เป็นจุดต่ำสุดของครอบครัว เพราะแม่เชื่อหมอดู ทำตามที่หมอดูบอกทุกอย่าง ถึงขั้นให้พ่อเลี้ยง...กับลูกแท้ๆ ! สุดท้ายแม่กลายเป็นคนวิกลจริต เพราะลูกทำคุณไสยตอบแทน!

อังคารคลุมโปง RECAP

เป็นจุดต่ำสุดของครอบครัว เพราะแม่เชื่อหมอดู ทำตามที่หมอดูบอกทุกอย่าง ถึงขั้นให้พ่อเลี้ยง...กับลูกแท้ๆ ! สุดท้ายแม่กลายเป็นคนวิกลจริต เพราะลูกทำคุณไสยตอบแทน!

01 ธ.ค. 2023

(Trigger Warnings : บทความนี้มีเนื้อหาการล่วงละเมิดทางเพศ)

          เมื่อเราเป็นจุดต่ำสุดในครอบครัว แม่หลงเชื่อหมอดูจนโงหัวไม่ขึ้น ให้พ่อเลี้ยงมาข่มขืนลูกตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นตามที่หมอดูบอก สุดท้ายจึงตอบแทนแม่ด้วยคุณไสยสุดพิเศษเป็นของขวัญ เรื่องนี้ ‘คุณณัฐผี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤศจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตอบแทนด้วยคุณไสย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย!

          คุณณัฐเล่าว่าเรื่องนี้ได้ฟังมาจาก ‘น้องบุ๋มร่างทรง’ เธอเป็นคนดูดวง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกดวง ใช้นามสมมติว่า ‘น้องเดียร์’ เธออยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์และเป็นวิทยาทานให้กับคนที่กำลังจะเชื่ออะไรแล้วไม่ได้ไตร่ตรอง ควรที่จะเชื่อแบบมีสติ และเรื่องนี้ฝากไปถึงคนที่มีลูก อยากให้รักลูกแบบไม่ลำเอียงให้รักลูกเท่ากันทุกคน

          เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวของน้องเดียร์ มีแม่, พ่อเลี้ยง, น้องเดียร์, และน้องชาย แม่เป็นคนติดแอลกอฮอล์ ติดการพนัน โดยเฉพาะเรื่องการดูดวง แม่ชื่นชอบและติดมาก แม่จะเชื่อหมอดูอย่างไม่ลังเล ถ้าให้เรียงลำดับความสำคัญของคนในครอบครัวนี้ ตัวน้องเดียร์คิดว่าตนนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ในอันดับด้วยซ้ำ เพราะน้องเดียร์ไม่เคยอยู่ในสายตาแม่เลย น้องเดียร์เกิดมาจากพ่อที่ทิ้งแม่ไป เธอเปรียบเสมือนกาฝากในครอบครัวนี้ ต้องเชื่อฟังแม่ตั้งแต่เด็ก ทำผิดอะไรแม่ก็จะตี หรือบางทีก็ถูกแม่ขังอยู่ในห้องไม่ให้ไปเรียน เวลาจะได้ของอะไรก็แล้วแต่ จะต้องเป็นของเหลือที่น้องชายไม่เอา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ถ้าน้องชายเลือกที่จะไม่กิน น้องเดียร์ถึงจะได้กิน

          ภาพจำที่น้องเดียร์จำได้คือ พ่อเลี้ยง แม่ และน้องชายนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ไปกินอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ส่วนน้องเดียร์ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด และอีกภาพคือ แม่ขอเงินยายเพื่อที่จะไปซื้อเหล้าและไปเล่นการพนันอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งบังคับยายยกสมบัติให้เพื่อที่แม่จะได้นำไปขาย แล้วเอาเงินมาเล่นการพนัน เอามาซื้อเหล้า พอหนักเข้า ยายไม่มี ยายก็ถูกแม่ตีจนแขนหัก จนยายต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น

          ด้วยความที่แม่เป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงมาก ๆ ก็จะไปเสาะแสวงหาการดูดวงจากสถานที่ต่าง ๆ ถ้าหมอไหนที่ดูแล้วบอกว่าลูกชายพึ่งได้ แม่ก็จะบอกว่าหมอคนนี้แม่นถูกใจแม่ กลับกันถ้าหมอดูบอกว่าลูกสาวจะพึ่งได้ นั่นแสดงว่าหมอดูไม่แม่น และจะถูกแม่ด่าอยู่ตลอดเวลา

          อย่างที่บอกไปว่าแม่ชอบดูดวงมาก กระทั่งแม่ไปเจอหมอดูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนเทวดาในหัวใจแม่ แต่เป็นซาตานที่มาจากนรกสำหรับน้องเดียร์ ขั้นตอนการดูดวงกับหมอคนนี้คือการเอาดวงของพ่อน้องเดียร์, น้องเดียร์, และน้องชายไปดู หมอดูบอกว่าพ่อของน้องเดียร์อยู่ด้วยกันกับแม่ก็มีแต่จะเลิกกัน มีแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต ดวงของพ่อน้องเดียร์เป็นด้วยตายโหง แม่ต้องอยู่เป็นหม้าย ดีแล้วที่เลิกกันไป ส่วนดวงของน้องเดียร์นั้น หมอดูบอกว่าเมื่ออดีตชาติน้องเดียร์เคยเกิดเป็นผู้ชาย เป็นโจรมาปล้นบ้านของแม่ และก็ฆ่าสามีในอดีตชาติของแม่ตาย พอมาชาตินี้น้องเดียร์ต้องมาเกิดเป็นลูกเพื่อมาชดใช้กรรมในอดีตที่ทำไว้ ส่วนลูกชายย้อนกลับไปในอดีตชาติเคยเป็นคู่รักของแม่ และก็เป็นคนที่อยู่ในตระกูลสูงส่งมีหน้ามีตา เป็นคนที่ฉุดแม่ขึ้นมาให้มีชื่อเสียง ให้กลับมามีหน้ามีตาในสังคมอีกครั้ง และยังบอกอีกว่าว่าในยุคปัจจุบันนี้ให้เลี้ยงลูกชายให้ดี ต้องตอบแทนบุญคุณเขาแล้ววันหนึ่งเมื่อลูกชายโตขึ้นเขาจะร่ำรวย

          หลังจากนั้นน้องเดียร์ก็บอกคุณบุ๋มว่า “พี่บุ๋มจำได้มั้ย ที่เดียร์เคยโทรมาปรึกษาพี่บุ๋มว่าสิ่งที่มันเกิดคืออะไร” คุณบุ๋มก็ได้เตือนน้องเดียร์ไปว่า “ถ้าสมมติว่าวันนึงน้องเดียร์มีชีวิตที่ดีแล้ว อย่าอาฆาตแม่ ให้อโหสิกรรมกับแม่ อย่าไปตามจองเวรจองกรรมซึ่งกันและกันอีก” น้องเดียร์ก็ถามคุณบุ๋มอีกว่า “พี่บุ๋มเห็นอะไรในตัวหนูมั้ย?” คุณบุ๋มตอบมาว่า “เห็นเด็ก” น้องเดียร์จึงบอกว่า “เดี๋ยวจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง”

          เรื่องนี้เกิดเมื่อตอนที่น้องเดียร์อายุ 15 ปี แม่ไปดูหมอดูคนเดิม หมอดูก็ย้ำเรื่องเดิมที่น้องเดียร์เป็นลูกที่เคยมาปล้นบ้านและฆ่าสามีแม่ในอดีตชาติ พอแม่รู้เรื่องนี้ น้องเดียร์ก็โดนด่าหนักว่าเดิม กลับกันพอเป็นน้องชาย แม่กลับโอ๋น้องตลอดเวลา จนเข้าอายุ 16 ปี น้องเดียร์เริ่มโตเป็นสาว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พ่อเลี้ยงเริ่มมองน้องเดียร์ด้วยสายตาที่คุกคาม เวลาแม่ไม่อยู่ จะชอบเรียกมาจับมือ มาโอบ มาลวนลาม น้องเดียร์ทนไม่ได้ จึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับแม่ แต่แม่ตอบกลับมาว่า “มึงสมควรโดนแบบนี้แล้วแหละ” น้องเดียร์จุกในอกไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องก้มหน้ารับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วแม่น้องเดียร์กลับร้อนใจที่คู่ชีวิตในปัจจุบันลวนลามลูก จึงไปหาหมอดูและถามว่า “ถ้าสามีฉันไปมีอะไรกับลูก จะติดใจลูกมั้ย?” หมอดูตอบกลับมาว่า “พ่อมันทำถูกต้องแล้ว” และอธิบายต่อว่า มันต้องทำแบบนี้เพื่อตัดกรรมเก่าที่น้องเดียร์เคยกระทำในชาติที่แล้ว ถ้าทำแบบนี้ชีวิตแม่จะดีขึ้นจะมีเงินทองเข้ามา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายไป  นอกจากนี้หมอดูยังย้ำว่าให้หาคนที่ดวงแข็งกว่าพ่อและน้องเดียร์มากระทำชำเราน้องเดียร์เพิ่มอีก ซึ่งหมอดูก็เสนอตัวเอง

          แม่ถามหมอดูต่อว่า “ถ้าผัวฉันได้กับเดียร์แล้ว จะติดใจเดียร์มั้ย?” เพราะแม่ก็กลัวว่าผัวตัวเองจะติดใจลูกและทิ้งตัวเอง  หมอดูบอกว่า “ไม่ต้องกลัวให้ทำตามนี้ พอทำเสร็จแล้วให้มาหาเดี๋ยวจะทำเสน่ห์ให้ ขอแค่พาน้องเดียร์มาหา” หลังจากที่แม่กลับบ้านก็ไปเรียกเดียร์มาคุย เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหมอดูพูดอะไรบ้าง แล้วกำชับว่า “มึงจะต้องทำตามที่หมอดูบอก” ด้วยความที่น้องเดียร์ยังเป็นเด็กก็กราบขอร้องอ้อนวอนแม่ แต่แม่กลับบอกว่า “ยังไงมึงก็ต้องทำ”

          กาลเวลาผ่านไป น้องเดียร์ก็คิดว่าเรื่องนี้คงจะจบไปแล้ว พ่อกับแม่คงลืม จึงลดความระวังตัวลง แต่ก่อนที่พายุจะมา ทะเลมันจะสงบ น้องเดียร์บอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง เธอป่วยเป็นไข้ นอนซมอยู่บ้านไม่มีแรง วันนั้นพ่อเลี้ยงเข้ามาข่มขืนน้องเดียร์ และที่สำคัญคือแม่แท้ ๆ ของตัวเอง ยืนดูพ่อเลี้ยงข่มขืนลูกตัวเองอยู่ด้วย น้องเดียร์พยายามที่จะสู้ พยายามที่จะขัดขืน แต่ก็ไม่มีแรงเพราะป่วย ประกอบกับด้วยเป็นแรงผู้ชาย พ่อเลี้ยงจึงกระทำจนสำเร็จ จากนั้นแม่ก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “กูบอกมึงดี ๆ แล้ว มึงไม่ยอมทำ เพราะฉะนั้นมึงต้องโดนแบบนี้” และทั้งสองคนก็เดินออกไปนั่งกินเหล้าคุยกันอย่างมีความสุข ปล่อยให้น้องเดียร์นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว..

       ในตอนนั้นเอง น้องเดียร์รู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างแต่ก็ต้องกัดฟันสู้ คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นแม่จะต้องพาไปหาหมอดูเป็นแน่ จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปหายาย ซึ่งบ้านยายที่ย้ายไปก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านน้องเดียร์ พอไปถึงน้องเดียร์ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ยายฟัง ยายร้องไห้และขอโทษน้องเดียร์ที่ไม่สามารถช่วยน้องเดียร์ได้ แต่ถ้าน้องเดียร์มาอยู่บ้านยายยังไงแม่ก็ต้องมาตามอยู่ดี ยายจึงส่งน้องเดียร์ไปอยู่กับน้องสาวยายที่ใต้ ยายบอกว่ายายส่งน้องเดียร์ไปที่ใต้ได้ แต่ยายไม่มีเงินส่งเรียนได้

       เมื่อไปถึง น้องสาวยายเอ็นดูน้องเดียร์จึงส่งเสียให้ได้เรียน น้องเดียร์บอกว่าตอนที่ไปอยู่ที่นั่น เหมือนได้รับรู้คำว่า ความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว และการมีสังคม มันเป็นอย่างไร หลังจากอยู่ใต้ประมาณ 4 เดือน น้องเดียร์ก็ได้รับรู้ว่าตัวเองท้อง จึงเล่าให้น้องคุณยายฟังว่าถูกพ่อเลี้ยงทำอะไร และบอกว่าอยากเอาเด็กออก เพราะยังไม่พร้อมและอยากมีอนาคตที่ดี คุณยายจึงพาน้องเดียร์ไปหาหมอ พร้อมบอกถึงสาเหตุของการตั้งครรภ์ พอหมอรู้สาเหตุว่าโดนข่มขืน หมอจึงตรวจโรคเพิ่มเติม ผลออกมาว่าน้องเดียร์ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรง และมีผลกับเด็กในท้องจึงยุติการตั้งครรภ์ในที่สุด

          หลังจากนั้น น้องเดียร์ก็มีแฟน ซึ่งเป็นแฟนคนแรกในชีวิต น้องเดียร์รักผู้ชายคนนี้มาก แต่ก็รู้สึกว่าอยากบอกเรื่องราวในชีวิตทั้งหมดให้เขาได้รู้ จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไป พอผู้ชายคนนี้ฟังจบก็รู้สึกโมโหเป็นเดือดเป็นร้อนแทนน้องเดียร์ แล้วถามน้องเดียร์ว่า “อยากแก้แค้นมั้ย?” น้องเดียร์จึงตอบว่า “อยาก”

          หลังจากนั้นสองอาทิตย์ แฟนน้องเดียร์ก็พาไปสถานที่หนึ่ง มีหลายคนมานั่งรอเพื่อพบอาจารย์ท่านนี้ บางคนก็มาทำเสน่ห์ บางคนก็มาสัก พอถึงคิวน้องเดียร์ น้องเดียร์รู้สึกว่าเหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นอย่างไร จากนั้น อาจารย์ก็หันมาถามว่า “มึงแน่ใจแล้วนะ ที่มึงจะทำแบบนี้ อีนั่นก็แม่มึงนะ แต่ส่วนพ่อเลี้ยงมึงกูไม่สนใจอยู่แล้ว” เดียร์ตอบไปว่า “หนูมั่นใจแล้ว หนูคิดมาดีแล้ว” จากนั้น อาจารย์ก็ทำของใส่ให้ โดยวิธีการทำของก็คือ อาจารย์ขอวันเดือนปีเกิด ปีนักษัตรของแม่และพ่อเลี้ยงไป เดียร์จำของแม่ได้แต่จำของพ่อเลี้ยงไม่ได้ แต่หมอดูก็บอกว่า “ไม่เป็นไรเอาเท่านี้พอ เดี๋ยวจะส่งผีที่เลี้ยงไว้ไปจัดการ” วิธีการก็คือให้เขียนชื่อ แล้วเอาชื่อไปฝังอยู่ที่ทางสามแพร่ง เอาไปอยู่ใต้พระอกแตก แล้วก็เอาไปทิ้งในท่อน้ำทิ้ง  น้องเดียร์ขอไม่บอกขั้นตอนในการทำให้ชัดเจน รวมถึงว่าต้องจ่ายด้วยอะไร..

          สิ่งที่เกิดขึ้นสามเดือนต่อจากนั้นคือ น้องเดียร์ได้รู้ข่าวจากยายว่าพ่อเลี้ยงโดนแทงในบ่อน ส่วนแม่น่าจะเครียดเรื่องพ่อ สติไม่ดีและหวาดกลัวตลอดเวลา ที่สำคัญคือแม่เดินแก้ผ้าเอามือล้วงอวัยวะเพศแล้วเอามาเลียเหมือนคนวิกลจริต ยายคิดว่าเป็นผลกรรมที่พ่อเลี้ยงและแม่ทำกับน้องเดียร์ แต่ถึงอย่างนั้น น้องเดียร์บอกว่า ถึงจะได้แก้แค้นสำเร็จ แต่ลึก ๆ แล้ว ผลกรรมที่ทำกับแม่ตัวเองจะตามมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เดียร์ก็พร้อมที่จะรับกรรมนั้น

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายเข้าหอใหม่ แต่มีห้องว่างอยู่ห้องเดียวคือห้องตัวอย่าง ตั้งแต่เข้าไปพักก็เจอเรื่องแปลก ๆ มากมาย ทั้งตัวโดนผ้ามัดแน่น ทั้งโดนแก้ผ้าและตื่นมาก็ปากฉีกอีก! แถมเจอผีเยาะเย้ยว่าสวดมนต์ไปก็ทำอะไรไม่ได้!

16 พ.ย. 2023

ย้ายเข้าหอใหม่ แต่มีห้องว่างอยู่ห้องเดียวคือห้องตัวอย่าง ตั้งแต่เข้าไปพักก็เจอเรื่องแปลก ๆ มากมาย ทั้งตัวโดนผ้ามัดแน่น ทั้งโดนแก้ผ้าและตื่นมาก็ปากฉีกอีก! แถมเจอผีเยาะเย้ยว่าสวดมนต์ไปก็ทำอะไรไม่ได้!

เมื่อต้องย้ายเข้าหอใหม่ แต่ชั้นที่จะไปอยู่ดันไม่มีห้องว่าง มีแค่ห้องตัวอย่างที่อยู่ใกล้กับลิฟต์ ทำให้ต้องเจอเรื่องแปลกประหลาดชวนขนหัวลุก! เรื่องหลอนจาก ‘คุณต้น “Wolftone’ ที่มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) พร้อมเจอกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องนี้จะประหลาดอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในสมัยที่คุณต้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย่านนครปฐม เป็นช่วงระหว่างปี 1 ขึ้นปี 2 ช่วงนั้นเขาย้ายหอพักจากหอพักเก่าไปหอพักหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันอยู่ที่นั่นชื่อ ‘คุณเบนซ์’ เขาจึงชวนคุณต้นย้ายเข้าไป คุณเบนซ์พักอยู่ที่ชั้น 2 ในวันที่ไปเลือกห้อง คุณต้นจึงไม่ได้ไปดูชั้นอื่นเลยนอกจากชั้น 2 เพราะว่าต้องการที่จะอยู่ใกล้ ๆ กัน ไปเรียนจะได้สะดวก แต่ชั้น 2 ไม่มีห้องไหนว่าง ยกเว้นห้องตัวอย่าง เลขที่ 207 ลักษณะของห้องนี้คือ เมื่อออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะถึงเลย เรียกได้ว่าอยู่เยื้องกับลิฟต์ หากเปิดประตูเข้าไปก็เหมือนห้องทั่วไป ทางซ้ายมีห้องน้ำ มีเตียง ถัดไปเป็นโซฟาและตู้ คุณต้นจึงตัดสินใจเลือกห้องนั้น เขาใช้ชีวิตอยู่ในห้องนั้นประมาณ 1 - 2 เดือน จนคุณต้นเริ่มสนิทกับคนในหอ สนิทกับ รปภ. คุณป้าแม่บ้าน และคุณป้าพนักงาน ซึ่งพวกเขาก็มักจะนั่งสังสรรค์อยู่ใต้หอพักก่อนจะขึ้นนอนเป็นประจำ ส่วนคุณต้นก็จะนั่งอยู่กับคุณลุงรปภ. เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งพวกเขานั่งสังสรรค์กันตามปกติ แต่มีเพื่อนของคุณต้น ชื่อ ‘คุณคิน’ เข้ามานั่งร่วมวงด้วย พวกเขาก็นั่งกินกันไปเรื่อย ๆ จนถึงตี 1 - 2 ก็เริ่มเมา จากนั้นจึงขึ้นไปนอน คุณคินก็ไม่ได้กลับไปที่หอพักตัวเองเพราะหอพักเขาอยู่ไกล คุณต้นจึงพาคุณคินขึ้นมานอนที่ห้องของตัวเอง โดยคุณคินนอนบนเตียง ส่วนคุณต้นนอนอยู่ที่โซฟา ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไป เช้าวันต่อมา คุณต้นตื่นเพราะเสียงของเพื่อนที่พูดว่า “ต้น มึงทำอะไรอยู่เนี่ย มึงแกล้งมึงเล่นอะไรอยู่เนี่ย” ด้วยความสะลึมสะลือ เขาจึงตื่นขึ้นไปดู สิ่งที่เขาเห็นคือ คุณคินโดนห่อด้วยผ้าห่มแน่น ๆ เหมือนกับนุ่งผ้าออกมาจากห้องน้ำ เหมือนกับข้าวต้มมัดที่แน่น ๆ ซึ่งผิดธรรมชาติจากการห่มผ้าทั่วไป แล้วที่แปลกกว่านั้นคือ คุณคินไม่ได้สวมเสื้อผ้า แต่เสื้อผ้าทั้งหมดไปกองอยู่หน้าห้องน้ำ และชุ่มไปด้วยน้ำ! คุณคินตกใจมากจึงหันมาถามคุณต้นว่า “แกล้งอะไร” คุณต้นยังมึนงง เพราะตนไม่ได้ทำอะไร จำได้ว่าต่างคนต่างนอน พอตื่นมาก็เจอสภาพแบบนี้แล้ว แต่หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ทุกคนก็ขำขันคิดเพียงว่าเป็นเรื่องโจ๊กเล่าสนุกเท่านั้น หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณคินก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนอีกกลุ่มที่บ้านพักของเพื่อน คราวนี้ก็คล้าย ๆ กัน คือนั่งดื่มกันไปเรื่อย ๆ แต่ครั้งนี้ คุณคินขึ้นไปนอนที่ห้องของเพื่อน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องพักคุณต้น หลังจากภาพตัดหลับไป เหตุการณ์แปลก ๆ ตอนเช้า ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักกว่าครั้งแรก เพราะคุณคินตื่นมาพร้อมกับเสื้อที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เมื่อจับที่ปากก็รู้สึกเจ็บมาก เขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อดูตัวเองในกระจก ก็เห็นว่าตัวเอง ปากแตก ปากข้างล่างฉีกประมาณ 4 เซนติเมตร มีเลือดอาบเต็มเสื้อ ฟันแตกผ่าครึ่งแล้วฝังไปในริมฝีปากล่าง และที่แปลกไปกว่านั้นคือ เขามีสำลีอยู่รอบตัว ทีแรกคิดว่าอาจจะล้มแล้วเพื่อนมาช่วยทำแผล จึงถามเพื่อน ๆ ที่นอนด้วยกัน สรุปว่าไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพิ่งมารู้ตอนเช้าพร้อมกันนี่เอง ทุกคนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นคุณต้นก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่แล้วเหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่เกิดขึ้นกับคุณคินอีก ไปเกิดกับคุณต้นแทน.. ผ่านเหตุการณ์นั้นไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ วันหนึ่งหลังจากกลับจากเรียนคุณต้นก็มานอนพักที่ห้องตามปกติ ไม่ได้ดื่มหรือมีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตอนเช้าอีกครั้ง คุณต้นโดนห่อเป็นข้าวต้มมัด โดนรัดแน่นมากและโดนแก้ผ้าด้วย ส่วนเสื้อผ้าไปกองอยู่หน้าห้องน้ำ และชุ่มไปด้วยน้ำเหมือนครั้งก่อน! แล้วหลังจากนั้น คุณต้นก็เจอเหตุการ์ณแบบนี้อีก 3 – 4 ครั้ง กระทั่งคืนก่อนจะถึงครั้งสุดท้ายที่คุณต้นทนไม่ไหว คืนนั้นเขาก็นอนปกติ เขารู้สึกว่าเขาโดนกดที่หน้าอกแรงมาก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนมีอาการผีอำ เมื่อเขาพยายามลืมตา ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่กำลังกดเขาอยู่คือผู้หญิง! เขาพยายามลืมตาและสวดมนต์ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “มึงไม่ได้ผลหรอก มึงทำไปเลย มันไม่ได้ผล สวดไปเลย มีพระหรอ” ราวกับกำลังเยาะเย้ยคุณต้น ผ่านไปไม่นาน คุณต้นก็ลุกขึ้นมาได้ จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์โทรหาคุณเบนซ์บอกว่า “กูโดนแล้ว กูเริ่มไม่ไหวแล้ว มันมากเกินไปแล้วนี่มันครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5 แล้วไม่ไหวแล้ว” แต่คุณต้นก็ตอบกลับไปว่า “โอเค ไม่เป็นไร งั้นอยู่ไปก่อน ดูกันไปก่อน” จนมาถึงเหตุการณ์สุดท้าย เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณต้นตัดสินใจย้ายออกจากห้องนั้นไปห้องอื่นเลยคือ…! วันนั้นคุณต้นนั่งดื่มกับเพื่อนตามปกติ แต่ครั้งนี้เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 5 ทุ่ม อยู่ ๆ คุณต้นก็เดินขึ้นไปบนห้องแบบไม่บอกใคร หายไปจากวงสังสรรค์นั้นแล้วก็ขึ้นไปนอน ซึ่งคุณต้นรู้ตัวแค่ว่าตอนนั้นเหมือนมีบางอย่างบอกเขาว่าต้องขึ้นไปข้างบนและไปนอนได้แล้ว ความจำสุดท้ายของคุณต้นคือ เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วก็วาร์ปหลับไป ตื่นเช้ามาอีกที ก็ได้ยินเสียงคุณเบนซ์เรียก “ต้น มึงโดนอีกแล้วว่ะ มึงย้ายห้องเหอะ กูสงสารมึง” ทันทีที่คุณเบนซ์เห็นหน้าคุณต้นก็อึ้งไปสักพักเพราะว่าเสื้อผ้าของคุณต้นนั้นชุ่มไปด้วยเลือด ปากของคุณต้นนั้นฉีกไปประมาณ 3 เซนติเมตร นั่นทำให้คุณต้นไม่อยากทนอีกต่อไป จึงไปถามกับรปภ. และคุณป้าพนักงานว่า ชั้น 2 มีเหตุการณ์อะไรมาก่อนหรือไม่ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปริปากบอกจนคุณต้นต้องพยายามเค้นถาม จึงได้คำตอบมาว่า บริเวณลิฟท์ชั้น 2 จะมีผู้หญิงคนหนึ่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น ป้าแม่บ้านเห็นประจำ และมักจะเห็นเดินไปเดินมาบริเวณห้อง 207 ที่คุณต้นอยู่ รปภ.และแม่บ้านบอกมาแค่นั้น คุณต้นก็สืบไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร จนกระทั่งเหตุการณ์สุดท้าย หลังจากที่คุณต้นย้ายห้องไปแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นการการันตีว่าสิ่งที่คุณต้นเห็นและทำทั้งหมดเป็นคนคนเดียวกัน นั่นคือเมื่อคุณต้นย้ายห้องไป ในคืนหนึ่งก็ฝันว่า กำลังจะไปเรียน พอเปิดประตูแล้วหันไปทางซ้าย ซึ่งเป็นห้อง 207 ที่เคยอยู่ เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวสีเหลือง ผมประบ่า แต่ไม่เห็นหน้า แล้วร่างนั้นก็ถอยหลังค่อย ๆ หายไปในเงา แล้วคุณต้นก็สะดุ้งตื่น! นั่นทำให้คุณต้นได้รู้ว่าคือคนเดียวกันกับที่เคยกดคุณต้น แต่ว่าก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าสิ่งที่เจอมันคืออะไร แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

07 ก.ค. 2023

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 มิถุนายน 2566) ที่ผ่านมา มีสายจาก ‘คุณเนฟ’ พยาบาลสาวที่ตอนเด็กเคยประสบพบเจอเหตุการณ์หลอนจึงนำมาเล่าให้ชาวอังคารคลุมโปงฟัง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เพลงผีบอก’ ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟ แล้วเปิดเพลง ‘ล่องเรือหารัก’ คลอไป อ่านไป ได้ฟีลกว่าเดิมแน่! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณเนฟยังเด็กและรับงานเป็นนักร้องที่รับจ้างไปร้องตามงานต่าง ๆ เช่น งานบวช งานวัด งานขึ้นบ้านใหม่ งานสังสรรค์ ก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างจะจ้างให้ไปร้องที่ไหน เรียกได้ว่าเดินสายร้องเพลงตั้งแต่เด็ก โดยมีคุณแม่ช่วยสนับสนุน และเป็นผู้จัดการคิวงานให้ ครั้งหนึ่ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มีสายจากผู้ว่าจ้างติดต่อมา ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายมีอายุ บอกว่าอยากให้คุณเนฟไปร้องเพลงในงานวัด ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่อีกตำบลหนึ่ง เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เป็นวัดที่คุณแม่เคยไปทำบุญกับเพื่อนมาก่อน และเป็นวัดที่ค่อนเข้าเดินทางเข้าไปลึกอยู่พอสมควร เส้นทางคดเคี้ยว เป็นวัดที่อยู่ติดเขา แต่ก็เป็นวัดที่สวย นาน ๆ จะจัดงานวัด คุณแม่จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี หากคุณเนฟได้ไปร้องเพลงที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ คุณลุงปลายสายก็รีเควสเพลงทั้งหมด 3 เพลง ได้แก่ สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก และยังบอกอีกว่า ถ้าในงานมีเพลงที่อยากให้ร้องเพิ่ม จะบอกอีกครั้ง จากนั้นก็นัดเวลากันว่า คุณเนฟจะต้องถึงที่งานเวลา 1 ทุ่ม และขึ้นร้องเพลงในเวลา 2 ทุ่ม โดยตกลงค่าจ้างไว้ที่ 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากกว่าเรตที่คุณเนฟเคยได้ เมื่อจัดการนัดแนะรายละเอียดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนถึงวันที่จะต้องไปร้องเพลง ปรากฏว่าคุณแม่ดันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงฝากให้คุณน้าที่เป็นเพื่อนกัน ชื่อว่า ‘น้าเปิ้ล’ มีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ มีแฟนชื่อ ‘พี่น้อง’ ในตอนแรกทั้งสองก็เพราะไม่เคยไปที่วัดแห่งนี้ แต่คุณแม่ก็บอกว่าจะมีค่าตอบแทนให้ พร้อมกับเขียนแผนที่ไว้ให้ละเอียด ทั้งน้าเปิ้ลและพี่น้องจึงตกลงช่วยพาไป โดยที่ไม่รับค่าจ้าง เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ วันที่จะต้องไปร้องเพลงนั้นเป็นวันเสาร์ น้าเปิ้ลและพี่น้องมารับคุณเนฟเวลา 5 โมงครึ่ง โดยใช้รถจักรยานยนต์ขับไป น้าเปิ้ลเป็นคนขับ คุณเนฟนั่งตรงกลาง และพี่น้องนั่งซ้อนท้าย เวลาผ่านไปประมาณ 30-40 นาที ก็ถึงตำบลนั้น จากนั้นก็ต้องขับเข้าไปในซอยเพื่อไปที่วัด เป็นซอยที่ไม่ค่อยมีบ้านคน ไฟระหว่างทางก็น้อยลง ติดบ้าง ดับบ้าง ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ เมื่อถึงสุดทางของซอยนั้นก็จะมีสามแยก ซึ่งต้องเลี้ยวขวา คุณเนฟบอกว่าหลังจากเลี้ยวขวามาแล้ว คุณเนฟรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ข้างทางไม่มีแสงไฟแล้วและเต็มไปด้วยความมืด คุณเนฟคิดว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาใกล้ 1 ทุ่มแล้ว ข้างทางเป็นสวนมันสำปะหลังเรียงเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ อากาศยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนเสื้อที่คุณแม่เตรียมมาให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ พี่น้องจึงกอดคุณเนฟไว้ไม่ให้หนาว เมื่อขับไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ถึงปลายทางเสียที สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือผ่านทางสามแพร่งเยอะมาก ซึ่งมันก็ตรงกับแผนที่ที่คุณแม่เขียนไว้ให้ นั่นแสดงว่าทั้งสามคนไม่ได้หลงทางอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงวัดเลย ไม่เจอแม้กระทั่งบ้านสักหลัง คุณเนฟไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่รู้สึกว่าเมื่อย ปวดขา และชาก้นไปหมด จึงขอให้น้าเปิ้ลจอดพัก แต่น้าเปิ้ลก็บอกว่าจอดไม่ได้ เพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้จอดพักเลย ข้างทางก็เปลี่ยว กลัวว่าจะมีโจรหรือสัตว์อันตราย น้าเปิ้ลบอกว่า “อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็เจอวัดแล้ว” คุณเนฟซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้าชัดเจน จึงชะโงกหน้าออกมาข้าง ๆ เพื่อที่จะมองไปข้างหน้า จังหวะนั้นทำให้คุณเนฟเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว หัวโล้น เดินก้มหน้าหลังค่อม แขนขวาเหมือนกับลากเสียมหรือจอบมาด้วย คุณเนฟที่ตอนนั้นยังเด็กเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไร และดีใจมากที่เจอคนสักที จึงพูดขึ้นมา “น้า! น้าถามคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน” แต่น้าเปิ้ลกลับขับรถเร็วขึ้น พี่น้องก็ยิ่งกอดคุณเนฟแน่นขึ้น คุณเนฟจึงชี้ไปที่ผู้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้นมาอีกรอบว่า “เนี่ย ๆ ถามคุณลุงคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน น้าจอดดด” แต่น้าเปิ้ลก็ไม่หยุดรถแต่อย่างใด ส่วนพี่น้องก็เอามือมาปิดหน้าคุณเนฟไว้ไม่ให้มองเห็น จากนั้นก็พูดว่า “เนฟ หนูอย่าทักนะลูก น้าไม่เห็นใคร น้ากลัว” คุณเนฟก็งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดแค่ว่าเป็นคน ไม่ได้นึกถึงสิ่งลี้ลับอะไร จึงพูดขึ้นว่า “น้า หนูเห็นคนจริง ๆ น้าจะไม่เห็นได้ยังไง เขาใส่เสื้อสีขาว” แต่น้าเปิ้ลก็พูดขึ้นว่า “เนฟ ไม่เอา อย่าทักนะลูก มืด ๆ แบบนี้ น้าไม่เห็นใคร” เมื่อเห็นว่าน้าพูดย้ำ ๆ แบบนั้น คุณเนฟจึงไม่พูดอะไรต่อ เวลาผ่านไปประมาณ 10-15 นาที คุณเนฟที่นั่งรถจนเมื่อยก็ทนไม่ไหว จึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า กลับบ้านมั้ย? หนูเหนื่อยแล้ว” น้าเปิ้ลจึงชะลอรถเพื่อโทรหาแม่ แล้วบอกว่าหาวัดไม่เจอ คุณแม่จึงตะโกนออกมาว่า “แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งนาน ตอนนี้มันสามทุ่มแล้ว!” น้าเปิ้ลก็บอกว่า “รู้สึกเหมือนผ่านมาไม่นานเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้โทรบอก” ซึ่งทั้งสามคนก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนกับผ่านไปไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ คุณแม่จึงบอกว่า จะโทรกลับไปหาคุณลุงคนนั้น ให้เขามารับ ส่วนคุณเนฟและน้าทั้งสอง ก็จอดรถรออยู่ตรงนั้นไปก่อน ผ่านไปสักพัก คุณแม่ก็โทรกลับมา บอกว่าติดต่อคุณลุงคนนั้นไม่ได้ โทรไม่ติด ประมาณว่าไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก คุณแม่จึงบอกให้ทั้งสามคนกลับ น้าเปิ้ลและพี่น้องจึงคุยกันว่าจะกลับยังไง เมื่อได้ข้อสรุปก็พบว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถหาทางกลับ เมื่อขับไปสักพัก คุณเนฟก็ได้ยินเสียงผู้ชายมีอายุลอยมาตามลมว่า “ร้องเพลงสิ” คุณเนฟจึงบอกพี่น้องว่า “พี่คะ หนูได้ยินเสียงคนเขาบอกให้หนูร้องเพลง” พี่น้องได้ยินก็กอดแน่นขึ้น น้าเปิ้ลก็ยิ่งขับรถเร็วขึ้นไปอีก! สักพักเสียงตามลมก็แว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ร้องเพลงสิ” ในตอนนั้นคุณเนฟไม่ได้กลัว หรือคิดถึงสิ่งลี้ลับอะไร ด้วยความไร้เดียงสาจึงบอกไปว่า “น้า เขาบอกให้หนูร้องเพลง เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้เขาดีกว่า” น้าเปิ้ลจึงจอดรถข้างทาง “งั้นหนูร้องเพลง มีเพลงอะไรบ้างนะ ที่เขาขอมา” จากนั้นคุณเนฟก็ร้องเพลง 3 เพลงตามลิสต์ที่ผู้ว่าจ้างขอมา (ในรายการคุณเนฟร้องสด ๆ ให้ฟังด้วย) หลังจากที่ร้องเพลงจบ คุณเนฟที่เพลียมากจึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า หนูร้องจบแล้ว” น้าจึงยกมือไหว้มือท่วมหัวแล้วบอกว่า “ขอพาน้องกลับบ้านนะครับ น้ำมันก็จะหมดแล้ว” หลังจากนั้นอากาศที่เย็นมากก็เริ่มอุ่นขึ้นมา แล้วน้าเปิ้ลก็ออกรถอีกครั้ง ไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นแสงไฟ แล้วก็ออกจากทางสามแยกตรงนั้นได้ คุณเนฟที่เพลียมากก็ฟุบหลับไป คุณแม่บอกว่ากว่าจะถึงบ้าน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคุณเนฟไปทำบุญที่วัด คืนนั้นเอง คุณแม่ก็ฝันว่า มีคุณลุงใส่เสื้อสีขาว เป็นเหมือนเสื้อเชิ้ตสีขาวของคนแก่สมัยก่อน ใส่ผ้าโสร่งผูกข้างหน้าเก่า ๆ เดินหลังค่อม แขนขาลากเสียมขุดดิน หัวโล้น มองไม่เห็นหน้า พูดกับคุณแม่ว่า “ขอบใจนะ” แล้วก็ให้เลขคุณแม่มา สรุปว่าคุณแม่ก็ถูกหวยได้เงินมากกว่า 1,500 บาท หลังจากเล่าจบ ทั้งดีเจแนน ดีเจเจ็ม และชาวอังคารคลุมโปงต่างปรบมือให้กับจังหวะการเล่าเรื่องที่ดีมาก ๆ คุณเนฟ และชื่นชมเสียงร้องของคุณเนฟกันยกใหญ่ หากอยากฟังเสียงของคุณเนฟว่าจะเพราะสมคำร่ำลือหรือไม่ ก็ตามไปฟังแบบเต็ม ๆ ได้ที่(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

08 เม.ย. 2024

เจ้าที่หอใหม่ชอบ-เอ็นดูม้าม่วงสุดๆ เลยมาช่วยส่งเสริมจนมีชื่อเสียง

เรื่องนี้ ‘ม้าม่วง PowerpuffGAY’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการย้ายเข้ามาอยู่ที่หอใหม่ วิญญาณที่หอชอบและเอ็นดู จึงมาช่วยส่งเสริมจนทำให้เริ่มมีชื่อเสียง มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ และวิญญาณไปสื่อสารกับหมอดูว่าอยากให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน พอเดินไปหากลับเจอวิญญาณอีกตน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณม้าม่วงเกริ่นเรื่องว่า ตนนั้นเช่าคอนโดอยู่กับแฟน แต่จะเช่าห้องพักไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งเลิกกับแฟนก็จะได้ย้ายมาอยู่ ต่อมาก็เลิกกับแฟนจึงย้ายกลับมาอยู่หอที่เช่าไว้ แต่หอห้องนี้ห้องเล็กเกินไป จึงย้ายไปอยู่อีกหอหนึ่ง ส่วนตัวคุณม้าม่วงนั้นชื่นชอบการดูดวงอยู่แล้ว จึงได้ขอให้หมอดูช่วยดูห้องใหม่ให้ด้วย คุณม้าม่วงก็วิดิโอคอลหาหมอดู ให้หมอดูดูทีละห้อง จนไปหยุดที่ห้องหนึ่งอยู่ชั้น 2 หมอดูก็บอกว่าห้องนี้ดี คุณม้าม่วงก็ถูกใจเพราะอยู่แค่ชั้น 2 ไม่ต้องขึ้นลิฟต์ จากนั้นจึงทำสัญญาเช่าห้อง เสร็จก็ได้มีการย้ายเข้ามาอยู่ หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นชื่อเสียงก็ดังขึ้นมา เริ่มเป็นที่รู้จัก และได้เข้ามาในวงการบันเทิง คุณม้าม่วงอธิบายเพิ่มว่าหอพักมี 8 ชั้น คุณม้าม่วงอยู่ชั้น 2 จึงมักจะใช้วิธีการเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ซึ่งเป็นบันไดหนีไฟ เปิดไฟสลัวไม่สว่างมาก คุณม้าม่วงก็เดินขึ้นลงประจำ แต่คุณม้าม่วงก็จะมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง เวลาที่เดินผ่านหรือเวลาที่มีคนยืนแล้วเราเดินผ่านก็จะมีลมมาสัมผัสร่างกาย ต่อมาคุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จนกระทั่งหมอดูทักมา “พี่หนุ่ม... มีคนชอบพี่หนุ่มมากเลยนะ” (หนุ่ม คือชื่อเดิมของคุณม้าม่วง) คุณม้าม่วงก็ถามกลับไปว่า “ใคร?” หมอดูบอกว่า “เขาอยู่ในห้อง เขาชอบมาดูพี่หนุ่มเวลาไลฟ์สด” และหมอดูยังบอกอีกว่า เขาเป็นแม่นางไม้ที่อยู่ที่นี่ เขามาเพิ่มเสน่ห์ให้ เขาชอบจึงมาส่งเสริม เวลาที่คุณม้าม่วงแต่งหญิง เขายืนดูแล้วก็จะยิ้มมีความสุข คุณม้าม่วงก็ให้หมอดูเปิดกล้องแล้วก็หันกล้องไปรอบ ๆ ถามหมอดูว่า “แม่นางไม้อยู่ตรงไหน?” หมอดูบอกว่า “เขายืนอยู่ข้างโต๊ะที่คุณม้าม่วงไลฟ์สด” คุณม้าม่วงก็พูดลอย ๆ ว่า “ถ้าอยู่ก็อยู่ แต่ก็ส่งเสริมกันนะ” หมอดูบอกกับคุณม้าม่วงอีกว่า “เขาอยากได้เครื่องสำอาง เขาชอบเครื่องสำอาง” คุณม้าม่วงก็ถามว่า “ถ้าซื้อมาแล้วจะต้องเอาไปวางไว้ที่ไหน หรือจะต้องทำยังไงเขาถึงจะได้รับ” หมอดูบอกว่า “ซื้อมาแล้วบริจาคให้กับคนที่เขาไม่มี” บังเอิญวันเดียวกันนั้น คุณม้าม่วงก็ไลฟ์สดตามปกติ จากนั้นก็มีลูกเพจทักมาว่าไม่มีเครื่องสำอาง คุณม้าม่วงจึงทักไปขอที่อยู่แล้วก็ซื้อเครื่องสำอางชุดใหญ่ส่งไปให้ แต่เรื่องที่ส่งของให้น้อง คุณม้าม่วงก็ไม่ได้บอกกับหมอดู หลังจากนั้น หมอดูทักมาบอกว่า “แม่นางไม้ได้รับแล้วนะ” คุณม้าม่วงตกใจและพูดลอย ๆ ไปว่า “ส่งเสริมกันนะ ขอให้ลูกมีงานเข้ามาเยอะ ๆ” ซึ่งตอนนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ จริง วันดีคืนดีหมอดูก็ทักมาว่า “แม่นางไม้ขออีกเรื่องหนึ่งคือ อยากให้พี่หนุ่มรู้ว่าแม่นางไม้อยู่ที่ไหน” ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณม้าม่วงก็ตอบว่า “อยู่ตรงไหนเดี๋ยวไปหา” หมอดูก็หลับตาแล้วบอกกับคุณม้าม่วงว่า “ให้หันหน้าเข้าตึก แล้วหันไปทางขวา เดินตรงไป แล้วก็เลี้ยวซ้าย แม่นางไม้จะอยู่ตรงนั้น” คุณม้าม่วงก็หยิบกล้องเดินไปและขอให้หมอดูค้างสายไว้ ห้ามวาง ในขณะที่เดินลงบันได หมอดูก็บอกว่าแม่นางไม้เดินตามมา แล้วหมอดูที่ค้างสายอยู่ก็มีท่าทางตกใจแล้วพูดว่า “มีใครยืนอยู่ตรงบันได!” คุณม้าม่วงรู้ได้เลยว่าปกติที่เดินลงบันไดตอนดึก ๆ แล้วมักจะเดินสวนคนนี้ประจำก็คือผีแน่นอน คุณม้าม่วงจึงเดินลงไปและคอยถามหมอดูตลอดว่า “แม่นางไม้ยังเดินตามมาอยู่ไหม” หมอดูก็ตอบว่า “ยังเดินตามมาอยู่” พอถึงหน้าตึกก็จะมีศาลตายาย หมอดูบอกว่า “ตายายก็เอ็นดูพี่หนุ่ม” คุณม้าม่วงก็เดินไปตามทางที่หมอดูบอก แล้วก็ไปหยุดที่จุดหนึ่ง คุณม้าม่วงนั่งลงใช้มือควานหาบริเวณนั้น สักพักมือก็ไปชนกับตอไม้ที่ถูกตัดแล้ว คุณม้าม่วงตกใจสะดุ้งตัวออกมา หมอดูก็บอกว่า “แม่นางไม้ดีใจที่พี่หนุ่มรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน” พอรู้แบบนั้นคุณม้าม่วงก็กลับห้อง แต่ครั้งนี้ใช่ลิฟต์เพราะยังตกใจ ต่อมา คุณม้าม่วงก็ได้มีการย้ายหอเพราะห้องที่อยู่เริ่มเก็บของไม่พอ ก่อนย้ายคุณม้าม่วงก็ได้มีการไปไหว้ลากับศาลตายายและนำพวงมาลัยไปวางไว้ที่ตอไม้เพื่อบอกลากับแม่นางไม้ด้วย หลังจากนั้นคุณม้าม่วงก็ได้ย้ายไปอยู่หอใหม่ หมอดูก็โทรมาอีกว่า “ทำไมไม่เรียกแม่นางไม้มาด้วย เขาอยากมาหา” คุณม้าม่วงก็กลับไปหอเดิมแล้วก็บอกกับแม่นางไม้ว่าให้มาอยู่ด้วยกันได้ ถ้าไม่มีที่ไป แล้วก็เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ คุณม้าม่วงได้มีการสั่งของพรีออเดอร์ พอขนส่งมาส่งก็โทรหาคุณม้าม่วง โทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย ขนส่งจึงโทรไปหาเจ้าของร้านให้โทรหาคุณม้าม่วงให้ พอโทรไปอีกครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงรับสายแล้วบอกว่า “เอาวางไว้ข้างล่างแหละคะ” ปัจจุบันคุณม้าม่วงก็ได้มีการซื้อบ้านและก็ได้มีการชวนแม่นางไม้มาอยู่ด้วยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้หมอดูโทรมาบอกกับคุณม้าม่วงว่า “แม่นางไม้เข้าหมู่บ้านไม่ได้ เพราะเจ้าที่ที่นี่ดุมาก ไม่ให้แม่นางไม้เข้ามา” หมอดูให้คุณม้าม่วงไปขอเจ้าที่ของหมู่บ้านเพื่อเปิดทางให้แม้นางไม้ คุณม้าม่วงก็ทำตามที่หมอดูบอก และเมื่อเดือนที่แล้วคุณม้าม่วงก็ได้มีการถามกับหมอดูว่า “แม่นางไม้ยังอยู่หรือเปล่า” หมอดูตอบว่า “ไม่ได้อยู่แล้ว กลับไปอยู่ที่หอเดิมเพราะบ้านใหม่ก็มีเจ้าที่อยู่แล้ว” และทุกครั้งที่คุณม้าม่วงไปทำบุญก็จะไม่ลืมแผ่ส่วนกุศลให้แม่นางไม้ด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

28 ก.ค. 2023

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 กรกฎาคม 2566) ได้เล่าเรื่องหลอนที่เคยเจอกับตัว ระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์รอบดึก ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘โรงหมายเลข 6’ ใครที่มีแพลนจะไปดูหนังรอบดึก นับจำนวนคนให้ดี ๆ นะ! เรื่องหลอนนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณชิ’ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เข้าทำงานเป็นกะ ทั้งกลางวันและกลางคืนหมุนเวียนสลับกันไป คุณชิเองเป็นคนที่ชื่นชอบการดูหนังรอบ Midnight อยู่แล้ว เมื่อถึงวันที่ต้องเข้ากะดึก จึงไปเช็คก่อนว่ามีลูกค้าเข้าไปใช้บริการในโรงหนังรอบนั้นกี่คน ปรากฏว่ามีลูกค้าเพียง 5 คนเท่านั้น เมื่อถึงเวลา คุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังในโรงหมายเลข 6 พร้อมกับลูกค้าทั้ง 5 คนนั้น.. โรงหมายเลข 6 นี้เป็นโรงที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แถวที่คุณชิเข้าไปนั่ง คือแถว AA (ด้านบนสุด) ทำให้สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งโรง คุณชิจึงคอยสอดส่องว่าลูกค้าเข้ามาครบหรือยัง เพราะที่นั่งที่คุณชินั่ง อาจจะไปตรงกับลูกค้าก็เป็นได้ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาครบ คุณชิก็สบายใจเพราะไม่ได้นั่งทับที่ใคร จากนั้นหนังก็เริ่มฉายไปตามปกติ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็กวาดสายตาไปมองบรรดาลูกค้าอีกครั้ง แต่เมื่อลองนับจำนวนดูกลับพบว่ามีทั้งหมด 6 คน! คุณชิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตัวเองนั่งอยู่ในจุดที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของทุกอย่างในโรงได้ ไม่ยักกะเห็นคนเดินเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว คุณชิคิดว่าอาจจะเบลอนับพลาดไป จึงนับใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็น 6 คนอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจมาก คุณชิจึงไม่คิดอะไรต่อ แล้วกลับไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เช่นเดิม เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง หันหน้ามองซ้ายขวาไปรอบ ๆ โรงโดยที่ตัวไม่ได้หันตามไปด้วย จากนั้นก็หันกลับไปดูหนังตามปกติ พอมีจังหวะที่หนังตบมุกตลก ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะ “หึ ๆ” เสียงต่ำในลำคอ ทั้ง ๆ ที่คนในโรงต่างเงียบกัน คุณชิคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้หัวเราะแปลก ๆ สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็หันคอกลับมามองที่คุณชิ! แล้วก็จ้องหน้าคุณชิอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 วินาทีได้ จากนั้นก็หันกลับไปช้า ๆ ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ก็หันกลับมามองที่คุณชิอีกรอบ! แต่รอบนี้ตาของผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสีแดงไปแล้ว! คุณชิตกใจและสงสัยว่าเขาจะมองหน้าตัวเองไปทำไม ในตอนนั้นคุณชิยังคงคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนดวงตาที่เป็นสีแดง อาจเป็นเพราะแสงจากการฉายหนังก็เป็นได้ หลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็หันกลับไปเหมือนเดิม กระทั่งหนังฉายจบ คุณชิก็รีบเดินออกไปรอหน้าโรงหนัง เพื่อที่จะดูว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกมาหรือไม่ แต่กลายเป็นว่ามีคนเดินออกไปแค่ 5 คนเท่านั้น! เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินออกมาแค่ 5 คน คุณชิจึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเดินออกประตูอื่น เพราะในช่วงนั้นจะมีป้าแม่บ้านมาทำความสะอาด เขาอาจจะออกประตูนั้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ คุณชิจึงเดินไปหาป้าแม่บ้าน A แต่เมื่อถามว่ามีลูกค้าเดินสวนออกมาทางนี้หรือไม่ ป้า A ก็ตอบกว่า “ไม่มีนะ” คุณชิเริ่มคิดในใจว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ใช่คน แต่ก็ยังไม่ได้บอกป้าเอว่าตนเจออะไรมา จากนั้นคุณชิก็กลับไปทำงานตามปกติ ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ คุณชิยังคงไปทำงานตามปกติ ก็ได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศคุยกันว่า “เมื่อคืนนี้ ลูกค้าเจอผี” คุณชิหูผึ่งทันที จึงขอให้พี่ในออฟฟิศเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็เล่าว่า “เมื่อคืน ก่อนที่ลูกค้าผู้ชาย A จะเข้าห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีลูกค้าผู้ชาย B ยืนส่องกระจกอยู่ แต่ไม่เชิงว่าส่องกระจก เพราะเขายืนตรง ๆ แต่ลูกค้า A ก็ไม่คิดอะไร เดินเข้าไปยืนทำธุระส่วนตัวตรงโถ ซึ่งเป็นมุมที่ต้องยืนหันหลังให้ลูกค้า B เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยไม่ถึงหนึ่งนาที หันกลับมาก็ไม่มีใครยืนส่องกระจกอยู่แล้ว! แถมประตูก็ไม่ได้เปิดอยู่ด้วย ทุกอย่างในห้องน้ำดูเงียบสงัด ลูกค้า A จึงไปบอกกับป้าแม่บ้าน C และเล่าว่าเขาเจอผีบ่อยมากเลยเวลามาดูหนังที่นี่ แต่ป้าแม่บ้านก็ทำได้แค่ตอบรับแล้วก็เดินจากไป” หลังจากทราบคร่าว ๆ แล้ว คุณชิจึงไปหาป้าแม่บ้าน C เพื่อถามเรื่องราวต่อ แต่ป้าก็ปฏิเสธบอกเพียงว่า “ป้าไม่รู้หรอก ไม่รู้ ๆ เราทำงานที่นี่ เรารู้อยู่แล้ว ป้าไม่อยากพูด” พูดจบก็รีบเดินจากไป แต่อาการลุกลี้ลุกลนของป้า ทำให้คุณชิยืนงง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อป้าไม่บอก ก็ไม่ต้องรู้ก็ได้ คุณชิคิดแบบนั้นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงวันที่คุณชิต้องเข้างานกะดึกอีกครั้ง วันนั้นมีหนังเรื่องใหม่ที่คุณชิอยากดูอยู่พอดี จึงเข้าอีหรอบเดิม แต่ครั้งนี้คุณชิเข้าไปเช็คทั้งหน้าแอปฯ หน้าเคาน์เตอร์ ว่ามีลูกค้ากี่คน แล้วก็จะเข้าโรงหนังช้ากว่าปกติเพื่อให้ลูกค้าเข้าโรงให้หมดก่อน แต่เมื่อเช็คแล้ว ในรอบนั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเลย ตามปกติแล้วรอบนี้ก็จะงดฉาย แต่คุณชิขอให้เพื่อนร่วมงานฉายหนังตามปกติ จากนั้นคุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังคนเดียว เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ก็สังเกตเห็นว่ามีคนมานั่งอยู่แถว F ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้! (ห่างจากแถว AA ประมาณ 5-6 แถว) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งเดิมที่คุณชิเจอเมื่อคราวก่อนด้วย คุณชิเกิดคำถามในหัวมากมายว่าเขาคนนั้นเข้ามาในโรงหนังได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รอบนี้มันไม่ควรจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที เขาก็หันกลับมามองที่คุณชิด้วยตาแดงก่ำคู่นั้น! สักพักเขาก็อ้าปาก แล้วเลือดก็ไหลออกมา! คุณชิตกใจด้วยความกลัวก็รีบวิ่งออกจากโรงหนังทันที คุณชินั่งอยู่หน้าโรงหนังนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามันไม่มีใครอยู่ในโรงหนังนั้นเลยสักคน! คุณชิในตอนนั้นเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่น่ามีใครมาแกล้งอะไรแบบนี้ และนั่นคงจะเป็นผีแน่ ๆ จากนั้นก็เดินไปหาน้องที่ทำงานเกี่ยวกับตั๋วแถวนั้น คุณชิเล่าเรื่องที่เจอให้น้องฟัง และยังเล่าให้เพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คนฟัง แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าคุณชิตาฝาดไปเองมากกว่า และทุกคนก็ยืนยันว่าที่นี่ไม่มีผี คุณชิก็พยายามไม่คิดอะไร แล้วกลับไปทำงานตามปกติ คุณชิเล่าว่าในห้องที่ฉายหนัง จะมีหน้าต่าง 3 บาน ตรงกลางเป็นช่องสำหรับฉายโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นหน้าต่างที่สามารถเปิดปิดได้ เป็นช่องขนาดเล็กที่เอาไว้ชะโงกดูความเรียบร้อยภายในโรงหนัง คืนหนึ่ง หลังจากที่หนังรอบสุดท้ายฉายจบแล้ว คุณชิก็จะมีหน้าที่เดินปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดเสียง และระบบต่าง ๆ และจะต้องเปิดหน้าต่างเหล่านั้น เพื่อให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดความชื้นในห้องฉายหนัง ขณะที่เปิดหน้าต่าง คุณชิก็ต้องชะโงกหัวออกไปเพื่อเช็คความเรียบร้อยในโรงหนัง คุณชิต้องก้มหน้าเพื่อเอาหัวสอดเข้าไปในช่องนั้น แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา ก็ประจันหน้าเข้ากับผู้ชายที่ตาแดงก่ำหน้าโชกไปด้วยเลือดอย่างสยดสยอง! คุณชิตกใจรีบเอาตัวถอยหลังจนชนกำแพง และบอกว่า “อย่า อย่าพี่! ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ!” จากนั้นพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่โปรเจคเตอร์ก็วิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ คุณชิก็เล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง แต่พี่เขาก็บอกว่าคงไม่มีอะไร จากนั้นก็เช็คในโรงอีกรอบ และก็บอกว่า “ไม่มีใครเลยนะ ตั้งสติแล้วมาดูดี ๆ” แต่คุณชิก็ยืนกรานว่าเขาเห็นจริง ๆ จากนั้นก็ชะโงกหัวไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็ไม่มีใครจริง ๆ หลังจากนั้นก็รีบปิดระบบทุกอย่างแล้วกลับบ้านทันที คุณชิเล่าว่าภาพนั้นมันยังติดตาอยู่เลย เพราะเป็นการประจันหน้าในระยะห่างกันแค่ 20 เซนติเมตร และหน้าต่างตรงนั้นอยู่ในจุดที่สูงจากพื้นเมตรกว่าได้ ไม่น่ามีใครยื่นหน้าเข้ามาหาแบบนั้นได้เลย คุณชิยังบอกอีกว่าเขาเองก็ห้อยพระ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมาก หลังจากนั้นก็ต้องมาทำงานกะดึกปกติ ในจังหวะที่ต้องเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้านั้น ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่เดิมในโรงหนัง แล้วเขาก็ลุกขึ้นมากำลังจะเดินออก ก็มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามา เอามีดมาจ้วงแทงเขาหลายรอบ เขาสำลักเลือดแล้วก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มลงนอนตรงนั้น ส่วนคนที่แทงก็วิ่งหนีหายไปเลย! คุณชิตกใจรีบตะโกนเสียงดังและวอร์วิทยุว่ามีคนแทงกันในโรงให้ทุกคนเข้ามาช่วยกัน เมื่อทุกคนเข้ามา ในโรงกลับว่างเปล่า! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คุณชินั่งหน้าซีดตัวสั่น ไม่คุยกับใครเลย เมื่อสงบสติได้แล้ว พี่ในออฟฟิศก็เล่าว่า “มีคนเคยแทงกันตายจริง แต่ว่ามันผ่านมานานมากแล้ว” จากนั้นก็แนะนำให้คุณชิไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณนั้น และก็ให้คุณชิหยุดทำงานไปสักพัก หลังจากเจอเหตุการณ์นั้นคุณชิก็จับไข้หัวโกร๋น และไปทำบุญให้ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้วิญญาณนั้นหายไป คุณชิยังคงเห็นเขานั่งอยู่ที่นั่งเดิม เพียงแต่ไม่ได้ทำให้กลัวเหมือนที่เคยเจอ ล่าสุด คุณชิเข้าไปดูหนังรอบดึกอีกครั้ง แต่ด้วยความล้าจากการทำงาน จึงเผลอหลับ แต่ก็มีคนมาสะกิด คุณชิก็สะดุ้งตื่น แล้วก็เห็นว่าหน้าเขาก้มลงมามองที่คุณชิอยู่! คุณชิก็รีบบอกไปว่าจะทำบุญไปให้ พอลืมตามาอีกที เขาก็หายไปแล้ว! ปัจจุบันนี้คุณชิยังทำงานอยู่ที่เดิม เพราะงานก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ และเล่าเพิ่มเติมว่าถ้าไปที่โรงนั้น แล้วสังเกตก็จะเห็นว่ามีศาลตั้งอยู่หลังม่าน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1