‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

อังคารคลุมโปง RECAP

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

06 มิ.ย. 2023

            คุณ ‘แจ็ค The Ghost Radio’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 พฤษภาคม 2566) พร้อมกับเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกตามเคย ครั้งนี้พี่แจ็คได้เตรียมเรื่องเล่าชวนพิศวงของหน่วยรบพิเศษขณะปฏิบัติภารกิจท่ามกลางป่าลึกมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ 'ดีเจเจม' ได้ฟังกัน เรื่องนี้มีชื่อว่า “หมู่บ้านร้างซากไร่” ไปติดตามกันได้เลย!

            เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ 30 ปีก่อน ‘ป๋าแจ็ค’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ ได้รับมอบหมายจากครูฝึกให้นำทีมของตนไปสอบปฏิบัติภาคกลางคืน โดยพวกเขาต้องเดินทางไกลจากจุด A ไปจุด B ตามที่ครูฝึกกำหนดไว้ก่อนรุ่งสาง โดยจะมีครูฝึกแอบซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ และมีกฎสำคัญหนึ่งข้อคือ ห้ามถูกครูฝึกจับได้!

            ขณะที่กองกำลังของป๋าแจ็ค (มีอยู่กันประมาณ 7-8 คน) เดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปตาม  เส้นทางอย่างเงียบเชียบ พวกเขาก็เจอกับกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อส่งลูกน้องไปตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่ากระท่อมหลังนี้ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการ หรือเป็นครูฝึกปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน ป๋าแจ็คจึง เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กระท่อมเพื่อถามทาง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้มีผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน กำลังนั่งพักผ่อน ต้มเหล้ากินกันอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเล่าเรื่องราวการทำภารกิจของตนให้ชาวบ้านฟัง คุณลุงคนหนึ่งถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ้! จะไปทางนั้นเลยหรอ ไปทางอื่นไหม?” ขณะที่ชาวบ้านอีก 2 คนก็แอบซุบซิบกันเป็นภาษาที่ป๋าแจ็คฟังไม่รู้เรื่อง ป๋าแจ็คยังคงยืนยันที่จะเดินทางตามเส้นทางเดิมที่ครูฝึกกำหนดเอาไว้ เพราะเป็นทางที่เร็วที่สุด แม้ชาวบ้านจะแนะว่าให้หาเครื่องรางของขลังพกติดตัวไปด้วย  แต่หัวหน้าหน่วยรบพิเศษก็ตอบชาวบ้านไปว่าตนไม่เคยกลัวหรือเชื่อเรื่องผีสางใด ๆ และแล้ว...นายทหารทั้งหลายจึงจำใจออกเดินทางไปตามเส้นทางเดิม โดยปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาช่วยคุ้มกัน

            เหล่าทหารจากกองกำลังนี้ต้องลัดเลาะไปตามป่าไม้อย่างยากลำบาก เพราะต้องช่วยกันค่อย ๆ ตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีเสียงใดดังไปถึงหูครูฝึก  เมื่อไปได้ครึ่งทาง ป๋าแจ็คก็สังเกตเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้า คล้ายแสงไฟจากบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกน้องไปตรวจสอบว่าเป็นครูฝึกแอบซุ่มอยู่รึเปล่า ผ่านไปประมาณ 10 นาที ลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับบอกว่านั่นคือชาวบ้านจริง ๆ ป๋าแจ็คจึงนำทีมเพื่อที่จะย่องผ่านหมู่บ้านนี้ให้เงียบมากที่สุด เมื่อเดินมาจนสุดแนวป่าใกล้หมู่บ้าน ก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นมีไร่นาโล่ง ๆ เหมือนไม่เคยทำการเกษตรมานาน จากนั้นก็เห็นเป็นถนนที่แทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งาน ไม่มีรอยขี้วัว (ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการเกษตร) แถมยังมีต้นไม้รกร้างที่โค้งงุ้มจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว แต่ป๋าแจ็คและทีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วเดินต่อไปเพื่อให้ภารกิจเสร็จสิ้น

            เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน บ้านหลังแรกที่เจอเป็นบ้านลักษณะยกสูงมีใต้ถุนโล่ง ด้านบนเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังถือตะเกียงอยู่ พร้อมหมาอีกหนึ่งตัว ทั้งสามยืนตรงแข็งทื่อคล้ายรูปปั้น เมื่อป๋าแจ็คเหลือบมองไปด้านบน ผู้หญิงด้านบนบ้านก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับมา ใบหน้าสีขาวซีดจับจ้องไปที่ป๋าแจ็คจนน่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามป๋าแจ็คตัดสินใจเดินทางต่อไป ตามด้วยลูกน้อง คนแล้ว คนเล่า ผ่านบ้านอีกหลายหลัง และก็เช่นเดียวกันกับบ้านหลังแรก นั่นคือเต็มไปด้วยชาวบ้านหน้าขาวซีดจำนวนมากออกมาให้กำลังใจ ป๋าแจ็คได้ยินเสียงลูกน้องแอบซุบซิบกันระหว่างทางเดิน แต่ก็ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตนสติแตก

            ป๋าแจ็คและลูกน้องเดินมาถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจตอนประมาณตีห้า ทุกคนพากันไปเลี้ยงกาแฟและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งในลูกน้องของป๋าแจ็ค เล่าว่าหลังจากเดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป แล้วหันหลังกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้นอีกรอบ กลับไม่พบผู้คนหรือร่องรอยของแสงตะเกียงใด ๆ เลย เมื่อพนักงานร้านกาแฟซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คนมาได้ยินเรื่องอันแสนพิศวงของป๋าแจ็คในครั้งนี้ พนักงานก็เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่กองหน่วยรบพิเศษเดินทางผ่านเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ เคยมีผู้คนอาศัยอยู่จริง แต่ในปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคห่าแล้วตายไป 5 หลัง เลยไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป..

            เพื่อทวีคูณความพิศวงไปอีกขั้น หลังจากที่หน่วยของป๋าแจ็คออกมาจากร้านกาแฟกันแล้ว มีลูกน้องคนหนึ่งของป๋าแจ็คเดินมาบอกเขาว่า พนักงานในร้านกาแฟซึ่งคือ ผู้ชาย 2 คนและหญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คน... เป็นพวกเดียวกันกับที่เขาเจอที่กระท่อมตอนเริ่มทำภารกิจช่วงแรก!

            แต่ไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะเดินนำป๋าแจ็คกับทีมของเขาไปได้ แล้วพวกเขามาเปิดร้านกาแฟรอป๋าแจ็คอยู่ที่ปลายทางได้ไงกัน? เรื่องของป๋าแจ็คและกองกำลังรบพิเศษของเขาถูกบอกเล่าอยู่ในหน่วยอยู่นานนับปี เป็นที่น่าสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า อะไรคือสาเหตุที่วิญญาณเหล่าปรากฎตัวขึ้น มาเพื่อส่งเหล่าทหารงั้นหรือ?  พวกของป๋าแจ็คหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งรึเปล่า? อะไรที่เชื่อได้บ้างว่าเป็นความจริงเพราะแม้แต่กาแฟที่เหล่าทหารกินกันในตอนสุดท้าย กลับถูกพบในภายหลังว่าไม่มีรสชาติใด ๆ เลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ปริศนาที่ต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ! หลังจากจบทริปเที่ยว ‘อาร์ต พศุตม์’ ก็เจอวิญญาณตามติด! สืบสาวราวเรื่องจึงได้พบว่า “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาผูกไว้กับเรา”

04 เม.ย. 2023

ปริศนาที่ต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ! หลังจากจบทริปเที่ยว ‘อาร์ต พศุตม์’ ก็เจอวิญญาณตามติด! สืบสาวราวเรื่องจึงได้พบว่า “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาผูกไว้กับเรา”

เรื่องหลอนสุดพีคเกี่ยวกับการเจอวิญญาณปริศนามาตามติดจาก ‘อาร์ต พศุตม์’ ที่ได้เล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (21 มีนาคม 2566) ชวนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ นั่งเกร็งขนลุกและลุ้นไปกับการไขปริศนาในครั้งนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านไปพร้อมกันได้เลย! คุณอาร์ตเล่าว่าเรื่องราวที่เป็นปริศนานี้ ต้องใช้เวลาและการสืบสวน จนเรื่องค่อย ๆ ถูกเฉลยไปทีละอย่าง และปะติดปะต่อกันจนเข้าล็อค เรื่องมันเริ่มจากคุณอาร์ตไปถ่ายรายการ ‘One ArtArt’ ซึ่งเป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวบนช่อง YouTube ของตัวเอง ในครั้งนี้คุณอาร์ตไปถ่ายทำถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสถานที่ที่จะไปนั้น คือ ‘สะพานศรีสุราษฎร์’ และ ‘แพ 500 ไร่’ เมื่อมาถึงสะพานศรีสุราษฎร์ในเวลาโพล้เพล้ แสงและบรรยากาศกำลังลงตัว คุณอาร์ตจึงเก็บภาพบรรยากาศด้วยโดรนและกล้องโกโปร เมื่อได้ภาพสวย ๆ ที่ต้องการแล้ว คุณอาร์ตและทีมงานก็พากันกลับไปที่โรงแรม มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องมีสังสรรค์ กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน คุณอาร์ตที่แยกห้องนอนอยู่คนเดียวก็พลันเหลือบไปเห็นเงาดำ ๆ พอมองชัด ๆ ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงผมยาวประบ่ายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง คุณอาร์ตคิดในใจว่าไม่ใช่คนอย่างแน่นอน และด้วยความที่ไม่ได้กลัวและเหนื่อยมาก จึงพูดกับวิญญาณตนนั้นไปว่า “ขอนอนนะ เพราะพรุ่งนี้ทำงาน” พูดจบก็ผล็อยหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้น คุณอาร์ตก็ออกถ่ายรายการต่อที่แพ 500 ไร่ สถานที่ท่องเที่ยวที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและผืนน้ำสีฟ้ามรกต ทีมงานเห็นว่าคุณอาร์ตชอบเล่นน้ำมาก จึงชวนให้มาเล่นน้ำด้วยกัน แต่วันนั้น คุณอาร์ตกลับรู้สึกแปลกไปและไม่อยากลงเล่นน้ำ แม้แต่ตอนที่ต้องไปพายเรือคายัก คุณอาร์ตก็รีบพายเพื่อเก็บภาพแล้วรีบกลับขึ้นฝั่ง นั่นสร้างความแปลกใจให้ทีมงานแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในทีมงานก็ขอกลับเข้าฝั่งเพื่อไปทำธุระก่อน และเนื่องจากที่นี่ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ทีมงานคนนั้นจึงกลับมาแจ้งข่าวร้ายว่าคุณพ่อของเขารถคว่ำ ทุกคนจึงต้องกลับอย่างกะทันหัน 2 – 3 วันหลังจากนั้น ก็มีข่าว ‘ผู้หญิงโดดสะพานศรีสุราษฎร์’ ขึ้นมาที่หน้าฟีดในโซเชียลมีเดียของคุณอาร์ต แต่ก็ไม่ได้กดเข้าไปอ่านรายละเอียดของข่าวแต่อย่างใด ผ่านไปอีก 2 – 3 วัน ข่าวนี้ก็ขึ้นหน้าฟีดอีกครั้ง คราวนี้คุณอาร์ตรู้สึกตงิดใจแปลก ๆ ขึ้นมา จึงตัดสินใจกดเข้าไปอ่าน ปรากฏว่าผู้หญิงที่โดดสะพานวันนั้น เป็นวันเดียวกัน และอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับตอนที่คุณอาร์ตอยู่บนสะพานนั้นพอดิบพอดี คุณอาร์ตจึงเช็คภาพจากกล้องที่ได้บันทึกมา ก็พบว่ามีภาพผู้หญิงคนนั้นติดอยู่ในกล้องด้วย! และภาพความทรงจำในหัวของคุณอาร์ตก็ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ว่าผู้หญิงคนนี้ได้มองมาที่ตนพร้อมกับส่งยิ้มให้ หลังไล่ดูภาพจบคุณอาร์ตก็คิดว่านี่คงเป็นแค่การบังเอิญเจอกันก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะตัดสินใจจบชีวิตลง.. เวลาผ่านไปจนกระทั่งมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น คุณอาร์ตรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามติดตัวคุณอาร์ต จึงได้ถามผู้หญิงที่นับถือ (คุณอาร์ตไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเป็นใคร) ว่าวิญญาณที่ตามอยู่เป็นใคร มาจากไหน แต่คำตอบที่ได้ก็ยิ่งทำให้คุณอาร์ตทวีความสงสัย เพราะรู้แค่เพียงว่าเป็นผู้หญิง แต่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร.. ความสงสัยรังแต่จะทำให้คุณอาร์ตไม่สบายใจและตงิดใจขึ้นมาอีกครั้ง จึงเปิดดูภาพฟุตเทจที่ถ่ายติดผู้หญิงที่โดดสะพานดูอีกครั้ง เมื่อสังเกตดูดี ๆ อีกครั้ง คุณอาร์ตก็แทบช็อค! เพราะรูปร่างหน้าตาลักษณะของผู้หญิงคนนี้ตรงกับสิ่งที่เห็นในมุมมืดตรงประตูที่โรงแรม! คุณอาร์ตจึงคิดว่าใช่แน่ ๆ เพราะหากเทียบทามไลน์วันเวลาที่เขาเสียชีวิตก็จะตรงกันพอดีกับเหตุการณ์ที่คุณอาร์ตเจอ คำถามผุดขึ้นมาในหัวทันทีว่า “เขาตามเรามาทำไม? และตามมาเพื่ออะไร?” ปริศนาและวิญญาณที่ตามติดอยู่กับคุณอาร์ตร่วมเดือน คุณอาร์ตจึงพยายามหาจุดเชื่อมโยงของเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง จนพบว่า ตอนที่ไปเที่ยวแพ 500 ไร่ แล้วรู้สึกว่าไม่อยากลงเล่นน้ำ เพราะผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตในน้ำ ราวกับเขามองดูอยู่ในน้ำอย่างไรอย่างนั้น และยังพบอีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่คุณพ่อของหนึ่งในทีมงานเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ พอได้รับการรักษาแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีผู้หญิงใส่เสื้อสีน้ำตาลตัดหน้ารถเขา จนเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง เมื่อคุณอาร์ตวิเคราะห์ดูแล้วก็ตรงกับลักษณะของผู้หญิงที่กระโดดสะพานเสียชีวิต! คุณอาร์ตนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้หญิงที่นับถือฟังอีกครั้ง และถามว่าคุณพ่อของทีมงานคนนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร เธอจึงตอบว่า ในคืนที่นั่งดื่มสังสรรค์กันที่โรงแรม ถ้ามีใครจิตอ่อนหรือมีญาติที่จิตอ่อนที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็จะไปหาทันที! นั่นทำให้คุณอาร์ตมั่นใจว่าเขาเองคิดถูก เมื่อปริศนาเริ่มคลี่คลาย แต่วิญญาณตนนั้นยังคงตามติดคุณอาร์ตอยู่เรื่อย ๆ และเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปขอคำปรึกษาจากพระรูปหนึ่ง พระท่านก็ตอบว่า “ช่วยอะไรไม่ได้ เขาอยากอยู่กับคุณอาร์ต” เมื่อไม่พบหนทางแก้ไขและผูกใจสงสัย “จะอยากอยู่เพื่ออะไร? ทั้ง ๆ ที่เจอกันแค่เสี้ยวนาที” คุณอาร์ตตัดสินใจนำภาพฟุตเทจที่ถ่ายติดผู้หญิงคนนี้โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อเช็คว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจริงหรือไม่จริงกันแน่.. และแล้วปริศนาทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อมีข้อความหนึ่งส่งรูปตัวเองที่ถ่ายคู่กับผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับประโยคชวนขนหัวลุกว่า “คนนี้ไงคะ ที่โดดน้ำตาย” และอธิบายว่าสาเหตุมาจากทะเลาะกับแฟน ส่วนคนที่ส่งมาคือพี่สะใภ้นั่นเอง เมื่อคุณอาร์ตเพ่งมองดูรูปนั้นอีกครั้งก็จำได้ทันทีว่าก่อนที่จะไปถ่ายรายการ คุณอาร์ตไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแล้ว ผู้หญิงที่เสียชีวิตเป็นแฟนคลับที่บังเอิญเจอกับคุณอาร์ตในร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งความทรงจำดี ๆ ในวันนั้นจบลงที่ผู้หญิงคนนี้พูดไว้ว่า “ถ้าพี่อาร์ตมาอีกเมื่อไหร่ มาหาหนูอีกนะคะ” คุณอาร์ตก็ตบปากรับคำไปว่า “ได้ครับ เดี๋ยวมาหานะครับ” ในที่สุดเรื่องราวทุกอย่างก็ปะติดปะต่อกันจนครบ “รอยยิ้มที่มอบให้กันในวันนั้น ทำให้จิตสุดท้ายของเขาได้ผูกไว้กับเรา ที่พระท่านบอกว่า ช่วยอะไรเราไม่ได้ เพราะตัวเราต้องรู้เองว่าเขาเป็นใคร” คุณอาร์ตกล่าว หลังจากนั้นคุณอาร์ตจึงตัดสินใจพาเขากลับไปส่งยังที่สะพานแห่งนั้นพร้อมบอกกับเขาว่า“มาส่งแล้วนะ ไปอยู่ในที่ของตัวเอง ใครเชิญไปไหนก่อนหน้านี้ก็ไปตามเสียงเรียกนั้นนะ” และเขาก็หายไปและไม่ปรากฏให้คุณอาร์ตเห็นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

27 ต.ค. 2023

ทำยังไงดีเมื่อปลาไม่ติดเบ็ด ตัดสินใจค่อย ๆ เดินหา จนไปเจอกับดักของใครไม่รู้มีปลาติดอยู่ จึงขอแบ่งมากินสักหน่อย มารู้ทีหลังว่า..?!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 ตุลาคม 2566) ต้อนรับฮาโลวีนที่กำลังจะถึงกับเรื่องชวนขนหัวลุกจากสาย ‘คุณแฟร้งค์’ ที่ทำเอา ‘ดีเจเจ็ม’ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ต้องอึ้ง! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ยายคง’ ถ้าพร้อมแล้วก็ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปประมาณ 5 ปีที่แล้ว ความหลอนได้เกิดขึ้นที่จังหวัดอุทัยธานี โดยคุณแฟร้งค์เป็นคนชื่นชอบการตกปลาและได้ทำการวางแผนนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ผลัดเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ แต่มีอยู่ที่หนึ่ง ที่คนมักจะเล่าต่อกันมาว่าเป็นห้วยตกปลาที่เหี้ยนที่สุด และคุณแฟร้งค์ก็ดันนัดกับเพื่อนว่าจะไปตกปลาที่ห้วยแถวนั้นด้วยกัน เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่นัดกันไว้ คุณแฟร้งค์กับเพื่อนกำลังเตรียมอุปกรณ์ไปตกปลาและได้เดินทางไปถึงที่หมายประมาณสามทุ่ม ทุกคนเริ่มเขวี้ยงเบ็ดตกปลาทิ้งไว้จนถึงสี่ทุ่ม แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีท่าทีที่จะมีปลาสักตัวมาติดเบ็ด เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงเปิดไฟฉาย เดินส่องตามทางข้าง ๆ ห้วยนั้น เมื่อเดินไปเรื่อย ๆก็ได้ไปเจอกับที่ดักปลา มีปลาติดอยู่ประมาณ 2-3 ตัว เพื่อนคุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและยกขึ้นมา ก็เห็นว่ามีปลาติดอยู่ คุณแฟร้งค์รีบพูดห้าม “เห้ย!! นั้นมันของเค้านะ เอาไปไม่ได้นะ” แต่เพื่อนคุณแฟร้งกลับไม่ได้มีท่าทางกลัว และตอบกลับมาเพียงว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่ตัวสองตัวเองเอาไปเผากินกัน” จากนั้นเพื่อนของคุณแฟร้งค์ก็เอาปลามาเผานั่งกินกันตามประสาวัยรุ่น ในระหว่างที่นั่งกินด้วยกันเพื่อนของคุณแฟร้งค์อีกคนก็ลืมเตรียมน้ำมาด้วย ทำให้สถานการณ์ตอนนั้นเริ่มไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนตัดสินใจนั่งกินกันต่อค่อยไปหาน้ำทีหลัง ไม่นาน จู่ ๆ ก็มีคุณยายคนหนึ่งเดินตรงออกมาจากในป่า และเดินไปยกกับดักปลาพร้อมกับบ่นพึมพำว่าทำไมปลาไม่ติดเลย หรือว่าปลาหายไปไหน คุณแฟร้งค์จึงตะโกนพูดคุยกับคุณยายว่า “ยายได้ไปแล้ว” แต่ในความจริงแล้ว ปลาที่หายไปคือปลาที่พวกเขากำลังเผานั่งกินกันอยู่ คุณยายส่ายหัวส่งท่าทางกลับมาว่ายังไม่ได้ คุณแฟร้งค์ถามคุณยายอีกว่า “ยาย บ้านยายอยู่ไหน” คุณยายก็ชี้นิ้วไปทางหลังป่า โดยไม่พูดไม่จาอะไร คุณแฟร้งค์จึงเอ่ยปากขอน้ำดื่มจากคุณยาย และถามซ้ำไปว่า “บ้านยายอยู่ไกลไหม ผมลืมเอาน้ำมา ขอน้ำดื่มจากยายหน่อยได้ไหม” คุณยายจึงตอบกลับมาว่า “ได้ เอ็งเดินตามทางไปนะ เดี๋ยวยายเดินตามไป เอ็งเดินตามทางไปเลยมันจะมาทางไปบ้านยายอยู่” คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่รอช้า เดินตามหลังคุณยายเข้าไปในป่า ส่วนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันนั่งรออยู่ที่ห้วยตกปลา คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินเข้าไปตามทางสักพักก็ได้เห็นปลายทางเป็นบ้านไม้ หลังคาแฝก มีใต้ถุนต่ำ สามารถเหยียบจากพื้นขึ้นบ้านได้เลย และมีโอ่งตั้งอยู่ จากนั้นบริเวณรอบเป็นป่าทั้งหมด คุณแฟร้งค์และเพื่อนก็ไม่ได้คิดอะไร มองหาขวดน้ำเพื่อจะกรอกน้ำในโอ่งไปให้เพื่อนที่นั่งรออยู่ เมื่อคุณแฟร้งค์กรอกน้ำใส่ขวดจนเต็ม จึงตะโกนขอบคุณยายแล้วหันหลังจะเดินกลับไปยังห้วยตกปลา จังหวะที่กำลังจะเดินออกก็ได้ยินเสียงครก เหมือนยายกำลังตำหมากหรือตำอะไรสักอย่าง จากนั้นสายตาคุณแฟร้งค์ก็มองไปยังประตูบ้านของยาย เห็นว่าประตูบานนั้นค่อย ๆ เปิดออกเองและมีเสียงดังขึ้น ‘แกร๊กกกกก’ แล้วยายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อย ๆ ยิ้มเห็นฟันดำมาทางคุณแฟร้งค์และเพื่อนอย่างช้า ๆ จังหวะนั้นยายก็หักคอตัวเอง! ต่อหน้าต่อตาคุณแฟร้งค์และเพื่อน จากนั้นก็ก้มเก็บหัวขึ้นมายิ้มให้อีกครั้ง ในตอนนั้นทั้งคู่สติแตก พร้อมกับตะโกนว่า “ผีหลอก ผีหลอก!!!” แล้วก็รีบวิ่งหนีทะลุป่าออกไป เมื่อวิ่งไปถึงยังห้วยตกปลา ปรากฏว่าเพื่อนที่นั่งรออยู่ก็หายไป คุณแฟร้งค์และเพื่อนไม่สามารถติดต่อได้ พยายามโทรหาแต่ก็ไม่รับสาย ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็รีบเก็บของและระแวงอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าคุณยายจะตามมา จู่ ๆ เพื่อนที่หายไปก็โทรกลับมา คุณแฟร้งค์ได้ถามหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พร้อมกับเล่าว่าทั้งคู่โดนผีหลอกมา เพื่อนที่หายไปรีบตอบกลับมาว่าโดนผีหลอกเหมือนกัน! ตอนนี้อยู่ที่บ้านใครก็ไม่รู้วิ่งหนีมาด้วยความตกใจกลัว ตัวคุณแฟร้งค์เองก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ ทำได้เพียงรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด และรีบตามไปหาเพื่อน เมื่อตามไปเจอเพื่อนคุณแฟร้งค์รีบเล่าทันทีว่าตนไปเจอดีอะไรมา จากนั้นเพื่อนที่หายตัวไปก็รีบเล่าให้ฟังว่า จังหวะที่คุณแฟร้งค์และเพื่อนเดินตามเข้าไปในป่า จู่ ๆ ยายก็หันแค่คอมาแล้วส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูกจึงรีบวิ่งหนีออกไปก่อนโดยไม่ได้ตะโกนบอกคุณแฟร้งค์และเพื่อนก่อน คุณแฟร้งค์จึงตัดสินใจถามคุณลุงเจ้าของบ้านที่เพื่อนวิ่งหนีมาหลบ คุณลุงเล่าว่ายายที่ทั้งสามคนเจอชื่อว่า ‘ยายดง’ แกชอบมาดักปลาอยู่ตรงริมห้วยนี้ แล้ววันดีคืนดีแกก็มาดักปลาตามปกติ จู่ ๆ ก็เกิดฝนฟ้าตกลมแรงจนพัดต้นไม้หักมาทับคอยายแกตายบริเวณตรงนั้น และคาดว่าปลาที่ทั้งสามคนนำมาเผากินกัน น่าจะเป็นปลาที่ยายแกดักไว้ก่อนตาย คุณลุงก็พาเดินย้อนกลับไปดูว่ายังมีรอยคราบเลือดติดอยู่เลย เพราะเหตุเพิ่งเกิดได้เพียง 7 วันเท่านั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1