เรื่องเล่าจากคุณนัท ‘โรงพยาบาลหลอน’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณนัท ‘โรงพยาบาลหลอน’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

10 ส.ค. 2025

            ‘คุณนัท กู้ภัย’ ได้มาเล่าประสบการณ์สุดสยองที่พบเจอกับตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในคืนนั้นเขาได้พักรักษาอาการป่วย แต่กลับได้ยินเสียงหลอนหูที่จะจำไปตลอดชีวิต รวมถึงเงาดำทมิฬแต่ดวงตากลับสีขาวโพลนอยู่เต็มทางเดิน!

            เรื่องราวจะจบลงอย่างไร สามารถติดตามไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ดีเจเจ็ม’  ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x’ (5 สิงหาคม 2568)

            คุณคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่า หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จะเอาตัวรอดอย่างไร!

            คุณนัทได้เล่าว่า เหตุการณ์นี้ย้อนเวลาไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือตำรวจ  เมื่อตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไป ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว จากนั้นก็มีพยาบาลเข้ามาตรวจสุขภาพ วัดความดัน และเธอก็ออกไป

            กระทั่งประมาณสี่ทุ่ม พยาบาลก็เข้ามาเช็คน้ำเกลือ และตรวจดูว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ออกไปอีก เวลาผ่านเลยไปจนตีสาม คุณนัทรู้สึกได้ว่าบรรยากาศในห้องอึมครึมกว่าปกติ และอบอ้าวขึ้นจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกำลังเดินเข้ามาที่ห้อง เสียงนั้นไม่ได้ดังเหมือนคนที่เดินปกติ แต่ราวกับว่ากำลังลากขามา..

            เสียงลากขาดัง ‘ครืดดด ครืดดด’  สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของคุณนัท

            หยุดไปไม่ได้นาน เสียง ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ก็ดังขึ้น!

            ขณะนั้นสภาพร่างกายของคุณนัทยังไม่เต็มร้อย มีอาการอ่อนเพลียและลืมตาได้ไม่เต็มที่ แต่สิ่งที่คุณนัทเห็นคือวิญญาณพยาบาลหญิงที่ไม่มีหัว เธอกำลังเข็นรถอุปกรณ์เข้ามาหา เข็นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดที่ข้างเตียงของเขา!

            เธอทำทุกอย่างเหมือนที่พยาบาลคนอื่นทำ แต่คุณนัทก็แน่ใจแล้วว่า พยาบาลหญิงคนนี้คงไม่ใช่คนเขาจึงเลือกเบือนหน้าหนีไปทางซ้าย แล้วเขาก็พบว่าศีรษะของเธอได้วางอยู่ที่ข้าง ๆ เตียง!

            คุณนัทตกใจมากรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  และเธอก็เอื้อมมือเข้ามาจับพร้อมกับพูดว่า

            “คนไข้จะทำอะไร ยังไม่หายดีเลยนะ”

            แต่คุณนัทก็ไม่รอช้าที่จะกระชากสายน้ำเกลือ แล้วรีบวิ่งออกไปทันที!

            แต่หลังจากที่วิ่งออกไปก็พบว่าไฟทางเดินทั้งชั้นนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างใด ๆ เขาตัดสินใจวิ่งไปตามทางเดินด้วยความกลัว แต่เมื่อวิ่งไปสักพัก ก็เจอกับที่นั่งต่าง ๆ ที่มีไว้ให้ผู้ป่วยนั่ง คุณนัทได้สะดุดกับอะไรบางอย่างเป็นร่างสีดำ ซึ่งก็คือวิญญาณที่อยู่ตรงเก้าอี้ อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่าหากตรงนั้นมีเก้าอี้ 50 ตัว ก็คงเต็มทั้ง 50 ที่นั่ง นั่งเป็นร่างสีดำทมิฬเต็มทางเดิน!

            และเหมือนวิญญาณจะรู้ว่าคุณนัทมองเห็น วิญญาณจึงหันมามองด้วยนัยน์ตาสีขาว ไม่มีลูกตาสีดำ หลังจากนั้นภาพของคุณนัทได้ตัดไป พอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็ได้รู้ว่าทั้งหมดมันคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน

            เขาตื่นมาด้วยหวั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นอีก จึงแหงนหน้ามองนาฬิกา อีกแค่ห้านาทีก็จะถึงเวลาตีสามเหมือนกับในความฝันที่ได้ฝันไปก่อนหน้านี้

            กระทั่งเวลา 02.59 น. เสียงฝีเท้าสุดสยองนั้นก็ดังขึ้นเหมือนกับในฝัน! เสียงนั้นเดินลากเท้าช้า ๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพัก จากนั้นก็มีเสียงเคาะ ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ และเมื่อประตูเปิดออกมา วิญญาณผีพยาบาลหัวขาดก็เข็นรถอุปกรณ์ที่มีหัวอยู่บนนั้นมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง!

            คุณนัทรีบกระชากสายน้ำเกลือออก เธอคว้ามือเขาเอาไว้และพูดว่า

            “คนไข้จะทำอะไร ยังไม่หายดีเลยนะ”

            แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แล้วรีบกระชากตัวออกเพื่อวิ่งหนีทันที!

            ทางเดินยังคงมืดสนิท แต่เมื่อวิ่งออกมาแล้วก็ไม่สามารถตัดสินใจย้อนกลับได้ คุณนัทเห็นว่าที่แผนกต้อนรับมีวิญญาณพยาบาลยืนอยู่เต็มทางเดิน ทั้งหมดตัวสีดำสนิทแต่มีดวงตาขาวโพลน  วิญญาณคงสัมผัสได้ถึงคุณนัทจึงหันมามองพร้อมกัน รอบนี้คุณนัทรู้ตัวว่านี่คือความจริง!

            เขามีทางเลือกแค่สองทางให้กับตนเอง หนึ่งคือลงบันได สองคือลงลิฟต์ นาทีที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดส่งเสียงดังขึ้นมา ‘ติ๊ง’ นั่นทำให้คุณนัทตัดสินใจไดว่าจะไปทางบันได เพราะในลิฟต์อัดแน่นไปด้วยผีพยาบาลและคนไข้

            คุณนัทรีบวิ่งลงจากบันไดชั้นสี่มาที่ชั้นสาม ทั้งชั้นก็ยังคงปิดไฟมืดสนิท ผ่านจากชั้นสามกำลังจะถึงชั้นสอง ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะตรงบันไดมีวิญญาณพยาบาล เธอกำลังประคองคนไข้ คุณนัทเลือกที่จะไม่สนใจและวิ่งฝ่าร่างเหล่านั้นไป แม้ในใจจะกลัวมากก็ตาม

            เมื่อถึงชั้นสอง ไฟที่ชั้นสองสว่างทั้งชั้น มีผู้คนเดินไปเดินมาเต็มไปหมด รวมถึงเจ้าหน้าที่ คุณนัทรู้ว่านี่เป็นคนแน่ ๆ เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเห็นว่าคุณนัทลงมาจากบันได ก็ตะโกนขึ้นมาว่า

            “คนไข้ ขึ้นไปได้ยังไง!”

            คุณนัทจึงตอบว่า  “ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอฟื้นขึ้นมาก็อยู่ที่ชั้นสี่แล้ว”

            พยาบาลจึงบอกว่า “เป็นไปไม่ได้นะคะ ไม่เชื่อคนไข้ก็ลองมองป้ายตรงบันไดดู ชั้นสามและชั้นสี่ ไม่เปิดให้บริการนะคะ”

            คุณนัททำอะไรไม่ถูกได้แต่สอบถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงขึ้นไปนอนที่ชั้นสี่ได้”

            และก็ได้ทราบคำตอบว่า ตนไม่ใช่คนแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนที่โดนไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่เป็นชั้นสามเท่านั้นเอง และเนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้เตรียมที่จะย้าย ชั้นสามและชั้นสี่ จึงขนอุปกรณ์และบุคลากรออกไปหมด

            สุดท้ายคุณนัทก็ไม่ได้พักรักษาตัวที่นี่ต่อ แต่ก็ยังคงได้ยินเรื่องเล่าที่ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเจอเรื่อย ๆ    เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้แต่ตัวคุณนัทเอง..

เขียน: อภิธิดา ดุรงค์พันธุ์

เรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติ

ภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณฉัตร 'งานพิเศษ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

10 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณฉัตร 'งานพิเศษ' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณฉัตร‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจมส์’ และ ‘ดีเจมดดำ‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’งานพิเศษ‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณฉัตรเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกค้า ตนทำงานนวดเเละรู้จักลูกค้าคนหนึ่งชื่อ ‘คุณเเอ๋ม’ เขาเป็นแฟนตัวยงรายการผี ตนจึงได้เเซวคุณแอ๋มว่า “พี่ มีเรื่องผีปะ?” เขาก็ตอบกลับมาว่า “มี อยากฟังปะละ” จากนั้นคุณแอ๋มก็เล่าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว คุณเเอ๋มตกงานจึงไปหาเพื่อนในกรุงเทพฯ ระหว่างที่ขับรถมาก็เห็นบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ ติดป้ายประกาศรับจ้างเฝ้าบ้าน คุณเเอ๋มก็ไปถามเพื่อนว่า “บ้านหลังนั้นเป็นอะไรถึงประกาศเเบบนั้น” เพื่อนของคุณเเอ๋มก็ตอบว่า “อ๋อ บ้านหลังเนี่ยเป็นผู้ดีหน่อย เหมือนเขาจะไปต่างประเทศ เขาเลยให้จ้างคนเฝ้าบ้าน เเล้วแกสนใจมั้ยล่ะ” คุณเเอ๋มสนใจจึงไปเจรจากับบ้านหลังนั้น เมื่อถึงบ้านหลังนั้นก็พูดว่า “ขอโทษนะคะ มีใครอยู่มั้ยคะ?” จากนั้นก็มีผู้หญิงชื่อว่า ‘คุณเอ๋ย’ อายุราว 50-60 ปีเดินออกมา เเล้วก็ได้คุยกันเรื่องป้ายเปิดรับสมัครคนเฝ้าบ้าน คุณเอ๋ยบอกกับคุณเเอ๋มว่า “ให้ 1 อาทิตย์ น้องเลือกได้เลยว่าจะเอาเงินกี่บาท” คุณเเอ๋มจึงตอบกลับไปว่า ”งั้นหนูขอ 1 หมื่นบ้านได้มั้ย?“ คุณเอ๋ยตกลงและบอกว่า ”ได้ ถ้างั้นพรุ่งนี้น้องเริ่มงานได้เลย“ วันต่อ คุณเเอ๋มก็เก็บของเพื่อจะเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ เมื่อมาถึงคุณเอ๋ยก็พาสำรวจบ้าน ทุกอย่างภายในบ้านดูปกติทั่วไป เเล้วก็บอกว่า “น้อง ทำอะไรเต็มที่นะ เหมือนบ้านตัวเองเลยไม่ต้องเกรงใจ” เเล้วก็พาไปดูชั้นบน ซึ่งชั้นบนมี 2 ห้องเเละมีห้องน้ำอยู่ตรงกลาง คุณเอ๋ยยังบอกอีกว่า “ถ้าจะทำอะไร ให้ไปห้องฝั่งขวานะ ห้องฝั่งซ้ายห้ามเข้าไปมันเป็นห้องใหญ่ พี่ฝากบ้านด้วยนะ” พูดจบก็แยกย้าย ปล่อยให้คุณแอ๋มอยู่ในบ้านตามงานที่ได้รับมอบหมาย คุณเเอ๋มใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติ เมื่อถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่มตนก็ได้เปิดทีวี สักพักหนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 20 มาเรียกคุณเเอ๋ม ตนจึงเดินออกไปหาเด็กคนนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า ”พี่อยู่บ้านหลังนี้หรอคะ“ ตนจึงตอบกลับไปว่า ”อ๋อ มาเฝ้าบ้านค่ะ“ เด็กคนนั้นก็ตอบกลับว่า ”หนูเอาขนมมาให้ค่ะ ขนมชั้น” เเล้วก็พูดว่า “หนูไปก่อนนะคะ” คุณเเอ๋มจึงเกิดความสงสัย บางทีเธออาจจะแค่มาทักทายจึงไม่ได้เอะใจ ไม่นาน คุณเเอ๋มรู้สึกหิวจึงคิดว่าจะกินขนมที่น้องคนนั้นให้มา ปรากฎว่าขนมนั้นเหมือนเป็นขนมที่หมดอายุ มีราขึ้น ตนก็ไม่คิดอะไร คิดว่าอาจจะทิ้งไว้นานทำให้เสีย จึงนำขนมไปทิ้ง แล้ววันถัดมาน้องคนนี้ก็มาหาเเละนั่งคุยกับคุณเเอ๋ม เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน วันต่อมาน้องก็มานั่งคุยกับคุณเเอ๋มเเล้วถามว่า “พี่ทำงานอะไรคะ” คุณเเอ๋มตอบกลับว่า “พี่เนี่ยทำงานบริษัทหนึ่ง พี่ตกงาน” เเละได้ถามน้องกลับว่า “หิวน้ำมั้ย เดี๋ยวพี่เอาน้ำให้” น้องก็ตอบกลับมาว่า “ในตู้เย็นอ่ะ มีน้ำส้มขวดหนึ่ง เอามาให้หนูด้วย” คุณเเอ๋มได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกงงเล็กน้อยเเต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะเอาน้ำ ปรากฏว่าในตู้เย็นนั้นมีน้ำส้มอย่างที่น้องบอกจริง ๆ ตนจึงหยิบน้ำส้มขวดนั้นมาให้น้อง เเล้วน้องก็ได้พูดว่า “พี่รู้ปะ หนูชอบกินน้ำส้มมากเลย” หลังจากนั้นก็คุยกันไปสักพัก น้องก็เดินกลับไป เเต่คุณเเอ๋มก็สงสัยว่าบ้านของน้องคนนี้อยู่ตรงไหน จึงสะกดรอยตามน้องไปดู เเต่น้องก็หายไปแล้ว! จนกระทั่งใกล้จะหมดกะ คุณเเอ๋มก็ได้ทำความสะอาดบ้านหลังนั้นให้ เมื่อทำเสร็จก็คิดว่าจะทำความสะอาดห้องเล็กให้ แต่เขาห้ามไม่ให้เข้าห้องนั้น คุณแอ๋มจึงตัดสินใจเสียมารยาทเข้าไปในห้องนั้น เเละก็ได้พบกับโลงศพสีขาวตั้งอยู่บนพื้น เเละรูปหน้าศพคือน้องคนนั้นที่มาหาคุณเเอ๋มเป็นประจำ! จากนั้นน้องคนนั้นก็เดินขึ้นบันไดมาช้า ๆ เเละพูดว่า “พี่เห็นเเล้วใช่มั้ย? พ่อเเม่หนูไม่เคยสนใจหนูเลย ให้หนูอยู่บ้านคนเดียว เเม่ก็ไปต่างประเทศ พ่อก็มีเมียน้อย” คุณเเอ๋มสังเกตเห็นในมือของน้องมีน้ำยาล้างห้องน้ำอยู่ จากนั้นน้องก็เอาน้ำยาล้างห้องน้ำกรอกปากตัวเอง เเล้วชักดิ้นชักงอต่อหน้าคุณเเอ๋ม! คุณเเอ๋มตกใจรีบเก็บของไปอยู่บ้านเพื่อนทันที สองวันผ่านไป พี่เอ๋ยกลับมา คุณเเอ๋มก็รีบเล่าเรื่องนี้ให้พี่เอ๋ยฟัง เเล้วเขาก็ร้องไห้พร้อมกับพูดว่า “นั่นลูกสาวพี่เอง พี่อ่ะไม่มีเวลาให้เขา” ตนจึงถามไปว่า “ทำไมไม่ทำพิธีตามศาสนา“ เขาก็ตอบกลับว่า ”พี่ทำใจไม่ได้ ก็เลยเก็บไว้ก่อน“ จนกระทั่ง 2 สัปดาห์ผ่านไป พี่เอ๋ยก็ได้ทำพิธีตามศาสนาเเละได้ส่งข้อความหาคุณเเอ๋มว่า ”มาหาพี่ที่งานศพหน่อย พี่มีเรื่องจะคุยด้วย“ ตนทราบเช่นนั้นก็ไปหาคุณเอ๋ยเเละก็ได้อยู่ช่วยงานศพ เมื่อเสร็จทุกอย่างทั้งคู่ก็มานั่งคุยกัน พี่เอ๋ยพูดว่า ”ในนี้ มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง น้องเก็บไว้ได้มั้ย รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย เเล้วก็มาทำงานกับพี่“ คุณแอ๋มตอบตกลงไปเเละก็ได้ทราบว่า ลูกของเขามาเข้าฝันพี่เอ๋ย บอกว่าให้พี่คนนี้มาอยู่บ้านหลังนี้เพราะเขารู้สึกชอบและถูกชะตา(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้อม พุธพาหลอน 'ตามเอาคืน' l อังคารคลุมโปง X พี่ยม แท๊กซี่ผี [ 19 ส.ค.2568 ]

04 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต้อม พุธพาหลอน 'ตามเอาคืน' l อังคารคลุมโปง X พี่ยม แท๊กซี่ผี [ 19 ส.ค.2568 ]

‘คุณต้อม พุธพาหลอน’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจาก ‘คุณฟ้า’ ที่เพิ่งย้ายไปออฟฟิศใหม่ ซึ่งมีเพื่อนในทีมชอบกลั่นแกล้งจนทำให้มีคนเสียชีวิต! เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X พี่ยม แท๊กซี่ผี’ (19 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจเชาเชา’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตามเอาคืน’ ที่จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณฟ้า’ ในออฟฟิศแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ วันแรกที่ย้ายเข้ามาทำงาน รู้สึกว่าบรรยากาศที่ทำงานดีมาก เธอมีเพื่อนในแผนกทั้งหมด 4 คนคือ ‘พี่โจ – มด - แอน และอิง’ วันแรกในระหว่างที่ฟ้ากำลังทำงานอยู่ ปากกาของเธอก็ร่วงลงไปในซอกข้างโต๊ะ เธอจึงล้วงมือไปหยิบ แต่สิ่งที่ทำให้ต้องแปลกใจคือสิ่งที่เธอหยิบได้เป็นเส้นผมของผู้หญิงกระจุกใหญ่ที่มาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่า จากนั้นก็ถามเพื่อนร่วมงานว่า “นี่คือเส้นผมใครหรอ?” เมื่อสิ้นสุดคำถาม จากบรรยากาศที่สดใสกลับกลายเป็นอึมครึม ทุกคนต้องหยุดชะงักกับคำถามของฟ้าเหมือนกับว่ากำลังตกใจกลัวอะไรบางอย่างอยู่ ไม่นาน พี่โจก็หันมาต่อว่าคนอื่น ๆ “กูบอกแล้วใช่ไหม ให้เอาเส้นผมไปทิ้ง ถ้าเกิดยังไม่ทิ้ง พวกมึงติดคุกกันหมดแน่!” ด้วยความไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ฟ้าจึงอาสาเอาเส้นผมไปทิ้งเอง ระหว่างที่เธอเข้าไปในห้องน้ำช่วงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้ออกมาเหมือนกำลังเสียใจ เสียงร้องไห้ค่อย ๆ ดังขึ้น ๆ กลายเป็นเสียงกรีดร้องพร้อมกับทุบไปที่ผนัง จนทำให้ฟ้าตกใจ จากนั้นฟ้าก็เอาเรื่องนี้กลับไปเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง ทุกคนได้แต่นิ่งแล้ววันนั้นก็ผ่านไป ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านโดยไม่มีใครพูดอะไร เช้าวันต่อมา ทุกคนก็มาทำงานตามปกติ ระหว่างที่ทุกคนมาทำงานกันครบหมดแล้ว ขาดเพียงแค่พี่โจ จู่ ๆ HR ของบริษัทก็เดินเข้ามาแล้วบอกว่า “พี่มีข่าวร้ายมาบอก พี่โจเสียแล้วนะ” พร้อมบอกสาเหตุที่พี่โจเสียชีวิตคือ พี่โจใช้สารเสพติดจนเห็นภาพหลอนแล้วผูกคอตายที่บ้านของตัวเอง ทุกคนต่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะ ‘มด’ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของพี่โจ เธอตัดสินใจกดโทรไปยังเบอร์ของพี่โจแล้วเปิดลำโพงให้ทุกคนฟัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่ใช่เสียงพี่โจที่ตอบกลับมา แต่กลับกลายเป็นเสียงเพลงมอญร้องไห้ที่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงญาติของพี่โจถามว่า “ใครคะ?” ทำให้ทุกคนแน่ใจได้ว่าพี่โจเสียชีวิตแล้วจริง ๆ หลังจากนั้นบรรยากาศในที่ทำงานก็แย่ลงทุกวัน มดตัดสินใจว่าจะลาออก แต่แอนที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ก็กระชากมือแล้วพูดว่า “จะไปไหนมด มึงก็เป็นต้นเหตุนะ” มดก็ตอบกลับทันทีว่า “ไอ้กานต์มันตายของมันเอง กูไม่เกี่ยว” ฟ้าที่ฟังทั้งคู่ทะเลาะกันไปมา ก็จับใจความได้ว่า เพื่อนร่วมงานทุกคน ได้มีการกลั่นแกล้งกานต์จนทำให้เธอต้องจบชีวิตลง รวมถึงพี่โจที่เป็นคนต้นเรื่อง เอากรรไกรไปแกล้งจะตัดผมกานต์ ซึ่งผมที่ตัดออกมาเยอะพอสมควร ทำให้กานต์ร้องไห้ออกมา แล้วกลับบ้านไปกินยาฆ่าตัวตาย และแม้ว่าทุกคนจะเอาเส้นผมไปทิ้งแล้ว แต่มันก็ยังกลับมาอยู่ที่เดิม ระหว่างที่มดกับแอนกำลังทะเลาะกัน แอนก็พูดออกมาว่า “ไม่เกี่ยวห่าอะไร ไม่งั้นไอ้กานต์มันคงไม่ตามมึงไปถึงบ้านหรอก” มดสติแตกจับหัวแอนกระแทกโต๊ะทำงาน ทำให้แอนทนไม่ไหวคว้ามีดคัตเตอร์ไปโดนมุมปากของมดจนเกือบถึงหู แล้วเลือดก็ไหลออกมา ทำให้ต้องส่งตัวมดไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นทั้งสองก็โดนไล่ออกเนื่องจากทำผิดกฎบริษัทอย่างร้ายแรง สิ่งที่ฟ้าทราบมาหลังจากนั้น คือ มดที่เป็นคนที่มีใบหน้าสวยหลังจากที่เสียโฉมก็เป็นโรคซึมเศร้า แอนก็กลายเป็นคนเสียสติ คุณฟ้าจึงเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือผลของวิบากกรรมที่ทุกคนได้ก่อเอาไว้..เขียน: ชิติพัทธ์ เพ็ชรมาลัยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

02 ต.ค. 2023

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

‘ถนน’ เป็นอีกสถานที่อันดับต้น ๆ ที่เรามักจะเจอเรื่องหลอนกันบ่อย ๆ ครั้งนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ก็นำเรื่อง ‘ถนนในตำนาน’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) ฟัง บอกเลยว่าเรื่องพีคจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องอุทานเสียงหลง! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเติ้ล’ เหตุการณ์หลอนเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา คุณเติ้ลมีอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งต้องรอให้ห้างสรรพสินค้าปิดทำการก่อน คุณเติ้ลจึงจะสามารถเข้าไปเตรียมงานอีเวนต์ได้ วันหนึ่ง คุณเติ้ลได้ไปจัดงานอีเวนต์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทีมงานก็จัดเตรียมสถานที่ตามปกติ เมื่อเตรียมเสร็จก็ต้องไปทำงานที่จังหวัดกระบี่ต่อ จึงแบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมแรกล่วงหน้าไปก่อนในช่วงบ่าย ส่วนทีมของคุณเติ้ลต้องอยู่รอเพื่อเก็บอุปกรณ์ หลังห้างปิดเวลา 21.00 น. เมื่อถึงเวลาห้างปิด ทีมคุณเติ้ลก็เข้าไปเก็บอุปกรณ์ โดยใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษทุกอย่างก็เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดกระบี่ แต่ก่อนที่ล้อจะหมุน ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์มาเช็คความเรียบร้อยและพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าออกมา ก็ขับรถดี ๆ นะ ถนนเส้นที่จะขับผ่านมันค่อนข้างจะเปลี่ยว ถ้าเจอใครโบกหรือทักก็อย่าจอดนะ ให้ขับเลยไปเลย” จากนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็หันกลับไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ไอ้เติ้ลมันไม่กลัวหรอก มันไม่เชื่อหรอก” แล้วสายก็ตัดไป คุณเติ้ลคิดแค่เพียงว่ารุ่นพี่คงเป็นห่วงเรื่องคนที่อันตรายมากกว่า เพราะส่วนตัวนั้นไม่กลัวผี ไม่มีความเชื่อเรื่องผี และไม่เคยฟังเรื่องผี ในเวลา 4 ทุ่มกว่า ๆ คุณเติ้ลก็ขับรถออกมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ถนนในตำนาน’ ที่หลายคนรู้จัก ในตอนกลางวันถนนเส้นนี้จะมีรถไม่มาก ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่มีรถ ไฟฟ้าอย่าพูดถึง ส่วนบ้านเรือนตามข้างทางก็หาได้น้อย เรียกได้ว่าเป็นถนนอีกเส้นที่เปลี่ยวใช้ได้ แต่ก็มักจะใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงของเหล่าบรรดารถบรรทุกขนาดใหญ่ ส่วนรถที่คุณเติ้ลขับนั้นเป็นรถกระบะที่บรรทุกของหลังรถ วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 70-80 กิโลเมตร ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ก็เปิดเพลงคลอจากโทรศัพท์ที่เชื่อมกับเครื่องเล่นวิทยุในรถฟังไปด้วย และทุกอย่างก็ดูจะปกติเรียบร้อยดี เมื่อขับไปได้สักพัก เพลงที่เปิดก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี ‘The Ghost Radio’ แทน ซึ่งคุณเติ้ลไม่เคยกดเปิดฟังเลยสักครั้ง และแทบจะไม่รู้จักรายการนี้เลยเสียด้วยซ้ำ คุณเติ้ลรู้สึกมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เล่าในรายการนั้น เป็นเรื่องหลอนของถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นถนนเส้นเดียวกันกับที่คุณเติ้ลกำลังขับรถอยู่ เขาจึงพยายามหยิบโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลง เมื่อเปลี่ยนเป็นเพลงได้แล้วก็ขับต่อไปอีกสักพัก เพลงที่เขากำลังฟังอยู่มันก็หยุดเงียบหายไป แล้วก็เปิดรายการเล่าเรื่องผีรายการเดิมอีกรอบ ซึ่งเล่าเรื่องต่อจากที่ฟังค้างไว้แบบไม่ขาดตอน คุณเติ้ลพยายามจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงอีกครั้ง แต่รอบนี้ก็มีเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาว่า “ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ?” คุณเติ้ลตกใจกับเสียงนั้น และคิดว่า Sound Effect ของรายการนี้แปลก ๆ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงทันที แต่ก็เหมือนเดิม รายการนั้นก็ดังขึ้นมาแทนที่เพลงอีกครั้ง จึงตัดสินใจถอดสายที่เชื่อมมือถือกับวิทยุออก ปิดเสียงทุกอย่าง และขับรถต่อไปพร้อมกับความเงียบ ระหว่างที่ขับรถนั้น มีช่วงหนึ่งที่รถตกหลุม ทำให้วิทยุในรถเกิดแสงกะพริบขึ้นมา แล้วก็มีเสียงรายการเล่าเรื่องผีอันเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องทุกอย่างยังคงเล่าต่อจากเดิมไม่มี skip ข้าม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เสียบสายโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดฟังเสียด้วยซ้ำ! คุณเติ้ลพยายามจะปิดเสียง แต่ก็มีเสียงผู้หญิงคนเดิมดังแทรกขึ้นมาว่า “ไม่อยากจะฟังเรื่องของชั้นหน่อยหรอ ไม่อยากลองฟังหน่อยหรอ” คุณเติ้ลรู้สึกตกใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเล่าว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกมือสั่น ทำอะไรไม่ถูก และก็ร้องไห้ออกมา ด้วยความที่เป็นรถกระบะรุ่นเก่า จึงกระชากสายวิทยุที่ต่อกับรถออกจนขาด แล้วเสียงวิทยุก็ดับไป คุณเติ้ลยังคงใจสู้ขับรถต่อไป แล้วเขาก็เห็นว่ามันมี ‘บางคน’ หรือ ‘บางอย่าง’ อยู่ข้างทาง คุณเติ้ลไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่ จึงขับผ่านเลยไป และเมื่อมองกระจกมองหลัง แสงไฟท้ายรถก็ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นเหมือนกองอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันมามองที่รถ คุณเติ้ลเล่าเพิ่มว่าลักษณะคล้ายกับผู้หญิงดำ ๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอใส่ชุดสีดำ หรือเป็นเงาดำของเธอ เขายังคงขับรถไปเรื่อย ๆ แต่ภายในใจยังคงสบสันว่าสิ่งที่ตนเจอมานั้นมันคืออะไร ขับไปได้ไม่นาน ก็เห็นไฟท้ายรถจากด้านหน้า จึงขับเข้าไปใกล้ ๆ เพราะดีใจคิดว่ามีเพื่อนร่วมทางแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ จึงขับตาม คุณเติ้ลรู้ว่าอีก 4-5 กิโลมเตรก็จะถึงทางออก จึงพยายามแซงรถสิบล้อข้างหน้า ก่อนจะแซงไปก็สังเกตว่าของที่บรรทุกมากับรถสิบล้อมีผ้าใบคลุมอยู่ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างบนหลังผ้าใบ เธอชะโงกหน้าลงมามองที่คุณเติ้ล แล้วก็มีเสียงดังเข้ามาในวิทยุอีกครั้งว่า “กำลังจะสุดทางแล้วจะรีบไปไหนล่ะ ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ” สิ้นเสียงนั้น คุณเติ้ลก็รีบเหยียบคันเร่งแซงรถบรรทุกไปทันที แม้จะมีเสียงบีบแตรและไฟกะพริบสูงจากรถสิบล้อตามมาด้านหลัง แต่เขาก็ไม่สนใจ รีบเลี้ยวรถออกจากเส้นทางจนกระทั่งเจอเข้ากับปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่ง จึงขับรถเข้าไปจอดรถเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองในนั้น ผ่านไปไม่นาน รถสิบล้อก็ขับตามเข้ามาในปั๊ม และคุยกับคุณเติ้ลว่า “โหพี่! ทำไมพี่ทำอย่างนี้อ่ะ พี่ชนคนแล้วพี่หนีหรอ!” คุณเติ้ลรีบปฏิเสธไปว่า “ชนคนอะไร!” คนขับรถสิบล้อตอบกลับมาว่า “ก็ผมเห็นพี่ขับรถชนผู้หญิง ผมเปิดไฟก็แล้ว บีบแตรก็แล้ว ทำไมพี่ไม่จอด ผมให้น้องที่นั่งมากับผม อยู่กับผู้หญิงที่คุณชนไว้ตรงนั้น แล้วผมก็ขับมาตามคุณเนี่ย” คนขับรถสิบล้อยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีรถมูลนิธิขับเข้ามาจอดเทียบใกล้ ๆ จากนั้นน้องของคนขับรถสิบล้อก็ลงจากรถหน้าตาตื่น และเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นรถคุณเติ้ลขับชนผู้หญิงคนหนึ่งจนกระเด็นไป ตนกับพี่คนขับพยายามส่งสัญญาณไฟและบีบแตรเรียก แต่คุณเติ้ลก็ไม่จอดรถ ตนจึงลงจากรถเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ จากนั้นก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นตนก็นั่งเฝ้าผู้หญิงที่ถูกรถชนอยู่ตลอด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาถึง ศพผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! ตนรู้สึกตกใจจึงรีบขึ้นรถตามมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า “ที่ผมรีบมาเนี่ย ไม่ใช่อะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าผมทิ้งพี่ไว้ พี่ช็อคตายแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าพี่เจอแน่ ๆ เคสแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนแรกที่แจ้งผม มีคนแจ้งผมเยอะมาก ทั้งเจอผู้หญิงอยู่ข้างทาง เจอผู้หญิงเกาะมากับรถ ใครก็ตามที่แจ้งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ผมจะรีบมา” คุณเติ้ลได้ฟังเรื่องนี้ก็ตกใจ จึงขอตัวแล้วรีบขับรถต่อไปที่จังหวัดกระบี่ทันที เมื่อถึงที่หมาย คุณเติ้ลก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง รุ่นพี่ที่ทำงานดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องที่เล่าไป คุณเติ้ลจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งได้มาค่อนข้างไม่ตรงกันเท่าไหร่ บางข้อมูลก็ว่าผู้หญิงคนนี้โดนลวงมาฆ่า บ้างก็ว่าโดนฆ่าปาดคอ บ้างก็ว่าโดนเผานั่งยาง และอีกหลาย ๆ ข้อมูล ทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าจริง ๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีที่มาอย่างไร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1