เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

29 มิ.ย. 2024

        คุณเคยฝันเห็นอะไรแปลก ๆ ไหม? แล้วเคยไหม ที่ฝันเห็นสิ่งนั้นหลายคืนติดกัน แล้วมันก็กลายมาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราไป! เรื่องราวนี้ ’คุณดิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กูไม่ให้อยู่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

        คุณดิวเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ให้ชื่อสมมุติว่า ‘คุณแพท’ เรื่องเริ่มที่คุณแพทสอบติดมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กปี 1 ส่วนใหญ่จะอยู่หอใน ข้างในหอเป็นเตียง 2 ชั้น มีห้องน้ำในตัว และมีรูมเมท 1 คน ซึ่งคุณแพทก็จะเรียนภาคพิเศษโดยเลิกเรียนประมาณ 2-3 ทุ่ม ผ่านเทอมแรกไปก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

        พอเข้าเทอมที่ 2 มีอยู่คืนหนึ่ง คุณแพทฝันว่าอยู่ในหอพัก เห็นตัวเองกับรูมเมทนอนที่เตียง แพทนอนชั้น 2 และมีกลุ่มควันสีดำอยู่ที่ปลายเตียง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ

        คืนที่ 2 ก็ฝันแบบเดิม เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียงอีก คุณแพทเอะใจว่ามันแปลก ๆ ทำไมฝันแบบเดิม 2 คืน พอตื่นเช้ามาก็ไปทำบุญใส่บาตร

        คืนที่ 3 ก็ยังฝันเห็นกลุ่มควันดำแบบเดิมอีก แต่ครั้งนี้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็สวดมนต์บทชินบัญชร ปกติคุณแพทสวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว พอเช้ามาก็ไปใส่บาตรอีก

        พอคืนที่ 4 ก็ยังคงฝันเหมือนเดิม แต่กลุ่มควันดำค่อย ๆ ปรากฎภาพให้เห็นในฝัน เป็นผู้หญิงนั่งชันเข่าอยู่ที่ปลายเท้า สภาพโทรม ผมยาวรุงรัง แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ซึ่งทุกคืนที่ฝันคุณแพทก็จะบอกรูมเมทตลอด แล้วรูมเมทก็จะตื่นมาอยู่ด้วยกันตลอด พอคืนที่ 5, 6 และ 7 มันก็เริ่มแปลกไปกว่านั้น..

        ในฝันครั้งนี้ ผู้หญิงคนเดิมจับเตียงและพูดว่า

        “ออกไป! กูไม่ให้อยู่”

        ด้วยความที่คุณแพทกลัวมาก ๆ จึงหาวิธีหลายอย่าง เช่น เอาเหรีญมาไว้ที่ปลายเตียง ทำทุกอย่าง แต่ก็ยังคงฝันแบบนี้ไปอีก 3 คืน และโทรไปปรึกษาครอบครัวว่าควรทำอย่างไรดี ทางครอบครั้วจึงบอกให้ลองไปถามเจ้าของหอว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คุณแพทจึงลงไปถามคุณป้าที่ดูแลหอ ป้าบอกว่า

        “ที่นี่มีศาลเพียงตาอยู่ข้างหอนะ ลองไปไหว้ดูหน่อยมั้ย เพราะหนูเพิ่งเข้ามาอยู่ปีแรก”

        วันนั้น คุณแพทจึงรีบโทรหาคุณแม่หลังเลิกเรียน คุณแม่ก็เตรียมของไหว้มาให้ แล้วก็ไปไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘เรามาขออาศัย เรามาขออยู่’ จากนั้นก็จะเอาพวงมาลัยแขวน แต่ที่ศาลไม่มีที่แขวน แต่ก็สังเกตเห็นว่าข้าง ๆ มีรั้วคล้ายกับให้แขวนตรงนี้ จึงนำพวงมาลัยไปแขวนไว้ตรงนั้น แล้วก็เดินหันหลังกำลังจะกลับ ก็ได้ยินเสียง ฟุ้บ! หันกลับไปก็เห็นว่าพวงมาลัยหล่น! คุณแพทจึงเดินกลับไปหยิบพวงมาลัยไปแขวนอีกครั้ง แต่พอหันหลังกลับพวงมาลัยก็ตกอีก รอบที่ 3 คุณแพทก็หยิบขึ้นไปแขวน แต่คุณแม่บีบมือแน่นแล้วกระชาก แล้วบอกว่า

        “ไปเถอะลูก เรามาไหว้เขาแล้ว”

        จากนั้นคุณแม่ก็รับคุณแพทกลับไปนอนที่บ้าน 1 คืน ส่วนรูมเมทก็ไปขอเพื่อนอีกห้องนอนด้วยเพราะความกลัว

        วันถัดมาก็ไม่ได้ฝัน จึงคิดว่าทุกอย่างคงกลับมาปกติแล้ว คืนถัดมาจึงนัดกับรูมเข้าห้องพร้อมกัน ครั้งนี้คุณแพทบอกว่าไม่ได้ฝันแล้ว แต่รู้สึกเหมือนผีอำ เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียง สุดท้ายก็สะดุ้งลุกขึ้นมาได้ จึงสวดมนต์บทชินบัญชร แล้วก็เป็นแบบนี้หไปอีก 3 คืน ทั้งคุณแพทและรูมเมทกลัวกันมาก ๆ ถึงขั้นเวลาเข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำก็ต้องเข้าพร้อมกัน ไม่ก็ให้คนนึงอาบคนนึงรอ

        คุณแพทเล่าว่าครั้งนี้ระหว่างอาบน้ำ ไฟก็ดับ แต่ช่วงที่ไฟกระพริบก่อนที่จะติดกลับมา คุณแพทกับรูมเมทก็เห็นผู้หญิงคนนั้นที่ผมยาวพะรุงรังห้อยหัวตรงหน้าต่างห้องน้ำ มองมาที่ 2 คน และพูดว่า

        “กูไม่ให้อยู่!”

        ทั้งคู่ช็อคกันมาก รีบคว้าผ้าขนหนูวิ่งออกมาจากห้อง คุณแพทกลัวถึงขนาดดรอปเรียนและไปถือศีลเป็นเวลา 1 เดือนเลยทีเดียว

        หลังจากคุณแพทกลับมาก็มาสืบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตอนนั้นคุณแม่เล่าว่า ที่คุณแม่บีบมือ เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงตัวดำ ๆ นั่งชันเข่าอยู่ตรงขอบรั้วและทิ้งพวงมาลัยที่เพื่อนแขวนลงพื้น และก็มีเด็กผู้หญิงที่อยู่อีก 3 ห้องถัดไปก็ฝันเหมือนกัน 7 คืน ว่ามีผู้หญิงมาเขย่าเตียง แล้วก็พูดว่า

        “กูไม่ให้อยู่!”

        หลังจากนั้นก็รู้มาว่าหอพักนี้เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่ได้ทุบทิ้งแค่เอามาปรับปรุงใหม่ ซึ่งคุณแพทก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนทำอะไรผิด..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากลูกหว้า พิจิกา 'พี่ผมแดง' I อังคารคลุมโปง X มิ้ม รัตนวดี - ลูกหว้า พิจิกา [14 ม.ค. 2568]

22 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากลูกหว้า พิจิกา 'พี่ผมแดง' I อังคารคลุมโปง X มิ้ม รัตนวดี - ลูกหว้า พิจิกา [14 ม.ค. 2568]

คุณลูกหว้า พิจิกา ได้นำเรื่อง ‘พี่ผมแดง’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 มกราคม 2568) ต้องบอกเลยว่า ประสบการณ์การเจอสิ่งลี้ลับของคุณลูกหว้าครั้งนี้ ทำให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกทั้งคู่! ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณลูกหว้าได้ถูกเชิญไปงานแต่งของ ‘พี่บี มือคีย์บอร์ด ของวง ETC’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้คุณลูกหว้าต้องค้างคืนที่บ้านของ ‘พี่โซ่ หัวหน้าของวง ETC’ ในใจของคุณลูกหว้าคิดว่า คงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หลังจากตื่นขึ้น คุณลูกหว้าก็ได้ลุกขึ้นมาอาบน้ำ-แต่งหน้าตามปกติ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเวลา 8 โมงกว่า คุณลูกหว้าจึงตัดสินใจปลุกน้องที่มาด้วยกัน แต่ทั้ง ๆ ที่คุณลูกหว้าอาบน้ำแล้ว จู่ ๆ กลับรู้สึกง่วงอย่างประหลาด ทำให้คุณลูกหว้าตัดใจสินใจเอนตัวลงเพื่อพักสายตา หลังจากที่เอนตัวไป คุณลูกหว้าก็ได้หลับในทันทีและฝันเห็นภาพทุ่งหญ้ากว้าง และได้เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่งตัวสีสันมากมาย ในใจของคุณลูกหว้าเหมือนได้ทำการสื่อสารกับกลุ่มคนตรงนั้นว่า ‘ไม่มีอะไรนะ เราแค่มางานแต่ง’ คุณลูกหว้าก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นความฝัน ผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณลูกหว้าก็ได้ลืมตา และได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปลายเท้าของตน จากนั้นก็ค่อย ๆ หันศีรษะมาทางคุณลูกหว้าอย่างช้า ๆ สีผมของผู้หญิงคนนั้นเป็นสีแดงปนสีส้ม ดวงตาสีน้ำตาลปนแดง และใช้ตาคู่นั้นจ้องมองมาที่คุณลูกหว้าแบบไม่ละสายตาคุณลูกหว้าจึงสะดุ้งตื่น! อาการที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนกับคนที่ฝันร้ายมาก ๆ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คุณลูกหว้าก็ปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงความฝัน หลังจากนั้น คุณลูกหว้าสบายใจมากยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตของคุณลูกหว้าที่ได้เจอกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ หลังจากที่น้องของคุณลูกหว้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ในตอนนั้นตัวของคุณลูกหว้ายังไม่เล่าให้น้องฟังและคิดว่าคงไม่มีอะไรหลังจากนี้แล้ว จนกระทั่งไปที่โบสถ์และทำพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกคนก็ตัดสินใจไปกินกาแฟกัน และมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “ด้านข้างของตัวบ้านคือโบสถ์ เป็นศาสนจักรของชาวคริสต์ แล้วทางด้านหลังของตัวบ้านก็อยู่ติดกับสุสาน” สิ้นคำพูดของรุ่นพี่ คุณลูกหว้าก็รู้สึกว่าจะได้รับข้อมูลที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่าง จึงได้ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เจอเมื่อเช้าให้ทุกคนตรงนั้นฟัง เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็ไม่ได้มองว่าเหตุการณ์ของคุณลูกหว้าแปลก เพราะที่สุสานตรงนั้นก็มีศพของมิชชันนารี ที่เป็นคนต่างชาติฝังไว้อยู่ด้วยเหมือนกัน คุณลูกหว้าจึงได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนน่าจะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ทราบถึงเหตุผลว่า ‘ทำไมผู้หญิงผมแดงคนนั้นถึงจ้องมองคุณลูกหว้าอย่างไม่ละสายตาไปไหนเลย’(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

25 พ.ค. 2023

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

‘คุณอาร์ท’ สายจากทางบ้าน ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ว่าได้เจอเรื่องหลอนขณะที่กำลังจะบวช ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวของคุณอาร์ทจะเป็นอย่างไร.. ไปติดตามอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นกำลังจะเตรียมตัวบวชพระ สถานที่คือวัดเดิมที่เคยมาบวชเณรมาก่อน โดยต่างจังหวัดนั้นมีธรรมเนียมว่า ใครจะบวชต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกไปไหนเพราะเป็นบุญใหญ่ คุณอาร์ทจึงต้องไปเป็นฆราวาสที่วัด 7 วัน 2 วันก่อนที่จะถึงวันบวช คุณอาร์ทก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติในช่วงกลางวัน พอ 5 โมงเย็น คุณอาร์ทก็เห็นว่าหน้าเมรุมันเลอะเทอะ เพราะไม่มีใครไปทำความสะอาดเลย คุณอาร์ทจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะไปกวาดทำความสะอาดสักหน่อย และด้วยความที่คุณอาร์ทเวลาจะทำอะไรชอบฟังเพลงไปด้วย ขณะที่กวาดเลยนำหูฟังขึ้นมาฟังเพลงในยูทูป เมื่อวิดีโอจบลงมันก็จะหยุดอัตโนมัติเอง คุณอาร์ทก็เห็นว่าใกล้จะกวาดเสร็จแล้ว จึงเสียบหูฟังคาหูอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้กดเล่นเพลง.. สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่พูดคุยเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ คุณอาร์ทจึงถอดหูฟังออก พอมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นใคร จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่บ้านอยู่ติดกับวัดแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน คุณอาร์ทกดเล่นเพลงอีกครั้งหนึ่งจนมันหยุดอัตโนมัติอีกครั้ง เป็นเวลาที่กวาดเสร็จพอดีจึงถอดหูฟังออก จังหวะที่ถอดหูฟังนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูชัดเจนว่า “เค้ามาบวชใหม่หรอ” คุณอาร์ทนึกในใจว่า “ใครมาพูดวะ” และมองไปที่กุฎิหลวงตา ก็คิดว่าหลวงตาน่าจะคุยกับคนที่มาเยี่ยม แล้วก็น่าจะถามว่ามีเด็กมาบวชใหม่หรอ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ามาในวัดสักเท่าไหร่ คุณอาร์ทก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่พอสังเกตดี ๆ ก็พบว่าในตอนนั้นมีแค่คุณอาร์ทและหลวงตาเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณวัด คุณอาจก็พยายามคิดในแง่ดีตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าน่าจะเป็นเสียงแว่วที่ลอยมาจากที่อื่น เพราะบริเวณวัดตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณอาร์ทจึงไปนั่งคุยกับหลวงตาที่นอนอยู่ในกุฎิ และถามว่าพรุ่งนี้มีบิณฑบาตหรือไม่ หลวงตาก็บอกว่า “มี ให้ตื่นมาตอนตีสี่นะ” คุณอาร์ทรับทราบดังนั้นแล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง คุณอาร์ทก็อธิบายเพิ่มว่า กุฎิข้างล่างมีลักษณะเป็นปูน ส่วนข้างบนยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่กำลังนอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบกุฎิ จึงคิดว่าเป็นสุนัขเพราะสุนัขที่วัดชอบขึ้นมานอนข้างบน พอจะนอนต่อ คุณอาร์ทก็นอนไม่หลับ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี 2 จึงลุกมากินน้ำและคิดว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว งั้นไม่นอนเลยก็แล้วกัน เพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เมื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าอากาศดีมากเพราะช่วงค่ำมีฝนตก จึงเดินออกไปนั่งสูดอากาศอยู่ที่กลางวัด โดยไปนั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงกดโทรวิดีโอคอลหาเพื่อน ๆ เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งเพื่อนก็ทักขึ้นมาว่า “อาร์ท มึงเอาใครมานอนที่วัดด้วยรึเปล่าวะ” คุณอาร์ทจึงตอบไปว่า “เฮ้ย กูมานอนคนเดียว ที่วัดเค้าไม่ให้เอาใครเข้ามาด้วย” เพื่อนก็เลยถามต่อว่า “มึงอย่ามาหลอกกู แล้วใครยืนอยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” คุณอาร์ทก็บอกไปว่า “มึงอย่ามาตลก กูไม่เล่นนะนี่ในวัดในวา” เพื่อนก็พูดอีกว่า “เอ้า อาร์ทคนเดิมหายไปไหนละวะ คนที่ชอบท้าทายอ่ะ แหมจะบวชซะหน่อยทำเป็นคนดีหรอ” และเพื่อนก็ยังพูดไม่หยุดว่า “น่ะมาอีกคนแล้วน่ะ เอาเพื่อนแถวบ้านเข้ามานอนในวัดด้วยหรอ” จากนั้นก็กดตัดสายไปเลย คุณอาร์ทนึกว่าเพื่อนแกล้ง จึงโทรไปอีกหลาย ๆ รอบ แต่เพื่อนคนนี้ก็กดตัดสายตลอด และส่งเป็นข้อความว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เข้าไปที่บ้านมึงเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” คุณอาร์ทจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทักเหมือนเพื่อนคนแรกเลยว่า “มึงเอาใครมานอนด้วยเนี่ย มึงไปให้เค้ายืนอยู่ข้างหลังทำไมน่ะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดตายหรอก” คนอาร์ทจึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มึงอย่ามาพูดบ้า ๆ อย่างนี้นะ ในวัดในวากลางค่ำกลางคืน กูกลัวจริง ๆ นะ” จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็กดวางสายไป ด้วยความที่เริ่มกลัว คุณอาร์ทจึงโทรหาเพื่อนอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนที่สามก็พูดทำนองเดียวกันเหมือนกับเพื่อนสองคนแรก คุณอาร์ทได้ยินอย่างนั้น ก็กดตัดสายไป เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใคร แต่จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวว่า “กูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่หว่า” จากนั้นก็เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วฉายขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ปรากฏว่าสิ่งที่คุณอาร์ทเห็นคือ คนนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อยู่ประมาณสี่ห้าคนแกว่งขาเล่นไปมา! มองลงมายังคุณอาร์ทตาแข็งแทบไม่กระพริบ และมีเสียงคนแก่พูดว่า “มาบวชใหม่หรอ ขอบุญมั่งดิ” คุณอาร์ทถึงกับช็อคไปชั่วครู่ แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ได้มาทำอะไร” สิ้นเสียงนั้นคุณอาร์ทถึงกับต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังกุฏิหลวงตา ตะโกนเรียกหลวงตาว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!” อยู่อย่างนั้น แต่หลวงตาก็ไม่ยอมตื่น ทำให้คุณอาร์ทต้องนั่งหน้ากุฏิหลวงตาจนเช้า และเมื่อได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับหลวงตาฟัง หลวงตาก็บอกว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่พระใหม่จะมีคนมาขอส่วนบุญ แล้ววันวันบวชก็มาถึง เมื่อใกล้เสร็จพิธี คุณอาร์ทกำลังจะก้มลงกราบที่หน้าพระพุทธรูป ซึ่งหน้าต่างของอุโบสถก็ตรงกับกิ่งของต้นฉำฉาพอดี คุณอาร์ทจึงหันไปมองแล้วก็เห็นเป็นวิญญาณกลุ่มเดิมมาในรูปร่างที่ดูเป็นคนปกติ ใส่ชุดทำบุญ แต่ไม่ใส่รองเท้า และนั่งพนมมืออยู่บนกิ่งต้นไม้นั้น พร้อมกับหันมาทางคุณอาร์ทด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ จังหวะนั้นคุณอาร์ทถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่เป็นพระเต็มตัวแล้วคุณอาร์ทจึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ และได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับวิญญาณเหล่านั้น เมื่อก้มกราบจนครบ 3 ครั้งแล้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้นแล้ว! ต่อมาคุณอาร์ทก็ได้ออกไปหาเพื่อน ๆ ที่นอกวัดและสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มึงเจอกับอะไร ให้เล่ามาตรง ๆ ได้เลย” เพื่อนคนแรกก็เล่าว่า “เห็นคนมาจับไหล่มึง และชะโงกหน้ามายิ้มข้าง ๆ แก้มมึงแล้วก็เดินออกไป และคนที่สองก็เดินเข้ามายิ้มให้กล้อง แล้วก็เดินออกไปอีก” เพื่อนคนที่สองก็เล่าเสริมว่าเขาเห็นเป็นเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีผ้าขาวม้าพาดเอวเดินเข้ามามองที่กล้อง แล้วก็ลุกออกไป และสุดท้ายเพื่อนคนที่สามก็เล่าว่าเห็นเป็นผู้ชายสองคน เดินกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินผ่านกล้องไปสักพัก ก็เดินย้อนกลับมาและชะโงกหน้าเข้ามาในกล้องจนหน้าแทบจะติดกับคุณอาร์ท! และพอถึงวันสึก คุณอาร์ทยังฝันอีกด้วยว่าตัวเองนั้นได้ไปกวาดใบไม้ตรงเมรุ แล้วมีคนเดินมาพูดด้วยว่า “จะสึกแล้วหรอ ทำไมรีบสึกไวจัง น่าจะอยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ เนี่ยตัวจะจับสีผ้าเหลืองอยู่แล้วน่ะ” (ความหมายคือถ้าบวชนาน สีตัวก็จะเข้ากับผ้าเหลืองอยู่แล้ว ทำไมถึงรีบสึก) ซึ่งในฝันคุณอาร์ทก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ก็ทำให้คุณอาร์ทที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เกเร ชอบท้าทาย ก็กลายเป็นคนที่เรียบร้อย อยู่ในร่องในรอยมากยิ่งขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ลูกสาวไปเล่นที่สนามใกล้โรงเรียนกับเพื่อน แต่เจอร่างปริศนา เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหัวแยกออกจากร่าง! ด้วยความหวังดี แม่จึงบอกไปว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นก็เจอเรื่องแปลก ๆ ขณะจอดรถ เพราะเซนเซอร์รถร้องดัง ทั้ง ๆ ที่รอบรถไม่มีอะไรเลย!

10 มี.ค. 2024

ลูกสาวไปเล่นที่สนามใกล้โรงเรียนกับเพื่อน แต่เจอร่างปริศนา เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหัวแยกออกจากร่าง! ด้วยความหวังดี แม่จึงบอกไปว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นก็เจอเรื่องแปลก ๆ ขณะจอดรถ เพราะเซนเซอร์รถร้องดัง ทั้ง ๆ ที่รอบรถไม่มีอะไรเลย!

ลูกสาวพบศพปริศนาอยู่ใกล้โรงเรียน แม่หวังดีจึงบอกกับศพว่า “กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากนั้นสองสามวัน เซนเซอร์รถก็ดังทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ใกล้รถ! เรื่องนี้ ‘คุณหนิง’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เซนเซอร์เจอผี’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณหนิงเล่าว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองไทยและเกิดเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตอนนั้นเป็นช่วงพายุเข้า อากาศหนาวอุณหภูมิติดลบประมาณ -17 ถึง -22 องศาเซลเซียส ปกติแล้วหากเป็นฤดูหนาวที่เมืองนี้จะมีหิมะตก แต่วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง โรงเรียนของ ‘หนูนิด’ (นามสมมติ) ลูกสาวของคุณหนิงจึงพาเด็ก ๆ ไปเล่นที่สนามกีฬาใกล้โรงเรียน หนูนิดเล่นอยู่บริเวณนั้นกับเด็กผู้หญิงอีก 2 คน ดูเหมือนว่าเด็กสาวทั้งสามจะชอบเล่นซ่อนแอบตามพุ่มไม้เป็นพิเศษ เวลาบ่ายสองเป็นช่วงที่โรงเรียนใกล้เลิก หนูนิดโทรมาหาคุณหนิงแล้วพูดว่า “แม่ หนูคิดว่าหนูเจอ Dead Body!” คุณหนิงจึงรีบใส่เสื้อกันหนาวแล้วกระโดดขึ้นรถ ระหว่างนั้นก็คุยกันว่า “ลูกอยู่ไหน?” คุณหนิงดู GPS ตำแหน่งของลูกไปด้วย เพราะหนูนิดอธิบายไม่ถูกและตื่นเต้น คุณหนิงถามว่า “มีผู้ใหญ่ไหม?” หนูนิดก็ตอบว่า “มี แต่โทรหาครูไม่ติด” ระหว่างนั้นเด็กอีก 2 คนก็วิ่งไปตามครู คุณหนิงจึงถามลูกว่า “ตายจริงหรือเปล่า” หนูนิดที่อยู่กับร่างปริศนาเพียงลำพังก็ตอบมาว่า “ไม่รู้ หนูไม่รู้” จากที่เห็นตำแหน่งของลูกใน GPS ตรงนั้นเป็นหน้าผาที่สามารถเล่นสกีได้ คุณหนิงจึงสันนิษฐานกับตัวเองไปว่าร่างนั้นอาจจะตกลงมาหรือเกิดอุบัติเหตุก็เป็นได้ หนูนิดยังบอกว่า “มันอยู่ใกล้ทางเดิน แต่มันอยู่ในพุ่มไม้” คุณหนิงจึงบอกว่า “ไปดูซิ ว่าเขาตายไหม?” หนูนิดจึงเข้าไปดูคนเดียว บริเวณนั้นเป็นที่โล่ง ข้างหน้าฝั่งตรงข้ามเป็นสนามบอลซึ่งมีรั้ว 2 อัน คุณหนิงจึงคิดว่า ‘ใครจะมาตายตรงนั้นมันใกล้ทางคนเดินมากเกินไป’ หนูนิดไปยืนตรงร่างนั้นแล้วถามว่า “ตายหรือยัง ถ้ายังไม่ตาย ยกมือขึ้น!” ร่างนั้นไม่ตอบสนอง หนูนิดรีบบอกคุณหนิงว่า “แม่ หนูว่าเขาตายนะ เขาไม่ตอบหนู” คุณหนิงจึงบอกให้ลูกออกมาให้ห่างจากศพ ทันทีที่คุณหนิงไปถึงที่เกิดเหตุก็รีบวิ่งเข้าไปกอดลูกสาว ในตอนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งมายืนรอเป็นเพื่อนหนูนิดอยู่ก่อนแล้ว---- เมื่อครูมาถึงที่เกิดเหตุก็โทรแจ้งตำรวจ เพื่อนของหนูนิดอีก 2 คนก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน แต่เด็กทั้ง 3 คนไม่มีท่าทีตกใจ โดยเฉพาะเพื่อนของหนูนิด ระหว่างที่รอตำรวจ คุณหนิงก็บอกว่า “กลับบ้านได้แล้ว กลับดี ๆ ล่ะ” คุณหนิงคิดว่าคนตายอาจจะยังไม่รู้ตัว ด้วยความหวังดีจึงบอกออกไปแบบนั้น เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็พาคุณหนิงไปนั่งที่ไกล ๆ และเริ่มสอบสวน เด็ก ๆ บอกว่า ตรงนั้นมีศพ เห็นเชือก และคิดว่าอาจจะปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาหรือผูกคอตาย ตอนที่คุณหนิงที่ไปยืนเฝ้าศพกับเด็ก ๆ คุณหนิงก็ถามผู้ใหญ่ที่มายืนเป็นเพื่อนน้องหนูนิดว่า “เธอว่าเขาตัดสินใจเองหรืออุบัติเหตุ?” เขาก็ตอบว่า “ตัดสินใจเอง” คุณหนิงก็เอะใจว่าคนนี้รู้ได้อย่างไร หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็ให้ปากคำ คุณหนิงเองก็นั่งอยู่ด้วย ได้ใจความว่า “ตัวอยู่ตรงนั้น จมหิมะ มีบุหรี่ ผ้าพันคอ หมวก ร่างและหัวตั้งอยู่อีกทาง” คุณหนิงจึงมีข้อสงสัยและข้อสังเกตผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ถ้าผูกคอตายแล้วหล่นลงมา ทำไมหัวถึงหลุด? เรื่องอากาศที่ติดลบ -17 องศาเซลเซียส อาจจะมีคนที่เดินผ่านแต่ไม่ได้กลิ่น? และร่างนั้นนอนคว่ำมีหิมะบังอยู่ เมื่อมีรถหิมะผ่านมาทำไมถึงไม่เจอ? แล้วหัวนั้นไปตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบได้อย่างไร? เด็ก ๆ อธิบายเพิ่มเติมว่าร่างนั้นมีหนวดเครา หลับตาสนิท เมื่อให้ปากคำเสร็จ จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน---- สองสามวันถัดมา คุณหนิงได้เจอกับน้องที่เปิดร้านอาหารที่มีการทำบุญอยู่เป็นประจำ คุณหนิงจึงพูดว่า “พี่ฝากทำบุญให้คนนี้หน่อย” เพราะคุณหนิงฝันเห็นจึงฝากทำบุญไปให้ สองวันถัดมาเป็นวันอังคาร เวลาประมาณบ่าย 2 โมงกว่า คุณหนิงกำลังขับรถเข้าที่จอด ก็เห็นอะไรแว๊บ ๆ จึงถอยรถ จากนั้นก็ขับเข้าไปทำให้เสียงแจ้งเตือนของรถก็ดังขึ้น ซึ่งรถของคุณหนิงจะใช้กล้องเทสลาที่มีเรดาร์รอบรถ เมื่อขับเข้าไปแต่ไม่มีอะไร แปลกที่เรดาร์กลับทำงาน เมื่อดูภาพจากกล้องคุณหนิงเห็นเป็นเงาคนที่ไม่มีหัว! คุณหนิงจึงถอยเข้า-ถอยออก เซนเซอร์รถก็จับได้อีก 2 รอบ วันถัดมาคุณหนิงก็ลองอีกครั้งแต่ก็ไม่เจออะไรที่เป็นต้นเหตุให้เซนเซอร์ทำงาน วันที่ 3 ก็ลองอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มีเหมือนเดิม เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ระหว่างที่คุณหนิงนอนหลับอยู่ ก็มีผู้ชายมาเข้าฝันซึ่งเป็นคนน่ารักมาก มาบอกว่า 054 และทะเบียนรถของคุณหนิง 644 คนรู้จักของคุณหนิงถูกหวยกัน แต่คุณหนิงไม่ถูกเพราะไม่ได้เล่น ก่อนที่คุณหนิงจะมาที่ประเทศไทย คุณหนิงบินมาเมื่อวันที่ 19 คืนวันที่ 18 ก็เคลียร์รถ ในท้ายรถว่างจึงนำกระเป๋ามาเก็บ หนูนิดรู้สึกหนาวจึงอยู่ในบ้าน คุณหนิงบอกกับหนูนิดว่า “เอากระเป๋ามาไว้หน้าบ้านนะ เดี๋ยวแม่จะยกขึ้นรถเอง” คุณหนิงก็ยกของไปวาง คุณหนิงเห็นหนูนิดมาช่วย ณ ตอนนั้นคุณหนิงอยู่ท้ายรถ ก็เห็นเป็นเงาอ้อมไปข้างหลัง จึงคิดว่าไม่พ่อก็ลูกมาเปิดท้ายรถ คุณหนิงหันไปปรากฏว่า ไม่มีใครและหนูนิดอยู่หน้าประตูบ้าน คุณหนิงก็คิดว่ามาอีกแล้ว… คุณหนิงบอกหนูนิดว่า “ขึ้นรถกับแม่ เดี๋ยวเข้าที่จอด” แต่วันนั้นจอดที่ประจำซึ่งสามารถชาร์จรถได้ หนูนิดบอกว่า “หนูหนาว” คุณหนิงก็บอกว่า “หนูหนาวไม่เป็นไร หนูนั่งในรถ พอแม่ชาร์จรถเสร็จ แล้วแม่เดินมาท้ายรถลูกค่อยออก” จากนั้นคุณหนิงก็เดินมาท้ายรถ และสงสัยว่าทำไมหนูนิดไม่ออกมาตามที่ตกลงกันไว้ หนูนิดนั่งอยู่พักหนึ่งก็เปิดประตูออกมาแล้วพูดว่า “แม่ ใครอยู่ข้างหลัง” คุณหนิงก็ถามว่า “เงาแม่หรือเปล่า?” สิ่งที่หนูนิดเห็นคือมันออกมาจากอีกเสา แล้วมาจบที่อีกเสา แล้วก็หายไป เป็นผู้ชายสูง ๆ ที่มีผ้าพันคอ แต่ไม่เห็นช่วงหัว! ซึ่งตอนนี้คุณหนิงบินมาไทยก็บอกว่า เขาก็คงเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปหาใคร…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

20 ม.ค. 2024

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

เมื่อต้องเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เกิดเหตุการณ์ให้ต้องย้ายห้อง จากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องขนหัวลุกจนนอนไม่ได้! เรื่องนี้ ‘คุณกิ๊ฟ’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โรงแรมหลอน นอนไม่ได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณกิ๊ฟและครอบครัวได้ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต ได้จองตั๋วเครื่องบินรอบเช้าสุดเพื่อรีบไปร่วมงาน ส่วนเรื่องที่พักนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกิ๊ฟเป็นคนจองโรงแรมให้ ซึ่งท่านจะมาพักที่โรงแรมนี้ทุกครั้ง เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือมากที่สุด เมื่อไปถึง ก็เช่ารถขับไปยังโรงแรม เข้าเช็คอินเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เมื่อเช็คอินเสร็จก็นำของขึ้นไปเก็บบนห้องและเช็คความเรียบร้อยต่าง ๆคุณกิ๊ฟเล่าว่า ห้องอยู่ชั้น 4 แต่จำเลขห้องไม่ได้ และอธิบายห้องเพิ่มเติมว่า หากหันหน้าเข้าห้อง ด้านหลังจะเป็นบันได ด้านขวามือจะเป็นลิฟต์ ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ส่วนบริเวณนี้จะเป็นตึกแถวเก่าที่นำมารีโนเวทเป็นโรงแรม อาคารนี้มีไม่เกิน 10 ชั้น ฝั่งที่คุณกิ๊ฟอยู่นั้นจะเป็นฝั่งห้องพัก ตรงข้ามจะเป็นฝั่งห้องอาหาร ห้องที่คุณกิ๊ฟและครอบครัวเข้าพักนั้นมี 2 ห้อง เป็นห้องของคุณพ่อกับคุณแม่ และอีกห้องจะเป็นของคุณกิ๊ฟกับน้องชายอีก 2 คน หลังจากเข้าห้องไป คุณกิ๊ฟก็เช็คไฟ เช็คแอร์ และเปิดแอร์ทิ้งไว้ จากนั้นก็ออกไปรับประทานอาหารและไปตะลุยไหว้เจ้า เมื่อกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 2 คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน เพราะเวลา 5 โมงเย็น จะต้องออกไปไหว้เจ้ากันต่อ คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปห้องของคุณพ่อและคุณแม่ ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ห้องของคุณกิ๊ฟกับน้องชายนั้น อยู่ดี ๆ แอร์ก็ดับเปิดไม่ได้ ‘คุณโก้’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนเล็ก จึงโทรไปที่ล็อบบี้แล้วบอกว่า “ช่วยมาดูหน่อย แอร์มันเสีย” หลังจากนั้น ช่างก็ขึ้นมาทันที ช่างใช้เวลาซ่อมอยู่นานมากประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ช่างจึงโทรไปที่ล็อบบี้ ทางล็อบบี้จึงแจ้งว่าจะเปลี่ยนห้องให้ หลังจากนั้น ก็ส่งแม่บ้านขึ้นมาช่วยขนของ ‘คุณกร’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนกลาง ก็บอกว่า “เดี๋ยวผมขอขึ้นไปดูห้องใหม่ด้วย” คุณกิ๊ฟบอกเสริมว่า คุณกรเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์ แล้วคุณกรก็พูดภาษาจีนว่า “เดี๋ยวเราส่งสัญญาณนะ เธอรอฟังสัญญาณ” จากนั้น คุณกรก็ตามแม่บ้านขึ้นไปซึ่งชั้นที่จะให้คุณกิ๊ฟย้ายไปคือชั้น 7 ห้อง 705 ขณะที่คุณกรขึ้นไป อยู่ดี ๆ เขาก็ตะโกนลงมาจากชั้น 7 เป็นภาษาจีนว่า “เฮ้ย ไม่เอานะห้องนี้ มันมีผี!” คุณกิ๊ฟก็สงสัยว่าทำไมคุณกรตะโกนมาแบบนั้น ก็เลยบอกให้คุณโก้โทรไปที่ล็อบบี้และบอกว่า “ขอไม่ย้ายห้อง ทำยังไงก็ได้ให้ห้องนี้มันอยู่ได้” ทางโรงแรมก็แจ้งว่า “มันไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ช่างแจ้งว่าแอร์มันเปิดไม่ติด แล้วก็ไม่รู้ว่าแอร์เป็นอะไร” คุณโก้ก็ยังยืนยันว่าจะไม่ย้าย จนโรงแรมหงุดหงิดและถามกลับมาว่า “ทำไมถึงไม่ย้ายคะ อยากทราบสาเหตุ” คุณโก้จึงตอบกลับไปว่า “ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบในใจนะว่าเพราะอะไร” หลังจากนั้นโรงแรมก็เงียบไปและตอบว่า “โอเคค่ะ” เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง พนักงานโรงแรมก็โทรกลับมาว่า “มีอีกห้องนึงนะคะ อยู่ชั้น 5” ซึ่งก็อยู่ในมุมเดิมแถวหน้าลิฟต์ คุณกิ๊ฟตกลง คุณกรจึงขอไปดูห้องใหม่อีกครั้ง เมื่อเข้าไปทุกห้องก็เป็นเหมือนกัน คือเมื่อเปิดประตูเข้าไป หันหน้าเข้าห้อง ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายมือจะเป็นที่วางกระเป๋า ตู้เสื้อผ้า ถัดไปจะเป็นเตียง ถัดไปอีกก็จะเป็นมุมโซฟาเล็ก ๆ และด้านถัดมาจากโซฟาทางซ้ายก็จะเป็นประตูที่จะออกไประเบียง คุณกรก็ตกลง เพราะห้องนี้ดูใหม่จึงตัดสินใจเลือกห้องนี้ ทางโรงแรมจึงให้พนักงานขึ้นมาขนของ และย้ายไปอยู่ที่ชั้น 5 เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอยู่ที่ภูเก็ตแค่ 3 วัน 2 คืน จึงรีบไปตะลุยไหว้เจ้าต่อ เสร็จก็กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม-เที่ยงคืนทุกวัน จึงเตรียมตัวเข้านอน ซึ่งคุณกิ๊ฟนอนตรงกลางขนาบด้วยน้องชายทั้ง 2 คน เวลาผ่านไปประมาณตี 3 คุณกรก็ปลุกคุณกิ๊ฟ แล้วบอกว่า “เจ้ ตื่นเร็ว!! อยู่ไม่ได้แล้ว นอนไม่ได้เลย” คุณกิ๊ฟก็บอกว่า “อะไรของแก ฉันพึ่งจะได้นอนเอง” คุณกรบอกต่อว่า “ถ้าไม่ตื่น จะไปแล้วนะ” ด้วยความที่คุณกิ๊ฟเคยเที่ยวกับคุณกรมา ก่อน เวลาคุณกรเจออะไรเขาก็จะพูดแบบนี้ คุณกิ๊ฟจึงรู้สึกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น แล้วหันไปปลุกคุณโก้ หลังจากนั้นก็ออกจากห้อง และคุณกรก็บอกว่า “เจ้ ไปเจอกันที่ล็อบบี้เลยนะ เดี๋ยวจะไปปลุกป๊ากับม๊าก่อน” คุณกิ๊ฟก็ลงลิฟต์ไปกับคุณโก้ และลงไปนั่งที่ล็อบบี้ จากนั้นก็รอกันจนถึงตี 5 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อห้องอาหารเปิดก็ไปรับประทานอาหาร ในระหว่างนั้น คุณกิ๊ฟก็ถามคุณกรว่า “แกเจออะไร? ” คุณกรตอบว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า ๆ” หลังจากนั้นก็ขึ้นรถออกจากโรงแรม ซึ่งคุณกิ๊ฟรับหน้าที่เป็นคนขับรถ คุณกิ๊ฟจึงถามอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณกรเล่าว่า หลังจากที่ล้มตัวลงนอน เขาฝันว่ามีคนมาเคาะประตู ซึ่งในฝันเขาอยู่คนเดียว เขาจึงส่องไปที่ตาแมวเห็นเป็นพนักงานที่ล็อบบี้ คุณกรก็สังสัยว่ามาทำไม จึงเปิดประตูและถามว่า “มีอะไรครับ” พนักงานก็ตอบว่า “พี่คะ ผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705 ที่พี่เจออะค่ะ ตอนประมาณเย็น ๆ เขามีเรื่องให้หนูมาบอกพี่” คุณกรก็พูดว่า “บอกอะไร? ผมไม่อยากรู้” คุณกรรู้สึกว่ามันไม่ปกติจึงบอกต่อไปว่า “ผมไม่ฟัง ผมไม่รับรู้ ผมมาทำบุญคุณไม่ต้องมาบอกผม” พนักงานก็บอกว่า “พี่คะ ขอร้องค่ะ ช่วยฟังหน่อย คือเขาอะบอกให้หนูมาบอกพี่จริง ๆ เขามีเรื่องทุกข์ใจมาก” แต่คุณกรก็ไม่ฟัง และพยายามดันประตูปิด จากนั้นฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าและพูดว่า “อ๋อ โอเคได้” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับกลายเป็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705! คุณกรตกใจมาก แล้วเขาก็บอกว่า “กูบอกให้มึงฟัง มึงก็ไม่ฟัง มึงอยากลองดีหรอ?!” จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดและนำเลือดมาทาตัว หลักจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้ามาหาคุณกรเรื่อย ๆ คุณกรบอกว่า เมื่อเขาเดินเข้ามา รู้สึกว่าภาพบรรยากาศในห้องมันเปลี่ยนไป ห้องนั้นกลายเป็นห้องมืด ๆ มีม่านเก่า ๆ โซฟาเก่า ๆ จากนั้นเขาหันไปที่ระเบียง เตรียมตัวจะเปิดประตูออกไป แต่ตรงนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลูกกรงเล็ก ๆ คุณกรก็ตกใจ หันมาอีกที ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า “กูบอกมึงแล้วไง มึงอยากลองดี!” ด้วยความที่คุณกรกลัวมากจึงสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จ เขาก็บอกว่า “สวดมนต์หรอ กูไม่กลัวหรอก” คุณกรคิดว่าทำอย่างไรดีที่จะให้ตัวเองตื่น จึงสวดมนต์บทที่แรงขึ้น หลังจากนั้นก็หลุดออกมาได้! เมื่อหลุดออกมา จึงมาปลุกคุณกิ๊ฟกับคุณโก้ และในระหว่างที่คุณกรลงบันไดมานั้น คุณกรบอกว่า เมื่อมองเข้าไป ตรงบันได ถ้าหันหน้าเข้าห้อง ขวามือจะเป็นเหมือนทางเดินเข้าไปที่เป็นห้อง ๆ เป็นทางเดินระเบียง มีผู้หญิงมากวักมือเรียกกันเยอะมาก คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ไม่เป็นไร เราไปไหว้เจ้า ทำใจสบาย ๆ ทำบุญให้เขาละกัน” คุณกรตัดสินใจจึงโทรหาเพื่อนที่เป็นคนภูเก็ตเพื่อจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้นัดเจอกัน เมื่อเพื่อนรู้ชื่อโรงแรมที่คุณกรเข้าพักก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมถึงตัดสินใจนอนโรงแรมนี้หรอ?” คุณกรก็บอกว่า “ป๊ากับม๊ามาทีไรก็พักที่นี่ เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือ” เพื่อนของคุณกรจึงบอกว่า “แกไม่รู้หรอว่าคนภูเก็ต ไม่มีใครเขามานอนที่นี่สักคน” คุณกรถามกลับว่า “ทำไมอะ มันเกิดอะไรขึ้น? ” เพื่อนของคุณกรก็ไม่อยากเล่า แต่ในที่สุดเขาก็ยอมและให้คุณแม่ของเขาเป็นคนเล่าแทน คุณแม่เล่าย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน บริเวณที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่เคยเป็น ‘ซ่องโสเภณีเก่า’ ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตึก ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นถูกไฟคลอกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อทราบที่มาที่ไป คุณกิ๊ฟยังต้องนอนต่ออีก 1 คืน แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะย้ายห้องแล้วคงตามมาไม่ได้ และรุ่งเช้าก็ได้กลับบ้านแล้ว คืนสุดท้ายจะเป็นคืนทำบุญใหญ่ รุ่งเช้าจะมีการส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ คุณกิ๊ฟก็เดินไปร่วมงานเทศกาลที่โรงเจ ในระหว่างนั้นก็ทำบุญ คุณกิ๊ฟก็บอกกับคุณกรว่า “ไม่เป็นไร เมื่อคืนเราเจอแล้ว วันนี้เราตั้งใจอุทิศบุญให้เขาเลย เธอเห็นหน้าเขาแล้วหนิ” คุณกิ๊ฟเล่าว่า ภาพที่คุณกรเห็นครั้งนั้นในห้อง 705 คือเห็นเป็นโซฟาเก่า ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่าง แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าคุณกรเห็น ลักษณะการแต่งตัวคือใส่เสื้อคอกระเช้า และนุ่งผ้าถุงลายดอกเก่า ๆ คุณกิ๊ฟจึงบอกให้คุณกรนึกถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น คุณกรก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และขอให้มารับบุญนี้ หลังจากนั้นคุณกรก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “กูไม่เอา!” คุณกรไม่รู้จะทำอย่างไร คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ช่างเถอะ เราจิตเป็นกุศลแต่ถ้าเขาไม่รับก็เรื่องของเขา” แล้วคุณกิ๊ฟก็ได้ของขลังกลับมา จึงนำมาวางรอบ ๆ เตียงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นกลับไม่ได้นอนอีกคืน เพราะผู้หญิงคนนั้นมาระราน เคาะตู้ เคาะเตียง และเหมือนมีเสียงคนเดินรอบ ๆ เตียงตลอดเวลา จนกระทั่งเช้าจึงรีบออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ แล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแห่งนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1