เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณดิว ‘กูไม่ให้อยู่’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 25 มิ.ย. 2567]

29 มิ.ย. 2024

        คุณเคยฝันเห็นอะไรแปลก ๆ ไหม? แล้วเคยไหม ที่ฝันเห็นสิ่งนั้นหลายคืนติดกัน แล้วมันก็กลายมาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราไป! เรื่องราวนี้ ’คุณดิว’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กูไม่ให้อยู่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

        คุณดิวเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ให้ชื่อสมมุติว่า ‘คุณแพท’ เรื่องเริ่มที่คุณแพทสอบติดมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กปี 1 ส่วนใหญ่จะอยู่หอใน ข้างในหอเป็นเตียง 2 ชั้น มีห้องน้ำในตัว และมีรูมเมท 1 คน ซึ่งคุณแพทก็จะเรียนภาคพิเศษโดยเลิกเรียนประมาณ 2-3 ทุ่ม ผ่านเทอมแรกไปก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

        พอเข้าเทอมที่ 2 มีอยู่คืนหนึ่ง คุณแพทฝันว่าอยู่ในหอพัก เห็นตัวเองกับรูมเมทนอนที่เตียง แพทนอนชั้น 2 และมีกลุ่มควันสีดำอยู่ที่ปลายเตียง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ

        คืนที่ 2 ก็ฝันแบบเดิม เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียงอีก คุณแพทเอะใจว่ามันแปลก ๆ ทำไมฝันแบบเดิม 2 คืน พอตื่นเช้ามาก็ไปทำบุญใส่บาตร

        คืนที่ 3 ก็ยังฝันเห็นกลุ่มควันดำแบบเดิมอีก แต่ครั้งนี้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็สวดมนต์บทชินบัญชร ปกติคุณแพทสวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว พอเช้ามาก็ไปใส่บาตรอีก

        พอคืนที่ 4 ก็ยังคงฝันเหมือนเดิม แต่กลุ่มควันดำค่อย ๆ ปรากฎภาพให้เห็นในฝัน เป็นผู้หญิงนั่งชันเข่าอยู่ที่ปลายเท้า สภาพโทรม ผมยาวรุงรัง แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ซึ่งทุกคืนที่ฝันคุณแพทก็จะบอกรูมเมทตลอด แล้วรูมเมทก็จะตื่นมาอยู่ด้วยกันตลอด พอคืนที่ 5, 6 และ 7 มันก็เริ่มแปลกไปกว่านั้น..

        ในฝันครั้งนี้ ผู้หญิงคนเดิมจับเตียงและพูดว่า

        “ออกไป! กูไม่ให้อยู่”

        ด้วยความที่คุณแพทกลัวมาก ๆ จึงหาวิธีหลายอย่าง เช่น เอาเหรีญมาไว้ที่ปลายเตียง ทำทุกอย่าง แต่ก็ยังคงฝันแบบนี้ไปอีก 3 คืน และโทรไปปรึกษาครอบครัวว่าควรทำอย่างไรดี ทางครอบครั้วจึงบอกให้ลองไปถามเจ้าของหอว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คุณแพทจึงลงไปถามคุณป้าที่ดูแลหอ ป้าบอกว่า

        “ที่นี่มีศาลเพียงตาอยู่ข้างหอนะ ลองไปไหว้ดูหน่อยมั้ย เพราะหนูเพิ่งเข้ามาอยู่ปีแรก”

        วันนั้น คุณแพทจึงรีบโทรหาคุณแม่หลังเลิกเรียน คุณแม่ก็เตรียมของไหว้มาให้ แล้วก็ไปไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘เรามาขออาศัย เรามาขออยู่’ จากนั้นก็จะเอาพวงมาลัยแขวน แต่ที่ศาลไม่มีที่แขวน แต่ก็สังเกตเห็นว่าข้าง ๆ มีรั้วคล้ายกับให้แขวนตรงนี้ จึงนำพวงมาลัยไปแขวนไว้ตรงนั้น แล้วก็เดินหันหลังกำลังจะกลับ ก็ได้ยินเสียง ฟุ้บ! หันกลับไปก็เห็นว่าพวงมาลัยหล่น! คุณแพทจึงเดินกลับไปหยิบพวงมาลัยไปแขวนอีกครั้ง แต่พอหันหลังกลับพวงมาลัยก็ตกอีก รอบที่ 3 คุณแพทก็หยิบขึ้นไปแขวน แต่คุณแม่บีบมือแน่นแล้วกระชาก แล้วบอกว่า

        “ไปเถอะลูก เรามาไหว้เขาแล้ว”

        จากนั้นคุณแม่ก็รับคุณแพทกลับไปนอนที่บ้าน 1 คืน ส่วนรูมเมทก็ไปขอเพื่อนอีกห้องนอนด้วยเพราะความกลัว

        วันถัดมาก็ไม่ได้ฝัน จึงคิดว่าทุกอย่างคงกลับมาปกติแล้ว คืนถัดมาจึงนัดกับรูมเข้าห้องพร้อมกัน ครั้งนี้คุณแพทบอกว่าไม่ได้ฝันแล้ว แต่รู้สึกเหมือนผีอำ เห็นกลุ่มควันดำที่ปลายเตียง สุดท้ายก็สะดุ้งลุกขึ้นมาได้ จึงสวดมนต์บทชินบัญชร แล้วก็เป็นแบบนี้หไปอีก 3 คืน ทั้งคุณแพทและรูมเมทกลัวกันมาก ๆ ถึงขั้นเวลาเข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำก็ต้องเข้าพร้อมกัน ไม่ก็ให้คนนึงอาบคนนึงรอ

        คุณแพทเล่าว่าครั้งนี้ระหว่างอาบน้ำ ไฟก็ดับ แต่ช่วงที่ไฟกระพริบก่อนที่จะติดกลับมา คุณแพทกับรูมเมทก็เห็นผู้หญิงคนนั้นที่ผมยาวพะรุงรังห้อยหัวตรงหน้าต่างห้องน้ำ มองมาที่ 2 คน และพูดว่า

        “กูไม่ให้อยู่!”

        ทั้งคู่ช็อคกันมาก รีบคว้าผ้าขนหนูวิ่งออกมาจากห้อง คุณแพทกลัวถึงขนาดดรอปเรียนและไปถือศีลเป็นเวลา 1 เดือนเลยทีเดียว

        หลังจากคุณแพทกลับมาก็มาสืบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตอนนั้นคุณแม่เล่าว่า ที่คุณแม่บีบมือ เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงตัวดำ ๆ นั่งชันเข่าอยู่ตรงขอบรั้วและทิ้งพวงมาลัยที่เพื่อนแขวนลงพื้น และก็มีเด็กผู้หญิงที่อยู่อีก 3 ห้องถัดไปก็ฝันเหมือนกัน 7 คืน ว่ามีผู้หญิงมาเขย่าเตียง แล้วก็พูดว่า

        “กูไม่ให้อยู่!”

        หลังจากนั้นก็รู้มาว่าหอพักนี้เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่ได้ทุบทิ้งแค่เอามาปรับปรุงใหม่ ซึ่งคุณแพทก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนทำอะไรผิด..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

22 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณโนอาร์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กองทัพผีที่เวียดนาม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณโนอาร์เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่าน ตนได้เดินทางจากกรุงเทพฯไปเวียดนาม ซึ่งก็มีแพลนที่จะไปเที่ยว แต่คิดว่า ‘ไหน ๆ ก็จะไปเที่ยวแล้ว ขอแวะเรื่องงานสักหน่อย’ จึงหาข้อมูลสถานที่ แต่โรงพยาบาลร้างหรือตึกร้างนั้น ไม่สามารถเข้าได้ด้วยเรื่องกฎหมายของเวียดนาม แต่ก็ได้แฟนคลับชาวเวียดนามมาเป็นไกด์เพื่อพาไปสถานที่เที่ยวต่าง ๆ โดยมีสมาชิก 3 คนคือ ตนเอง แฟน และน้องทีมงาน เมื่อไปถึงก็ไปเที่ยวตามปกติ พอตกเย็น ตนก็ถามกับไกด์ว่า “พอจะมีสถานที่ที่ผมจะไปสำรวจได้มั้ย?” ไกด์จึงพาไปที่วัดของเวียดนาม โดยมีสุสาน พระที่นั่นลักษณะคล้ายพระจีนแต่อาจจะนับถือคนละนิกาย ไกด์บอกว่า ที่เวียดนามนั้นไม่เหมือนไทย เวลาสำรวจต้องระวังเรื่องคนเข้ามาเสพยา หรืออะไรต่าง ๆ ตนก็โอเคเข้าใจข้อจำกัดและข้อควรระวัง พอมาถึงที่วัด ไกด์ก็รออยู่บนรถ ไม่ลงมาด้วย เพราะเขาเป็นคนกลัวผี คนที่ไปสำรวจก็จะมีแค่พวกของตน 3 คน ด้วยความที่ตนไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรเพราะต่างที่ต่างถิ่น จึงหาจุดที่สามารถตั้งกองเล็ก ๆ ได้ ด้านในวัดจะมีสุสานทั้งฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งจะมีรูปปั้นเจ้าแม่องค์ใหญ่ แล้วรูปปั้นนั้นหันหน้าประจบกันตรงกลาง ตนจึงเลือกสำรวจสุสานทางฝั่งซ้ายก่อน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับฮวงซุ้ยของประเทศไทย แต่ที่นี่ถ้าใครมีเงินหน่อยก็จะเป็นศาลา มีม้าหินอ่อนนั่งได้ด้านใน โดยปกติแล้ว ที่สุสานมักจะมีรูปภาพเป็นขาวดำ แต่ที่นี่ตนรู้สึกกลัวเพราะเห็นมีว่าหลายรายที่ในรูปของเขา ทำตาโต ตาขาวใหญ่ ตาดำเล็ก แล้วทำหน้าดุ ตนก็คิดว่าคงเป็นเพราะวัฒนธรรมของเขา จึงสำรวจต่อ ระหว่างที่สำรวจก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ลอยมาแตะจมูก จึงเดินลึกเข้าไปอีกเป็นกิโลเมตร ตรงนั้นเหมือนจะมีหลุมศพพันกว่าราย คุณโนอาร์คิดว่าถ้าจะเดินสำรวจอย่างเดียว คนดูคงจะไม่ตื่นเต้น จึงได้เริ่มทำการนอนขวางลงตรงปลายเท้าของหลุมศพ แต่ก็ไม่รู้จะท้าทายเป็นภาษาเวียดนามอย่างไร จึงผิวปาก เเล้วก็พูดภาษาไทยว่า “มาเลยนะครับ ถ้าอยู่ในสถานที่ตรงนี้” แล้วก็มีเสียงตรงพุ่มหญ้า เหมือนเป็นเสียงอะไรบางอย่างวิ่งลุยมาหาตน! คุณโนอาร์จึงเด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วพยายามมองรอบ ๆ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นสุนัข แต่ก็ไม่มีอะไร ระหว่างนั้นต้นหญ้าก็ขยับ ตอนแรกคิดว่าลม แต่ต้นไม้รอบ ๆ กลับนิ่ง จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปสำรวจข้างในต่อ เมื่อเดินลึกเข้าไป หลุมศพเริ่มดูเป็นหลุมศพของคนมีฐานะมากขึ้น เหมือนเป็นการไล่ระดับ บางหลุมมีลูกกรง บางหลุมมีศาลา เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และรูปภาพของแต่ละหลุมก็ดูหน้าดุขึ้นเช่นกัน บางศาลาก็มีหลายหลุมศพในศาลาเดียว ขณะที่กำลังจะเดินผ่านสุสานหลุมศพที่มีลูกกรง ยังไม่ทันเดินผ่าน ลูกกรงก็สั่น กึ้งๆๆๆ เหมือนมีใครเขย่า! คุณโนอาร์ก็วางกล้อง แล้วเดินไปใกล้ ๆ ลูกกรงสั่นต่อหน้าต่อตา ตนจึงมองผ่านเข้าไปด้านในลูกกรง ด้านในจะมีหลุมศพอีก 2 หลุม เป็นหลุมที่ก่อด้วยปูนขึ้นมา หลุมนี้พิเศษตรงที่มีตัวอักษรเยอะ มีป้ายเขียนอะไรบางอย่าง ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาเป็นภาษาเวียดนาม ตอนแรกนึกว่าเสียงชาวบ้านแถวนั้นตะโกนมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงมาจากทิศทางไหน ตนจำคำนั้นได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ก็ทำได้แค่จำไว้ก่อน พอสำรวจต่ออีกนิด รู้สึกว่ามันลึกเกินไป จึงคิดว่าค่อยกลับมาสำรวจใหม่ จากนั้นออกมาหาไกด์ แล้วนั่งรถกลับไปที่โรงแรม ต้องบอกว่าตัวสุสานและโรงแรม ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร ห้องที่จองไว้แบ่งเป็น 2 ห้อง อยู่ชั้น 2 คือห้องของตนและแฟน กับอีกห้องเป็นของน้องทีมงาน ซึ่งอยู่ตรงข้าม หลังจากแยกกันเข้าห้อง ต่างคนก็ต่างทำธุระส่วนตัวเพื่อเข้านอน ช่วงประมาณตี 1-2 ก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาหน้าห้อง คุณโนอาร์คิดว่าคงเป็นเสียงของแขกท่านอื่น แต่รู้สึกเอะใจ หากเป็นแขกท่านอื่นต้องเดินไปฝั่งขวา เพราะฝั่งซ้ายมันมีแค่ห้องของตน และห้องของน้องทีมงาน เมื่อมองไปทางประตู ใต้ประตูจะแสงลอดออกมา ก็เห็นว่ามีเงาเหมือนคนเดินอยู่ด้านนอก คุณโนอาร์ก็พยายามไม่คิดอะไร ตั้งใจว่าจะนอนให้หลับเพราะพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันต่อ แต่เสียงเท้ามันเดินถี่ขึ้น ดังขึ้น เหมือนเดินกันอยู่หลายคน คุณโนอาร์สะดุ้งตื่น เดินออกมาเปิดไฟ แล้วไปเปิดประตูดูหน้าห้อง ก็ไม่พบอะไร พยายามสังเกตุไปที่ห้องน้องทีมงาน ก็ไม่มีใครเดิน จึงปิดประตู แล้วกลับมานอน แต่เหมือนแฟนได้ยินเสียงเคาะประตูทั้งที่คุณโนอาร์ไม่ได้ยิน แฟนจึงเดินไปเปิดประตู คุณโนอาร์จึงถามว่า “เปิดประตูทำไม?” แฟนก็หันมาแต่ไม่ตอบอะไร ทำแค่หน้ามึน ๆ งง ๆ แล้วก็กลับมานอนที่เตียงเหมือนเดิม ทั้งตนและแฟนก็เริ่มนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน.. พอเวลาผ่านไปครึ่งชม คุณโนอาร์ก็รู้สึกง่วง และได้ยินคล้ายเสียงเพลง เป็นเสียงดนตรีอย่างเดียวไม่มีเสียงร้อง คุณโนอาร์จึงเดินไปเปิดประตูอีกรอบ พอเปิดประตู เสียงกลับเงียบสนิท คราวนี้ตนคิดว่า ‘ถ้าเป็นสิ่งที่ตามมาจากสุสานตนควรต้องทำอย่างไรดี เพราะถ้าเป็นที่ไทยคงสวดมนต์ไปแล้ว แต่ที่นี่เวียดนาม เขาต้องทำยังไงกันนะ’ แล้วก็เดินกลับมาที่เตียง ตอนนั้นคุณโนอาร์ยังลังเลอยู่ว่าเป็นผีหรืออะไร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้.. อยู่ ๆ กรอบแอร์ก็เด้งเปิดออกมาเอง แล้วก็มีเสียง ติ๊ด คุณโนอาร์ก็ตกใจ คิดว่านอนไม่ได้แล้ว และเริ่มลังเลจะย้ายโรงแรม คืนนั้นตื่นมาหลายรอบมาก จนกระทั่งนึกออกว่า ตอนที่อยู่สุสานมีเสียงพูดอะไรลอยมา ด้วยความที่จำได้ จึงหาบนอินเตอร์เน็ตเพื่อแปลภาษา แล้วถามไกด์ ซึ่งมันแปลว่า กองทัพ ตนจึงถามไกด์อีกว่า “สุสานที่ตนไปมันคือสุสานอะไร?” แต่ไกด์ก็ไม่ตอบ หลังจากนั้นก็นัดกันว่าจะไปที่นั่นอีก หลังจากผ่านคืนนั้นมา ตอนกลางวันก็ใช้ชีวิตปกติ จนตกเย็นก็กลับไปที่สุสานนั้น ครั้งนี้ไปกันหลายคนเพื่อไปดูบริเวณหลุมในคืนแรก คุณโนอาร์ลืมสังเกตุไปว่า ป้ายที่ติดรูปของหลุมศพ มีสัญลักษณ์นาซี จึงรู้ว่า นี่คือสุสานทหารเวียดนาม หลังจากนั้นไกด์ก็ได้พาทั้ง 3 คนไปไหว้ ไปสะเดาะเคราะห์ แล้วให้ขอว่า ‘อย่าตามมา อย่ามาเอาชีวิต’ เพราะไกด์บอกว่า ”ทหารเวียดนามนี่เฮี้ยน ถ้าเขาตาม เขาเอาถึงชีวิต“ และยังทราบอีกว่าที่ตรงนั้นมีหลุมศพเป็นพันหลุม ทั้งหมดนั่นคือทหารเวียดนาม ส่วนหลุมศพที่มีศาลา มีลูกกรง ตรงนั้นคือหลุมศพของนายพล(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

06 พ.ย. 2023

หลังจากกลับมาเมืองไทย คุณแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยจนทรุดหนัก! สุดท้ายต้องรีบส่งคุณแม่เดินทางกลับอเมริกาภายใน 7 วัน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (31 ตุลาคม 2566) ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้ฟังเรื่องราวเจ้ากรรมนายเวรที่ต้องการตามเอาชีวิตคนใกล้ตัวอย่างคุณแม่ที่ชวนให้ทุกคนขนหัวลุก! เรื่องจาก ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ จะเป็นอย่างไรนั้นตามไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มเอง ซึ่งในทุก ๆ ปี คุณแม่จะกลับจากอเมริกาเพื่อมาเมืองไทยและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเป็นเวลา 3 - 4 เดือน เดิมทีตัวคุณแม่เองเคยมีปัญหาสุขภาพแต่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ตัวคุณอุ๋มอิ๋มเองก็คิดว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เพราะจากท่าทางของคุณแม่ที่สามารถไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่จู่ ๆ มือของคุณแม่ก็เริ่มสั่น และสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมได้ คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มสังเกตเห็นก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า คุณแม่เป็นอะไร และตัวคุณแม่เองก็รับรู้ได้ว่าอาการเป็นหนักขึ้นกว่าทุกครั้ง และเริ่มเป็นตั้งแต่ก่อนจะมาถึงเมืองไทยแล้ว คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าอาการสั่นนั้นเป็นอาการของโรคพาร์กินสันตามวัยของผู้สูงอายุ จากนั้นไม่นานมือของคุณแม่ที่สั่น ๆ ก็เริ่มลามมาสั่นที่ปาก ในตอนนั้น คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรู้สึกว่าอาการมันเริ่มหนักขึ้นจึงถามไปว่า “แม่เป็นอะไร” คำตอบสั้น ๆ ที่ได้จากคุณแม่คือ “แม่ป่วย” เพียงเท่านั้น และไม่ได้อธิบายต่อว่าป่วยเป็นอะไร คุณอุ๋มอิ๋มจึงรีบนำแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในทันที หลังจากได้รับการตรวจคุณหมอก็ได้อธิบายว่า ผู้สูงอายุจะมีเส้นปลายประสาทและเป็นเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ซึ่งมีบางส่วนที่เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายเส้นประสาทเล็ก ๆ เหล่านั้น ส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการสั่นดังกล่าว และอาการเหล่านี้ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเช่น เพิ่มการออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด หลังจากรู้สาเหตุ คุณแม่ก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมทุกอย่างและดูเหมือนว่าอาการของคุณแม่จะดีขึ้น แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณแม่กำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่ดันล้มขาพับลงไปอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นก็ต้องใช้สามง่ามในการพยุงตัวเดิน เพราะไม่สามารถเดินเองได้ ถึงขั้นต้องมีแม่บ้านคอยดูแล พยุงไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่อาการของคุณแม่เริ่มหนักขึ้นทุกที คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ถามย้ำว่า “ทำไมแม่ถึงไม่ไปหาหมอ?” คุณแม่ตอบกลับว่า “หมอก็บอกแล้วว่ารักษาไม่ได้ แล้วจะไปหาทำไม” แต่คุณอุ๋มอิ๋มทนเห็นแม่ต้องทรมาณแบบนี้ไม่ได้ จึงตัดสินที่จะพาคุณแม่ไปหาหมออีกครั้ง ในขณะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้รับสายจากพี่ชาย โทรเข้ามาเล่าว่าเมื่อคืนนี้เขาอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลคุณแม่ ได้เจอกับผู้หญิงแก่ หน้าห้อย ตาตี่ แววตาล่อกแลกมองซ้ายทีขวาที สวมเสื้อลายดอกสีแดง กางกางขายาวสีดำ เดินเข้ามาในบ้าน จังหวะนั้นคุณอุ๋มอิ๋มถามกลับไปทันทีว่า “ผู้หญิงแก่ ๆ ที่เห็นเนี่ยเป็นคน หรือไม่ใช่คน” ปลายสายตอบกลับมาเพียงคำสั้น ๆ ว่า “ก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว” ผู้หญิงแก่คนนี้เดินขึ้นมาจนถึงชั้นสามแล้วตะโกนส่งเสียงรีบร้อนลนลานว่า “เห็นไหม ว่ามัณฑนาอยู่ไหน เห็นไหม เห็นไหม มัณฑนาอยู่ไหน” ซึ่ง มัณฑนานั้น คือชื่อจริงของคุณแม่ พี่ชายเริ่มสัมผัสได้ว่าผู้หญิงแก่ตนนี้ไม่ใช้วิญญาณปกติ ต้องมีอะไรเป็นแน่ จึงตอบกลับไปว่า “ไม่มี ไม่มีหรอกคนนี้เค้าไม่อยู่แล้ว หายไปแล้ว” วิญญาณหญิงแก่ตนนี้ไม่เชื่อ “จะหายไปได้ยังไง เค้าบอกว่าอยู่บ้านนี้” พี่ชายจึงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงแข็ง แบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น “ไม่มี ออกไป! ถ้าไม่ออกไปจะไล่และจะเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว!!” ด้วยความโมโหวิญญาณหญิงแก่ทำท่าทางฉุนเฉียวไม่พอใจและหายไปในทันที คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าคงจะจบลงเท่านี้ จึงพุดคุยให้คุณแม่สบายใจว่า “ไม่เป็นอะไร เพราะยังไงที่บ้านก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลเต็มไปหมดอยู่แล้ว ยังไงคุณแม่ก็ต้องปลอดภัย” แต่แล้วอาการของคุณแม่ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากมือสั่น ปากสั่น เดินไม่ได้ จนมาถึงปากของคุณแม่เริ่มแข็ง ขยับไม่ได้ จนทำให้คุณแม่ไม่สามารถพูดได้ วินาทีนั้นตัวคุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ออกมาด้วยความสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ จึงคิดได้เพียงว่าต้องไปจุดธูปถามอากงเท่านั้น แม้รู้ว่าตามหลักแล้วจะไม่สามารถถามเรื่องราวของคนในครอบครัวได้ แต่ในครั้งนี้เกิดขึ้นกับคุณแม่ คุณอุ๋มอิ๋มทนไม่ไม่ไหวจริง ๆ จึงขอร้องให้อากงช่วยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น คำแรกที่ได้ยินจากอากงคือ “เจ้ากรรมนายเวร” คุณอุ๋มอิ๋มรีบถามทันทีว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำอย่างไรคุณแม่ถึงจะหาย คุณอุ๋มอิ๋มร้องไห้ไปพร้อมกับขอร้องให้อากงช่วยเพราะไม่อยากให้คุณแม่ต้องทรมานเช่นนี้ อากงบอกมาเพียงว่า “อาร่างต้องมีสติก่อนนะ ไปทำทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไปหาหมอ เอาผลทุกอย่างออกมา” เช้าวันรุ่งขึ้น คุณอุ๋มอิ๋มรีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลทันที เพื่อทำทุกอย่างตามที่อากงบอกไว้แต่สุดท้ายผลออกมาก็เป็นดังเดิมคือเลือดไม่ไปเลี้ยงยังเส้นปลายประสาท คุณอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่าตนเองทำทุกอย่างแล้ว จึงกลับไปหาอากงอีกครั้ง แล้วบอกกับท่านว่าทุกอย่างที่ทำนั้น มันไม่มีอะไรที่จะรักษาคุณแม่ได้เลย มีเพียงแค่ต้องให้เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้นเท่านั้น อากงได้พูดกลับมาอีกครั้ง “ให้เค้ากลับบ้าน (อเมริกา) ต้องกลับเท่านั้น และต้องกลับภายใน 7 วันนี้เท่านั้น” ด้วยอาการต่าง ๆ ที่คุณแม่กำลังเผชิญอยู่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ยาก คุณอุ๋มอิ๋มจึงหลุดปากพูดออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้คุณแม่เดินได้” อากงรับปากตกลงตามคำขอจะช่วยกันวิญญาณหญิงแก่ให้ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วง 7 วันนี้จนกว่าคุณแม่จะขึ้นเครื่องเดินทางกลับไป หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกับอากงจบลง สิ่งที่คุณอุ๋มอิ๋มเห็นคือ มีผู้หญิงแก่ กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีลักษณะเดียวกันกับที่พี่ชายโทรมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเชื่อว่ามายืนอยู่นานแล้ว และรู้ว่าคุณแม่ของคุณอุ๋มอิ๋มก็อยู่ในบ้านหลังนี้ และในทุกครั้งที่คุณแม่ออกจากบ้าน วิญญาณตนนี้จะคอยมาเกาะตามไปทุกที่เพื่อให้อาการของคุณแม่แย่ลง เมื่อคุณอุ๋มอิ๋มเริ่มรับรู้ถึงสาเหตุก็ได้อุทิศบุญภาวนาให้ ปรากฏว่าวิญญาณตนนี้พยายามสื่อออกมาว่า “อั๊วไม่รับ ทุกครั้งมันทำให้อั๊ว อั๊วก็ไม่รับ ยังไงอั๊วก็จะเอามันไปด้วย” เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้ต่อรองอะไรกับวิญญาณตนนั้น คิดเพียงแค่ว่าจะหาทุกวิธีที่เคยทำได้ผลมาใช้ในการต่อชีวิตคนคนนึง ตามวิธีการของคุณอุ๋มอิ๋มก็ได้เตรียมผ้าไตร 3 ชุดเพื่อนำไปถวายพระบวชใหม่ ปรากฏว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้น เริ่มพูดได้อย่างช้า ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะพาคุณแม่ไปส่งขึ้นเครื่องกลับต่างประเทศให้ได้ตามคำที่อากงเคยกล่าวไว้ว่าเป็นทางรอดเดียวที่จะช่วยคุณแม่ได้ วิญญาณผู้หญิงแก่ได้หายไปถึง 2 วันก่อนที่คุณแม่จะเดินทาง โดยไม่ปรากฎตัวให้เห็นเหมือนในทุกครั้ง คุณอุ๋มอิ๋มเองก็ภาวนาว่าวิญญาณคงจะไม่ตามไปถึงที่อเมริกา ในระหว่างเดินทางทุกอย่างก็ปกติดี เมื่อคุณแม่เดินทางไปถึงอเมริกา คุณอุ๋มอิ๋มได้ติดต่อขอร้องให้คุณลุง (แฟนใหม่ของคุณแม่) ช่วยสวดบทสวดเกาะกำแพงแก้วเพื่อสื่อว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาและไม่อนุญาตให้ใครตามมา พร้อมกับบอกกล่าวไปถึงอาป๋ากวนอูและอากงว่าคุณแม่ได้เดินทางกลับไปที่อเมริกาแล้ว หลังจากนั้นคุณแม่ได้เข้ารับการรักษา แต่สิ่งที่ได้รับจากการตรวจของคุณหมอคือ “คุณไม่เป็นอะไรเลยนะ” และอาการของคุณแม่ก็ดีขึ้นจริง ๆ สามารถยกแขนได้ และเริ่มลุกขึ้นเดินได้อย่างช้า ๆ ปากหายสั่นสามารถพูดคุยได้ตามปกติ วินาทีที่คุณอุ๋มอิ๋มทราบว่าคุณแม่อาการดีขึ้นถึงขั้นไม่เชื่อ จึงขอให้คุณลุงพาไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอื่นอีกครั้ง แต่ผลปรากฏเช่นเดิมว่าคุณแม่ปกติดีทุกอย่าง แม้จะมีผลว่าคุณแม่มีปัญหาที่เส้นประสาท แต่อาการของคุณแม่แตกต่างไปจากตอนที่อยู่เมืองไทยอย่างน่าเหลือเชื่อ คุณอุ๋มอิ๋มได้สื่อถึงอากงอีกครั้งเพื่อที่จะถามว่าต้องทำอย่างไรต่อไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ และอากงได้ชี้ทางให้คุณอุ๋มอิ๋มในฐานะที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันว่า ต้องทำบุญส่งไปให้ถึงวิญญาณผู้หญิงแก่โดยภาวนาให้วิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวิญญาณตนนี้ทำให้คุณแม่ต้องเจ็บป่วย คุณอุ๋มอิ๋มจึงเดินทางทำบุญแก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีกำลังในการรักษาอาการป่วย เพื่อภาวนาส่งบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา วิญญาณผู้หญิงแก่ตนนี้ก็ได้หายไป และไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย หลังจากเหตุการณ์เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไป ตัวคุณอุ๋มอิ๋มได้นั่งสมาธิและเห็นภาพพร้อมกับสัมผัสได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรตนนี้ตามมาจากภพภูมิอื่น โดยฝังใจถึงคุณแม่ที่กลับมาภพนี้แล้วได้ดิบได้ดี จนลืมเขา ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือคุณแม่มาก่อน จนสุดท้ายเค้าต้องมาป่วยตายกะทันหันด้วยโรคลมชัก จึงเกิดความแค้นต้องการให้คุณแม่เจ็บป่วยเช่นเดียวกันนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

กลายเป็นทริปทะเลทรายสุดหลอน เมื่อไกด์ทัวร์ไม่ยอมจองที่พักล่วงหน้าไว้ ทำให้ต้องไปนอนทับที่คนตายโดยไม่รู้ตัว และด้วยความชอบส่วนตัวจึงแต่งตัววาบหวิวออกมาถ่ายรูป จบที่คืนนั้นเกือบตาย! เพราะโดนหลอกแบบดับเบิ้ล!

22 พ.ค. 2023

กลายเป็นทริปทะเลทรายสุดหลอน เมื่อไกด์ทัวร์ไม่ยอมจองที่พักล่วงหน้าไว้ ทำให้ต้องไปนอนทับที่คนตายโดยไม่รู้ตัว และด้วยความชอบส่วนตัวจึงแต่งตัววาบหวิวออกมาถ่ายรูป จบที่คืนนั้นเกือบตาย! เพราะโดนหลอกแบบดับเบิ้ล!

‘คุณอ้วน รีเทิร์น’ ได้มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) เพื่อมาเล่าเรื่องหลอนของตัวเองที่เจอดีระหว่างท่องทริปทะเลทราย ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง ว่าได้เจอผีถึง 2 ตน! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้วนเล่าว่าตัวเองนั้นชอบไปเที่ยวทะเลทรายช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีมาก เพราะมันดูมีมนต์ขลัง ดูมีเสน่ห์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และเมื่อย้อนกลับไปประมาณ 6 ปีที่แล้วในวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่คุณอ้วนวางแพลนว่าจะไปเคาท์ดาวน์ที่กลางทะเลทราย มีเพื่อนคนไทยไปด้วย 2 คน หนึ่งในนั้นสามารถพูดอาหรับได้ และมีไกด์ทัวร์ด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งได้วานให้ไกด์ทัวร์รีบโทรไปจองเต็นท์ที่อยู่ในแคมป์กลางทะเลทราย เพราะกลัวว่าเต็นท์จะเต็ม แต่ไกด์ทัวร์บอกว่าไม่เต็มแน่นอน พอไปถึงปรากฏว่าเต็นท์เต็ม! จะกลับก็ไม่ได้เพราะใช้เวลาเดินทางมากว่า 4 ชั่วโมง ด้วยความโมโห คุณอ้วนจึงโวยวายด่าไกด์ทัวร์หนักมาก จนเจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเหตุการณ์และสงสารไกด์ทัวร์คนนั้น จึงเดินเข้ามาบอกว่า “ขอโทษนะ ถ้าไม่รังเกียจ เขามีห้องเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งจะนำเตียง 3 ฟุต 3 เตียง มาเติมให้แต่ห้องสภาพไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เพราะไม่เคยมีคนมานอน” คุณอ้วนชั่งใจอยู่สักครู่ ก็หยวน ๆ ให้เพราะไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหนแล้ว แถมตอนนั้นอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว... ก่อนที่ฟ้าจะมืดคุณอ้วนได้ไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ซึ่งชุดที่คุณอ้วนสวมใส่ค่อนข้างที่จะโป๊ เมื่อไกด์ทัวร์เดินมาเห็น เขาก็เข้ามาเตือนว่าอย่าถ่ายรูปแบบนี้ แต่ด้วยความที่ยังคงโกรธไกด์ทัวร์คนนั้นอยู่ คุณอ้วนจึงไม่สนใจและยืนยันว่าจะถ่ายต่อ เพราะบนสันของเนินทะเลทรายนี้มีแค่กลุ่มของคุณอ้วนเท่านั้น และคิดว่าไม่น่ามีใครมาเห็น เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณอ้วนรู้สึกเหนื่อยมาก จึงไม่ได้ออกไปปิ้งย่างบาร์บีคิวกับเพื่อน ๆ และได้อาบน้ำเข้านอนทันที คุณอ้วนนอนที่เตียงด้านในสุด ขณะที่กำลังล้มตัวนอนและกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเปิดเต็นท์ตรงเข้ามายังเตียงที่นอนอยู่ เมื่อลืมตามอง ก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งคล้ายคนอินเดีย ผมสั้นแต่พะรุงพะรัง มีหนวด ใส่เสื้อเป็นลายสก็อตแขนสั้นเก่า ๆ ในใจคุณอ้วนก็คิดสงสัยว่าเป็นใคร เป็นคนงานหรือเปล่า และพอเขามาหยุดที่เตียงของคุณอ้วน เขาก็มายืนจ้องหน้าพร้อมกับทำตาเหลือกถลนใส่ ในขณะนั้นคุณอ้วนก็เหมือนกับมองชายคนนั้นอยู่ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น และรู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนแน่ ๆ และรู้สึกว่าอยากจะลุกหนีไปให้เร็วที่สุด จึงพยายามร้องให้คนช่วย! และเพื่อนทั้ง 2 คนของคุณอ้วนก็เดินเข้ามาในเต็นท์พอดี จึงพยายามร้องเรียกให้ช่วย ด้วยอาการเหมือนจะขาดใจเพราะเริ่มหายใจไม่ออก แต่เพื่อนทั้ง 2 คนนั้นคิดว่าคุณอ้วนแค่ละเมอ จึงไม่ได้สนใจและพากันเข้านอน และผีผู้ชายคนนั้นก็ได้หายไป แต่คุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนมีตัวอะไรไม่รู้มุดเข้ามาในผ้าห่มแทน! และเมื่อมันมุดมาถึงตรงหน้าอก คุณอ้วนก็พยายามเอามือดันตรงหน้าอกไว้ คุณอ้วนกลัวมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจสวดมนต์และคิดถึงพ่อกับแม่ ซึ่งในตอนนั้นอาการหายใจไม่ออกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ก็หนักขึ้น ขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้นก็เห็นเป็นผู้ชายตัวเล็ก ชุดขาว หน้าเหี่ยวย่น มีหนวดเคราและใส่ผ้าโพกหัวสีขาว เดินเข้ามาหาที่เตียงซึ่งในตอนนั้นคุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งเรียบร้อยแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็เอามือหนึ่งกดบ่าคุณอ้วน อีกมือหนึ่งดันเต็นท์ไว้ แล้วก็มองหน้าคุณอ้วนด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว นึกในใจตอนนั้นคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ๆ จึงพยายามเอามือไปหยิบพาวเวอร์แบงค์เพื่อจะโยนใส่เพื่อนที่นอนอยู่ แต่พอจะโยนมันกลับหลุดมือตกลงพื้นเสียงดัง ทำให้ในตอนนั้นคุณอ้วนก็รู้สึกตัว และลุกขึ้นมาตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ผีหลอก” เพื่อนทั้งสองคนจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเห็นว่าหน้าของคุณอ้วนนั้นเขียวไปหมดเลยเหมือนคนกำลังจะช็อก เพื่อน ๆ ก็ถามว่าเป็นอะไรคุณอ้วนจึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง หลังจากนั้นคุณอ้วนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะเวลาตี 2 แล้ว จะนอนก็ไม่ได้ จึงพากันออกไปนอกเต็นท์ เพื่อนคนหนึ่งจึงไปตามไกด์ทัวร์มาและเล่าทุกอย่างให้ฟัง พร้อมกับขอให้เขาหาที่นอนใหม่ให้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาที่นอนใหม่ให้ไม่ได้ จะพากันไปนอนที่รถก็ไม่ได้ จึงจำใจต้องกลับไปนอนที่เต็นท์นั้น เพื่อนคุณอ้วนก็ช่วยกันปลอบว่าอย่ากลัว ให้ตั้งสติ และทุกคนจึงตัดสินใจไปนอนกองรวมกันอยู่ที่มุมเต็นท์ คุณอ้วนเองก็ให้เพื่อนทั้ง 2 คนมานอนประกบสองข้าง และเอาขามากอดคุณอ้วนไว้ด้วย ส่วนไกด์ทัวร์คนนั้นไปนอนที่เตียงของคุณอ้วนแทน แต่คุณอ้วนและเพื่อน ๆ ก็นอนไม่ลงอยู่ดี แถมพากันสวดมนต์แทบทั้งคืนจนถึงเช้า รุ่งเช้า คุณอ้วนก็ลุกออกไปชงกาแฟกิน เพื่อน ๆ และไกด์ก็ตามออกมา เจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเข้าพอดี จึงถามว่าทำไมถึงพากันออกเต็นท์มาเช้าจัง ปกตินักท่องเที่ยวจะตื่นสายกว่านี้ ไกด์ทัวร์จึงบอกไปว่าเมื่อคืนแขกของเราโดนผีหลอก ทำให้นอนไม่ได้ ด้วยความที่คนอาหรับมักจะเป็นคนที่พูดตรงและไม่โกหก เจ้าของแคมป์จึงเล่าว่าจริง ๆ เต็นท์ตรงนั้นถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ได้อยากขายให้ เพราะย้อนกลับไปตอนที่เขาเข้ามาทำกิจการแคมป์ตรงพื้นที่นี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนงานเป็นคนอินเดียมาฆ่าตัวตายตรงเต็นท์ที่คุณอ้วนนอน คุณอ้วนได้ฟังดังนั้นก็ขนลุกหนักมาก เพราะตอนที่เจอเหตุการณ์นั้นก็นึกสงสัยในใจอยู่ว่าคนอินเดียจะมาอยู่ทำไมในพื้นที่อาหรับ หลังจากนั้น ตามแพลนคุณอ้วนและเพื่อน ๆ จะต้องนอนค้างอีกหนึ่งคืน แต่ทุกคนก็ตัดสินใจยกเลิกทริป และนั่งรถกลับเข้าเมืองทันที ระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ไกด์ทัวร์ก็พูดว่า “ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้แต่งตัวโป๊ออกมาถ่ายรูป เพราะที่นี่เจ้าที่แรงมาก และศาสนาเขาไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้” นั่นทำให้คุณอ้วนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ว่าจริง ๆ แล้วตนเจอผีผู้ชาย 2 คน และผีผู้ชายคนที่สองที่เข้ามาในเต็นท์คงต้องเป็นเจ้าที่เจ้าทางแน่ ๆ คุณอ้วนถึงกับขนลุกขึ้นมาอีกครั้งทันที และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปในพื้นที่ตรงนั้นอีกแล้ว เมื่อกลับมาถึงยังในตัวเมืองจึงได้ทำพิธีของไทยเพื่อกราบขอขมาลาโทษผีเหล่านั้น และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คุณอ้วนไม่กล้าแต่งตัวโป๊ถ่ายรูปอีกเลย พร้อมกับบอกว่าเวลาเราจะไปยังสถานที่ไหน เราควรให้ความเคารพต่อสถานที่ตรงนั้นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วย (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

สาวแอร์โฮสเตสรักในการดูดวง แต่หมอดูบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต พยายามตื๊อให้ดูดวงให้แต่หมอดูปฏิเสธ เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็มีข่าวว่าสาวแอร์โฮสเตสกระโดดตึก หมอดูเห็นก็ช็อคเพราะคือคนเดียวกัน! แต่แล้วเขาก็มาหาในฝันเพราะมีเรื่องให้ช่วย อยากให้ดูดวงให้อีก!

17 มี.ค. 2024

สาวแอร์โฮสเตสรักในการดูดวง แต่หมอดูบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต พยายามตื๊อให้ดูดวงให้แต่หมอดูปฏิเสธ เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็มีข่าวว่าสาวแอร์โฮสเตสกระโดดตึก หมอดูเห็นก็ช็อคเพราะคือคนเดียวกัน! แต่แล้วเขาก็มาหาในฝันเพราะมีเรื่องให้ช่วย อยากให้ดูดวงให้อีก!

อ.บาส หมอดูที่ไม่ว่าจะดูดวงให้ใครก็มองเห็นอนาคตของคนนั้น แต่กับสาวแอร์โฮสเตสคนนี้ ดูดวงเท่าไหร่ก็ไม่เคยมองเห็นอนาคตของเธอ จนทำให้มีเรื่องหลอนเกิดขึ้น! เรื่องนี้ ‘อ.บาส 7th Sense’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ติดค้าง’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! อ.บาส 7th Sense เล่าว่า ตนมักจะมีคนที่มาดูดวงเป็นประจำ อ.บาสได้ไปรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเจ’ (นามสมมติ) มีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตส เธอเป็นคนเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง ผิวสวย หน้าสวย หุ่นดี อ.บาสคิดว่าคุณเจทำบุญไว้เยอะ เพราะดูไม่มีความทุกข์นอกจากเรื่องความรักกับเรื่องศัลยกรรม คุณเจมักจะมาถามตนบ่อย ๆ ว่า “หนูจะไปฉีดตรงนี้ เลือกหมอให้หนูหน่อย คนนี้หนูคบได้ไหมคะ?” อ.บาสบอกว่า เวลาเธอจะคบใครก็จะมาถามอาจารย์ทุกเรื่อง เมื่อก่อนยังไม่มีไลน์หรือแอปพลิเคชันที่สามารถคุยกันได้สะดวก มีเพียงโทรศัพท์เท่านั้น บางครั้งเวลาตี 1-2 คุณเจจะส่ง SMS มาหา อ.บาส ว่า “ตี 1 แล้ว มาหาหนูหน่อย หนูมีเรื่องด่วน” อ.บาสก็ยอม เพราะรู้สึกรักคนนี้เหมือนเป็นน้องสาวของตน แต่ทุกครั้งที่ อ.บาสดูดวงให้ ปรากฏว่ามองไม่เห็นอนาคตของคุณเจ จึงตัดสินใจดูดวงเฉพาะเรื่องที่ถาม เพราะดูได้แค่นั้น คุณเจมักจะกังวลเรื่องความสวยมาก จน อ.บาสมีความรู้สึกว่าน้องคนนี้เศร้าเกิน มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณเจเรียก อ.บาสให้ออกไปหาตอนตี 1 อาจารย์บอกว่า “ไม่ไหวแล้วหนู คุยกันทางโทรศัพท์ได้ไหม?” คุณเจก็บอกว่า “ไม่เอา หนูต้องการพบอาจารย์เดี๋ยวนี้ หนูจะถามเรื่องสำคัญคือเรื่องแต่งงาน” อ.บาสบอกว่า “อ้าว จะแต่งแล้วหรอ?” และบอกต่อไปว่า “ออกไปพบไม่ได้อะ” อ.บาสจึงดูดวงผ่านโทรศัพท์แล้วบอกว่า “พี่ไม่เห็นอนาคตหนูนะ” เมื่ออ.บาสพูดไปตรง ๆ เช่นนั้น คุณเจก็บอกว่า “คนนี้ไม่ใช่คู่หนูหรอ? เขาจะแต่งงานกับหนูแล้วนะ เตรียมของไว้หมดแล้ว” อ.บาสตอบว่า “พี่ไม่เห็นอนาคตจริง ๆ หนูไม่มีอนาคตกับคนนี้ ไม่ต้องแต่ง อยู่เฉย ๆ ทำบุญทำกุศลไป” อ.บาสเล่าว่ามีบางอย่างที่แปลกคือ เวลาที่อาจารย์แนะนำให้ทำบุญ คุณเจก็ไม่ทำจะดูดวงแค่อย่างเดียว คุณเจที่ผิดหวังกับคำตอบของอ.บาส จึงบอกว่า “ถ้าเกิดอาจารย์ว่าง อาจารย์ต้องมาหาหนูให้ได้นะ” อ.บาสบอกกลับไปว่า “ได้ ๆ เดี๋ยวว่างจะออกไป ตอนนี้ดูทางโทรศัพท์ไปก่อนเนอะ” เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ ช่วงนั้นมีเฟซบุ๊กแล้ว เมื่อประมาณปี 2557-2558 อ.บาสเลื่อนดูเฟซบุ๊ก ก็มีคนแชร์ข่าวมาว่า “มีแอร์โฮสเตสสาว กระโดดตึกที่ห้างแห่งหนึ่ง” ซึ่งเป็นข่าวดัง อ.บาสบอกว่า ท่าเสียชีวิตสวยมาก ชุดที่ใส่ต่อให้เป็นเสื้อยืด กางเกงวอร์มก็สวย และสมัยก่อนจะเบลอหน้าแค่นิดเดียว อาจารย์ก็รู้สึกว่า “เฮ้ย! นี่น้องคนนี้ เขามาหาเราบ่อย แล้วเราไม่เห็นอนาคตเขานี่หว่า” ตอนนั้น อ.บาสใจหล่นลงตาตุ่ม เพราะพึ่งคุยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน บอกให้เขาทำบุญ เพราะว่าไม่เคยเห็นอนาคตของเขา อ.บาสก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ออกไปหาคุณเจ คืนนั้นตอนที่ อ.บาสกำลังจะอาบน้ำก็ได้กลิ่นฟอร์มาลีน อ.บาสรู้ทันทีเลยว่าเป็นคุณเจ จึงสื่อสารไปว่า “หนูมาอย่างนี้ไม่ได้นะ อาจารย์รู้สึกไม่โอเค อาจารย์คุ้นกับหนูจริง แต่ว่าหนูมาอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามาก็ให้อาจารย์ฝันละกัน อาจารย์ทำใจไม่ได้จริง ๆ อาจารย์คุ้นเคยกับหนู อาจารย์เห็นว่าหนูเป็นน้องสาว” หลังจากนั้น อ.บาสก็ฝันเห็นคุณเจ เดินมาหาด้วยสีหน้าโกรธ แล้วบอกว่า “ดูดวงให้หนู!” แต่ในฝัน อ.บาสบอกว่า “หนูไม่มีอนาคต” อ.บาสก็ยังคงพูดคำเดิมเหมือน วันหนึ่งเพื่อนของคุณเจที่ชอบมาดูดวงเหมือนกันโทรมาบอกว่า “พี่บาส ๆ หนูฝันถึงเจว่ะ เจมันมาบอกว่า ให้หนูพาเจมาดูดวงหน่อย บอกว่าต้องการเจอพี่บาส แล้วมาแบบหน้าแดงเลย” อ.บาสบอกกลับไปว่า “ฝันคล้าย ๆ พี่เลย พี่ก็ฝันว่าดูดวงให้เขา แต่พี่ก็ไม่เห็นอนาคตเขาเหมือนเดิม” จากนั้น อ.บาสก็นัดเจอ ตอนนัดกันก็ให้เพื่อนของคุณเจเป็นตัวแทนดูดวง ปรากฏว่าทุกอย่างก็คลี่คลายและรู้ว่าคุณเจฆ่าตัวตายทำไม อยู่ที่ไหน ต้องการอะไร อ.บาสบอกว่า “ไปบอกแม่ บอกญาติเขาหน่อย” หลังจากนั้น อ.บาสก็ไม่ฝันอีก และก็ได้เคสนี้เป็นกรณีศึกษาว่า ถ้าอาจารย์ไม่เห็นอนาคต ต้องเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เพราะการดูดวงเราต้องมองเห็นอนาคต…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1