ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

อังคารคลุมโปง RECAP

ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

24 ต.ค. 2023

       ขับรถกลางคืนว่าน่ากลัวแล้ว แต่ยังต้องขนของเก่าชวนขนลุกผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มักจะมีอาการแปลก ๆ อีก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ไม่น่ามาด้วย’

       พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโต’ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวของคุณโตเป็นเจ้าของธุรกิจรับซื้อเศษผ้า โดยจะขับรถหกล้อจากขอนแก่นไปจังหวัดต่าง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาต้องขับรถจากขอนแก่นไปพิษณุโลกเพื่อไปรับซื้อเศษผ้า ซึ่งมีถนนเส้นหนึ่งที่ต้องผ่านคือ ‘เส้นน้ำหนาว’ ถนนเส้นนี้มีสะพานห้วยตองที่มีเรื่องสยองชวนขนหัวลุกมากมาย ด้วยความที่คุณโตเป็นนักธุรกิจ การจะไปรถเปล่า ๆ ก็จะดูเป็นการขาดทุน เขาจึงโพสต์รายละเอียดการเดินทางลงในโซเชียลว่า วันนี้เขาจะเดินทางไปจังหวัดนี้ จะผ่านเส้นทางไหนบ้าง หากใครมีของจะเอาไปส่ง คุณโตก็จะรับบริการให้ หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ก็มีคนติดต่อเข้ามาบอกว่า “จะให้ส่งของไปที่จังหวัดกำแพงเพชร” คุณโตก็ตอบกลับไปว่า “มันไม่ผ่านนะครับ” แต่ทางนั้นก็บอกว่า “กำแพงเพชรในที่นี้คือมันเป็นเขตรอยต่อใกล้กันกับพิษณุโลก เลยจากพิษณุโลกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ขับออกไปนิดหน่อย เดี๋ยวเรื่องค่ารถ มาคุยกัน” ทางคุณโตจึงเรียกเงินประมาณ 3,000 – 4,000 บาท

       หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทางคุณโตก็ได้เตรียมรถเรียบร้อย พอถึงเวลานัด ก็มีรถกระบะคันนึงขับเข้ามา พร้อมกับผู้ชายอายุประมาณ 60 ลงมาจากรถ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ และเห็นรอยสักอักขระอยู่ที่แขน นอกจากนี้ยังมีลูกน้องมาด้วย 2-3 คน ข้างหลังรถมีนาฬิกาไม้โบราณเรือนใหญ่มาด้วย คุณโตสังเกตเห็นว่านาฬิกาเรือนนี้ถูกล็อกโซ่และกุญแจมาอย่างแน่นหนา คุณลุงเจ้าของรถบอกว่าให้นำนาฬิกานี้ไปส่งที่วัดแห่งหนึ่ง และให้แผนที่กระดาษมาด้วย ตัวคุณโตก็ให้ลูกน้องมาช่วยยกนาฬิกานี้เพิ่มอีกเป็น 4-5 คน เพราะนาฬิกาเรือนนี้หนักมาก และด้วยความที่คุณโตกลัวว่าตอนอยู่บนรถลูกตุ้มนาฬิกาจะแกว่งและไปโดนตู้จนพัง เขาจึงเตรียมโฟมเพื่อที่จะช่วยไม่ให้ลูกตุ้มแกว่ง แต่ทันทีที่เขากำลังจะเปิดตู้นั้น ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “มึงอย่าเปิดนะ!!” ซึ่งเป็นเสียงของคุณลุง คุณโตที่เคยคุยกับคุณลุงมาแล้วก็แปลกใจ เพราะปกติแล้วคุณลุงจะพูดจาเพราะ แต่พอจะไปจับนาฬิกานี้ คุณลุงกลับดุ และยังบอกอีกว่า “ไม่ต้องไปเปิดมัน อย่าไปยุ่งกับเขา” หลังจากนั้นก็รีบคะยั้นคะยอให้คุณโตนำของไปส่ง พร้อมทั้งยัดแผนที่กระดาษและเงินจำนวน 15,000 บาทให้คุณโต ตัวคุณโตไม่ได้ดีใจแต่ตกใจ เพราะจำนวนเงินมากผิดปกติ เขาจึงสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นของผิดกฎหมาย จึงถามคุณลุงไปว่า “ที่อยู่ในตู้นี้ ไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ” คุณลุงตอบกลับมาว่า “ไม่มี ไม่ผิด ข้างในเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่มีอะไร แล้วตู้นั้นเป็นตู้ไม้โบราณ รับประกันได้ ไปส่งที่วัดได้แล้ว” คุณโตเชื่อและเตรียมรถเพื่อออกเดินทางในเวลา 6 โมงเย็น เพราะส่วนตัวนั้นชอบเดินทางตอนกลางคืนมากกว่า ระหว่างนั้น มีสายโทรศัพท์จาก ‘คุณหมุย’ เพื่องของคุณโต ตัวคุณหมุยนั้นเคยประสบอุบัติเหตุต้องผ่าตัดสมองมาแล้ว ทำให้เขาอาจจะมีอาการแปลก ๆ รวมถึงมีอารมณ์และคำพูดแปลก ๆ ไปบ้าง คุณโตจึงเล่าเรื่องที่จะไปส่งของให้ฟัง ปรากฏว่าคุณหมุยขอไปด้วย ทั้งคู่จึงนัดหมายกัน

       กระทั่งถึงเวลารถออก ทั้งคู่ออกเดินทางจากของแก่นมุ่งหน้าสู่พิษณุโลก โดยใช้เส้นทางน้ำหนาว หลายคนที่เคยไปจะรู้กันดีว่าเส้นทางนี้เป็นภูเขา เป็นเหว และตอนกลางคืนมีรถน้อย ตรงสะพานห้วยตองก็มีเรื่องสยองกล่าวขานกันมากมาย แต่ตัวคุณโตชินกับเส้นทางนี้จึงไม่ได้กลัวอะไร เมื่อถึงจุดที่เป็นป่าเขา สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็หายไป ทั้งรถก็เหลือแต่ความเงียบ จนกระทั่งรถกำลังขับขึ้นเนิน ซึ่งจะต้องผ่านศาลใหญ่อยู่ซ้ายมือ ระหว่างที่กำลังจะผ่านศาล คุณหมุยก็พูดขึ้นมาว่า “เออ มึงว่าคนสมัยก่อนเขารู้ได้ไงวะ ว่ากุมารชอบกินน้ำแดง” คุณโตก็ตอบว่า “มึงจะพูดทำไม” คุณหมุยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แล้วสมัยนั้น สมัยก่อนมีตู้กดน้ำแดงขายด้วยเหรอวะ” พูดจบยังไม่ทันขาดคำ ก็มีสัญญาณในรถดังขึ้นมา เขาก้มมองปรากฏว่า เกจ์ความร้อนของรถกำลังไปถึงตัว H เขาจึงต้องจอดรถ และให้คุณหมุยลงจากรถเพื่อหาหินมารองรถไว้ เนื่องจากยังอยู่ในเส้นทางขึ้นเนิน

       หลังจากหาก้อนหินมาดันล้อรถเรียบร้อยแล้ว คุณโตก็ดับรถและลงจากรถ แต่สิ่งที่ทำให้คุณโตตกใจคือ ตรงที่รถจอดห่างจากหน้าศาลมาแค่ 3 ก้าว! ซึ่งศาลตรงนี้ เป็นศาลที่คนแถวนี้เขานับถือ ว่ากันว่าห้ามเข้าไปยุ่ง ห้ามเข้าไปเล่นเด็ดขาด หลังจากที่คุณโตตรวจเช็ครถจนเสร็จ สรุปแล้วรถไม่ได้เป็นอะไร แต่หม้อน้ำเดือดเพราะรถใช้แรงในการส่งขึ้นเขาเยอะ ในระหว่างที่คุณโตกำลังเช็ครถ คุณหมุยก็หายไป คุณโตจึงมองหาคุณหมุย ปรากฏว่า เห็นคุณหมุยขึ้นไปนั่งบนรูปปั้นช้างที่อยู่หน้าศาลแล้วทำท่าเหมือนขี่ช้าง ตัวของคุณโตก็ตกใจแล้วบอกว่า “ไอ้หมุย มึงขึ้นไปทำอะไร ลงมานี่!” คุณหมุยก็หัวเราะแล้วลงมาบอกว่า “มึงจะกลัวอะไรวะ มันไม่มีอะไรหรอก” คุณโตคิดว่า นี่ไม่ดีแล้ว จึงรีบเช็คว่าน้ำแล้วก็สตาร์ตเครื่องจนติด จากนั้นก็เรียกคุณหมุยขึ้นรถทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นบนรถคือตรงกระจกหน้ารถมีรอยมือเด็กมาแปะอยู่หน้ารถจากข้างนอก! ตัวคุณโตเองก็รู้อยู่แล้วว่าตรงนั้นมีบางสิ่งบางอย่างแน่นอน แต่เขาไม่พูดเพราะกลัวจิตตกและกลัวว่าคุณหมุยจะกลัวไปด้วย จากนั้นก็รีบขับรถออกไป แต่ระหว่างที่ถอยรถออกก็ทับหินดังแกร๊ก! คุณโตถามคุยหมุยว่า “เฮ้ยหมุย ทำไมมึงไม่เอาหินออกจากล้อวะ” คุณหมุยก็หัวเราะ แล้วคุณโตก็ขับออกไป..

       ขับไปสักพัก คุณโตเห็นว่าคุณหมุยนั่งชูมือขึ้นมา มือซ้ายชู 5 นิ้ว มือขวาชูขึ้นมา 2 นิ้ว คุณโตจึงถามว่า “หมุยมึงทำอะไร” คุณหมุยตอบกลับมาว่า “กูกำลังจะนับดูว่า กูจะเจอผู้หญิงคนนี้อีกกี่ครั้ง” คุณโตได้ยินเข้าก็ตกใจ เพราะเขาไม่เห็นผู้หญิงอะไรทั้งนั้น แต่คุณโตก็คิดว่าคุณหมุยไม่ใช่คนโกหก หากเจออะไรก็จะพูดออกมาแบบนั้น ระหว่างนั้น คุณโตก็ขับรถไปด้วยความระแวง สลับกับมองนิ้วไปด้วย เพราะในใจก็หวังว่าคุณหมุยจะไม่ชูนิ้วขึ้นมาอีก ปรากฏว่าขับไปได้อีกนิดเดียว คุณหมุยก็ชูนิ้วที่แปดขึ้นมา คุณโตตกใจแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนไปสะดุดอยู่ที่กระจกข้างรถ นั่นทำให้คุณโตหัวใจแทบวาย! สิ่งที่เขาเห็นคือ มีผู้หญิงมายืนเกาะข้างรถและมีเด็กกอดคอมาด้วย แล้วก็เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทำให้คุณโตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้อ้าปากแล้วแลบลิ้นยาวมาด้วย! แล้วด้วยความที่เกาะอยู่ข้างรถ ลิ้นนั้นจึงโดนลมพัดสะบัดไป และในระหว่างที่คุณโตกำลังตกใจ ปรากฏว่ามีเท้าหนึ่งยื่นมาจากในรถแล้วก็ถีบไปที่หัวผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผู้หญิงคนนั้นหลุดกระเด็นหายจากรถไป!

       หลังจากนั้นเจอเหตุการณ์นั้น คุณโตตกใจจนปัสสาวะราด แต่ก็ต้องประคองสติ เพื่อขับรถต่อไป จนไปถึงที่ปั๊ม และตัดสินใจนอนที่ปั๊ม พอรุ่งเช้า คุณโตก็รีบขับไปที่วัดทันที เป็นวัดที่เขาถูกว่าจ้างให้ไปส่งของนั่นเอง พอขับไปถึง ก็ได้เจอพระรูปหนึ่งเป็นหลวงตาที่อายุมากแล้ว หลวงตาท่านก็เดินมาหา แล้วเอากุญแจขึ้นไปไขจนโซ่ที่คล้องหลุดออก จากนั้นก็เปิดลิ้นชัก สิ่งที่คุณโตเห็นหลังจากเปิดลิ้นชักคือ หลวงตาหยิบเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมา แล้วก็เอาคัมภีร์พระไตรปิฎกใส่พานที่ลูกศิษย์ถือเดินตามมาจนหมด แล้วเปิดลิ้นชักอีกอัน หยิบของออกมา สิ่งที่คุณโตเห็นคือ เหมือนเป็นเส้นผมคน หลวงตาก็หยิบใส่พาน ตัวคุณโตตกใจว่ามันคืออะไร หลวงตาที่เห็นคุณโตตกใจก็เลยบอกว่า “ไม่มีอะไร อันนี้คือหางช้าง” ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็นับถือ บางคนเอาไว้ป้องกันภัย หลังจากเอาของออกมาจากนาฬิกาแล้ว ก็ให้ลูกศิษย์ยกนาฬิกาลง ซึ่งใช้แค่ 2 คน ยกลงมาแบบสบาย ๆ แล้วใส่รถเข็นไว้ หลวงตาก็ให้คุณโตเข็นรถตามไป จนไปหยุดที่ริมน้ำ หลวงตาก็ให้คุณโตเอาของวางไว้ตรงนี้ แล้วก็สวดท่องคาถา หลังจากนั้นหลวงตาก็เอามือตบตู้ 3 ที แล้วพูดว่า “ไป ไป” แล้วลูกศิษย์ก็ยกรถเข็นเทตู้นาฬิกาทิ้งลงไปในแม่น้ำ คุณโตก็ได้แต่เกิดคำถามในใจว่า ทำไมถึงต้องขนตู้นาฬิกานี้มา 500 กิโลเมตรเพื่อมาทิ้งน้ำที่วัดนี้ด้วย แต่คุณโตก็ไม่ได้ถามเพราะว่าหมดหน้าที่ของคุณโตแล้ว หลังจากนั้นคุณโตก็กลับมาขึ้นรถ

       ในจังหวะที่กำลังถอยรถอยู่นั้น คนโบกรถก็พูดว่า “เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ อะไรวะเนี่ย” คุณโตลงจากรถไปดูตรงบริเวณล้อ ปรากฏว่า มีหัวตุ๊กตาทหารที่แตก แล้วหัวติดอยู่ในล้อ คุณโตจึงหยิบออกมาดูแล้วถามคุณหมุยว่า “หมุย อันนี้มันมายังไงวะ” คุณหมุยตอบกลับว่า “ก็มึงให้กู เอาหินไปรองรถตอนที่รถเสียจำได้ไหม กูหาหินไม่ได้ แต่กูเห็นไอ้ตุ๊กตานี่มันอยู่หน้าศาล กูก็เลยหยิบเอามารองรถ” คุณโตก็ไม่รู้จะด่าอะไรพูดได้แค่ว่า “โถ่ หมุย” เพราะรู้อยู่แล้วว่าคุณหมุยเป็นอย่างนั้น นั่นทำให้คุณโตเข้าใจว่าสิ่งที่เจอมาตลอดคือเขามาทวง คุณโตจึงขับกลับเอาไปคืน ระหว่างทางที่ไปคุณโตก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเจอนะ ไม่เอาแล้ว ปรากฏว่าพอจะถึงศาล ก็เจอผู้หญิงยืนอยู่หน้าศาล! แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาน่ากลัวแบบคราวก่อน ด้วยความที่ช็อกและกลัวว่าเขาจะโกรธหนัก เพราะเอาแค่หัวไปคืน คุณโตคิดว่าจะไปหาซื้อให้ใหม่ และพยายามขับรถต่อไป ระหว่างที่กำลังจะขับรถผ่านจุดนั้น คุณหมุยก็เอามือตีไหล่คุณโตแล้วพูดว่า “เฮ้ย ๆ มึงเห็นปะ!” แล้วคุณโตก็ขับรถต่อไปโดยไม่หันมาคุยกับคุณหมุยอีกเลยจนถึงบ้าน จนกระทั่งคืนหนึ่ง คุณโตฝันว่า ผู้หญิงคนนี้มาว่า “รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วยเอาของเล่นลูกเขามาคืนได้ไหม” คุณโตก็รับปากไปและไปหาซื้อตุ๊กตาไปคืนให้ที่เดิม และที่สำคัญคือไม่ไปกับคุณหมุยแล้ว..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย! คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป.. พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้! หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

11 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณหมิง’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกัน! โดยคุณหมิงเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยที่คุณหมิงยังเรียนอยู่ปี 1 คณะที่คุณหมิงกำลังศึกษาอยู่นั้น ได้เปิดสอนรายวิชาอนาโตมีหรือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะต้องเอาความรู้ทั้งหมดไปสอบ ‘แล็บกริ๊ง’ หรือการสอบดูชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลำไส้ และกระดูก โดยต้องแข่งกับเวลาที่จำกัด คุณหมิงจึงตัดสินใจอยู่ที่ห้องเรียนจนดึก เพื่อต้องการศึกษาด้วยตนเองนอกรอบ ภายในห้องเรียนนั้น จะพบกับร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งอาจารย์ใหญ่บางท่านที่ผ่านการดองมานาน หรือผ่านมือลูกศิษย์มาหลายคน ยิ่งเวลานานเข้า สภาพศพก็ยิ่งเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา อาจารย์ใหญ่บางท่านก็อาจจะถูกตัดชิ้นเนื้อบางส่วนออกไป หรือมีการเลาะเส้นเลือดออก เพื่อศึกษาอวัยวะ คุณหมิงใช้เวลาในห้องเรียนนี้มาถึงช่วงตีหนึ่งกว่า ความมืดทำให้การมองเห็นยากขึ้น คุณหมิงต้องใช้ความพยายามที่จะเพ่งดูเส้นเลือดขนาดเล็ก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกดดันและความเครียด คุณหมิงจึงเริ่มสติหลุด ด้วยความเหนื่อยจึงบ่นกับตัวเองว่า “โอ้ย ! อะไรเนี่ย… จะจำได้ไหม สอบไม่ได้แน่เลย” และยังปากพล่อยออกไปอีกว่า “ท่านคะ มาสอนหนูหน่อย หนูจำอะไรไม่ได้” ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี คุณหมิงไม่สามารถใช้โทรศัพท์บันทึกภาพหรือวิดีโอได้ คุณหมิงทำได้เพียงจดจำทุกอย่างเท่าที่จะจำได้ จากนั้นไม่นาน คุณหมิงก็ตัดสินใจกลับหอพัก หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ คุณหมิงก็พร้อมนอน ระหว่างที่กำลังจะหลับสนิท คุณหมิงก็เห็นภาพในห้วงนิมิต เป็นภาพคล้ายร่างของอาจารย์ใหญ่ มายืนจ้องเขม็งสายตามองตรงมาที่คุณหมิง โดยร่างมีสภาพเปลือยเปล่าเหมือนศพ สักพักภาพก็ค่อย ๆ ใกล้ขึ้น เป็นภาพกล้ามเนื้อตรงหน้าอก ซึ่งอาจารย์ใหญ่ท่านก็กำลังยืนฉีกและแหวกหน้าอกของตนโชว์ต่อหน้าคุณหมิง! ท่านค่อย ๆ ฉีก ค่อย ๆ แหวก ทำให้หนังด้านนอกหลุดออก จนสามารถเห็นกล้ามเนื้อด้านในชัดเจนมากขึ้น ซึ่งภาพตรงเข้ามาหาคุณหมิงเรื่อย ๆ! ความรู้สึกของคุณหมิงตอนนั้น คือ ช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ตกใจสุดขีด แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก กลัวจนตัวสั่น คุณหมิงจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง ลงมานั่งยกมือไหว้ พูดขอขมาซ้ำไปซ้ำมาว่า “หนูขอโทษ ไม่ต้องมาสอนหนูแล้ว หนูรับไม่ไหว… หนูขอโทษค่ะ” หลังจากนั้นไม่นานภาพก็หายไป แล้วคุณหมิงก็ไม่เห็นภาพอาจารย์ใหญ่อีกเลย ซึ่งพอคุณหมิงดึงสติกลับมาได้ จึงมานั่งคิดว่า “ถ้าหากตนทนต่อตอนนั้น มีหวังอาจารย์ใหญ่ก็คงจะสอนต่อจนหมดทั้งร่างแน่นอน”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

12 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘โนอาร์ ล่าท้าผี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นางรำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โนอาร์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจอมาก่อนที่จะทำล่าท้าผี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนวัด ช่วงประมาณ ม.2 - ม.3 ซึ่งรั้วโรงเรียนกับรั้ววัดคือรั้วเดียวกัน แต่ฝั่งรั้วของวัดจะมีรูปผู้ที่เสียชีวิตติดอยู่รอบรั้ว ส่วนฝั่งโรงเรียนไม่มี โนอาร์เป็นเด็กกิจกรรมที่สนิทกับครูนาฏศิลป์ แม้ว่าตนจะไม่ได้เป็นเด็กนาฏศิลป์ แต่ก็มักจะเข้าไปช่วยงานหากชมรมนาฏศิลป์มีงานแสดงทั้งข้างนอกและข้างในโรงเรียน เช่น ยกของ หรือช่วยจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในตอนนั้น โนอาร์มีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่ 2 คน ในขณะนั้นทางโรงเรียนได้จัดงานประจำสัปดาห์ เป็นงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีประมาณ 3 - 5 วัน ในคืนแรก โนอาร์ได้รับหน้าที่จัดอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที เมื่องานวันแรกจบ คนก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงโนอาร์กับเพื่อนอีก 2 คนที่อยู่เก็บของ ระหว่างที่โนอาร์กำลังเก็บของอยู่บนเวที อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง เหมือนเสียงดนตรีไทยที่ดังมาจากห้องนาฏศิลป์ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอยู่ในช่วงวันงาน และคิดว่าคงจะเป็นพวกนางรำมาซ้อมตามปกติ ในตอนนั้นก็ได้ยินทั้งเสียงเครื่องดนตรีไทย มีทั้ง เสียงระนาด เสียงปี่ เสียงฉิ่ง ครบทุกอย่างบรรเลงเป็นเพลง โนอาร์ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร จากนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็พูดว่า “โชว์ของนาฏศิลป์วันนี้เขาโชว์จบไปแล้วนะ แล้วทำไมเขาถึงยังซ้อมอยู่” โนอาร์ตอบไปตามประสาเด็กห้าวที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีว่า “เขาก็อาจจะซ้อมงานอื่นหรือเปล่า?” แล้วพูดต่อว่า “นี่มัน 5 ทุ่มแล้วนะ มึงอย่าไปคิดมาก รีบเก็บของให้เสร็จจะได้กลับบ้าน” ระหว่างที่คุยกับเพื่อนอยู่นั้น เสียงดนตรีไทยจากห้องนาฏศิลป์ก็ยังคงบรรเลงอยู่ตลอด โนอาร์กับเพื่อนก็รีบเก็บของเอาไว้หลังเวที เพราะงานวันที่ 2 ก็ต้องนำออกมาจัดใหม่ หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน ถัดมาคืนที่ 2 โนอาร์รองานจบเพื่อที่จะเก็บของ โนอาร์คิดในใจว่า ‘หากได้ยินเสียงหรือว่ายังมีคนอยู่ในห้องนาฏศิลป์อีก จะไปแอบดู’ จากนั้นก็บอกกับเพื่อนไปว่า “เดี๋ยวพวกเรา 3 คน จะเข้าไปดูหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้ว” เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและตอบตกลง เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม คนก็เริ่มทยอยกลับ เมื่อโชว์สุดท้ายจบ โนอาร์กับเพื่อนก็เก็บของเหมือนเมื่อวาน ระหว่างที่เก็บของก็ได้ยินเสียงมาจากห้องนาฏศิลป์อีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเครื่องดนตรีแบบวันแรก แต่เป็นเสียง ‘เอื้อน’ ที่ถูกเปล่งออกมาจากผู้หญิง หลังจากได้ยินเสียงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชาย โนอาร์คิดในใจว่า ‘ขอไปดูหน่อยดีกว่า เพราะเป็นนางรำด้วยคงจะสวยน่าดู’ จากนั้นก็เอ่ยปากชวนเพื่อนว่า “เห้ยพวกมึง เสียงผู้หญิงว่ะ” จากนั้นโนอาร์และเพื่อนก็รีบเก็บของ แล้วรีบเดินไปตามเสียงเอื้อนที่ได้ยิน ซึ่งต้นเสียงมากจากห้องนาฏศิลป์ ห้องนาฏศิลป์กับเวทีอยู่ไม่ไกล ห่างกันแค่ช่วงตึกเท่านั้น ลักษณะประตูของห้องนาฏศิลป์จะเป็นแบบบานเลื่อน ฟิล์มกระจกห้องเป็นแบบทึบ หากจะดูก็ต้องเอาหน้าทาบกระจกเพื่อที่จะได้เห็นข้างใน ภายในห้องนาฏศิลป์ก็จะมี ชุดไทย อุปกรณ์แต่งหน้าแต่งตัว เครื่องดนตรีไทย เศียรพ่อแก่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ทั่วไป เมื่อเดินมาถึง โนอาร์ก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในห้องไม่ได้เปิดไฟ ถ้ามีคนมาซ้อมอย่างน้อยก็ต้องเปิดไฟ จะได้ซ้อมแบบสะดวก แต่ในห้องนาฏศิลป์ตอนนั้นกลับมืดสนิท ที่สำคัญคือยังมีเสียงเอื้อนดังออกมาจากห้อง โนอาร์ก็บอกกับเพื่อนว่า “เขาอาจจะซ้อมแบบไม่เปิดไฟหรือเปล่า?” เขายังคิดในแง่บวก แล้วก็บอกกับเพื่อนต่อว่า “เห้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้เอง” ตอนนั้นเอง โนอาร์และเพื่อนยังยืนอยู่ที่หน้าห้องนาฏศิลป์ เสียงเอื้อนยังดังอยู่ แต่มองไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดมาก โนอาร์บอกกับเพื่อนอีกว่า “เห้ย เราแอบดูดีกว่า” พูดจบ โนอาร์และเพื่อนก็เอาหน้าทาบไปตรงกระจกเพื่อดู ก็ได้เห็นเหมือนเป็นผู้หญิง นั่งท่าเทพธิดาหันหลังไม่เห็นหน้า เธอมีผมยาวเกือบจรดพื้น ชุดที่ใส่ท่อนบนเป็นเสื้อนักเรียน ส่วนท่อนล่างจะนุ่งเป็นโจงกระเบนสีแดง แล้วเธอก็ทำท่ารำ พร้อมกับเปล่งเสียงเอื้อนออกมา ผู้หญิงคนนั้นทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ โนอาร์แปลกใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่เปิดไฟ โนอาร์ส่งซิกกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวกูจะเลื่อนประตูนะ แล้วมึงก็เอามือเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟ” เนื่องจากสวิตช์ไฟอยู่ข้างประตูสามารถเอื้อมมือเข้าไปเปิดได้ เธอคนนั้นยังคงรำแล้วเอื้อนเสียงอยู่ โนอาร์มองไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ก็มีจังหวะที่เธอกระแทกเสียงที่เปล่งออกมาให้ดังขึ้นกว่าเดิม จังหวะนั้นเธอก็ค่อย ๆ หันหน้ามา แต่โนอาร์กับเพื่อนก็ยังไม่เห็นหน้าของเธออยู่ดี เห็นแค่เสี้ยวหูกับมือที่รำอยู่เท่านั้น พอเห็นแบบนั้น โนอาร์ก็ส่งสัญญาณ 1 2 3 พอถึง 3 โนอาร์ก็เลื่อนประตู เพื่อนก็เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟตามที่วางแผนกันเอาไว้ พอเปิดไฟจนห้องสว่าง แต่กลับไม่พบใครนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั้นเลยแม้แต่คนเดียว! พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้เปิดสวิตช์ไฟและไม่ได้เปิดประตูก็ช็อค เพราะเพื่อนเห็นตอนจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียง แล้วเธอกำลังหันหน้ามา เพื่อนคนนี้เห็นว่าเธอคนนี้ไม่มีหน้า ในจังหวะที่เปิดไฟพอดี พอเห็นแบบนั้นก็ยืนค้างไปเลย แต่โนอาร์กับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนเปิดสวิตช์ไฟก็รีบวิ่งหนีออกไปทันที! เช้าวันต่อมา ก็เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ไม่นานเรื่องนี้ก็หลุดไปถึงหูครูนาฏศิลป์ ครูก็บอกว่า“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากด้านนอก เหมือนประมาณว่า เขาเป็นเด็กนาฏศิลป์เนี่ยแหล่ะ แล้วเขาใส่เสื้อนักเรียน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ตามที่เห็นเลย แล้วเขาก็ไปเสียชีวิตด้านนอกเพราะอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็มีการทำบุญห้องนาฏศิลป์กันยกใหญ่เลย คนในโรงเรียนก็เริ่มกลัวเริ่มหลอนเพราะมันติดวัดด้วย” หลังจากคืนนั้นก็ทำให้โนอาร์และเพื่อน ๆ ที่ชอบแอ๊วสาวหลอนไปเลย ไม่กล้าไปแอบดูสาวที่ไหนอีกแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

06 มิ.ย. 2023

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

คุณ ‘แจ็ค The Ghost Radio’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 พฤษภาคม 2566) พร้อมกับเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกตามเคย ครั้งนี้พี่แจ็คได้เตรียมเรื่องเล่าชวนพิศวงของหน่วยรบพิเศษขณะปฏิบัติภารกิจท่ามกลางป่าลึกมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ 'ดีเจเจม' ได้ฟังกัน เรื่องนี้มีชื่อว่า “หมู่บ้านร้างซากไร่” ไปติดตามกันได้เลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ 30 ปีก่อน ‘ป๋าแจ็ค’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ ได้รับมอบหมายจากครูฝึกให้นำทีมของตนไปสอบปฏิบัติภาคกลางคืน โดยพวกเขาต้องเดินทางไกลจากจุด A ไปจุด B ตามที่ครูฝึกกำหนดไว้ก่อนรุ่งสาง โดยจะมีครูฝึกแอบซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ และมีกฎสำคัญหนึ่งข้อคือ ห้ามถูกครูฝึกจับได้! ขณะที่กองกำลังของป๋าแจ็ค (มีอยู่กันประมาณ 7-8 คน) เดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปตาม เส้นทางอย่างเงียบเชียบ พวกเขาก็เจอกับกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อส่งลูกน้องไปตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่ากระท่อมหลังนี้ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการ หรือเป็นครูฝึกปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน ป๋าแจ็คจึง เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กระท่อมเพื่อถามทาง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้มีผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน กำลังนั่งพักผ่อน ต้มเหล้ากินกันอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเล่าเรื่องราวการทำภารกิจของตนให้ชาวบ้านฟัง คุณลุงคนหนึ่งถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ้! จะไปทางนั้นเลยหรอ ไปทางอื่นไหม?” ขณะที่ชาวบ้านอีก 2 คนก็แอบซุบซิบกันเป็นภาษาที่ป๋าแจ็คฟังไม่รู้เรื่อง ป๋าแจ็คยังคงยืนยันที่จะเดินทางตามเส้นทางเดิมที่ครูฝึกกำหนดเอาไว้ เพราะเป็นทางที่เร็วที่สุด แม้ชาวบ้านจะแนะว่าให้หาเครื่องรางของขลังพกติดตัวไปด้วย แต่หัวหน้าหน่วยรบพิเศษก็ตอบชาวบ้านไปว่าตนไม่เคยกลัวหรือเชื่อเรื่องผีสางใด ๆ และแล้ว...นายทหารทั้งหลายจึงจำใจออกเดินทางไปตามเส้นทางเดิม โดยปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาช่วยคุ้มกัน เหล่าทหารจากกองกำลังนี้ต้องลัดเลาะไปตามป่าไม้อย่างยากลำบาก เพราะต้องช่วยกันค่อย ๆ ตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีเสียงใดดังไปถึงหูครูฝึก เมื่อไปได้ครึ่งทาง ป๋าแจ็คก็สังเกตเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้า คล้ายแสงไฟจากบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกน้องไปตรวจสอบว่าเป็นครูฝึกแอบซุ่มอยู่รึเปล่า ผ่านไปประมาณ 10 นาที ลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับบอกว่านั่นคือชาวบ้านจริง ๆ ป๋าแจ็คจึงนำทีมเพื่อที่จะย่องผ่านหมู่บ้านนี้ให้เงียบมากที่สุด เมื่อเดินมาจนสุดแนวป่าใกล้หมู่บ้าน ก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นมีไร่นาโล่ง ๆ เหมือนไม่เคยทำการเกษตรมานาน จากนั้นก็เห็นเป็นถนนที่แทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งาน ไม่มีรอยขี้วัว (ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการเกษตร) แถมยังมีต้นไม้รกร้างที่โค้งงุ้มจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว แต่ป๋าแจ็คและทีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วเดินต่อไปเพื่อให้ภารกิจเสร็จสิ้น เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน บ้านหลังแรกที่เจอเป็นบ้านลักษณะยกสูงมีใต้ถุนโล่งด้านบนเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังถือตะเกียงอยู่ พร้อมหมาอีกหนึ่งตัว ทั้งสามยืนตรงแข็งทื่อคล้ายรูปปั้น เมื่อป๋าแจ็คเหลือบมองไปด้านบน ผู้หญิงด้านบนบ้านก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับมา ใบหน้าสีขาวซีดจับจ้องไปที่ป๋าแจ็คจนน่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามป๋าแจ็คตัดสินใจเดินทางต่อไป ตามด้วยลูกน้อง คนแล้ว คนเล่า ผ่านบ้านอีกหลายหลัง และก็เช่นเดียวกันกับบ้านหลังแรก นั่นคือเต็มไปด้วยชาวบ้านหน้าขาวซีดจำนวนมากออกมาให้กำลังใจ ป๋าแจ็คได้ยินเสียงลูกน้องแอบซุบซิบกันระหว่างทางเดิน แต่ก็ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตนสติแตก ป๋าแจ็คและลูกน้องเดินมาถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจตอนประมาณตีห้า ทุกคนพากันไปเลี้ยงกาแฟและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งในลูกน้องของป๋าแจ็ค เล่าว่าหลังจากเดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป แล้วหันหลังกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้นอีกรอบ กลับไม่พบผู้คนหรือร่องรอยของแสงตะเกียงใด ๆ เลย เมื่อพนักงานร้านกาแฟซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คนมาได้ยินเรื่องอันแสนพิศวงของป๋าแจ็คในครั้งนี้ พนักงานก็เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่กองหน่วยรบพิเศษเดินทางผ่านเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ เคยมีผู้คนอาศัยอยู่จริง แต่ในปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคห่าแล้วตายไป 5 หลัง เลยไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป.. เพื่อทวีคูณความพิศวงไปอีกขั้น หลังจากที่หน่วยของป๋าแจ็คออกมาจากร้านกาแฟกันแล้ว มีลูกน้องคนหนึ่งของป๋าแจ็คเดินมาบอกเขาว่า พนักงานในร้านกาแฟซึ่งคือ ผู้ชาย 2 คนและหญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คน... เป็นพวกเดียวกันกับที่เขาเจอที่กระท่อมตอนเริ่มทำภารกิจช่วงแรก! แต่ไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะเดินนำป๋าแจ็คกับทีมของเขาไปได้ แล้วพวกเขามาเปิดร้านกาแฟรอป๋าแจ็คอยู่ที่ปลายทางได้ไงกัน? เรื่องของป๋าแจ็คและกองกำลังรบพิเศษของเขาถูกบอกเล่าอยู่ในหน่วยอยู่นานนับปี เป็นที่น่าสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า อะไรคือสาเหตุที่วิญญาณเหล่าปรากฎตัวขึ้น มาเพื่อส่งเหล่าทหารงั้นหรือ? พวกของป๋าแจ็คหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งรึเปล่า? อะไรที่เชื่อได้บ้างว่าเป็นความจริงเพราะแม้แต่กาแฟที่เหล่าทหารกินกันในตอนสุดท้าย กลับถูกพบในภายหลังว่าไม่มีรสชาติใด ๆ เลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1