ร้อนนั้น.. เพื่อนผมตาย! เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่กำลังฝึกทหารในค่าย อากาศร้อนจนทำให้เพื่อนคนนึงเสียชีวิตกะทันหัน แล้วหลังจากนั้น ทุกคนในค่ายก็เจอเรื่องสยองชวนขนหัวลุกอยู่ตลอดเวลา!

อังคารคลุมโปง RECAP

ร้อนนั้น.. เพื่อนผมตาย! เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่กำลังฝึกทหารในค่าย อากาศร้อนจนทำให้เพื่อนคนนึงเสียชีวิตกะทันหัน แล้วหลังจากนั้น ทุกคนในค่ายก็เจอเรื่องสยองชวนขนหัวลุกอยู่ตลอดเวลา!

12 ต.ค. 2023

         หลังจากเพื่อนที่เคยฝึกเป็นนักเรียนทหารด้วยกันเสียชีวิตแบบกะทันหัน ‘คุณนิว’ ก็ต้องพบเจอเรื่องหลอนขนหัวลุกอยู่ที่ค่ายแห่งนั้นเป็นประจำ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ชุดเฝ้าตรวจ’ เรื่องเล่าจากทางบ้านในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (10 ตุลาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนและขนหัวลุกขนาดไหน ตามไปอ่านพร้อมกันเลย!

         ย้อนกลับในช่วงปี 2012 สมัยที่คุณนิวยังเป็นนักเรียนทหาร ในช่วงฤดูร้อนของปีนั้น คุณนิวได้มีโอกาสไปฝึกในค่ายทหารแห่งหนึ่ง วันนั้นครูฝึกก็ได้นัดนักเรียนทหารทั้งหมดออกฝึกตามปกติ แต่ด้วยอากาศค่อนข้างร้อน บวกกับเครื่องแต่งกายทหารที่ค่อนข้างหนักและร้อนมาก ทำให้นักเรียนที่มาฝึกในวันนั้นเกิดอาการเป็นลมไปหลายคน รวมถึงตัวคุณนิวเองก็เป็นลมด้วยเช่นเดียวกัน

         ตัวคุณนิวเล่าว่า ในระหว่างที่เขาเป็นลมหมดสติอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเพื่อนนักเรียนคนนึง นามสมมุติว่า ‘สิงห์’ ก็เกิดอาการเป็นลมชักและหมดสติไป ไม่นานหลังจากที่คุณนิวฟื้นขึ้นมามีสติอีกครั้ง ก็ได้ทราบข่าวที่ฟังแล้วสะเทือนจิตใจ นั่นก็คือคุณสิงห์ได้เสียชีวิตไปในระหว่างที่ทำการรักษาที่โรงพยาบาล ด้วยอาการลมแดด หรือ Heatstroke โรคอันตรายที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูร้อน

         ในคืนนั้น คุณนิวและเพื่อนนักเรียนหารคนอื่นยังคงประจำการที่ค่ายทหารตามปกติ แต่ในคืนนั้น ระหว่างที่คุณนิวประจำการในจุดที่เขาต้องรับผิดชอบ จู่ ๆ ก็มีหมอทหารประจำค่ายเดินมาถามคุณนิวว่า “มีนักเรียนหทารประจำการที่ป่ารกร้างด้วยเหรอ” คุณนิวตอบกับหมอคนนั้นไปว่า “ไม่มีนะพี่ เขามีแต่ตามอาคารครับ” จากนั้นหมอก็พูดขึ้นว่า “เอาแล้วเพื่อนมึง ไปวันแรกก็เล่นกูซะแล้ว” แล้วก็เดินจากไป คุณนิวไม่ได้เอะใจอะไรมาก และปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามปกติ

         2 ปีต่อมา ในช่วงปี 2014 หลังจากที่คุณนิวได้จบหลักสูตรนักเรียนทหารแล้ว คุณนิวก็ได้บรรจุเป็นทหารเต็มตัว แต่ด้วยความบังเอิญ คุณนิวก็ได้ย้อนกลับมาประจำตำแหน่งงานที่ค่ายทหารแห่งนี้อีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในตำแหน่งชุดเฝ้าตรวจ  คุณนิวต้องอาศัยอยู่กับพลทหารท่านอื่นด้วย ในวันหยุดวันหนึ่ง ขณะที่คุณนิวนั่งตกปลาด้านหลังที่พักอยู่นั้น ก็มีพลทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาทักคุณนิวด้วยอาการแปลกใจ “เอ้าจ่า จ่าอยู่ตรงนี้เหรอ ผมเห็นจ่าใส่ชุดทหารอยู่หน้าห้อง” ด้วยความสงสัย คุณนิวจึงตอบกลับทันทีว่า “บ้า ไม่มีงาน จะไปใส่ชุดทหารทำไม” เหตุการณ์แบบนี้มักจะวนเวียนมาให้คุณนิวและพลทหารคนอื่นเจออยู่เรื่อย ๆ จึงไม่ได้เอะใจอะไรมากมาย คิดเพียงว่าที่นี่มีคนวนเวียนมาเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง

         อยู่มาวันหนึ่ง คุณนิวก็เริ่มเอะใจและคิดว่าสิ่งที่เจอคือเพื่อนของเขาที่เสียไป เพราะทุกวันพระ เขาจะได้ยินเสียงแปลก ๆ เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังหายใจกระเส่าเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย! ซึ่งเสียงนั้นก็คล้ายกับเสียงของคุณสิงห์เพื่อนของคุณนิวในสมัยฝึกนักเรียนทหารด้วยกัน เหตุการณ์นี้ทำให้คุณนิวคิดว่านั่นคือเพื่อนของเขาแน่ ๆ แม้ในช่วงแรก ๆ คุณนิวจะไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอเจอบ่อย ๆ คุณนิวจึงพูดเล่น ๆ ไปว่า “สิงห์ มึงมาหลอกกูทุกวันพระเลยอะ ไม่เบื่อบ้างเหรอ นู้นอะ พี่เขามาฝึก ข้ามไปหลอกเขาบ้างไป” วันรุ่งขึ้นก็มีบางอย่างที่ทำคุณนิวถึงกับต้องขนหัวลุก! หลังจากที่เขาบอกให้คุณสิงห์ไปหลอกคนอื่น พลทหารคนหนึ่งก็ได้เจอดีในคืนนั้นเลย! พลทหารคนนี้เล่าว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง สูง หน้าตาคมเข้ม ลักษณะคล้ายคลึงกับคนทางภาคใต้ ซึ่งตรงกับบุคลิกของคุณสิงห์ทุกประการ เขาได้เล่าต่อว่าผู้ชายคนนี้มารายงานตัวตามที่คุณนิวได้บอกไว้ พร้อมทิ้งท้ายประโยคว่าคุณนิวบอกให้มา! นั่นยิ่งทำให้คุณนิวเชื่ออย่างสุดใจว่าเพื่อนของเขายังตามหลอกหลอนวนเวียนอยู่ในค่ายนี้ไม่ไปไหน!

         เวลาผ่านมาจนเข้าสู่ปี 2019 คุณนิวก็ได้วนกลับมาในค่ายทหารแห่งนี้อีกอีกครั้ง เหตุการณ์เดิม ๆ ก็ยังคงวนเวียนในชีวิตเขาอยู่ตลอดเวลา คืนหนึ่ง ขณะที่คุณนิวกำลังเข้าผลัดอยู่นั้น ก็เกิดอาการง่วงเล็กน้อย จึงตัดสินใจผูกเปลนอนบริเวณหน้าศาลพระภูมิ และคุณนิวก็เปิดถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลให้เพื่อนพลทหารคนอื่น ๆ ดูไปด้วย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับไป ในระหว่างที่คุณนิวหลับ ก็ฝันว่ามีใครบางคนในฝันเดินมาจากบริเวณที่ตั้งของศาล แล้วเดินตรงที่คุณนิวนอนพักอยู่ จากนั้นก็สะกิดหลังคุณนิวพร้อมกับพูดว่า “เห้ยนิว! ดูไรอ่ะ ดูด้วยดิเพื่อน” ซึ่งคนนั้นมีลักษณะคล้ายกับคุณสิงห์มาก แต่ดูโตกว่าสมัย 7 ปีที่แล้ว จากนั้นคุณนิวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

         ต่อมาในช่วงที่โควิดระบาดหนัก ๆ สถานที่ฝึกแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโรงพยาบาลสนามแทน ซึ่งคุณนิวก็ได้รับมอบหมายให้มาประจำการที่โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ คุณนิวเล่าว่าเขาได้ทำผลัดกลางคืนช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. – 08.00 น. ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น ก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน จึงงีบไปสักพัก จู่ ๆ ในฝันก็รู้สึกว่ามีเสียงบทสวดของใครสักคนดังขึ้นมา จากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกว่าร่างกายขยับไม่ได้ จนต้องดิ้นไปดิ้นมา ในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติ

         เวลาล่วงเลยมาประมาณ 1 อาทิตย์ คุณนิวก็ได้มาประจำตำแหน่งในผลัดนี้อีกครั้ง ซึ่งเวลาเข้าประจำการก็เป็นช่วงเวลาเดิมที่เคยทำ ในคืนนั้น คุณนิวก็เริ่มรู้สึกง่วงอีกครั้ง แต่ด้วยครั้งที่แล้วเขาเจอผีอำเขาจึงคิดว่าถ้าเขาเผลอนอนหลับไป เขาต้องเจอกับสถานการณ์เดิมอีกแน่ คุณนิวจึงตัดสินใจลากเก้าอี้มาพิงประตูแล้วนอน ไม่นานหลังจากที่หลับไป คุณนิวก็รู้สึกว่าร่างกายขยับไม่ได้อีกครั้ง และเสียงที่แทรกเข้ามาในหัวเหมือนกับมีคนกลุ่มใหญ่กำลังคุยกันเสียงดังจนทำให้คุณนิวรู้สึกกลัวและไม่กล้าที่จะเข้าเวรกลางคืนที่นี่อีกเลย

         จากเรื่องราวทั้งหมดที่คุณนิวได้พบเจอ ทำให้คุณนิวเชื่อเรื่องลี้ลับทั้งหมด และในทุก ๆ ปี คุณนิวและเพื่อน ๆ จะรวมตัวกันเพื่อมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณสิงห์ เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้โดยเร็ววัน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

28 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

(Trigger Warning อาจมีเนื้อหาที่แสดงถึงพฤติกรรมรุนแรงทางเพศ เกี่ยวข้องกับศพ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึก) ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เตียงนอนตาย’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณตั้นเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณอัญญะ’ เรื่องเริ่มต้นที่โรงพยาบาลที่คุณอัญญะทำงานอยู่ ที่แห่งนี้จะมีเตียงหนึ่งที่เป็นตำนาน ใน 4 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 48 ศพ เป็นตำนานที่ลือกันว่าผู้ป่วยคนไหนก็ตามที่มานอนเตียงนี้จะไม่รอด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มจากมีเวรเปลอยู่ 2 คน ที่จ้างมาทำงานใหม่ชื่อ ‘เสก’ กับ ‘อเนก’ ซึ่งตัวเสกเป็นคนไม่กลัวผี หน้าที่ของเสกคือการเข็นคนไปส่งตามที่ต่าง ๆ แต่อเนกเป็นคนกลัวผี จึงขอทำหน้าที่เป็นเคสย้ายผู้ป่วยไปตามห้องต่าง ๆ วันหนึ่ง อเนกเลิกงานและกำลังรอเสกที่เป็นเพื่อนสนิทเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งดื่มกาแฟรอ ก็มีคนโหวกเหวกโวยวายว่ามีอุบัติเหตุเคสใหญ่เกิดขึ้น เสกจึงรีบไปบอกอเนกว่าต้องไปช่วย ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นคือมีรถพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยชนเข้ากับรถของชาวบ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเกิน 10 ราย ผู้ป่วยที่อยู่บนรถพยาบาลก็เสียชีวิต พยาบาลก็ได้รับบาดเจ็บ แต่รถชาวบ้านมีผู้เสียชีวิตหลายราย เสกก็ไปช่วยที่ห้องฉุกเฉินอย่างที่เคยทำ แต่อเนกที่ไม่เคยทำก็ไปหลบยืนอยู่ที่มุมห้อง หลบคนนู้นทีคนนี้ทีจนไปชนเตียงข้างหลัง คนอื่นเริ่มเห็นว่าอเนกเกะกะ เสกจึงบอกให้อเนกไปเอาใบส่งตัว แล้วเอาศพที่อยู่ข้างหลังไปส่งห้อง พออเนกได้ยินก็สะดุ้งโหยง เพราะเตียงที่อยู่ข้างหลังคือศพ อเนกจึงไปรับใบส่งตัวและเข็นศพไปตามทาง ปกติโรงพยาบาลจะเปิดเพลงบรรเลงให้คนฟัง แต่ระหว่างที่อเนกเข็นนั้น จู่ ๆ ก็มีจังหวะที่เพลงค่อย ๆ เบาลงแล้วก็ดังขึ้นเป็นเพลงปี่พาทย์ แล้วไฟก็หรี่แสงสว่างลง ระหว่างที่เข็นไปก็ได้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ อเนกคิดในใจว่าคนหรือผี แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเป็นคน ขณะที่อเนกกำลังเดินผ่านไป ลุงก็ทักว่า “หนุ่ม ห้องรับศพไปทางไหน” ตัวอเนกที่กำลังไปห้องนั้นจึงตอบลุงว่า “ผมกำลังไป เดินไปด้วยกันละกัน” ลุงก็เดินตามหลังมา ปรากฎว่าระหว่างนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินสวนออกมา ลุงก็ทักขึ้นมาว่า “อ้าวแม้นจะไปไหน” ป้าคนนี้เลยตอบว่า “เจอก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจอสงสัยคงเร่ร่อนตาย” ตอนนั้นตัวอเนกก็รู้สึกว่าลุงกับป้าทักกันแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าคงมีอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็มี 3 คนที่กำลังไปห้องส่งศพด้วยกัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไป ลุงกับป้าก็คุยกันต่อประมาณว่า ลูกกับหลานจะทำอย่างไร? จะอยู่ได้ไหม? เมื่อไปถึงหน้าห้องส่งศพ อเนกก็ชี้ไปว่าที่นี่ห้องส่องศพ และอเนกก็ไปส่งเอกสารต่าง ๆ จากนั้นอเนกก็เข็นศพเข้าไป พอเข็นเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งพี่คนนี้ชื่อ ‘พี่ยับ’ เป็นรุ่นใหญ่ในโรงพยาบาล พอพี่ยับรับศพไปก็พูดว่า “อ้าว ลุงวิเชียรมาแล้วหรอ ป้าแม้นแกรออยู่จะได้ไปด้วยกันเลย” แล้วตัวพี่ยับก็เปิดหน้าศพ อเนกพูดอะไรไม่ออก จนเดินถอยไปชนกับเตียงหนึ่งและกำลังจะล้มลงไปนอน พี่ยับบอกว่า “หยุด ถ้านอนมึงตายนะ เพราะว่าเตียงนี้ตายมาแล้ว 48 ศพ” และพี่ยับยังบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเตียงนี้พรุ่งนี้ให้มาหา อเนกจึงกลับมาหา พี่ยับก็เล่าให้อเนกฟังว่าเตียงนี้ก่อนที่จะมีคนตาย 48 ศพ เคยมีหนึ่งเคสเป็นผู้หญิงชื่อ ‘น้องเน’ อายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนสวยของอำเภอนี้ ปรากฎว่าวันหนึ่งเธอนอนแล้วเธอก็หลับไม่ตื่น จึงเลยกลายเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมถึงเสียชีวิตเช่นนี้ คุณหมอพยายามชันสูตรหาว่าเป็นอะไร แล้วก็แจ้งกับทางญาติว่าขอเอาศพไว้ที่นี่ก่อนเพื่อหาสาเหตุ หลังจากรับศพมาก็มานอนปกติ แต่แปลกมากที่ศพนี้เป็นศพที่มารอชันสูตรที่สวยมาก สภาพเหมือนผู้หญิงสวยที่กำลังนอนหลับ ในวันแรกที่ศพมาถึง ช่วงเปลี่ยนเวรของคนเฝ้าศพ คนที่เข้ามาเฝ้าต่อรู้สึกว่าสภาพห้องเก็บศพนั้นผิดปกติ คือห้องกระจัดกระจาย และเตียงน้องเนอยู่ไม่ตรงกับตำแหน่งเดิม จนสืบสาวเรื่องไปเจอกล้องวงจรปิดและรปภ.หน้าห้องเก็บศพก็หายไป เมื่อเปิดภาพในกล้องวงจรปิดก็พบว่ามีการข่มขืนศพ และทุกคนก็ตามหาตัวรปภ.แต่ไม่เจอ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้รับแจ้งว่าเจอรปภ.คนนี้แล้ว แต่เจอที่ห้องฉุกเฉิน เพราะมีคนไปพบศพรปภ.ในคืนนั้นซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตคือจมน้ำ แต่ที่แปลกคือในมือของรปภ.กำสายชื่อศพของน้องเนไว้ด้วย เรื่องนี้ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวพี่ยับต้องไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณ แล้วกลับบ้านไม่ไหวเพราะต้องเข้าเวร แต่ไม่สามารถเข้าด้านหน้าได้เพราะมีกล้องวงจารปิดที่จะเห็นสภาพที่เมาของพี่ยับ จึงเลือกที่จะเข้าทางหน้าต่างบานเลื่อนที่หลบมุมได้ แต่หน้าต่างของห้องเก็บศพไม่ได้ใช้งานบ่อยก็มักจะมีเสียงดัง พอพี่ยับเปิดเข้าไปก็ดันได้ยินเสียงกุกกักข้างใน จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเข้าไปก็เจอบุรุษพยาบาลคนหนึ่งชื่อ ‘เต้’ เอาเสื้อพาดบ่าเหมือนกำลังแต่งตัว พี่ยับถามว่ามาทำอะไร เต้จึงบอกว่ามาดูเอกสารว่าศพเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วก็รีบออกไป พอเต้ออกไปพี่ยับก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เจอคือผ้าของศพของน้องเนถูกถลกขึ้นและเปลือย ตัวพี่ยับเองก็ไม่กล้าบอกใครเพราะว่ามันจะกระทบต่อตัวเอง แต่เรื่องก็แดงขึ้น เพราะหลังจากนั้น 2 วัน มีคนบอกกันต่อ ๆ ว่าเต้ตาย โดยมีคนบอกว่าเห็นเต้กำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง แล้วพยายามจะข้ามถนนและโดนรถกระบะชนเสียชีวิตคาที่ ซึ่งศพของเต้คือศพที่ 2 จากการที่มีคนมาทำแบบนี้กับน้องเน หลังจากนั้นเหมือนกับวิญญาณของน้องเนถูกทำร้าย คนในโรงพยาบาลจะเริ่มเห็นน้องเนออกมาเดินในตอนกลางคืน โดยจะเดินไปทั่วเพื่อให้ทุกคนเห็น พอผ่านเรื่องราวนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น คือ ศพน้องเนหาย ทุกคนต่างมึนงงกับเหตุการณ์นี้มาก และวันนั้นไม่ใช่เวรเฝ้าศพของพี่ยับ เมื่อรู้ว่าศพหาย ทุกคนจึงมาไล่ดูกล้องวงจรปิดกัน ภาพที่เห็นคือ กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คน ใส่ชุดของคนทำงานในโรงพยาบาล ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แล้วเข็นศพน้องเนออกทางประตูที่รับศพด้านหลัง จากนั้นก็นำศพของน้องเนใส่ท้ายรถแล้วขับออกไป เมื่อทุกคนไล่ตามไป ก็ไปเจอรถของเด็กวัยรุ่น 5 คนจอดอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง ขณะที่ตำรวจและพยาบาลกำลังขึ้นไปที่อาคารร้างแห่งนี้ ได้มองไปที่อาคารร้าง และเห็นเป็นกองไฟกำลังเผาไหม้ จึงรีบเข้าไปในอาคาร พร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง เมื่อไปถึงก็พบว่า ศพน้องเนกำลังถูกเผาจนเกรียมและไหม้หมด! ตำรวจจึงสงสัยว่าคนทำหายไปไหน เพราะรถที่ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม ตำรวจจึงพยายามตามหา ผลปรากฏว่า วัยรุ่นทั้ง 5 คนที่นำศพน้องเนมาเผานั้นไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ เพราะเสียชีวิตทั้งหมด! บางศพตกบันไดคอหักตาย บางศพถูกแทง ทำให้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากสาเหตุอะไร ตัดกลับมาที่ศพของน้องเน ศพของน้องถูกไหม้เกรียมไม่ได้สวยเหมือนเดิม แล้วก็ถูกนำกลับมาที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลกลัวว่าญาติของน้องเนจะมาเอาเรื่อง จึงตัดสินใจแจ้งกับญาติว่าศพของน้องเนนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ โรงพยาบาลจะนำศพไปเผาแล้วนำเถ้ากระดูกมาให้ และเรื่องราวของน้องเนก็จบลงตรงนี้ แต่เมื่อนำศพน้องเนออกจากเตียงนี้ ก็เท่ากลับว่าตอนนี้เตียงนี้เป็นเตียงเปล่า ที่จะถูกเวียนใช้ต่อในโรงพยาบาล โดยเตียงนี้ได้ถูกดึงไปใช้ในส่วนของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เมื่ออเนกได้ฟังเรื่องราวนี้จากพี่ยับ ก็รู็สึกไม่สบายใจเพราะตัวของอเนกเองได้เผลอนอนไปแล้ว พี่ยับจึงบอกว่าให้ทำใจเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อเนกเองจึงตัดสินใจว่า จะตื่นเช้ามาทำบุญทุกวัน เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับน้องเน แล้วกลับมาบอกพี่ยับว่า “ผมทำบุญแล้ว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น” แต่ในขณะที่อเนกกำลังเดินออกจากห้องเก็บศพ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะตามหลังจึงคิดในใจว่า ตัวอเนกเองนั้นจะรอดหรือไม่ เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน อเนกรู้สึกว่าเลขที่เตียงของน้องเนน่าเอามาลุ้นโชค ปรากฏว่าอเนกถูกรางวัลจึงนำเงินบางส่วนไปทำบุญให้น้องเน และยังไม่ลืมที่จะนึกถึงพี่ยับคนที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง จึงตั้งใจจะไปเลี้ยงพี่ยับด้วย พอไปเรียกพี่ยับที่หน้าห้องพักพนักงานก็ไม่มีเสียงตอบรับ อเนกจึงลองเปิดประตูเข้าไปเห็นพี่ยับนั่งอยู่กลางห้อง อเนกซึ่งไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงรีบเอาอาหารไปจัดวางและกินกับพี่ยับอย่างสนุกสนาน เมื่อมีอาการกรึ่ม ๆ ทั้งสองได้มีการพูดคุยกันมากขึ้น จู่ ๆ พี่ยับก็เริ่มดึงดราม่าด้วยการบอกว่า "อเนกพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม" อเนกจึงตอบว่า "ถ้าไม่ได้ให้ไปตาย ผมทำได้ทุกอย่างเลยพี่" พี่ยับจึงพูดกับอเนกว่า "หากวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม" อเนกมีอาการงงและสงสัย ระหว่างนั้นพี่ยับจึงยื่นกำไลข้อเท้าของเด็กพร้อมกับผ้าชิ้นหนึ่งที่เหมือนชุดผู้ป่วย อเนกจึงถามว่าของใคร พี่ยับบอกว่าเป็นของน้องเนทั้งกำไลและชุด อเนกจึงตอบตกลงแบบปัด ๆ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร หลังจากนั้น 2 - 3 วัน เสกเพื่อนรักของอเนกรู้ว่าอเนกถูกรางวัลที่ได้เลขมาจากเตียงน้องเน จึงขอให้อเนกเลี้ยงแต่อเนกบอกว่า เงินนั้นเหลือน้อยแล้วเพราะนำไปเลี้ยงพี่ยับแล้ว ตัวเสกจึงเงียบไปและถามว่า “เลี้ยงพี่ยับไปวันไหน” อเนกตอบกลับไป “ว่าประมาณ 2 - 3 วันที่แล้ว” เสกถามกลับอีกว่า “ล้อกันเล่นรึเปล่า เพราะพี่ยับตายไปเป็นอาทิตย์แล้ว” เสกอธิบายเพิ่มว่าเพราะตัวเสกเป็นคนเข็นศพพี่ยับออกมาจากรถพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในขณะที่กำลังเข็นเตียงพี่ยับ พี่ยับกลับยิ้มและดูไม่มีสติทั้งที่คนโดนรถชนจะต้องมีบาดแผลตามร่างกายและรู้สึกเจ็บปวด แต่การช่วยพี่ยับไม่เป็นผล พี่ยับเสียชีวิต ส่วนกำไลและผ้าที่พี่ยับฝากไว้กับอเนก อเนกก็ขอให้เสกช่วยนำไปคืนด้วยกัน แต่เสกไม่ว่างที่จะไปด้วย อเนกจึงตัดสินใจนำของไปที่ห้องพี่ยับ โดยนำกำไลไปวางที่หัวเตียงของพี่ยับแล้วพูดว่า "ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมขอเอามาคืนแล้วกัน" ระหว่างที่อเนกกำลังออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า "มึงสัญญากับกูแล้ว ทำไมมึงไม่ทำ" หลังจากนั้น อเนกก็ช็อกแล้วหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ยับชะโงกหน้ามองตัวเองและบอกว่า "มึงสัญญาแล้ว มึงต้องช่วยปลดปล่อยเค้า" ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่เท้าพร้อมกลิ่นไหม้ เมื่อมองลงไปก็เห็นศพน้องเนกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัว และพูดว่า “แกต้องช่วยฉัน แกต้องปล่อยฉัน หวยก็ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนศพอื่น ๆ!” อเนกที่นึกอะไรไม่ออกจึงนึกถึงพระคุณพ่อแม่ และตะโกนว่า "แม่ช่วยด้วย" หลังจากนั้นน้องเนก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับได้ยินเสียงแผ่เมตตาของแม่ เมื่อน้องเนถอยไปแล้วแต่ก็ยังพูดอยู่ว่าให้ช่วย เมื่ออเนกฟื้น เสกก็เล่าว่ามีคนเจออเนกสลบอยู่ที่ตึกพนักงาน พยาบาลจึงนำของที่ติดตัวอเนกมาคืนนั่นก็คือกำไลและผ้า อเนกจึงตัดสินใจเก็บไว้กับตัวเพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่ก็ได้คำแนะนำว่าให้นำไปหล่อพระพุทธรูป เพราะถ้าเอาไปไว้กับคนไม่ดี วิญญาณของน้องเนก็จะไม่ถูกปลดปล่อย หลังจากนั้นอเนกก็ได้ยินว่าก่อนที่พี่ยับจะเสียชีวิต พี่ยับเดินยิ้มแล้วพูดว่า "ลูก พ่อขอโทษ" แล้วเดินข้ามถนนไปด้วยจึงถูกรถชน ทุกคนสืบสาวราวเรื่องจนไปรู้ว่าในวันที่เผาศพน้องเน คนที่มารับเถ้ากระดูกคือภรรยาเก่าพี่ยับและน้องเนก็คือลูกพี่ยับ และในคืนก่อนที่พี่ยับเมาทุกคนก็สงสัยว่าไปทำอะไรศพน้องเนหรือไม่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านพักข้าราชการในวันที่ไม่มีคนอยู่

24 มี.ค. 2024

บ้านพักข้าราชการในวันที่ไม่มีคนอยู่

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘บอม Retrospect’ ที่ ได้นำเรื่องมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย คุณบอมเล่าว่า สมัยที่คุณพ่อเป็นข้าราชการทหารอากาศ ก็จะพักอยู่ที่บ้านพักทหารอากาศใกล้สนามบินดอนเมือง ในสมัยก่อนที่จะมาเป็นบ้านพัก ที่ตรงนี้เป็นเหมือนที่อยู่ของกลุ่มคนอินเดียเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งคุณบอมเล่าว่าเวลาที่ไม่มีคนอยู่บ้านเขาจะเปิดแต่ไฟโรงรถไว้ วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านที่รู้จักกันเข้ามาถามคุณบอมว่า “บอม เมื่อวาน รถไม่อยู่แต่เหมือนใครเต้นเหมือนแขก ๆ อยู่ในบ้านอ่ะ” แต่คุณบอมก็ไม่ได้คิดอะไร ช่วงนั้นเป็นช่วงมอปลาย คุณพ่อและคุณแม่ไปธุระต่างจังหวัดคุณบอมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียว ช่วงกลางคืนรู้สึกเหมือนจะไม่สบายเลยคิดว่าวันนี้จะเข้านอนเร็ว หลังจากนอนหลับไปสักพักก็รู้สึกว่ามีแสงจากข้างนอกเข้ามาแยงตา เพราะเขาจะเปิดไฟหน้าห้องไว้ พอลืมตาขึ้นมาดูและเห็นว่า ประตูห้องนอนที่ตรงใต้ลูกบิดมีโซ่คล้องไว้เหมือนจะแง้มออกมานิดนึงและเห็นเหมือนคนจากช่องประตูตรงนั้นเข้ามาครึ่งตัวแต่ไม่เห็นลูกตา แต่รู้ว่าเขาจ้องมาที่คุณบอม คุณบอมก็จ้องกลับไปและตัวก็ไม่สามารถขยับได้ความรู้สึกเหมือนโดนผีอำ เขาก็จ้องอยู่แบบนั้น จนรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากเพราะไม่สบายอยู่ด้วยจึงคิดในใจไปว่า “อย่ามายุ่งกับกูเลย กูเหนื่อยไม่ไหวแล้วจะนอน” หลังจากนั้นก็หลับไป เช้าตื่นมาก็เห็นประตูปิดสนิท โซ่ตึงปกติ คิดว่าตัวเองคงฝันหรือละเมอไปเอง จนบ่ายวันนั้น คุณบอมเผลอหลับไปตรงโซฟาตอนช่วงเวลาโพล้เพล้ และรู้สึกได้ยินเสียงเหมือนมีคนพูดแต่จับใจความไม่ได้ และรู้สึกคันที่หน้าจึงลืมตาขึ้นมาแต่มันมืดไปหมด แล้วก็ค่อย ๆ ปรับโฟกัสเห็นเป็นคนนั่งยอง ๆ ก้มหน้าลงมาจากพนักพิงของโซฟา ผมยาวลงมาที่หน้าคุณบอมแล้วก็พูดว่า “ไปอยู่กับกูๆๆๆๆๆๆ” คุณบอมก็คิดว่าตัวเองแค่ฝันไปหรือเปล่าแต่เขาก็โดนแบบนี้อีก 2-3 รอบ หลังจากนั้นคุณบอมก็พยายามลืมตาและลุกขึ้นมา เหตุการณ์ตรงนั้นก็หายไป แต่ความรู้สึกคันหน้าก็ยังคันอยู่ หลังจากวันนั้นก็ไม่เจออีก แต่บ้านหลังนั้นจะมีอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อย ๆ ข้างหลังบ้านก็จะมีต้นโพธิ์ปลูกอยู่ และต้นโพธิ์จะอยู่ตรงกับห้องรับแขกที่เขานั่งยอง ๆ จ้องคุณบอมตรงโซฟา ก็จะมีบางคนที่เจอเหมือนกันตรงต้นโพธิ์บางคนเห็นว่าเป็นผู้ชายและของเซ่นไหว้จะหายไปเป็นอย่าง ๆ แต่ส่วนมากจะเป็นยาเส้นที่หายไป(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1