2 เรื่องหลอนตอนไปทัวร์คอนเสิร์ต ของ ต้า & สอง PARADOX

อังคารคลุมโปง RECAP

2 เรื่องหลอนตอนไปทัวร์คอนเสิร์ต ของ ต้า & สอง PARADOX

01 ก.ย. 2023

‘ต้า-สอง Paradox’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 สิงหาคม 2566)  พร้อมเรื่องเล่าสุดหลอนจากการได้ไปนอนโรงแรมต่างๆ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนหัวลุกตามกันเลยกับชื่อเรื่อง เตียงคู่

‘ประสบการณ์หลอนพี่สอง Paradox’

เกิดขึ้นครั้งที่ไปทัวร์คอนเสิร์ต ได้เข้าพัก ณ ที่พักแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ลักษณะห้องพักคือมีเตียงเล็ก 2 เตียงตั้งคู่กัน โดยมีรูมเมทคือ ‘พี่บิ๊ก Paradox’ ในวันนั้น พี่บิ๊กตัดสินใจกลับก่อนในตอนเช้ามืด ส่วนพี่สองยังคงนอนพักอยู่ในห้องเพราะจะบินกลับตามไปในช่วงบ่าย

พี่สองเล่าว่า ที่จริงแล้วจะมีกฎ หากห้องพักมี 2 เตียง แล้วเราเหลือคนเดียว เคยมีคนพูดไว้ว่า “ ให้เอาของไปวางบนเตียงที่ว่าง จะได้ไม่ต้องมีอะไรมาอยู่บนเตียง” ตามปกติก็จำได้ว่าต้องทำ แต่ในวันนั้นดันหลับอยู่ พี่บิ๊กกลับไปแล้ว เตียงเลยว่างโดยที่ไม่มีของวางไว้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอช่วงเวลารุ่งสาง เริ่มรู้สึกตัว ฟ้าเริ่มสลัวๆ  ก็ลุกขึ้นหยิบของ เข้าห้องน้ำปกติ คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะนอนต่ออีกหน่อย แต่จังหวะที่จะหยิบของจากตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพมาเลยในกระจก สิ่งที่เห็นคือ กระจกสะท้อนไปที่เตียงพี่บิ๊ก เป็นร่างผู้หญิงนอนอยู่

พี่สองบอกว่า “เสียงก๊อกน้ำ เสียงคนแก่ มันเป็นไปได้ที่เห็นแว๊บ ๆ หรือมุมไกล ๆ ลิฟต์เปิดเอง ทีวีเปลี่ยนช่องเอง เป็นเหตุการณ์ที่เจอมาหมด แต่ยังคิดต่อได้ว่าเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่ภาพที่เห็นคนนอนอยู่ในกระจกอีกที คือตกใจมาก แบบเห็นชัดเลย แบบครั้งแรกที่ได้เห็นเต็ม ๆ พอหลังจากนั้นก็เก็บของแล้วไปห้องน้องๆทีมงานคนอื่นแทน”

‘ยืนยันความหลอนจากประสบการณ์ของพี่ต้า Paradox’

ในวันเดียวกัน สถานที่เดียวกัน แต่คนละห้อง พี่ต้านอนอยู่ในห้อง โดยมีพี่วัตเป็นรูมเมทก็นอนในท่านั่ง เอาหัวแนบไปกับโต๊ะ แล้วก็พูดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับใจความได้ ในตอนแรกพี่ต้าเข้าใจว่ากำลังนอนคุยโทรศัพท์อยู่  ไม่ได้สนใจอะไรจากนั้นก็นอนหลับไปปกติ คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอฟ้าสว่างก็ได้ยินเสียงพี่วัตลุกขึ้น อาละวาด โวยวาย “เอาดิว่ะ มาดิว่ะ ” แล้วก็เตะของ เปิดบทสวดมนต์ดังลั่น มาจากความโมโหที่โดนผีอำเมื่อคืน แล้วขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มองพี่ต้านอนหลับ พี่วัตบอกว่าเขาพยายามตะโกน ขอให้ช่วย แต่พี่ต้าเข้าใจว่าพี่วัตกำลังนอนโทรคุยกับเพื่อน ไม่อยากเข้าไปกวน ขณะที่พี่วัตโดนผีอำ สายตาของเขามองผ่านกระจกไปเห็นภาพที่สะท้อน ตรงเตียงของพี่ต้า มีผีผู้หญิงหน้าตาดีสองคนกำลังสัมผัสลูบที่ศรีษะ ปรนนิบัติพี่ต้าอยู่แบบนั้นจนฟ้าสว่าง แล้วพวกเขาก็หายไป..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากมิวสิค ‘ตู้กระจก’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

11 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากมิวสิค ‘ตู้กระจก’ I อังคารคลุมโปง X เฌอปราง-มิวสิค [ 6 ส.ค. 2567]

‘มิวสิค’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ตู้กระจก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! มิวสิคเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านของมิวสิคเอง โดยครอบครัวของมิวสิคจะเป็นครอบครัวใหญ่ บ้านของมิวสิคมีทั้งหมด 4 ชั้น แต่คนในบ้านจะไม่ค่อยอยู่เพราะอยู่ไกลตัวเมือง ทำให้มีบางช่วงเวลาที่คนในบ้านจะพาเพื่อนมาที่บ้านของมิวสิคหลังนี้ และเวลาคนนอกเข้ามา ทุกคนจะเจอกับ ‘ผู้หญิงคนหนึ่ง’ เสมอ ซึ่งผู้หญิงคนนี้จะอยู่ในห้องที่เรียกว่า ‘ห้องสีชมพู’ เวลาแขกมาก็จะอยู่ห้องชมพู จนมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายพาเพื่อนมาเที่ยวบ้าน ตัวพี่ชายของมิวสิคก็นอนห้องตัวเอง ส่วนเพื่อนของพี่ชายนอนห้องสีชมพู ซึ่งทั้งสองห้องไม่ได้ไกลกันมาก ในคืนนั้นพี่ชายของมิวสิคก็ฝันว่าตัวของพี่ชายนั้นตื่นขึ้นมา แล้วหันไปตรงประตูห้องน้ำก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายมิวสิคมาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่มิวสิค และจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็กรี๊ดและพุ่งเข้ามาหาที่หน้า แล้วพี่ชายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่ในขณะที่สะดุ้งตื่นนั้นพี่ชายก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่อยู่ในห้องสีชมพูกำลังโวยวาย พี่ชายจึงรีบวิ่งไปหาเพื่อน เพื่อนของพี่ชายจึงบอกว่าเมื่อกี้ฝันว่าตื่นขึ้นมาบนเตียง แล้วเจอผู้หญิงยืนอยู่หน้าห้องน้ำกรี๊ดเสียงดังและพุ่งเข้ามา คุณปู่ของมิวสิคเป็นคนหัวแข็งและชอบสะสมของเก่า แต่เวลาคนในบ้านพาใครมาก็จะเจออะไรแปลก ๆ เสมอ เช่นบางคนนอนอยู่แล้วฝันว่ามีคนมาลูบหัวแล้วจิกหัว โดยทุกคนจะฝันที่ห้องสีชมพูนี้กันหมด คุณปู่ของมิวสิคอยากรู้ว่ามีจริงมั้ย เลยท้าให้ผู้หญิงคนนั้นมา เพราะนี่คือบ้านของคุณปู่ ด้วยความที่มิวสิคมีเซ้นส์ก็จะเจอผู้หญิงคนนี้บ่อยมาก จึงมักจะบอกคุณปู่เสมอว่าคน ๆ นี้มีจริงนะ แต่คุณปู่ไม่เชื่อ มิวสิคจึงปล่อยคุณปู่ท้าไป เมื่อถึงตอนที่คุณปู่ตื่น คุณปู่ก็ดูไม่มีอะไรและเงียบไป มิวสิคเลยไปหาแม่บ้านแล้วก็พูดถึงคุณปู่ว่า “ไหนเป็นไง ไม่เห็นพูดเลย ไม่เจอหรอ” แม่บ้านจึงเล่าให้ฟังว่าคุณปู่เจอผู้หญิงมายืนร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูแล้วเอาเล็บขูดประตูทั้งคืน แต่คุณปู่ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ เพราะคุณปู่รู้สึกว่าถ้ายิ่งเชื่อก็จะยิ่งอยู่ ซึ่งมิวสิคมักจะเจอผู้หญิงคนนี้เวลากำลังจะไปโรงเรียนในตอนเช้า ผู้หญิงคนนี้จะยืนอยู่ตรงพุ่มไม้บ้าง ยืนชะโงกดูบ้าง นั่งมองบ้าง ตัวมิวสิคอยู่โรงเรียนประจำ จะไม่อยู่บ้านตั้งแต่จันทร์ - ศุกร์ ในช่วงนั้นน้าของมิวสิคที่อยู่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องเก็บของเก่า มีลูกสาวอยู่คนหนึ่งที่ชอบเล่นด้วยกันกับมิวสิค ในตอนนั้นลูกสาวของน้ากำลังจะนอน แต่อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่ พี่มิวมาหา พี่มิวยืนอยู่ตรงนี้พี่มิวมาหา” แต่ ณ ตอนนั้นมิวสิคอยู่โรงเรียนประจำ โดยทุกคนที่เจอผู้หญิงคนนี้จะบอกว่าหน้าเหมือนมิวสิค บางทีมิวสิคคนอนอยู่ชั้น 4 ที่อยู่บนสุด ก็เห็นมือสีขาวลงมาจากฝ้าที่มีรู หรือมีครั้งหนึ่งเป็นงานแต่งของพี่คนหนึ่ง ทำให้มีคนมานอนที่บ้านเยอะ ณ ตอนนั้นมิวสิคนอนกับคุณแม่ ห้องของมิวสิคเป็นชั้นลอยและมีกระจกใสที่มองทะลุเห็นห้องนั่งเล่น ในขณะที่นอนอยู่แม่ก็ฝันว่ามิวสิคกอดคุณแม่แน่น คุณแม่ถามว่ามิวสิคเป็นอะไร แต่ก็มีอะไรดลใจให้มองไปตรงกระจก ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ห้องนั่งเล่นแล้วกรี๊ดแบบไม่พอใจจนกระจกสั่น แม่มิวสิคจึงบอกว่า “วันนี้เป็นวันมงคลจะทำตัวแบบนี้ทำไม” เมื่อคุณแม่ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่ามิวสิคกอดคุณแม่อยู่จริง ๆ แล้วมีวันหนึ่งคุณแม่ของมิวสิคได้ไปเจอหมอดูคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน หมอดูก็ทักว่า “อยากรู้ไหมว่าผู้หญิงที่บ้านเขามาได้ยังไง” คำตอบคือ ผู้หญิงคนนี้มากับตู้ไม้กระจกที่ตั้งอยู่ที่บ้าน ซึ่งผู้หญิงคนนี้อยากได้ศาล แต่อย่าไปตั้งศาลให้เค้าเพราะเค้าอยากให้ที่นี่เป็นที่ของเค้า มิวสิคจึงกลับบ้านเพื่อไปดูว่าตู้ไม้อยู่ที่ไหน เพราะคุณปู่มีของเก่าเยอะมาก จนไปเจอซอกหนึ่งของบ้านที่มีตู้ไม้กระจกตั้งอยู่ และเป็นตู้ที่มิวสิคชอบไปยืนดูตั้งแต่เด็ก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

14 ก.ย. 2023

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

เมื่อความหลอนมาเยือนตอนเข้าเวรไม่พอ แต่ยังตามติดไปถึงห้องน้ำยันห้องนอน สุดท้ายมารู้ความจริงทีหลังถึงขั้นหลอนซ้ำหลอนซ้อน! เรื่องราวนี้จะทำให้ประสบการณ์การทำงานตอนกลางคืนระแวงมากขึ้นขนาดไหน ‘คุณคิงส์’ ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ บอกเลยว่างานนี้คนทำงานกะดึกมีระแวงตามกันเป็นแถว ๆ แน่ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘วันที่เข้าเวร’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ตรงที่คุณคิงส์สัมผัสด้วยตัวเอง สมัยที่เพิ่งเข้าทำงานในช่วงแรกที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะที่ทำงานคือเป็นตึกสี่ชั้น พอเข้าไป พี่ ๆ ในที่ทำงานก็แจ้งว่าเวลาเข้ามาทำงานต้องมีการเข้าเวรเพื่อรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ด้วยความเป็นเด็กใหม่ คุณคิงส์ตื่นเต้นกับการเข้าเวรครั้งแรก คิดในใจว่าแค่เข้าเวรเฉย ๆ ก็ตื่นเต้นขนาดนี้ คงไม่มีอะไรตื่นเต้นมากกว่านี้หรอก เพราะว่าที่ทำงานก็อยู่ในกรุงเทพกลางใจเมืองพอสมควร เมื่อถึงวันเข้าเวรจริง ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ด้วยความเป็นตึกสี่ชั้น คุณคิงส์จึงต้องเดินตรวจทุกชั้น สองรอบ ในครั้งแรกเริ่มตรวจตอน 1 ทุ่ม ทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยดี และในรอบที่สอง เริ่มตรวจตอน 4 ทุ่ม ก็นัดกับรุ่นพี่ว่าจะเริ่มเดินตรวจจากชั้นสี่ไล่ลงมา แล้วจะมาเจอกันที่ชั้นหนึ่ง การตรวจเป็นไปอย่างปกติ เริ่มที่ชั้นสี่ คุณคิงส์ก็ไล่ปิดไฟในแต่ละชั้นลงมา เมื่อเดินลงมาถึงชั้นสาม ที่เป็นห้องประชุมและห้องทำงาน จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงตัวเครื่องกันไฟกระชากจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด คุณคิงส์จึงเดินเข้าไปหาว่าห้องไหนลืมปิดคอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งที่ตึกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกระจก ส่วนประตูจะเป็นบานสวิง ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ก็ก้มหน้าหยิบกุญแจขึ้นมา แล้วค่อย ๆ เสียบเข้าไปในช่องกุญแจ ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้ออกแรง แต่ประตูกลับมีแรงดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปข้างใน! ด้วยความตกใจจึงส่งเสียง “เห้ย!!!” ออกมาแล้วหันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีใคร และตะโกนออกไปว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ผมเข้ามาตรวจเวรครับ” แต่ทุกอย่างกลับเงียบ.. ไม่มีเสียงตอบกลับมา! จากนั้นก็ค่อย ๆ เอาหน้าแนบไปกับกระจก ชำเลืองมองเข้าไปข้างใน เห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีการกั้นห้องของระดับหัวหน้าแผนกสองห้องอยู่ข้างใน สักพักสายตามองเห็นเหมือนเป็นคนเดินผ่านวูบนึงไป! จึงตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ใครครับ ใครอยู่ในห้องครับ” แต่ก็ยังเงียบไม่มีใคร คุณคิงส์ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องมืด มีเพียงแสงไฟจากข้างนอกสะท้อนเข้ามา เมื่อเดินดูรอบ ๆ ห้องปรากฎว่าไม่มีใครจริง ๆ แต่สายตาหันไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเปิดอยู่ จึงปิดให้เรียบร้อย เหมือนจะไม่มีอะไรแล้วก็กำลังจะเดินออกมา แต่หางตาก็เห็นเป็นคนเดินอีกรอบ แต่รอบนี้เดินอยู่ในห้องเล็ก คุณคิงส์ยังรู้สึกไม่มั่นใจจึงตะโกนอีกครั้งว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะล็อคห้องแล้วนะครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา ด้วยความสงสัย คุณคิงส์จึงเดินไปที่ห้องเล็กด้านซ้าย ปรากฏว่าห้องที่เห็นว่ามีคนเดินเข้าไป ไม่มีใครสักคน ในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้คือ ควรเอาตัวเองออกจากจุดนี้! จึงรีบเดินออกมาแล้วล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเดินลงไปที่ชั้นสอง แต่ตอนนั้นคุณคิงส์เดินออกมาได้แค่ 3 ก้าว เสียงเขย่าประตูก็ดังขึ้น กึ้ก กึ้ก กึ้ก กึ้ก! จากข้างในห้องที่ล็อคแล้ว คุณคิงส์หันไปอีกรอบ แว็บเดียวที่เห็นคือ คนยืนตะคุ่มอยู่! จากนั้นคุณคิงส์ก็ไม่สนอะไรแล้วรีบเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งทันที! เมื่อเจอรุ่นพี่ที่รออยู่เขาก็ถามว่า “เป็นอะไรทำไมหน้าตาตื่น ๆ” คุณคิงส์กำลังจะเล่าแต่รุ่นพี่ก็ทำท่าให้หยุดแล้วพูดขึ้นว่า “กลางคืนเขาไม่ให้เล่า” จากนั้นรุ่นพี่ก็ให้แยกย้าย คุณคิงส์จึงขึ้นไปทำธุระที่ชั้นสอง ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ จึงตะโกนไปว่า “พี่จะมาตรวจเวรหรอครับ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ คุณคิงส์คิดขึ้นได้ว่าการที่จะเข้ามาในห้องน้ำได้ ต้องมีเสียงประตูก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียอะไร จึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ถามอีกรอบ “ใครครับ” ไม่มีเสียงตอบกลับแต่มีเสียงคนกำลังทำอะไรอยู่บางอย่างที่อ่างล้างมือ คุณคิงส์คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก จึงรีบอานน้ำต่อให้เสร็จ พออาบน้ำเสร็จ คุณคิงส์กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัว ปรากฏว่าเห็นเป็นมือสองข้างกำลังเกาะอยู่ที่ขอบประตูด้านบน ลักษณะเป็นมือเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ตอนนั้นคุณคิงส์ชะงักไปไม่เป็น คิดว่ารุ่นพี่รับน้องแกล้ง จึงกลั้นใจเปิดน้ำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งระดับขึ้น จากนั้นก็สาดขึ้นไปด้านบน แล้วมือนั้นก็หายไป! คุณคิงส์รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีเสียงเปิดประตู คุณคิงส์รู้สึกอาการไม่ค่อยดีจึงรีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นคุณคิงส์พยายามสวดมนต์ไหว้พระก่อนที่จะเดินไปส่องหน้าต่างดู มองรอบ ๆ ก็ไม่มีอะไร จึงตัดสินใจปิดไฟ แต่ไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเขย่าประตูดังขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว! ที่นี่ไม่มีใครสามารถเข้าได้ นอกจากคนด้านในจะเปิดออกไป คุณคิงส์จึงส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ว่าได้เดินขึ้นมาชั้นสองหรือไม่ แต่รุ่นพี่ก็ปฏิเสธ คุณคิงส์คิดว่าคืนนี้จะสวนมนต์ชุดใหญ่ จากนั้นก็นอนหลับไป แต่ในตอนที่นอนอยู่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มมันค่อย ๆ ไหลลงไป จากหน้าอก ไหลลงไปที่เอว จนเริ่มรู้สึกตัวชัดขึ้นแต่ไม่กล้าลืมตา คิดว่าโดนรับน้องอีกแน่นอน แต่ก็จำได้ว่าห้องมันล็อค ไม่มีใครเข้ามาได้แน่ ๆ จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วกระตุกผ้าห่ม แต่มันกลับมีแรงรั้งไว้! จุดนั้นคุณคิงส์ลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่เห็นคือ ผ้าห่มถูกยกขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมาที่เท้า! คุณคิงส์ทิ้งทุกอย่างแล้วรีบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เพื่อไปขอนอนกับรุ่นพี่ เช้าวันถัดมา คุณคิงส์ก็เล่าเหตุการณ์ให้พี่ในแผนกฟังว่าเจออะไรบ้าง พี่ ๆ ในแผนกก็มองหน้ากันด้วยความเลิ่กลั่ก แล้วถามย้ำว่า “เจอจริง ๆ หรอ” จากนั้นก็พาเดินไปดูในห้องเล็ก แล้วชี้ให้มองตรงมุมห้องเล็ก หลังตู้เอกสาร เห็นเป็นน้ำแดง น้ำเปล่า และพวงมาลัยวางอยู่ หลังจากนั้นพี่ในแผนกก็เล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี มีคุณป้าคนนึงนั่งทำงานฝ่ายบัญชี จู่ ๆก็บ่นว่าปวดหัวมาก แล้วก็เกิดอาการวูบระหว่างทำงาน แล้วเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล” หลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ ๆ ในแผนกก็มักจะเจอว่า ถ้าทำงานดึก จะเห็นคุณป้าคนนี้เดินอยู่ เหมือนยังวนเวียน ยังห่วงงานบัญชีที่ทำค้างไว้อยู่ (ค้างไว้แค่ 2 บรรทัด) คุณคิงส์ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “พี่ ผมว่าป้าแกห่วงเรื่องงาน เรามาช่วยงานของป้าให้เสร็จดีไหมครับ” จากนั้นก็ช่วยกันรวมยอดให้เสร็จ แล้วลงปากกาสีแดงว่า ‘ปิดบัญชี’ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำบัญชีนั้นเสร็จคือ ขวดน้ำที่ตั้งอยู่หลังตู้เอกสารล้มลง แล้วน้ำกระเด็นมาโดนสมุดบัญชี ทำให้คิดว่าป้ารับรู้แล้ว!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

3 วัน 7 วัน ตามเก็บรอยเท้า! รุ่นพี่คนสนิทจากไปแล้ว แต่จิตยังรักษาสัญญา พอถึงวันนัดยังขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมารับที่หอตามที่เคยสัญญากันไว้

09 ก.พ. 2024

3 วัน 7 วัน ตามเก็บรอยเท้า! รุ่นพี่คนสนิทจากไปแล้ว แต่จิตยังรักษาสัญญา พอถึงวันนัดยังขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมารับที่หอตามที่เคยสัญญากันไว้

รุ่นพี่คนสนิทเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังคงวนเวียนให้คนรอบข้างพบเห็น ถึงขั้นมารับที่หอตามที่เคยนัดกันไว้ เรื่องราวนี้ ‘คุณออโต้’ ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 กุมภาพันธ์ 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘คุณก็อป’ (ดีเจจำเป็น) ได้ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณออโต้’ (นามสมมติ) โดยคุณออโต้เริ่มเล่าว่า ต้องย้อนไปเมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่คุณออโต้เรียนอยู่ปีหนึ่ง มีรุ่นพี่ที่คุณออโต้สนิทมาก ชื่อว่า ‘พี่เป้’ ซึ่งมีอายุมากกว่าคุณออโต้หนึ่งปี เพราะว่าพี่เป้ซิ่วกลับมาเรียนใหม่ พี่เป้เป็นคนร่าเริง ชอบคุยกับคน จึงเป็นที่รักของคนในคณะ อีกทั้งพี่เป้ยังเป็นคนที่รักษาสัญญามาก เช่น ถ้านัดคุณออโต้ไว้ 8 โมง พี่เป้จะมาตรงเวลา 8 โมงเป๊ะไม่เคยเลท เมื่อ 25 ปีก่อนนั้น ถ้าใครมีรถมอเตอร์ไซค์ขับในมหาวิทยาลัยถือว่าสุดยอดมาก ซึ่งพี่เป้คือหนึ่งในคนที่มีรถมอเตอร์ไซค์แถมยังเป็นรุ่นเวสป้าสุดเท่อีกด้วย และเป็นแค่คนเดียวที่ขับรุ่นนี้ ตอนนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาค 5 วันวันจันทร์ - สอบปลายภาควันที่ 1 วันแรกคุณออโต้ก็ไปสอบตามปกติ แต่บังเอิญสังเกตเห็นสีหน้าพี่เป้เหมือนจะเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง คุณออโต้จึงถามพี่เป้ไปว่า “เห้ย! พี่เป็นอะไร?” ตอนแรกคุณออโต้คิดว่าพี่เป้เครียดเรื่องสอบ แต่ปรากฏว่าพี่เป้เครียดเพราะทะเลาะกับแฟน คุณออโต้ก็บอกพี่เป้ไปว่า “สอบเสร็จเดี๋ยวค่อยไปขอคืนดี เดี๋ยวก็คืนดีกันเหมือนเดิม” แต่คราวนี้พี่เป้กับแฟนทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขั้นขอเลิก ด้วยความที่พี่เป้เครียดเรื่องแฟน จึงพูดกับคุณออโต้ว่า “ไอโต้วันศุกร์ที่จะถึงนี้ พาพี่ไปเที่ยวหน่อยนะ เดี๋ยวพี่จะเลี้ยงเอง” พี่เป้บอกคุณออโต้ว่าประมาณ 2 ทุ่มกว่า เขาจะโทรมาที่หอพักคุณออโต้ (สมัยก่อนยังไม่มีมือถือส่วนตัวจึงต้องใช้วิธีนี้) เพื่อให้คุณออโต้เตรียมตัวก่อน แล้วเมื่อถึงเวลา 4 ทุ่มพี่เป้ถึงจะออกมารับตามที่นัดกันไว้ เมื่อนัดหมายกันเสร็จ ทั้งคู่ก็แยกย้ายไปสอบวันอังคาร - สอบปลายภาควันที่ 2 ถัดมาวันอังคาร ซึ่งเป็นวันสอบอีกวัน คุณออโต้ไม่เจอพี่เป้แต่ก็คิดว่าพี่เป้คงจะป่วย เพราะที่มหาวิทยาลัยสามารถยื่นเอกสารเพื่อเลื่อนวันสอบได้ เมื่อสอบเสร็จคุณออโต้ก็กลับหอพักไปนอน แต่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณ 2 ทุ่มกว่า เพื่อที่จะตื่นมาอ่านหนังสือ แต่ในระหว่างนั้นก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาในหอพัก แล้วก็มีน้องคนนึงตะโกนว่า “พี่โต้ห้อง 6 ออกมารับโทรศัพท์หน่อย” คุณออโต้จึงรีบไปรับสาย ปรากฏว่าปลายสายเป็นเพื่อนของคุณออโต้ที่โทรเข้ามา บอกคุณออโต้ว่า “ไอโต้ทำใจดีๆ นะ” ตอนนั้นคุณออโต้คิดในใจว่าจะให้ทำใจอะไร จึงถามปลายสายไปว่า “มีอะไร” เพื่อนตอบมาว่า “พี่เป้เสียแล้ว!” คุณออโต้ตกใจมาก จึงถามเพื่อนว่า “พี่เป้เสียได้ยังไง” เพื่อนจึงได้เล่าให้ฟังว่า “วันอังคารช่วงเช้า พี่เป้ขับมอเตอร์ไซค์แล้วเกิดประสานงากับคนที่เมาแล้วขับสวนเลนมา จึงทำให้พี่เป้เสียชีวิตคาที่พร้อมกับคู่กรณี” คุณออโต้คิดในใจว่าไม่น่าเลย เพราะเพิ่งคุยกับพี่เป้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง แต่ตอนนั้นคุณออโต้ยังต้องโฟกัสเรื่องสอบ จึงบอกเพื่อนไปว่า “ถ้าจะไปงานศพของพี่เขาวันไหน ให้ขี่มอเตอร์ไซค์มารับหน่อย” เพราะคุณออโต้ไม่มีมอเตอร์ไซค์วันพุธ - สอบปลายภาควันที่ 3 ต่อมาในวันพุธ เป็นวันที่สามที่มีการสอบ วันนี้ต้องสอบวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งก่อนจะเริ่มสอบก็มีการเช็คชื่อกันตามปกติ แต่อยู่ ๆ อาจารย์ที่คุมสอบก็ถามขึ้นมาว่า “มิสเตอร์เป้อยู่ไหน?” ทุกคนในห้องต่างก็ตกใจเพราะรู้กันดีว่าพี่เป้เสียแล้ว จึงพร้อมใจกันพูดว่า “โทษนะคะอาจารย์ พี่เป้เสียแล้ว” ตอนนั้นอาจารย์ที่ได้ฟังแบบนั้น ก็รีบสวนกลับมาทันทีว่า “เป็นไปได้ยังไง เมื่อเช้าประมาณ 7 โมงกว่า ๆ เป้ยังมาช่วยจัดสถานที่สอบอยู่เลย” เรื่องนี้จึงเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง นอกจากนี้คุณออโต้ยังบอกอีกว่าเพื่อนบางคน ถึงขั้นเล่าว่าพี่เป้ไปหาถึงหอพักก็มีมาแล้ว ด้วยความที่สมัยนั้นคุณออโต้ยังเป็นวัยรุ่น ไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับแบบนี้ จึงคิดแค่ว่าเขาอาจจะแค่แกล้งพูดกันให้กลัว ผ่านมาถึงช่วงบ่าย ทุกคนตั้งใจอ่านหนังสือรอสอบอยู่หน้าห้อง คุณออโต้สังเกตเห็นป้าแม่บ้านที่สนิทกันเดินมา ในมือของป้าถือครกกับแซนด์วิช และมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องสอบ พร้อมตะโกนว่า “เป้ไปไหน” ตอนนั้นคุณออโต้ตกใจมากเลยพูดไปว่า “ป้าเป็นอะไร” ป้าเขาก็เลยบอกว่า “เมื่อกี้เห็นเป้เข้าห้องน้ำ แล้วเป้วานให้ซื้อครกกับแซนวิชให้หน่อย” คุณออโต้ก็บอกป้าไปว่า “ป้ารู้หรือยังว่าพี่เป้เสียแล้ว” ตอนนั้นป้าทำหน้าเหว๋อ คุณออโต้จึงบอกว่า “เดี๋ยวผมเอาเงินของผมเองออกให้” ในเวลานั้นทุกคนต่างคิดว่าจิตของพี่เป้ยังห่วงเรื่องการสอบจึงยังวนเวียนอยู่ให้พบเห็นวันศุกร์ - สอบปลายภาควันสุดท้าย จนกระทั่งวันศุกร์ คนที่สอบเสร็จต่างก็กลับบ้าน แต่ทว่า คุณออโต้ยังคงต้องอยู่ส่งงานถึงวันจันทร์ คุณออโต้ยังเล่าถึงรายละเอียดหอพักอีกว่า เป็นหอที่อยู่ชานเมือง ถ้าใครไม่ตั้งใจมาหาคุณออโต้จริง ๆ คงไม่มีทางที่จะมาที่นี่แน่นอน โดยลักษณะหอจะเป็นห้องชั้นเดียวเรียงกัน 6 ห้อง ซึ่งคุณออโต้อยู่ห้องที่ 6 และตรงทางเดินจะเป็นดินลูกรังสีแดง ทำให้เวลาใครเดินเข้า - เดินออกจะได้ยินเสียง ในวันนั้นทุกคนที่หอกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแค่คุณออโต้ เพื่อนต่างคณะห้อง 5 และน้องผู้หญิงห้อง 2 ที่ยังอยู่ในหอพักนี้ ในหอจะสนิทกันทุกคน และรู้จักพี่เป้เป็นอย่างดี เพราะเคยร่วมวงสังสรรค์ด้วยกันที่หอบ่อย ๆ ขณะนั้นบังเอิญว่าเพื่อนที่ชื่อ ‘ดำ’(นามสมมติ) ที่อยู่ห้อง 5 ข้างห้องคุณออโต้เพิ่งสอบเสร็จแล้วกลับห้องมาพอดี คุณออโต้จึงนำเรื่องของพี่เป้ไปเล่าให้คุณดำฟัง ตอนเล่าก็ฉุกคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่พี่เป้นัดคุณออโต้ไว้ เมื่อถึงเวลากลางคืน ปกติคุณออโต้จะนอนที่ห้องคนเดียว แต่วันนั้นได้ขอไปนอนกับคุณดำ และอยู่ ๆ คุณออโต้ก็นึกถึงความเชื่อเรื่อง ‘3 วัน 7 วัน มาเก็บรอยเท้า’ จึงลองนับวันเวลา ปรากฏว่าพี่เป้เสียครบ 3 วันพอดี คุณดำเป็นคนที่กลัวผีมาก แต่ก็ยังไม่ก็วายแกล้งคุณออโต้ว่า “ถ้าพี่เป้มาหามึง มึงจะทำยังไง” ก็พูดตลก นั่งเล่นนั่งคุยกันไป จนเวลาล่วงเลยถึง 2 ทุ่มครึ่ง อยู่ดี ๆ น้องห้อง 2 ตะโกนเรียกเสียงดังมาว่า “พี่โต้ห้อง 6 โทรศัพท์เข้ามา” คุณออโต้จึงรีบวิ่งไปรับโทรศัพท์ แต่ปรากฏว่าปลายสายไม่มีเสียงคนพูด และได้ยินแต่เสียงลมแทรกเข้ามา ตอนนั้นคุณออโต้นึกว่าโดนแกล้ง จึงรีบวิ่งไปเคาะถามน้องห้อง 2 ว่า “โทษนะ เมื่อกี้ใครโทรเข้ามา” น้องห้อง 2 รีบตอบสวนคุณออโต้มาทันทีว่า “ก็พี่เป้ไงพี่ เมื่อกี้โทรมาขอสายพี่” คุณออโต้ตกใจ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกกับน้องว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จึงเดินกลับห้องไปเล่าให้คุณดำฟัง พอฟังจบ คุณดำก็บอกว่า “ถ้าวันนี้พี่เป้มา ถ้าแกมาเคาะประตูนะ กูคงกัดลิ้นตาย” คุณออโต้จึงตอบไปว่า “คงไม่จริงหรอกมั้ง” พูดไปประมาณว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนเวลาผ่านไป 4 ทุ่ม ถึงเวลาที่พี่เป้นัดไว้ว่าจะขับรถมารับที่หอ แล้วคุณออโต้ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เวสป้าที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เป้ขับมาแต่ไกล ในใจคุณออโต้ตอนนั้นก็คิดว่าอาจจะเป็นมอเตอร์ไซค์ของคนอื่นขับผ่าน แต่ทันใดนั้นเวสป้าคันนั้นก็เข้ามาจอดที่หอพักคุณออโต้ พร้อมกับเสียงวางขาตั้งดังปั้กก! และความรู้สึกตอนนั้นเหมือนผู้ชายคนคนนั้นเดินเข้ามาในหอพัก เพราะได้ยินเสียงดินลูกรังกระทบกับรองเท้าเสียงดัง จึงทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เดินเข้ามา ประกอบกับผ้าม่านตรงหน้าต่างที่บาง ๆ ของหอพัก ทำให้เห็นเงาคนเดินผ่านจาง ๆ ผ่านแต่ละห้องไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ห้อง 6 ห้องของคุณออโต้! คุณออโต้ตกใจมาก แต่อีกใจนึงก็คิดว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนคุณออโต้มาหาที่ห้อง คุณออโต้กำลังจะออกไปดู แต่เหมือนวันนั้นคุณดำดูเหมือนจะรักคุณออโต้เป็นพิเศษ ทั้งกอด ทั้งรั้งคุณออโต้ไม่ให้ออกไป แล้วพูดว่า “ไม่ออกไป อย่า ๆ ถ้าออกไปเป็นพี่เป้มา..” ตอนนั้นคุณออโต้พูดในใจว่า “ไม่ใช่หรอกมั้ง อาจจะเป็นเพื่อนของเพื่อนมาหาก็ได้” พอพูดจบคุณออโต้ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู ก๊อกๆ ดังมาจากห้อง 6 แต่คุณออโต้ก็เริ่มคิดว่าใช่โจรหรือเปล่า จึงพูดกับคุณดำว่า “ดำ..สงสัยมันเป็นโจรรึเปล่า” คุณออโต้กลัวว่าโจรจะมาโมยของมีค่าต่าง ๆ ในห้อง จึงอยากออกไปดูแต่ก็ออกไปไม่ได้เพราะโดนคุณดำรั้งและขอร้องไม่ให้เปิดประตู สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากห้อง 6 เหมือนเดิม คุณออโต้และเพื่อนกำลังชั่งใจกันอยู่ แต่ในขณะที่คุณดำบอกว่า “อย่าไป ๆ” เสียงที่ตอนแรกเป็นการเคาะปกติ เปลี่ยนเป็นการทุบแทน! เสียงทุบเหมือนโกรธใครอะไรสักอย่าง จากนั้นก็มีเสียงเรียกตามมาว่า “ไอโต้!” คุณออโต้บอกว่าสาบานเลยว่าเสียงนี้คือเสียงพี่เป้เขาจำเสียงนี้ได้แม่น พอคุณดำได้ยินแบบนั้นก็ร้องไห้ออกมาแล้วบอกว่า “มึงทำยังไงก็ได้ บอกให้พี่มึงกลับ” ในใจคุณออโต้ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ด้วยความที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ คุณออโต้จึงพนมมือบอกพี่เป้ไปว่า “วันนี้ผมไม่ว่าง พี่น่ะเสียไปแล้ว ให้พี่ไปตามทางของพี่เถอะ ผมจะทำบุญตักบาตรไปให้พี่แล้วกัน งานศพของพี่ เดี๋ยวผมจะไปช่วยงานทุกวันเลย” ทันใดนั้นคนที่ยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง 6 ทำท่าเหมือนกำลังจะเดินกลับ ตอนนั้นคุณออโต้ก็สังเกตว่าผู้ชายคนนั้นจะเดินไปที่ไหน แต่แล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่างห้อง 5 ที่คุณออโต้และคุณดำอยู่ในห้อง! คุณออโต้มองดูลักษณะความสูงและทรงผม ก็สรุปได้ว่าคือพี่เป้แน่นอน คุณออโต้ได้แต่อธิฐานจิตอย่างเดียวว่า “พี่..วันนี้ผมไม่พร้อม ให้พี่ไปตามทางของพี่เถอะ” พี่เป้ถึงได้เดินออกไปและจากไปพร้อมกับเสียงรถเวสป้าคู่ใจที่เสียงค่อย ๆ เบาไกลออกไปวันเสาร์ ตอนเช้าอีกวัน คุณออโต้และเพื่อนตื่นมาอาบน้ำเพื่อที่จะออกไปกินข้าว ขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องออกไป บังเอิญว่าน้องห้อง 2 ก็เปิดประตูแง้มออกมาเพื่อที่จะเก็บของกลับบ้านเหมือนกัน ด้วยความสนิทคุณออโต้จึงแซวน้องเล่น ๆ ว่า “ไปกินข้าวด้วยกันก่อนรึเปล่า” น้องห้อง 2 ตอนกลับมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ รีบกลับ” คุณออโต้กำลังจะเดินผ่านห้องน้องไป สักพักน้องห้อง 2 ก็ตะโกนเรียกคุณออโต้แล้วบอกว่า “เมื่อคืนนี้เพื่อนพี่ ที่ชื่อเป้มาหาพี่ มาเคาะประตู ทำไมพี่ไม่เปิด” คุณออโต้บอกว่า ด้วยความที่น้องเขาเป็นหลานเจ้าของหอเลยอาจจะช่วยสอดส่องดูแลความเรียบร้อย จึงถามต่อว่า “พี่เป้เขามายังไง” น้องห้อง 2 ตอบมาว่า “เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเคาะประตูเลยชะโงกหน้าออกมาดู ก็เห็นลักษณะท่าทางว่าเป็นพี่เป้ แต่มันแปลกนะพี่โต้ เขามาแบบเสื้อผ้าขาดวิ่น แล้วคอก็เอียงอะ” คุณออโต้จึงตอบน้องไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก” หลังจากวันนั้นคุณออโต้ก็ได้ไปช่วยงานศพพี่เป้จนเสร็จเรียบร้อย แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 25 ปี คุณออโต้ยังไม่เคยบอกน้องห้อง 2 เลยว่าสิ่งที่น้องเขาเห็นวันนั้นคืออะไร...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ ‘เรื่องเล่าคนกองถ่าย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

29 พ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ ‘เรื่องเล่าคนกองถ่าย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 พฤษภาคม 2568) ที่ผ่านมา มีเรื่องราวสุดแปลกในกองถ่ายจาก ‘คุณหนองน้ำ’ เมื่อกองถ่ายมีแต่อุปสรรค คนในกองถ่ายแปลกไปเหมือนมีอะไรสิงร่างแล้วไม่เป็นตัวเอง! เรื่องนี้ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกไปทั้งตัว! คุณหนองน้ำมีเรื่องมาเล่า 2 เรื่อง ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวในกองถ่าย เรื่องแรกเป็นเรื่องราวที่เธอได้ฟังมาจาก ‘อาฉี เสียงหล่อ’ หรือ ‘สมพงษ์ บุญกุ้ม’ ศิลปินตลกผู้ล่วงลับ พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าที่นำมาเล่าเพราะเธอต้องการระลึกถึงอาฉี โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำละครดังแห่งยุค 2000 อย่าง ‘อังกอร์’ เป็นละครที่ประสบความเร็จและเป็นที่จดจำเป็นอย่างมาก อาฉีเคยเล่าไว้ว่า อังกอร์จะถ่ายทำที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก โลเคชั่นส่วนใหญ่จะเป็นป่า วันหนึ่ง มีคิวถ่ายเป็นฉากที่ต้องบุกป่า เผากระท่อม ซึ่งจะต้องใช้สตั๊นท์แมนเป็นจำนวนมาก บริเวณกองถ่ายจะมีเต็นท์เพื่อรองรับนักแสดงและสตั๊นท์แมนทุกคน ขณะที่อาฉีนอนเล่นโทรศัพท์อยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามาในเต็นท์ เมื่อหันไปดูก็เห็นเป็นสตั๊นท์แมนที่เคยเข้าฉากด้วยกัน อาฉีจึงกล่าวทักทายตามปกติ แต่วันนี้สตั๊นท์แมนคนนั้นกลับมาแปลก เขาไม่พูดอะไร ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นคนพูดเก่ง คุยเก่ง อาฉีก็ถามว่า “กินอะไรมาหรือยัง” จากนั้น เขาก็มานั่งข้าง ๆ แล้วตอบแค่ว่า “ผมไม่หิวพี่” เมื่อได้ยินคำตอบอาฉีก็ไม่ได้คิดอะไร จากนั้นก็เดินออกไปเอากาแฟนอกเต็นท์ แต่ไปเจอกับคนในกองที่พูดกันว่ามีอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นและมีสตั๊นท์แมนเสียชีวิต ซึ่งก็คือสตั๊นท์แมนคนที่พึ่งเจอกันเมื่อกี้! อาฉีได้ยินก็รีบบอกไปว่า “เห้ย ! จะเป็นไปได้ยังไง เพราะเค้ายังอยู่ในเต็นท์อยู่เลย เมื่อกี้เพิ่งเจอกัน” คนในกองโต้กลับว่า “จริง ๆ พี่ เขาเสียชีวิต มีเจ้าหน้าที่โทรมา” อาฉียังไม่เชื่อ และบอกไปว่า “เห้ย! จริง ๆ เมื่อกี้เขานอนอยู่ข้างหลัง อยู่เตียงข้าง ๆ กันเลย” เมื่อเข้าไปดูในเต็นท์ ก็ไม่เจอใคร คิดว่านี่คงเป็นจิตสุดท้ายในการทำงานของเขา.. เรื่องที่สองเป็นเรื่องที่คุณหนองน้ำเจอกับตัวเอง วันนั้นเธอไปออกกองถ่ายโฆษณาที่สระบุรี โลเคชั่นเป็นเขาหัวโล้นลูกหนึ่ง วันนั้นเธอไปถึงโลเคชั่นตั้งแต่เช้า แต่ฝนตกตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถถ่ายทำได้ จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่าย 2 ทุกคนเริ่มกระวนกระวายเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลาถ่าย และคิวนี้จะถ่ายได้ถึงแค่ 6 โมงเย็นเท่านั้น จากนั้น การถ่ายทำก็สะดุดตลอดเวลา จนพี่ผู้ช่วยผู้กำกับเดินมาถามว่า “หนองน้ำ เธอไหว้หรือยัง” คุณหนองน้ำก็บอกไปว่า “ไหว้แล้วพี่” จากนั้นผู้ช่วยผู้กำกับก็สั่งให้ไปเอาเหล้ากับบุหรี่มาจัดเป็นเซ็ท และต้องตามหาคนที่เกิดวันศุกร์เพื่อมาไหว้ เมื่อไหว้เสร็จ เพียงพริบตา บริเวณเวิ้งเขาที่ถ่ายทำ ฝนก็หยุดตก ทุกคนต่างสับสนและมึนงงกับเหตุการณ์นี้ แต่เรื่องแปลกต่อไปคือ ขวดเหล้าที่ไหว้นั้นลดเหลือครึ่งขวดอย่างไม่น่าเชื่อภายในเวลาไม่นาน! คุณหนองน้ำแกล้งถามว่า “เห้ย ! ใครกินเหล้าเนี่ย ธูปยังไม่หมดเลย” คนในกองก็ตอบกลับว่า “ใครจะไปกล้ากินล่ะ ธูปยังไม่หมด” ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนก็รีบแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ระหว่างการถ่ายทำยังคงมีเรื่องราวสุดแปลกเกิดขึ้นในกองเรื่อย ๆ ระหว่างถ่ายทำอยู่นั้น ‘คุณแอม’ (Producer) ก็ออกไปจากกองถ่ายแล้วเดินเข้าไปทางมุมป่า ผู้กำกับจึงสั่งให้เธอวิ่งตามไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ เพราะกลัวว่าเขาจะเครียดเรื่องกองถ่าย ปรากฏว่าพอตามไปจนทัน ก็รีบวิ่งไปจับแขนไว้ จากนั้นก็ถามว่า “จะไปไหน” แอมหยุดเดินแต่ไม่หันหน้ากลับมา แถมยังทำปากมุบมิบเหมือนคนแก่เคี้ยวหมาก แอมยังเดินช้า ๆ อย่างไม่หยุด พอถามอีกครั้งว่า “พี่แอมจะไปไหน” คราวนี้ แอมหันมาแต่ไม่พูดอะไร พร้อมสายตาที่เหม่อลอย คุณหนองน้ำเริ่มรู้สึกแล้วว่านี่ไม่ใช่พี่เรา ไม่ใช่คนที่เรารู้จัก แต่ก็จับมือแอมให้กลับเข้ามายังที่ปลอดภัย ในระหว่างที่เดินกลับมา แอมก็ได้ไปนั่งที่จุดวางของเซ่นไหว้ พร้อมกระดกขวดเหล้าและจุดบุหรี่สูบ คุณหนองน้ำยังคงคิดในแง่ดี มีการแซวว่า “เปรี้ยวปากหรอกินเหล้าในเวลางาน” แต่ลึก ๆ ก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างแน่ สักพัก แอมก็ยืนขึ้น ทำท่าเหมือนจะตั้งวงรำ คุณหนองน้ำเริ่มขนลุกแต่ก็กดแขนแอมไว้และบอกว่า “อย่านะ อย่าทำ เราไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ถ้าทำแบบนี้เดี๋ยวคนในกองจะกลัว” ในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น คุณหนองน้ำจึงต่อธูปและเติมเหล้าอย่างต่อเนื่อง จาก 1 ขวดกลายเป็น 4 ขวด สักพักแอมก็เริ่มนิ่ง คุณหนองน้ำจึงกลับมาหน้าเซ็ต เมื่อมาถึงหน้าเซ็ต ปรากฏว่าเกิดเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับผู้ช่วยผู้กำกับอย่าง ‘พี่โจ้’ (นามสมมติ) เพราะอยู่ ๆ เขาก็ทำท่ายกแข้งยกขาเหมือนจ๊ะทิงจา แต่คิดว่าคงวิ่งไปวิ่งมาเพราะเครียดกับการถ่ายทำ สักพักเขาก็หัวเราะขึ้นมา เมื่อคุณหนองน้ำเดินไปหาเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่โจ้พูดกลับมาว่า “เราขอน้ำแดงหน่อยสิ” ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คุณหนองน้ำจึงบอกให้ป้าสวัสดิการไปเอาให้ เมื่อได้น้ำแดง พี่โจ้ก็กินจนปากแดง ลิ้นแดง กินจน น้ำแดงหมดกองถ่ายก็ยังไม่พอ แถมยังสั่งให้ป้าออกไปซื้อใหม่ แต่ได้กลับมาอีกยี่ห้อหนึ่ง พี่โจ้เห็นแบบนั้นก็ตาแข็งและบอกว่า “ทำไมไม่ซื้อแฟนต้า!” ถึงแม้ทุกอย่างจะผิดปกติ พี่โจ้ก็ยังรันกองตามคิวของลูกค้าได้ตามปกติ ขณะที่เรื่องราวในกองกำลังวุ่น คุณหนองน้ำลืมต่อธูปและบุหรี่ ทำให้ฝนเริ่มลงเม็ด พี่โจ้หันมามองตาแข็ง แล้วพูดว่า “ทำไมไม่ต่อธูป!” คุณหนองน้ำกล่าวขอโทษและรีบวิ่งไปไหว้ต่อธูป แต่ลำพังเธอไหว้เอง ฝนก็ยังไม่หยุด พอเป็นโจ้มาไหว้ ฝนกลับหยุดตกทันที ส่วนทางพี่แอมนั้น ก็มีพฤติกรรมและลักษณะท่าทางเหมือนคนแก่ คุณหนองน้ำเข้าไปหาและบอกว่า “เราขอนะ อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวคนจะกลัว” จากนั้น แอมก็หลับตา ไม่นานคุณหนองน้ำก็สัมผัสได้ถึงพี่แอมคนเดิม เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง แอมก็บอกว่ารับรู้ว่าเดินไปที่ป่า แต่ไม่รับรู้พฤติกรรมอื่น ๆ ของตัวเองเลย พอถึงเวลาเลิกกอง พี่โจ้ก็กลับมาเป็นปกติ คุณหนองน้ำจึงเดินถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่โจ้จึงเล่าว่าเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านหนึ่งฝั่งทางภาคอีสาน มีการเลี้ยงกุมารเป็นร่างแฝงไว้ คาถาที่ใช้สวดก็ได้มาจากอาจารย์ของเขาเอง กุมารคงมาสิงแค่ช่วงที่ทำพิธีเท่านั้น หลังจากทีมงานเก็บของทุกอย่างเสร็จสิ้น ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทุกคนรีบเดินทางกลับกรุงเทพ ระหว่างทางมีการพูดคุยกันถึงโลเคชั่นในครั้งนี้ ทางทีมก็บอกว่า โลเคชั่นนี้เป็นบ้านคนและบ้านนี้จะมีศาลไม้ซึ่งเป็นการไหว้ผีของบ้านอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครบอกคุณหนองน้ำก่อนถ่ายทำ จึงไม่ได้ไหว้ผีในวันนั้นด้วย คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดเรื่องราวแปลก ๆ ในกองถ่ายนี้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1