สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

อังคารคลุมโปง RECAP

สาวไปทำงานในจังหวัดติดริมแม่น้ำโขง จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน ช็อค! เพราะมีทั้งเสียงโทรศัพท์ดังเอง ไฟฟ้าขัดข้อง เสียงปริศนาดังอยู่เรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้นอน

24 พ.ย. 2023

       ติดตามความราวสยองจากเรื่อง ‘ตามมาจากเสียงเรียก’ โดย ‘คุณดี้’ ไปพร้อมกับ  ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (21 พฤจิกายน 2566) จะหลอนชวนสยองขนาดไหน.. ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันได้เลย!

 

       เรื่องราวแปลก ๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อคุณดี้ได้ไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดหนึ่ง อยู่ติดกับริมแม่น้ำโขงเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณดี้จองที่พักไว้ทั้งหมด 4 คืน แต่ในวันที่จะเดินทางปรากฏว่าเที่ยวบินดีเลย์จึงไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด เมื่อคุณดี้เดินทางมาถึงที่พัก ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ทุ่มแล้ว ด้วยอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงรีบเดินเข้าไปรับคีย์การ์ดจากพนักงานต้อนรับ จากนั้นพนักงานก็แจ้งว่าได้พักห้องที่ชั้น 3 ห้อง 310

       คุณดี้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงรีบเก็บสัมภาระและเข้านอนทันที โดยเลือกที่จะเปิดไฟตรงระเบียงไว้เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไป ระหว่างที่นอนหลับอยู่ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้นแบบผิดปกติ พร้อมกับมีเสียงดังว่า “310” อยู่หลาย ๆ ครั้ง คุณดี้ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วยกหูโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วก็กลับมานอนที่เตียง!

       คุณดี้คิดว่าตัวเองอาจจะฝันหรือละเมอไปเอง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันเหมือนจริงมาก คุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงยื่นมือไปเปิดไฟและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อมองดูที่จอเพื่อดูเวลา ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 กว่า ๆ ตอนนั้นคุณดี้รู้สึกกลัวมาก จึงหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งตี 3 กว่า ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้รู้สึกว่าใครบางคุณกำลังหายใจรดต้นคออยู่!

       ด้วยความกลัว คุณดี้จึงพูดในใจถึงเจ้าที่เจ้าทางว่า “มาดีนะ แค่มาทำงาน ไม่ได้มีเจตนามาร้าย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญถวายสังฆทานให้” จากนั้นก็หลับไป พอรุ่งขึ้นก็ได้แจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์ที่ห้องมีปัญหาพร้อมกับให้ช่างก็ขึ้นมาดู ปรากฏว่าโทรศัพท์ก็ปกติดีไม่ได้มีปัญหาอะไร

       ในคืนที่สอง คุณดี้ได้ถอดสายโทรศัพท์ออกพร้อมกับเปิดไฟทุกดวง และตัดสินใจสวดมนต์ก่อนนอน รวมถึงก่อนเข้านอนก็ได้วางเหรียญไว้บนหัวเตียงเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อความสบายใจ ในระหว่างที่กำลังจะนอน คุณดี้รู้สึกว่าไฟที่เปิดไว้มันสว่างเกินไป จึงตัดสินใจว่าจะปิดไฟทั้งหมด เหลือไว้แค่โคมไฟบริเวณหัวเตียง จังหวะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้น แล้วไฟก็เปิดขึ้นมาเอง! ความกลัวเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณดี้พูดในใจว่า “อย่ามาแกล้งได้มั๊ย ทำบุญให้แล้ว ขอนอนได้มั๊ย” แล้วคืนที่สองก็ผ่านไป..

       คืนที่สามคุณดี้ก็เข้านอนตามปกติ แต่พอรุ่งขึ้นคุณดี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะหยิบสายชาร์จเพื่อชาร์จโทรศัพท์ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังเสียบสายชาร์จไปที่ปลั๊กไฟนั้น ก็เกิดไฟฟ้าลัดวงจร! จึงรีบไปแจ้งพนักงานขอเปลี่ยนห้อง ตอนแรกทางที่พักแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ไม่นานก็โทรกลับมาว่าจะเปลี่ยนห้องให้กับคุณดี้ โดยย้ายจากห้องเดิมขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นห้อง 412

       หลังจากแม่บ้านขนย้ายสัมภาระข้องคุณดี้มายังห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว พอคุณดี้กลับมาถึงห้องก็ตกใจมาก เพราะสิ่งที่เห็นคือเหรียญที่เคยวางไว้ที่หัวเตียงก็ถูกย้ายมาที่ห้องใหม่ด้วย! ด้วยความกลัวจึงให้แม่บ้านนำออกไปไว้ที่ห้องเดิม จากนั้นคุณดี้ก็เข้าห้องนอนตามปกติ

       วันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่คุณดี้กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปรากฏว่าไฟหน้าห้องน้ำก็กระพริบขึ้นมาหลายครั้ง คุณดี้ตัดสินใจออกจากห้องน้ำมาปิดไฟ และเก็บกระเป๋าเพื่อ Check out ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่เธอเก็บสัมภาระนั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ อยู่หน้าห้อง ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นแม่บ้าน จึงรีบไปเปิดแล้วจะแจ้งว่าไฟมีปัญหา ปรากฏว่าพอเปิดประตูห้องออกไป กลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องเลย! จากนั้นเธอก็รีบออกมาเพื่อ  Check out แล้วก็ออกจากที่พักทันที

       ในระหว่างทางที่กำลังจะกลับ ปรากฏว่ารถตู้ที่นั่งมาเกิดเสียกลางทาง โชคดีที่ไม่ได้ห่างจากปั๊มน้ำมันมาก จึงตัดสินใจมารอที่ร้านกาแฟ และไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายทะเบียนรถตู้ไว้เพื่อเขียนรายงานในการมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้

       หลักจากที่รอประมาณเกือบชั่วโมง รถก็ซ่อมเสร็จ คุณดี้ถามคนขับรถว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบไฟภายในตัวรถ คุณดี้คิดในใจว่าทำไมตนเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ตลอด 4 วัน แต่แล้วก็นั่งรถมาที่สนามบินปกติ

       ในระหว่างที่อยู่บนเคื่องบิน ก็ได้เปิดดูคลังรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปป้ายทะเบียนรถที่ถ่ายไว้ ถึงกับต้องขนลุก! เพราะภาพที่เธอเห็นนั้นคือรถเสียบริเวณร้านขายโกศใส่กระดูก เธอจึงนึกไปถึงเช้าของวันแรกที่มาว่า ในวันนั้นเธอมีเวลาว่าง 1 วัน จึงตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ในระหว่างทาง คุณดี้เดินมาได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ก็รู้สึกร้อน มองไปเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นวัด จึงได้ข้ามไปฝั่งนั้นเพราะจะได้อาศัยเงาของต้นไม้เดินไป แต่พอข้ามมาแล้วปรากฏว่าเห็นโกศใส่กระดูกเยอะมาก คิดในใจตอนนั้นว่าถ้าเป็นตอนกลางคืนจะไม่เดินบริเวณนี้เด็ดขาด ระหว่างที่เดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถของคุณลุงขับผ่านมา คุณดี้ตัดสินใจโบกรถแล้วเรียกคุณลุงว่า “ขอไปด้วยคนค่ะ” นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น

       นั่นทำให้คุณดี้ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า อาจเป็นเพราะเธอโบกรถแล้วพูดว่า ‘ขอไปด้วยคน’ หรือเปล่า ทำให้ต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกัน 4 วันเช่นนั้น

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

27 พ.ค. 2024

ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ‘คุณชาติ’ ฝากครูตรีมาเล่า ตอนนั้นคุณชาติมีแฟนมีคนหนึ่งชื่อ ‘คุณมิว’ (นามสมมุติ) คบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เรียนคณะเดียวกัน ตัวติดกันตลอด พอทั้งคู่เรียนจบก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ทั้งคู่ต้องห่างกัน ซึ่งคุณชาติกับคุณมิวต้องแยกกันอยู่ เพราะสถานที่ทำงานไม่สามารถทำให้อยู่ด้วยกันได้เหมือนตอนเรียนมหาลัย คุณชาติย้ายมาอยู่กับแม่ ซึ่งที่ทำงานของคุณชาติอยู่ห่างจากบ้านค่อนข้างไกล ส่วนคุณมิวนั้นมีที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน ดังนั้นเวลากลับบ้าน คุณมิวก็จะถึงบ้านก่อน แต่คุณชาติกว่าจะเดินทางมาถึงบ้านต้องใช้เวลา เฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยความที่อยู่ไกลกัน แล้วสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือค่าบริการแพงมาก จะมีก็แต่โทรศัพท์บ้านอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งบ้านของคุณชาติอยู่นอกเหนือพื้นที่ให้บริการโทรศัพท์บ้าน ด้วยความที่ทั้งคู่ทำงานไกลกัน คุณชาติจึงต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อจะได้ติดต่อกับคุณมิว คุณมิวจึงตั้งกฎเหล็กสำคัญไว้ใช้สำหรับทั้งคู่คือ ทุกครั้งที่กลับบ้านต้องโทรหากัน ทั้งคู่จะตกลงกันก่อนว่าจะคุยกัน 5 บาท หรือ 10 บาท (ในสมัยนั้น 1 บาท คุยได้ 3 นาที) หากคุยไม่ครบเวลาที่กำหนดกันไว้ คุณมิวก็จะงอนและทะเลาะกัน ดังนั้นถ้าตกลงกันแล้วต้องคุยให้ครบเวลาตามที่ตกลงกันไว้ จากนั้นคุณชาติก็เล่าต่อว่า ปกติเวลาเลิกงานคุณชาติจะนั่งรถสาธารณะกลับบ้านทุกวัน ซึ่งลักษณะซอยบ้านนั้น ถ้าลงรถสาธารณะแล้ว กว่าจะเดินเข้าถึงตัวบ้าน จะมีระยะทางประมาณ 600 เมตร และถ้าลงจากรถสาธารณะแล้วเดินเท้าเข้าไปในซอย ไม่นานจะเจอบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งแสงสว่างแหล่งแรกของซอยนี้ จากนั้นเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณถึงกลางซอย ก็จะพบเสาไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเป็นไฟทาง ซึ่งไฟสมัยนั้นจะเป็นไฟสลัว และถัดจากเสาไฟฟ้าไปอีกประมาณ 15 ก้าว ก็จะเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่หนึ่งตู้ คุณชาติจะใช้โทรศัพท์สาธารณะตู้นี้มาโดยตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่กลับจากที่ทำงาน ก็จะนัดกับคุณมิวโทรคุยกัน เช่น วันนี้จะคุย 5 บาท ก็หยอดเหรียญ 5 บาท แล้วก็คุยกันไปเรื่อย ๆ พอคุยใกล้จะเสร็จเวลาตัวเลขก็ถอยหลัง 5 4 3 2 จนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็จะบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า “เออเธอ มันจะหมดเงินแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับบ้านก่อน” จากนั้นคุณชาติก็วางโทรศัพท์แล้วก็เดินออกจากตู้ นี่คือสิ่งคุณชาติทำเป็นกิจวัตรประจำวัน มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นคุณชาตินั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอลงจากรถเสร็จ ก็เดินเข้าซอยบ้านไปเรื่อย ๆ ก็จะพบเสาไฟฟ้าต้นเดิม ทุกอย่างบริเวณนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินจนมาถึงตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้ประจำ แล้วก็เดินเข้าไปข้างในตู้ จากนั้น ก็หยอดเหรียญ 5 บาท เพราะวันนี้นัดกันว่าจะคุยกัน 5 บาท ระหว่างที่คุณชาติโทรอยู่ ตัวเลขเงินก็จะลดลง 5 4 3 2 พอเลข 2 ขึ้น คุณชาติก็มองออกไปข้างนอกตู้โทรศัพท์ กลับพบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าต้นนั้น แล้วเอียงคอชะโงกมองมาที่คุณชาติ! คุณชาติคิดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมารอคุยโทรศัพท์ต่อเป็นแน่ แต่ผู้ชายคนนั้นเขามารยาทดีมาก ไม่มายืนกดดันคุณชาติที่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะเลย แล้วตอนนี้เหลือเงินแค่ 2 บาท นั่นก็คือเหลือเวลาอีก 6 นาที ทั้งคู่ก็คุยกันจนหมดเวลา จากนั้นคุณชาติก็บอกกับแฟนว่า “เออเธอแค่นี้นะ เงินที่หยอดไปมันหมดแล้ว” คุณชาติก็วางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งคุณชาติก็บอกว่า ตัวเขาก็หันกลับมามอง ผู้ชายคนนั้นก็ยังยืนอยู่เสาไฟฟ้าที่เดิมแล้วเอียงคอชะโงกหน้ามองคุณชาติเหมือนเดิม คุณชาติคิดว่าเขาคงรอให้เราไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาก็จะคงเดินมาเข้าไปใช้โทรศัพท์สาธารณะเอง ไม่น่าจะมีอะไรคุณชาติก็เดินกลับบ้านไป เช้าวันต่อมาคุณชาติก็ไปทำงานเหมือนเดิมตามปกติ แต่วันนี้มีการประชุมหลายอย่าง ที่บริษัทก็มีปัญหาด้วย จากเดิมที่เคยกลับบ้านเฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ทำให้วันนี้นั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งดึกกว่าเดิม เมื่อนั่งรถสาธารณะมาลงหน้าปากซอยบ้าน ก็เดินผ่านบ้านหลังนั้นที่เป็นแหล่งแสงสว่างแสงแรก พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็ผ่านเสาไฟฟ้าไปจนถึงตู้โทรศัพท์ แต่วันนี้เป็นวันที่คุณชาติ ตกลงกับแฟนไปเมื่อวานว่าวันนี้เราจะคุยกัน 10 บาท คือครึ่งชั่วโมง คุณชาติก็หยอดเงินไป 10 บาท จากนั้นก็เริ่มโทรคุยกับแฟน ซึ่งระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ตาก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย คุณชาติก็ไม่เจอใคร แต่สักพักหนึ่งขณะที่คุณชาติหันหลังให้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อคุยกับแฟนเพลิน ๆ จนตัวเลขหน้าตู้โทรศัพท์มันก็ลดลงจนเหลือ 4 บาท คุณชาติก็หันกลับมา คุณชาติก็ได้พบกับผู้ชายคนเดิมยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าอีกแล้วในลักษณะชะโงกหน้ามองมาที่คุณชาติเหมือนเดิม แต่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเร่งหรือเดินเข้ามาหาคุณชาติ ตอนนั้นอารมณ์ของคุณชาติไม่ได้คิดเรื่องกลัวผีหรืออะไรเลย คุณชาติกำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นโจรหรือเปล่า หรือจะมาปล้นจี้มั้ย จากเดิมที่คุยกับแฟนสบาย ๆ ก็เริ่มเกิดความรู้สึกหวาดระแวง คุยโทรศัพท์ไปก็แอบเหลือบตามองไป ประมาณว่า ถ้ามองตรง ๆ เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว ถ้าเกิดเขาทำอะไรตอนนี้คงจะหนีไม่ทันเพราะ ยังอยู่ในตู้โทรศัพท์แบบนี้ คุณชาติก็แอบเหลือบตามองไป แกล้งหมุนตัวไป แต่ตั้งแต่ 4 บาท 3 บาท 2 บาท จนเหลือบาทสุดท้าย ผู้ชายคนนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยลักษณะท่าทางเดิม ไม่ขยับไปไหน คุณชาติเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มหลอน เพราะการที่มีคนหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยลักษณะแบบนั้นมันน่ากลัว พอถึงบาทสุดท้ายคุณชาติบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า “เธอแค่นี้ก่อนนะเราหมดเงินแล้ว” พอวางสายเสร็จคุณชาติก็รีบเดินออกไป ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้ออกมาจากเสาหรือยัง วันรุ่งขึ้นเป็นอีกวันที่คุณชาตินัดกับแฟนว่าจะคุยกัน 10 บาท และวันนี้เหมือนเดิมคืองานที่บริษัทมีปัญหาเคลียร์ไม่ลงตัว พอนั่งรถสาธารณะมาถึงหน้าปากซอยบ้านก็เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม จากนั้นก็เดินเรื่อย ๆ ผ่านบ้านหลังนั้นเหมือนเดิม เดินมาจนถึงเสาไฟฟ้า คราวนี้เพื่อความชัวร์ คุณชาติกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะมายืนรออีกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าคิดในแง่ดีเขาอาจจะมายืนรอคิวต่อโทรศัพท์ ถ้าคิดให้แง่ร้ายอาจจะมารอดูท่าทีว่าจะมาปล้นเราหรือเปล่า คุณชาติจึงยืนรอตรงเสาไฟฟ้า ประมาณว่าถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นจะเข้ามาร้าย อย่างน้อยจะได้ตะโกนดัง ๆ บ้านหลังแรกต้นซอยก็จะได้ยิน เพราะถ้าอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอันตรายกว่ามาก คุณชาติยืนรอตรงนั้นเกือบประมาณ 5 นาทีก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้น จึงคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นคุณชาติก็เข้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็หยอดเหรียญ ตัวเลขมันก็เริ่มถอยหลังจาก 10 ก็เป็น 9 เป็น 8 คุยไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นตาก็มองรอบๆ มองไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอใครที่เสาไฟฟ้านั้น คุณชาติก็เลยเกิดความสบายใจขึ้นเพราะไม่เจอผู้ชายคนนั้น และตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ คุณชาติก็คุยไปหัวเราะไป แต่มันจะมีจังหวะที่เขาหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วหัวเราะ พอหันกลับมา ก็เจอผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกมองอยู่หลังเสาไฟฟ้า ซึ่งมันเป็นช่วงจังหวะไม่กี่วินาที! ซึ่งไม่กี่วินาทีนั้นเขาจะวิ่งมาจากไหนเราต้องเห็น แต่อยู่ ๆ มายืนลักษณะเดิม คุณชาติก็เริ่มมองตัวเลขในโทรศัพท์ เหลือ 4 บาท ตอนนั้นก็ต้องตัดสินใจว่าจะวางแล้วหนีหรือยังไงดี แต่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะขยับหรืออะไรเลย ระหว่างที่คุณชาติคิดอย่างหวาดระแวงแฟนก็พูดไปเรื่อย ๆ ดูเวลาในโทรศัพท์ตอนนั้นก็เหลือ 3 บาท ลดลงมาเหลือ 2 เท่ากับเหลือเวลาอีก 6 นาที ถ้าวางตอนนี้แล้วขอตัวจากแฟนเลยเพื่อความปลอดภัยของตัวเองมันก็ได้ แต่มีสิทธิ์ที่จะทะเลาะกับแฟนสูงมาก คุณชาติจึงคิดว่า ระหว่างที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีจะมาทำร้ายคุณชาติ และแฟนที่ถ้าคุณชาติวางสายตอนนี้อาจจะมีปัญหากัน คุณชาติก็เลยตัดสินใจได้ว่า คุยกับแฟนต่อ พอคุยจนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็บอกแฟนว่า “เธอเงินหมดแล้วแค่นี้นะ” คุณชาติก็รีบเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ พอจังหวะที่เดินออกมาก็ยังเห็นผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกหน้าอยู่หลังเสาไฟฟ้า วันนี้คุณชาติโทรศัพท์คุยกับแฟนนานเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเขามายืนรอเป็น 10 นาทีเลย คุณชาติเริ่มรู้สึกระแวง เลยรีบเดินออกไป แต่ก็มีหันเหลือบตาไปมองทางขวาว่าผู้ชายคนนั้นวิ่งตามหรือเดินตามมามั้ย ปรากฎว่าผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่เสาไฟฟ้าแล้ว คุณชาติก็พูดออกมาว่าเลย “เห้ย! แล้วหายไปไหน” ด้วยความระแวงจึงรีบเดินจ้ำออกจากตรงนั้น ปรากฎว่าได้ยินเสียงปิดประตูดัง ปั้งงงงง!!!! มาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้นั้นที่คุณชาติพึ่งใช้บริการไปเมื่อกี้ พอคุณชาติได้ยินเสียงที่ดังมากจาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ก็สะดุ้งแล้วหันกลับมามองที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เขาเห็นคือ ผู้ชายคนนั้นนอนอยู่ในตู้โทรศัพท์ ในลักษณะเหมือนกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วขาก็ยันไว้กับตู้โทรศัพท์ ส่วนคอเอียงไปด้านหนึ่งแล้วก็มีเลือดไหลออกมา มือก็ห้อยไปด้านข้าง ส่วนหูโทรศัพท์สาธารณะก็ห้อยมาด้านข้างเหมือนกัน คุณชาติเห็นแบบนั้นก็ร้องลั่นวิ่งกลับบ้าน แล้วก็รีบวิ่งมาบอกคุณแม่ว่า “ผมเจอผี ผมเจอผี!” แล้วก็เล่าทุกอย่าง แม่ก็บอกว่า “ใจเย็น ตาฟาดหรือเปล่า” คุณชาติก็ตอบกลับคุณแม่ว่า “ไม่ฟาดแม่ลักษณะแบบนี้เลย” แม่ก็บอก “เราก็อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เคยเจอเลยนะ” สุดท้ายพอได้เห็นเหตุการณ์นั้นคุณชาติก็ไข้ขึ้นสูง วันรุ่งขึ้นคุณชาติไม่ได้ไปทำงาน ตอนเย็นแม่ก็เอาข้าวต้มมาให้ แม่ก็บอกว่ากับคุณชาติว่า “แม่รู้แล้วนะ แม่ไปเล่าให้ป้าข้างบ้านฟัง ว่าชาติอ่ะโดนผีหลอกมา” ป้าข้างบ้านก็บอกกับแม่คุณชาติว่า “อ้าวว…ไม่รู้เรื่องหรอ?” แม่ถามว่าเรื่องอะไร จากนั้นคุณป้าข้างบ้านก็เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นตรงกับที่คุณชาติกับแม่ไปต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์ ทั้งคู่จึงไม่รู้เหตุการณ์นี้ เหตุการณ์นี้คือ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปแล้วเอามีดจี้เพื่อจะปล้นเอาเงิน ผู้ชายในตู้โทรศัพท์ก็ยื่นเอาเงินให้วัยรุ่นคนนั้นแต่โดยดีโดยที่ไม่มีการขัดขืน โจรวัยรุ่นคนนั้นรับเงินมาแล้วแล้วก็วิ่งหนี แต่อยู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมา เปิดประตูวิ่งไล่โจรเพื่อจะไปเอาเงินคืน พอวิ่งมาถึงเสาไฟฟ้าต้นนั้น และเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา จนสุดท้ายโจรวัยรุ่นก็เอามีดมาปาดที่คอผู้ชายคนนั้น แล้วโจรก็วิ่งหนีหายไป ส่วนผู้ชายคนนั้นก็กระเสือกกระสนมาที่ตู้โทรศัพท์เพื่อจะโทรขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตคาตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยสภาพศพตรงกับสิ่งที่คุณชาติเห็นทุกอย่าง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’งานลิเกในคืนนั้น‘ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 30 ก.ค. 2567]

07 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’งานลิเกในคืนนั้น‘ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 30 ก.ค. 2567]

ตั้งแต่เด็กจนโตได้ยินมาตลอดว่าเจออะไรห้ามทักมั่วซั่วถ้าไม่อยากเจอผี แล้วเคยสงสัยไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ทำตาม หรือเราทักโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวนี้มีชื่อว่า ‘งานลิเกในคืนนั้น’ จาก ’พี่แจ็ค The Ghost’ ได้นำมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง ในรายการ อังคารคลุมโปง X’ (30 กรกฎาคม 2567) ถ้าอยากรู้ว่าจะเจออะไร ตามไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงประมาณปี 2554 ตอนนั้นคุณนิว (เจ้าของเรื่อง) ยังเรียนอยู่ ซึ่งครอบครัวของคุณนิวเป็นครอบครัวลิเก มีพระเอก นางเอก เป็นหัวหน้าอยู่ในคณะ ซึ่งวันนั้นหลังจากเลิกเรียน คุณนิวก็มุ่งไปโรงลิเก เพราะต้องไปเล่นที่จ.ลพบุรี ซึ่งใช้เวลาเดินทางพอสมควร จากช่วงเย็น ๆ กว่าจะไปถึงก็เกือบ 2 ทุ่ม โดยมีพี่สาวเป็นคนขับ แม่นั่งข้างคนขับ ส่วนคุณนิวนั่งดูวิวนอกหน้าต่าง ระหว่างเดินทางคุณนิวก็นั่งมองอะไรไปเรื่อย เห็นอะไรก็ทักตามประสาวัยรุ่น พอไปเจอสี่แยกหนึ่งซึ่งรถจอดรอไฟแดง คุณนิวเห็นผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษายืนตรงสี่แยก ด้วยความที่เห็นสาวเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่วัดนี้คืนนี้มีเล่นลิเก ตามมาดูซิ” พี่สาวหันมามองแล้วถามว่า “พูดอะไร” แต่คุณนิวมักจะโดนดุบ่อย ๆ ว่าอย่าทักอะไรไปเรื่อย คิดว่าเดี๋ยวโดนบ่นอีก จึงพูดไปว่า ”ไม่มีอะไร ซ้อมบทเล่นลิเกคืนนี้อยู่“ ไม่นานก็มาถึงโรงลิเก ทุกคนเข้าไปแต่งหน้าที่หลังเวที โดยที่จะมีพ่อแก่อยู่หลังฉาก หันหน้ามาทางด้านหลังเวที แล้วเหล่าบรรดาลิเกที่แต่งหน้าก็จะหันหน้าไปทางพ่อแก่ ตอนที่คุณนิวแต่งหน้าก็มีกระจกบานใหญ่ ทำให้เมื่อมองด้านหลังจะเห็นแม่ยืนคุยเรื่อยเปื่อยกับพระเอกลิเก แต่หางตาดันเป็นนักศึกษาผู้หญิงเดินผ่านหลังโรงลิเกไป พอหันไปมองอีกรอบแต่ก็ไม่เห็น เห็นแค่เเม่กับพระเอกลิเกที่ยืนคุยกันอยู่ จากนั้นก็ได้เวลาออกไปเล่นลิเก ทุกคนก็ออกไปเล่นลิเกปกติ ในคืนนั้นคุณนิวต้องออกไปแสดงทั้งหมด 4 ซีน ซีนแรกก็รำออกไปปกติ แล้วก็มองไปที่คนดูด้านหน้าเวที พอมองเลยไปก็จะเป็นซุ้มประตูวัด แล้วคุณนิวก็เห็นผู้หญิงชุดนักศึกษาอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่า ‘มาได้ไงวะ’ เพราะจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะใช่ แล้วก็แสดงไปจนกระทั่งจบซีนที่ 1 หลังจากนั้นซีนที่ 2-3 ที่คุณนิวออกไปแสดงก็เล่นตามปกติ จนมาถึงซีนที่ 4 ซีนที่ 4 คุณนิวต้องแสดงเป็นโจร เป็นซีนที่จะจับนางเอกไปเป็นภรรยา แล้วนางเอกต้องตบหน้า พอจังหวะนั้นคุณนิวต้องร้อง แต่ปรากฎว่าเขาไม่ร้อง เขาค้าง เพราะผู้หญิงชุดนักศึกษาที่ยืนหน้าซุ้มประตู เขาไปยืนอยู่บนกำแพงวัด! คุณนิวก็ค้าง แล้วก็ช็อตไปเลย นางเอกลิเกจึงเอาไมค์ออกแล้วถามว่า ”นิวเป็นอะไร ทำไมไม่โฟกัสเล่นลิเก“ คุณนิวใช้เวลาในการตั้งสติ แต่ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่บนกำแพงวัดแล้วยิ้ม คุณนิวพยายามเล่นลิเกต่อจนเสร็จ พอกลับเข้ามาหลังเวที ตอนนั้นคุณนิวรู้สึกแปลก ๆ และนึกถึงคำพูดที่ตนพูดบนรถ คำนั้นอาจทำให้ผู้หญิงคนนี้ตามมาก็เป็นได้ ในระหว่างนั่งพักอยู่ข้างหลังโรงลิเก ซึ่งตอนนั้นซีนของคุณนิวหมดแล้ว เหลือเวลาอีก 30 นาทีก่อนที่การแสดงจะจบลงแล้วทุกคนต้องออกมาเรียงแถวกันลาผู้ชม คุณนิวก็เกิดอาการปวดท้อง จึงถามหัวหน้าว่าจะไปเข้าห้องน้ำจะกลับมาทันก่อนจบการแสดงหรือไม่ หัวหน้าก็ดูเวลาแล้วบอกว่าทัน คุณนิวจึงถอดชุดลิเกแล้วเดินไปห้องน้ำ จากโรงลิเกไปห้องน้ำนั้นทางเปลี่ยวและมืดมาก ตอนที่เดินไปก็จะมีไฟสลัวเป็นระยะ คุณนิวจึงร้องเพลงลูกทุ่งขึ้นมา ร้องมาได้แค่ 1 ท่อน หลังจากจบท่อนนี้ก็ได้ยินเสียงเดิน เสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้นของผู้หญิงดังมาจากทางที่มาจากโรงลิกเก คุณนิวจึงหยุดแล้วฟังเสียง แล้วก็เห็นผู้หญิงชุดนักศึกษาร้องไห้ ด้วยความที่คุณนิวเป็นคนที่ทักอะไรไปเรื่อยจึงพูดขึ้นมาว่า ”เธอเป็นอะไรไหม ร้องไห้กลางค่ำกลางคืนแบบนี้เป็นอะไรไหม“ ผู้หญิงคนนี้ก็เดินไปแล้วก็ร้องไห้ คุณนิวก็พยายามเดินตามไปถามว่า ”เป็นอะไรไหม” ระหว่างที่เดินตามผู้หญิงคนนี้ก็ถามไปเดินไปด้วย แล้วก็หันมองไปทางโรงลิเกเพราะกลัวว่าตนจะกลับไปไม่ทัน จนคุณนิวก็พูดว่า “ตกลงคุณเป็นอะไรไหมเนี่ย” ผู้หญิงคนนั้นก็หยุด คุณนิวหันไปมองทางโรงลิเก มองดูระยะทางเพราะมันก็คงใช้เวลาสักพักกว่าจะเดินไปถึง พอคุณนิวหันกลับมา ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาก็ทำให้คุณนิวช็อคจนถึงทุกวันนี้! ผู้หญิงคนนั้นหันมาหน้าไม่ใช่หน้าคน แต่หน้าตาเละ ถ้าถามว่าเละแบบไหน ให้นึกถึงลูกแตงโมที่โดนรถทับแล้วเละ จังหวะนั้นคุณนิวตกใจรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิตกลับมาที่โรงลิเกทันที พอมาถึงโรงลิเก พี่พระเอกและพี่นางเอกก็ถามว่า “เป็นอะไร” ตัวคุณนิวก็ไม่กล้าพูดเพราะไม่รู้ว่าไปเจออะไรมา ไม่รู้ว่าผีหลอกหรืออะไร รู้แค่ว่าสิ่งที่เขาเจอเมื่อครู่มันทำให้เขามาอยู่ตรงนี้ เขาจึงนั่งพัก ตั้งสติ พอขึ้นลาโรงลิเก ก็ไปเล่าให้กับหัวหน้าฟังว่าเจอแบบนี้ หัวหน้าก็บอกว่า “ก็ว่าแล้วทำไมแปลก ๆ เห็นตั้งแต่ตอนแต่งหน้า เห็นร้องไห้อยู่หลังโรงลิเกตั้งแต่เย็นแล้ว ก็นึกว่าเป็นแฟนคลับนิว เห็นจ้องแต่นิว“ คุณนิวก็ไปเล่าต่อให้คุณแม่ ให้กับผู้ใหญ่ฟัง และก็เดินเข้าไปหาเณรที่มาดูลิเกเพื่อสอบถามว่า ”ที่วัดยังมีพระองค์ไหนที่ยังไม่นอนไหม อยากให้พรมน้ำมนต์ให้หน่อย“ เณรตอบตกลง แต่ระหว่างที่คุยกัน ก็มีหลวงตาเดินเข้ามาพูดว่า “เจอหรอ เจอผู้หญิงนักศึกษาใช่ไหม” คุณนิวถามต่อว่า “หลวงตารู้ได้ยังไง” หลวงตาบอกว่า “ผู้หญิงที่รถทับตายตรงสี่แยกใช่ไหมหล่ะ” คุณนิวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็พาไปกุฏิเพื่อพรมน้ำมนต์ให้แล้วพูดว่า “เป็นไงหล่ะ ชอบไปทัก ไปชวนอะไรเขามั่วซั่ว เห็นอะไรก็พิจารณาให้ดีก่อนว่าใช่หรือเปล่า เบื่อกับการเรียกแฟนคลับมาดูลิเกแล้วหรือไง ถึงไปเรียกผีมา“ สรุปคือตรงสี่แยกนั้นมีนักศึกษาโดนรถสิบล้อทับที่หัวเสียชีวิตเมื่อ 4 วันก่อนศพเพิ่งเผาไปก่อนวันที่คุณนิวมาเล่นลิเก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากมิวสิค ‘ตู้กระจก’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

11 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากมิวสิค ‘ตู้กระจก’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

‘มิวสิค’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ตู้กระจก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! มิวสิคเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านของมิวสิคเอง โดยครอบครัวของมิวสิคจะเป็นครอบครัวใหญ่ บ้านของมิวสิคมีทั้งหมด 4 ชั้น แต่คนในบ้านจะไม่ค่อยอยู่เพราะอยู่ไกลตัวเมือง ทำให้มีบางช่วงเวลาที่คนในบ้านจะพาเพื่อนมาที่บ้านของมิวสิคหลังนี้ และเวลาคนนอกเข้ามา ทุกคนจะเจอกับ ‘ผู้หญิงคนหนึ่ง’ เสมอ ซึ่งผู้หญิงคนนี้จะอยู่ในห้องที่เรียกว่า ‘ห้องสีชมพู’ เวลาแขกมาก็จะอยู่ห้องชมพู จนมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายพาเพื่อนมาเที่ยวบ้าน ตัวพี่ชายของมิวสิคก็นอนห้องตัวเอง ส่วนเพื่อนของพี่ชายนอนห้องสีชมพู ซึ่งทั้งสองห้องไม่ได้ไกลกันมาก ในคืนนั้นพี่ชายของมิวสิคก็ฝันว่าตัวของพี่ชายนั้นตื่นขึ้นมา แล้วหันไปตรงประตูห้องน้ำก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายมิวสิคมาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่มิวสิค และจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็กรี๊ดและพุ่งเข้ามาหาที่หน้า แล้วพี่ชายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่ในขณะที่สะดุ้งตื่นนั้นพี่ชายก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่อยู่ในห้องสีชมพูกำลังโวยวาย พี่ชายจึงรีบวิ่งไปหาเพื่อน เพื่อนของพี่ชายจึงบอกว่าเมื่อกี้ฝันว่าตื่นขึ้นมาบนเตียง แล้วเจอผู้หญิงยืนอยู่หน้าห้องน้ำกรี๊ดเสียงดังและพุ่งเข้ามา คุณปู่ของมิวสิคเป็นคนหัวแข็งและชอบสะสมของเก่า แต่เวลาคนในบ้านพาใครมาก็จะเจออะไรแปลก ๆ เสมอ เช่นบางคนนอนอยู่แล้วฝันว่ามีคนมาลูบหัวแล้วจิกหัว โดยทุกคนจะฝันที่ห้องสีชมพูนี้กันหมด คุณปู่ของมิวสิคอยากรู้ว่ามีจริงมั้ย เลยท้าให้ผู้หญิงคนนั้นมา เพราะนี่คือบ้านของคุณปู่ ด้วยความที่มิวสิคมีเซ้นส์ก็จะเจอผู้หญิงคนนี้บ่อยมาก จึงมักจะบอกคุณปู่เสมอว่าคน ๆ นี้มีจริงนะ แต่คุณปู่ไม่เชื่อ มิวสิคจึงปล่อยคุณปู่ท้าไป เมื่อถึงตอนที่คุณปู่ตื่น คุณปู่ก็ดูไม่มีอะไรและเงียบไป มิวสิคเลยไปหาแม่บ้านแล้วก็พูดถึงคุณปู่ว่า “ไหนเป็นไง ไม่เห็นพูดเลย ไม่เจอหรอ” แม่บ้านจึงเล่าให้ฟังว่าคุณปู่เจอผู้หญิงมายืนร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูแล้วเอาเล็บขูดประตูทั้งคืน แต่คุณปู่ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ เพราะคุณปู่รู้สึกว่าถ้ายิ่งเชื่อก็จะยิ่งอยู่ ซึ่งมิวสิคมักจะเจอผู้หญิงคนนี้เวลากำลังจะไปโรงเรียนในตอนเช้า ผู้หญิงคนนี้จะยืนอยู่ตรงพุ่มไม้บ้าง ยืนชะโงกดูบ้าง นั่งมองบ้าง ตัวมิวสิคอยู่โรงเรียนประจำ จะไม่อยู่บ้านตั้งแต่จันทร์ - ศุกร์ ในช่วงนั้นน้าของมิวสิคที่อยู่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องเก็บของเก่า มีลูกสาวอยู่คนหนึ่งที่ชอบเล่นด้วยกันกับมิวสิค ในตอนนั้นลูกสาวของน้ากำลังจะนอน แต่อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่ พี่มิวมาหา พี่มิวยืนอยู่ตรงนี้พี่มิวมาหา” แต่ ณ ตอนนั้นมิวสิคอยู่โรงเรียนประจำ โดยทุกคนที่เจอผู้หญิงคนนี้จะบอกว่าหน้าเหมือนมิวสิค บางทีมิวสิคคนอนอยู่ชั้น 4 ที่อยู่บนสุด ก็เห็นมือสีขาวลงมาจากฝ้าที่มีรู หรือมีครั้งหนึ่งเป็นงานแต่งของพี่คนหนึ่ง ทำให้มีคนมานอนที่บ้านเยอะ ณ ตอนนั้นมิวสิคนอนกับคุณแม่ ห้องของมิวสิคเป็นชั้นลอยและมีกระจกใสที่มองทะลุเห็นห้องนั่งเล่น ในขณะที่นอนอยู่แม่ก็ฝันว่ามิวสิคกอดคุณแม่แน่น คุณแม่ถามว่ามิวสิคเป็นอะไร แต่ก็มีอะไรดลใจให้มองไปตรงกระจก ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ห้องนั่งเล่นแล้วกรี๊ดแบบไม่พอใจจนกระจกสั่น แม่มิวสิคจึงบอกว่า “วันนี้เป็นวันมงคลจะทำตัวแบบนี้ทำไม” เมื่อคุณแม่ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่ามิวสิคกอดคุณแม่อยู่จริง ๆ แล้วมีวันหนึ่งคุณแม่ของมิวสิคได้ไปเจอหมอดูคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน หมอดูก็ทักว่า “อยากรู้ไหมว่าผู้หญิงที่บ้านเขามาได้ยังไง” คำตอบคือ ผู้หญิงคนนี้มากับตู้ไม้กระจกที่ตั้งอยู่ที่บ้าน ซึ่งผู้หญิงคนนี้อยากได้ศาล แต่อย่าไปตั้งศาลให้เค้าเพราะเค้าอยากให้ที่นี่เป็นที่ของเค้า มิวสิคจึงกลับบ้านเพื่อไปดูว่าตู้ไม้อยู่ที่ไหน เพราะคุณปู่มีของเก่าเยอะมาก จนไปเจอซอกหนึ่งของบ้านที่มีตู้ไม้กระจกตั้งอยู่ และเป็นตู้ที่มิวสิคชอบไปยืนดูตั้งแต่เด็ก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก บอย ธิติพร 'บ้านท่าน้ำนนท์' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

04 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก บอย ธิติพร 'บ้านท่าน้ำนนท์' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบอย ธิติพร‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’บ้านท่าน้ำนนท์‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณบอยเล่าว่า ตนได้ไปซื้อบ้านโบราณ เนื่องจากอยากจะสร้างบ้านอยู่กับครอบครัว ไม่ได้ตั้งใจอยากจะทำเป็นร้านอาหารแต่อย่างใด จึงไปบอกกับย่าว่าถ้าหากแถวนี้มีใครขายที่ติดน้ำ ให้บอกตนด้วย ตนจะได้ซื้อไว้ หลังจากนั้น คุณบอยแวะเวียนไปดูบ้านหลายหลัง แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงซื้อเสียที จนอยู่มาวันหนึ่ง ย่าก็บอกว่า“ พรุ่งนี้จะมีคนขายบ้าน มาดูหน่อยสิ” ตนก็ถามคุณย่าว่า “บ้านหลังนี้คือบ้านหลังไหน?” ย่าก็บอกว่า “ตรงนี้ไงที่เราไปเล่นตอนเด็ก ๆ” แต่คุณบอยนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จนกระทั่งคุณย่าพาตนกับน้องชายไปดูก็ต้องตกใจเพราะบ้านเก่ามาก สภาพคือบ้านร้าง ไม่มีคนอยู่ คุณย่าจึงเล่าให้ฟังว่า “บ้านหลังนี้เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องเรา เป็นบ้านที่ดองกับครอบครัวเรา เเต่เขาเสียชีวิตที่บ้านหลังนี้” ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปดูบ้านก็เห็นตะขาบตัวเท่าไม้บรรทัดเลื้อยผ่านหน้าตน น้องชายพูดออกมาว่า “เฮ้ยย เก่าขนาดนี้ ยังจะซื้ออีกหรอ” เเต่คุณบอยรู้สึกว่าบ้านหลังนี้สวย มันมีค่ามาก เเต่ตนก็เกิดความลังเลขึ้นว่าจะซื้อดีหรือไม่ เพราะบ้านมันเก่า ตนจึงไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบ้าน 2 หลังเเละมีต้นไทรย้อยลงมา เเล้วพนมมือพูดเสียงดังออกมาว่า ”เจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บ้านหลังนี้ ลูกมาซื้อเพื่อจะมาสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่ ถ้าเมตตาลูก ถ้าอยู่เเล้วทำมาค้าขึ้น ถ้าต้อนรับลูกเเละครอบครัว ขอให้แสดงสัญญาณมาหน่อยว่าต้อนรับเรา“ เมื่อคุณบอยพูดจบก็ลมแรงพัดเข้ามา ทั้ง ๆ บริเวณนั้นมันไม่ควรจะมีลม คุณบอยจึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้น หลังจากที่คุณบอยซื้อเสร็จ ก็เตรียมย้ายเข้ามา แต่เจ้าของบ้านก็บอกว่า “น้องบอยไม่ต้องรอกุญเเจจากพี่นะ งัดเข้าไปเลย” คุณบอยจึงงัดเข้าไป แต่ก็เจอสิ่งที่ตนคิดไม่ถึง เเต่ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ต่อมาก็ได้เรียกช่างและสถาปนิกมาเพื่อจะรีโนเวทบ้านใหม่ ในคืนวันนั้นคุณบอยได้ตื่นมาเข้าห้องน้ำเวลาประมาณตี 1-2 ที่บ้านของตัวเองอีกหลัง ตนยืนยันว่าไม่ได้ละเมอ มีสติมาก ในขณะที่กำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า “อย่ารื้ออ~ อย่ารื้ออ~” คุณบอยจึงได้ยกมือไหว้เเละพูดว่า “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะคะ ง่วง” ในตอนเช้าคุณบอยก็รีบขับรถไปหาย่าเเล้วเล่าเหตุการณ์ที่ตนเจอเมื่อคืน เเล้วคุณย่าก็ตอบกลับว่า “คงเป็นเเม่ตะเคียนของบ้านนั้นแหละ” คุณบอยตกใจเเละตอบกลับคุณย่าไปว่า “ทำไมไม่เล่าให้ฟังเลยล่ะ“ คุณย่าตอบกลับว่า ”ถ้าชั้นเล่า กลัวแกไม่ซื้อ“ นอกจากนี้เ ยังทราบจากคุณย่าอีกว่าบ้านหลังนี้ประกาศขายมา 10 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครซื้อ เเล้วคุณย่าก็ได้พาคุณบอยขึ้นไปชั้น 2 เเล้วจุดธูปไหว้ นั่นทำให้คุณบอยทราบว่ามีเสาตะเคียนอยู่ในบ้าน จึงไหว้และอธิษฐานว่า ”เเม่ตะเคียนคะ ถ้าไม่ให้หนูรื้อบ้านหลังนี้ เเล้วจะเก็บไว้ไปทำอะไร“ ในคืนนั้น คุณบอยฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินไปเดินมาในบ้านเเละบ้านสวยมาก มีคนเสิร์ฟอาหาร มีโต๊ะวางเรียงที่ริมน้ำ เมื่อตื่นมาก็รีบบอกกับครอบครัวว่าให้เปิดร้านอาหาร คุณบอยจึงต้องหาช่างมาทำแต่ติดต่อช่างก็ไม่มีใครรับทำ จนมาถึงคนที่ 9 เขาก็ทำให้ได้ และต้องรอประมาณ 9-10 เดือน เพราะเขาติดทำบ้านอยู่ เเต่เขามีเพื่อนที่เป็นช่างอีกคนก็ จึงให้เขาติดต่อคุณบอยกลับไป ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมงก็มีการติดต่อมา บอกว่าเป็นเพื่อนของช่างคนนั้น เขาอยากจะไปดูบ้านก่อนว่าอยากจะให้ทำอะไรบ้าง คุณบอยก็ได้นัดกับช่างให้มาดูบ้านเวลา 4 โมงเย็น เมื่อช่างมาถึงบ้านก็พูดกับคุณบอยว่า “โห พี่ให้ผมไปทำเเล้วผมจะทำยังไง พี่หาช่างอื่นเหอะเพราะว่ามันยาก บ้านพี่ดีหมดเลย” คุณบอยก็ตอบกลับว่า “คุณบอกว่ามันยาก มันสวย เเล้วคุณจะไม่ช่วยผมทำหรอ” ช่างก็ตอบกลับว่า “ผมก็อยากทำพี่ แต่ผมมีงานสร้างเเละรับเขาไว้ ว่างอีกทีกลางปีเลย” คุณบอยขอร้องให้ช่างช่วย เเต่ช่างก็บอกกลับมาว่าจะถามเพื่อนอีกคนให้ วันต่อมาเวลา 8 โมงเช้า ช่างคนเมื่อวานที่มาดูบ้านโทรกลับมาเเล้วบอกว่าจะรับทำบ้านคุณบอย ตนจึงตอบกลับว่า ”ไหนบอกติดงาน แล้วทำไมมาทำล่ะ?“ ช่างก็ตอบกลับว่า ”ก็เมื่อคืนอ่ะ มีผู้หญิงใส่ชุดไทยสีทอง มาอยู่ที่ปลายเท้าเเล้วบอกว่าให้ช่วยมาทำบ้านให้ชั้นหน่อย“ หลังจากนั้นก็เจรจาราคากันจนเสร็จแล้วช่างก็เริ่มทำงาน.. อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่คุณบอยกำลังเข้าห้องน้ำ ก็มีเสียงดัง “โอ้วว! เอ๊อออ!” มาจากบ้าน ตนก็ตกใจเพราะกลัวว่าจะมีอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรขึ้นกับช่าง จึงรีบออกมาเเล้วถามว่า “เกิดไรขึ้น ใครเป็นไร” ช่างก็ตอบกลับมาว่า “พี่ ผมถูกหวย!“ เเละได้เล่าว่า ”ผมกับแฟนนอนพักกลางวันอยู่บน ผมฝันเห็นบนเพดานบ้านพี่เป็นเลข 307“ แต่บ้านหลังนี้มันเลข 370 ในระหว่างที่คุณบอยกับช่างกำลังคุยกันอยู่ก็มีคนโทรหาเเล้วพูดว่า ”เฮ้ยย มึงก็ได้หลายหมื่นนะ มึงถูกเหมือนกัน” คุณบอยก็ตอบกลับไปว่า “จะถูกได้ไง เลขบ้านกู 370” เเล้วเขาก็ตอบกลับว่า “เปล่า มึงพิมพ์ไลน์ให้กูอะ 307” ตั้งเเต่อยู่บ้านนี้มาก็มีเรื่องที่คุณบอยนึกไม่ถึงเยอะ อย่างเช่น ในขณะที่เสิร์ฟอาหารลูกค้า ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมีทรงคล้ายกับแม่หมอ เขามากับสามีเเล้วถามตนว่า “คุณบอยคะ ข้างบนเขามีปาร์ตี้ชุดไทยกันหรอคะ” ตนก็บอก “ไม่นะคะ ไม่มีอะไร” เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวพี่ลงมานะ คุณบอยยืนรอตรงนี้” จากนั้นเขาก็หายไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง สามีเขาก็บอกคุณบอยว่า “พี่บอยไปทำอะไรก็ไปเถอะ ภรรยาผมเสร็จเเล้วเดี๋ยวผมเรียก” สักพักหนึ่งเขาก็เดินลงมา เเล้วบอกว่า “พี่ไปคุยกับผู้หญิงชุดไทย เขาขอบคุณบอยมากเลยนะที่ไม่รื้อบ้านเขา จากนี้ไปจะให้โชคคุณบอย“ เมื่อคุณบอยได้ทราบเช่นนั้นก็ตกใจว่าเขารู้เรื่องรื้อบ้านได้อย่างไร เพราะไม่เคยคุยกับเขาเเละไม่ได้ออกสื่อ เเต่ตนก็ไม่เชื่อเเละไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อมาก็มีรายการของ “อาจารย์พรหมญาณ” เข้ามาติดต่อถ่ายทำรายการที่บ้านของคุณบอย นัดเจอกันเวลาบ่ายโมงที่บ้าน สักพักหนึ่งอาจารย์ก็เดินเข้ามาเเตะไหล่ ตนจึงตกใจเเละถามกลับไปว่า “อาจารย์มาบ้านบอยถูกได้ยังไง อาจารย์รู้ได้ไงว่าบ้านบอยอยู่นี่” ปกติแล้ว หากมาที่บ้านหลังนี้ ต้องจอดรถอีกที่หนึ่งเเล้วเดินเข้าซอยมาถึงจะเจอบ้าน อาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า “ผมจะไม่รู้ได้ยังไง ผมขับรถเข้ามาในซอยบ้านคุณเเสงสีทองพุ่งถึงฟ้าเลย” จากนั้นก็เริ่มถ่ายรายการ อาจารย์ก็ได้บอกกับคุณบอยอีกว่า “เลขที่เดิมของบ้านหลังนี้คือ 103 บ้านหลังนี้ญาติพี่น้องตีกันมีราหู มีสิ่งลี้ลับเเละบ้านหลังนี้มีคาถาบังบดที่อยู่กับ 103 เเล้วเทศบาลนนทบุรีรื้อระบบออกเลขบ้านให้เลขบ้านใหม่ เลยทำให้คาถาบังบดหายไปหมด ตอนนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขายืนรอบเรา เขาโอบรับคุณบอยมากเลยนะ“ เเล้วก็ไปนั่งคุยกันต่อชั้น 2 ก็ถามว่า “คุณบอย หลังตู้ตรงนั้น มันมีอะไรอยู่หรอครับ” คุณบอยจึงตอบว่า “มันเป็นกองขยะ ยังรื้อไม่หมดเลย เพราะบ้านมันร้างมาอยู่หลายปี” อาจารย์บอกว่า “ผมขอไปรื้อได้มั้ย” แล้วอาจารย์ก็เดินไปหยิบกระดาษเป็นตาราง 9 ช่อง เเล้วพูดว่า “นี่คือดวงบ้านหลังนี้ ที่ผูกเอาไว้ ให้บูชาเเละเก็บเอาไว้” หลังจากนั้น คุณบอยก็ได้เอาใส่กรอบไม้ เเล้วเอาไปติดที่เสาหลักของบ้าน ครั้งแรกตอกตะปูเเล้วตอกไม่เข้า จึงยกมือไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอติดตรงนี้ พอตอกอีกครั้งรอบนี้ตอกเข้า อาจารย์ก็บอกอีกว่า “บ้านหลังนี้ทุกเสาเป็นไม้มะเคียนทั้งหมด เเละลงอาคมหมดทุกเสา คนที่อยู่ข้างบนไม่ได้มีเเค่เเม่ตะเคียนเงินตะเคียนทอง มีพ่อแก่แม่แก่ มีเจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มไปหมดในบ้านหลังนี้” ต่อมา เวลาลูกค้ามาทานอาหารก็เจออยู่เรื่อย ๆ มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าผู้ชายบอกกับคุณบอยว่า “เมื่อกี้ผมขึ้นไปห้องข้างบน เจ้าของห้องเขาบอกว่าเบื่อเพลงลูกกรุงละ ช่วยเปลี่ยนเป็นเพลงไทยเดิมให้หน่อย” ที่ร้านจึงต้องสร้างห้องแม่ตะเคียน ซึ่งห้องนั้นเวลาลูกค้ามาก็จะขอไปไหว้ ในช่วงเปิดร้านใหม่ ๆ ได้มี “ครูอ้อย ฐิตินาถ” กับ “พี่กาละแมร์” ได้มาทานข้าวที่ร้านเเล้วพูดในสิ่งที่ทำให้คุณบอยขนลุกว่า “น้องบอยครูเชื่อในเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร บ้านหลังนี้เขาเลือกคุณบอยนะ เเละครูเชื่อว่าคุณบอยเคยเป็นอะไรในรั้วในวังถึงจะต้องได้มาอยู่บ้านหลังนี้” ตนก็ได้เเต่ตอบกลับไปว่า “ครับ เจ้าของบ้านท่านแรกเป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ 6 ในขณะเดียวกันต้นตระกูลฝั่งคุณย่าพี่บอยเป็นเเม่ครัวในวัง ร.6” นอกจากนี้ ยังมีแม่หมอคนหนึ่งเดินมาหาบอกคุณบอยว่า “คุณบอยคะ รู้ไหมว่าซุ้มประตูนี้มันมีมนต์แคล้วคลาด ใครโดนของให้เดินเข้าเดินออกมันจะเเคล้วคลาด” มีอยู่วันหนึ่งก็ได้ลูกค้าเข้ามาจองโต๊ะที่ร้านประมาณ 10 คน ลูกค้าได้ชวนหมอดูมาดูดวงโดยใช้ห้องประชุมของร้านคุณบอย ซึ่งข้างบนเป็นห้องเเม่ตะเคียน เวลาล่วงเลยจนดึก ก็ยังดูดวงไม่เสร็จ จึงตั้งใจจะไปดูต่อที่โรงเเรมเพราะหมอดูเกรงใจคุณบอย แต่ก็ได้พูดว่า “ยังกลับไม่ได้ ต้องดูให้คุณบอยก่อน” คุณบอยก็รู้สึกงง เพราะไม่เคยรู้จักกันเเล้วก็ไม่ได้เป็นลูกค้าที่ให้ดูดวงด้วย หมอดูคนนั้นได้พูดกับตนว่า “พอดีคนข้างบนเขาฝากมาสื่อสารกับคุณบอยว่า แม่ตะเคียนขอบคุณคุณบอยนะที่ถวายข้าว ถวายน้ำให้ทุกวัน จนเขามีญาณเยอะ รอบ ๆ บ้านสัมภเวสีเยอะมาก โดยเฉพาะคนที่ตกน้ำตายหรือวิญญาณเร่ร่อนริมน้ำ ทุกวันพระเป็นไปได้มั้ยให้คุณบอยถวายข้าวให้เขากินด้วย ถ้าทำคุณบอยจะเจริญรุ่งเรือง และข้าง ๆ ริมน้ำของร้านมีต้นมะเดื่อชุมพรกับต้นก้านเหลืองอยู่ 2 ที่นั้นน่ะ มีนางฟ้าอยู่ด้วยนะ คุณบอยอย่าลืมไปถวายอาหารเขาบ้างนะ ทุกวันนี้เขาดูเเลริมน้ำทั้งหมดไม่ให้ใครมาวุ่นวาย“ เเละได้บอกอีกว่า ”ช่วงนี้คุณบอยดูไม่ปกติ ดูกังวล ดูชีวิตมีปัญหา ให้พี่บอยไปหาเเม่ตะเคียนข้างบน นั่งสมาธิเเละสื่อสารกับเเม่ตะเคียนว่าอยากให้ช่วยอะไร เขาอยากช่วยเเต่ไม่รู้ว่าคุณบอยต้องการอะไร” เมื่อคุณบอยทราบเช่นนั้นก็ตกใจว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนถวายเเม่ตะเคียนทุกวันเเละทราบได้อย่างไรว่าชีวิตมีปัญหา เพราะตนเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัวเเละเราก็ไม่ได้รู้จักกัน เเละได้บอกอีกว่า “ตอนนี้เรื่องร้านไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเเม่จะเรียกคนให้ ขอให้บอยรักษาตัวเองเเล้วทำให้ทุกอย่างกลับมา เพราะเเม่เป็นห่วง…”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1