เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

26 ม.ค. 2025

       เมื่อความหึงหวงนำมาซึ่งคดีฆาตกรรมอำพรางสุดหลอน! ‘แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่อง ‘ภพ สื่อ คดีดัง’ เรื่องเล่าของ ‘คุณต้นอ้อ’ จากรายการ ‘The Ghost Radio’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(21 มกราคม 2568) ร่วมฟังเรื่องราวลึกลับของการตามหาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลย!

       ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณต้นอ้อได้รับการติดต่อจากครอบครัวหนึ่ง โดยได้รับแจ้งว่าลูกสาวหายตัวไปและลูกเขยได้ผูกคอตายไปแล้ว ซึ่งลูกสาวนั้นได้หายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม วันถัดมา ทางครอบครัวก็ได้พยายามติดต่อลูกสาวอีกครั้ง และในวันที่ 13 มีนาคม ได้มีข้อความจากลูกเขยส่งมาว่า

       “ผมแค้น เขาทำผมเจ็บมาก ขอโทษนะแม่”

       หลังจากเห็นข้อความ คุณพ่อและคุณแม่ก็ตกใจมาก จึงรีบเดินทางไปที่บ้านของลูกเขย เมื่อมาถึงก็เจอกับหลานสาวอายุ 2 ขวบ ที่นั่งเล่นอยู่บริเวณบ้าน จากนั้นคุณแม่ก็เดินไปดูรอบ ๆ บ้าน แล้วก็ต้องตกใจกรี๊ดออกมา เมื่อเห็นศพของลูกเขยที่ผูกคอตายอยู่ในห้องน้ำ แต่กลับไม่พบตัวลูกสาว คุณแม่จึงคิดว่าลูกสาวของตนนั้นไม่ปลอดภัย เพราะลูกสาวเคยทะเลาะกับลูกเขยอย่างรุนแรงหลายครั้งจนหนีไปแล้วตกบ่อน้ำ คุณพ่อกับคุณแม่จึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยในบริเวณนั้น เพื่อตามหาลูกสาวและเข้ามาตรวจสอบศพของลูกเขย เมื่อเจ้าหน้าที่และกู้ภัยมาถึงก็ได้ทำการปูพรมหาตัวลูกสาวทันที

       กระทั่งวันที่ 15 มีนาคม ก็ยังไม่ทราบข่าว คุณพ่อและคุณแม่จึงร้องเรื่องไปยังทีมกู้ภัยของจังหวัดที่มีเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์พร้อมกว่า รวมทั้งมีนักประดาน้ำมาช่วยทำการค้นหา ซึ่งบริเวณนั้น ทางด้านหน้าจะเป็นบ้านของลูกเขยและลูกสาว ด้านหลังเป็นบ้านของพ่อแม่ลูกเขย ส่วนข้าง ๆ จะเป็นไร่ข้าวโพดและไร่อ้อยขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำ 4 บ่อ เป็นบ่อน้ำปิดที่มีขนาดใหญ่ มีทั้งจอกแหน และกิ่งไม้อยู่เต็มบ่อ เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาตลอดทั้งวันแต่ก็ยังไม่พบอะไร

       จนถึงวันที่ 16 มีนาคม คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจติดต่อไปที่คุณต้นอ้อเพื่อขอให้รับเคสนี้และช่วยตามหาลูกสาวของตน เมื่อคุณต้นอ้อได้รับข้อมูลทั้งหมดจากครอบครัวก็ดำเนินการวางแผนกับทีมงานเผื่อช่วยเหลือทันที เนื่องจากสถานที่มีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถใช้กำลังคนในการค้นหาอย่างเดียวได้ จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยี คุณต้นอ้อจึงได้ติดต่อไปที่สำนักข่าวที่มีโดรนจับความร้อนเพื่อนำมาช่วยค้นหา ทางด้านสำนักข่าวตอบตกลงและยินดีให้ความช่วยเหลือ ในช่วงเย็นของวันนั้นนักข่าวที่สนิทกับคุณต้นอ้อ (ซึ่งเรียกคุณต้นอ้อว่า แม่) ได้บอกกับคุณต้นอ้อว่า

       “แม่ หนูรู้สึกยังไงไม่รู้ มันเคว้ง ๆ หวิว ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเคสนี้มันยังไง เดี๋ยวหนูจะเอาพระ เอาท้าวเวสสุวรรณไปด้วย”

       คุณต้นอ้อจึงตอบว่า “เอาไป มีอะไรเอาไปให้หมดเลย เพื่อความสบายใจ คืนนี้ก็นอนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เจอกัน”

       และทุกครั้งก่อนที่คุณต้นอ้อจะรับเคส จะมีการปรึกษากับอาจารย์ที่นับถือและรู้จักกัน คุณต้นอ้อจึงส่งรูปของผู้หญิงคนนี้ให้กับอาจารย์ และถามอาจารย์ว่า “คนนี้ยังมีชีวิตอยู่มั้ยคะ หายตัวไปค่ะ”

       อาจารย์ตอบกลับมาว่า “ทำไมผมเห็นเป็นศพ”

       คุณต้นอ้อจึงถามต่อ “ศพอยู่บริเวณไหนคะ ในป่าหรือในน้ำคะ”

       อาจารย์ตอบว่า “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวขอชื่อวันเดือนปีเกิดมาให้หน่อย ให้เวลาผมเข้าห้องพระแปปนึง”

       แต่ยังไม่ทันที่อาจารย์จะเข้าห้องพระก็ตอบกลับมาก่อนว่า

       “ทำไมผมเห็นเป็นผู้ชายพาตัวเข้าไปในป่า”

       จากนั้นคุณต้นอ้อก็ส่งชื่อและนามสกุลไป ระหว่างที่คุณต้นอ้อจะส่งวันเดือนปีเดินไปให้นั้น อาจารย์ก็ส่งข้อความกลับมาว่า

       “คุณต้นอ้อ ส่งใครมาให้ผม ทำไมมีผีผู้ชายตายโหงทับร่างผู้หญิงอยู่ เป็นผีผู้ชายลิ้นจุกปาก”

       แต่ ณ ตอนนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวที่ไหน และไม่มีใครรู้ข้อมูลของเคสนี้นอกจากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น นอกจากนี้อาจารย์ยังบอกอีกว่า

       “ก่อนไป พกเท้าเวสสุวรรณติดตัวไปด้วยนะ เพราะพลังอาฆาตแรงมาก”

       คุณต้นอ้อตอบรับ และอาจารย์ยังบอกต่อว่า “กรณีนี้อาฆาตแรงมาก หัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยังไม่เห็นว่าอยู่บริเวณไหน ผู้ชายเป็นคนจังหวัดนี้หรือเปล่า เพราะผีผู้ชายเฮี้ยนมาก”

       และผู้ชายคนนี้ยังพยายามสื่อกับอาจารย์อีกว่า “ถ้ามึงอยากตาย มึงก็ลองดู”

       วันที่ 17 มีนาคม คุณต้นอ้อเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อพบกับคุณพ่อคุณแม่ที่ได้แจ้งเรื่องมา เมื่อถึง คุณต้นอ้อก็พาคุณพ่อคุณแม่ไปที่บ้านที่เกิดเหตุ ตรงไปที่หน้าห้องน้ำเพื่อจุดธูปขอขมา ว่าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครแต่มาเพื่อช่วยปลดทุกข์ และขอให้เจอลูกสาวที่หายไป

       ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อได้เดินสำรวจเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ในเวลา 5 โมงเย็น นักข่าวก็ส่งโดรนจับความร้อนมา หลังจากเตรียมอุปกรณ์เสร็จ โดรนก็ขึ้นในช่วงที่ฟ้ามืดพอดี เพราะยิ่งมืดเท่าไหร่โดรนก็สามารถตรวจจับความร้อนได้ดีขึ้น เมื่อส่งโดรนขึ้นไปผ่านไร่ข้าวโพดและไร่อ้อย ตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม ก็ตรวจจับได้เพียงแค่ความร้อนจากซากสัตว์เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงยุติการค้นหา

       ในคืนนั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนโรงแรมในอำเภอกับน้องนักข่าวอีก 2 คน ซึ่งเป็นโรงแรมไม้ 1 ห้องนอนมี 2 ชั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนชั้น 2 และด้านล่างไม่มีใครอยู่ พื้นห้องเป็นไม้ที่สามารถมองผ่านช่องระหว่างไม้ไปเห็นข้างล่างได้ คุณต้นอ้อพยายามสะกดจิตตัวเองว่าจะไม่มองไปที่ช่องนั้น และนำของศักดิ์สิทธิที่พกมาด้วยออกมาว่างเรียงไว้ คุณต้นอ้อทำแบบนี้เพราะรู้สึกกลัวผู้ชาย

       หลังจากนั้นก็สลับกันไปอาบน้ำ เมื่อคุณต้นอ้ออาบน้ำเสร็จ ตาก็เหลือบไปมองช่องไม้ และเห็นคนเดินผ่านไปข้างล่าง ซึ่งข้างล่างไม่มีคนอยู่ แต่คุณต้นอ้อก็ไม่ได้พูดอะไรและเข้านอนทันที ในตอนที่คุณต้นอ้อหลับไปนั้น คุณต้นอ้อได้ฝันว่า ตนนั้นอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุและกำลังเดินหาน้องผู้หญิง ในตอนที่กำลังหาอยู่นั้น น้องผู้หญิงก็กำลังยืนมองคุณต้นอ้อหาตัวเองอยู่ เมื่อตื่นขึ้นคุณต้นอ้อก็เล่าเรื่องที่ฝันให้กับน้องนักข่าวฟัง

       วันที่ 18 มีนาคม คุณต้นอ้อและทีมพร้อมตำรวจได้ทำการตรวจสอบหลักฐานที่รวบรวมได้ พบรอยคราบเลือด และ GPS ของรถยนต์พบว่าขับอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น  ซึ่งยังไม่ได้ข้อมูลที่สำคัญมากนัก คุณต้นอ้อจึงกลับมาสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง ระหว่างนั้นมีข้อความจากอาจารย์ว่า

       “ให้คุณพ่อของฝ่ายหญิงไปจุดธูปไหว้อีกครั้ง แต่อยากให้อโหสิกรรมให้ฝ่ายชาย ให้อโหสิกรรมแบบจริงใจ”

       ตอนนั้นคุณต้นอ้อจึงนึกได้ว่า ในวันแรกที่มีการขอขมาคุณพ่อนั้นยังมีความรู้สึกโกรธที่ลูกสาวของตนหายไป และคิดว่าลูกเขยนั้นเป็นคนทำร้ายลูกของตน คุณต้นอ้อจึงบอกผ่านทางคุณแม่ คุณพ่อก็รับฟังและทำตาม ระหว่างที่จุดธูปอยู่นั้นคุณต้นอ้อได้สังเกตเห็นว่าคุณพ่อร้องไห้และกล่าวอโหสิกรรมขอให้เจอลูกสาว หลังจากคุณพ่อปักธูปเสร็จคุณต้นอ้อก็เดินไปรอบ ๆ บริเวณบ้านพร้อมกับไลฟ์สดไปด้วย และเมื่อเดินไปก็สังเกตเห็นว่ามีการจุดกองไฟที่เยอะมากผิดปกติ จึงเรียกทีมงานมาตรวจสอบ

       กองแรกอยู่บริเวณใกล้น้ำ ทีมงานตรวจสอบดูและพบกับเสื้อผ้าชุดชั้นในที่โดนเผา และเจอเข้ากับกระดูกชิ้นเล็ก ๆ แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกคนหรือสัตว์ จึงให้ทีมงานเก็บหลักฐานไว้

       กองที่สองพบเครื่องประดับและโทรศัพท์มือถือที่โดนเผา พร้อมกับเศษกระดูกแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกอะไรหรือส่วนไหน

       และถัดไปอีกไม่ไกล พบกองไฟอีกหนึ่งกอง เป็นกองที่ใหญ่ที่สุด เมื่อได้ตรวจสอบ ก็พบกระดูกชิ้นใหญ่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นกระดูกข้อมือ หรือข้อขา แต่ยังไม่ทราบแน่ชัด จำเป็นต้องรอนิติเวชมายืนยัน คุณต้นอ้อยังคงเดินตรวจสอบบริเวณนั้นจนถึงเย็นสุดท้ายก็ไม่ได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม จึงแยกย้ายกันกลับ คุณต้นอ้อเดินทางกลับมาที่โรงแรม ด้วยความเหนื่อยล้าจึงหลับไป และในคืนนั้นคุณต้นอ้อก็ได้ฝันถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ในฝันคุณต้นอ้อได้พูดว่า

       “พี่มาช่วย ถ้าอยากให้พี่เจอ ส่งสัญญาณให้พี่หน่อย บอกหน่อยว่าหนูอยู่ไหน”

       หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่า มองไม่เห็นผู้ชายแล้ว

       เช้าวันที่ 19 มีนาคม คุณต้นอ้อกลับไปที่เกิดอีกครั้งและได้เดินไปตามกองไฟอื่น ๆ ก็พบกระดูกมากขึ้น ทุก ๆ กองนั้นมีกระดูกที่โดนเผา ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อก็เดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ด้านบนเหี่ยวเฉา และกองไฟด้านล่างตรงกับรอยบนต้นไม้พอดี ซึ่งการที่ไฟสามารถลุกไปถึงข้างบนต้นไม้ได้นั้นต้องมีเชื้อเพลิงมาจากยางรถยนต์ และนอกจากนี้ก็ยังพบเศษยางรถยนต์ตกอยู่บริเวณบริเวณนั้นด้วย คุณต้นอ้อจึงเรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ และสันนิษฐานได้ว่าเป็นการเผานั่งยาง ซึ่งอาจจะมีการแยกชิ้นส่วนตามจำนวนกองไฟที่พบ เพราะกระดูกที่พบมีลักษณะไหม้เกรียมที่เกิดจากการเผาด้วยยาง คุณต้นอ้อได้เดินไปดูบริเวณรอบๆ อีกครั้งเพื่อตามหายางรถยนต์ และมีหนึ่งสิ่งที่จะต้องหลงเหลือแน่นอน คือ ลวดหรือใยเหล็ก ที่โดนเผาไฟแล้วไม่ไหม้ ในขณะที่กำลังเดินหา คุณต้นอ้อคิดในใจว่า

       “หนู ตอนนี้พี่เหนื่อย พ่อแม่เหนื่อย เจ้าหน้าที่ทุกคนเหนื่อย ถ้าอยากให้พี่เจอ ช่วยบอกหรือส่งสัญญาณมาหน่อยว่า หนูอยู่ตรงไหน”

       ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อที่กำลังไลฟ์สดอยู่ก็เดินมาถึงขอบบ่อและแพนกล้องไปที่พื้น ได้พบกับขดลวดใยเหล็กกองอยู่ด้านข้างบ่อ ติดกับต้นกล้วยแห้งๆ สันนิษฐานได้ว่า หลังจากผู้ชายเผาร่างเสร็จ ก็พยายามเอาใยเหล็กที่ไม่โดนเผาโยนลงน้ำ แต่ไม่ได้สังเกตว่าใยเหล็กนั้นลงไปในน้ำหรือเปล่า เพราะได้สืบทราบมาจากทางแม่ของฝ่ายชายว่า ฝ่ายชายได้ไปซื้อยางรถยนต์ แต่ไม่รู้ว่าซื้อไปทำอะไร และขดลวดที่คุณต้นอ้อพบวางอยู่บนใบตองของต้นกล้วยที่ล้มลงไปในน้ำ คุณต้นอ้อเห็นดังนั้นก็รีบตะโกนบอกทีมงานว่าเจอใยเหล็กแล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำใยเหล็กไปตรวจสอบหลังจากนั้นทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าร่างของน้องผู้หญิงอยู่ในบ่อนี้ ซึ่งเป็นบ่อเดียวกับที่เจ้าหน้าที่เคยดำน้ำลงไปหาแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบอะไร เจ้าหน้าที่ลงความเห็นว่าต้องลงไปในบ่ออีกครั้งจึงติดต่อนักประดาน้ำของจังหวัดเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่นักประดาน้ำก็มาถึงและลงไปในบ่อ แต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี

       ทางด้านคุณต้นอ้อนั้นได้สังเกตเห็นต้นกล้วยที่ล้มลงมีลักษณะคล้ายถูกตัดตรงปลายกล้วยนั้นลงไปในบ่อน้ำ ซึ่งผิดธรรมชาติและขดลวดอยู่ตรงบริเวณนั้นพอดี คุณต้นอ้อจึงให้เอาต้นกล้วยออกไปและให้นักประดาน้ำค้นหาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นนักประดาน้ำได้ดำลงไปและขึ้นมาพร้อมกับส่วนบนของลำตัวที่ไม่มีหัว สาเหตุที่นักประดาน้ำหาไม่เจอเพราะโดนต้นกล้วยกด เมื่อนำขึ้นมา กลิ่นไหม้ก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ส่วนคุณพ่อ คุณแม่และญาติเมื่อทราบว่าเจอร่างแล้ว ก็อยากให้หาส่วนหัวให้เจอ แต่เจ้าหน้าที่พยายามเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจึงสิ้นสุดการค้นหาในวันนั้น

       ผ่านไป 1-2 วัน ได้มีการนำเครื่องดูดน้ำมาเพื่อดูดน้ำออกจากบ่อซึ่งใช้เวลาอยู่หลายวัน จนเจอส่วนหัวในที่สุดและเป็นบ่อเดียวกันกับที่เจอส่วนของลำตัวและส่วนต่างๆ เมื่อย้อนกลับไปก็ตรงตามที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเจอศพหัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน

       พี่แจ็คทิ้งท้ายว่า เคสนี้เกิดจากความหึงหวงอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้า

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

21 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบิ๊ก สุโขทัย’ ได้นำเรื่องราวสุดลึกลับ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณภานุมาศ’ เรื่องราวจะลึกลับ น่าตื่นเต้นอย่างไรนั้น ไปติดตามได้เลย! ‘คุณบิ๊ก’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วย่านใจกลางรัชดา คุณบิ๊กจะทำหน้าที่เป็นคนที่คอยดูแลเจ้าหน้าที่ อย่าง ลุง ๆ และพี่ ๆ รปภ. วันนั้นคุณบิ๊กได้ไปนั่งคุยกับพี่รปภ.ที่ชั้น 18 คุยไปคุยมาพี่รปภ.ก็ได้ขออนุญาตลงไปซื้อข้าว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 – 4 ทุ่ม คุณบิ๊กจึงจำเป็นต้องนั่งประจำจุดนั้นให้แทนก่อน แต่แล้ว ก็ดันมีสัญญาณเตือนดังมาจากหน้าลิฟต์ชั้น 19 ดังลงมาถึงชั้น 18 คุณบิ๊กจึงได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนวัยรุ่น พึ่งจบใหม่ ใส่กางเกงยีนส์ขาด เสื้อเอวลอย หันมายิ้มให้และพูดคุยด้วยปกติว่า “พี่มาทำใหม่หรอคะ” คุณบิ๊กจึงได้ตอบกลับไปว่า “ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” จากนั้นน้องผู้หญิงก็ยิ้มให้ และกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสอง ตัวคุณบิ๊กเองเล่าต่ออีกว่า เขารู้สึกแปลกตรงที่น้องอยู่ชั้น 19 จะกดมาที่ชั้น 18 ทำไม ทำไมถึงไม่กดจากชั้น 19 ไปที่ชั้น 2 ทีเดียวตั้งแต่แรก ทำไมถึงมาแวะก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้เอะใจหรือสงสัยอะไร หลังจากนั้นทุกวัน ช่วงเวลาประมาณ 4 – 5 โมง คุณบิ๊กก็ได้เจอกับน้องเขาทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่งคุณบิ๊กเล่าว่า ก่อนจะเกิดเหตุขึ้น น้องเขาได้ยื่นน้ำเปล่ามาให้หนึ่งขวด และพูดกับคุณบิ๊กว่า “เอาไปทานค่ะ’’ คุณบิ๊กจึงตอบขอบคุณไป กระทั่งคืนวันศุกร์ ปกติเลิกงานคุณบิ๊กจะออกกะทุกตี 1 ซึ่งโดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะใช้ยานพาหนะคือ รถจักรยานยนต์ วันนั้นคุณบิ๊กได้ขับรถบนถนนเส้นรัชดา-ลาดพร้าวตามปกติ แต่จู่ ๆ ดันมีลุงคนหนึ่งขับรถมาบีบแตร์ใส่ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนไปขับรถปาดหน้าหรืออะไรใส่เขา คุณบิ๊กจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘อะไรวะ ลุงเป็นอะไร เมาหรือเปล่า’ แต่คุณบิ๊กไม่อยากจอดรถ เพราะวันนั้นฝนดันตก น้ำท่วมหนักมาก ถ้าหากเอาขาลงพื้นจะทำให้เท้าเปียกได้ จึงไม่อยากเอาขาโดนน้ำ แต่แล้วด้วยความที่ตัวของคุณบิ๊กเองเป็นคนคนใจร้อน รอไม่ได้ จึงได้ทำการดับเครื่องรถจักรยานยนต์ของตน และจอดรอ ลุงคนนั้นจึงลดกระจกลงและได้พูดออกมาอย่างโมโหว่า “ไอ่หนุ่ม เอ็งเล่นอะไรกันเนี่ย ให้แฟนไปยืนที่ท้ายเบาะรถ แล้วกระโดดมาเนี่ย เกือบเฉี่ยวหน้ารถลุง” หลังจากลุงพูดจบ คุณบิ๊กกลับไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเพราะน้ำท่วมด้วยจึงไม่ได้รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน จากนั้นลุงเขาก็พูดออกมาอีกว่า “มาชี้หน้ากูแล้วหัวเราะอีก มึงเล่นอะไรกันหรือทะเลาะกันหรือยังไง?” คุณบิ๊กกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ลุงกลับปิดกระจกใส่และขับรถออกไปอย่างโมโห ลุงเหยียบคันเร่งจนทำให้ล้อรถของลุงปาดน้ำบนถนนมาทางที่คุณบิ๊กอยู่ จนทำให้คุณบิ๊กโกรธจนเลือดแทบจะขึ้นหน้า และได้แต่สงสัยในเรื่องที่ลุงคนนั้นพูดมา ซึ่งปกติแล้ว คุณบิ๊กมักจะไปจอดรถที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นประจำ และจะได้เจอกับพี่คนหนึ่ง อายุประมาณ 40 กว่า เขาทำอาชีพขายลูกชิ้นทอด เป็นร้านที่คุณบิ๊กมักจะไปจอดแวะซื้อตลอด วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้คุณบิ๊กพูดคุยกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะคุย “พี่ พี่เคยเจอผีบ้างไหม?” พี่เขาจึงตอบกลับคุณบิ๊กมาว่า “โอโห ช่างถามได้เหมาะเจาะจริง ๆ เลย” และได้พูดต่ออีกว่า “น้องลองหันไปด้านหลังสิ” คุณบิ๊กจึงได้หันไปตามที่พี่เขาบอกและถามออกไปอีกว่า“ทำไมหรอพี่” พี่เขาจึงตอบกลับมาว่า “นั่นแหละ เห็นเสาไฟฟ้านั่นไหม มีน้องพนักงานออฟฟิศประสบอุบัติเหตุ” คุณบิ๊กเล่าว่าตนเองได้ไปสืบข่าวเพิ่มเติมมาว่าน้องเขาโดนพวกโรคจิตขับรถตาม ขณะที่เขากำลังจะขับรถหนี แต่ดันคุมสติตัวเองไม่ได้ จึงทำให้รถเสียหลักล้ม หัวฟาดกับฝาท่อที่เป็นเหล็กกลม ๆ น้องเขาจึงเสียชีวิตที่นั่น แต่ตัวคุณบิ๊กเองยังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับน้องผู้หญิงที่เจอบนตึก แต่พึ่งเริ่มมาปักใจตอนพี่เขามาทักต่อจากเมื่อกี้ว่า “พี่ว่าพี่เคยเห็นน้องคนที่เสียชีวิตไปคนนี้ซ้อนท้ายน้องเมื่อวานนะ แต่พี่ไม่กล้าทัก พี่คิดว่าพี่ตาฝาด แต่พี่จำลักษณะน้องเขาได้” หลังจากนั้นทั้งคุณบิ๊กและพี่เขาจึงได้ช่วยกันนึกถึงลักษณะของน้องผู้หญิงคนนั้น จนมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันกับคนที่เจอบนตึก ด้วยความที่คุณบิ๊กอยากรู้เรื่องราวของน้องเขาว่าเป็นอย่างไร จึงได้ไปสืบกับแม่บ้านที่ตึก และเขาก็ได้บอกว่า “อ๋อ น้องคนนี้ชื่อนุ๊ก ชื่อจริงชื่อ ‘ภานุมาศ’ น้องเขาเป็นเด็กจบใหม่ น่าจะมีเชื่อสายมอญ และเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี” และได้บอกต่ออีกว่า “แต่ที่บ้านน้องเขามาเรียนเชิญดวงวิญญาณให้กลับบ้านไปแล้วนะ น้องเขายังอยู่อีกหรอ” หลังจากได้ยินข้อมูลทั้งหมด คุณบิ๊กก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกลับไป กระทั่งมาถึงวันเสาร์ โดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะทำอาชีพเสริม คือการขายพระเครื่อง ซึ่งตลอดเวลาที่ขายมา ตั้งแต่คุณบิ๊กเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ วัน ๆ หนึ่ง ขายได้ไม่เกิน 500 บาทต่อวัน แต่วันนั้นกลับขายดีมาก เกือบ 1,500 บาท ขายดีถึงขั้นที่ว่าลูกค้าหยิบและซื้อไปแบบไม่มีคำถามเลย ทำให้คุณบิ๊กรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และกลับมาจนจะถึงที่พัก ทว่าระหว่างทางก่อนจะถึงที่พักอีกเพียงนิดเดียว ดันมีกลุ่มวัยรุ่นขับรถเล่นหยอกล้อกันไปมา และคืนนั้นฝนตกทำให้ถนนลื่นมาก ตัวคุณบิ๊กเองที่ขับรถอยู่ท้ายรถของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้น เขาดันเบรกซ้ายกะทันหัน ทำให้รถเสียหลัก ทำให้ตัวและหัวฝั่งซ้ายของคุณบิ๊กล้มไปอยู่ใต้รถเมล์ ทำให้คุณบิ๊กได้แผลตรงที่ปลายนิ้ว และตาตุ่มด้านซ้ายยังได้แผลถลอกจนเห็นถึงเนื้อกระดูกอีกด้วย เหตุการณ์นี้รถของคุณบิ๊กทั้งดับและล้อไม่หมุน แต่คุณบิ๊กเล่าว่าจู่ ๆ กลับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกเครื่องรถแล้วสตาร์ทขึ้นมา และได้ลากตัวของคุณบิ๊กจากเลนขวาไปที่เลนซ้าย ดึงตัวเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง หากไม่ได้ถูกลากเข้าไปข้างทางคงถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน และด้วยความที่คุณบิ๊กถูกรถทับไปข้างนึง จึงทำให้ไม่รู้สึก ไม่มีความชาไปเลย จากนั้นก็มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แล้วแฟนน้องหล่ะ?” ตอนนั้นตัวคุณบิ๊กจึงรู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว จึงค่อย ๆ ขับคลำทางมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่พัก หลังจากนั้นก็ไปล้างหน้า เอาน้ำลูบตัว เพราะเหนื่อยมาก ไม่อยากอาบน้ำ และได้เข้านอน แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา จับแขน มีลมคล้ายกับลมหายใจมารดใบหน้ารดต้นคอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่คนเดียว คุณบิ๊กได้เล่าทิ้งท้ายต่ออีกว่า ตนเองปักใจเชื่อว่าน้องผู้หญิงคนนั้นเป็นคนมาช่วยให้รอดชีวิต และเชื่อว่าตั้งแต่เจอน้องชีวิตของตนเองก็ดีขึ้นมาก ๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หญิง รฐา เล่าเรื่อง ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

17 พ.ค. 2025

หญิง รฐา เล่าเรื่อง ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

เมื่อ ‘หญิง รฐา’ ได้ไปถ่ายทำภาพยนตร์ชวนหลอนขนหัวลุกเรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในระหว่างถ่ายทำนั้น ทุกคนในกองมีอาการแปลก ๆ แต่ไม่ยอมพูดอะไร หลังจากนั้น หญิง รฐา ก็รู้สึกขนหัวลุกได้ด้วยตัวเอง! เกิดอะไรขึ้นระหว่างการถ่ายทำ? และทุกคนในกองพบเจอกับอะไรกันแน่? หาคำตอบไปพร้อมกันกับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 พฤษภาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลังจากอ่านจบแล้ว อาจทำให้คุณ คิดถึงโรงเรียนเก่าของตนเองก็เป็นได้.. หญิง รฐา ได้เล่าว่า ระหว่างที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’ มีอยู่วันหนึ่งต้องไปถ่ายในตึกโรงเรียน ซึ่งซีนที่ต้องเข้าฉากในวันนั้นตนจะต้องแต่งเอฟเฟ็กต์ผีด้วย ตารางการถ่ายทำแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงเช้าจะถ่ายซีนของคุณครูที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนช่วงบ่ายจะถ่ายซีนที่เป็นผี ซึ่งทำให้มีเวลาให้แต่งหน้าหลายชั่วโมง แต่ระหว่างนั้นจู่ ๆ ทุกคนก็แปลกไป มีพิรุธ เหมือนมีอะไรปิดบังอยู่ จนผู้ช่วยของหญิง รฐา ต้องลุกขึ้นเดินไปถาม แต่ก็ไม่มีใครเล่าอะไรให้ฟัง เพราะคุณหญิง รฐายังต้องรับบทผีอยู่กลัวว่าจะหลุดและกลัว จากนั้นการถ่ายทำก็ดำเนินไปตลอดทั้งวัน จนมาถึงซีนสุดท้าย ได้เปลี่ยนไปถ่ายที่ห้องปิดตายด้านหน้าของโรงเรียน ซึ่งห้องมีลักษณะเป็นโถงยาว เสมือนห้องผู้อำนวยการ ทางเข้าห้องนั้นเป็นพื้นต่างระดับ ต้องก้าวขาสูงในการเข้าไป ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกมากอย่างหนึ่ง การถ่ายทำในห้องนั้นเกิดเรื่องราวแปลก ๆ มากมาย เช่น กล้องถ่ายไม่ติด แต่หญิง รฐา พยายามมองในมุมวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงคิวสุดท้ายเวลาประมาณเที่ยงคืน หญิง รฐา ได้สังเกตเห็นว่าพื้นที่ตรงกลางห้องนั้นถูกจัดเซ็ทให้ดูสวยแปลกตา ทั้งที่วันนี้ทั้งวันไม่มีใครใช้พื้นที่ตรงนั้นในการถ่ายทำเลย เธอจึงคิดว่าคงเป็นของสถานที่จริงทั้งหมด และนับเป็นเรื่องแปลกเรื่องที่ 2 ของวันนั้น หลังจากนั้น เธอได้ย้ายไปถ่ายห้องตรงข้าม เป็นซีนที่คุณหญิง รฐา ต้องยืนคนเดียว 'พี่อ๊อด' (ผู้กำกับ) จึงพูดว่า “หญิงยืนตรงนี้คนเดียวนะ แต่เดี๋ยวพี่จะให้น้องผู้หญิงอีก 2 คนมาคุกเข่าตรงนี้ ” หลังจากพูดจบ หญิง รฐา ก็คิดว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อเริ่มถ่ายทำเทคแรก หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเหมือนคนใส่ชุดไทยโจงกระเบนสีน้ำเงิน ตอนนั้นเธอรู้สึกแปลกใจ แต่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมาก จนกระทั่งผู้กำกับสั่งคัต เธอจึงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันไปสู้กับสิ่งที่เห็น พอหันหน้าไปก็พบว่าเงาที่หางตาเห็นนั้นเป็นเพียงกรอบรูปเท่านั้น ในใจตอนนั้น คิดว่าคงเป็นรูปของเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ‘แล้วทำไมถึงมาวางในห้องที่มันรกร้างแบบนี้?’ แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และจดจ่ออยู่กับการถ่ายทำต่อไป ซีนถัดมาเป็นซีนอารมณ์ที่อเล็กซ์ (อเล็กซานดร้า อริดา มาเต้) ต้องแสดงอาการกลัวต่อหน้ากล้อง โดยมีหญิง รฐา ยืนอยู่ข้างหลัง ในเทคแรกกล้องปรับโฟกัสไม่ทันจึงพลาดไป รวมแล้วถ่ายทั้งหมด 4-5 เทค ก็พบว่ามีเทคหนึ่งที่กล้องไม่โฟกัสใครเลย ซึ่งตามหลักการแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ หญิง รฐา ยังคงคิดในมุมวิทยาศาสตร์อยู่เพราะวันนั้นเธอใส่คอนแทคเลนส์ผี ดวงตาอาจจะแห้งและพร่ามัวได้ เมื่อเวลาผ่านไป เธอได้เห็นเป็นเงาผู้ชาย สีดำ สูงใหญ่ อยู่ข้างหลังคุณอเล็กซ์ ซึ่งก็คือข้างหน้าของเธอนั่นเอง ทันใดนั้นเธอจึงระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 8 ทิศ และพูดว่า “หญิงมาเป็นนักแสดง มาด้วยจิตที่ดี อยากมาเล่นบทให้คนเข้าใจว่าการเป็นครูเป็นอาชีพที่ดี มีความคาดหวัง มีความกดดัน หญิงมาดี เดี๋ยวจะกลับแล้ว ถ้าทำอะไรผิดพลาด ถ้ามีอะไรไม่ดี ขอโทษ ขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีเพราะจะเสร็จแล้ว จะไม่รบกวนแล้ว” หลังจากนั้นการถ่ายทำก็ลื่นไหลไปจนจบ ผู้กำกับให้ผ่าน หญิง รฐา ไม่พูดคุยกับใคร และกลับบ้านคนเดียว พร้อมทั้งพูดคำแก้เคล็ดว่า “หญิงกลับมาคนเดียวนะ มีแค่คนรถกับหญิงนะ” เช้าวันถัดมา หญิง รฐา ได้โทรสอบถามผู้ช่วยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยบอกว่า “ทุกคนเจอกันหมด เจอตรงจุดที่พี่หญิงยืนเลย” ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับคนในรูปด้วย เมื่อ หญิง รฐา หาคำตอบว่าบุคคลในภาพคือใคร ก็มีข้อมูลว่าเหมือนจะเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เพื่อนรัก…ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง | อังคารคลุมโปง X มิ้น แม่แฟน [ 15 ก.ค.2568 ]

26 ก.ค. 2025

เพื่อนรัก…ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง | อังคารคลุมโปง X มิ้น แม่แฟน [ 15 ก.ค.2568 ]

เรื่องเล่าสุดหลอนจาก ‘คุณมิ้น แม่แฟน’ ที่มาเล่าเรื่องจากสองเพื่อนสนิทที่รักผู้ชายคนเดียวกัน แต่แล้วเพื่อนอีกคนได้หลีกทาง ยอมให้เพื่อนอีกคนได้มีความสุขกับผู้ชายคนนั้น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นป่วยเป็นอัมพฤกษ์! เรื่องราวของสองเพื่อนสนิทจะเป็นอย่างไร? อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์? และความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจะเป็นอย่างไร? ติดตามบทสรุปของเรื่อง ‘เพื่อนรัก...ผู้ทำเสน่ห์ใส่สามีตัวเอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจเชาเชา’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ แล้วคุณอาจะพบว่า การทำเสน่ห์ไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไป! ‘คุณมิ้น’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของแฟนคลับที่ชื่อว่า ‘พี่ฟ้า’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่ชื่อ ‘คุณจอย’ ซึ่งทั้งคุณฟ้าและคุณจอยเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียน เมื่อเรียนจบก็มาทำงานที่เดียวกัน แต่คนละแผนก มีหัวหน้าคนเดียวกันชื่อ ‘พี่ทอม’ เป็นหัวหน้าที่ทั้งหนุ่มและหน้าตาดี ขณะเดียวกัน ทั้งคุณฟ้าและคุณจอยก็ยังโสด คนในองค์กรต่างรู้กันมาว่าพี่ทอมน่าจะเคยแต่งงานแล้ว แต่ได้หย่าร้างกันไป สถานะตอนนี้จึงโสด นั่นทำให้สองเพื่อนสนิทอย่างจอยและฟ้าต่างชื่นชอบ ฟ้านั้นรู้สึกว่าพี่ทอมชอบตน แต่ด้วยความรักเพื่อน จึงถอยออกมาและเปิดทางให้จอยแทน ส่วนทางด้านจอยก็พยายามทำทุกอย่างให้ได้เลื่อนตำแหน่งเพื่อที่จะได้เข้าใกล้พี่ทอมมากขึ้น โดยจอยได้พูดกับฟ้าอยู่เสมอว่า “ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตจะแต่งงาน หรือจะมีแฟน ก็ต้องเป็นพี่ทอม” ท้ายที่สุด จอยก็ทำสำเร็จและได้คบกับพี่ทอม จนหลายคนในออฟฟิศต่างฮือฮาและชื่นชมว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม ชีวิตดูดี ลงตัวไปเสียหมด เวลาผ่านไปจนคบกันได้ 2 ปี พี่ทอมก็ขอจอยแต่งงาน ฟ้าและจอยยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม ส่วนทางฟ้าเองก็มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนเริ่มอยากมีบ้าน และเห็นว่าพี่ทอมกับจอยซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นบ้านมือสองแบบรีโนเวท ทางฟ้าเองก็มองว่าบ้านสวยดี จึงตัดสินใจไปซื้อบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน อยู่ห่างกันประมาณ 2 หลัง ฟ้าบอกว่าสาเหตุที่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะมองว่า ถ้าวันหนึ่งไม่ได้มีครอบครัวหรือไม่ได้มีลูกก็จะอยู่กับเพื่อน ทางด้านพี่ทอมเองก็ดีกับฟ้าด้วย ถือว่าเป็นแฟนเพื่อนที่ดี เวลาผ่านไปทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เข้าปีที่ 3 หลังแต่งงาน เกิดเหตุไม่คาดฝัน พี่ทอมเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นอัมพฤกษ์ถึงขั้นพูดไม่ได้ ทำให้ชีวิตจอยเปลี่ยน ซึ่งในช่วงแรกจอยยังคงทำงานอยู่ จึงใช้วิธีให้ญาติมาช่วยดูแลแทน พี่ทอมเองที่เป็นหัวหน้าในบริษัท ก็ได้รับเงินมาก้อนหนึ่งให้ออกมารักษาตัว และต้องออกจากงานเพราะไม่สามารถทำงานได้ ทางด้านฟ้าเองก็อาสาเข้าไปช่วยดูแล สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ จอยที่ทั้งทำงานและดูแลพี่ทอมไปด้วยไม่ไหว จึงคิดจะลาออก ฟ้าก็คอยปลอบใจเพื่อน และแนะนำให้ออกมาทำอาชีพอื่นแทน อย่างการขายของออนไลน์ หากถ้ามีอะไรขาดเหลือ ฟ้าจะช่วย เพราะฟ้าไม่ได้มีภาระอะไรมากมาย อีกทั้งอาการพี่ทอมก็ไม่สู้ดี เวลาผ่านไป อาการพี่ทอมทรุดหนักมากขึ้น ต้องรับยาที่โรงพยาบาลถี่ขึ้น แต่การรับยานี้พี่ทอมไม่จำเป็นต้องไป ให้ญาติไปรับแทนได้ กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง จอยต้องออกไปรับยาที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตี 5 เพื่อต่อคิว จะกลับมาก็เป็นเวลาเที่ยง จึงขอให้ฟ้ามาช่วยเฝ้าพี่ทอมแทน ฟ้าที่ไม่ติดอะไรและพร้อมช่วยเพื่อนเสมอก็ตอบตกลง จอยจึงลิสต์สิ่งที่ต้องทำไว้ให้ เมื่อวันนั้นมาถึง ฟ้าก็ไปที่บ้าน ไขกุญแจเข้าไปตามที่จอยบอก เมื่อเดินเข้าไปชั้นหนึ่ง ก็จะพบพี่ทอมนอนอยู่กลางบ้าน ปลายเท้ามีทีวี ลักษณะเป็นห้องนั่งเล่น ในตอนนั้นพี่ทอมยังไม่ตื่น ฟ้าจึงเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานฟ้าก็เริ่มหิว จึงคิดว่าจะเดินออกไปตลาดที่หน้าหมู่บ้าน แต่ทว่าการเดินไป-กลับต้องใช้เวลามาก ทำให้กังวลกลัวว่าพี่ทอมตื่นมาจะไม่เจอใคร จึงเปลี่ยนใจเดินไปที่ครัวเพื่อดูว่าพอจะมีอะไรกินได้บ้าง โชคดีที่ยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหลืออยู่บ้าง ฟ้าจึงจัดแจงต้มบะหมี่ หลังจากต้มเสร็จก็เดินออกมากินตรงโซฟาที่ห้องนั่งเล่น เพื่อที่จะนั่งเฝ้าพี่ทอม ขณะที่กำลังถือชามบะหมี่ออกมา ช่วงฟ้าเริ่มสว่าง เวลา 7 โมงเช้าแล้ว แต่ฟ้ากลับเห็นผู้หญิงคนหนึ่งคล้ายเงาดำยืนอยู่ข้างหัวเตียงพี่ทอม ทว่าเงานั้นไม่ได้มองมาที่ฟ้า กลับมองไปที่พี่ทอม ในใจฟ้ารู้แล้วว่าตอนนั้นเจอเข้ากับอะไร แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกไป ทำได้เพียงมองค้างไว้ทั้งอย่างนั้น พลางคิดในใจว่า ‘อย่าหลอกฉันนะ’ ขณะนั้นเอง ราวกับเงาดำสัมผัสได้ถึงเสียงใจฟ้า เพราะเงาดำได้หันมามองที่ฟ้า ฟ้ารีบหลับตาเพราะไม่อยากเห็น ทั้งยังพูดพึมพำไปด้วยว่า “อย่าหลอกฉันนะ” ฟ้าคิดว่าในใจว่านี่อาจเป็นเจ้าที่หรือผีบ้านผีเรือน ขณะที่หลับตาอยู่นั้น ชามบะหมี่ก็หลุดจากมือ และมวลรู้สึกที่ถูกกดดันก็ค่อย ๆ จางหายไป จากนั้นฟ้าก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เงาดำนั้นหายไปแล้ว กลายเป็นพี่ทอมที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงชามบะหมี่ตกพื้นเสียงดัง พี่ทอมทำหน้าเหมือนอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฟ้าจึงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรพี่ น้ำร้อนมันลวกมือ” แล้วฟ้าก็เริ่มจัดการเก็บเศษชามและบะหมี่ที่หกเกลื่อนกลาดให้เรียบร้อย หลังจากเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ ฟ้าก็เปิดไฟให้ทั่วบ้าน และโทรศัพท์หาแม่ของตน เพื่อเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง เมื่อฟังจบ แม่ฟ้าก็ได้ตอบกลับมาว่า “เป็นเจ้าที่ เจ้าทาง ผีบ้าน ผีเรือน หรือเปล่า แต่แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าเกิดมีคนป่วยอยู่ในบ้านแล้วเห็นวิญญาณแบบนี้ มันยิ่งเป็นพลังลบ ยิ่งทำให้คนป่วยอาการไม่ดี ให้จอยมันทำบุญบ้านบ้างสิ” ฟ้าจึงคิดว่าก็ดีเหมือนกัน และคิดว่าจะชวนจอยทำบุญบ้าน แต่ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่ตนเจอให้จอยฟัง เพราะกลัวเพื่อนจะกลัวไปด้วย หลังจากนั้นช่วงประมาณเที่ยงกว่า จอยได้กลับมาถึงบ้าน ฟ้าจึงได้เอ่ยชวนก่อนว่า “จอย พวกเราไม่ได้ทำบุญบ้านกันมานานแล้วเนอะ พี่ทอมเขาก็ป่วยคงไปวัดไปวาไม่ได้ เราทำบุญบ้านกันดีไหม มันจะได้มีสิ่งดี ๆ เข้ามา เขาจะได้ฟังพระสวดบ้าง เสริมสิริมงคลกันนิดนึง” ทว่าจอยกลับตอบฟ้าไปว่า “ไม่ทำอะ” ตอนนั้นใจฟ้าเองเพียงคิดว่าเพื่อนอาจจะติดขัดเรื่องเงิน เพราะเพื่อนก็ไม่ได้ทำงาน เงินที่ใช้รักษาพี่ทอมเป็นเงินก้อนที่ใช้แล้วก็หมดไป อาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ฟ้าจึงได้เสนอไปว่า “เอ้ย เดี๋ยวจะออกให้ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินนะ” ทว่าจอยดันโกรธขึ้นมา และหันกลับไปพูดใส่ฟ้าว่า “มึงไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องครอบครัวกูได้ปะ” สิ้นประโยคนี้ ทำให้ฟ้าปรี๊ดขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมาพูดต่อว่าอะไรกันแบบนี้ และได้พูดกลับไปว่า “อ้าว อะไรอะ แค่ชวนทำบุญบ้าน ทำไมต้องพูดจาแบบนี้ใส่” จอยก็ตอบกลับมาอีกว่า “ก็ไม่ทำอะ พูดไปแล้วไงว่าไม่ทำ จะเซ้าซี้ทำไม” ฟ้าที่โกรธเต็มที่จึงพูดว่า “เอาตรง ๆ นะ กูอะ เห็นผียืนอยู่ข้างผัวมึงก็เลยชวนทำบุญ” ฟ้าก็ได้เล่าถึงลักษณะของผีที่เห็นว่าเป็นอย่างไรให้จอยฟัง พอพูดเสร็จจอยก็นิ่ง และหันไปมองที่พี่ทอมที่มองทั้งคู่ทะเลาะกันมาตลอด ฟ้าจึงพูดต่อว่า “กูเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากพูด กลัวมึงกลัว ทำไมต้องมาว่ากันขนาดนี้ด้วย” สิ้นเสียงของฟ้า จอยก็ดึงมือฟ้าขึ้นไปที่ชั้น 2 และจอยก็เริ่มร้องไห้ ฟ้าตกใจจึงถามกลับไปว่าเป็นอะไร จอยจึงเริ่มเปิดปากเล่าว่า.. “มึงจำได้ไหม ตอนที่กูชอบพี่ทอมมาก ๆ กูทักหาไลน์หาเขาอยู่ตลอด แต่พี่ทอมไม่ได้สนใจเลย คุยด้วยน้อยมาก และรักษาระยะห่างทุกอย่าง กูเลยไปปรึกษาหมอคนหนึ่งที่เจอในออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องของการทำเสน่ห์ กูถามหมอแล้วนะว่าถ้าทำแล้วจะมีผลกับพี่ทอมมั้ย เขาบอกกูว่าไม่มี เป็นแค่การทำเสน่ห์ให้เขารู้สึกเมตตา มหานิยมเรา เดี๋ยวพอเขารักเขาชอบแล้วก็เลิกทำได้” ฟ้าฟังเพื่อนสนิทอย่างตั้งใจ และจอยได้เล่าต่อว่า จอยได้ตัดสินใจทำเสน่ห์ใส่พี่ทอม ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำไปจนถึงได้พี่ทอมเป็นแฟน จากนั้นจึงค่อยเลิก แต่พอได้เป็นแฟนกันแล้ว จอยก็อยากแต่งงานกับคนนี้ จึงไม่ได้เลิกทำเสน่ห์ และตั้งเป้าใหม่ว่า จะทำไปจนกว่าจะแต่งงานแล้วค่อยเลิกทำ สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน และจอยก็เลิกทำเสน่ห์ตามสัญญา ทว่าหลังจากที่เลิกทำเสน่ห์ไปได้ไม่กี่เดือน คุณทอมก็ได้เส้นเลือดในสมองแตก ทำให้จอยได้กลับไปปรึกษากับหมอคนนี้อีกครั้งว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับที่เลิกทำเสน่ห์หรือไม่ หมอตอบว่า “เกี่ยว” จอยสับสนและถามต่อไปว่า “อ้าว ไหนตอนนั้นบอกว่าทำแล้วไม่มีผล” แต่หมอก็ตอบกลับมาอีกว่า “ตอนนั้นที่ตกลงกันไว้คือแค่ให้ชอบไม่ใช่หรอ อันนี้คือคุณเลยมาเอง บางอย่างหรือวิญญาณที่มันอยู่ในของ ถ้าวันนึงเราไม่เลี้ยงเขาแล้ว เขาก็จะต้องหากินของเขาเอง ซึ่งสิ่งที่เขาจะกินอันดับแรกคือเป้าหมายที่เคยมีคนสั่งให้เขาทำ และนั่นคือตัวของทอม” พอฟ้าได้ฟังมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกว่าเพื่อนอาจจะพลาดพลั้งไป จึงให้โอกาสเพื่อนและบอกกับจอยไปว่า “ไม่เป็นไรดิ งั้นเดี๋ยวเราไปลองไหม ไปหาคนที่เขาเก่ง ๆ มาปลดปล่อยวิญญาณนี้ไป มันน่าจะทำได้ดิ” จอยให้เหตุผลกลับมาว่า “ไม่ได้มึง เพราะหมอคนที่เขาทำให้เขาบอกว่า ถ้ากูแก้เมื่อไหร่ของจะเข้าตัวกู” ฟ้ารีบบอกเพื่อนไปว่า “แล้วยังไงอะ ถ้าเข้าตัวมึง มึงก็แก้อีกทีไง” แต่จอยก็บอกด้วยเสียงเหนื่อยใจว่า “มึง ถ้าพี่ทอมหายมา เขาก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ อาจจะเดินหรือทำงานเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว” คำพูดที่จอยพูดกับฟ้า ทำให้ฟ้ารู้สึกว่าจอยเห็นแก่ชีวิตตัวเองอย่างเดียว ตนนั้นรับไม่ได้ จึงทำได้แค่บอกไปว่า “โอเค” จากนั้นฟ้าก็เดินออกมาจากบ้านนั้นทันที แต่ในระหว่างที่เดินออกไป ฟ้าก็ได้เดินผ่านพี่ทอม และรู้สึกสงสารพี่ทอมจับใจ เพราะครั้งหนึ่ง ฟ้าก็เคยชอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน ขณะที่ฟ้าเดินออกจากบ้าน ก็ยังคงได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนสนิทดังมาจากข้างหลัง แต่ฟ้าก็เลือกที่จะไม่สนใจ เวลาผ่านไป จอยก็พยายามส่งข้อความมาหา เล่าว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องทำ ฟ้าทำได้เพียงแค่อ่าน แต่ไม่ตอบอะไรกลับไป ไม่นาน ฟ้าก็เลี่ยงที่จะเจอจอย โดยการลาออกจากที่ทำงาน แม้กระทั่งขับรถผ่านบ้านก็ไม่หันไปมอง ไม่นาน ฟ้าก็ทราบข่าวว่าพี่ทอมเสียชีวิตแล้ว และก็เห็นว่าที่หน้าบ้านของจอยมีประกาศขาย แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าชีวิตหลังจากนี้ของจอยจะเป็นอย่างไร แต่ตัวของฟ้าเองก็ได้มาเสียเพื่อนเพราะเรื่องนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

22 ธ.ค. 2023

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

เมื่อต้องไปเลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock งานนี้จะเจออะไรหลอน ๆ บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธ.ค 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘ตั้น The Shock’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของคุณตั้นที่ได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลยยย เรื่องนี้ ‘คุณตั้น’ ได้เริ่มเล่าว่า ทางทีมงาน The Shock ได้เดินทางไปเลี้ยงโต๊ะจีนผี ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock ซึ่งปีนี้จะไปจัดกันที่สุสานจังหวัดราชบุรี เวลางานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม โดยปีนี้ ‘พี่ป๋อง The Shock’ นำทัพไปจัดโต๊ะหมู่ขึ้นที่สุสานใหญ่ มีอาหารบางส่วนและวงปี่พาทย์ เอาไปตั้งไว้ที่เก็บศพไร้ญาติ ตัวคุณตั้นตามไปทีหลัง ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม เป็นเวลาใกล้จบงาน ช่วงที่วงปี่พาทย์เล่นให้ผีฟัง ซึ่งตรงนั้นจะมีซองเก็บศพประมาณ 300 – 400 ซอง คุณตั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าวงปี่พาทย์และซองเก็บศพ ซึ่งปกติธรรมเนียมของ The Shock ที่ทำกันมาเป็น 10 ปี คือ เวลาที่เลี้ยงผี ก็จะมีการนำใบตองมาวางและเอาแป้งมาโรยไว้ เพื่อเป็นการเก็บรอยเท้าว่าเขามาหรือเปล่า ซึ่งก็มีรอยเท้ามาจริง ๆ ในระหว่างที่ทุกคนยืนดูกันอยู่ ก็มีเสียงเครื่องเซ็นเซอร์ดังขึ้น “ตื้อดึง ตื้อดึง ตื้อดึง” ดังอยู่อย่างนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่ตัวเดียว ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มฮือฮาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างนั้น ด้วยความห่ามของคุณตั้น คุณตั้นได้เดินผ่านซองเก็บศพไป และในขณะที่เดินก็ได้พูดว่า “สวัสดีครับ อยากได้อะไรมาบอกเนาะ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน แล้วก็มาพูดกับเราแล้วกัน” เมื่อคุณตั้นเดินไปถึง เครื่องจับเซ็นเซอร์ก็เงียบเสียงลง คุณตั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก” แต่ถามด้วยความไม่ลบหลู่ ไม่ได้ท้าทาย แต่ระหว่างที่คุณตั้นเดินย้อนกลับมา ก็มองกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปสะดุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นร่างสีขาวในความมืด เขาเดินและหายไป คุณตั้นที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ตรงนั้นมีอะไร มีทีมงานเอาเครื่องเซ่นไปไว้หรือเปล่า’ เพราะตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว คุณตั้นจึงเดินกลับมา คนอื่น ๆ รีบมาถามถามคุณตั้นว่า “มึงไม่กลัวหรอ” แต่คุณตั้นก็ไม่ได้คุยอะไร แต่พูดไปประโยคหนึ่ง คือ “ตรงนั้นมีอะไร เราจะได้ไปช่วยเก็บ” ทุกคนก็หันมาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” คุณตั้นก็หันไปบอกว่า “ก็เห็นสิ ตรงนั้นน่ะ มีคนยืนอยู่” แล้วก็มีคนตอบกลับมาว่า “ไม่มีพี่ ไม่มีอะไรด้วย ตรงนั้นคือ เชิงตะกอนเผาศพของมูลนิธิ” คุณตั้นก็รู้ได้เลยว่า นั่นคือผี หลังจากที่ฟังจบ คุณตั้นก็เงียบไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” หลังจากนั้นก็จะมีเหล่าคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่า “เนี่ย ตรงนี้มี ตรงนี้น่ากลัวมาก รู้สึกว่ามี” คุณตั้นก็ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผีจริง ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1