เรื่องเล่าจาก ขวัญ อุษามณี 'เเม่ชีบุญเรือน' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก ขวัญ อุษามณี 'เเม่ชีบุญเรือน' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

20 ต.ค. 2024

      ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณขวัญ อุษามณี‘ ที่ได้นำเรื่อง ‘เเม่ชีบุญเรือน’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจอในขณะที่กำลังถือศีลอยู่ เห็นเเม่ชีเดินจงกลมอยู่ที่เเม่น้ำ ถ้าไม่ได้เเม่ชีในคืนนั้นก็คงหลุดออกจากศีล! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย!

      คุณขวัญ อุษามณีได้เล่าว่า ตนได้ไปถือศีลที่วัดท่าไม้ มีเเม่ชีที่ร่วมถือศีลด้วยอีกประมาณ 7-8 คน ในขณะที่ถือศีลตอนกลางวันต้องทำกิจของวัด กวาดลานวัดด้วยกัน เเละต้องกางมุ้งกลดนอนบนหิน ไม่ได้นอนที่กุฏิ อาหารที่ทานก็ต้องเป็นอาหารมังสวิรัติ ส่วนโทรศัพท์เเละของใช้ส่วนตัวจะถูกเก็บไว้ทั้งหมด คุณขวัญจึงได้คิดต่อต้านอยู่ในใจว่า ‘ทำไมต้องเข้มงวดขนาดนี้ เราไม่ได้บาปขนาดนั้นนะ ถ้าเป็นตอนเด็กปีนกำแพงไปนานเเล้ว’ เเต่ตอนนั้นก็สามารถควบคุมตนเองได้

      เมื่อคุณขวัญกำลังจะเข้านอน เเม่ชีคนหนึ่งก็ได้สอนวิธีกางมุ้งกลดให้ เเต่สามารถสอนได้เเค่ครั้งเดียวเพราะต้องปิดวาจา พูดไม่ได้คุยไม่ได้ คุณขวัญจึงรู้สึกอึดอัด ได้เเต่คิดว่า ‘สิ่งที่เรากำลังทำนี้ คือการทำบุญ เราทำเพื่อคุณพ่อ’ ตนจึงยอมกัดฟันทำ เมื่อคุณขวัญกางมุ้งกลดเสร็จเเล้วจึงเข้านอน เเต่ก็นอนไม่ได้เพราะจากชีวิตที่นอนสบาย ๆ ฟังเพลง กลายเป็นเสียงเเมลงวี่เเมลงวันอยู่รอบ ๆ เเละมีเเม่น้ำอยู่ใกล้ ๆ

      ในตอนนั้นคุณขวัญก็เกิดความลังเลว่าจะออกไปดีหรือไม่ เพราะนอนไม่หลับ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะออกไป เเต่ในขณะที่กำลังจะก้าวขาออกก็ดันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่คล้ายกับเเม่ชีที่มาถือศีลร่วมกัน กำลังเดินจงกรมอยู่ที่เเม่น้ำ ตนก็ได้นึกถึงคำพูดที่คุณเเม่สอน ซึ่งคุณยายสอนเเม่มาอีกหนึ่งว่า ‘ถ้าเกิดเจอผี ไหว้เลย เราให้บุญเขา ผีไม่น่ากลัวเท่าคน แต่ให้ดูก่อนว่าถ้าเขาผีจริง ๆ ขาเขาจะเดินลอยหรือขาจะเดินตะเเคง’ จากนั้นคุณขวัญก็ได้มองไปที่แม่ชีคนนั้น ปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้ลอย ไม่ได้ดูน่ากลัว ดูเป็นคน ตนก็นอนดูเเม่ชีคนนั้นเดินไปเดินมาจนตัวเองหลับไป

      ในตอนเช้าคุณขวัญก็ได้หลุดจากการถือศีลเเล้ว ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขี้เเซว จึงแซวเเม่ชีคนนั้นว่า

      “แหม เมื่อวานบุญหนักกลายเป็นบุญเบาเลยน้า ออกมาเดินจงกรมตอนกลางคืนเลยนะ”

      เเม่ชีคนนั้นก็ได้หันกลับมาตอบว่า

      “หึ พี่เปล่า…”

      เเล้วทุกคนในที่นั้นก็หลุดวาจาออกมาหมดเลย เพราะเห็นว่าคุณขวัญพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จากนั้นคุณขวัญก็ได้บอกว่าถ้าไม่ได้เเม่ชีที่เดินจงกรมในตอนนั้น ก็คงจะหลุดจากการถือศีลไปแล้ว เพราะเหมือนท่านมาอยู่ให้ตนรู้สึกอุ่นใจ เเละเป็นกรอบที่ไม่ทำให้หลุดออกจากการถือศีล..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

16 ม.ค. 2024

ป่วยหนักทั้งครอบครัว รักษายังไงก็ไม่หาย ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอ จนหายสนิท แต่หลังจากนั้นก็เจอเรื่องน่าขนลุก!

เรื่องนี้ ‘หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคุมโปง X’ (9 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘อูน ชนิสรา’ , ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวของหญิงชาวต่างชาติ ตัวเธอ ลูกสาวและพี่สาว ทั้ง 3 คนป่วยหนักเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และได้ไปรักษาด้วยพิธีกรรมกับแม่หมอคนหนึ่ง ในที่สุดหายเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย นี่เป็นเรื่องของหญิงต่างชาติประเทศเพื่อนบ้านเรา สมมุติว่าชื่อ ‘คุณเอ’ คุณเอมาหาหมอบี 3 รอบ สองรอบแรกนั้นคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีเรื่องผิดปกติ แต่รอบที่ 3 คุณเอมาพร้อมกับลูกสาวและพี่สาว เธอเล่าให้หมอบีฟังว่า เธอป่วยเป็นมะเร็ง ลูกสาวก็ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนพี่สาวก็ป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ซึ่งหมอบีเล่าว่าจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่แย่มาก ๆ คุณเอยังเล่าอีกว่า ที่ประเทศของเธอ จะมีแม่หมอคนหนึ่ง เก่งมาก หาตัวจับยากมาก คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว ก็ไปรักษากับแม่หมอคนนั้น จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็หายเป็นปกติ หมอบีฟังก็คิดว่าโอเค แต่ครั้งนี้ที่คุณเอมาหาหมอบีก็เพราะว่า คุณเอกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่พบหลังจากไปหาแม่หมอคนนี้นั่นก็คือจะมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับคนที่ไปรักษา หลังจากรักษาจนหายพอกลับมาก็จะมีอาการทางจิต ทั้งเครียด กังวล หลอน ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ไหว จากนั้นก็ตัดสินใจผูกคอตายทุกคน! คุณเอยังจับสังเกตได้อีกว่า ทุกคนที่ผูกคอตายก็ตายเป็นลำดับ ใครเข้าไปหาก่อนก็จะตายก่อน ไล่ตามลำดับมา และรอบที่กำลังจะมาถึง เป็นรอบของพี่สาว ต่อมาเป็นลูกสาว แล้วก็ถึงตาคุณเอ คุณเอรู้สึกเครียด คิดว่าก็ต้องมาถึงคิวคุณเออย่างแน่นอน จึงอยากกลับไปหาแม่หมอคนนั้นอีกครั้ง ด้วยความที่แม่หมอหาตัวยากมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณเอก็สืบค้นจนรู้ว่า แม่หมอคนนี้มาที่ประเทศไทย คุณเอกับลูกสาวและพี่สาว จึงเดินทางมาตามหาแต่ก็ไม่เจอ คุณเอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ มีคนบอกให้คุณเอไปหาพระ ท่านอายุเยอะ แต่ท่านเก่งมาก อยู่ที่จังหวัดลำปาง พวกเธอก็ไปหา แต่พระท่านก็ได้แค่บอกให้พวกเธอไปหาหมอบี ท่านบอกว่าหมอบีช่วยได้ ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพวกเธอจึงมาหาและเล่าให้หมอบีฟัง พอเล่าเสร็จก็เปิดรูปให้หมอบีดู รูปเยอะมาก ซึ่งรูปนั้นเป็นรูปของผู้เสียชีวิตตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่รูปที่ผูกคอตาย เป็นรูปที่ถ่ายติดคน บางรูปเป็นจาง ๆ บางรูปเป็นเหมือนนั่งกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มแต่จะมีที่ว่างหนึ่งที่ราวกับมีคนนั่งอยู่ด้วย เป็นแบบนี้ทุกรูป รูปถัดมาเป็นรูปคุณเอกับคุณป้า แต่รูปนี้มีสิ่งผิดปกติ เช่น ถ่ายรูป 2 คน ก็เว้นที่ว่างไว้เหมือนถ่าย 3 คน และรูปที่ถ่ายคนเดียว แต่เว้นที่ว่างเหมือนถ่าย 2 คน เจอแบบนี้ทั้งหมด ทั้งลูกสาวและพี่สาวก็เจอแบบนี้เหมือนกัน แต่ของพี่สาวถึงขั้นไปร้านถ่ายรูป พี่สาวก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปนั่งถ่ายที่เป็นสตูดิโอ คนที่ถ่ายรูปก็มาจัดเก้าอี้ให้พี่สาวนั่ง ลูกสาวของพี่สาว 1 คน และก็เอาเก้าอี้อีกตัวมาวางข้าง ๆ พี่สาว พี่สาวจึงถามว่า “เอามาตั้งทำไม?” คนที่ถ่ายรูปก็ตอบว่า “ก็มาอีกคน เป็น 3 คน” พอพี่สาวได้ยินแบบนั้น ก็ตัดสินใจยกเลิกการถ่ายรูปไป เรื่องนี้หมอบีสัมผัสไม่ได้ สุดท้ายหมอบีก็พูดให้คุณเอเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ’ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน ที่รักษาหายนั้น แท้จริงแล้วคือ ‘คนที่ถึงเวลาตาย แต่โกงความตายมา’ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่เดิมอยู่ดี ได้แค่ยื้อเวลา พอฟังที่หมอบีพูด คุณเอก็เข้าใจว่า “หนึ่งคือทุกคนป่วยหนักมาก สองพิธีกรรมของแม่หมอคือการเอาชีวิตของอีกคนที่มีชีวิตอยู่ มาแทนชีวิตให้อีกคนที่กำลังจะตาย มันถูกต้องแล้วหรอ คนเราไม่สามารถเปลี่ยนระบบกรรมได้ จุดเริ่มต้นของความตายคือการเกิดไม่ใช่หรอ แล้วเราควรเสียใจกับความตายหรือเสียใจเรื่องการเกิดมากกว่ากัน”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

31 มี.ค. 2024

ไปรับน้องใหม่ที่รร.ประถม เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาล แต่ลมพัดแรงจนธูปเกิดไฟลามไปที่ศาล และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง!

การรับน้องใหม่ที่หลอนจนจำไม่ลืม เมื่อรุ่นพี่พาไปทำกิจกรรมแต่เกิดเหตุไฟไหม้ศาลไม้ จนทำให้มีแต่เรื่องแปลก เกิดขึ้น! เรื่องนี้ ‘คุณแรก’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนสยองรับน้องใหม่’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองของ ‘คุณแรก’ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงไปรับน้องใหม่ออกค่ายอาสา ประมาณยุค 90s ช่วงนั้นคุณแรกเข้าไปเรียนปี 1 สมัยนั้นจะมีช่วงปิดเทอมฤดูหนาว รุ่นพี่ก็จะใช้ช่วงนี้เพื่อรับน้องใหม่ไปออกค่ายอาสาพัฒนา ครั้งนี้คุณแรกได้ไปต่างอำเภอ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง คุณแรกและเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าตรงนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าทางเข้าเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เมื่อทุกคนไปถึงที่นั่น ก็จะมีต้นไทรใหญ่ผูกผ้าแพร มีศาลไม้เก่ามาก และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมารับตรงจุดนั้น เมื่อมาถึงก็ไปไหว้ศาลก่อนเป็นอันดับแรก รุ่นพี่ก็แจกธูปให้รุ่นน้องอธิษฐานขอพรให้กิจกรรมผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นรุ่นพี่จะเก็บรวบรวมธูปทั้งหมดไปปักไว้ที่กระถางธูป แต่ในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ เมื่อลมหนาวพัดมา ธูปที่รวมกันเป็นกำใหญ่ก็เกิดไฟลุกลามไปติดที่ศาลไม้ ทุกคนต่างตกใจและพยายามช่วยกันดับไฟ เมื่อไฟดับลง ปรากฏว่าศาลไม้เสียหายไปส่วนหนึ่ง ทุกคนจึงตกลงกันว่าจะช่วยออกเงินเพื่อบูรณะซ่อมแซม แต่คุณแรกกับเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าเป็นลางไม่ดีแน่ ๆ เมื่อไหว้ศาลเสร็จ ทุกคนก็เข้าไปในโรงเรียน กำหนดการทำกิจกรรมที่นี่คือ 3 วัน 2 คืน เมื่อเข้าไปก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทาสีห้องน้ำ ถางป่า ตัดต้นไม้ เริ่มพัฒนาพื้นที่และแบ่งหน้าที่กันทำ หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ รุ่นพี่ก็บอกว่า “คืนนี้เราจะมีการเข้าสู่ฐานเพื่อวัดกำลังใจ เตรียมใจให้พร้อมนะ” ซึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีท่อซีเมนต์ รุ่นพี่เห็นท่อซีเมนต์เรียงกันอยู่จึงเลือกตรงนี้เป็นฐานแรกในการทำกิจกรรม โดยจะขุดหลุมตรงทางออกและนำผ้ายางมารองทำให้มีน้ำขังเป็นแอ่ง จากนั้นรุ่นพี่ก็ไปซื้อปลาไหลจากชาวบ้าน เพื่อนำมาทำกับข้าวให้รุ่นน้องกิน แต่ก่อนจะทำอาหารนั้น ก็นำปลาไหลมาปล่อยลงในแอ่งน้ำเต็มไปหมด เพื่อให้รุ่นน้องทำกิจกรรม เวลามุดออกมาจากท่อจะต้องผ่านแอ่งปลาไหลนี้ก่อน พอตกกลางคืน คุณแรกก็เข้าสู่กิจกรรม รุ่นพี่ปล่อยรุ่นน้องครั้งละ 2 คน เพื่อให้คลานเข้าไปในท่อ ทุกคนจะมีไฟฉายพลาสติกอันเล็กติดตัวคนละอัน เมื่อคลานเข้าไปภายในท่อจะแคบมาก คุณแรกเป็นคนตัวโตก็ไม่อยากมุดท่อนี้ พอถึงคิว คุณแรกก็ถอยหลังไปต่อท้ายตลอด จนกระทั่งเหลือแค่คุณแรกกับเพื่อน ในที่สุดก็ต้องมุดเข้าไป รุ่นพี่บอกว่า “ถึง 2 คนสุดท้ายแล้ว ปิดฐานนี้เข้าไปได้เลย” คุณแรกก็คลานเข้าไปช้า ๆ เพราะว่าใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ถ้าคลานเร็วมาก ข้อศอกกับหัวเข่าอาจจะถลอกได้ คุณแรกคลานไปเรื่อย ๆ แล้วเพื่อนอีกคนก็คลานตามหลังมา เมื่อถึงช่วงกลางท่อเพื่อนก็ตีก้นคุณแรกแล้วพูดว่า “แรก ๆ เร็ว ๆ รีบหน่อย!” คุณแรกจึงหันไปมองเพื่อนแล้วพูดว่า “อะไรวะ แค่นี้ก็เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อศอกแล้วเนี้ย” เพื่อนก็พยายามดันก้นคุณแรกและบอกว่า “แรก เร็ว ๆ มีคนคลานตามเรามา” คุณแรกก็คิดว่าจะมีคนคลานตามมาได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองและเพื่อนคือ 2 คนสุดท้าย เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิง มีอายุ คลานติดเรามาเลย” สักพักเพื่อนของคุณแรกก็โวยวาย คุณแรกจึงรีบคลานจนพ้นท่อผ่านแอ่งปลาไหลออกมา เพื่อนก็รีบคลานตามมา แต่ยังไม่ขึ้นมาจากแอ่งปลาไหล รีบหันไปแล้วพยายามส่องไฟฉายเข้าไปในท่อ ตอนนั้นเพื่อนของคุณแรกกลัวมาก รุ่นพี่ก็พาขึ้นมาข้างบนแล้วถามว่า “เป็นอะไร?” เพื่อนของคุณแรกก็บอกว่า “มีผู้หญิงแก่คลานตามหลังมาติด ๆ แล้วหน้าของผู้หญิงคนนี้ก็มาดมอยู่ที่ก้น แล้วมีเสียงพูดว่า หอมน่ากินจังเลย แล้วเอาหน้ามาดมตรงก้นอีก” เพื่อนของคุณแรกก็เลยพยายามเอาเท้าดันข้างหลังเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นออกไป เขาก็ตกใจและเร่งให้คุณแรกคลานออกมาให้เร็วที่สุด แต่พอมองดูเข้าไปในท่อ ปรากฏว่าไม่มีใครตามออกมาเลย หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็บอกว่า “เปื้อนกันแล้ว ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวยังมีด่านต่อไปอีก วันนี้จะมีด่านวัดกำลังใจ 2 ด่าน จะมีด่านบ้านพักครูที่จะทำเป็นด่านเล่นผีถ้วยแก้ว แล้วรุ่นน้องทุกคนจะต้องมานั่งล้อมรอบกองไฟ ลานอเนกประสงค์ด้านหน้า แล้วเมื่อก่อไฟแล้วจะมีรุ่นพี่นำเนื้อชิ้นใหญ่ ๆ ปิ้งให้น้องกินระหว่างรอเข้าฐาน” จากนั้นรุ่นพี่ 4 คนก็ไปที่บ้านพักครู ซึ่งเป็นบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อไปเตรียมฐานเล่นผีถ้วยแก้ว และทำผีหลอกน้องตรงนี้ เมื่อรุ่นพี่ขึ้นไปก็ไม่เปิดไฟ จุดเทียนสร้างบรรยากาศและวางแผนกันว่า รุ่นพี่ 2 คน จะพารุ่นน้องเล่นผีถ้วยแก้ว รุ่นพี่จะเป็นคนลากแก้วให้เลื่อนตามที่เขาต้องการ ซึ่งทุกอย่างถูกเซ็ทไว้หมด แล้วจะให้น้องเข้าไปหาของในห้องนอน จะมีรุ่นพี่อีกส่วนหนึ่งปลอมเป็นผีอยู่ในห้องนั้นเพื่อหลอกน้อง ระหว่างที่รุ่นพี่ทั้ง 4 คนกำลังเตรียมฐาน อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนชั้น 2 ของบ้านพักครู เป็นผู้ชายใส่เสื้อห่านคู่ ใส่กางเกงสีกากี แล้วก็ยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่อยู่บ้านนี้ รุ่นพี่ก็ตกใจและถามว่า “ไหนว่าบ้านนี้ไม่มีใคร พี่อยู่บ้านนี้หรอครับ?” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า “อ๋อ ครูไม่ได้อยู่บ้านนี้หรอก แต่เห็นมีเด็กมาทำกิจกรรม ครูเลยมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าเป็นยังไงกันบ้าง เดี๋ยวขออนุญาตเข้าไปในห้องนอนหน่อยนะจะไปเอาของ แล้วเดี๋ยวครูก็ไปละ พวกเธอทำกันเต็มที่เลย” จากนั้นครูก็เปิดประตูเข้าไปในห้องนอน รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็เตรียมอุปกรณ์จนเสร็จในบริเวณด้านหน้า เหลือแค่ในห้องนอนที่รอให้คุณครูคนนี้ออกมา รุ่นพี่คนหนึ่งไปเคาะประตูเรียก “ครูครับ ๆ พวกผมจะต้องเซ็ทห้องต่อนะครับ” สักพักประตูห้องก็เปิดเอง ภาพในห้องจะเห็นพัดลมเพดาน คุณครูคนนี้มีเชือกผูกคอแล้วห้อยอยู่กับพัดลม รุ่นพี่ทั้ง 4 คนก็มองเหวอด้วยความตกใจ คุณครูก็พูดว่า “เนี่ย หลอกผีมันต้องหลอกแบบนี้!” แล้วทั้งหมดก็วิ่งหนีลงบันไดไปลานอเนกประสงค์ จนกระทั่งในที่สุดรุ่นพี่ก็สั่งยกเลิกด่านบ้านพักครู หลังจากนั้นก็ให้รุ่นน้องทำกิจกรรมรอบกองไฟ มีรุ่นพี่ที่ย่างเนื้อให้รุ่นน้องชื่อว่า ‘พี่บ๊อบ’ ซึ่งพี่บ๊อบเป็นคนผมยาว เฮฮา และชอบดื่ม เขาแอบพกเหล้ามาดื่มด้วย พี่บ๊อบปวดฉี่เลยบอกรุ่นน้องว่า “เดี๋ยวพี่ไปฉี่ก่อนนะ มาหมุนเนื้อแทนหน่อย” พี่บ๊อบก็ไปฉี่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างไปไม่ไกลมาก เมื่อเสร็จพี่บ๊อบก็มานั่งย่างเนื้อต่อ แต่พฤติกรรมของพี่บ๊อบเปลี่ยนไปตรงที่ว่า เมื่อเลาะเนื้อที่สุกด้านนอกออกไป เนื้อด้านในที่ยังไม่สุก พี่บ๊อบก็เลาะเนื้อส่วนนั้นออกมาจับใส่ปากแล้วเคี้ยว ทุกคนมองและคิดว่าทำไมถึงกินเนื้อดิบแบบนั้น แต่ก็คิดว่ากินซอยจุ๊แบบอีสานเลยไม่แปลกใจ เมื่อกินไปสักพัก พี่บ๊อบก็เริ่มเอามีดที่เลาะเนื้อมาจับผมยาว ๆ หั่นผมของตัวเองออกแล้วโยนเข้ากองไฟ พร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “ไหน ๆ ใครคนไหนวะตัดต้นไม้กู?” แล้วก็หัวเราะเหมือนคนเสียสติ รุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนกันก็เข้ามาช่วยล็อคตัวพี่บ๊อบ แย่งมีดกันจนมีดบาดเพื่อน กว่าพี่บ๊อบจะได้สติก็พักใหญ่ เมื่อมีสติก็เล่าให้ทุกคนฟังว่า ตนไปฉี่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วรู้สึกว่าเหมือนมีน้ำหยดใส่หัว ก็เลยแหงนขึ้นไปดู ปรากฏว่าบนต้นไม้มีผู้ชายผูกคอห้อยอยู่ และฉี่ใส่หัวของตน หลังจากนั้นภาพก็ตัด มารู้สึกตัวอีกทีก็ในวงกองไฟ พี่บ๊อบจึงได้สติและจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เช้าวันรุ่งขึ้น รุ่นพี่ตัดสินใจกลับทันที ซึ่งนอนได้แค่คืนเดียว แล้วทิ้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ทำต่อ พร้อมกับบริจาคเงินเพื่อจะซ่อมแซมศาลที่เกิดไฟไหม้ ตอนกลับรุ่นพี่ก็พาทุกคนไปไหว้ศาลอีกครั้งเพื่อขอขมา แล้วเดินทางกลับ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1