‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

อังคารคลุมโปง RECAP

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

06 มิ.ย. 2023

            คุณ ‘แจ็ค The Ghost Radio’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 พฤษภาคม 2566) พร้อมกับเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกตามเคย ครั้งนี้พี่แจ็คได้เตรียมเรื่องเล่าชวนพิศวงของหน่วยรบพิเศษขณะปฏิบัติภารกิจท่ามกลางป่าลึกมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ 'ดีเจเจม' ได้ฟังกัน เรื่องนี้มีชื่อว่า “หมู่บ้านร้างซากไร่” ไปติดตามกันได้เลย!

            เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ 30 ปีก่อน ‘ป๋าแจ็ค’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ ได้รับมอบหมายจากครูฝึกให้นำทีมของตนไปสอบปฏิบัติภาคกลางคืน โดยพวกเขาต้องเดินทางไกลจากจุด A ไปจุด B ตามที่ครูฝึกกำหนดไว้ก่อนรุ่งสาง โดยจะมีครูฝึกแอบซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ และมีกฎสำคัญหนึ่งข้อคือ ห้ามถูกครูฝึกจับได้!

            ขณะที่กองกำลังของป๋าแจ็ค (มีอยู่กันประมาณ 7-8 คน) เดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปตาม  เส้นทางอย่างเงียบเชียบ พวกเขาก็เจอกับกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อส่งลูกน้องไปตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่ากระท่อมหลังนี้ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการ หรือเป็นครูฝึกปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน ป๋าแจ็คจึง เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กระท่อมเพื่อถามทาง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้มีผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน กำลังนั่งพักผ่อน ต้มเหล้ากินกันอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเล่าเรื่องราวการทำภารกิจของตนให้ชาวบ้านฟัง คุณลุงคนหนึ่งถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ้! จะไปทางนั้นเลยหรอ ไปทางอื่นไหม?” ขณะที่ชาวบ้านอีก 2 คนก็แอบซุบซิบกันเป็นภาษาที่ป๋าแจ็คฟังไม่รู้เรื่อง ป๋าแจ็คยังคงยืนยันที่จะเดินทางตามเส้นทางเดิมที่ครูฝึกกำหนดเอาไว้ เพราะเป็นทางที่เร็วที่สุด แม้ชาวบ้านจะแนะว่าให้หาเครื่องรางของขลังพกติดตัวไปด้วย  แต่หัวหน้าหน่วยรบพิเศษก็ตอบชาวบ้านไปว่าตนไม่เคยกลัวหรือเชื่อเรื่องผีสางใด ๆ และแล้ว...นายทหารทั้งหลายจึงจำใจออกเดินทางไปตามเส้นทางเดิม โดยปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาช่วยคุ้มกัน

            เหล่าทหารจากกองกำลังนี้ต้องลัดเลาะไปตามป่าไม้อย่างยากลำบาก เพราะต้องช่วยกันค่อย ๆ ตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีเสียงใดดังไปถึงหูครูฝึก  เมื่อไปได้ครึ่งทาง ป๋าแจ็คก็สังเกตเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้า คล้ายแสงไฟจากบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกน้องไปตรวจสอบว่าเป็นครูฝึกแอบซุ่มอยู่รึเปล่า ผ่านไปประมาณ 10 นาที ลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับบอกว่านั่นคือชาวบ้านจริง ๆ ป๋าแจ็คจึงนำทีมเพื่อที่จะย่องผ่านหมู่บ้านนี้ให้เงียบมากที่สุด เมื่อเดินมาจนสุดแนวป่าใกล้หมู่บ้าน ก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นมีไร่นาโล่ง ๆ เหมือนไม่เคยทำการเกษตรมานาน จากนั้นก็เห็นเป็นถนนที่แทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งาน ไม่มีรอยขี้วัว (ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการเกษตร) แถมยังมีต้นไม้รกร้างที่โค้งงุ้มจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว แต่ป๋าแจ็คและทีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วเดินต่อไปเพื่อให้ภารกิจเสร็จสิ้น

            เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน บ้านหลังแรกที่เจอเป็นบ้านลักษณะยกสูงมีใต้ถุนโล่ง ด้านบนเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังถือตะเกียงอยู่ พร้อมหมาอีกหนึ่งตัว ทั้งสามยืนตรงแข็งทื่อคล้ายรูปปั้น เมื่อป๋าแจ็คเหลือบมองไปด้านบน ผู้หญิงด้านบนบ้านก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับมา ใบหน้าสีขาวซีดจับจ้องไปที่ป๋าแจ็คจนน่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามป๋าแจ็คตัดสินใจเดินทางต่อไป ตามด้วยลูกน้อง คนแล้ว คนเล่า ผ่านบ้านอีกหลายหลัง และก็เช่นเดียวกันกับบ้านหลังแรก นั่นคือเต็มไปด้วยชาวบ้านหน้าขาวซีดจำนวนมากออกมาให้กำลังใจ ป๋าแจ็คได้ยินเสียงลูกน้องแอบซุบซิบกันระหว่างทางเดิน แต่ก็ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตนสติแตก

            ป๋าแจ็คและลูกน้องเดินมาถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจตอนประมาณตีห้า ทุกคนพากันไปเลี้ยงกาแฟและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งในลูกน้องของป๋าแจ็ค เล่าว่าหลังจากเดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป แล้วหันหลังกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้นอีกรอบ กลับไม่พบผู้คนหรือร่องรอยของแสงตะเกียงใด ๆ เลย เมื่อพนักงานร้านกาแฟซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คนมาได้ยินเรื่องอันแสนพิศวงของป๋าแจ็คในครั้งนี้ พนักงานก็เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่กองหน่วยรบพิเศษเดินทางผ่านเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ เคยมีผู้คนอาศัยอยู่จริง แต่ในปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคห่าแล้วตายไป 5 หลัง เลยไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป..

            เพื่อทวีคูณความพิศวงไปอีกขั้น หลังจากที่หน่วยของป๋าแจ็คออกมาจากร้านกาแฟกันแล้ว มีลูกน้องคนหนึ่งของป๋าแจ็คเดินมาบอกเขาว่า พนักงานในร้านกาแฟซึ่งคือ ผู้ชาย 2 คนและหญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คน... เป็นพวกเดียวกันกับที่เขาเจอที่กระท่อมตอนเริ่มทำภารกิจช่วงแรก!

            แต่ไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะเดินนำป๋าแจ็คกับทีมของเขาไปได้ แล้วพวกเขามาเปิดร้านกาแฟรอป๋าแจ็คอยู่ที่ปลายทางได้ไงกัน? เรื่องของป๋าแจ็คและกองกำลังรบพิเศษของเขาถูกบอกเล่าอยู่ในหน่วยอยู่นานนับปี เป็นที่น่าสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า อะไรคือสาเหตุที่วิญญาณเหล่าปรากฎตัวขึ้น มาเพื่อส่งเหล่าทหารงั้นหรือ?  พวกของป๋าแจ็คหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งรึเปล่า? อะไรที่เชื่อได้บ้างว่าเป็นความจริงเพราะแม้แต่กาแฟที่เหล่าทหารกินกันในตอนสุดท้าย กลับถูกพบในภายหลังว่าไม่มีรสชาติใด ๆ เลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ต้องนอนบ้านพักนักกีฬาคนเดียว แต่รู้สึกตัวเหมือนนอนอยู่ในโลงและยังมีเสียงขึ้นมาอีกว่า “มึงลบหลู่กู” พยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นมาได้ แต่แทบเป็นลม เพราะสิ่งที่เจอคือร่างของตัวเองยังนอนอยู่ที่เตียง!

03 พ.ย. 2023

ต้องนอนบ้านพักนักกีฬาคนเดียว แต่รู้สึกตัวเหมือนนอนอยู่ในโลงและยังมีเสียงขึ้นมาอีกว่า “มึงลบหลู่กู” พยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นมาได้ แต่แทบเป็นลม เพราะสิ่งที่เจอคือร่างของตัวเองยังนอนอยู่ที่เตียง!

เมื่อต้องนอนบ้านพักนักกีฬาคนเดียวในเวลากลางวันแสก ๆ กลับได้เผชิญเหตุการณ์ที่ลืมไม่ลงถึง 2 ครั้ง! คุณแพรจะต้องเจออะไรบ้าง มาลุ้นกันใน รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (31 ตุลาคม 2566) พาทุกคนไปหลอนกับ ‘คุณแพร’ ที่จะมาเล่าเรื่อง ‘ต่างที่ต่างถิ่น’ กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลย! เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2539 ตัวของคุณแพรเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ในปีนั้นมีมหาวิทยาลัยหนึ่งที่อยู่ทางภาคเหนือเป็นเจ้าภาพ นักกีฬาทุกคนจะเดินทางโดยใช้รถไฟที่มหาวิทยาลัยจองทั้งขบวน ออกเดินทางจากหัวลำโพง เวลาประมาณ 4 - 5 โมงเย็น และไปถึงจังหวัดที่มีการแข่งขันกีฬาในตอนเช้า จากนั้นก็จะมีรถสองแถวมารับไปส่งที่สนามกีฬา ซึ่งสนามกีฬาแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก รองรับกีฬาได้ทุกประเภท รวมถึงมีบ้านพักนักกีฬาให้ด้วย ห้องที่คุณแพรได้ไปอยู่นั้นเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องใหญ่ มี 2 เตียง ในห้องมีประตูเปิดเข้าไปเป็นอีกห้องเล็ก มี 2 เตียงเล็ก นอนกันได้ประมาณ 5 - 6 คน ในตอนนั้นเพื่อนร่วมห้องของคุณแพรออกไปหาอะไรกินข้างนอก แต่ตัวคุณแพรด้วยความที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและเพลียมาก จึงไม่ได้ไปกับเพื่อน และขอนอนพักอยู่ที่ห้อง พอคุณแพรหลับ ก็รู้สึกว่ามีอาการอึดอัดมาก ทุกอย่างมืดไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นเวลากลางวัน คุณแพรมองอะไรไม่เห็นเลย รู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในกล่องแคบ ๆ หรือจะเรียกว่าโลงเลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร และพยายามขยับตัว แต่ในความรู้สึกนั้นเหมือนกับขยับแขนไม่ถนัด คล้ายกับอาการผีอำ จากนั้นความรู้สึกอึดอัดมันก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ คุณแพรพยายามใช้แรงให้หลุดจากความอึดอัดนี้ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ พอพยายามจะสวดมนต์แต่บทสวดง่ายอย่างนะโม 3 จบ ก็ยังสวดไม่ได้ สวดผิด ๆ ถูก ๆ หลังจากที่พยายามจะสวดมนต์ ก็มีเสียงก้องในหัวว่า “มึงลบหลู่กู” แล้วก็พูดว่า “มึง มึง มึง” เสียงที่ได้ยินนี้เป็นเสียงผู้ชายที่เกรี้ยวกราดมาก ในตอนนั้น คุณแพรก็คิดว่า โดนแล้ว ความรู้สึกนี้มันนานมาก ๆ จากนั้นคุณแพรก็ได้พยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเด้งตัวขึ้นมา แล้วก็หลุดออกมาได้ คุณแพรรู้สึกโล่งมากแต่ก็รู้สึกเหนื่อยมาก ทันทีที่หันไปมองที่เตียง ก็ทำให้คุณแพรแทบเป็นลม เพราะว่า สิ่งที่เห็นคือร่างของตัวเองที่ยังนอนอยู่ที่เตียง! แล้วมีร่างผู้ชายตัวดำใหญ่มากหันมามองด้วยใบหน้าที่โกรธมาก! หลังจากนั้นคุณแพรก็ตื่นขึ้นมาและรีบออกจากห้องไป คุณแพรนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วซื้อธูปเทียนมาไหว้ขอขมา แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ก็จบไป แต่เมื่อประมาณ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา คุณแพรได้กลับไปแข่งกีฬาที่สนามเดิม แต่ได้พักที่บ้านพักแห่งใหม่ ซึ่งลักษณะของห้องนี้ เมื่อเปิดประตูไปจะเจอห้องน้ำด้านขวา ตรงเข้าไปเป็นเตียงเรียงกัน 4 เตียง คล้ายกับห้องพักทหาร ซึ่งคืนแรกก็ไม่มีอะไร แต่คืนที่ 2 ระหว่างที่คุณแพรหลับ ก็ได้ยินเสียงสนทนา ได้ยินเสียงเด็กเล่นกัน มีทั้งเสียงเด็กและเสียงผู้ใหญ่ คุณแพรที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ไม่ได้ขยับตัวหรือแสดงตัวว่าสัมผัสพวกเขาได้ เพราะว่ากลัวพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองสัมผัสได้ และครั้งนี้คุณแพรได้เล่าเรื่องที่เจอให้คนดูแลหอพักซึ่งเป็นคนในพื้นที่ฟัง คนที่ดูแลหอพักก็บอกกลับมาว่า “พื้นที่ตรงนี้มันแรง เจอกันเยอะ” ตัวคุณแพรก็ไม่เข้าใจว่าคำว่าแรงคืออะไร จึงคิดอาจหมายถึงเจ้าที่แรง ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยก็ไม่มีใครเจอเลย ในครั้งแรกที่มาหลังจากที่จุดธูปขอขมาเสร็จหลังจากนั้นก็ไม่เจออะไรเลย แล้วครั้งที่สองที่เจอ ก็เจอหลังเข้าห้องไปไม่เกิน 30 นาที แต่ในความรู้สึกของคุณแพรคือยาวนานมาก ทรมานมาก คุณแพรคิดว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณจ๊อด มนต์ดำ ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

12 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณจ๊อด มนต์ดำ ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ l อังคารคลุมโปง X นัท กู้ภัย [ 5 ส.ค.2568 ]

‘คุณจ๊อด มนต์ดำ’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องเกี่ยวเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นภายในร้านซ่อมรถแห่งหนึ่ง ที่มีคนนำรถมอเตอร์ไซค์ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมาซ่อม แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ขนหัวลุก เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ช่วยด้วยผีหลอก’ คุณจ๊อดเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชาย ให้นามสมมติว่า ‘พี่โอ’ เขาเปิดร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ และใช้ร้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัยอยู่ด้วย โดยอาศัยอยู่เพียงลำพัง วันหนึ่ง มีวัยรุ่นชายคนหนึ่งนำรถมอเตอร์ไซค์มาให้ซ่อม สภาพรถค่อนข้างยับเยิน ต้องใช้เวลาซ่อมนานกว่าปกติ ระหว่างที่ยังซ่อมไม่เสร็จ พี่โอก็นำรถคันนั้นเก็บไว้ภายในร้าน คืนนั้น พี่โอรู้สึกแปลก ๆ เหมือนในร้านไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนคอยมองอยู่ตลอดเวลา ตอนอาบน้ำก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ในร้าน แต่ก็พยายามคิดว่าอาจคิดมากไปเอง จึงเข้านอนตามปกติ กระทั่งเวลาประมาณตีสอง พี่โอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่ชั้นล่าง สักพักเสียงนั้นก็เดินขึ้นบันไดมา จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก สิ่งที่เขาเห็นคือเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว สีดำ มองไม่เห็นหน้า ขณะนั้นพี่โอรู้สึกเหมือนโดนผีอำ ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่นั่งมองเงานั้นลอยมานั่งอยู่บนตัวเขา เขาพยายามตั้งสติและสวดมนต์ แต่สิ่งที่ได้ยินคือเสียงกระซิบของผู้หญิงคนนั้นที่พูดว่า “มึงจะสวดทำไม ไปอยู่กับกูดีกว่า...” พี่โอตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่พลันนึกขึ้นได้ว่ามีหลวงปู่ทวดอยู่บนหัวเตียง จึงคว้ามาวางไว้บนอก ทันใดนั้น วิญญาณผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! หลังจากขยับตัวได้ เขาก็รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากร้าน ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดของถนน ในขณะที่ขับไปก็รู้สึกเหมือนมีลมหายใจรดต้นคอ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเดิมซ้อนท้ายมาด้วย! พี่โอรีบขับรถไปเคาะประตูบ้านของคุณจ๊อด พร้อมพูดซ้ำ ๆ ว่า “ช่วยด้วย ผีหลอก!” คุณจ๊อดตกใจและพาพี่โอไปโรงพยาบาล แต่ผลตรวจออกมาพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พี่โอยังมีอาการหวาดระแวงและไม่เป็นปกติ จึงตัดสินใจพาไปสำนักทรง ทันทีที่กำลังจะเดินขึ้นไปหาร่างทรง ก็ถูกทักว่า “เอาผีมาทำไม!” จากนั้นร่างทรงได้นำน้ำมนต์มารดตัวพี่โอ แล้วพาทุกคนกลับไปที่ร้านซ่อมรถ พร้อมกับพรมน้ำมนต์รอบร้าน ด้วยความสงสัยจึงถามร่างทรงว่า “ผีผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน?” ร่างทรงก็ชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันที่ยังซ่อมไม่เสร็จ แล้วพูดว่า “วิญญาณผู้หญิงคนนั้นติดมากับรถคันนี้” ไม่นานนัก เจ้าของรถก็กลับมาเอารถ พอถามว่า “รถคันนี้ของใคร?” วัยรุ่นชายเจ้าของรถก็ตอบว่า “รถพี่สาวผมเองครับ พี่สาวผมทำงานโรงงาน ขี่รถแล้วถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิต” เมื่อได้ฟังคำตอบ ทุกอย่างก็ชัดเจน วิญญาณของพี่สาวคนนั้นยังไม่ไปไหน และตามติดรถกลับมาที่ร้านซ่อม เหตุการณ์ครั้งก็นี้ทำให้พี่โอเชื่ออย่างสนิทใจว่า ‘สิ่งที่มองไม่เห็น นั้นมีอยู่จริง..’เขียน: ชิติพัทธ์ เพ็ชรมาลัยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

29 พ.ค. 2023

เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) ทั้งที งานนี้ขนเอาความหลอนมาฝาก ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เต็มกระเป๋า! จะหลอนแค่ไหน แท็กเพื่อนมาอ่านไปด้วยกันเลย! ต้นกล้าเล่าว่าที่ญี่ปุ่นจะมีงานเทศกาลที่คล้ายกับงานวัดบ้านเรา เป็นเรื่องที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘ยูริ’ เธอได้ไปขายของในงานเทศกาลนี้ และได้สนิทกับพี่ผู้หญิงอีกคนที่เต็นท์ข้าง ๆ ให้นามสมมุติว่า ‘จุนโกะ’ หลังจากงานเทศกาลเลิก เต็นท์อื่นก็พากันเก็บของกลับไปจนหมด เหลือแค่ยูริและจุนโกะ แต่ถึงแม้จุนโกะจะของเยอะ และต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเก็บของ แต่เธอก็เก็บจนเสร็จและกลับไป สุดท้ายก็เหลือเพียงยูริคนเดียว เทศกาลนี้จัดอยู่ในศาลเจ้า บรรยากาศก็เริ่มวังเวง ยูริเริ่มกลัวจึงเก็บของเท่าที่ไหว และคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับมาเก็บอีกรอบ จากนั้นก็ขับรถออกมา ระยะทางจากศาลเจ้าและตัวเมืองเป็นถนนที่อยู่บนภูเขา และยังมีป่าทึบสองข้างทาง.. เมื่อขับรถออกมา จนผ่านทางที่ไม่มีไฟข้างถนน ยูริก็เห็นว่าข้างหน้ามีไฟสีแดงสว่างอยู่ จึงขับรถเข้าไปก็เห็นว่าเป็นไฟท้ายรถ ยูริคิดในใจว่า “รถใครมาจอดอยู่ตรงนี้” เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเห็นว่ารถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุชนกับต้นไม้ข้างทาง แถมยังเป็นรถคันเดียวกับพี่จุนโกะที่อยู่เต็นท์ข้าง ๆ ด้วย ยูริตกใจมาก เธอหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบใคร ไม่มีแม้แต่รถสักคันขับผ่านมา เธอจึงหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปยังสายด่วนฉุกเฉิน และแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ปลายสายก็ถามว่า “แล้วรถที่เกิดอุบัติเหตุนั้นคนที่อยู่ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง” ยูริตอบไปว่า “ไม่รู้เลยค่ะ ไม่กล้าเข้าไปดู” ปลายสายก็พูดต่อว่า “รบกวนเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วช่วยเช็คให้หน่อยนะครับ เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ” เธอจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปและก็เห็นว่า “ครึ่งตัวของพี่จุนโกะพาดกระเด็นออกมานอกตัวรถ หัวห้อยจนผมสยายลงมาพร้อมกับแขนที่ชุ่มไปด้วยเลือดแนบกับประตูฝั่งคนขับ” ยูริเห็นสภาพดังนั้นก็กลัว และไม่กล้าเข้าไปเช็คมากกว่านี้ จึงบอกปลายสายไปว่า “คิดว่าเขาน่าจะมีสตินะคะ” ปลายสายก็พูดเสริมอีกว่า “ขอโทษนะครับเค้ายังหายใจทางจมูก หรือ ทางปากอยู่ไหม รบกวนเอามือไปทาบให้หน่อย” ในใจยูริรู้สึกกลัวมาก แต่ก็ฮึดขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ จนเห็นว่า พี่จุนโกะหัวแตกจนเลือดไหลอาบเต็มหน้า ไหลหยดลงมาตามแขน ยูริค่อย ๆ รวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปทาบตรงจมูก แต่กลับรู้สึกอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งลมหายใจ! ยูริรู้ได้ในทันทีว่าพี่จุนโกะคงเสียชีวิตแล้ว จึงตอบปลายสายไปว่า “เขาไม่หายใจแล้วค่ะ” ปลายสายก็ตอบรับและแจ้งว่าให้รอสักครู่ เพราะมีรถพยาบาลและรถกู้ภัยกำลังเดินทางมาแล้ว จากนั้นก็วางสายไป ในตอนนี้ ยูริต้องอยู่ลำพังกับศพ! เธอจึงถอยออกมาจากตัวรถ ในใจก็คิดว่า “ไม่น่ามาอยู่ตรงนี้เลย” พร้อมกับแสดงความเสียใจที่คนรู้จักต้องมาตาย สักพักก็มีเสียงโทรเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงหยิบของตัวเองขึ้นมาดู ปรากฏว่าไม่ใช่ เมื่อมองเข้าไปในรถก็พบว่าเป็นโทรศัพท์ของพี่จุนโกะ เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่ความรู้สึกก็บอกว่าถ้าเป็นครอบครัวเขาโทรมา เราก็ควรจะเป็นพลเมืองดีแจ้งให้เขาทราบ จึงตัดสินใจจะหยิบโทรศัพท์มารับสาย แต่โทรศัพท์มันดันอยู่ที่เบาะอีกฝั่งของศพ จะเดินไปเปิดประตูฝั่งนั้นก็ไม่ได้เพราะมันชนติดอยู่กับต้นไม้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังอยู่อย่างนั้น เธอจึงเอามือล้วงผ่านศพเข้าไปหยิบโทรศัพท์ จนหน้าเธอกับพี่จุนโกะแทบจะติดกัน! เมื่อรับสายเสียงจากปลายสายก็พูดว่า “ฮัลโหล ๆ เธออยู่ไหนแล้ว” ยูริจึงตอบไปว่า “อ๋อนี่ไม่ใช่ค่ะ” ปลายสายจึงขอจึงพูดว่า “ขอสายแฟนผมหน่อยครับ” ด้วยความที่ไม่กล้าบอกว่าจุนโกะเสียชีวิตแล้ว เธอจึงตอบไปว่า “พอดีแฟนคุณประสบอุบัติเหตุค่ะ ตอนนี้เขาไม่มีสติเลย เขาอาการค่อนข้างหนัก” แฟนจุนโกะจึงพูดด้วยอาการตกใจว่า “หรอครับ!? งั้นรบกวนช่วยเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมจะได้ส่งเสียงเรียกเค้า เผื่อเค้าได้สติคืนมา” ยูริตอบไปว่า “จะดีหรอคะ?” แต่แฟนจุนโกะก็ยังยืนยันและตอบกลับมาว่า “เผื่อเขาได้ยินเสียงคนที่รักแล้วอาจจะได้สติกลับมา นะ ๆ ผมรบกวนหน่อย” เธอจึงยอมทำตามนั้น แฟนจุนโกะก็เรียก “เธอ เธอ ได้ยินหรือเปล่า??” อยู่อย่างนั้น ระยะห่างของยูริกับตัวรถค่อนข้างไกล เธอจึงเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ และยื่นโทรศัพท์เข้าไปที่หน้าศพ เธอไม่กล้ามองภาพที่อยู่ตรงหน้าจึงหันไปอีกทางในขณะที่แขนก็ยื่นอยู่อย่างนั้น ปลายสายก็พยายามเรียกจุนโกะ จนเงียบไปได้ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาประมาณว่า “อ้อหรอ อ่าวจริงหรอ เป็นอย่างงี้หรอ ไม่เป็นไรนะเธอ ตั้งสติไว้นะ” เหมือนทั้งคู่กับกำลังพูดคุยโต้ตอบกันอยู่! ยูริจึงหันหน้ากลับมาดูและพบว่าภาพที่เธอเห็นคือ “จากศพที่หัวที่เอียงห้อยอยู่ มันตั้งขึ้นมาพิงกับเบาะ แล้วปากขยับพูดกับโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำที่ฟังไม่เป็นภาษาเพราะมีเลือดไหลกกอยู่เต็มปาก!” เธอตกใจกลัวกับภาพสยดสยองตรงหน้าจนมือไม้อ่อนเผลอปล่อยโทรศัพท์ทิ้งลงตรงนั้น แล้ววิ่งกลับไปนั่งตัวสั่นอยู่ในรถของตัวเอง! กระทั่งรถพยาบาลเดินทางมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่จัดการพื้นที่เกิดเหตุเรียบร้อย ยูริก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วย เพราะเธอคือคนที่เจอและแจ้งเหตุเป็นคนแรก แพทย์ได้ยืนยันการเสียชีวิตของจุนโกะ และยูริก็คิดขึ้นมาว่า “อ้าวแล้วที่เขาคุยกับแฟนเขาล่ะ??” จนเมื่อแฟนของจุนโกะมาถึงก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียใจ และพูดกับยูริว่า “แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ผมก็ได้ยินเสียงเขาอีกครั้งหนึ่ง” ทำให้เธอคิดว่าภาพที่เห็นในตอนนั้นคงไม่ใช่ภาพจริง แต่เป็นภาพวิญญาณของจุนโกะที่อยากสื่อสารกับแฟนตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไปนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

24 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากจี๋ สุทธิรักษ์ 'เเพกลางป่า' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

‘คุณจี๋’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘แพกลางป่า’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณจี๋’ เล่าว่าตัวคุณจี๋เองไม่เคยเจอผีมาก่อน และเรื่องที่จะเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของคุณจี๋ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนคุณจี๋ ที่ตัวคุณจี๋ได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ณ ตอนนั้นด้วย แต่คุณจี๋ไม่ได้พบเห็นอะไร เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนนี้คุณจี๋ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสไปเที่ยวแพ ที่จังหวัดกาญจนบุรีกับเพื่อนผู้ชายประมาณ 10 คน และมีแฟนเพื่อนอีกประมาณ 2-3 คน ซึ่งแพที่ไปจะเป็นแพบ้านที่จะต้องใช้เรือหางยาวลำเล็กลากไป ซึ่งเพื่อนของคุณจี๋ก็ได้บอกให้คุณลุงที่ขี่เรือหางยาวให้ลากตัวแพออกไปไกล ๆ เพราะอาจจะเสียงดังจากการปาร์ตี้ และต้องการความเป็นส่วนตัว คุณลุงจึงทำตามคำขอของเพื่อนคุณจี๋ โดยการลากแพบ้านไปลึกมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากสำหรับการลากแพออกไป เมื่อถึงคุณลุงก็นำเชือกของแพไปผูกกับตอไม้ ซึ่งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย และเงียบมาก น้ำก็เชี่ยวประมาณหนึ่ง ก่อนคุณลุงกลับคุณลุงได้ถามว่า “เอาน้ำมันปั่นไปไหม” เพื่อน ๆ ของคุณจี๋ก็บอกไม่เป็นไร คุณลุงจึงขับกลับไป โดยแพจะมีลักษณะ 2 ชั้น ด้านบนเป็นห้องนอน ด้านล่างเป็นลานโล่ง และมีห้องน้ำ โดยบริเวณลานแพจะหันไปขนานกับฝั่งป่าทึบที่มองไม่เป็นอะไร ส่วนฝั่งห้องนอนและห้องน้ำจะหันไปทางแม่น้ำ เวลาประมาณ 4 โมง คุณจี๋และเพื่อน ๆ ก็กระโดดเล่นน้ำกัน แต่อยู่ ๆ มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งวิ่งไปขึ้นไปชั้น 2 ที่เป็นห้องนอน เขาวิ่งไปหยิบพระใต้หมอนของแฟนเพื่อนและเขวี้ยงพระออกนอกแพ ซึ่งผู้หญิงที่เป็นเจ้าของพระบอกว่าเธอนั้นไม่ได้บอกใครว่าเก็บพระไว้ใต้หมอน แต่โชคดีที่พระไปติดอยู่กับขื่อ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็วิ่งไปเอาพระที่ติดอยู่เพื่อเขวี้ยงออกไปจากแพ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของจึงไปห้ามและหยิบกลับพระมา ตกดึกทุกคนก็นอนหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งหน้าซีดตัวซีดถามอะไรก็ไม่ตอบ จนเพื่อนคนนี้บอกว่า “เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วเล่าให้ฟัง” สรุปว่าสิ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ ในขณะที่ทุกคนเมาและนอนเรียงกัน โดยตอนนอนหัวจะอยู่ตรงกับแกล้ม เท้าจะหันไปทางฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้ตื่นมากลางดึกก็เห็นคนกำลังกินกับแกล้ม เพื่อนคนนี้ก็เข้าใจว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ยังปาร์ตี้ต่อจึงตั้งใจจะลุกไปกินด้วย แต่พอหันไปดันเห็นเป็นคุณยายคนหนึ่งใส่ผ้าถุงนั่งยอง ๆ กำลังกินกับแกล้มอยู่ คุณยายจึงหันมามองหน้าเพื่อนคนนี้ เมื่อทั้งสองมองหน้ากันคุณยายก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบนั่งยอง ๆ กลับเข้าป่าทึบไป!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1