชิโร่ว่า “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปซื้อน้ำ” หมอนัทเดินไปซื้อน้ำที่ตู้กดน้ำใกล้ ๆ ระหว่างที่กดน้ำก็ได้ยินเสียงร้องเหมือนชิโร่กำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ท่าทางของชิโร่มองเข้าไปในสุสาน พอกดน้ำเสร็จก็เดินกลับไป จนถึงระยะที่แอปพลิเคชันเริ่มกลับมาทำงาน แอปก็แปลขึ้นมาว่า “คิดถึงนะยาย.. กลับด้วยกันเถอะ ไม่อยากอยู่บ้านนี้คนเดียวอีกแล้ว” หมอนัทขนลุกรีบตาลีตาเหลือกปิดแอปพลิเคชันทันที และรีบเข็นรถพาชิโร่กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ชิโร่ก็กระโดดลงจากรถเข็น จากนั้นก็เดินเข้าไปนอน น้องเงียบ ไม่ร้อง ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ หมอนัทเริ่มสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอคุณเกนจิกลับมา จนคุณเกนจิกลับมาถึงบ้าน หมอนัทก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้ฟัง คุณเกนจิทำหน้าเครียดและถามถึงลักษณะสุสานที่ชิโร่พาไป เมื่อทราบลักษณะสุสาน คุณเกนจิก็พูดด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “สุสานที่ชิโร่พาไป รู้ไหมว่ามันคือสุสานที่ฝังคุณยายริกะ” หมอนัทไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากหมอนัทไม่ได้ไปงานศพของคุณยายริกะ สักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าชิโร่ เหมือนกำลังร้องขู่อะไรบางอย่างก่อนที่จะวิ่งเข้ามาตะกุยขาของทั้งคู่ จากนั้นก็วิ่งไปตะกุยประตูบ้าน เดินร้องทั่วบ้าน เกนจิถามชิโร่ไปว่า “ชิโร่จะเอาอะไร ชิโร่เป็นอะไรลูก” อยู่ ๆ แอปพลิเคชันแปลภาษาในโทรศัพท์ของหมอนัทที่วางอยู่บนโต๊ะกลับเปิดขึ้นเอง แล้วก็แปลเสียงออกมาว่า “เปิดประตู ยายมาแล้ว!!!” หมอนัทได้ยินก็รีบปิดแอปพลิเคชันและลบทิ้งทันที คุณเกนจิก็พยายามจะจับชิโร่แต่ก็จับไม่ได้ วินาทีนั้นหมอนัทยกมือไว้ท่วมหัว คิดในใจบอกยายริกะว่า “ไม่ต้องห่วงน้องนะ พวกเราสองคนจะดูแลชิโร่เท่าที่จะทำได้ จนถึงวาระสุดท้ายของน้องไม่ต้องห่วง” พอสิ้นความคิดของหมอนัท เจ้าชิโร่ก็เลิกดิ้นแล้วก็ค่อย ๆ เดินกลับห้องไป.. เช้าวันถัดมา หมอนัทได้เตรียมอาหารให้ชิโร่ แต่กลับพบว่า เจ้าชิโร่ตัวแสบได้กลับดาวแมวไปแล้ว คุณเกนจิจึงนำร่างของเจ้าชิโร่ไปฝังไว้ข้าง ๆ กับหลุมศพของคุณยายริกะ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1