คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

อังคารคลุมโปง RECAP

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

            ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย!

            คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ

            พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า

            หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย

            เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า

            ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป..

            พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร

            หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!”

            ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย

            รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป  

            สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้!

            หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

13 เม.ย. 2024

เที่ยวบ้านผีสิงแต่ไม่น่ากลัว สุดท้ายเดินไปเจอบ้านผีสิงของจริง วิ่งหนีจนไข้หัวโกร๋น!!

เรื่องนี้ ‘คุณแรก ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของคุณตาท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงงานวัด แต่ไม่น่ากลัว จนไปเจอบ้านผีสิงหลังวัด เจ้าของเห็นว่าดึกแล้วจึงให้เข้าฟรี แต่กลับเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนจับไข้หัวโกร๋น เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย คุณแรกเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาตอนไปล่าท้าผีในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า เพิ่ม) ได้เล่าให้คุณแรกฟังว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่คุณตายังเป็นเด็ก อายุประมาณ 12 – 13 ปี ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปี ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเด็ก ๆ มากเพราะจัดครั้งใหญ่แค่ปีละครั้ง ก่อนที่คุณแรกจะเริ่มเล่า ขอแทนคุณตาเพิ่มว่า ‘เด็กชายเพิ่ม’ เริ่มเรื่องต้องย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน กลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่ม ต่างตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่จัดใกล้บ้าน ซึ่งเด็กทั่วไปที่ไปเที่ยวงานวัดก็จะเก็บบ้านผีสิงไว้เป็นไฮไลต์สุดท้ายของงาน ทางด้านผู้ปกครองก็จะจับจองพื้นที่ปูเสื่อรอที่หน้าโรงลิเกแล้วก็จะให้เงินเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในงานตามอัธยาศัย ส่วนเด็กชายเพิ่มก็จะไปเที่ยวเล่นเครื่องเล่นกับกลุ่มเพื่อนและก็เก็บไฮไลต์สุดท้ายไว้เป็นการเข้าบ้านผีสิง เด็ก ๆ ต่างความคาดหวังว่าบ้านผีสิงงานวัดต้องน่ากลัวและจะต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่นอน หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นพอใจแล้ว เด็กชายเพิ่มกับเพื่อน ๆ จ่ายค่าเข้าบ้านผีสิงและเข้าไปจนกระทั่งออกมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะบ้านผีสิงไม่น่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยหุ่นผีปลอม หุ่นผีกระสือก็เป็นการชักลอกให้ตกใจ เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงเดินบ่นกันว่า “ปีนี้ไม่น่ากลัว” และก็มีหนึ่งคนในกลุ่มชวนให้ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะไปที่หน้าโรงลิเก เด็ก ๆ ก็เดินไปบริเวณข้างหลังวัด ขณะที่กำลังเดินไปห้องน้ำ ก็ได้เดินผ่านสามเณรรูปหนึ่ง เป็นเด็กจ้ำม่ำน่ารักเดินสวนมา ทางด้านเด็กชายเพิ่มก็ได้ถามเณรว่า “คุณเณร ๆ ห้องน้ำไปทางไหนครับ” เณรก็ตอบว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายนะ เดี๋ยวก็เจอห้องน้ำ” เพื่อนในกลุ่มก็ถามเณรอีกว่า “คุณเณรครับ ยังไม่จำวัดเหรอ มันดึกแล้วนะ” เณรก็ตอบว่า “เสียงดังเณรนอนไม่หลับ เลยมาเดินมาดูหน้างาน ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง” พอถามเสร็จก็แยกย้ายกับสามเณรไปคนละทาง ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ข้างหลังวัดติดกับโกศกระดูกและถัดไปก็จะเป็นป่า พอกลุ่มเด็ก ๆ เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมา เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นแสงไฟสว่างที่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก เพื่อนจึงสะกิดให้เพื่อนในกลุ่มดู “เฮ้ย! ดูนั้นดิ” เพื่อนในกลุ่มทั้งหมดก็หันไปดูพร้อมกัน ปรากฏว่าเป็นโต๊ะไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีคุณลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับป้ายที่ทำจากกระดาษลัง เขียนด้วยหมึกง่าย ๆ ว่า “บ้านผีสิง” เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็แปลกใจ ด้วยความสงสัยเด็กกลุ่มนี้ก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ถามกับลุงว่า “อ้าวลุง ตรงนี้มีบ้านผีสิงอีกหรอ” ลุงก็ตอบว่า “ใช่ ลุงมาทุกปีแหละ มาช่วยงานวัด แต่ลุงไม่ได้ไปตั้งที่หน้างานหรอกเพราะว่าลุงไม่มีตังจ่ายค่าที่ หลวงพ่อก็ให้มาตั้งที่ตรงนี้โดยที่ไม่เอาเงิน แต่ลุงก็กำลังจะเก็บแล้ว มันดึก มันเงียบ คงไม่มีคนมาแล้วแหละ” เด็กชายเพิ่มจึงถามคุณลุงไปว่า “แล้วลุงมาตั้งตรงนี้มันมีใครมาเที่ยวด้วยหรอ ไม่เห็นมีผ้าล้อม ไม่เห็นมีเขตรั้วอะไรเลย มันโล่งไปหมด” ลุงก็ตอบว่า “โอ้ย...ของลุงสบาย ๆ เดินตรงไปก็มีผี สนุก ๆ” ทางด้านกลุ่มเพื่อน ๆ ของเด็กชายเพิ่มก็บอกว่า “พวกผมเหลือเงินไม่เยอะ เพราะซื้อขนมกับเล่นเครื่องเล่นที่หน้างานมาแล้ว” คุณลุงก็บอกว่า “ไม่เป็นไร จะเก็บกลับบ้านแล้ว ให้เข้าฟรีแล้วกัน เดินตรงไปเลยนะ” เพื่อน ๆ ก็ดีใจกันว่าจะได้เข้าบ้านผีสิงอีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งบ้านผีสิงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งอยู่หลังวัดเงียบ ๆ ไม่มีคน แล้วเด็ก ๆ ทั้งหมดก็เดินไปตามทางที่คุณลุงบอก เดินตรงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านหลังวัด ก็เจอโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่ มีตะเกียงตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เห็นเป็นคุณน้าอีกคน เด็ก ๆ ก็เดินตามแสงไฟที่ เจอคุณน้ากำลังนั่งปั้นน้ำตาลปั่นอยู่ เด็ก ๆ ก็เข้าไปถามทางว่า “น้า ๆ บ้านผีสิงเห็นคุณลุงเขาชี้มาทางนี้ ไปทางไหน” คุณน้าก็ตอบว่า “เนี้ย เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละ แต่ว่าซื้อน้ำตาลไหมละ น้าปั้นอร่อยนะ ปั้นน้ำตาลสวยด้วย” เด็ก ๆ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดว่า “มีเงินไม่เยอะนะ อาจจะไม่พอ” คุณน้าก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร ซื้อตัวหนึ่ง น้าแถมให้อีก 2 ตัว” เด็ก ๆ ก็ให้คุณน้าปั้น 3 ตัวละครในไซอิ๋ว มีพระถังซัมจั๋ง ตือโป๊ยก่ายและซึงหงอคง คุณน้าก็เริ่มปั้นแบบชำนาญ ปั้นเร็วและสวยมาก เด็ก ๆ ต่างตกตะลึงในฝีมือการปั้นน้ำตาลของคุณน้า พอปั้นมาถึงตัวสุดท้ายเป็นพระถังซัมจั๋ง คุณน้าที่ปั้นส่วนของตัวเสร็จและกำลังจะปั้นส่วนหัว แต่คุณน้าก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจเพราะแทนที่คุณน้าจะปั้นส่วนหัวเป็นกลม ๆ คุณน้ากลับใช้มือลวงเข้าไปควักลูกตาของตัวเองมาเสียบเป็นหัวพระถังซัมจั๋ง เด็ก ๆ ทุกคนตกใจ พากันวิ่งหนี วิ่งตรงไปข้างหลังที่เป็นเขตป่าและมีโกศกระดูก! จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โยมพี่ ๆ อย่าวิ่ง” เด็ก ๆ ทุกคนก็หยุดและมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากทางไหน ซึ่งต้นเสียงได้ยินมาจากบนต้นไม้ เด็ก ๆ ก็แหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏเป็นเณรจ้ำม่ำน่ารักรูปนั้นที่บอกทางไปห้องน้ำ เด็ก ๆ ก็ถามเณรว่า “เณรไปทำอะไรอยู่บนนั้น ลงมา ๆ ก่อน ผีหลอก ๆ” เณรก็ตอบสวนมาว่า “ไม่มีผีหรอกโยมพี่” เด็ก ๆ ก็ยังช่วยกันตะโกนบอกให้เณรลงมาก่อน เพราะอยากอาศัยบารมีผ้าเหลืองของเณรคุ้มกันผี เณรก็บอกว่า “เดี๋ยวลงไป” พอเณรพูดยังไม่ขาดคำ ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ซึ่งต้นไม้สูงมาก เด็ก ๆ ตกใจว่าทำไมเณรไม่ปีนลงมา แล้วเณรก็พูดกับเด็ก ๆ ว่า “เณรคงไปกับพวกโยมพี่ไม่ได้หรอก ดูขาเณรสิ” ปรากฏว่าขาของเณรกระดูกส้นออกมา ขาบิด เพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ว่าเณรกลับไม่มีอาการเจ็บเลย และเณรก็ยังมองหน้าเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะ เด็ก ๆ ก็ตกใจแล้วก็วิ่งหนีอีก เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าเณรรูปนี้ใช่คนหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินเสียงเณรตะโกนไล่หลังมาว่า “โยมพี่อย่าวิ่ง หมาวัดมันดุ” เด็ก ๆ ทั้งหมดแค่หันมามองแล้ววิ่งกันต่อ ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาเห่าและหมาก็กำลังวิ่งออกมาจากมุมมืดที่โกศเก็บกระดูก เป็นหมาดำขนาดใหญ่ เขี้ยวน่ากลัว กำลังวิ่งไล่เด็ก ๆ แต่พอหันไปดูกลับเป็นซากหมาเน่าที่เน่าไปครึ่งตัว ขาหลังห้อย ใช้ขาหน้าวิ่งแต่วิ่งไล่เด็ก ๆ เร็วมาก ทำให้เด็ก ๆ ตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าโรงลิเก เด็กทุกคนก็วิ่งไปหาผู้ปกครองของตัวเอง ส่วนเด็กชายเพิ่มวิ่งไปหาแม่แล้วไปบอกแม่ว่า “เจอผีหลอก” แต่แม่ก็ไม่สนใจห่วงดูลิเกที่กำลังสนุก เลยหันดุเด็กชายเพิ่มว่า “อย่าเสียงดัง” ด้วยความที่เด็กชายเพิ่มยังตกใจอยู่ พอมาเจอแม่ดุอีกก็เลยนั่งลงหอบเพราะวิ่งมาจากหลังวัด สายตาก็เริ่มมองไปที่โรงลิเกที่กำลังเป็นฉากที่นางเอกเป็นองค์หญิงออกมาร่ายรำ ร้องลิเก และจะมีพี่เลี้ยงตามมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ พี่เลี้ยงหันมาจ้องตาเด็กชายเพิ่มแบบไม่กะพริบตา เด็กชายเพิ่มก็จ้องกลับ ปรากฏว่าพี่เลี้ยงที่อยู่บนโรงลิเกค่อย ๆ คลานเข่าลงมา แล้วกระโดดลงมาจากโรงลิเก ด้วยท่าทางการคลาน 4 ขา ด้วยความเร็วผ่านคนที่ดูลิเกจำนวนมาก มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายเพิ่มแล้วก็ยิ้มจ่อหน้า และดวงตาก็ค่อย ๆ ถลนออกมา ยิ้มปากกว้างจนเด็กชายเพิ่มเขย่าแขนแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่! ผีหลอกอยู่ต่อหน้าเลย” แม่ก็ยิ่งดุง้างมือจะตีเด็กชายเพิ่ม “ไปเลยนะ กลับบ้านไปเลยนะ แม่จะดูลิเกอย่ามากวน” เด็กชายเพิ่มก็วิ่งกลับบ้าน เวลาผ่านไปจนตอนเช้า เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เพราะทุกคนเป็นไข้ ไม่สบาย ผู้ปกครองของเด็กทุกคนก็พาไปหาเจ้าอาวาสวัด ไปอาบน้ำมนต์ ไปขอของดีกับหลวงตา ผูกสายสิญจน์ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจอเมื่อคืนให้หลวงตาฟัง หลวงตาก็ถามว่า “ยังเจอกันอยู่หรอ” หลวงตาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคือ คุณลุงที่มาทำบ้านผีสิงคืออดีตสัปเหร่อ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชื่อ ‘ตาพุฒิ’ เสียไปตั้งแต่เจ้าอาวาสยังเป็นพระผู้ช่วย ส่วนคนที่ปั้นน้ำตาลปั้นเขามาทุกปี ตั้งโต๊ะปั้นน้ำตาลข้าง ๆ เวทีรำวง แล้วเกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นแย่งนางรำกันและโยนระเบิด ทำให้โดนลูกหลงเสียชีวิต ส่วนเณรคือ เณรบวชภาคฤดูร้อน ด้วยความซนของเด็ก ไปเล่นน้ำที่สระท้ายวัดกับเด็กวัด ทำให้จมน้ำเสียชีวิต(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

21 ก.ย. 2024

ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

‘ซินแสเอ็กซ์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เดือนต้องห้าม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ซินแสเอ็กซ์เล่าว่า ได้มีข้อความส่งมาหาซินแสเอ็กซ์เพื่อมาขอคำปรึกษาการเข้าบ้านใหม่ โดยเจ้าของบ้านที่ต้องการปรึกษาก็ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีการย้ายเข้าบ้านใหม่ และได้มีการเชิญคนมาตั้งศาลตี่จู้เอี๊ยะให้ในวันนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล พอตั้งเสร็จเจ้าของบ้านก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาว่าฤกษ์ตรงนี้ไม่ได้ จึงต้องโทรมาหาซินแสเอ็กซ์ เพราะหลังจากเจ้าของบ้านตั้งศาลนี้ก็รู้สึกว่ามีสิ่งแปลก ๆ ในบ้านเยอะมาก ในคืนนั้น ขณะที่เจ้าของบ้านทำงานอยู่หน้าห้องนอน ส่วนในห้องมีภรรยาและลูกเล็กนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันที่ชั้นล่าง เจ้าของบ้านจึงตั้งใจจะลงไปดู ขณะที่จะก้าวลงไปถึงห้องนั่งเล่น เสียงนั้นก็หายไป เจ้าของบ้านจึงคิดว่าเป็นเสียงจากข้างนอกจึงเดินกลับขึ้นห้องไป แต่ในระหว่างที่เดินกลับขึ้นไปก็ได้ยินเสียงอีก เจ้าของบ้านก็เดินกลับลงไปดูอีก หันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่มีใคร จึงเดินไปที่ตี่จู้เอี๊ยะแล้วจุดธูปพร้อมบอกกล่าวว่า ‘ขอให้อยู่บ้านนี้แล้วเฮง’ จากนั้นก็เดินกลับขึ้นชั้นบน ในขณะที่เดินกลับขึ้นไปนั้น เจ้าของบ้านก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิด เมื่อชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ดับไปต่อหน้าต่อตา! เจ้าของบ้านตกใจและรีบขึ้นไปเพื่อเข้าห้องนอน และกลั้นใจนอนหลับไป.. เมื่อเจ้าของบ้านหลับไปก็ได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ คล้ายเงาอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า “ไอที่จุดธูปไหว้ไปเมื่อกี้เนี่ย มึงจุดธูปไหว้กูนะ มึงอยากให้กูอยู่ด้วยหรอ” เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นและคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาก็พบว่าเป็นเวลาตี 3 ยังไม่เช้า จึงพยายามข่มตานอนอีกรอบ แต่ก็ดันฝันอีกรอบ โดยฝันว่าตนนั้นกำลังนั่งในห้องรับแขก แต่ด้านนอกห้องรับแขกเห็นเป็นคนแก่ 2 คนหน้าตาใจดี แต่ดูกังวล เมื่อตนและคนแก่หันมาสบตากัน คนแก่ก็กวักมือเรียก ตนจึงเปิดประตูออกไปแล้วถามว่า “มาหาใครครับ มีอะไรครับ?” คนแก่ 2 คนจึงบอกว่า “มาหาลื้อนั่นแหละ” และยังบอกอีกว่า “ลื้อลองมองหันกลับเข้าไปในบ้านลื้อสิ ผีเต็มบ้านเลยนะ” เมื่อเจ้าของบ้านหันไปก็เห็นเป็นคนแต่งตัวมอมแมมอยู่ในบ้านเต็มไปหมด! เจ้าของบ้านกำลังจะหันกลับไปถาม แต่ทั้ง 2 ก็หายไปแล้ว เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่เช้า และไม่อยากฝันอีกจึงเลือกที่จะไม่นอนต่อ แล้วไปนั่งในห้องน้ำเพราะกลัวภรรยากับลูกตื่น คิดว่าตอนเช้าจะพาภรรยาไปทำบุญ พอเริ่มเช้า ภรรยาตื่นและเปิดประตูออกมาก็ถามเจ้าของบ้านว่า “ไปทำบุญกันไหม?” ทั้งครอบครัวจึงออกไปทำบุญ ในระหว่างที่ขับรถไปนั้น เจ้าของบ้านอัดอั้นตันใจมาก เพราะอยากที่จะเล่าเรื่องราวให้กับภรรยาฟัง จึงตัดสินใจจะเล่า แต่เมื่อเกริ่นไปแค่คำว่า “เมื่อคืน..” ภรรยาก็บอกให้หยุดและบอกว่าขอเล่าก่อน โดยภรรยาได้เล่าว่าเมื่อคืนได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ มีเงาอยู่ปลายเท้าพูดว่า “ผัวมึงไหว้กูอยู่นะ กูจะมาอยู่กับมึง” พอเจ้าของบ้านฟังจบก็เล่าเรื่องราวฝั่งตัวเองให้ฟัง ทั้ง 2 คนคิดว่าท่าทางเริ่มไม่ดีแล้ว จึงรีบไปวัด และเอาลูกไปฝากไว้กับพ่อแม่ก่อน เมื่อไปถึงที่วัดก็เล่าเรื่องราวให้พระฟัง พระท่านก็เสกน้ำมนต์และให้เครื่องรางของขลังมาเพื่อจะเอากลับไปไว้ที่บ้าน หลังจากได้ของจากพระ สามีภรรยาก็กลับไปที่บ้านและใช้ชีวิตตามปกติแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ตัวสามีก็ไปนั่งทำงานอยู่ที่เดิม ภรรยาก็อยู่ในห้องนอน และจู่ ๆ ไฟก็ดับทั้งบ้าน ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเพราะบ้านพึ่งทำใหม่และดับอยู่บ้านเดียว ทันใดนั้น สามีก็ได้ยินเสียงภรรยาร้องออกมาจากห้องนอน! สามีจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนอน พอเปิดเข้าไปก็ได้รู้ว่าเสียงภรรยาออกมาจากห้องน้ำ สามีพยายามบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูแต่บิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ตัวภรรยาเองก็บอกว่าไม่สามารถเปิดจากข้างในได้เหมือนกัน! สามีจึงรีบวิ่งไปเอาค้อนที่ชั้นล่าง และในระหว่างที่ขึ้นไปหาภรรยา สามีรู้สึกเหมือนมีคนมาขัดขาจึงล้มลงไปจนฟันหน้าหักเลือดท่วมปาก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงภรรยาจึงรีบวิ่งขึ้นไป ในตอนที่กำลังจะเอาค้อนทุบประตูภรรยาดันเปิดประตูออกมาได้ปกติ เมื่อทั้งคู่เจอหน้ากันก็รีบเอากุญแจรถขับออกไปทันที และไปตั้งสติที่บ้านแม่ สามีถามภรรยาว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวภรรยาจึงเล่าให้ฟังว่าในตอนที่เจ้าของบ้านนั่งทำงานอยู่ ภรรยาได้เข้าไปอาบน้ำ โดยลักษณะห้องน้ำจะมีกระจกกั้นระหว่างโซนเปียกกับโซนแห้ง ภรรยารู้สึกว่าหางตาเห็นเหมือนมีคนเอาหน้ามาอังตรงกระจก เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจจึงตั้งใจจะหันไปมอง แต่ในขณะที่หันไปมอง ไฟดันดับและภรรยาเห็นร่างคนตัวดำ ๆ ยืนอยู่ในห้องน้ำกับภรรยา! ภรรยาตกใจร้องกรี๊ดเสียงดัง หลังจากนั้นก็เล่าแม่ฟังอีกรอบ แม่บอกว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่ตั้งศาลกันในเดือนเจ็ดของจีน ซึ่งก็คือเดือนสิงหาคม ทางเจ้าของบ้านจึงโทรมาหาทางซินแสเอ็กซ์เพื่อขอคำปรึกษา และซินแสเอ็กซ์ก็ได้ให้คำปรึกษาไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

12 ก.ค. 2023

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ในครั้งนี้ (27 มิถุนายน 2566) ต้อนรับแขกรับเชิญอย่าง ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังที่มาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจม’ ฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะนั้นคุณฝนกำลังไฟแรงเดินหน้าปฏิบัติธรรม ด้วยความที่ร้อนวิชาจึงเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อคุณฝนสามารถตอบชื่อแฟนของผู้ชายคนนี้ รวมถึงสีที่แฟนของเขาชอบ ไปจนถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถชนได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ถึงกับต้องผละตัวออกมาจากงานที่เขากำลังทำแล้วมานั่งฟังที่คุณฝนพูด คุณฝนเห็นภาพว่าผู้ชายคนนี้ได้เสียขาไป จึงเตือนผู้ชายคนนั้นว่า ให้ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดี และยังบอกอีกว่า เขาเคยสัญญาว่าจะไปบวชตอนรอดจากเหตุการณ์รถชนครั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปบวช เขาจึงตอบกลับมาว่า จะไปบวชภายในเดือนนี้ คุณฝนจึงกำชับว่าให้รีบบวชโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้โดนรถชนครั้งนั้น อาจจะตามมาเอาชีวิตไปก็ได้ ผู้ชายคนนี้ขอบคุณคุณฝนเป็นอย่างมากที่ช่วยแนะนำวิธีการแก้เคราะห์ให้เสร็จสรรพโดยไม่ได้เก็บค่าครูแม้แต่บาทเดียว ในตอนนั้นเอง.. คุณฝนไม่รู้เลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป! เมื่อคุณฝนกลับมาถึงที่บ้าน ก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มที่ตัว เริ่มอ่อนเพลียและหนักที่หัวจนอยากเข้านอน พอตื่นมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนทรมานไปหมด คุณฝนรู้สึกเหมือนหัวถูกกดเอาไว้แล้วมีใครบางคนทุบมาที่หัวตลอดเวลา! คุณฝนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการคุณฝนตอนนั้นเหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นไข้ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเหตุการณ์ที่ได้ไปช่วยผู้ชายคนนั้น และแล้วในความฝันกลางดึก คุณฝนก็พบกับร่างของชายคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ ที่ผิวของร่างชายคนนี้ไหม้เกรียมแถมมีไฟฟอนสีแดงแตกออกมา คุณฝนมองเห็นร่างนี้ได้แบบพร่ามัวและเลือนลาง แต่ก็ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา สิ่งนั้นเองที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูดวงของคุณฝนตลอดไป “มึงอ่ะ อยากยุ่งเรื่องของกูมากใช่ไหม มึงตายแทนมันไปเลยนะ!” แม้จะตื่นอยู่แต่คุณฝนกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย ที่ดวงตาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา คุณฝนนอนปวดหัวแสบร้อน ขณะที่คนในบ้านคอยเช็ดตัวให้ คุณฝนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่ามีคำพูดนั้นกระแทกเข้าหาตลอดเวลา ตอนนี้คุณฝนรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกทึ้งไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแฟนและแม่แฟนต้องพาไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลสารพัดวิธีแล้ว หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณฝนเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายหมอจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องเจาะไขสันหลังมาตรวจดูและผ่าเปิดกะโหลกไปเลย เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับน้ำในสมอง เมื่อคุณฝนซึ่งตอนนั้นไม่สามารถขยับร่างกายได้ยินเข้า จึงอธิษฐานให้บุญกุศลที่เคยทำไว้และการไปฏิบัติธรรมตลอดมาช่วยให้รอด คุณฝนบอกกับเสียงที่เข้ามาว่านับจากนี้ทุกเดือนจะไปปฏิบัติธรรมและไม่ทักใครหรือเข้าไปช่วยใครอีกเลย หากเขามิได้มีเจตนาจะร้องขอตั้งแต่แรก คุณฝนสะอื้นให้กับตัวเองแล้วรำพันว่าตนไม่ควรไปอวดอุตริไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมนี้แต่แรกเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวร เสียงนั้นก็ตอบกลับว่าคุณฝนไม่มีทางรอดไปได้ เพราะคุณฝนได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขณะที่ได้ยินแพทย์เจ้าของไข้ถามแฟนว่าให้เจาะไขสันหลังเลยไหม ผ่าตัดเลยไหม เพราะต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณฝนพยายามส่ายหัวให้คนเห็นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการ คุณฝนผู้ซึ่งเป็นคนที่นับถือ “พระแม่” เป็นอย่างยิ่ง จึงบอกกับพระแม่ว่าตนขออุทิศชีวิตตัวเองให้กับการทำดี แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเลย.. เช้าวันต่อมา หมอคนที่จะผ่าตัดให้ก็มีเคสพิเศษเข้ามากะทันหัน จึงต้องให้หมอคนใหม่มาดูแลแทน แล้วคำวินิจฉัยก็เปลี่ยนไป หมอคนใหม่บอกว่าคุณฝนไม่ได้เป็นอะไรสามารถกลับบ้านได้ทันที สาเหตุที่ไม่สามารถขยับตัวได้คงเป็นเพราะไมเกรนทำพิษ ซึ่งอาจเกิดความเครียดตอนทำงาน สุดท้ายอาการต่าง ๆ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระยะ หลังจากนั้น คุณฝนก็ไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนตามสัญญา คุณฝนเรียนรู้ว่าบางครั้งแม้เราจะมีดวงตาเห็นนิมิตอะไรบางอย่างในตัวคนคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกเขาอยู่ดี เพราะผลที่ตามมามันอาจรุนแรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่มีครู..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณโบนัส เดอะโกสท์ ‘เเหวนหางช้าง’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

04 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณโบนัส เดอะโกสท์ ‘เเหวนหางช้าง’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

ในรายการ “อังคารคลุมโปง X’ (25 มีนาคม 2568) มีเรื่องราวสุดหลอนจาก “คุณโบนัส” ที่ได้รับแหวนหางช้างจากเพื่อนร่วมงาน ก่อนเกิดเหตุการณ์ลึกลับจนทำให้เธอหายตัวไป แต่ทำไมเธอยังคงกลับมาปรากฏตัวในสถานที่ทำงานอยู่? มาฟังเรื่องราวเต็มๆ กับ “ดีเจแนน”, “ดีเจเจ็ม”, และ “ดีเจมดดำ” แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้ง คนที่เราคุยอยู่ด้วยทุกวัน อาจจะไม่ใช่คนก็เป็นได้! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน คุณโบนัสเคยทำงานเป็นดีเจประจำสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง โดยจำเป็นต้องโยกย้ายสถานที่ทำงานทุก ๆ 5-6 เดือน จนกระทั่งได้รับสัญญาทำงานที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในภาคใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ที่นั่น คุณโบนัสได้ทำความรู้จักกับพนักงานหลายคน รวมถึง “คุณแนน” พนักงานต้อนรับ (PR) สาวที่ย้ายมาจากต่างจังหวัด เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ต้องมาทำงานไกลบ้าน เธอเล่าว่าตามเพื่อนมา เนื่องจากที่บ้านไม่มีอะไรให้ทำ ทั้งสองคนจึงสนิทกันจากการที่ต่างเป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน เมื่อระยะเวลาสัญญาของคุณโบนัสใกล้จะสิ้นสุดลง คุณแนนได้กล่าวขึ้นว่า “พี่จะย้ายงานแล้วใช่ไหม?” เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ เธอจึงถอดแหวนหางช้างออกจากนิ้วของตนและยื่นให้ พร้อมกล่าวว่า “พี่เดินทางบ่อย หนูอยากให้แหวนนี้คุ้มครองพี่ หนูใส่มาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ให้มา” คุณโบนัสตกใจและถามว่า “ทำไมถึงไม่เก็บไว้ใส่เอง มันคงมีค่าสำหรับเธอมาก” แต่ คุณแนน ตอบกลับว่า “หนูไม่ได้เดินทางไกลเหมือนพี่ หนูคงไม่ได้ใช้มันแล้ว” แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่คุณโบนัสก็นำแหวนมาเก็บไว้โดยไม่ได้สวมใส่ ในวันถัดมา มีการแสดงคอนเสิร์ตจากวงดนตรีชื่อดัง คุณโบนัสเดินทางไปซาวด์เช็กตั้งแต่ช่วงบ่าย ระหว่างนั้น ทีมงานของวงได้เดินเข้าไปในห้องพักศิลปิน ทันใดนั้น หนึ่งในทีมงานก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนรีบเดินออกจากห้อง เมื่อ คุณโบนัสสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติจึงเข้าไปสอบถาม ทีมงานคนดังกล่าวอธิบายด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ผมเห็นผู้หญิงนั่งอยู่มุมห้อง เปียกโชกไปทั้งตัว” ในช่วงค่ำ ขณะที่คอนเสิร์ตดำเนินไป ลูกค้ากลุ่มหนึ่งโวยวายว่าสั่งเครื่องดื่มไปนานแล้วแต่ยังไม่ได้รับ กัปตันของร้าน จึงเข้ามาสอบถามว่าลูกค้าสั่งเครื่องดื่มกับใคร เมื่อได้รับคำตอบว่าสั่งกับ “ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น” กัปตันจึงเรียกพนักงานหญิงทุกคนมาให้ลูกค้าดู แต่ลูกค้ากลับบอกว่า ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่เป็นคนรับออเดอร์ สุดท้าย ทางร้านจึงชดเชยเครื่องดื่มให้ลูกค้า และเรื่องก็จบลงไป หลังเลิกงาน คุณโบนัสพบคุณแนนนั่งอยู่หน้าร้าน จึงชวนไปทานก๋วยเตี๋ยว แต่เธอตอบกลับว่า “หนูมีปัญหา หนูอยากกลับบ้านแล้ว ไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไป” เมื่อสอบถามว่าเกิดปัญหากับครอบครัวหรือไม่ เธอปฏิเสธ และกล่าวเพียงว่า “หนูรู้สึกใจไม่ดีแปลก ๆ อยากกลับบ้าน” วันรุ่งขึ้น คุณโบนัสเห็นคุณแนนมานั่งที่มุมร้านเร็วกว่าปกติ เมื่อเข้าไปสอบถาม เธอบอกว่า “หนูจะลาออกแล้ว หนูไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไป” คุณโบนัส เริ่มกังวลว่าอาจเป็นเพราะเรื่องแหวน จึงเสนอจะคืนให้ แต่เธอกลับปฏิเสธ “พี่เก็บไว้เถอะ เก็บไว้ให้ดี ๆ หนูคงไม่ได้ใช้แล้ว” จากนั้น เธอเล่าต่อว่า โทรหาครอบครัวแต่ไม่มีใครรับสาย และเมื่อพ่อแม่รับสายก็ดูเหมือนไม่สนใจเธอ ในช่วงเย็น คุณโบนัสขอให้พนักงานหญิงอีกคนไปดูแลคุณแนน เนื่องจากเธอดูเครียดผิดปกติ แต่พนักงานคนนั้นกลับตอบว่า “พี่… คุณแนนไม่มาทำงานสองวันแล้วนะ” คุณโบนัสตกตะลึง เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขายังเห็นเธอนั่งอยู่ที่ร้าน ในขณะเดียวกัน คุณแนนลุกขึ้นและเดินไปทางด้านหลังร้าน พนักงานหญิงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเธอจึงเดินตามไป แต่หลังจากนั้นก็หายตัวไป โดยไม่มีใครเห็นเธอเดินกลับมา ในช่วงดึก หลังจากเสร็จงาน เจ้าของร้านได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขอให้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึง พวกเขาเห็นรถจักรยานยนต์ของคุณแนนถูกยกขึ้นจากคลอง เมื่อหน่วยกู้ภัยนำร่างของหญิงสาวขึ้นมา เธอสวมเสื้อตัวเดียวกับที่คุณโบนัสเห็นก่อนหน้านี้ แต่ร่างนั้นอยู่ในสภาพบวมอืด และคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณสองวัน พนักงานหญิงที่เดินตามคุณแนนไปหลังร้านในวันนั้น ขี่จักรยานยนต์ตามมาที่จุดเกิดเหตุในสภาพตกใจสุดขีด เธอร้องไห้พลางกล่าวว่า “พี่รู้ไหม ตอนที่หนูเดินตามแนนไป ตัวมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสื้อผ้ามันเริ่มเปียก และน้ำหยดลงพื้น ต่อหน้าต่อตาหนูเลย พอหนูจะเข้าไปแตะตัวมัน น้ำเหลืองติดมือหนูเต็มไปหมด หนูกลัวมากจนต้องวิ่งออกมา” หลังจากเหตุการณ์นั้น มีพนักงานหลายคนยังคงพบเห็นคุณแนนปรากฏตัวอยู่ภายในร้าน เจ้าของร้านจึงตัดสินใจติดต่อครอบครัวของเธอ แต่ปรากฏว่าพ่อของเธอยังไม่ทราบว่าลูกสาวเสียชีวิต คืนก่อนที่ได้รับข่าวร้าย พ่อของคุณแนนฝันเห็นลูกสาวมายืนเรียกหน้าบ้านว่า “พ่อเปิดประตูให้หนูหน่อย” เมื่อทราบว่าเธอยังคงปรากฏตัวในร้าน พ่อของเธอจึงตัดสินใจเดินทางมารับเธอกลับบ้าน พร้อมให้พระมาทำพิธี คุณโบนัสได้นำแหวนหางช้างกลับไปให้พระ และถามว่าควรเก็บไว้หรือไม่ พระตอบว่า “แหวนนี้ไม่ได้เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ชะตาของเธอได้ขาดลงแล้ว..”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1