ซื้อตู้เย็นมือสองมา แต่เกิดเรื่องน่าขนลุกขึ้น! ตกเย็นมาเปิดตู้เย็นก็แทบอ้วกเพราะกลิ่นเหม็นเน่า! กลางดึกยังเห็นเด็กผู้หญิงมุดเข้าไปในตู้เย็นคิดว่าเป็นโจร พอตามไปดูกลับปรากฏว่าร่างนั้นหายไป! ที่สยองกว่านั้นคือเจอหัวเด็กอยู่ในตู้กำลังสบตากับเขาอยู่!!!

อังคารคลุมโปง RECAP

ซื้อตู้เย็นมือสองมา แต่เกิดเรื่องน่าขนลุกขึ้น! ตกเย็นมาเปิดตู้เย็นก็แทบอ้วกเพราะกลิ่นเหม็นเน่า! กลางดึกยังเห็นเด็กผู้หญิงมุดเข้าไปในตู้เย็นคิดว่าเป็นโจร พอตามไปดูกลับปรากฏว่าร่างนั้นหายไป! ที่สยองกว่านั้นคือเจอหัวเด็กอยู่ในตู้กำลังสบตากับเขาอยู่!!!

17 พ.ย. 2023

       เมื่อตัดสินใจซื้อตู้เย็นมือสองที่ราคาแสนจะถูก กลับทำให้เขาต้องเจอเหตุการณ์หลอน ๆ อะไรบางอย่าง  รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พ.ย. 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ  ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของของมือสอง ที่มาพร้อมกับความหลอนน่ากลัว จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย!

       เรื่องนี้ ‘คุณวิทย์ เซลล์แมน’ นำมาเล่าให้พี่แจ๊คฟัง เริ่มเรื่องโดยคุณวิทย์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘ป้าอร’ ซึ่งป้าอรอยากเปิดร้านอาหารตามสั่ง จึงไปเช่าร้านและเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดไปนั่นก็คือ ‘ตู้แช่’ ป้าอรก็คิดไปว่าถ้ามีตู้แช่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มมาอีก เช่น ค่าน้ำแข็ง ค่าเช่า ซึ่งมารวมดูแล้วก็คิดเป็นเงินหลายบาท ป้าอรจึงตัดสินใจจะซื้อตู้เย็นมือสองสภาพดีแทน เมื่อหาร้านที่ขายก็ไปเจอร้านหนึ่ง ชื่อว่า ‘เม้ง บริการ’ ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองทั่วไป ป้าอรไม่รอช้า รีบติดต่อไปหาทันที ปรากฏว่ามีตู้เย็นตรงตามที่ป้าอรต้องการพอดีเป๊ะ เป็นตู้เย็น 2 ชั้นใหญ่ ป้าอรจึงตัดสินใจขับรถไปดูด้วยตนเอง ทันทีที่ป้าอรเห็นตู้เย็นเครื่องนี้ก็ถูกใจมาก แต่ป้าอรก็คิดในใจว่าราคาอาจจะแพงเพราะตู้เย็นมีขนาดใหญ่ ป้าอรจึงไปถามเฮียเม้งว่า “ราคาเท่าไหร่” เฮียเม้งก็บอกว่า “ราคา 2,000” ได้ยินราคาแบบนั้น ป้าอรก็รีบตัดสินใจซื้อเดี๋ยวนั้นเลย เพราะถือว่าราคาถูกแถมยังมีประกันให้อีก 7 วันแถมมาด้วย ป้าอรนำตู้เย็นกลับมาไว้ที่ร้านเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านอาหารตามสั่งแบบที่ใจหวัง แต่ด้วยความที่จะเปิดขายวันแรก ป้าอรจึงนำเอาเครื่องรางของขลังมาไว้หลังตู้เย็น จากนั้นก็จุดธูปไหว้ขอพรให้ขายได้ขายดี

       เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เปิดร้านวันแรก ก็มีลูกค้าแห่เข้ามาซื้อของกันอย่างคับคั่ง ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนเวลา 2 ทุ่มของหมดทุกอย่าง ป้าอรจึงปิดร้าน ระหว่างที่กำลังเคลียร์ร้านป้าอรรู้สึกหิวน้ำ จึงเดินไปเปิดตู้เย็น แต่ทันทีที่เปิดตู้เย็น ก็มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เป็นกลิ่นที่แรงมาก ๆ โดยเฉพาะด้านบนที่เป็นช่องฟรีซ ป้าอรจึงจัดการรื้อของออกมาล้างทำความสะอาดทั้งหมด เสร็จแล้วก็กลับไปนอน แต่ในกลางดึกคืนนั้น ป้าอรได้ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางที่จะไปเข้าห้องน้ำ ป้าอรได้สังเกตเห็นบริเวณหน้าตู้เย็น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตู้เย็น! เด็กคนนั้นมีลักษณะท่าทางเหม่อ ๆ งุนงง ทำให้ป้าอรตกใจมาก จึงรีบเปิดไฟ แต่ปรากฏว่าเด็กผู้หญิงที่ป้าอรเห็นก็ได้หายไปแล้ว! ป้าอรคิดว่าตัวเองเหนื่อยจนตาลาย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็กลับเข้าไปนอนต่อ

       เช้าวันถัดมา ป้าอรได้ไปซื้อของเตรียมขายในจำนวนที่เยอะกว่าเดิมมาก และนำมาใส่ตู้เย็นไว้ ก่อนจะเปิดร้านก็ได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่หลังตู้เย็นตามเดิม ปรากฏว่า ขายดีเหมือนเดิมขายจนของหมดเกลี้ยง พอถึงเวลา 2 ทุ่ม ป้าอรก็ปิดร้านและจัดการเคลียร์ร้าน ด้วยความเหนื่อยป้าอรก็ไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะกินน้ำ แต่ทว่าก็มีกลิ่นเหม็นที่มากขึ้นกว่าเดิมเหม็นไปทั่วทุกชั้นของตู้เย็น ป้าอรโมโหพาลด่าตู้เย็นและเฮียเม้งว่าเอาของไม่ดีมาให้ และคิดว่าต้องไปคุยกับเฮียเม้งเสียหน่อย แต่หลังจากนั้นป้าอรก็เข้านอนและหลับไปด้วยความเพลีย

       ปรากฏว่าวันถัดมา ที่ร้านขายไม่ดี ไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยสักคน วันนั้นทั้งวันขายไม่ได้เลยสักจานเดียว ป้าอรจึงปิดร้านในเย็นวันนั้น แต่พอป้าอรเปิดตู้เย็นอีกครั้ง ก็มีกลิ่นเหม็นตีเข้ามา ซึ่งมีกลิ่นเหม็นขึ้นมากกว่าเดิมอีก! ครั้งนี้ป้าอรคิดว่าเป็นกลิ่นของหมูและเนื้อที่เหลืออยู่ในตู้เย็น จึงรีบโทรสั่งถังแช่พร้อมน้ำแข็งให้มาส่งเพราะจะเอาของมาแช่ในถังนี้ก่อน และได้ขอเบอร์โทรของช่างซ่อมตู้เย็นมาจากคนส่งน้ำแข็ง ในคืนนั้น ด้วยความกังวลว่าของจะเสียทำให้ป้าอรกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ แต่ทันทีที่เปิดประตูออกมาปรากฏว่า เจอเด็กผู้หญิงคนเดิม ผมรุงรัง ทำให้ป้าอรได้รู้ทันทีเลยว่าครั้งแรกที่เห็นนั้นไม่ได้ตาฝาด และในครั้งนี้เด็กผู้หญิงคนนี้ นั่งกอดเข่าเหม่อลอยอยู่หน้าตู้เย็น ป้าอรคิดว่าเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย จึงซุ่มรอดูว่าจะทำอะไรต่อ ผ่านไปสักพักหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าเข้าหาตู้เย็น และเปิดประตูมุดลงไปในตู้เย็น! และประตูก็ปิดลงเสียงดังปัง!! ป้าอรที่คิดว่าเป็นขโมยจึงรีบวิ่งไปหยิบสากกะเบือและย่องเข้าไปที่ตู้เย็น กะจะใช้ตีโจรคนนี้ แต่ทันทีที่ป้าอรเปิดประตูตู้เย็นออก กลับไม่มีอะไรเลย! มีแต่ของที่แช่ไว้ ด้วยความช็อก ป้าอรจึงรีบปิดตู้เย็นและจะหันหลังเดินออกไป ปรากฎว่าประตูตู้เย็นชั้นบนก็เปิดออก! มีแสงไฟลอดมา จึงหันหลังกลับไปมอง ทำให้ป้าอรกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะสิ่งที่ป้าอรเห็นนั้นคือ หัวของเด็กผู้หญิงที่อยู่ในช่องฟรีซ!!! หลังจากที่เสียงของป้าอรดังขึ้น หัวของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ลืมตาขึ้น!! ทำให้ป้าอรช็อกสลบไป!

       เช้าวันรุ่งขึ้น ป้าอรจึงรีบโทรไปหาเฮียเม้งบอกว่า “เฮียเม้ง ตู้เย็นเฮียเม้งอะ มีปัญหา มันน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง” เฮียเม้งจึงตอบกลับมาว่า “มันมีปัญหายังไง มันไม่เย็นหรอ” ป้าอรรีบตอบกลับไปว่า “ตู้เย็นเฮียมีผี!” พอได้ยินว่าตู้เย็นมีผี เฮียเม้งก็รีบตัดสายไป ป้าอรจึงโมโหและโทรกลับไป ปรากฏว่าโทรไม่ติด ป้าอรที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงคิดขึ้นมาได้ว่าคนส่งน้ำแข็งคนนั้นได้ให้เบอร์ช่างซ่อมที่ชื่อ ‘สมศักดิ์’ มา ป้าอรจึงติดต่อช่างให้มาดูตู้เย็นให้ ช่างมาถึงก็ได้ถามป้าอรว่าตู้เย็นเป็นอะไร ป้าอรที่ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เพราะตู้เย็นก็ปกติดี แต่มันมีผี ก็พยายามเลี่ยงคำตอบไปและถามช่างว่า “ช่างอยากซื้อตู้เย็นนี้ไหมล่ะ” ป้าอรพยายามจะขายตู้เย็นนี้ ประกอบกับช่างคนนี้เป็นช่างที่ซ่อมและรับซื้อด้วยอยู่แล้ว จึงตกลงรับซื้อในราคา 800 บาท ป้าอรตกลงขายตู้เย็นนั้นไป หลังจากนั้นป้าอรก็รู้สึกโล่งใจ นอนหลับเป็นปกติ ขายของได้แม้จะไม่ดีเหมือนเดิม แต่ก่อนหน้านั้นมีสิ่งหนึ่งที่ป้าอรสังเกตเห็นว่า ตอนที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน จะมีลูกค้าขับรถมาจอดที่หน้าร้านแต่ว่าคนที่นั่งมาด้วยจะสะกิดแล้วก็ขี่รถผ่านไปเลย หลายคนที่เข้ามาร้านก็จะเป็นลักษณะแบบนี้

       เช้าของอีกวัน ขณะที่ป้าอรกำลังจะเปิดประตูร้าน สิ่งที่ป้าอรเห็นทำให้ป้าอรแทบช็อก เพราะว่าตู้เย็นที่ขายไปกลับมาตั้งอยู่หน้าร้าน! ป้าอรตกใจรีบโทรไปหาช่างสมศักดิ์และถามว่า “ช่าง ทำไมถึงเอาตู้เย็นมาคืน แล้วตู้เย็นมาอยู่หน้าร้านได้ยังไง” ช่างสมศักดิ์จึงตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้คืน แล้วตู้เย็นไปอยู่หน้าร้านได้ยังไง” ป้าอรที่ได้ยินดังนั้นจึงเรียกช่างสมศักดิ์มาที่ร้าน พอมาถึงช่างสมศักดิ์ก็ตกใจเพราะเห็นว่าตู้เย็นมันมาอยู่ที่หน้าร้านจริง ๆ ป้าอรจึงถามว่า “แล้วตกลงมันเป็นยังไง” ช่างสมศักดิ์ก็ตอบกลับมาว่า “ซื้อมาในราคา 800 ก็อยากจะขายเลย อยากจะได้กำไรเร็ว ๆ ก็เลยเอาตู้เย็นนี้ไปขายให้กับร้าน ‘เม้ง บริการ’ แต่วันนั้นเฮียเม้งไม่อยู่ อยู่แต่ลูกสาวเขาก็เลยรับซื้อไว้ในราคา 1200” หลังจากนั้นทุกคนก็คาดเดากันว่า หลังจากเฮียเม้งกลับมาเห็นตู้เย็น คงตกใจให้คนเอาตู้เย็นมาคืนป้าอร ป้าอรที่คิดอย่างนั้น จึงยกตู้เย็นนี้ให้กับช่างศักดิ์ไป ช่างศักดิ์ที่ไม่ได้รู้เรื่องตู้เย็นนี้ ก็ดีใจรับตู้เย็นนี้ไป

       ผ่านไป 2 อาทิตย์ ขณะที่ป้าอรกำลังผัดข้าวอยู่ ก็เห็นมีรถกระบะคันหนึ่งขับมาจอดหน้าร้านและเห็นช่างสมศักดิ์เดินเข้ามาและนั่งกิน แต่ไม่ได้พูดอะไรกับป้าอร ป้าอรก็ไม่ได้พูดอะไรกับช่างศักดิ์ แต่มองหน้ากัน เหมือนกำลังดูเชิงกันอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งช่างสมศักดิ์กินข้าวเสร็จ ก็เรียกป้าอรมาคุยว่า “ป้าอร ตู้เย็นป้าอรอะ มีผี” ป้าอรจึงตอบกลับไปว่า “ฮะ! อะไรนะ? ฉันไม่รู้ว่ามันมีผี มันมีได้ยังไง” ป้าอรที่ไม่ยอมรับก็ตอบกลับไป ช่างสมศักดิ์ก็เล่าไปว่า เขาได้เอาตู้เย็นไปตั้งไว้ในบ้าน ในตอนกลางคืนเขาได้เปิดตู้เย็น  แต่มันมีกลิ่นเหม็นออกมา และในคืนหนึ่ง เขาออกมาจากห้องนอนกำลังจะมากินน้ำ ปรากฎว่าเขาได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นอยู่หน้าตู้เย็น ช่างสมศักดิ์ก็ตกใจว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร หลังจากยืนได้ไม่นาน เด็กผู้หญิงคนนี้ก็หันหน้าให้ตู้เย็น แล้วเปิดตู้เย็นมุดเข้าไป ด้วยความตกใจเขาก็รีบวิ่งตามไปดู แต่พอเปิดตู้เย็นดูก็ไม่เจออะไร เขาก็เลยปิดตู้เย็น แต่ทว่าทันทีที่ปิด ประตูข้างบนมันกลับเปิดออกเอง ทำให้เห็นว่ามีเห็นหัวเด็กผู้หญิงตั้งอยู่ในช่องฟรีซ! ช่างสมศักดิ์ตกใจมาก และทันทีที่ตื่นเช้ามา เขาจึงเร่งเอาไปโพสต์ขาย แต่ก็ไม่มีใครซื้อจนเวลาล่วงไปหลายอาทิตย์ จนกระทั่งช่างสมศักดิ์ตัดสินใจรื้อตู้เย็นนี้ออก แยกชิ้นส่วนเอาตัวที่เป็นถังตู้เย็นนี้ขายให้กับรถกับข้าว ส่วนมอเตอร์อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ขายให้กับ ‘เม้งบริการ’ แล้วเรื่องนี้ก็จบลงโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตู้เย็นเครื่องนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

07 ก.ค. 2023

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 มิถุนายน 2566) ที่ผ่านมา มีสายจาก ‘คุณเนฟ’ พยาบาลสาวที่ตอนเด็กเคยประสบพบเจอเหตุการณ์หลอนจึงนำมาเล่าให้ชาวอังคารคลุมโปงฟัง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เพลงผีบอก’ ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟ แล้วเปิดเพลง ‘ล่องเรือหารัก’ คลอไป อ่านไป ได้ฟีลกว่าเดิมแน่! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณเนฟยังเด็กและรับงานเป็นนักร้องที่รับจ้างไปร้องตามงานต่าง ๆ เช่น งานบวช งานวัด งานขึ้นบ้านใหม่ งานสังสรรค์ ก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างจะจ้างให้ไปร้องที่ไหน เรียกได้ว่าเดินสายร้องเพลงตั้งแต่เด็ก โดยมีคุณแม่ช่วยสนับสนุน และเป็นผู้จัดการคิวงานให้ ครั้งหนึ่ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มีสายจากผู้ว่าจ้างติดต่อมา ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายมีอายุ บอกว่าอยากให้คุณเนฟไปร้องเพลงในงานวัด ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่อีกตำบลหนึ่ง เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เป็นวัดที่คุณแม่เคยไปทำบุญกับเพื่อนมาก่อน และเป็นวัดที่ค่อนเข้าเดินทางเข้าไปลึกอยู่พอสมควร เส้นทางคดเคี้ยว เป็นวัดที่อยู่ติดเขา แต่ก็เป็นวัดที่สวย นาน ๆ จะจัดงานวัด คุณแม่จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี หากคุณเนฟได้ไปร้องเพลงที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ คุณลุงปลายสายก็รีเควสเพลงทั้งหมด 3 เพลง ได้แก่ สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก และยังบอกอีกว่า ถ้าในงานมีเพลงที่อยากให้ร้องเพิ่ม จะบอกอีกครั้ง จากนั้นก็นัดเวลากันว่า คุณเนฟจะต้องถึงที่งานเวลา 1 ทุ่ม และขึ้นร้องเพลงในเวลา 2 ทุ่ม โดยตกลงค่าจ้างไว้ที่ 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากกว่าเรตที่คุณเนฟเคยได้ เมื่อจัดการนัดแนะรายละเอียดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนถึงวันที่จะต้องไปร้องเพลง ปรากฏว่าคุณแม่ดันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงฝากให้คุณน้าที่เป็นเพื่อนกัน ชื่อว่า ‘น้าเปิ้ล’ มีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ มีแฟนชื่อ ‘พี่น้อง’ ในตอนแรกทั้งสองก็เพราะไม่เคยไปที่วัดแห่งนี้ แต่คุณแม่ก็บอกว่าจะมีค่าตอบแทนให้ พร้อมกับเขียนแผนที่ไว้ให้ละเอียด ทั้งน้าเปิ้ลและพี่น้องจึงตกลงช่วยพาไป โดยที่ไม่รับค่าจ้าง เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ วันที่จะต้องไปร้องเพลงนั้นเป็นวันเสาร์ น้าเปิ้ลและพี่น้องมารับคุณเนฟเวลา 5 โมงครึ่ง โดยใช้รถจักรยานยนต์ขับไป น้าเปิ้ลเป็นคนขับ คุณเนฟนั่งตรงกลาง และพี่น้องนั่งซ้อนท้าย เวลาผ่านไปประมาณ 30-40 นาที ก็ถึงตำบลนั้น จากนั้นก็ต้องขับเข้าไปในซอยเพื่อไปที่วัด เป็นซอยที่ไม่ค่อยมีบ้านคน ไฟระหว่างทางก็น้อยลง ติดบ้าง ดับบ้าง ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ เมื่อถึงสุดทางของซอยนั้นก็จะมีสามแยก ซึ่งต้องเลี้ยวขวา คุณเนฟบอกว่าหลังจากเลี้ยวขวามาแล้ว คุณเนฟรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ข้างทางไม่มีแสงไฟแล้วและเต็มไปด้วยความมืด คุณเนฟคิดว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาใกล้ 1 ทุ่มแล้ว ข้างทางเป็นสวนมันสำปะหลังเรียงเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ อากาศยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนเสื้อที่คุณแม่เตรียมมาให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ พี่น้องจึงกอดคุณเนฟไว้ไม่ให้หนาว เมื่อขับไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ถึงปลายทางเสียที สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือผ่านทางสามแพร่งเยอะมาก ซึ่งมันก็ตรงกับแผนที่ที่คุณแม่เขียนไว้ให้ นั่นแสดงว่าทั้งสามคนไม่ได้หลงทางอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงวัดเลย ไม่เจอแม้กระทั่งบ้านสักหลัง คุณเนฟไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่รู้สึกว่าเมื่อย ปวดขา และชาก้นไปหมด จึงขอให้น้าเปิ้ลจอดพัก แต่น้าเปิ้ลก็บอกว่าจอดไม่ได้ เพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้จอดพักเลย ข้างทางก็เปลี่ยว กลัวว่าจะมีโจรหรือสัตว์อันตราย น้าเปิ้ลบอกว่า “อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็เจอวัดแล้ว” คุณเนฟซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้าชัดเจน จึงชะโงกหน้าออกมาข้าง ๆ เพื่อที่จะมองไปข้างหน้า จังหวะนั้นทำให้คุณเนฟเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว หัวโล้น เดินก้มหน้าหลังค่อม แขนขวาเหมือนกับลากเสียมหรือจอบมาด้วย คุณเนฟที่ตอนนั้นยังเด็กเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไร และดีใจมากที่เจอคนสักที จึงพูดขึ้นมา “น้า! น้าถามคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน” แต่น้าเปิ้ลกลับขับรถเร็วขึ้น พี่น้องก็ยิ่งกอดคุณเนฟแน่นขึ้น คุณเนฟจึงชี้ไปที่ผู้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้นมาอีกรอบว่า “เนี่ย ๆ ถามคุณลุงคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน น้าจอดดด” แต่น้าเปิ้ลก็ไม่หยุดรถแต่อย่างใด ส่วนพี่น้องก็เอามือมาปิดหน้าคุณเนฟไว้ไม่ให้มองเห็น จากนั้นก็พูดว่า “เนฟ หนูอย่าทักนะลูก น้าไม่เห็นใคร น้ากลัว” คุณเนฟก็งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดแค่ว่าเป็นคน ไม่ได้นึกถึงสิ่งลี้ลับอะไร จึงพูดขึ้นว่า “น้า หนูเห็นคนจริง ๆ น้าจะไม่เห็นได้ยังไง เขาใส่เสื้อสีขาว” แต่น้าเปิ้ลก็พูดขึ้นว่า “เนฟ ไม่เอา อย่าทักนะลูก มืด ๆ แบบนี้ น้าไม่เห็นใคร” เมื่อเห็นว่าน้าพูดย้ำ ๆ แบบนั้น คุณเนฟจึงไม่พูดอะไรต่อ เวลาผ่านไปประมาณ 10-15 นาที คุณเนฟที่นั่งรถจนเมื่อยก็ทนไม่ไหว จึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า กลับบ้านมั้ย? หนูเหนื่อยแล้ว” น้าเปิ้ลจึงชะลอรถเพื่อโทรหาแม่ แล้วบอกว่าหาวัดไม่เจอ คุณแม่จึงตะโกนออกมาว่า “แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งนาน ตอนนี้มันสามทุ่มแล้ว!” น้าเปิ้ลก็บอกว่า “รู้สึกเหมือนผ่านมาไม่นานเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้โทรบอก” ซึ่งทั้งสามคนก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนกับผ่านไปไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ คุณแม่จึงบอกว่า จะโทรกลับไปหาคุณลุงคนนั้น ให้เขามารับ ส่วนคุณเนฟและน้าทั้งสอง ก็จอดรถรออยู่ตรงนั้นไปก่อน ผ่านไปสักพัก คุณแม่ก็โทรกลับมา บอกว่าติดต่อคุณลุงคนนั้นไม่ได้ โทรไม่ติด ประมาณว่าไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก คุณแม่จึงบอกให้ทั้งสามคนกลับ น้าเปิ้ลและพี่น้องจึงคุยกันว่าจะกลับยังไง เมื่อได้ข้อสรุปก็พบว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถหาทางกลับ เมื่อขับไปสักพัก คุณเนฟก็ได้ยินเสียงผู้ชายมีอายุลอยมาตามลมว่า “ร้องเพลงสิ” คุณเนฟจึงบอกพี่น้องว่า “พี่คะ หนูได้ยินเสียงคนเขาบอกให้หนูร้องเพลง” พี่น้องได้ยินก็กอดแน่นขึ้น น้าเปิ้ลก็ยิ่งขับรถเร็วขึ้นไปอีก! สักพักเสียงตามลมก็แว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ร้องเพลงสิ” ในตอนนั้นคุณเนฟไม่ได้กลัว หรือคิดถึงสิ่งลี้ลับอะไร ด้วยความไร้เดียงสาจึงบอกไปว่า “น้า เขาบอกให้หนูร้องเพลง เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้เขาดีกว่า” น้าเปิ้ลจึงจอดรถข้างทาง “งั้นหนูร้องเพลง มีเพลงอะไรบ้างนะ ที่เขาขอมา” จากนั้นคุณเนฟก็ร้องเพลง 3 เพลงตามลิสต์ที่ผู้ว่าจ้างขอมา (ในรายการคุณเนฟร้องสด ๆ ให้ฟังด้วย) หลังจากที่ร้องเพลงจบ คุณเนฟที่เพลียมากจึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า หนูร้องจบแล้ว” น้าจึงยกมือไหว้มือท่วมหัวแล้วบอกว่า “ขอพาน้องกลับบ้านนะครับ น้ำมันก็จะหมดแล้ว” หลังจากนั้นอากาศที่เย็นมากก็เริ่มอุ่นขึ้นมา แล้วน้าเปิ้ลก็ออกรถอีกครั้ง ไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นแสงไฟ แล้วก็ออกจากทางสามแยกตรงนั้นได้ คุณเนฟที่เพลียมากก็ฟุบหลับไป คุณแม่บอกว่ากว่าจะถึงบ้าน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคุณเนฟไปทำบุญที่วัด คืนนั้นเอง คุณแม่ก็ฝันว่า มีคุณลุงใส่เสื้อสีขาว เป็นเหมือนเสื้อเชิ้ตสีขาวของคนแก่สมัยก่อน ใส่ผ้าโสร่งผูกข้างหน้าเก่า ๆ เดินหลังค่อม แขนขาลากเสียมขุดดิน หัวโล้น มองไม่เห็นหน้า พูดกับคุณแม่ว่า “ขอบใจนะ” แล้วก็ให้เลขคุณแม่มา สรุปว่าคุณแม่ก็ถูกหวยได้เงินมากกว่า 1,500 บาท หลังจากเล่าจบ ทั้งดีเจแนน ดีเจเจ็ม และชาวอังคารคลุมโปงต่างปรบมือให้กับจังหวะการเล่าเรื่องที่ดีมาก ๆ คุณเนฟ และชื่นชมเสียงร้องของคุณเนฟกันยกใหญ่ หากอยากฟังเสียงของคุณเนฟว่าจะเพราะสมคำร่ำลือหรือไม่ ก็ตามไปฟังแบบเต็ม ๆ ได้ที่(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

15 พ.ค. 2023

นอนไม่หลับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ตามหาต้นเหตุจนเจอถุงกระดาษปริศนา พอเช็คกล้องวงจรปิดก็พบว่าเป็น ‘ของ’ ที่ลูกค้าลืมไว้ ข้างในมีหม้อดินเผา ตุ๊กตาชายหญิง พร้อมคาถาให้สวด! ซ้ำยังมีเสียงแว่วเข้ามาในหูอีกด้วยว่า “ลองเปิดดูสิ”

เรื่องหลอนชวนหมาหอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) มีชื่อเรื่องว่า ‘ลูกค้าคนสุดท้าย’ จาก ‘คุณตาล’ เจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งย่านรัชดา เรื่องจะหลอนแค่ไหนนั้น.. ไปติดตามอ่านกันเลย! คุณตาลเกริ่นเรื่องว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านของเธอเอง ในช่วงดึกคืนหนึ่ง จวนเวลาใกล้ปิดร้านประมาณ 3 – 4 ทุ่ม มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเพื่อขอให้ทำสีผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธเพราะถึงเวลาที่จะต้องปิดร้านแล้ว “ทำสีผมใช้เวลานานมาก ไว้โอกาสหน้าได้มั้ยคะ? ขอสระผม ม้วนผมให้ก่อนได้มั้ยคะ?” ลูกค้าไม่ติดอะไร และนั่งรอคิวเพราะยังมีคิวก่อนหน้าที่ยังค้างอยู่ กระทั่งถึงคิวของเธอมาถึง เมื่อลูกค้าผู้หญิงคนนั้นทำผมเสร็จสรรพก็ออกจากร้านไป ในเวลา 5 ทุ่มกว่า คุณตาลจึงปิดร้าน เวลาล่วงมาจนถึงเที่ยงคืน หลังจากที่คุณตาลทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็รู้สึกแปลก ๆ เริ่มจากได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบนบ้าน แต่ก็คิดว่าคงเป็นเสียงจากตึกข้าง ๆ ไม่ได้คิดอะไรต่อ จึงเตรียมตัวจะนอนหลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เป็นเสียงที่เคาะหนึ่งครั้งแล้วก็ทิ้งระยะห่างไปสักพัก แล้วก็เคาะขึ้นอีก แม้จะแปลกใจและรู้สึกสงสัย แต่คุณตาลก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตู คุณตาลก็รู้สึกถึงความเย็นบางอย่างแทรกเข้ามาที่แขน แต่เมื่อเปิดไปไม่เจอใคร จึงตัดสินใจกลับไปนอนต่อ ผ่านไปสักพักก็ได้กลิ่นเหม็นขึ้นมา คุณตาลเล่าเสริมว่า “เหม็นเหมือนกลิ่นหมาเน่า” และพยายามหาต้นตอกลิ่นนั้นด้วยการดมกลิ่นตัวเอง เมื่อคิดว่ากลิ่นตัวไม่ใช่ต้นเหตุ จึงสลัดความคิดออกจากหัว แล้วพยายามนอนต่ออีกรอบ สักพักก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินอยู่รอบเตียง แล้วกลิ่นก็ตามไปรอบเตียงด้วย! คุณตาลทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นไปเปิดบานเกล็ดแอร์ เพื่อเช็คว่ากลิ่นมาจากแอร์หรือไม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ คุณตาลรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้น ลอยมาจากข้างหลัง..! คุณตาลหันหลังกลับไปดู ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงตัดสินใจเดินลงมาข้างล่าง ระหว่างที่เดินนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความที่ดึกมากและไม่มีใครอยู่ ชั้นล่างตรงนี้จึงเงียบสงัด คุณตาลเปิดตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบน้ำ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงแว่วน่าขนลุกดังขึ้นมาว่า “หิวน้ำ” คุณตาลคิดว่าคงฟุ้งซ่านไปเอง จึงหยิบน้ำมาดื่ม แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างผลักขวดน้ำ แม้จะตงิดใจแต่คุณตาลก็พยายามไม่คิดอะไร จากนั้นก็เดินตามหากลิ่นเหม็นเน่าต่อ กระทั่งพบถุงกระดาษใบหนึ่งวางไว้ที่ซอกโซฟา คุณตาลคิดว่าคงเป็นของที่ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาที่ร้านลืมไว้ จึงโทรหาพี่ที่รู้จักคนนึง แล้วก็ได้ยินเสียงปริศนาพูดขึ้นมาว่า “มึงอยากจะคุยกับกูหรอ?” คุณตาลใจดีสู้เสือไม่ตอบกลับอะไร และสงสัยว่าข้างในถุงกระดาษใบนั้นคืออะไร เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นรูปผู้หญิงนั่งชันเข่าวางไว้ในขันสีเงิน และมีเลือดเก่า ๆ อยู่ในนั้น! เมื่อรู้สึกว่านอนไม่ได้แล้ว และคิดว่ากับตัวเองในใจว่า “เอาละ กูโดนละ” จึงพูดออกมาว่า “ชั้นจะเอายังไงกับแกดี?” เมื่อสังเกตดูอีกครั้งก็เห็นว่ามีอีกถุง จึงเปิดดูและพบว่ามีหม้อดินที่มียันต์เขียนไว้ ลักษณะเหมือนทำเพื่อคนที่รัก! สักพักก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ลองเปิดดูสิ” แต่คุณตาลก็ไม่กล้าเปิดหม้อ และยังเห็นอีกด้วยว่าข้างในถุงมีหุ่นผู้หญิงกับผู้ชาย พร้อมคาถา และเขียนไว้ว่าถ้าสวดคาถานี้จะได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้โดยสมบูรณ์ คุณตาลคิดว่าข้างในหม้อคงจะเป็นศพเด็ก เพราะมีใบกระดาษเขียนกำกับ มีเลขวันชาตะ วันมรณะให้ชัดเจน คุณตาลตัดสินใจหาลูกค้าที่ลืมสิ่งนี้ไว้จากกล้องวงจรปิด นั่นยิ่งสร้างความหลอนให้เสียวสันหลังเข้าไปใหญ่ เพราะคุณตาลก็จะเห็นตัวเองในภาพจากกล้อง ที่ขนหัวลุกไปยิ่งกว่าคือคุณตาลเห็นเป็นเงามืดนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหัวดูโทรศัพท์พร้อมกับคุณตาล! คุณตาลบอกว่า ตอนนั้นตนรู้สึกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปมอง และยังได้ยินเสียงหายใจครืดคราดอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย! แม้ว่าจะลองปิด-เปิดกล้องดูแล้ว แต่ก็ยังเห็นเงานั้นอยู่เหมือนเดิม คุณตาลใจดีสู้เสืออีกครั้ง และพูดขึ้นมาว่า “แกอยู่ในบ้านเราไม่ได้นะ ไปตามคนของแกมา” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ตอนนี้คุณตาลรู้แล้วว่าเจ้าของถุงกระดาษนี้คือลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งคุณตาลไม่มีเบอร์ติดต่อเลย คุณตาลตัดปัญหาด้วยการเอาถุงมาครอบต้นเหตุกลิ่นเหม็นนั้นก่อน แต่แล้วก็พบว่ามันไม่ได้เหม็นจากในถุง.. แต่มันเหม็นมาจากเงาข้าง ๆ ที่เดินตามอยู่! กระทั่งตีสาม คุณตาลที่เหนื่อยมากก็หลับไป จนหกโมงเช้าเสียงโทรศัพท์โชว์เบอร์แปลกโทรเข้ามา ปลายสายพูดขึ้นมาว่า “พี่คะ หนูลืมของไว้อ่ะค่ะ” คุณตาลดีใจมาก จึงบอกว่าจะให้ไรเดอร์ไปส่งของให้และขอที่อยู่ แต่ปลายสายกลับปฏิเสธบอกว่าไม่สะดวกที่จะรับ ขอฝากไว้ที่คุณตาลก่อน แต่คุณตาลก็ไม่ยอม เมื่อตกลงกันไม่ได้ จู่ ๆ ปลายสายก็วางสายไป คุณตาลโทรจี้ไปหลายรอบ พอสายนั้นรับก็พูดว่า “หนูให้มาส่งก็ได้ค่ะ ส่งมาตามที่อยู่นี้นะคะ” คุณตาลเรียกไรเดอร์และจัดแจงให้ไปส่งของตามที่อยู่นั้น แล้วเสียงปริศนาก็ดังเข้ามาในหูอีกครั้งว่า “อืม กูไปแล้วนะ” แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะอยากจะนำของออกไปให้พ้นความรับผิดชอบตัวเองมากที่สุด เมื่อไรเดอร์มาถึง ก็ถามคุณตาลว่าของที่จะให้ไปส่งเป็นอะไร เป็นอาหารหรือเป็นของที่แตกง่ายหรือเปล่า คุณตาลตอบไปว่า “ไม่ใช่อาหารค่ะ พี่ว่าน้องอย่าเปิดเลยนะ” แต่ไรเดอร์ก็เปิด แล้วกลิ่นเหม็นก็ตีเข้าหน้าอย่างจัง แล้วเขาก็เอามือล้วงลงไปหยิบหุ่นผู้หญิงผู้ชายนั้นขึ้นมา ทำให้มือเปื้อน เขาจึงใช้ผ้าเช็ดรถมาเช็ดมือ จากนั้นก็ขับรถออกไปส่งของ เมื่อไรเดอร์ไปถึง เขาก็โทรกลับมาหาคุณตาลด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “พี่ครับ นี่มันที่คนอยู่จริง ๆ หรอครับ ผมไม่เห็นอะไรเลยเนี่ย พี่ให้ผมมาต้นไม้อะไรเนี่ย ผมเห็นแต่ศาลใหญ่ ๆ ตรงเนี้ย!” คุณตาลจึงให้ไรเดอร์โทรไปหาลูกค้าเจ้าของถุงนี้ แต่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ผมโทรไป 8-9 สายแล้วครับ เขาไม่รับเลย หลอกผมป้ะพี่” คุณตาลก็ช่วยโทรด้วย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววรับสาย ผ่านไปสักพัก เจ้าของถุงก็รับสายไรเดอร์แล้วบอกว่า “หนูอยู่ตรงร้านคาราโอเกะXXXค่ะ” เมื่อส่งของเสร็จเรียบร้อย ไรเดอร์ก็บอกว่าเหมือนกลิ่นเหม็นมันติดมือ พอกลับไปที่บ้านก็ทะเลาะกับภรรยา ไรเดอร์โทรมาด่าคุณตาล 3 วันได้ เขายังบอกอีกว่า “พี่ เวลาผมไปไหนอ่ะ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ้อนรถผมอยู่อ่ะ” และยังบอกว่า “เขามาชวนไปอยู่ด้วยทุกวันเลย ผมไปหาหลวงพ่อมา เอาน้ำมนต์ล้างมือ เอามาอาบน้ำ ก็ยังเหม็นอยู่เลยพี่ แล้วผมได้กลิ่นคนเดียวด้วยนะ พี่ให้ผมไปส่งอะไรกันแน่” คุณตาลจึงไปหาข้อมูลมา สรุปว่าสิ่งนั้นคือ ‘เป๋อ’ หลังจากนั้นไรเดอร์ก็เงียบหายไปประมาณ 8-9 วัน คุณตาลคิดว่าคงไม่เจออะไรแล้ว แต่ก็มาทราบทีหลังว่าไรเดอร์คนนั้นเกิดอุบัติเหตุ! (ทราบเพราะไรเดอร์โทรมา) แล้วหลวงพ่อก็แนะนำให้ไรเดอร์ไปบวช 7 วัน ขณะที่บวชอยู่ก็ยังเห็นสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ เช่นที่ปลายเตียงบ้าง ฝันถึงบ้าง จนครบ 7 วันแล้ว แต่ไรเดอร์ก็ยังไม่กล้าสึก วันเวลาผ่านไปอีกสักพัก เวลาเที่ยงคืนกว่า ลูกค้าคนนั้นก็มาที่ร้านอีกครั้งพร้อมกับของบางอย่างในมือ คุณตาลจึงรีบบอกลูกค้าไปว่า “ร้านปิดแล้วค่ะ” แต่ลูกค้าก็คะยั้นคะยอขอให้ทำผมให้ แต่คุณตาลก็ปฏิเสธด้วยความสุภาพแต่ก็เสียมารยาทเพราะเธอปิดประตูร้านลงต่อหน้าลูกค้าไปเลย คุณตาลบอกว่าหลังจากนี้ คงจะหลอนกับลูกค้าที่ถือถุงกระดาษไปอีกนาน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ไปพักโฮมสเตย์ เจ้าของใจดีมาดูแลแขกด้วยตัวเอง!

18 มี.ค. 2024

ไปพักโฮมสเตย์ เจ้าของใจดีมาดูแลแขกด้วยตัวเอง!

เรื่องนี้ ‘ลุงเก่งใจดี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโฮมสเตย์ของชาวบ้าน ที่ลุงเก่งได้ไปพักผ่อนกับครอบครัวในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ดันเจอเรื่องราวของเจ้าของบ้าน 3 คนสุดแปลก! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ลุงเก่งได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ มีการวางแผนในการเที่ยวและจองที่พักไว้หมดแล้ว แต่ลืมจ่ายค่ามัดจำที่พัก ทำให้ที่พักหลุดจองไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล ทำให้หาที่พักยาก ลุงเก่งจึงขอให้เจ้าของที่พักช่วยหาที่พักให้ เจ้าของที่พักก็แนะนำที่หนึ่งให้ เป็นที่พักแบบบ้านโฮมสเตย์ของชาวบ้านในพื้นที่ที่เปิดให้บริการ ในรูปเป็นบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ พอลุงเก่งเห็นรูปก็ตกลงจะพักที่นี่ ครอบครัวลุงเก่งเป็นครอบครัวใหญ่ ขับรถไปเที่ยว 2 คัน จึงแยกกันไปเที่ยวแล้วค่อยไปเจอกันที่ที่พัก ส่วนลุงเก่งจะไปที่พักก่อน พอถึงประมาณเที่ยง เจ้าของโฮมสเตย์จึงให้ ‘น้องบี’ (นามสมมติ) มาช่วย ลุงเก่งขึ้นไปสำรวจบ้านกับน้องบีที่ชั้น 2 ข้างบนมีห้องโถง 1 ห้อง ห้องใหญ่ 1 ห้อง ห้องเล็ก 2 ห้อง ห้องน้ำอยู่ข้างนอกระเบียง มีบันไดไม้เชื่อมกับระเบียงลงไปข้างล่าง ลุงเก่งมองออกไปเห็นคน 3 คนเดินเก็บของอยู่ที่ระเบียง คนแก่ 1 คนและวัยรุ่นผู้ชายกับผู้หญิง น่าจะเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ ลุงเก่งจึงถามน้องบีว่า “ข้างล่างที่เป็นส่วนของเจ้าของโฮมสเตย์ใช่ไหม” น้องบีตอบว่า “ใช่ค่ะ เจ้าของโฮมสเตย์อยู่ด้วย” พอสำรวจบ้านเสร็จน้องบีก็บอกกับลุงเก่งว่าถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรสามารถไลน์หาน้องบีได้ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นลุงเก่งก็ได้มาบอกกับครอบครัวให้เข้าไปพักที่บ้านได้ แต่ลุงเก่งสำรวจบ้านอีกรอบหนึ่งเพราะรอบแรกสำรวจยังไม่ละเอียด รอบนี้เห็นหิ้งพระขนาดใหญ่ที่ห้องโถงกลางบ้าน พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ของที่ใช้ถวายพระเป็นข้าวเหนียว หมากพลู 3 ชุดวางไว้ที่หิ้งพระ ลุงเก่งรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติไม่น่ามีใครถวายของไหว้พระแบบนี้ หรืออาจจะเป็นประเพณีของที่นี่ ลุงเก่งแค่แปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่ามีหิ้งพระในบ้านก็ทำให้สบายใจ ต่อมาลุงเก่งเดินไปห้องใหญ่ที่สุดของบ้าน พอเดินเข้าไปเห็นด้ายสายสิญจน์ขนาดใหญ่พันอยู่ตรงขื่อของบ้าน ทุกคนที่เดินไปด้วยพอเห็นก็ตกใจว่ามันแปลก จึงเดินไปดูห้องเล็กอีกห้องหนึ่ง แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะเจอผ้ายันต์เก่า ๆ ติดอยู่ตรงขื่อบ้านอีก ทุกคนเริ่มมองหน้ากัน เพราะรู้สึกว่าที่นี่แปลกมากจริง ๆ ลุงเก่งเห็นทุกคนเริ่มใจเสีย จึงพูดปลอบใจว่า “คงไม่มีอะไร เพราะบ้านเหมือนพึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็นของที่ใช้ขึ้นบ้านใหม่ก็ได้และที่สำคัญก็ไม่มีที่พักอื่นแล้วด้วย พักแค่คืนเดียวคงไม่มีอะไรหรอก” ทุกคนฟังแล้วก็ดูสบายขึ้นมา จึงแยกย้ายกันไปเก็บของ ส่วนห้องที่มีสายสิญจน์นั้นไม่มีใครกล้านอน ลุงเก่งเลือกนอนห้องโถงกับคุณแม่ พอเก็บของเสร็จทุกคนก็ลงไปถ่ายรูป แต่คุณแม่เหนื่อย เดินไม่ไหวจึงขอรออยู่ที่บ้าน พอตกตอนเย็นทุกคนก็กลับมาบ้านเพื่อปาร์ตี้กัน คุณแม่เล่าให้ฟังว่า “มีน้อง 2 คนขึ้นมาคุยด้วย ถามว่าแม่มาจากไหน” แม่ก็ได้ถามกลับไปว่า “น้อง 2 คนมาจากไหน” น้องตอบว่า “อยู่ที่นี่มานานแล้ว” พอคุยกันเสร็จ น้อง 2 คนก็เดินลงไปทางบันไดตรงระเบียง ทุกคนจึงปาร์ตี้กันปกติ ลุงเก่งนั่งหันหน้าเข้าตัวบ้าน ส่วนคนอื่นนั่งหันหน้าออกจากตัวบ้าน จู่ ๆ ลุงเก่งก็เหลือบไปเห็นคุณลุงที่เจอตอนเที่ยง ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนสีขาว กำลังเดินขึ้นบันไดมาแล้วยิ้มให้ ลุงเก่งจึงถามคุณลุงว่า “มีอะไรหรอครับ เสียงดังไปหรือเปล่า” คุณลุงไม่ตอบอะไร แค่ยิ้มให้แล้วก็เดินลงไป ลูกสาวได้ยินเสียงลุงเก่งพูดก็หันมาถามว่า “ป๋าเห็นด้วยหรอ” ลุงเก่งก็บอกว่า “เห็นหลายรอบแล้ว” ลูกสาวก็ส่งไลน์มาว่า “หนูไม่เห็นนะ” ลุงเก่งคิดในใจว่ามันเริ่มแปลก ๆ อีกแล้ว สักพักก็ได้ยินคนเดินภายในบ้าน เริ่มได้ยินเสียงของตก ทุกคนก็มองหน้ากัน ลุงเก่งจึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าหน้าต่างเปิดอยู่อาจจะเป็นลมพัดก็เป็นได้ หลังจากนั้นสักพัก ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน ลุงเก่งอาสาเป็นคนเก็บของ ในขณะที่กำลังยกของลงไปข้างล่าง ไฟข้างล่างก็ยังสว่างอยู่ หางตาลุงเก่งเห็นเป็นเหมือนรูปหน้าศพ 3 รูปวางเรียงกัน รูปแรกเป็นรูปคุณลุงที่เจอตอนที่ยงและอีก 2 รูปเป็นรูปวัยรุ่นผู้ชายกับวัยรุ่นผู้หญิง ซึ่งลุงเก่งไม่แน่ใจว่าเป็น 2 คนที่ขึ้นมาคุยกับคุณแม่หรือเปล่า ลุงเก่งอึ้งไปสักพัก แล้วก็ไหว้ ขอขมา “ถ้าทำอะไรผิดไปก็ขอโทษด้วยและขอร้องอย่ามาปรากฏตัวให้เห็นอีก” เพราะลุงเก่งเชื่อแล้วว่ามีจริง ๆ แต่เรื่องนี้ลุงเก่งยังไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวคนในครอบครัวกลัว พอเช้าก็รีบเช็คเอาท์ และก่อนที่จะขับรถออกจากโฮมสเตย์ ก็เจอกับคุณลุงคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ ลุงเก่งจึงถามคุณป้าว่า “เมื่อคืนคุณป้านอนอยู่ข้างล่างใช่ไหม” คุณป้าก็ตอบว่า “ไม่ได้นอนที่นี่หรอกเพราะมีแขกมาพัก นอนอีกหลังหนึ่ง” ลุงเก่งได้ยินแบบนั้น ก็ยิ่งมั่นใจอีกว่าสิ่งที่เจอและได้ยินเสียงคนเดินไปมาไม่ใช่คนแน่นอน ลุงเก่งขอตัวกลับ ซึ่งข้างในพื้นที่โฮมสเตย์สามารถกลับรถได้ ลุงเก่งจึงไปกลับรถตรงนั้น ปรากฏว่าเป็นเมรุเผาศพ ซึ่งเมรุอยู่ตรงข้ามกับโฮมสเตย์ ทุกคนจึงรีบขับรถออกมาแล้วนัดไปเจอกันที่ร้านกาแฟ พอถึงร้านกาแฟทุกคนก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เจอกับตัวเอง น้องสาวกับน้องเขยเล่าว่า เห็นคุณลุงเดินทั้งคืน คุณเก่งก็ถามว่าหน้าตาคุณลุงเป็นยังไง น้องสาวก็ตอบว่า “ผมขาว หนวดขาว ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อคอจีนสีขาว” ส่วนลูกสาวก็ได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างล่างทั้งคืน สุดท้ายลุงเก่งก็เฉลยให้ทุกคนฟัง สิ่งที่พวกเขาเห็นทั้งหมดคือผี และที่พวกเราเห็นชัด ๆ เพราะที่นั่นคือบ้านของพวกเขา พวกเขาใช้ชีวิตปกติแต่ครอบครัวเราดันไปอยู่ที่นั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

20 ม.ค. 2024

ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านแฟน เข้าบ้านไม่บอกเจ้าที่ โดนเรียกจนไม่ได้นอน!

เมื่อไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้านเเฟนส่งท้ายปี เเต่ก่อนเข้าบ้านไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ จนเจอดี นอนไม่ได้ทั้งคืน! เรื่องนี้ ‘คุณแฟร้ง’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 ธันวาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ต้อนรับปีใหม่’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เริ่มเรื่องจากที่คุณแฟร้งไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านแฟนในจังหวัดพิษณุโลก คุณแฟร้งได้เตรียมตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ต้นทางคือจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางนั้นได้ผ่านอำเภอหนึ่ง ซึ่งอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 100 กิโลเมตร พอเข้าเขตนั้นก็ต้องข้ามเขาไปอีก 1-2 ลูกกว่าจะถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ตามร่องเขา คุณแฟร้งบอกว่า บรรยากาศน่ากลัวใช้ได้ แฟนของคุณแฟร้งให้นามสมมุติว่า ‘คุณบี’ ซึ่งคุณบีรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อเดินทางไปถึงทางขึ้นเขา อยู่ ๆ คุณบีก็บีบแตร และคุณแฟร้งก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ทางขวามือ คุณแฟร้งจึงห้ามคุณบีและพูดว่า “ไปบีบแตรใส่ป้าเขาทำไม ป้าเขาไม่ได้ขวางทางอะไรเรา” จากนั้นคุณแฟร้งก็บ่นอุบไปเรื่อย จนคุณบีตะโกนด่าคุณแฟร้งและบอกว่า “ไม่ได้บีบแตรใส่ป้า แต่บีบแตรให้ศาล” แต่คุณแฟร้งกลับมองไม่เห็นศาลตรงนั้น เมื่อขึ้นเขาจนลงมาสุดแล้วเข้ามาในตัวหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่หมู่บ้านจะอยู่ติดกัน และอยู่เขตใต้ตีนเขา เมื่อถึงที่นั่น คุณแฟร้งก็ได้พบกับครอบครัวของคุณบี ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายของคุณบี เมื่อถึงช่วงเย็นก็นั่งสังสรรค์กับเหล่าญาติ จนเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง คุณแฟร้งก็เตรียมเข้านอนพร้อมกับคุณบี เพราะช่วงเวลานั้นคนในพื้นที่จะเริ่มเข้านอนกันหมด และทุกบ้านไม่มีใครฉลองปีใหม่ คุณแฟร้งก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะในวันสิ้นปีแบบนี้ หลายคนจะต้องสังสรรค์ถึงเที่ยงคืนไม่ก็เช้าตรู่ แต่ที่นี่กลับไม่มีใครเคาท์ดาวน์เลย หลังจากนั้นคุณบีก็บอกให้คุณแฟร้งเข้านอนห้ามเกิน 4-5 ทุ่ม คุณแฟร้งจึงเข้านอนแต่กว่าจะหลับเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน คุณแฟร้งได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน และเสียงประทัดดังขึ้น ในระหว่างนั้นคุณแฟร้งก็ตื่นและได้ยินเสียงพระสวดมนต์ข้ามปีออกลำโพงกระจายเสียงของหมู่บ้าน คุณแฟร้งไม่คิดอะไรจึงนั่งฟังเพลิน ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และในขณะที่พระสวดอยู่นั้นก็ได้ยินเหมือนไม่ใช่เสียงสวดมนต์ทั่วไป แต่เสียงสวดมนต์นั้นมีภาษาอื่นมาด้วย ตอนนั้นคุณแฟร้งเริ่มเคลิ้ม กึ่งหลับกึ่งตื่น และอยู่ดี ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาคุณแฟร้ง ซึ่งตอนนั้นคุณแฟร้งคิดว่าตัวเองฝันแต่ก็รู้สึกตัว แล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาเรียกและพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากันเถอะ มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่ มากินเหล้าเถอะมา”ชายคนนั้นพยายามจะเรียกคุณแฟร้ง ความรู้สึกของคุณแฟร้งตอนนั้นไม่ได้ฝันและรู้สึกตัวทุกอย่าง เขาเดินมาหาและพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่า “มา มากินเหล้าเถอะ อยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” และก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา คุณแฟร้งจึงตอบไปว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมกินมาแล้ว” แต่ชายคนนั้นก็พูดอยู่แต่คำเดิม ๆ จนกระทั่งคุณแฟร้งนึกขึ้นได้ในหัวว่า ‘อ้าว นี่ใครวะ??’ หลังจากนั้นคุณแฟร้งกำลังจะหันไปเรียกคุณบี สรุปว่าตัวแข็งทื่อ พอจะพูดก็ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พูดได้แค่ในลำคอ คุณแฟร้งรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนผีอำเข้าแล้ว! คราวนี้คุณแฟร้งตัดสินใจสวดมนต์ ระหว่างที่สวดอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็สวดตามคุณแฟร้ง! และก็พูดว่า “มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ มากับกูนี่มา” คุณแฟร้งตกใจ รีบตั้งสตินึกถึงบารมีพญาครุฑ บารมีท้าวเวสสุวรรณ บารมีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อกวย และหลวงปู่ชิน ขณะที่คุณแฟร้งท่องอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองลืมตาขึ้นมา ขณะที่ลืมตาก็เหมือนมีแสงขาว ๆ แว๊บมาแป๊ปนึง แล้วคุณแฟร้งก็สะดุ้งหลุดออกมาได้! เมื่อขยับตัวได้ก็เข้าไปกอดคุณบี แล้วคุณบีก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค รู้แล้ว ๆ” หลังจากนั้นคุณบีก็ลุกขึ้นไปจุดธูปไหว้พระ และบอกว่า “วันนี้พาแฟนมานอนด้วย ลูกลืมบอก” คุณแฟร้งเล่าเสริมว่า ปกติแล้วหากไปนอนต่างถิ่น ตนจะไม่ไหว้พระก่อนนอน ไม่บอกกล่าวอะไร เพราะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เวลาผ่านไปจนกระทั่งตี 3 คุณแฟร้งก็นอนไม่หลับยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคาใจอยู่ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึกคือรู้สึกตัวทุกอย่าง คราวนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินบนหลังคาบ้าน ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็ได้ยินคำเดิม “ไป ไปกินเหล้ากัน มึงอยากกินเหล้านักไม่ใช่เหรอ” คุณแฟร้งรู้สึกขนลุกและเข้าไปกอดแฟนแน่น และนอนไม่หลับจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเล่าให้แม่ของคุณบีฟัง ท่านก็จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกับคุณแฟร้งว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแฟร้งขึ้นเขามาแล้วไม่ได้ไหว้ศาลตรงที่ผ่านมา เพราะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ต้องข้ามเขาออกเขาทางนั้นและต้องเจอศาลนั้น และนอกจากนี้ศาลนั้นยังเป็นศาลที่ชาวบ้านนับถือกราบไหว้กันทุกวันหรือทุกปี ถือเป็นศาลประจำเขานี้เลยก็ว่าได้ ในวันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 คุณแม่และคุณพ่อของคุณบีก็ให้คุณแฟร้งไปหว่านแหที่ตีนเขา ระหว่างหว่านแหและจับปลา คุณแฟร้งก็ต้องดำน้ำ พอดำลงไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ในน้ำและมองมาทางคุณแฟร้ง คุณแฟร้งสะดุ้งพุ่งจากน้ำขึ้นมาทันที! ตัดสินใจเลิกหว่านแหแล้วกลับบ้านเข้าสู่คืนที่สอง คุณแฟร้งก็คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเจออีกหรือไม่ เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ทุ่ม คุณแฟร้งก็นอนเวลาเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีคนมาเรียกว่า “มา ออกมาข้างนอกเถอะ ไปกินเหล้ากัน” นาทีนั้นคุณแฟร้งขนลุกซู่ และลุกมาเปิดโทรศัพท์ ค้นหาคาถาต่าง ๆ จากนั้นก็ท่องบอกกล่าวเจ้าที่ ผ่านไปสักพักประมาณตี 3-4 ก็ได้ยินเสียงบนหลังคาเหมือนเดิม ‘กึกกัก กึกกัก กึกกัก’ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “ไป ไปกินเหล้ากัน” คุณแฟร้งตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงนอนอย่างหวาดผวายันเช้า เช้าวันนั้นคุณแฟร้งเตรียมตัวกลับอยุธยา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 ระหว่างขับรถก็ต้องขึ้นเขาเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่ก่อนจะลงเขา รถของคุณแฟร้งดับไป ซึ่งดับระหว่างทางลงเขา คุณบีจึงจอดรถ คุณแฟร้งเช็คสภาพรถต่าง ๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ปรากฏว่ารถก็ปกติดี ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง คุณแฟร้งจะให้ญาติมารับ แต่อยู่ดี ๆ คุณบีก็ลองสตาร์ทรถจนติด เมื่อขับรถผ่านศาลก็จอดรถ เพราะคุณบีเตรียมเหล้ารวมทั้งสำรับคาวหวานมาไว้แล้ว และเข้าไปไหว้ที่ศาลนั้น ขอขมาว่า “ถ้าทำอะไรผิด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ” หลังจากนั้นคุณแฟร้งกับคุณบีก็เดินทางกลับได้ปกติ…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1