ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

อังคารคลุมโปง RECAP

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

          เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย!

          โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน

          บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง”

          บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม

          ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ”

          พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว

          ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก

          ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเอฟ ‘หอเฮี้ยน ย่านลาดกระบัง’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

18 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากเอฟ ‘หอเฮี้ยน ย่านลาดกระบัง’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘เอฟ พงศ์พิทักษ์‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(14 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจโซเซฟ’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘หอเฮี้ยน ย่านลาดกระบัง’ เรื่องราวสุดเฮี้ยนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย คุณเอฟเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ตอนนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาส่วนใหญ่มักจะมารวมตัวเพื่อติวหนังสือกัน แต่คุณเอฟเเรียนไม่ค่อยทัน จึงให้เพื่อนคนหนึ่งมาติวให้ส่วนตัวที่หอ การติวหนังสือเป็นไปอย่างปกติ แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทั้งคู่สมาธิเริ่มหลุด เพราะเครียดเกินไป จึงใช้เวลาพักคุยเล่นกัน 5-10 นาที แต่พอคุยกันไปกันมา จับพลัดจับผลูคุยกันเรื่องผีเสียอย่างนั้น เพื่อนคุณเอฟที่ชื่อ ‘เอ’ (นามสมมติ) ถามว่า “มึงเคยเจอผีที่หอนี้ป่ะ” คุณเอฟตอบว่า “ก็ไม่เคยเจอนะ เคยมีบ้างที่รู้สึกเหนื่อย กึ่งหลับกึ่งตื่น คล้ายกับอาการผีอำ แต่ก็คิดไปในทางวิทยาศาสตร์ว่าอาจจะเหนื่อยทำให้เกิดอาการแบบนี้” เมื่อเอได้ยินดังนั้น เอก็พูดขึ้นมาว่า “มึงอยากลองดีป่าว มีสถานที่ให้ลองได้นะ” คุณเอฟก็บอกว่า “ไม่อยาก” เพราะรู้สึกกลัว แต่ในใจก็อยากรู้อยากเห็น จึงบอกเพื่อนว่า “เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย” คุณเอจึงเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หอนอกบริเวณลาดกระบัง (ณ ปัจจุบันคุณเอฟก็ไม่ทราบว่าหอนี้ยังอยู่ที่เดิมหรือไม่) ในช่วงกีฬาสีของมหาวิทยาลัย ตอนนั้นคุณเอไม่มีหอพัก จึงไป-กลับจากบ้าน หากมีกิจกรรมหรือมีสอบ คุณเอก็จะขอมานอนที่หอเพื่อน วันนั้นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม คนอื่นไปทำงานกันหมด แต่คุณเอทำเสร็จแล้ว จึงอยู่หอ พักผ่อน เล่นเกมไปเรื่อย ระหว่างที่เล่นมือถืออยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” คุณเอหันไปดูแล้วมองตาแมว ก็ไม่มีอะไรอยู่หน้าห้อง เปิดประตูไปเช็คก็ไม่มี ในใจก็คิดว่า ‘อาจจะเป็นห้องข้าง ๆ หรือเปล่า’ ที่คิดแบบนั้นเพราะมีห้องพักติดกันหมด ก็มีสิทธิ์ที่จะได้ยิน คุณเอจึงกลับมานั่งที่เดิม ผ่านไปไม่กี่นาที ก็ได้ยินเสียงอีกครั้งเป็นเสียงเคาะเหมือนเดิม รอบนี้แรงกว่าเดิมด้วย “ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก!” คุณเอมองไปที่ตาแมว แต่ก็ไม่มีอีกแล้ว จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์นี้อีก 2 รอบ รวมเป็น 4 รอบ แม้คุณเอจะไม่เชื่อเรื่องผี แต่ในใจก็แอบกลัวอยู่ หลังจากโดนรบกวนหลายครั้ง คุณเอก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญ จึงอยากพิสูจน์ว่ามีคนแกล้ง หรือเป็นเสียงจากห้องข้าง คิดได้ดังนั้น คุณเอก็กำลูกบิดประตูไว้ กะว่าถ้ามีเสียงอีกจะเปิดประตูทันที ไม่นานเสียงเคาะก็มา รอบนี้เคาะจนประตูลูกบิดสั่น แต่พอเปิดประตูออกไป กลับไม่มีอะไรอยู่เลย! คุณเอคิดว่าถ้าเป็นห้องอื่น ประตูเราจะต้องไม่สั่น แต่ประตูกลับสั่นตามจังหวะเคาะ คุณเอรู้สึกแปลกใจจึงปิดประตู แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นกลับไปที่เตียง แต่เปิดประตูห้องน้ำแง้มเอาไว้ คุณเอไม่อยากคิดอะไรแล้วจึงรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน พอกำลังจะขึ้นเตียง เสียงเคาะก็มาอีก 2 รอบ คุณเอพยายามเมินเสียงนั้น แต่กลับทวีความรุนเเรงเพิ่มขึ้น แล้วยังมีเสียงน้ำจากอ่างล้างมือในห้องน้ำที่เปิดประตูเเง้มไว้ เหตุการณ์เริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณเอทนไม่ไหว แต่ก็พยายามข่มตาไม่สนใจ ฟังเพลงไป ปกติแล้วหากประตูห้องนั้นปิด ตัวกลอนจะเข้าล็อคและมีเสียง “แกร๊ก” ซึ่งตอนนั้นคุณเอเปิดแง้มไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท หลังจากได้ยินเสียงน้ำไหลสักพักก็ได้ยินเสียง “แกร๊ก” เหมือนประตูปิดเอง! คุณเอได้ยินก็รีบพุ่งไปที่ประตู สิ่งที่สังเกตุเห็นคือประตูห้องน้ำ มันปิดสนิท! เขาก็พยายามคิดว่าอาจจะเป็นเพราะลม หรือเพราะประตูห้องอื่นปิดแรงจนประตูของเราปิดไปด้วย แต่ในตอนนั้นไม่มีลมเลย คุณเออยู่ไม่ได้จึงออกจากห้องไป ส่วนน้ำค่อยกลับมาปิดตอนเช้า เหตุการณ์ต่อมา ยังอยู่ในช่วงกีฬาสีเพื่อนในกลุ่มคุยกันเรื่องที่นอน สรุปคือได้ผู้กล้า 4 คน ไปนอนที่เตียงใหญ่ เป็นหมอนเรียงกันกับผ้าห่มผืนใหญ่ ซึ่ง 1 ในนั้นก็มีคุณเอฟอยู่ด้วย แต่เขาไม่ได้ไป คุณเอที่ติวหนังสือให้จึงไปแทน ซึ่งคุณเอนอนริมซ้ายสุดแล้วก็เรียงกันอีก 3 คน หลังจากนอนไปสักพักก็เริ่มเคลิ้มหลับ แต่คุณเอรู้สึกเหมือนโดนดึงผ้าห่ม เขาคิดว่าเพื่อนแกล้ง เลยดึงกลับมา เป็นแบบนี้อยู่ 3 รอบ คุณเอเริ่มโมโหจึงดึงกลับมาแรง ๆ แล้วกำผ้าห่มไว้ แต่ปรากฎว่าโดนกระชากผ้าห่มลงมาครึ่งตัว! คุณเอลุกขึ้นมา มองอีก 3 คนที่นอนอยู่ ปรากฎว่าทุกคนทำท่ายกมือขึ้นสองข้างเหมือนกำลังบอกว่า พวกเราไม่ได้เป็นคนดึง แล้วหางตาของเอก็เห็นอะไรดำ ๆ อยู่มุมเตียง เขารีบหันไปมองก็เห็นเงาผู้หญิง ดำ ๆ ผอม ๆ ผมปิดหน้า เอามือดึงผ้าห่มช้า ๆ อยู่ ในตอนนั้นทุกคนตะลึงกันหมด จากนั้นก็มีเสียงก็ทุบตู้ไม้ “ตึก ตึก ตึก ตึก” หางตาคุณเอเห็นตรงตู้เห็นเป็นเหมือนเท้าเด็ก เห็นเป็นกุมารทองไม่มีหน้า แต่มีรอยยิ้มแล้วนั่งเอาส้นเท้าเคาะตู้อยู่! พอเห็นอย่างนั้น ทุกคนวิ่งหนีกระเจิง ไม่มีใครอยู่ต่ออีกเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครค้างหอนี้จนหมดสัญญา อาจจะเข้าไปเอาของตอนกลางวันบ้าง เพราะทุกคนกลัวหมด และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าหอนี้มีประวัติอะไร ทำไม…จึงมีผู้หญิงและกุมารทองอยู่ที่นี่(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’เเม่ค้าขายที่นอน‘ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

06 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ’เเม่ค้าขายที่นอน‘ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio [ 21 ต.ค.2568 ]

‘พี่แจ็ค The Ghost’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของ ‘คุณเจ้าเอย’ แม่ค้าขายที่นอน เธอได้รับออเดอร์จากลูกค้าให้ไปส่งที่นอนที่บ้านหลังหนึ่ง โดยแจ้งไว้ล่วงหน้าว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้โทรหา จากนั้นจะให้คนมาเปิดประตูให้ เมื่อไปถึงจุดหมาย ก็ได้ยินเสียงเครื่องปั๊มน้ำในบ้านดัง และยังจับสังเกตได้ว่าน่าจะมีคนอยู่ในบ้าน แต่เมื่อลองถ่ายรูปภายในบ้านดู กลับไม่พบใคร และยังมีเหตุการณ์ที่ชวนขนแขนลุกอีกมากมาย! แม่ค้าขายที่นอนเจออะไรในบ้านหลังนี้กันแน่ และเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านหลังนี้? ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X แจ็ค - สาวแอน The Ghost Radio’ (21 ตุลาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน - ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘แม่ค้าขายที่นอน’ เรื่องราวนี้มาจาก ‘คุณเจ้าเอย’ โดยพื้นฐานแล้วเธอเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคนมีเซนส์ ทางครอบครัวหรือคนใกล้ตัวต่างก็รับรู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ปัจจุบันเจ้าเอยมีอาชีพเป็น ‘แม่ค้าขายที่นอน’ ที่มีทั้งขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าเอยได้มีโอกาสไปออกบูธขายของที่จังหวัดแห่งหนึ่ง การค้าขายก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาอุดหนุน จนกระทั่งไปเจอกับลูกค้าคนหนึ่งที่ชื่อ ‘คุณก้อย’ เธอเป็นเจ้าของโรงงานและปล่อยเช่าบ้านจำนวนมาก จึงทำให้การมาซื้อของในแต่ละครั้งจะซื้อด้วยปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ ทั้งหมอน ที่นอน และเครื่องห่มต่าง ๆ โดยเฉพาะที่นอนที่มักจะซื้อไปหนึ่งครั้งต่อเดือน อยู่มาวันหนึ่ง มีข้อความจากคุณก้อย ติดต่อมาว่าอยากได้ที่นอนขนาด 3.5 ฟุต ให้ไปส่งตามที่อยู่ที่ให้ไปและยังได้แจ้งมาว่าที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ ถ้าไปถึงจุดหมายแล้วให้โทรบอกและจะให้คนขับรถไปเปิดบ้านให้ เมื่อถึงวันนัดหมาย เจ้าเอยและแฟนก็นำที่นอนไปส่งยังที่หมาย ตำแหน่งของบ้านหลังนั้นอยู่บริเวณชานเมือง ลักษณะของโครงการหมู่บ้านมีขนาดใหญ่ มีหมู่บ้านเล็กย่อยอยู่ภายในโครงการมากมายจึงทำให้เธอใช้เวลาไปประมาณ 20 นาทีในการตามหาหมู่บ้านของลูกค้า จนในที่สุดก็เจอหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเจ้าเอยและแฟนขับรถไปที่ป้อมยามเพื่อแลกบัตรก็ได้เจอกับคุณลุงรปภ.ที่ประจำการอยู่หน้าหมู่บ้าน “ไปบ้านเลขที่เท่าไหร่ครับ?” คุณลุงเอ่ยถาม “12/345 ค่ะ” “12/453 หรือเปล่าครับ?” ชายมีอายุย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ไม่ใช่ค่ะ 12/345” เธอตอบอีกครั้งด้วยเลขที่เดิม หลังจากแลกบัตรคุณลุงก็ได้สอบถามมาอีกครั้งว่า “มาทำอะไรครับ?” “มาส่งที่นอนให้ลูกค้าค่ะ” “ลูกค้าที่ไหนวะ” น้ำเสียงติดตลกของคุณลุงเอ่ยออกมาลอย ๆ คำพูดแปลก ๆ สร้างความสงสัยให้กับเจ้าเอยและแฟนหนุ่มแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เมื่อขับเข้ามาภายในตัวหมู่บ้าน ในระหว่างที่ขับไปก็ได้บังเอิญเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ข้างหน้ารถ พอถึงทางแยก ผู้หญิงตรงหน้าก็ได้หักเลี้ยวไปทางฝั่งซ้าย เจ้าเอยก็ได้สังเกตุเห็นถึงความผิดปกติเพราะเมื่อมองเข้าไปในซอยที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปก็พบว่า ทั้งซอยมีแต่บ้านร้าง! แต่ด้วยเวลา ณ ตอนนั้นคือช่วงเที่ยงตรง ภายในใจเจ้าเอยจึงคิดไปว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นคนไม่ใช่ผี ในขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ ตลอดทางก็จะมีซอยทั้งซ้ายและขวาแต่มองไปก็พบว่าส่วนใหญ่แทบจะเป็นบ้านร้างทั้งหมด ลักษณะของบ้านหลายหลังนั้นเป็นการก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มีรอยตะไคร่ดำเกาะอยู่รอบบ้าน ด้วยความสงสัยเจ้าเอยก็ได้ขับเข้าไปในซอยหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปภายในซอยก็ได้เจอกับความผิดแปลกของหมู่บ้านแห่งนี้ เลขที่บ้านที่ควรจะไล่เรียงกันกลับกลายเป็นว่าตัวเลขนั้นสลับปรับเปลี่ยนและข้ามกันไปมาอย่างน่าฉงน จากหลังที่ 1 บ้านเลขที่ 12/343 หลังถัดไปกระโดดข้ามเป็นบ้านเลขที่ 12/516 นี่คือเรื่องราวน่าประหลาดใจที่ตลอดทั้งชีวิตของการทำงานส่งของของเจ้าเอยไม่เคยพบเจอ ทำให้ตัวของเธอเกิดความกังวล เพราะกลัวว่าจะหาบ้านของลูกค้าไม่เจอ ทั้งสองคนตัดสินใจขับรถออกมาจากซอยนั้นและเปลี่ยนเส้นทางขับเข้าไปยังอีกซอยหนึ่ง ขับไปเรื่อย ๆ สลับไปทุก ๆ ซอยจนไปหยุดอยู่ที่ซอยสุดท้าย เป็นซอยที่มีต้นไทรปกคลุมอยู่ทั่วทั้งซอย จนไม่มีแสงแดดสาดส่องมาถึงแม้แต่นิดเดียว ระหว่างทางที่ขับเข้าไปเจ้าเอยสังเกตเห็นบ้าน 3 หลัง มีคนงานกำลังก่อสร้างอยู่ จึงหันไปพูดกับแฟนหนุ่มว่า “หมู่บ้านนี้คงไม่ได้ร้างทั้งหมดหรอก ไม่ได้มีแค่เรา นี่ไงคนเต็มเลย” ไร้เสียงตอบกลับจากแฟนหนุ่ม เขาทำเพียงเคลื่อนตัวรถไปตามทางแต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็หลงทาง ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าของเจ้าเอยก็ปรากฏเป็นหญิงสาวคนเดิมที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ ซึ่งทางที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังไปเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่แฟนจะต้องเลี้ยวเข้าไป ขับไปได้เพียงไม่นานหญิงสาวตรงหน้าก็หยุดชะงักกลางถนน ลำตัวยังคงคร่อมจักรยานคันนั้นอยู่ แต่ความเร็วของรถที่แฟนขับมาไม่ได้ลดความเร็วลง จึงพุ่งตัววิ่งผ่านผู้หญิงคนนั้นไป และในตอนที่หันกลับไปมองก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นยังคงคร่อมจักรยานอยู่ที่เดิม! ขณะนั้น เจ้าเอยก็รับรู้ได้ว่าตนนั้นได้เจอดีเข้าแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้แฟนตื่นตกใจจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พอขับวนกลับมายังซอยแรก แฟนของเจ้าเอยก็เอ่ยทักขึ้นมาทันที “นี่ไง เจอแล้ว ใช่บ้านลูกค้ารึเปล่า?” “ใช่!” บ้านของคุณก้อยมีลักษณะเป็นบ้านกึ่งร้าง แต่ก็ดูพอจะมีคนมาอาศัยอยู่บ้าง ในระหว่างที่จอดรถและกำลังเอื้อมมือไปดึงเบรกรถลงก็มีสายโทรศัพท์จากคุณก้อยโทรเข้ามาบอกว่าถ้าถึงบ้านของตนแล้วให้เปิดประตูรั้วและถอยรถเข้าไปได้เลย ในตอนที่ถอยรถเข้าไปในตัวบ้าน ตัวของเจ้าเอยก็ลงไปช่วยดูท้ายรถแต่ในขณะเดียวกันเอง เธอก็เห็นว่ากระจกรถสะท้อนเข้าไปในบ้านลูกค้า ซึ่งบ้านของคุณก้อยมีลักษณะเป็นบ้านสองชั้น ข้างหน้ามีประตูบานใหญ่ ถัดไปทางฝั่งซ้ายมีหน้าต่างบานเลื่อน ข้างล่างหนึ่งบานและข้างบนหนึ่งบาน และในจังหวะนั้นเอง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของกระจกรถเป็นคนที่กำลังยืนอยู่บนชั้นสองของบ้าน เธอโล่งใจและคิดว่าคงเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่เมื่อจอดรถรอมาเป็นเวลาสักพักใหญ่ จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีใครลงมารับของเสียที แฟนของเจ้าเอยจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อด้านในของกลอนประตูนั้นมีโซ่และกุญแจคล้องอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถ่ายรูปภาพตรงหน้าออกมากลับพบว่าภายในภาพไม่มีโซ่หรือกลอนประตูคล้องอยู่เลย! ในระหว่างที่ตื่นกลัวกับเรื่องราวที่เจอ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องปั๊มน้ำดังขึ้นมา ครืด ครืด จึงคิดไปเองว่าคนขับรถที่ลูกค้าบอกมาน่าจะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ในตัวบ้าน ด้วยความคิดที่ว่าต้องมีคนอยู่ในบ้านหลังนั้น เธอจึงเดินขึ้นรถไปเพื่อรอและในจังหวะนั้นเองก็มีสายเรียกเขาจากคุณก้อยโทรมาว่า “ขอโทษด้วยนะ พอดีคนขับรถพี่มันเมา ตอนนี้มันแฮงค์อยู่ มันเลยไม่ได้มา ประตูหน้ามันเข้าไม่ได้ น้องเอยเปิดประตูข้างโรงจอดรถแล้วไปได้เลยนะ” สิ้นเสียงปลายสาย เจ้าเอยก็ตัวชา ขนแขนตั้งชันและสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้จะสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ก็ยังใจดีสู้เสือ เธอกับแฟนตัดสินใจยกที่นอนออกจากรถและเดินไปที่ประตูข้างโรงจอดรถ และเพื่อความสบายใจของตัวเอง เจ้าเอยจึงตะโกนขออนุญาตเพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องมีคนอยู่ภายในบ้านแน่ ๆ “ขออนุญาตเข้าบ้านนะคะ เอาที่นอนมาส่งค่ะ” “ครับบบบบ” เสียงทุ้มลากยาวดังขึ้นมาจากชั้นสองของบ้าน และตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่คล้ายกับเสียงของรองเท้าผ้าใบกำลังเดินลงบันไดมาและสักพักก็หยุดอยู่ตรงชั้นพักบันได ด้วยความไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เจ้าเอยจึงตัดสินใจยื่นโทรศัพท์เข้าไปและถ่ายภาพนั้นออกมา ปรากฏเป็นภาพบ้านบริเวณชั้นหนึ่ง พื้นเป็นไม้สัก ภายในบ้านสะอาดคล้ายกับมีคนทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาแต่ตรงชั้นพักบันไดนั้นกลับไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว! ซึ่งห้องที่เธอต้องนำที่นอนไปส่งคือห้องข้างบันได แต่เมื่อเข้าไปนั้นก็พบว่าภายในห้องกลับเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ราวกับว่าไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ต่างจากจุดอื่น ๆ ของบ้านที่สะอาด ภายในห้องนี้ประกอบไปด้วยทีวีเก่าและเตียงเปล่าวางอยู่ข้างใน และในตอนที่เธอและแฟนกำลังจะแกะที่นอนเพื่อตรวจสอบและถ่ายส่งให้ลูกค้า สายเรียกเข้าจากคุณก้อยก็โทรเข้ามาอีกครั้ง “ที่นอนไม่ต้องแกะนะคะ วางไว้ได้เลย” คุณก้อยเอ่ยบอกถูกจังหวะเหมือนตาเห็น จบประโยคนั้น ตัวเธอจึงเดินออกมาจากบ้านและก็พบว่าหน้าบ้านที่ในคราแรกมีรองเท้าของเธอและแฟนวางอยู่ ตอนนี้กลับมีรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่ของใครก็ไม่รู้เพิ่มมาอีกหนึ่งคู่! ด้วยความตกใจ เจ้าเอยจึงรีบวิ่งขึ้นรถของตนเองและปิดประตูโดยเร็ว แต่ฝั่งของแฟนหนุ่มที่กำลังจะล้างมือแต่พอเปิดก๊อกน้ำกลายเป็นว่าน้ำกลับไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว มอเตอร์น้ำไม่ทำงาน นั่นหมายความว่าเสียงที่ได้ยินในตอนแรกนั้นไม่มีทางเป็นเสียงของเครื่องปั๊มน้ำอย่างแน่นอน ความหวาดกลัวตีตื้นขึ้นมาภายในใจเจ้าเอยเรียกแฟนด้วยชื่อและนามสกุลอย่างเต็มยศ และบอกให้รีบกลับขึ้นมาบนรถ พอแฟนหนุ่มได้ยินก็รีบวิ่งกลับขึ้นมาบนรถ แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของแฟนสาวแต่เขาก็ขับรถออกมาทันที ในตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมานั้น เจ้าเอยก็ได้ชำเลืองมองไปที่กระจกรถ ในวินาทีนั้นเองที่เธอคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงแล้ว แต่เธอดันไปเห็นผู้ชายคนเดิมที่เคยยืนอยู่บนชั้นสองของบ้านกำลังชะเง้อคอมองมาทางรถ! เมื่อออกมาจากหมู่บ้านและกลับมายังที่พักของตนเองได้แล้ว ความร้อนใจทำให้เธอเลือกที่จะพิมพ์ข้อความไปถามเรื่องราวทั้งหมดจากคุณก้อย “คุณก้อยคะ พอดีมีเรื่องไม่สบายใจอยากจะปรึกษาค่ะ” ข้อความแสดงถึงความกังวลใจถูกส่งไปยังคุณก้อย “ได้ค่ะ” หลังจากประโยคนั้นถูกส่งมาได้เพียงไม่นาน สายเรียกเข้าจากคุณก้อยก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของปลายสายที่พูดกับเธอโดยที่ตัวของเจ้าเอยยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรไปแม้แต่คำเดียว “น้องเอยเก่งมากเลย ขอบคุณนะที่มาส่งให้” “เก่งอะไรคะพี่ หนูก็ไปส่งที่นอนปกติ” เธอตอบกลับไปด้วยความมึนงง คุณก้อยจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นให้เจ้าเอยฟัง.. โดยปกติแล้วบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่แฟนชาวต่างชาติของคุณก้อยซื้อไว้ เพราะเป็นโครงการที่ทำเลดี แต่มาอาศัยอยู่ได้เพียงไม่นาน แฟนต่างชาติก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายบาดเจ็บและป่วยติดเตียง แฟนของคุณก้อยรักษาตัวอยู่ที่บ้านหลังนั้นเป็นเวลานานถึง 7 เดือน แล้วก็เสียชีวิตลงในที่สุด รูปร่างของแฟนคุณก้อยที่เป็นชาวต่างชาติจะค่อนข้างตัวใหญ่ ทำให้เวลานอนเกิดความลำบาก บางครั้งที่นอนไม่ได้สบายก็อาจจะทำให้เกิดอาการแผลกดทับได้ คุณก้อยเลยต้องเปลี่ยนที่นอนให้แฟนอยู่บ่อย ๆ หลังจากที่แฟนหนุ่มเสียชีวิตไป คุณก้อยก็ฝันเห็นว่าเขายังอยากได้ที่นอนอยู่ และฝากฝังให้เธอซื้อมาให้เขา ในช่วงแรกคุณก้อยไม่ได้ฝันบ่อยมากนัก แต่ทุก ๆ ครั้งที่เธอนอนหลับอยู่บนที่นอนที่ซื้อมาจากเจ้าเอย เธอก็มักจะฝันถึงแฟนหนุ่มอยู่บ่อย ๆ จนท้ายที่สุดแล้ว ก็ตัดสินใจสั่งที่นอนจากร้านเจ้าเอยให้ไปส่งยังบ้านหลังนั้นที่เขาเคยอยู่ และเพราะกลัวว่าจะโดนปฏิเสธจากร้าน คุณก้อยจึงไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าเอยฟังตั้งแต่แรก หลังจากผ่านเรื่องราวขนหัวลุกนั้นมาได้ ลูกค้าคนนี้ก็ไม่ได้ติดต่อมาหาเจ้าเอยอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1