สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

อังคารคลุมโปง RECAP

สัตวแพทย์สาวต้องย้ายงานมาทำในเมืองเล็ก ในระหว่างที่กำลังหาห้องพัก เธอก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาในหัวว่า “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” จากนั้น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกแทบไม่เว้นวัน!

26 ต.ค. 2023

       เรื่องหลอนในคืนนี้มีชื่อว่า ‘สิ่งลี้ลับในเมืองเล็ก’ จากสายคนฟัง ‘คุณกุ้ง’ บอกเลยว่าทำเอาชาวรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ขนหัวลุก! ไม่เว้นแม้แต่ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วไปอ่านพร้อมกันเลย!

       เรื่องราวความน่ากลัวของคุณกุ้งเริ่มจากการที่เธอชอบมูเตลู ย้อนกลับไปเมื่อ ประมาณ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่เธอพึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมตอนปลาย และมีการสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาแห่งหนึ่ง ในสมัยนั้นคุณกุ้งมีโอกาสได้ไปขอพรไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง โดยขอว่าให้ตอนนั้นได้เรียนต่อสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

       หลังจากการสอบเสร็จสิ้น คุณกุ้งก็ถูกคัดเลือกให้เข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในฐานะนักศึกษาสัตวแพทย์ หลังจากเรียนจบก็ได้กลับไปแก้บนตามที่ได้บนบานสานกล่าวกระทั้งในปัจจุบัน คุณกุ้งก็ได้มาทำงานสัตวแพทย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของคุณกุ้งเอง

       ไม่นานหลังจากที่ทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ คุณกุ้งก็ได้มีโอกาสย้ายที่ทำงานไปทำงานในเมืองเล็ก ๆ ของจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ซึ่งที่ทำงานใหม่ที่คุณกุ้งมาบรรจุนั้น ไม่มีที่พักรับรองให้เธอจึงจำเป็นต้องหาที่พักเอง ระหว่างที่กำลังการหาที่พักอยู่นั้นปรากฎว่าเธอได้ยินเสียงชายปริศนาแทรกเข้ามาในหัวอยู่ตลอดเวลา “หอตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ของเธอนะ ที่ของเธออยู่ตรงนู้น” คุณกุ้งประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินเสียงพวกนี้ แต่ด้วยความที่คุณกุ้งเชื่อในสิ่งลี้ลับและเป็นสายมูเตลูอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าสถานที่ตรงนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจได้ จึงตัดสินใจว่าจะหาที่ต่อไป

       ต่อมาไม่นานหลังจากที่คุณกุ้งได้เข้ามาดูหอใหม่ เธอรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากหอนี้อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าหออื่น ๆ ที่ไปดูมา และด้วยความโชคดีที่พักแห่งนี้ยังมีห้องว่างให้เช่าอยู่ 2 ห้องพอดี เธอจึงตัดสินใจที่จะทำสัญญาเช่า และย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักที่ใหม่ทันที

       หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่หอนี้ เธอก็ได้พบเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก ในระหว่างที่นอนหลับสะลึมสะลืออยู่นั้น ก็รู้สึกว่าเธอฝันว่ามีผู้หญิงลักษณะคล้ายกับคนในปี ค.ศ. 1990 กำลังใช้มือโผล่ทะลุผ่านประตูเข้ามาถอดสลักกลอนโซ่ประตูออก แล้วบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้ามาในห้องของเธอ! ไม่นานประตูก็ค่อย ๆ แง้มออกอย่างช้า ๆ และเปิดเข้ามาปรากฎตัวให้เธอเห็นร่างที่มาแค่ส่วนหัวและลำตัว! ไม่มีท่อนล่าง จากนั้นก็แสยะยิ้มให้คุณกุ้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย และไม่ได้สื่อสารอะไร คุณกุ้งที่แม้จะสะลึมสะลืออยู่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เธอได้เห็นนั้นไม่น่าจะใช่คนทั่วไปแน่นอน จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที และได้พบว่าสิ่งที่เธอเจอเมื่อกี้เขาแค่มาเตือนว่าอย่าลืมไปร่วมพิธีตีกลองสะบัดชัยที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ด้วย

       เรื่องราวความน่ากลัวในเมืองเล็กแห่งนี้ยังไม่จบ คุณกุ้งเล่าต่อว่าเธอได้มีโอกาสไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายอาชีพงานที่กำลังทำอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องเก็บของเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัด จึงจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางสำหรับเก็บสัมภาระ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็น หลังจากที่เธอจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้านอนตามปกติ ในคืนนั้นก็ได้ฝันว่าเธอได้เดินทางไปในสถานที่หนึ่ง และได้พบกับอาแปะคนหนึ่ง เขาเดินเข้ามาทักเธอว่า “ลื้อ..ลื้อจะเดินทางใช่มั๊ย ไอ้ที่ลื้อจะพกไป อย่าพกไปนะ มันจะระเบิดบนเครื่อง” คุณกุ้งนึกสงสัยว่าอาแปะคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังจะเดินทาง แต่หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมา

       รุ่งขึ้น คุณกุ้งตัดสินใจที่จะหยิบแบตสำรองออกจากกระเป๋าเดินทาง และวางมันไว้ที่พื้นในห้องแทน ไม่นานหลังจากที่เธอกลับมา ก็พบว่าแบตสำรองที่เธอวางไว้บริเวณพื้นนั้นมีสภาพปกติ จึงคิดในใจว่าอาแปะที่มาบอกในฝันเมื่อคืนนั้นคงโกหกเธอ แต่แล้วก็ได้สังเกตว่าแบตสำรองนั้นมันบวมขึ้นผิดปกติ! และก็ได้ยินเสียงไฟฟ้ากำลังช็อต! คุณกุ้งจึงตัดสินใจรีบเอาออกไปให้คนอื่นช่วยนำไปทิ้งทันที และคิดได้ทันทีว่าในสมัยก่อนคุณกุ้งเองก็นับถืออาแปะโรงสี และที่ฝันว่าเจออาแปะในคืนนั้นก็เป็นการมาเตือนให้เธอระวังตัว

       หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กแห่งนี้ คุณกุ้งก็ได้รู้ความจริงจากคุณพ่อว่าเธอมีเชื้อสายคนที่นี่ ทั้งยังโดนทักจากร่างทรงว่าในอดีตเธอเป็นคนที่นี่ ถึงได้วนเวียนมาใช้ชีวิต ถึงมีหน้าที่การงานในเมืองเล็กแห่งนี้ ซึ่งประสบการณ์หลอน ๆ ที่คุณกุ้งได้เจอทั้งหมดก็ถือเป็นการมาเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเธออยู่นั่นเอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

11 มี.ค. 2024

สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

เรื่องนี้ ‘พี่ปิ๊ด Bodyslam’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังเก่าที่คุณปิ๊ดมักจะเจอเหตุการณ์หลอนที่ทำเอาทีมงานไม่กล้ามาบ้าน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลยเหตุการณ์ที่หนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังเก่าของพี่ปิ๊ด วันหนึ่งพี่ปิ๊ดไปดื่มสังสรรค์จนเมา แต่วันรุ่งขึ้นมีงานที่จะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินทำให้ต้องตื่นเช้า พี่ปิ๊ดกลัวว่าตนจะตื่นไม่ทัน จึงโทรไปหาผู้จัดการส่วนตัวให้มาปลุกที่บ้าน ระหว่างที่พี่ปิ๊ดนอนหลับอยู่ในห้องน้ำ จนใกล้เวลาที่จะต้องตื่นมาเตรียมตัว ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเสียงดัง พี่ปิ๊ดคิดว่าน่าจะเป็นเสียงเคาะของผู้จัดการ จึงเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าไม่เจอผู้จัดการ ข้างนอกว่างเปล่าไม่มีใคร พี่ปิ๊ดจึงโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการถามว่า “อยู่ที่ไหน?” ผู้จัดการกลับตอบว่า “ยังไม่ได้ออกจากบ้าน” พี่ปิ๊ดคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านที่มาช่วยไม่ให้ตกเครื่องบิน และนี่คือเหตุการณ์แรกที่พี่ปิ๊ดเจอในบ้านเหตุการณ์ที่สอง ขณะที่พี่ปิ๊ดกำลังนอนอยู่บนเตียงในตอนเช้า ซึ่งจะปิดผ้าม่านให้ห้องมืดสนิด เมื่อนอนหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงสะบัดผ้าม่านแรง ๆ ไปมา พี่ปิ๊ดจึงลืมตาขึ้นมา มองเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ที่ปลายเท้า และผู้ชายคนนั้นก็กำลังจ้องหน้าพี่ปิ๊ดอยู่พร้อมกับใช้มือสะบัดม่านแรง ๆ พี่ปิ๊กนิ่งไปสักพักและคิดว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตนเอง น่าจะพูดคุยกันรู้เรื่อง พี่ปิ๊ดตัดสินใจพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า “ขอเถอะ จะนอน” ปรากฏว่าได้ผล ผู้ชายคนนั้นหยุดสะบัดผ้าม่านแล้วก็เดินหายไปอีกทาง!เหตุการณ์ที่สาม พี่ปิ๊ดกับภรรยามีแพลนไปเที่ยวทะเล ตนจึงพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “ถ้าหวยงวดหน้าออกเลขที่บ้าน เดี๋ยวจะซื้ออาหารทะเลมาไหว้” พอถึงวันที่หวยออกก็ไม่ถูก พี่ปิ๊ดกับภรรยาก็ไปเที่ยวทะเลตามแพลนที่วางไว้ ขากลับก็ซื้ออาหารทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาไหว้เพราะไม่ถูกหวย พอถึงบ้านก็นั่งกินอาหารทะเลกับภรรยา และในขณะที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนเอาเหรียญเคาะตู้ปลาถี่ ๆ ต่อกันยาว พี่ปิ๊ดเล่าว่าขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปาก ตัวเองกับภรรยาตัวค้างนิ่งทั้งคู่เพราะลึก ๆ ในใจรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้ พี่ปิ๊ดจึงตัดสินใจแบ่งอาหารทะเลบางส่วน จุดธูป แล้วไปวางไว้ เสียงเคาะตู้ปลาก็เงียบลงแล้วสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ พี่ปิ๊ดได้นำเรื่องราวที่เจอไปเล่าให้ทีมงานฟัง ทำให้ทีมงานกลัว ไม่มีใครกล้าไปบ้านพี่ปิ๊ด ถึงจะไม่กล้าอย่างไรทีมงานก็ยังต้องมารับพี่ปิ๊ดที่บ้าน พร้อมกับต้องช่วยขนของอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้องยืนรอพี่ปิ๊ดล็อกประตูบ้าน แต่วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูเสียงดังมากมาจากข้างบนบ้าน พี่ปิ๊ดก็ได้ยินเสียงจึงหันหลังเพื่อจะดูว่าทีมงานได้ยินเหมือนกันหรือไม่ ปรากฏว่าทีมงานทุกคนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง! ปัจจุบันนี้ พี่ปิ๊ดขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะขายบ้านได้ นายหน้าคนแรกทำอย่างไรก็ขายบ้านไม่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนนายหน้าคนใหม่ พี่ปิ๊ดจึงให้นายหน้าคนใหม่ไหว้พระที่บ้าน หลังจากนั้นผ่านมาไม่กี่วันก็ขายบ้านได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มวิศวกรจบใหม่ไฟแรงอยากทำงานต่อในยามวิกาล โชคร้ายดันเจอผีสาวหลอกจนต้องวิ่งขอความช่วยเหลือจากพี่รปภ. พอจะออกจากตึกดันเห็นว่ามีมือปริศนากำลังบีบคอพี่รปภ.คนนั้นอยู่! สุดท้ายได้รู้ความจริงถึงกับช็อกเพราะหลอนสองเด้ง!

29 ก.ย. 2023

หนุ่มวิศวกรจบใหม่ไฟแรงอยากทำงานต่อในยามวิกาล โชคร้ายดันเจอผีสาวหลอกจนต้องวิ่งขอความช่วยเหลือจากพี่รปภ. พอจะออกจากตึกดันเห็นว่ามีมือปริศนากำลังบีบคอพี่รปภ.คนนั้นอยู่! สุดท้ายได้รู้ความจริงถึงกับช็อกเพราะหลอนสองเด้ง!

มาลุ้นความระทึกจนขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จากเรื่อง ‘คนขยัน ชั้นสาม’ โดย 'อ๊อฟ คนเห็นผี' ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กันยายน 2566) จะลุ้นระทึกแค่ไหน ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! คุณอ๊อฟเรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อน ใช้นามสมมุติว่า ‘คุณกร’ ย้อนไปในสมัยที่คุณกรเรียนจบวิศวกรใหม่ ๆ ก็ได้บรรจุตำแหน่งวิศวกรในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็มักจะมีงานเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ในช่วงเริ่มงานแรก ๆ คุณกรก็กลับบ้านหลังเวลาเลิกงานตามปกติ พอนานเข้างานที่ทำก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานวันเข้า คุณกรเกิดความสงสัยว่าทำไมทุกคนถึงได้กลับตรงเวลางานกันได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องปกติของพนักงานที่นี่ อยู่มาวันนึงคุณกรรู้สึกว่าอยากเคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ เลยบอกคนอื่น ๆ ว่า “พวกพี่กลับกันไปก่อนเลย เดี๋ยวผมกลับทีหลัง” หลังจากคุณกรพูดจบประโยค ทุกคนหันมามองหน้ากันด้วยอาการตกใจ จากนั้นก็หันมามองที่คุณกรพร้อมถามว่า “แน่นะ” แล้วพูดต่อว่า “ถ้ามึงตัดสินใจอย่างงั้น ก็เคารพการตัดสินใจมึงนะ” จากนั้นคนอื่นก็เก็บของกลับบ้านตามปกติ ในขณะที่คุณกรซ่อมบำรุงงานอยู่นั้น ก็รู้สึกมีอาการเมื่อยล้าจากการใช้สายตาอย่างหนักจึงตัดสินใจงีบหลับไปสักพัก ในขณะที่เขาหลับอยู่ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอยู่ก็มีใครบางคนมาเขย่าเก้าอี้จนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณกรคิดเพียงว่าคงมีคนปลุกให้ตื่นหรือมาแกล้งเพียงเท่านั้น หลังจากที่เขาตื่น ก็เดินไปห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว พอมาถึงห้องน้ำปรากฏว่าห้องน้ำชายถูกล็อกด้วยกุญแจอยู่ จึงตัดสินใจมาเข้าฝั่งห้องน้ำหญิงแทน หลังจากคุณกรทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย พอจะออกจากห้องน้ำปรากฏว่าประตูห้องน้ำเกิดมีปัญหาจนทำให้คุณกรต้องติดอยู่ในห้องน้ำสักพัก ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นเงาของผู้หญิงเดินเข้ามา จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเธอ “ช่วยด้วยครับ ๆ พอดีประตูมันเปิดไม่ออก กลอนมันน่าจะล็อกจากข้างนอก” สักพักก็มีเสียงประตูดังปั้ง! พร้อมกับประตูที่กำลังค่อย ๆ เปิดออก คุณกรเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินเข้าห้องน้ำไป ด้วยความรู้สึกที่เขินอายที่ตนมาเข้าห้องน้ำหญิง จึงอยากอธิบายและขอบคุณเธอที่ช่วยเอาไว้ ในขณะกำลังล้างมืออยู่และรอเธอออกมาจากห้องน้ำ คุณกรรู้สึกว่าเป็นเวลาที่นานมาก จึงเคาะประตูถาม “ขอโทษนะครับ ๆ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากเธอเลย จู่ ๆ ประตูก็เริ่มแง้มออกอย่างช้า ๆ และผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกมาตามปกติ แต่ในขณะที่เธอกำลังล้างมืออยู่นั้น คุณกรก็รู้สึกแปลก ๆ และขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก คุณกรสังเกตเห็นคนที่ยืนล้างมือข้าง ๆ นั้นไม่มีเงาในกระจก! และยังหันมาแสยะยิ้มให้อย่างสยดสยอง! คุณกรเห็นดังนั้นก็เกิดอาการสติหลุด และวิ่งออกจากห้องน้ำทันที! คุณกรวิ่งหนีออกมาและบังเอิญวิ่งมาชนกับพี่รปภ. คนหนึ่งชื่อว่า ‘พี่ต้น’ และเล่าเรื่องราวที่ตนเจอมาให้พี่ต้นฟัง แต่พี่ต้นกลับบอกมาว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องทำงานเวลากลางคืนแค่นั้นเอง คุณกรจึงขอร้องพี่ต้นให้อยู่เป็นเพื่อนและพาไปเก็บของที่ห้องทำงานก่อนจะขอลงจากตึกไปพร้อมกัน ตัวอาคารที่คุณกรทำงานอยู่นั้นไม่มีลิฟต์ คุณกรจึงจำเป็นที่จะต้องเดินลงบันได ในระหว่างทางที่จะลงจากตึก คุณกรก็ยังคงเกิดอาการผวาอยู่ตลอด และเกาะติดพี่ต้นไปด้วยความกลัว เพื่อความปลอดภัยของทั้งคู่ พี่ต้นจึงบอกกับคุณกรว่า “คุณครับ ถ้าเกาะกันไปแบบนี้ และมืดด้วยเนี่ย ตกบันไดคอหักตายแน่เลย ค่อย ๆ เดินกันดีกว่า” จากนั้นพี่ต้นก็ให้คุณกรเดินนำไปก่อน ส่วนพี่ต้นจะฉายไฟฉายนำทางให้ จนทั้งคู่เดินมาถึงบันไดชั้นสุดท้าย คุณกรก็สังเกตเห็นแสงไฟหยุดชะงักไปจึงหันกลับไปมอง ก็พบว่าพี่ต้นยืนแช่อยู่กับที่และมีมือสีขาวปริศนาโผล่ออกมาลักษณะคล้ายว่ากำลังบีบคอของพี่ต้นอยู่! คุณกรเห็นแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้ผวาตกใจจนสติหลุดและวิ่งหนีไปทันที คุณกรมีอาการหวาดผวาจนต้องลางานถึง 3 วัน หลังจากกลับมาทำงานปกติก็รู้สึกอยากขอบคุณพี่ต้นและขอโทษที่วันนั้นวิ่งหนีไปก่อนในเหตุการณ์คืนนั้น คุณกรได้ซื้อกาแฟกับขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้พี่ต้นที่ป้อมยาม แต่ปรากฏว่าที่ป้อมยามไม่ใช่พี่ต้น จึงถามคนที่อยู่ที่ป้อมยามว่า “ผมมาหาพี่รปภ.ต้นครับ พี่เขาเป็นยังไงบ้างครับ” ยามที่อยู่ตรงนั้นก็สงสัยจึงถามกลับไปว่า “ต้นไหน?….ต้นนี้รึเปล่า” พร้อมกับหยิบสมุดรายชื่อรวมของยามขึ้นมา “ใช่ครับ พี่คนนี้แหละ เขาเข้ากะวันนี้รึเปล่า?” คุณกรตอบทันทีหลังเห็นรูปบนสมุดเล่มนั้น แต่พี่ยามกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมตอบกลับคุณกรทันทีว่า “ยามต้นตายไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว” คุณกรถึงกับช็อกและถามถึงเหตุการณ์ต่อ ยามก็เล่าให้ฟังว่า “ในขณะที่พี่ต้นทำงานปกติ ก็ไล่ปิดไฟนามโถงทางเดินมาเรื่อย ๆ ด้วยความมืดจนทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นบันได จนทำให้เขาพลัดตกบันไดลงมาคอหักตายคาที่” หลังจากที่คุณกรได้รู้ความจริงทุกอย่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณกรไม่กล้าที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ในยามวิกาลคนเดียวอีกเลย และหลังจากทุกคนในบริษัทได้ทราบเรื่องที่คุณกรประสบพบเจอในคืนนั้นต่างก็ลือกันสนั่นหูว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องของเรื่องก็คือหญิงสาวในห้องน้ำที่คุณกรเจอนั้นเสียชีวิตจากอาการป่วยกำเริบในขณะที่เธอเข้าห้องน้ำอยู่ แต่กลับไม่มีใครทราบว่าเธอหายไปไหน จนกระทั่งเธอเสียชีวิตไปในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ทุกคนไม่เล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นให้คุณกรฟัง ก็เพราะว่ากลัวคุณกรจะไม่กล้าทำงาน และไม่อยากขัดความตั้งใจของเขา ที่อยากจะนั่งทำงานต่อในยามวิกาลเท่านั้นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

22 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณโนอาร์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กองทัพผีที่เวียดนาม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณโนอาร์เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่าน ตนได้เดินทางจากกรุงเทพฯไปเวียดนาม ซึ่งก็มีแพลนที่จะไปเที่ยว แต่คิดว่า ‘ไหน ๆ ก็จะไปเที่ยวแล้ว ขอแวะเรื่องงานสักหน่อย’ จึงหาข้อมูลสถานที่ แต่โรงพยาบาลร้างหรือตึกร้างนั้น ไม่สามารถเข้าได้ด้วยเรื่องกฎหมายของเวียดนาม แต่ก็ได้แฟนคลับชาวเวียดนามมาเป็นไกด์เพื่อพาไปสถานที่เที่ยวต่าง ๆ โดยมีสมาชิก 3 คนคือ ตนเอง แฟน และน้องทีมงาน เมื่อไปถึงก็ไปเที่ยวตามปกติ พอตกเย็น ตนก็ถามกับไกด์ว่า “พอจะมีสถานที่ที่ผมจะไปสำรวจได้มั้ย?” ไกด์จึงพาไปที่วัดของเวียดนาม โดยมีสุสาน พระที่นั่นลักษณะคล้ายพระจีนแต่อาจจะนับถือคนละนิกาย ไกด์บอกว่า ที่เวียดนามนั้นไม่เหมือนไทย เวลาสำรวจต้องระวังเรื่องคนเข้ามาเสพยา หรืออะไรต่าง ๆ ตนก็โอเคเข้าใจข้อจำกัดและข้อควรระวัง พอมาถึงที่วัด ไกด์ก็รออยู่บนรถ ไม่ลงมาด้วย เพราะเขาเป็นคนกลัวผี คนที่ไปสำรวจก็จะมีแค่พวกของตน 3 คน ด้วยความที่ตนไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรเพราะต่างที่ต่างถิ่น จึงหาจุดที่สามารถตั้งกองเล็ก ๆ ได้ ด้านในวัดจะมีสุสานทั้งฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งจะมีรูปปั้นเจ้าแม่องค์ใหญ่ แล้วรูปปั้นนั้นหันหน้าประจบกันตรงกลาง ตนจึงเลือกสำรวจสุสานทางฝั่งซ้ายก่อน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับฮวงซุ้ยของประเทศไทย แต่ที่นี่ถ้าใครมีเงินหน่อยก็จะเป็นศาลา มีม้าหินอ่อนนั่งได้ด้านใน โดยปกติแล้ว ที่สุสานมักจะมีรูปภาพเป็นขาวดำ แต่ที่นี่ตนรู้สึกกลัวเพราะเห็นมีว่าหลายรายที่ในรูปของเขา ทำตาโต ตาขาวใหญ่ ตาดำเล็ก แล้วทำหน้าดุ ตนก็คิดว่าคงเป็นเพราะวัฒนธรรมของเขา จึงสำรวจต่อ ระหว่างที่สำรวจก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ลอยมาแตะจมูก จึงเดินลึกเข้าไปอีกเป็นกิโลเมตร ตรงนั้นเหมือนจะมีหลุมศพพันกว่าราย คุณโนอาร์คิดว่าถ้าจะเดินสำรวจอย่างเดียว คนดูคงจะไม่ตื่นเต้น จึงได้เริ่มทำการนอนขวางลงตรงปลายเท้าของหลุมศพ แต่ก็ไม่รู้จะท้าทายเป็นภาษาเวียดนามอย่างไร จึงผิวปาก เเล้วก็พูดภาษาไทยว่า “มาเลยนะครับ ถ้าอยู่ในสถานที่ตรงนี้” แล้วก็มีเสียงตรงพุ่มหญ้า เหมือนเป็นเสียงอะไรบางอย่างวิ่งลุยมาหาตน! คุณโนอาร์จึงเด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วพยายามมองรอบ ๆ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นสุนัข แต่ก็ไม่มีอะไร ระหว่างนั้นต้นหญ้าก็ขยับ ตอนแรกคิดว่าลม แต่ต้นไม้รอบ ๆ กลับนิ่ง จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปสำรวจข้างในต่อ เมื่อเดินลึกเข้าไป หลุมศพเริ่มดูเป็นหลุมศพของคนมีฐานะมากขึ้น เหมือนเป็นการไล่ระดับ บางหลุมมีลูกกรง บางหลุมมีศาลา เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และรูปภาพของแต่ละหลุมก็ดูหน้าดุขึ้นเช่นกัน บางศาลาก็มีหลายหลุมศพในศาลาเดียว ขณะที่กำลังจะเดินผ่านสุสานหลุมศพที่มีลูกกรง ยังไม่ทันเดินผ่าน ลูกกรงก็สั่น กึ้งๆๆๆ เหมือนมีใครเขย่า! คุณโนอาร์ก็วางกล้อง แล้วเดินไปใกล้ ๆ ลูกกรงสั่นต่อหน้าต่อตา ตนจึงมองผ่านเข้าไปด้านในลูกกรง ด้านในจะมีหลุมศพอีก 2 หลุม เป็นหลุมที่ก่อด้วยปูนขึ้นมา หลุมนี้พิเศษตรงที่มีตัวอักษรเยอะ มีป้ายเขียนอะไรบางอย่าง ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาเป็นภาษาเวียดนาม ตอนแรกนึกว่าเสียงชาวบ้านแถวนั้นตะโกนมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงมาจากทิศทางไหน ตนจำคำนั้นได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ก็ทำได้แค่จำไว้ก่อน พอสำรวจต่ออีกนิด รู้สึกว่ามันลึกเกินไป จึงคิดว่าค่อยกลับมาสำรวจใหม่ จากนั้นออกมาหาไกด์ แล้วนั่งรถกลับไปที่โรงแรม ต้องบอกว่าตัวสุสานและโรงแรม ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร ห้องที่จองไว้แบ่งเป็น 2 ห้อง อยู่ชั้น 2 คือห้องของตนและแฟน กับอีกห้องเป็นของน้องทีมงาน ซึ่งอยู่ตรงข้าม หลังจากแยกกันเข้าห้อง ต่างคนก็ต่างทำธุระส่วนตัวเพื่อเข้านอน ช่วงประมาณตี 1-2 ก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาหน้าห้อง คุณโนอาร์คิดว่าคงเป็นเสียงของแขกท่านอื่น แต่รู้สึกเอะใจ หากเป็นแขกท่านอื่นต้องเดินไปฝั่งขวา เพราะฝั่งซ้ายมันมีแค่ห้องของตน และห้องของน้องทีมงาน เมื่อมองไปทางประตู ใต้ประตูจะแสงลอดออกมา ก็เห็นว่ามีเงาเหมือนคนเดินอยู่ด้านนอก คุณโนอาร์ก็พยายามไม่คิดอะไร ตั้งใจว่าจะนอนให้หลับเพราะพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันต่อ แต่เสียงเท้ามันเดินถี่ขึ้น ดังขึ้น เหมือนเดินกันอยู่หลายคน คุณโนอาร์สะดุ้งตื่น เดินออกมาเปิดไฟ แล้วไปเปิดประตูดูหน้าห้อง ก็ไม่พบอะไร พยายามสังเกตุไปที่ห้องน้องทีมงาน ก็ไม่มีใครเดิน จึงปิดประตู แล้วกลับมานอน แต่เหมือนแฟนได้ยินเสียงเคาะประตูทั้งที่คุณโนอาร์ไม่ได้ยิน แฟนจึงเดินไปเปิดประตู คุณโนอาร์จึงถามว่า “เปิดประตูทำไม?” แฟนก็หันมาแต่ไม่ตอบอะไร ทำแค่หน้ามึน ๆ งง ๆ แล้วก็กลับมานอนที่เตียงเหมือนเดิม ทั้งตนและแฟนก็เริ่มนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน.. พอเวลาผ่านไปครึ่งชม คุณโนอาร์ก็รู้สึกง่วง และได้ยินคล้ายเสียงเพลง เป็นเสียงดนตรีอย่างเดียวไม่มีเสียงร้อง คุณโนอาร์จึงเดินไปเปิดประตูอีกรอบ พอเปิดประตู เสียงกลับเงียบสนิท คราวนี้ตนคิดว่า ‘ถ้าเป็นสิ่งที่ตามมาจากสุสานตนควรต้องทำอย่างไรดี เพราะถ้าเป็นที่ไทยคงสวดมนต์ไปแล้ว แต่ที่นี่เวียดนาม เขาต้องทำยังไงกันนะ’ แล้วก็เดินกลับมาที่เตียง ตอนนั้นคุณโนอาร์ยังลังเลอยู่ว่าเป็นผีหรืออะไร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้.. อยู่ ๆ กรอบแอร์ก็เด้งเปิดออกมาเอง แล้วก็มีเสียง ติ๊ด คุณโนอาร์ก็ตกใจ คิดว่านอนไม่ได้แล้ว และเริ่มลังเลจะย้ายโรงแรม คืนนั้นตื่นมาหลายรอบมาก จนกระทั่งนึกออกว่า ตอนที่อยู่สุสานมีเสียงพูดอะไรลอยมา ด้วยความที่จำได้ จึงหาบนอินเตอร์เน็ตเพื่อแปลภาษา แล้วถามไกด์ ซึ่งมันแปลว่า กองทัพ ตนจึงถามไกด์อีกว่า “สุสานที่ตนไปมันคือสุสานอะไร?” แต่ไกด์ก็ไม่ตอบ หลังจากนั้นก็นัดกันว่าจะไปที่นั่นอีก หลังจากผ่านคืนนั้นมา ตอนกลางวันก็ใช้ชีวิตปกติ จนตกเย็นก็กลับไปที่สุสานนั้น ครั้งนี้ไปกันหลายคนเพื่อไปดูบริเวณหลุมในคืนแรก คุณโนอาร์ลืมสังเกตุไปว่า ป้ายที่ติดรูปของหลุมศพ มีสัญลักษณ์นาซี จึงรู้ว่า นี่คือสุสานทหารเวียดนาม หลังจากนั้นไกด์ก็ได้พาทั้ง 3 คนไปไหว้ ไปสะเดาะเคราะห์ แล้วให้ขอว่า ‘อย่าตามมา อย่ามาเอาชีวิต’ เพราะไกด์บอกว่า ”ทหารเวียดนามนี่เฮี้ยน ถ้าเขาตาม เขาเอาถึงชีวิต“ และยังทราบอีกว่าที่ตรงนั้นมีหลุมศพเป็นพันหลุม ทั้งหมดนั่นคือทหารเวียดนาม ส่วนหลุมศพที่มีศาลา มีลูกกรง ตรงนั้นคือหลุมศพของนายพล(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

13 มี.ค. 2023

ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระซิบว่า “ช่วยด้วย..” ไม่กี่วันคนร้ายมอบตัว เพราะลุงมาบอกว่าจะเอาชีวิต!

(WARNING : เนื้อหานี้มีความรุนแรง, การทำร้ายร่างกาย และเป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) เรื่องราวฆาตกรรมสุดโหดที่เกิดขึ้นนี้คือประสบการณ์หลอนที่ “คุณบี” ได้พบเจอกับตัวเอง และได้โทร.เข้ามาเล่าในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ที่ผ่านมา เป็นเรื่องของ “ลุงแถวบ้าน” ที่เสียชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมสุดโหดโชกไปด้วยเลือด..! คุณบีเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว คุณลุงแถวบ้านท่านนี้ ทำอาชีพดักจับหนู โดยปกติเมื่อตกเย็นก็มักจะล้อมวงสังสรรค์กับคนละแวกนั้นอยู่เสมอ คืนหนึ่งในวงสังสรรค์นั้น ก็มี “คู่อริเก่า” นั่งรวมอยู่ด้วย เรื่องของเรื่องก็คือคุณลุงท่านนี้เคยไปต่อว่าแม่ของคู่อริเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พอน้ำเมาเริ่มทำงาน การสังสรรค์ก็เริ่มจะสังเสีย ทั้งคู่มีปากเสียงกัน ทันใดนั้นฝ่ายคู่อริก็กลับบ้าน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า คุณลุงคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วก็เลยจะออกไปดักหนูตอนกลางคืนตามปกติ จึงปั่นจักรยานออกไปห่างจากบ้านประมาณ 200 เมตร ไม่นานนัก ก็เจอเข้ากับคนร้ายดักฟันเข้าไปที่คอจากด้านหลัง! เท่านั้นยังไม่พอ คนร้ายยังจับเงยหน้าแล้วฟันที่คอ จนคอเกือบขาด! เหลือแค่ตรงกระดูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น.. เช้าวันต่อมา เวลาประมาณตี 4 คนแถวนั้นที่ออกไปทำงานแต่เช้าก็พบศพของคุณลุงและรีบโทรแจ้งตำรวจ สภาพที่เกิดเหตุจะเห็นคราบเลือดเป็นวงกลม แสดงให้เห็นว่าก่อนสิ้นลม คุณลุงเจ็บปวดและทรมานเพียงใด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็ได้สอบถามคนละแวกใกล้เคียง แต่ก็ยังไม่เจอบุคคลน่าสงสัย แต่ทางด้านตำรวจก็ยังคงทำหน้าที่สืบคดีอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปไม่กี่วัน ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนอยู่นั้น ทางด้านคุณบีเอง ก็ได้ขับรถมาที่บ้านแฟนซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่หลังจากที่เกิดเหตุ คุณบีเล่าว่า “หนูขี่ไป แล้วเห็นผู้ชายคนนึง ลักษณะคือผมขาวแต่ไม่ทั้งหัวนะคะ ใส่เสื้อสีเหลือง ใส่กางเกงขาม้า แล้วก็..ยืนยิ้มอยู่ตรงต้นขนุน” คุณบีบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เลยขับรถผ่านแล้วเข้าบ้านแฟนไป และเล่าให้แฟนฟังว่า “เนี่ย เห็นเขายืนยิ้มอยู่ ทำไมเขาไม่เข้าบ้าน มันดึกแล้วนะ” ทั้งสองคนไม่ได้คิดอะไร และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป.. วันถัดมา คุณบีก็ขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง รอบนี้คุณบีได้ยินชาวบ้านคุยกันถึงเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น คุณบีที่อยากรู้จึงเข้าไปร่วมวงสนทนา และขอดูรูป พอเห็นรูปคุณบีถึงกับตกใจ! เธอบอกว่าคนในรูปคือคนเดียวกับที่เห็น! พอเล่าให้คนในครอบครัวของแฟนฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ คุณบีจึงเงียบไป 2 วันถัดมา คุณบีขับรถมาทางเดิมอีกครั้ง แต่รอบนี้มีเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน พอขับผ่านบ้านของคุณลุงที่เสียชีวิตไปประมาณ 3-400 เมตร เพื่อนของคุณบีก็สะกิดบอกคุณบีว่า “มึง.. ลุงเขาบอกให้ช่วย” คุณบีเล่าเสริมอีกว่าอยู่ ๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คุยอะไรกัน และไม่มีเสียงอะไรด้วย! เพื่อนคุณบีบอกว่า “ลุงเขาบอกว่า ไปบอกลูกสาวเขาหน่อย ว่าคนคนเนี้ย เป็นคนฆ่า แล้วเขาหนีไปที่ไหน” คุณบีได้ยินดังนั้นก็ขนลุกไปทั้งแขน แล้วก็รีบพากันขับรถกลับบ้านทันที! ทั้งสองคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ได้บอกใคร ผ่านไปไม่กี่วันคนร้ายก็เข้ามามอบตัวกับตำรวจ แล้วก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้ ลุงเขาไปกวน ลุงเขาจะเอาชีวิตให้ได้เลย” ทางด้านลูกสาวของผู้เสียชีวิตก็ถามว่าทำไมต้องฆ่าคุณลุง คนร้ายก็บอกว่า โมโหที่คุณลุงเคยต่อว่าแม่ของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งคนร้ายคนนั้นก็คือ “คู่อริ” ที่ทะเลาะกันในคืนนั้นนั่นเอง คุณบียังเล่าเสริมอีกว่า คนร้ายคนนั้นก็คือคนที่คุณลุงบอกกับเพื่อนของคุณบีจริง ๆ แล้วคุณบีก็พึ่งมารู้ทีหลังว่าวันที่เจอคุณลุงพร้อมกับเพื่อนนั้น คุณลุงเขาวิ่งตามรถจนเกือบไปถึงวัด ด้วยสภาพที่เหมือนกับวันที่ถูกฆาตกรรม! ในตอนนั้นเพื่อนคุณบียังบอกให้รีบขับเร็ว ๆ แต่คุณบีไม่คิดว่าจะมีอะไรจึงไม่ได้ใส่ใจ ดีเจเจ็มถามย้อนกลับไปในวันแรกที่คุณบีเห็นคุณลุงสวมเสื้อสีเหลือง ตอนนั้นคุณลุงยังอยู่ในสภาพปกติ คุณบีจึงบอกว่า “อาจจะตอนนั้นเขายังไม่รู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่จำหน้าคุณลุงได้ชัดเลย”ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

album

0
0.8
1