อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

อังคารคลุมโปง RECAP

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

18 ธ.ค. 2023

       อยากให้ร้านข้าวมันไก่ขายดีจนต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นของดำ! เรื่องราวจาก ‘คุณเบ้น’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

       เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณแม่บัว’ (นามสมมติ แม่ของคุณเบ้น) ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณเบ้นได้ฟัง โดยต้องย้อนกลับไปในสมัยที่คุณเบ้นอายุ 17 ปี ช่วงนั้นแม่บัวได้รู้มาว่า ‘ป้าเอ’ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านคนสนิทมาเปิดร้านข้าวมันไก่ในละแวกบ้านเช่าที่ตนอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะไปช่วยอุดหนุน พอถามไถ่กันจึงได้รู้ว่าป้าเอเปิดร้านข้าวมันไก่มาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว

       เมื่อไปถึง ป้าเอก็พูดกับแม่บัวด้วยความกังวลว่า “เจ้ หนูปรึกษาอะไรหน่อยสิ คือช่วงนี้ร้านหนูขายไม่ค่อยดีเลย หนูอยากขายได้เยอะ ๆ แต่ช่วงนี้ขายไก่ได้ประมาณ 5-6 ตัวเอง เจ้พอมีวิธีจะสื่อถึงอากง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ไหม” ที่ป้าเอถามเช่นนี้ ก็เพราะรู้ว่าแม่บัวสามารถสื่อถึงพลังงานบางอย่างได้ แต่เรื่องนี้จะมีแค่คนสนิทที่รู้เท่านั้น “ได้สิ เดี๋ยวสื่อให้” แม่บัวตอบกลับทันที ไม่นานหลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็เดินไปยังตี่จู้เอี๊ยะบริเวณหลังร้าน เพื่อสื่อกับอากงว่าต้องการอะไรหรือไม่ หรือต้องทำอย่างไรจึงจะขายดีขึ้น และได้รู้คำตอบว่าจะต้องถวายน้ำทุกวัน รวมถึงในทุกวันพระจะต้องมีการถวายพวงมาลัย และผลไม้หนึ่งชนิดจึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ป้าเอเชื่ออย่างนั้นจึงปฏิบัติตามที่แม่บัวบอก

       พอเวลาผ่านไปไม่นาน แม่บัวได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปทานข้าวในร้านป้าเออีกครั้ง และไม่ลืมที่จะถามว่าค้าขายเป็นอย่างไร ป้าเอยิ้มด้วยความดีใจและตอบกลับกลับทันทีว่า “เจ้! ขายดีมากเลย ตอนนี้ขายไก่ได้วันละ 10-12 ตัวเลย” แม่บัวดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น หลังจากพูดคุยและทานข้าวเสร็จก็กลับบ้านตามปกติ

       เวลาล่วงเลยมาประมาณเดือนกว่า แม่บัวได้แวะเข้าไปที่ร้านป้าเออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถึงกลับต้องตกใจและขนลุกไปทั้งตัว เพราะไปรู้มาว่าป้าเอได้ไปเช่าบูชากุมารมาไว้ที่ร้าน เพราะคิดว่าจะได้ขายดีขึ้น แต่แม่บัวกับสัมผัสได้ถึงพลังงานดำมืด บรรยากาศที่เธอเห็นตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามันมืดมัวไปหมด “เอ ! เธอไปเอามาจากไหน” แม่บัวถามด้วยสีหน้ากังวล ป้าเอก็ตอบกลับมาว่า “ฉันก็ไปเช่ามาแถวบ้านเจ้นั่นแหละ คนข้างบ้านเขาเปิดรับคนบูชามันมีแค่ 500 องค์เอง เช่ามาประมาณ 1,999 บาท เขาบอกกับฉันว่าถ้าบูชามาแล้วจะขายดีขึ้น” ได้ยินอย่างนั้นแม่บัวก็เงียบไปพร้อมกับขนลุกอยู่ตลอดเวลา

       ด้วยความที่ป้าเอเชื่อแบบนั้นก็บูชากุมารองค์นี้มาตลอด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ขายดีตามปกติ แต่ด้วยความเป็นห่วงแม่บัวจึงเตือนว่าอากงบอกมาว่าเป็นสิ่งไม่ดี ให้เอากลับไปส่งจากที่เช่ามา ได้ยินอย่างนั้นก็ลองทำตามคำแนะนำของแม่บัวดู แต่ปรากฏว่าร้านของป้าเอกลับเงียบไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนเหมือนเมื่อก่อน จึงตัดสินใจโทรไปหาแม่บัวและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บัวรีบมาที่ร้านและพยายามสื่อกับกุมาร แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ จึงคิดว่าจะไปให้หลวงพ่อช่วยสื่ออีกแรง

       หลังจากเสร็จภารกิจก็กลับบ้านตามปกติ แต่ในคืนนั้นแม่บัวรู้สึกว่ามีอาการเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล พ่อคุณเบ้นรู้ข่าวก็รีบโทรมาหาคุณเบ้น หลังจากวางสายก็ตรงมาที่โรงพยาบาลทันที คืนนั้นประมาณ 3-4 ทุ่ม พ่อเล่าให้ฟังว่าแม่บัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร ซึ่งผิดปกติจากนิสัยที่เป็นคนร่าเริง “เป็นใคร มึงเป็นใคร ?” พ่อถามด้วยความสงสัยเพราะตอนนั้นคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่  “มึงก็ลองถามเมียมึงสิ ! ว่ามันไปทำอะไรไว้ มันยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม อย่ามายุ่งเรื่องของกู และก็อย่ามาที่ร้านนี้อีก !” หลังจากที่แม่พูดจบ ก็หมดสติไปทันที

       เมื่อแม่บัวฟื้นขึ้นมาก็มีอาการปวดท้อง และพะอืดพะอมจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา ปรากฎว่าหลังจากที่อ้วกออกมา มันคล้ายกับน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่มีสีดำคล้ำ ตอนนั้นแม่บัวรู้สึกกลัวมาก ไม่คิดว่ากุมารองค์นั้นจะเล่นเธอกลับมาแรงขนาดนี้ และด้วยความกลัวนี้ แม่บัวจึงไม่คิดจะกลับไปที่ร้านข้าวมันไก่นั้นอีก

       ต่อมาไม่นาน คุณเบ้นก็ได้มีโอกาสแวะเข้าไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าเอมาฝากแม่ แต่ก็ไม่เจอกุมารองค์นั้นแล้ว ป้าเอบอกว่าหลังจากที่แม่บัวได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อวันนั้น หลวงพ่อก็บอกว่ากุมารองค์นี้เป็นสายดำ เป็นผี! จึงจะทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ แต่ในระหว่างที่ทำพิธีอยู่ก็ได้ไปเห็นเหมือนผงกระดูกบริเวณใต้ฐานกุมาร! และหลวงพ่อเชื่อว่าเศษกระดูกพวกนี้คือกระดูกเด็กที่มาจากข่าวดัง ‘ศพเด็ก 2,002 ศพ’ หลวงพ่อจึงรีบทำพิธีให้เสร็จ เพราะคิดว่าดวงวิญญาณเหล่านี้ทรมานมานานมากแล้ว

       หลังจากที่ป้าเอได้ไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณก็ปิดทำการร้านข้าวมันไก่ไป และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเจอมาก็หายไปตามกาลเวลา รวมถึงแม่บัวก็ไม่ได้สื่อสารกับดวงวิญญาณของกุมารเหล่านั้นอีกเลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องหลอนบนนถนน 332 คืนเปลี่ยวที่ต้องขับรถคนเดียว พอเหลียวไปมองกระจกหลังก็เจอ...เข้าอย่างจัง!

17 พ.ย. 2023

เรื่องหลอนบนนถนน 332 คืนเปลี่ยวที่ต้องขับรถคนเดียว พอเหลียวไปมองกระจกหลังก็เจอ...เข้าอย่างจัง!

เรื่องสยองบนถนนหมายเลข 332 นี้มาจาก ‘คุณนิว’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤศจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถ้าปิดไฟแล้ว ก็ตามไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวสยองขวัญเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณนิว คุณนิวเล่าว่าในสมัยก่อนเขามักจะใช้ถนนเส้นหมายเลข 332 ในการเดินทางไปยังพัทยาจังหวัดชลบุรีเป็นปกติ ด้วยความที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเจอไฟจราจรหลายต่อ และเป็นเส้นทางที่เร็วสำหรับการเดินทาง ในคืนหนึ่ง เขามีนัดกับรุ่นพี่เพื่อไปตีแบดมินตันที่สนามในตัวเมืองพัทยา ตอนประมาณ 3 ทุ่ม จนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่า เขาจึงตัดสินใจว่าถ้าทำธุระส่วนตัวเสร็จจะกลับบ้านทันที ซึ่งคุณนิวเลือกใช้ถนนเส้นเดิมในการกลับบ้านคือ ถนนเส้น 332 ในระหว่างทางที่คุณนิวขับรถมาเรื่อย ๆ ในหัวก็มีเรื่องความคิดผุดขึ้นมาว่า ‘จะมีอะไรโผล่มามั๊ย’ เช่นเรื่องเล่าของคุณยายสปีชที่หลาย ๆ คนเคยได้ยิน แต่ความคิดในหัวตอนนั้นก็คิดแค่ว่ามันคงเป็นแค่เรื่องเล่า จึงไม่ได้คิดอะไรมากและขับรถต่อไป เมื่อขับมาถึงโค้งหนึ่ง คุณนิวก็ได้บังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวผมยุ่งเหยิงยืนอยู่ข้างทาง ตอนนั้นไม่ได้เชื่อเรื่องเล่าผีบนถนนเส้นนี้อยู่แล้ว จึงเข้าใจว่าเธอคงเป็นแค่คนไร้บ้าน แต่จังหวะที่ขับรถผ่านนั้น คุณนิวบังเอิญไปสบตากับเธอ และเห็นว่าเธอก็กำลังกรอกตาตามรถมาอย่างติด ๆ ด้วยความสงสัยจึงหันไปมองกระจกหลังทันที จังหวะนั้นเขาถึงกับต้องเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น เพราะสิ่งนั้นกำลังวิ่งตามรถมาอย่างติด ๆ ! เขากลับไปมองกระจกหลังอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะทิ้งระยะห่างไปแล้ว แต่ไม่นาน จากที่เธอวิ่งตามด้วยสองขา กลายเป็นว่าเปลี่ยนมาวิ่งสี่ขาแทน! ตอนนั้นคุณนิวตกใจกลัวจนสุดขีด รีบตัดสินใจตะโกนออกไปว่า “กูไม่กลัว! ไม่ต้องมาหลอก!” จากนั้นก็หันไปมองกระจกหลังอีกทีปรากฏว่า เธอยืนนิ่ง ๆ แล้วหายไป ขณะเดียวกันนั้นรถของคุณนิวก็ทิ้งระยะห่างออกไปเช่นเดียวกัน! เมื่อคุณนิวกลับมาถึงที่บ้านจึงได้โพสต์เรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ไม่นานน้องที่รู้จักก็ได้มาแสดงความคิดว่าเคยประสบพบเจอเรื่องราวนี้เช่นเดียวกัน และคุณนิวคิดว่าเรื่องนี้ ที่ทุกคนยังเจอเรื่องสยองขวัญนี้อยู่ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นยังคงหาตัวตายตัวแทนให้มารับใช้กรรมแทนเธอนั่นเอง.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ l อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [22 เม.ย 2568]

26 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ l อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [22 เม.ย 2568]

‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้มาเล่าเรื่องสุดหลอนใน ‘อังคารคลุมโปง X (22 เมษายน 2568)’ พร้อมกับ 2 ดีเจ อย่าง ’ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องมีชื่อว่า ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ ที่ทำเอาขนหัวลุกกับเหตุการณ์นี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้ลืมลงได้เลย คุณต้นกล้าได้เล่าว่า เรื่องราวในครั้งนี้เป็นเรื่องของคุณเอ (นามสมมุติ) ตัวของคุณเอ มีความชื่นชอบในเรื่องของการตกปลาเพราะได้ไปกับคุณพ่อบ่อย ๆ ในตอนเด็ก ปกติคุณเอเเละคุณพ่อ จะชอบเปลี่ยนสถานที่ตกปลาบ่อยครั้ง จนได้ไปเจอที่หนึ่งที่อยู่กับใต้สะพาน เวลาผ่านไป จนคุณเอโตขึ้น เเต่คุณพ่อเสียชีวิตไปเพราะอาการป่วย หลังจากนั้น คุณเอก็ไม่ได้ไปตกปลาบ่อยเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่ง คุณเอต้องทำการเก็บของของคุณพ่อก็ได้ไปเจอกับเบ็ดตกปลาของคุณพ่อ จึงทำให้รู้สึกนึกถึงอดีตเเละอยากที่จะไปตกปลาอีกครั้ง คุณเอจึงได้ชวนพี่ชาย หลังจากตกลงกันได้ พี่่ชายก็ได้ออกไปตกปลาในตอนเช้าก่อนเพราะคุณเอยังไม่สามารถไปได้ แต่พี่ชายคุณเอกลับมาถึงบ้านในตอนกลางคืน ซึ่งต่างจากปกติ เพราะส่วนใหญ่พี่ชายของคุณเอจะกลับมาในช่วงเย็น ในตอนที่พี่ชายคุณเอกลับมาถึงบ้าน พี่ชายคุณเอได้พูดว่า “อย่า อย่าไปที่ตกปลาตรงนั้นเด็ดขาด” พี่ชายคุณเอได้พูดออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด เหมือนได้เจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก คุณเอจึงได้เอ่ยปากถามอีกเรื่องว่า “เเล้วของที่เอาไปละพี่ พวกเบ็ดตกปลา กระติกน้ำเเข็งไรเงี้ย” พี่ชายได้บอกว่า “เเค่กูวิ่งออกมาจากตรงนั้นได้ก็ดีเเล้ว” คุณเอรู้สึกโกรธ เพราะเบ็ดตกปลาคันนั้นเป็นของคุณพ่อที่เสียไปเเล้ว คุณเอจึงตัดสินใจที่จะไปนำเบ็ดตกปลากลับมา ในขณะที่กำลังขับรถออกไป ระหว่างทางก็ได้เจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินขวางอยู่กลางถนน ลักษณะคล้ายกับครอบครัวที่มีพ่อเเม่ที่เดินจูงมือลูกอยู่ คุณเอพยายามทำทุกอย่างทั้ง บีบเเตร เปิดไฟสูง ตะโกนเรียกว่าให้หลบทาง แต่ก็ไม่เป็นผล คุณเอจึงคิดว่า ‘หรือเราไม่ควรไปในตอนนี้’ จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านก่อน เเต่ในขณะที่กลับรถ ครอบครัวนั้นก็ได้หันหน้ากลับมาเเละขอโทษที่ขวางทาง ในรุ่งเช้าของวันถัดมา คุณเอก็ได้ทำการขับรถไปยังที่ตกปลา ได้เจอกับจุดที่พี่ชายของคุณเอที่มาตกปลาเมื่อวาน ซึ่งของทุกอย่างก็ยังอยู่ดี ทั้งเบ็ดตกปลาเเละถังน้ำแข็ง เเต่คุณเอกลับรู้สึกถึงบรรยากาศเเปลก ๆ ทั้งกลิ่นเหม็นเน่าเเละเสียงของอีกาที่ร้องตลอดเวลา นอกจานี้ ช่วงเวลาที่คุณเอเดินทางไปคือเวลาเที่ยงตรง เเต่บรรยากาศที่เจอคือมีความอึมครึม คุณเอจึงตัดสินใจที่จะเก็บของเเละกลับไป ในตอนที่กำลังจะยกกระติกน้ำเเข็งขึ้น คุณเอรู้สึกว่ากระติกน้ำเเข็งมีความหนักเเละมีกลิ่นเน่าเหม็นออกมา ทั้ง ๆ ทีพี่ชายของคุณเอพึ่งจะเดินทางมาเมื่อวาน ก็ไม่ควรที่ปลาจะเน่าเสียได้เร็วขนาดนี้ คุณเอจึงได้ตัดสินใจที่จะเก็บของอย่างอื่นก่อน ขณะที่คุณเอหันหน้าไปทางต้นไม้ที่อยู่ริมทะเลสาบ คุณเอได้พบกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่เเขวนคอ อยู่ใต้ต้นไม้ คุณเอรู้สึกตกใจเพราะในตอนเเรกคุณเอสนใจเเค่การเก็บอุปกรณ์ จึงคิดว่าควรเเจ้งตำรวจดีหรือไม่ หรือปล่อยไปดีเพราะไม่อยากให้วุ่นวายกับตัวเอง เมื่อคิดไปคิดมาได้สักพัก คุณเอก็ได้ตัดสินใจขับรถไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด พอได้เจอเเละเล่าเรื่องให้ฟัง คุณเอก็ได้ทำการขับรถมายังที่เกิดเหตุกับคุณตำรวจ ระหว่างทาง ก็ได้มีการพูดคุยจนถึงสถานที่ที่คุณเอมาตกปลา ทั้งคู่ได้ลงจากรถ เเต่อยู่ดี ๆ ตำรวจคนนั้นก็ได้หยุดเดินเเละพูดขึ้นว่า “ไอหนุ่ม เดี๋ยวพี่เรียกคู่หูพี่มาเเทนดีกว่า พอดีพี่ลืมไปว่า พี่มีคดีด่วน” ท่าทีของตำรวจดูเหมือนไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป เเละคุณตำรวจได้บอกให้คุณเอไปเก็บของ จากนั้นตำรวจคนนั้นก็รออยู่บนรถ เหตุการณ์นี้ทำให้คุณเอรู้สึกเเปลก ๆ เพราะคุณตำรวจคนนั้นได้พูดทิ้งท้ายว่า “วันนี้ ไม่มี ไม่มีศพอะไรทั้งนั้น” คุณเอจึงบอกไปว่า “ถือว่าผมเเจ้งพี่เเล้วนะ เเต่พี่ละเลยหน้าที่เอง” จากนั้น คุณเอก็ได้ลงไปด้านล่างเพื่อจะเก็บของทุกอย่าง ในขณะที่กำลังจะเอาเบ็ดตกปลาขึ้นมาจากน้ำ คุณเอรู้สึกได้ถึงเเรงต้านบางอย่างที่ดึงเอ็นเบ็ดเอาไว้ พอสาวเอ็นขึ้นมาเรื่อย ๆ คุณเอก็ได้พบว่าสิ่งที่ติดขึ้นมาด้วยไม่ใช่ปลา เเต่กลับเป็นหัวคนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ! สิ่งนั้นทำให้คุณเอตกใจมากจนโยนคันเบ็ดทิ้ง เเละได้พบว่าที่เเห่งนี้ไม่ได้มีเเค่ศพเดียวที่อยู่บนต้นไม้ เเต่มีอีกหนึ่งศพที่อยู่ในบ่อน้ำ คุณเอจึงตัดสินใจตัดสายเอ็นทิ้ง เเละไปยกถังน้ำเเข็งต่อ เเต่ด้วยความหนักของถังน้ำเเข็ง จึงต้องเทของทุกอย่างในถังน้ำเเข็งทิ้ง จากนั้นก็ได้เปิดถังน้ำเเข็งออก เเต่สิ่งที่อยู่ในถังน้้ำเเข็งนั้นกลับทำให้ต้องตกใจมากกว่าเดิม เพราะในถังน้ำเเข็ง มีหัวของคนอยู่ในนั้นถึงสองหัว ที่ปากของหัวนั้นก็คาบปลาไว้ในปากอยู่ เเละดวงตาของหัวนั้นก็จ้องมองมา! คุณเอจึงตัดสินใจเก็บเเค่คันเบ็ดขึ้นมาเเละทิ้งถังน้ำเเข็งไว้ ขณะที่ปีนขึ้นมาบนเนินเพื่อที่จะกลับไปที่รถ คุณเอได้หันหลังกลับมามองอีกครั้ง เเต่ศพที่เเขวนคออยู่บนตนไม้ก็ได้หันกลับมาจ้องมองคุณเอ ทั้งยังส่งเสียงร้องที่เหมือนกับอีกา คุณเอรู้ได้ทันทีว่า เสียงร้องของอีกาที่ตนได้ยิน เเท้จริงแล้วเป็นเสียงของศพที่เเขวนคออยู่บนต้นไม้นั้นเอง! คุณเอวิ่งกลับมาที่รถเเละขับรถกลับไปที่สถานีตำรวจ ขณะที่ขับกลับไป คุณเอได้ถามกับคุณตำรวจว่า “ทำไมพี่ถึงไม่กล้าลงไป พี่เจออะไรตอนมาถึง?” คุณตำรวจได้ตอบกลับว่า “เอ็งเห็นสะพานตรงที่เราจอดรถไหม พี่เห็นคนหลายคนยืนโบกมือให้เรา” หลังจากนั้น คุณเอก็ได้คิดขึ้นมาว่า ถ้าตัดสินใจที่จะไปตั้งเเต่เมื่อคืน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เเละได้คิดอีกเรื่องหนึ่งว่า ผู้ชายกับเด็กที่มาเดินขวางรถเมื่อคืน มีลักษณะคล้ายกับคุณพ่อของคุณเอที่เสียไปเเล้ว เเละตัวของเด็กผู้ชายก็มีความคล้ายกับคุณเอในวัยเด็ก เหมือนกับว่าคุณพ่อของคุณเอได้มาเตือนลูกชายของตนเองว่า อย่าไปที่นั่นในตอนกลางคืนเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

16 มี.ค. 2024

บ้างานจนมีป่วยหนัก รู้สึกเหมือนจะตายแล้วก็วูบไป!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘อ.บาส 7th Sense’ ที่ได้นำเรื่องมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตหลังความตายที่้เกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย อ.บาส ได้เล่าย้อนไปเมื่อช่วงที่ตนอายุประมาณหนึ่งขวบกว่า ตอนนั้นคุณย่าเสีย ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่มีเวลาดูแล จึงพาไปฝากไว้สถานรับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากนมที่นั่นอาจจะไม่สะอาด หลังจากที่พ่อแม่กลับมาจากงานศพย่า เห็นว่าลูกเงียบไปรวมทั้งมีอาการช็อกจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล ระหว่างทางแม่ก็สันนิษฐานว่าน่าจะไม่อยู่แล้ว พอถึงโรงพยาบาลหมอก็ได้ทำการเอาน้ำเกลือเจาะเข้าที่หัวและเท้า ผ่านไปสักพัก หัวใจก็กลับมาเต้นปกติ อ.บาส ได้เล่าอีกว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ ตนชอบทำบุญ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนโกรธง่าย พอมีปัญหาก็จะชอบทำสมาธิ พอช่วงอายุประมาณ 25 ปี เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มทำงานเกี่ยวกับ IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังสร้างตัว ตนจึงทำงานหักโหมมากตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ทำให้ อ.บาส ห่างหายไปจากการทำบุญ และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตหนักมาก วันหนึ่ง ตนรู้สึกว่าไม่มีเอเนอร์จีและเจ็บที่หน้าอก แต่ก็ยังไปทำงานใช้ชีวิตปกติ ผ่านไปหลายวันก็รู้สึกว่ามันเจ็บมากขึ้น มีไข้และเริ่มไปทำงานไม่ไหว จึงไปหาหมอแต่ก็ตรวจไม่เจออะไร หมอบอกแค่ว่าพักผ่อนน้อย หลายวันผ่านไป อ.บาส รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวและมีไข้สูงประมาณ 39-40 องศา จะเรียกรถพยาบาลแต่ก็ไม่มีแรงแม้กระทั่งลืมตา และเริ่มคิดว่า “คนจะตายความรู้สึกเป็นแบบนี้หรอ” หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนลูกตามันกลับเข้าไปแล้วมันก็มืดไปหมดและรู้สึกว่า ตนยืนอยู่ข้างเตียงและเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ก็ตกใจ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จึงเริ่มเข้าใกล้ตัวเองที่นอนอยู่ แต่ก็ไปไม่ได้และคิดว่าจะทำอย่างไรให้พ่อกับแม่รู้ ผ่านไปสักพัก ก็มีอาการเจ็บปอดขึ้นมาและรู้สึกว่าตนเองถูกดูดไป เห็นบ้านพ่อกับแม่ และเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตนทำ หลังจากนั้น ก็รู้สึกว่าเจ็บปอดและก็โดนดูดมาที่บ้านเกิดในจ.อยุธยา ตรงสวนมะม่วงและได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ หลังจากนั้น หน้าของผู้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนจากหน้าผู้ชายกลายเป็นหมาแต่ร่างกายยังเป็นคนปกติ อ.บาสจำแววตาได้ว่านี่คือ ดำ หมาที่ตนเคยเลี้ยงสมัยประถม ดำเป็นหมาที่ตนรักมาก แต่ดำโดนยิงตายเพราะไปกัดคนอื่น หลังจากที่อ.บาสรู้ว่านี่คือดำ ในใจก็คิดว่า “ตกลงเราตายหรือยัง” หลังจากสิ้นสุดความคิดก็ได้ยินเสียงออกมาจากผู้ชายคนนั้นว่า “ให้แรงบุญ แรงกรรมพาไป และมีอะไรให้ พุท โธ ไว้นะ” หลังจากนั้นก็เกิดอาการเจ็บปอดและถูกดูดมาอีกที่หนึ่ง ที่นี่มืดมีแสงเพียงเล็กน้อยและร้อนเหมือนอยู่ในเตา สิ่งที่เห็นคือเหมือนเป็นกรงไม้ไผ่สูงยาวเป็นแถว ส่วนชั้นล่างเป็นเหมือนริมน้ำ มีคนและสัตว์อยู่ข้างในเหมือนกำลังเอาตัวรอด หลังจากนั้น อ.บาสได้เห็นห้องหนึ่ง ตนจึงคิดกับตัวเองในใจว่า “เราต้องไปอยู่ในห้องนั้นแน่เลย” แต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ และอยู่ ๆ ก็มีภาพย้อนเข้ามาในหัวว่า ตอนที่อ.บาสอยู่บ้านหลังเก่าได้เจอกับลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ตนนั้นจับมันขึ้นมาแล้วบีบ แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันตายหรือเปล่าจึงโยนลงไปในบ่อน้ำ นั่นทำให้คิดได้ว่าคงต้องอยู่ที่นี่เพื่อรับกรรม และก็นึกขึ้นมาได้ว่า ดำ เคยบอกไว้ว่า “มีอะไรให้ พุธ โธ” จึงท่อง พุธ โธ หลังจากพูดได้ 2-3 ครั้ง ก็รู้สึกถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่เป็นที่ที่สว่างมาก เป็นสนามหญ้ายาว ด้านข้างของสนามหญ้ามีโต๊ะอาหารยาว แต่ละโต๊ะมีทั้งคนแก่และเด็กยิ้มแย้มแจ่มใส อ.บาสมีความรู้สึกว่า “อยากอยู่ที่นี่จังเลย อาหารน่ากิน” จึงเดินเข้าไปหาคุณยาย คุณยายได้บอกว่า “กินสิ กินแล้วก็อยู่ที่นี่เลย ที่นี่สบาย” หลังจากนั้นก็รู้สึกอบอุ่นและได้หยิบอาหารขึ้นมา แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากกิน รู้สึกหิวน้ำมากกว่า หลังจากนั้นจิตของ อ.บาส ก็ถูกดูดไปอีกที่ ที่นี่มีพราหมณ์ มีกระดานชนวนและมีคนนั่งเรียนเหมือนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ หลังจากนั้นพราหมณ์คนหนึ่งก็หันมาหา อ.บาส และเอาเงินให้ 600 บาท แล้วก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ใส่ในกระดานชนวน เขาบอกว่า “จำไว้ เอาเงินไปใช้แล้วก็กลับไปก่อนยังไม่ถึงเวลา” หลังจากนั้นไม่นาน อ.บาส บอกว่าถูกดูดกลับมา เจ็บหน้าอกเหมือนเดิมแล้วลืมตาขึ้นมาและรู้สึกว่ามีแรงขึ้น จึงลองโทรไปเบอร์ที่พราหมณ์เขียนไว้ให้ พอปลายสายรับ อ.บาส ก็ได้ถามว่า “ที่นั่นที่ไหน” ปลายสายตอบว่า “โรงพยาบาล…ค่ะ” “ช่วยส่งรถมารับหน่อยครับ ผมไม่ไหวแล้ว ผมหายใจไม่ออก” อ.บาสรีบบอก “ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ… ขอแจ้งนิดนึงนะคะ ที่นี่ถ้าจะส่งรถพยาบาลไปรับคนต้องมีค่าบริการนะคะ” ปลายสายรีบบอกเงื่อนไข “เท่าไหร่ครับว่ามาเลย” “600 บาท ค่ะ” ทันทีปลายสายบอกราคา อ.บาสก็นึกขึ้นมาได้ว่าพราหมณ์คนนั้นให้เงินมาด้วย 600 บาท จึงลองเปิดดูในกระเป๋าสตางค์ปรากฏว่ามีเงินอยู่ในนั้น 600 บาท เป็นแบงก์ร้อยทั้งหมด อ.บาสบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เพราะตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในกระเป๋านั้นมีเงินอยู่แล้วหรือไม่ หลังจากนั้นรถโรงพยาบาลก็มารับที่หอพัก หลังจากนั้น อ.บาส นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 9 วัน เพราะหมอบอกว่าปอดติดเชื้อ ช่วงที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีความรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ร่างกายค่อย ๆ ดีขึ้น หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาดูดวงเพราะอยากรวย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยป่วยโรคร้ายอะไรอีกเลย อ.บาสเองบอกว่าตอนที่วูบไปรู้สึกว่านานมากเหมือนเป็นวัน แต่จริง ๆ แล้วมันแค่ครู่เดียว มันอาจจะแค่ฝันไปก็ได้ แต่มันก็มีเหตุผลของมัน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

13 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

เมื่อนักศึกษาแพทย์ต้องศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งปกติแล้วอวัยวะภายในของร่างอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ควรจะมีสิ่งแปลกปลอมปะปน แต่กลับมีเข็มหมุดปักอยู่ภายในร่างนับสิบเข็ม เมื่อผ่าออกมาก็พบเข้ากับสัตว์เลื้อยคลานทั้งเป็นและตายหลากชนิด! นี่คือเรื่องสุดหลอนที่ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณต้อม พุธพาหลอน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฝังจนตาย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน’ (30 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ‘คุณอิง’ นักศึกษาแพทย์สาวหน้าตาน่ารักที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง งานอดิเรกของอิงคือการแต่งตัวคอสเพลย์ไปตามงานต่าง ๆ โดยเธอได้เล่าว่า ช่วงนั้นเธอกำลังศึกษาอยู่ในปีท้าย ๆ ของมหาวิทยาลัย กำหนดการของนักศึกษาช่วงปีปลายจะต้องเรียนเกี่ยวกับร่างของ ‘อาจารย์ใหญ่’ มีการผ่าตัดและเรียนรู้เรื่องเส้นเลือดและอวัยวะภายในต่าง ๆ ในร่างการของคนเรา ด้วยสภาพของศพที่จำเป็นต้องแช่อยู่ในฟอร์มาลีน ทำให้ภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นของฟอร์มาลีน แม้จะพยายามใช้ยาดมหรือยาหม่องมาช่วยบรรเทากลิ่นให้จางลงแต่ก็ไม่เป็นผล รุ่นพี่จึงให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเกิดการชินให้ได้มากที่สุดเพราะทุกคนต้องเรียนอยู่กับอาจารย์ใหญ่เป็นเวลาเกือบปี การเรียนของอิงจะมีการแบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มของอิงมีสมาชิกอยู่ประมาณ 3-4 คน ลักษณะของอาจารย์ใหญ่จะมีผ้าสีขาวคลุมแบ่งเป็นช่อง เอาไว้เพื่อให้ดูเฉพาะอวัยวะส่วนที่ต้องศึกษา ส่วนหน้าตาของศพไม่ได้มีการห้ามไว้จึงสามารถเปิดเผยให้นักศึกษาดูได้หากต้องการศึกษาเพิ่ม แต่ตัวของอิงนั้นด้วยความหวาดกลัวจึงไม่ได้อยากเห็นสักเท่าไหร่ ในช่วงแรก อาจารย์จะสอนเรื่องของเส้นเลือดภายในร่างกาย ระหว่างที่กลุ่มของอิงกำลังศึกษาดูเส้นเลือดตามร่างกาย เดิมทีอวัยวะบางส่วนในร่างกายหากมีการผ่าไปศึกษาแล้วจะต้องนำออกเพื่อรอการไปทำบุญร่วมกับร่างนั้น ร่างกายของอาจารย์ใหญ่สัมผัสผิวหนังจะแห้งกร้านคล้ายคลึงกับที่เห็นในภาพยนตร์ นักศึกษายังคงผ่าดูเส้นเลือดภายในไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่อาจารย์สอนอยู่ อิงก็ได้พบเข็มหมุดอยู่ภายในเส้นเลือดของร่างตรงใบหน้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในนั้นได้ สิ่งนี้สร้างความสงสัยให้กับอิงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากมีการนำร่างเข้าไปแช่ในฟอร์มาลีนแล้วนั่นแปลว่าจะต้องมีการตรวจสอบสภาพร่างกายของศพมาแล้วว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่ภายในเรือนร่าง และเมื่อตรวจไปได้สักพักก็พบว่าเข็มที่อยู่ภายในร่างไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 เล่ม แต่กลับมีอยู่ภายในนั้นมากกว่า 10 เล่ม! เห็นอย่างนั้นอิงจึงเรียกอาจารย์มาดู ตัวอาจารย์เองพอเห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยเข็มหมุดสีหน้าก็เปลี่ยนไป อาการตกตะลึงหน้าเหวอนั้นทำเอาทุกคนต่างสับสนกับสิ่งตรงหน้า แต่ด้วยความมึนงงและความไม่สมเหตุสมผลของการมีเข็มหมุดอยู่ภายในร่างกายจึงทำให้อาจารย์คิดว่าคงเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของนักศึกษาที่อาจเล่นพิเรนทร์นำเข็มมาใส่ในร่างของอาจารย์ใหญ่ จึงได้เอ่ยตักเตือนกลุ่มของอิงไป ทางฝั่งอิงนั้นก็ได้ปฏิเสธไปว่ากลุ่มของเธอไม่ได้เป็นคนทำ หลังจบการเรียนการสอนก็ทำการนำผ้าไปปิดแผลตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และในจังหวะที่มีเพียงเสียงก้าวเดินของกลุ่มนักศึกษาที่กำลังออกจากห้อง ก็มีเสียงร้องของตุ๊กแกดังออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้ทุกฝีเท้าของอิงและเพื่อน ๆ หยุดชะงักและเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรถึงมีเสียงร้องของสัตว์เลื้อยคลานชนิดนั้นดังออกมาจากห้องเรียน ชั่วโมงเรียนถัดมา ในคราวนี้จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับปอดและกระเพาะของมนุษย์ ซึ่งในระหว่างที่อิงกำลังกรีดใบมีดตรวจสอบร่างกายของร่างชายคนหนึ่งอยู่นั้น จู่ ๆ อวัยวะที่ควรจะแน่นิ่งกลับมีการกระตุกและสั่นไหวราวกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่! และในจังหวะที่จะต้องตรวจสอบตรงส่วนของกระเพาะอาหาร ตัวของอิงที่กำลังดูในส่วนของหน้าท้องก็สังเกตเห็นความปิดปกติของกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการแช่ฟอร์มาลีนอวัยวะต่าง ๆ ก็ควรที่จะต้องหดตัวลง นอกจากว่าภายในเรือนร่างนั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างกักเก็บเอาไว้ ระหว่างที่ตรวจสอบ ทันทีที่ใบมีดกรีดฝังลงไปในกระเพาะของร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าก็รับรู้ได้ถึงการขยับของอวัยวะภายใน อิงตัดสินใจผ่าลงไปจนสุด และพบกับคำตอบของการเคลื่อนไหวในร่างกายนั้นที่ทำเอาเธอถึงกับช็อค! เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของอิงนั้นคือซากของตุ๊กแกที่อยู่ภายในกระเพาะของร่างอาจารย์ใหญ่! ซากของสัตว์เลื้อยคลานที่มีทั้งเป็นและตาย บางตัวสภาพเน่าเปื่อยและอีกประมาณ 4-5 ตัวที่กำลังมุดอยู่ภายในอวัยวะนั้น พอแผลถูกผ่าเปิด ตุ๊กแกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รีบออกมาจากรอยแผลและวิ่งผ่านไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของนักศึกษาที่หวาดกลัวอยู่ในห้อง และพอตรวจสอบลึกลงไปในร่างกายก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแค่ตุ๊กแก แต่ยังมีตะขาบ หนอนและสัตว์อีกมากมายที่ต่างหลบอยู่ข้างในกระเพาะของเรือนร่างนั้นอีกด้วย ความหวาดกลัวและตื่นตระหนกทำให้มือของอิงเลื่อนไปโดนผ้าที่ปกคลุมร่างของอาจารย์ใหญ่ไว้ เผยเห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่ในความเป็นจริงหน้าตาของศพควรจะแน่นิ่งไม่มีความรู้สึกอะไร แต่สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นมันแสดงออกว่ากำลังเจ็บปวดและทรมานอยู่ราวกับว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่! เหตุการณ์ชุลมุนนั้นทำให้คาบเรียนต้องหยุดลง หลังจากผ่านมาได้ไม่นาน ตัวของอิงก็ได้มาทราบเรื่องราวจากเพื่อน ๆ ที่เล่ากันมาปากต่อปากว่า โดยปกติแล้ว อาจารย์ผู้สอนจะต้องไปนำพระไปทำพิธีถอนของให้ผู้ชายคนนี้ที่ตายไปแล้ว เพราะมีความเชื่อที่ว่าของขลังต่าง ๆ ต่อให้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่ของเหล่านั้นก็ยังคงทำงานอยู่และกัดกินผู้ชายคนนั้นไปตลอด และเมื่ออิงกลับมาเรียนวิชาเดิมก็ได้พบว่าร่างของอาจารย์ใหญ่นั้นก็ได้แทนที่เป็นร่างอื่นไปแล้ว.. (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1