ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปดูหนังรอบดึก นับคนดูได้ 5 คน แต่พอดูไปเรื่อย ๆ โผล่มาเพิ่มอีก 1 ! ระหว่างนั่งดู ก็มีคนหันหน้ามาจ้องด้วยตาแดงก่ำ! หลังจากหนังจบก็ออกมารอข้างนอก แต่คนก็ออกมาแค่ 5 คน ไปถามแม่บ้าน แม่บ้านก็บอกปัดแล้วเดินหนี! พอรู้ความจริงเท่านั้นแหล่ะ

28 ก.ค. 2023

       สายที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (25 กรกฎาคม 2566) ได้เล่าเรื่องหลอนที่เคยเจอกับตัว ระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์รอบดึก ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกเกรียวกราวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘โรงหมายเลข 6’ ใครที่มีแพลนจะไปดูหนังรอบดึก นับจำนวนคนให้ดี ๆ นะ!

       เรื่องหลอนนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณชิ’ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เข้าทำงานเป็นกะ ทั้งกลางวันและกลางคืนหมุนเวียนสลับกันไป คุณชิเองเป็นคนที่ชื่นชอบการดูหนังรอบ Midnight อยู่แล้ว เมื่อถึงวันที่ต้องเข้ากะดึก จึงไปเช็คก่อนว่ามีลูกค้าเข้าไปใช้บริการในโรงหนังรอบนั้นกี่คน ปรากฏว่ามีลูกค้าเพียง 5 คนเท่านั้น เมื่อถึงเวลา คุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังในโรงหมายเลข 6 พร้อมกับลูกค้าทั้ง 5 คนนั้น..

       โรงหมายเลข 6 นี้เป็นโรงที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แถวที่คุณชิเข้าไปนั่ง คือแถว AA (ด้านบนสุด) ทำให้สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งโรง คุณชิจึงคอยสอดส่องว่าลูกค้าเข้ามาครบหรือยัง เพราะที่นั่งที่คุณชินั่ง อาจจะไปตรงกับลูกค้าก็เป็นได้ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาครบ คุณชิก็สบายใจเพราะไม่ได้นั่งทับที่ใคร จากนั้นหนังก็เริ่มฉายไปตามปกติ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็กวาดสายตาไปมองบรรดาลูกค้าอีกครั้ง แต่เมื่อลองนับจำนวนดูกลับพบว่ามีทั้งหมด 6 คน! คุณชิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตัวเองนั่งอยู่ในจุดที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของทุกอย่างในโรงได้ ไม่ยักกะเห็นคนเดินเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว คุณชิคิดว่าอาจจะเบลอนับพลาดไป จึงนับใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็น 6 คนอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจมาก คุณชิจึงไม่คิดอะไรต่อ แล้วกลับไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เช่นเดิม

       เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชิก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง หันหน้ามองซ้ายขวาไปรอบ ๆ โรงโดยที่ตัวไม่ได้หันตามไปด้วย จากนั้นก็หันกลับไปดูหนังตามปกติ พอมีจังหวะที่หนังตบมุกตลก ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะ “หึ ๆ” เสียงต่ำในลำคอ ทั้ง ๆ ที่คนในโรงต่างเงียบกัน คุณชิคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้หัวเราะแปลก ๆ สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็หันคอกลับมามองที่คุณชิ! แล้วก็จ้องหน้าคุณชิอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 วินาทีได้ จากนั้นก็หันกลับไปช้า ๆ ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ก็หันกลับมามองที่คุณชิอีกรอบ! แต่รอบนี้ตาของผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสีแดงไปแล้ว! คุณชิตกใจและสงสัยว่าเขาจะมองหน้าตัวเองไปทำไม ในตอนนั้นคุณชิยังคงคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนดวงตาที่เป็นสีแดง อาจเป็นเพราะแสงจากการฉายหนังก็เป็นได้ หลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็หันกลับไปเหมือนเดิม

       กระทั่งหนังฉายจบ คุณชิก็รีบเดินออกไปรอหน้าโรงหนัง เพื่อที่จะดูว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกมาหรือไม่ แต่กลายเป็นว่ามีคนเดินออกไปแค่ 5 คนเท่านั้น! เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินออกมาแค่ 5 คน คุณชิจึงคิดว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเดินออกประตูอื่น เพราะในช่วงนั้นจะมีป้าแม่บ้านมาทำความสะอาด เขาอาจจะออกประตูนั้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ คุณชิจึงเดินไปหาป้าแม่บ้าน A แต่เมื่อถามว่ามีลูกค้าเดินสวนออกมาทางนี้หรือไม่ ป้า A ก็ตอบกว่า “ไม่มีนะ” คุณชิเริ่มคิดในใจว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ใช่คน แต่ก็ยังไม่ได้บอกป้าเอว่าตนเจออะไรมา จากนั้นคุณชิก็กลับไปทำงานตามปกติ

       ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ คุณชิยังคงไปทำงานตามปกติ ก็ได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศคุยกันว่า “เมื่อคืนนี้ ลูกค้าเจอผี” คุณชิหูผึ่งทันที จึงขอให้พี่ในออฟฟิศเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็เล่าว่า “เมื่อคืน ก่อนที่ลูกค้าผู้ชาย A จะเข้าห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีลูกค้าผู้ชาย B ยืนส่องกระจกอยู่ แต่ไม่เชิงว่าส่องกระจก เพราะเขายืนตรง ๆ แต่ลูกค้า A ก็ไม่คิดอะไร เดินเข้าไปยืนทำธุระส่วนตัวตรงโถ ซึ่งเป็นมุมที่ต้องยืนหันหลังให้ลูกค้า B เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยไม่ถึงหนึ่งนาที หันกลับมาก็ไม่มีใครยืนส่องกระจกอยู่แล้ว! แถมประตูก็ไม่ได้เปิดอยู่ด้วย ทุกอย่างในห้องน้ำดูเงียบสงัด ลูกค้า A จึงไปบอกกับป้าแม่บ้าน C และเล่าว่าเขาเจอผีบ่อยมากเลยเวลามาดูหนังที่นี่ แต่ป้าแม่บ้านก็ทำได้แค่ตอบรับแล้วก็เดินจากไป” หลังจากทราบคร่าว ๆ แล้ว คุณชิจึงไปหาป้าแม่บ้าน C เพื่อถามเรื่องราวต่อ แต่ป้าก็ปฏิเสธบอกเพียงว่า “ป้าไม่รู้หรอก ไม่รู้ ๆ เราทำงานที่นี่ เรารู้อยู่แล้ว ป้าไม่อยากพูด” พูดจบก็รีบเดินจากไป แต่อาการลุกลี้ลุกลนของป้า ทำให้คุณชิยืนงง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อป้าไม่บอก ก็ไม่ต้องรู้ก็ได้ คุณชิคิดแบบนั้นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ

       เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงวันที่คุณชิต้องเข้างานกะดึกอีกครั้ง วันนั้นมีหนังเรื่องใหม่ที่คุณชิอยากดูอยู่พอดี จึงเข้าอีหรอบเดิม แต่ครั้งนี้คุณชิเข้าไปเช็คทั้งหน้าแอปฯ หน้าเคาน์เตอร์ ว่ามีลูกค้ากี่คน แล้วก็จะเข้าโรงหนังช้ากว่าปกติเพื่อให้ลูกค้าเข้าโรงให้หมดก่อน แต่เมื่อเช็คแล้ว ในรอบนั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเลย ตามปกติแล้วรอบนี้ก็จะงดฉาย แต่คุณชิขอให้เพื่อนร่วมงานฉายหนังตามปกติ จากนั้นคุณชิก็เดินเข้าไปดูหนังคนเดียว

       เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ก็สังเกตเห็นว่ามีคนมานั่งอยู่แถว F ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้! (ห่างจากแถว AA ประมาณ 5-6 แถว) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งเดิมที่คุณชิเจอเมื่อคราวก่อนด้วย คุณชิเกิดคำถามในหัวมากมายว่าเขาคนนั้นเข้ามาในโรงหนังได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รอบนี้มันไม่ควรจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที เขาก็หันกลับมามองที่คุณชิด้วยตาแดงก่ำคู่นั้น! สักพักเขาก็อ้าปาก แล้วเลือดก็ไหลออกมา! คุณชิตกใจด้วยความกลัวก็รีบวิ่งออกจากโรงหนังทันที

       คุณชินั่งอยู่หน้าโรงหนังนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในโรงหนังอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามันไม่มีใครอยู่ในโรงหนังนั้นเลยสักคน! คุณชิในตอนนั้นเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่น่ามีใครมาแกล้งอะไรแบบนี้ และนั่นคงจะเป็นผีแน่ ๆ จากนั้นก็เดินไปหาน้องที่ทำงานเกี่ยวกับตั๋วแถวนั้น คุณชิเล่าเรื่องที่เจอให้น้องฟัง และยังเล่าให้เพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คนฟัง แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าคุณชิตาฝาดไปเองมากกว่า และทุกคนก็ยืนยันว่าที่นี่ไม่มีผี คุณชิก็พยายามไม่คิดอะไร แล้วกลับไปทำงานตามปกติ

       คุณชิเล่าว่าในห้องที่ฉายหนัง จะมีหน้าต่าง 3 บาน ตรงกลางเป็นช่องสำหรับฉายโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นหน้าต่างที่สามารถเปิดปิดได้ เป็นช่องขนาดเล็กที่เอาไว้ชะโงกดูความเรียบร้อยภายในโรงหนัง คืนหนึ่ง หลังจากที่หนังรอบสุดท้ายฉายจบแล้ว คุณชิก็จะมีหน้าที่เดินปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดเสียง และระบบต่าง ๆ และจะต้องเปิดหน้าต่างเหล่านั้น เพื่อให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดความชื้นในห้องฉายหนัง ขณะที่เปิดหน้าต่าง คุณชิก็ต้องชะโงกหัวออกไปเพื่อเช็คความเรียบร้อยในโรงหนัง คุณชิต้องก้มหน้าเพื่อเอาหัวสอดเข้าไปในช่องนั้น แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา ก็ประจันหน้าเข้ากับผู้ชายที่ตาแดงก่ำหน้าโชกไปด้วยเลือดอย่างสยดสยอง! คุณชิตกใจรีบเอาตัวถอยหลังจนชนกำแพง และบอกว่า “อย่า อย่าพี่! ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ!” จากนั้นพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่โปรเจคเตอร์ก็วิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ คุณชิก็เล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง แต่พี่เขาก็บอกว่าคงไม่มีอะไร จากนั้นก็เช็คในโรงอีกรอบ และก็บอกว่า “ไม่มีใครเลยนะ ตั้งสติแล้วมาดูดี ๆ” แต่คุณชิก็ยืนกรานว่าเขาเห็นจริง ๆ จากนั้นก็ชะโงกหัวไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็ไม่มีใครจริง ๆ หลังจากนั้นก็รีบปิดระบบทุกอย่างแล้วกลับบ้านทันที

       คุณชิเล่าว่าภาพนั้นมันยังติดตาอยู่เลย เพราะเป็นการประจันหน้าในระยะห่างกันแค่ 20 เซนติเมตร และหน้าต่างตรงนั้นอยู่ในจุดที่สูงจากพื้นเมตรกว่าได้ ไม่น่ามีใครยื่นหน้าเข้ามาหาแบบนั้นได้เลย คุณชิยังบอกอีกว่าเขาเองก็ห้อยพระ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมาก หลังจากนั้นก็ต้องมาทำงานกะดึกปกติ ในจังหวะที่ต้องเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้านั้น ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ที่เดิมในโรงหนัง แล้วเขาก็ลุกขึ้นมากำลังจะเดินออก ก็มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามา เอามีดมาจ้วงแทงเขาหลายรอบ เขาสำลักเลือดแล้วก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มลงนอนตรงนั้น ส่วนคนที่แทงก็วิ่งหนีหายไปเลย! คุณชิตกใจรีบตะโกนเสียงดังและวอร์วิทยุว่ามีคนแทงกันในโรงให้ทุกคนเข้ามาช่วยกัน เมื่อทุกคนเข้ามา ในโรงกลับว่างเปล่า! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คุณชินั่งหน้าซีดตัวสั่น ไม่คุยกับใครเลย

       เมื่อสงบสติได้แล้ว พี่ในออฟฟิศก็เล่าว่า “มีคนเคยแทงกันตายจริง แต่ว่ามันผ่านมานานมากแล้ว” จากนั้นก็แนะนำให้คุณชิไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณนั้น และก็ให้คุณชิหยุดทำงานไปสักพัก หลังจากเจอเหตุการณ์นั้นคุณชิก็จับไข้หัวโกร๋น และไปทำบุญให้ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้วิญญาณนั้นหายไป คุณชิยังคงเห็นเขานั่งอยู่ที่นั่งเดิม เพียงแต่ไม่ได้ทำให้กลัวเหมือนที่เคยเจอ

       ล่าสุด คุณชิเข้าไปดูหนังรอบดึกอีกครั้ง แต่ด้วยความล้าจากการทำงาน จึงเผลอหลับ แต่ก็มีคนมาสะกิด คุณชิก็สะดุ้งตื่น แล้วก็เห็นว่าหน้าเขาก้มลงมามองที่คุณชิอยู่! คุณชิก็รีบบอกไปว่าจะทำบุญไปให้ พอลืมตามาอีกที เขาก็หายไปแล้ว!

       ปัจจุบันนี้คุณชิยังทำงานอยู่ที่เดิม เพราะงานก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ และเล่าเพิ่มเติมว่าถ้าไปที่โรงนั้น แล้วสังเกตก็จะเห็นว่ามีศาลตั้งอยู่หลังม่าน

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

22 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

‘คุณใหม่ รอเรน’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ร้องขอชีวิต’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณใหม่เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้อง ‘เลิ่กลั่ก’ ดาว TikTok ที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเห็นคลิปของน้องมาไม่มากก็น้อย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าน้องมีเอเนอร์จี้เหลือล้น ตลก และสนุก แต่เรื่องราวที่น้องเจอมานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นเรื่องราวในวัยเด็กที่โหดร้ายมากเสียจนแทบจะเป็นหนังฆาตกรรมได้ แต่เลิกลั่กก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ร่าเริงได้ขนาดนี้ คุณใหม่ถึงกับเอ่ยปากชมไม่หยุด เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ชายของน้องเลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนั้น เลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ภาคใต้ ซึ่งจะเป็นครอบครัวที่เป็นหมอคุณไสย์ มนตร์ดำ มีอยู่วันหนึ่ง คุณไสย์บอกว่าให้ลงไปงมในบ่อที่เป็นบ่อน้ำเหมือนทะเลสาบ บอกว่าใต้น้ำนั้นมีไม้ตะเคียนใหญ่ 2 ต้น และสั่งให้พ่อเอาขึ้นมา เพื่อเอามาทำเป็นเสาบ้าน คุณพ่อจึงลองงมตามที่บอกและปรากฎว่าเจอจริง ๆ จากนั้นก็นำกลับมาไว้ที่บ้าน ซึ่งน้องเลิ่กลั่กก็จะตกใจทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วเจอไม้ใหญ่ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น อันดับแรก วันแรกที่เอาไม้ตะเคียนมาพ่อก็หนีออกจากบ้าน แล้วไปนอนบนภูเขา ตอนเช้าค่อยกลับมาบ้าน รอบแรกไปแค่วันเดียว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มเพิ่มเป็น 2 วัน บางทีเป็นอาทิตย์ ตอนที่ลงจากเขาก็ถามว่า “ไปไหนมา” พ่อก็บอก “ไปนอนบนภูเขา” ซึ่งมันแปลกมาก ทุกคนในบ้านก็งง และพ่อเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป จู่ ๆ ก็หยิบปืนลูกซองขึ้นมาเล็งคนในบ้าน และพูดว่า “กูจะเอาชีวิตทุกคนในครอบครัว” ตอนนั้น เลิกลั่กพึ่งจะอายุ 12 ยังเด็กมาก ต้องไปหลบใต้ต้นพลูกับพี่ชายเพื่อหลบปืนจากพ่อ มีบางวัน พ่อก็ลุกขึ้นมาต่อยกระจกบ้านรอบบ้านจนแตก และมือก็เป็นแผลเลือดออกเต็มไปหมด หลังจากนั้นพ่อก็เอามือที่เต็มไปด้วยเลือดป้ายตามบ้านเต็มไปหมด ซึ่งทุกวันนี้รอยเลือดนั้นก็ยังอยู่ ในตอนกลางคืนที่น้องนอนก็มักจะได้ยินเสียงพ่อใช้เคียวกรีดยางขูดกับอะไรบางอย่างเหมือนในหนังฆาตกรรม เลิกลั่กจึงบอกกับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว และในทุก ๆ วันแม่ก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปกรีดยาง ทุกครั้งที่ไปกรีดยางจะเห็นพ่อยืนอยู่ไกล ๆ เหมือนแอบส่องมาจากไกล ๆ แม่เดินไปทางไหนพ่อก็จะมองตาม พ่อเริ่มอาการหนักมาก จึงไปปรึกษาพระแถวบ้าน พระท่านบอกให้เอาต้นตะเคียนออกจากบ้านไป และนำมาไว้ที่วัดแล้วพรมน้ำมนต์ หลังจากทำตามที่พระบอก พ่อก็หายตัวไปเป็นระยะเวลา 10 ปี เลิกลั่กพึ่งจะมาได้ข่าวพ่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากแม่ว่าเจอพ่อแล้ว แต่พ่อไม่มีสติแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มทำรายการผีเจอเรื่องหลอนซะเอง! เมื่อต้องตรวจเทปจนดึกดื่น แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงออกมาจากคอมว่า “อาจจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง” ซ้ำไปซ้ำมา! รีบวิ่งไปหารปภ.มาอยู่เป็นเพื่อน แต่สุดท้าย รปภ.กลับพูดขึ้นมาว่า...!

14 ธ.ค. 2023

หนุ่มทำรายการผีเจอเรื่องหลอนซะเอง! เมื่อต้องตรวจเทปจนดึกดื่น แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงออกมาจากคอมว่า “อาจจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง” ซ้ำไปซ้ำมา! รีบวิ่งไปหารปภ.มาอยู่เป็นเพื่อน แต่สุดท้าย รปภ.กลับพูดขึ้นมาว่า...!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของพนักงานที่ต้องอยู่ทำงานคนเดียวกลางดึก ทำให้เขาต้องเจอเรื่องบางอย่างที่ชวนช็อคจนน็อคหลับไป! ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากญี่ปุ่น คนที่เจอให้ชื่อสมมุติว่า ‘ทาเคชิ’ ตัวเขานั้นได้ทำรายการอยู่ช่องหนึ่ง ตึกที่ทาเคชิทำงานอยู่นั้นก็จะมีบริษัทจำนวนมากเช่าพื้นที่อยู่ในตึก ในช่วงนั้นเอง สตูดิโอของทาเคชิได้รับมอบหมายให้ทำรายการผี วันหนึ่ง ทาเคชิได้ออกไปถ่ายทำรายการข้างนอกและได้กลับเข้ามาในออฟฟิศ เพื่อที่จะเอาไฟล์มาลงในคอม และเพื่อเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ หลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยกลับไป เหลือเพียงทาเคชิและผู้กำกับ ทั้งคู่นั่งเช็คเทปกันจนดึกดื่น สักพักผู้กำกับก็พูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้พี่มีธุระ วันนี้พี่เช็คแค่นี้ก่อนนะ ยังไงที่เหลือฝากเก็บด้วย” จากนั้นผู้กำกับก็เดินออกไป กลายเป็นว่า ณ สตูแห่งนั้นก็เหลือเพียงทาเคชิคนเดียว ไม่นาน ทาเคชิก็ปิดจอมอนิเตอร์ ดึงปลั๊กออก และปิดไฟทั้งหมดให้เรียบร้อย ขณะที่กำลังเดินลงไปข้างล่าง ทาเคชิต้องเดินผ่านห้องที่ใช้เก็บเทปและไฟล์ ซึ่งในนั้นก็จะมีจอมอร์นิเตอร์ตั้งอยู่ด้วย ทาเคชิสังเกตว่าจอนั้นยังเปิดอยู่ และมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาว่า “อาจจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง” ทาเคชิจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิงที่มีจิตสัมผัสพิเศษที่เขาได้ไปถ่ายรายการมานั่นเอง ทาเคชิคิดในใจว่าจะให้เดินผ่านไปเฉย ๆ คงจะไม่ได้ จิตสำนึกของเขาสั่งให้เดินเข้าไปปิด แต่ลึก ๆ แล้ว ทาเคชิก็ไม่กล้า เพราะคิดว่าหรือจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่งจริง ๆ ไม่นานนัก ทาเคชิก็รวบรวมความกล้าแล้วเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็พูดว่า “มีใครอยู่ไหมครับ?” ทันทีที่พูดจบ ภาพในมอนิเตอร์ก็หยุดลง ห้องทั้งห้องมืดและเสียงก็เงียบลง มีเพียงแค่แสงไฟจากมอนิเตอร์สว่างเป็นย่อม ๆ เพียงเท่านั้น และทันใดนั้น ภาพในจอมอนิเตอร์ก็ย้อนกลับไปเล่นคำเดิมที่ว่า “อาจจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง” เป็นการย้ำอีกครั้ง! ทาเคชิตกใจและรีบออกมาตั้งสติ หากเขาไม่เข้าไปปิดคืนนี้ พรุ่งนี้เขาจะต้องโดนด่าแน่ เพราะเหลือเขาเป็นคนสุดท้าย ทาเคชิจึงคิดว่าจะหาเพื่อนมาอยู่ด้วย แต่ ณ ตอนนั้นทั้งตึกเหลือแค่คุณรปภ.อยู่ ทาเคชิจึงรีบเดินลงไปหาคุณรปภ. พอไปถึงคุณรปภ.ก็พูดว่า “สวัสดีครับ วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” ทาเคชิจึงพูดกลับไปว่า “ขอโทษนะครับพี่ รบกวนมากับผมหน่อยได้ไหมครับ?” คุณรปภ.ก็ถามกลับว่า “เกิดอะไรขึ้นหรอครับ?” ทาเคชิตอบเพียงว่า “มากับผมนิดนึงครับ คือพอดีผมอยากให้มาเช็คอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ” ทาเคชิไม่กล้าบอกกับคุณรปภ. เพราะกลัวว่าคุณรปภ.จะกลัว เมื่อทาเคชิยืนกรานขอให้รปภ.ไปด้วย เขาจึงตกลงและเดินไปด้วยกัน เมื่อไปถึงห้องที่เกิดเหตุ ทาเคชิก็บอกคุณรปภ.ว่า “พี่ยืนอยู่ตรงนี้ พี่อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวผมจะเข้าไปปิดทีวีแป๊ปนึง” คุณรปภ.ก็ตกลงและยืนรอ ทาเคชิเดินไปเปิดประตูและทันทีที่กำลังจะกดปิดจอนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกว่า “อาจจะมีวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง” เล่นภาพเดิมขึ้นมาอีกครั้ง! ทาเคชิตกใจรีบกดปิดทันที เขาคิดอยู่คนเดียวว่า “มันมีหรือเปล่า.. ไม่น่ามีหรอก..” จากนั้นก็หันหลังกลับไป ทาเคชิเห็นว่าคุณรปภ.คนนั้นก้มหน้าอยู่และพูดว่า “คนนั้น.. ผมเองครับ” และค่อย ๆ เงยหน้ามา สิ่งที่ปรากฏคือ หน้าของรปภ.คนนั้นเต็มไปด้วยเลือด! ทาเคชิตกใจจนหมดสติไป ณ ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็รุ่งเช้าของอีกวัน มีคนมาพบเขาและปลุกขึ้นมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานเกิดอะไร?” ทาเคชิจึงค่อย ๆ ตั้งสติและหันไปทางมอนิเตอร์ ปรากฎว่ามอนิเตอร์นั้นก็เล่นรายการไปตามปกติ ไม่มีติดลูป ไม่มีปัญหาเหมือนเมื่อคืนนี้ เขาจึงคิดว่า ‘แล้วทำไมเมื่อคืนนี้ ถึงติดลูปอยู่อย่างนั้น?’ ทาเคชิจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง และถามเพื่อนว่า “พี่ที่เขานั่งอยู่หน้าลิฟท์ เรามีใช่ไหม ชั้นของเรามีใช่ไหม” เพื่อน ๆ จึงตอบว่า “มี” ทาเคชิถามต่ออีกว่า “เรามีคนใส่ยูนิฟอร์มที่เป็นสีกากีไหม” เพื่อนตอบมาว่า “ไม่ ปกติตึกนี้ทุกคนจะใส่สีฟ้าหมด” ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ก็กลับมาคิดว่า เมื่อวานนี้เขาไม่ทันได้สังเกตว่ายูนิฟอร์มของรปภ. มันไม่เหมือนทุก ๆ วันที่เขาเห็น ทาเคชิเล่าเรื่องรปภ.ให้เพื่อนฟังเพิ่ม และเพื่อนก็ตอบกลับมาว่า “งั้นก็อาจจะเป็นวิญญาณตนหนึ่งก็ได้..”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

28 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

‘คุณหนองน้ำ’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘ผีนักวิ่ง’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ธันวาคม 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! ‘คุณหนองน้ำ’ เกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ที่รู้จักกันชื่อ ‘พี่กอล์ฟ’ เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ที่อยู่ในแวดวงไตรกีฬา วิ่ง ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ ซึ่งเรื่องที่พี่กอล์ฟได้นำมาเล่าให้คุณหนองน้ำฟัง เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2020 ตอนนั้นพี่กอล์ฟได้มีโอกาสไปวิ่งเทรล ที่จังหวัดเชียงใหม่ การวิ่งเทรล คือ การวิ่งในรูปแบบของการผจญภัยตามบริเวณหรือพื้นที่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่า ภูเขา เป็นเส้นทางที่ขรุขระ เนิน ดิน หิน ทราย และที่แน่นอนก็คือ เส้นทางวิ่งจะมีความแตกต่างจากการวิ่งแบบปกติในเมืองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพี่กอล์ฟวิ่งเทรลในระยะทาง 93 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกลมาก และจะเริ่มออกตัวในช่วงเวลากลางคืน โดยนักวิ่งส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์คู่ใจเวลาวิ่งในป่าคือ Headlamp (ไฟฉายคาดศีรษะ) และสิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้พี่กอล์ฟไปเจอกับบางสิ่งบางอย่างในป่านั้น.. หลังจากที่ปล่อยตัวตอนกลางคืน ขณะที่พี่กอล์ฟวิ่งไปได้ระยะประมาณ 50 กิโลเมตร ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอยู่ตลอด ทำให้การวิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น เพราะว่าเส้นทางที่มันลื่นบวกกับตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนอีกด้วย จึงทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นนั้นแคบลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลานักวิ่ง วิ่งไปเรื่อย ๆ นักวิ่งแต่ละคนจะค่อย ๆ ห่างกันไป จนเริ่มไม่เห็นไฟจาก Headlamp ของคนอื่นแล้ว เมื่อระยะทางเริ่มไกลขึ้น พี่กอล์ฟรู้สึกว่าไฟบนหัวของตัวเองเริ่มติด ๆ ดับ ๆ จากนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างลอยอยู่ทางซ้ายมือ ในตอนแรกพี่กอล์ฟคิดว่าตัวเองตาฝาด สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปดู สิ่งที่เห็นคือ ‘คุณยาย ผมประบ่า เสื้อผ้ามอมแมม’ มาตะคอกใส่พี่กอล์ฟว่า “มึงออกไป!!” หลังจากเจอสิ่งที่เกิดขึ้น พี่กอล์ฟตกใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจออะไรแบบนี้ เพราะว่าตัวพี่กอล์ฟเป็นคนที่ลงสมัครงานวิ่งเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย เรียกได้ว่าไม่เคยเจอผีมาก่อนในชีวิต หลังจากที่คุณยายพูดเสร็จ แค่แว๊บตาเดียวคุณยายคนนี้ก็หายไป แต่ด้วยความตกใจจึงทำให้ขาที่วิ่งอยู่ตอนนั้น วิ่งเร็วขึ้นไปอีก และคิดในใจว่าต้องวิ่งไปหานักวิ่งกลุ่มอื่น ๆ หลังจากที่เจอนักวิ่งกลุ่มอื่นแล้ว เพราะความตกใจที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวิ่งหลุดนักวิ่งกลุ่มนั้นออกมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เพราะคิดเพียงแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากตรงนี้ให้ได้ สักพักหนึ่ง พี่กอล์ฟได้เหลือบไปเห็นศาลระหว่างทาง เป็นศาลไม้เก่า ๆ ที่ดูขลังมาก หลังจากที่เห็นศาลนั้น พี่กอล์ฟก็ได้ยินเสียงลอยตามลมมาอีกครั้ง เป็นเสียงในระยะที่ใกล้มาก มาจากทางด้านซ้ายมือ พูดว่า “ทำไมมึงยังไม่ไป!!” แต่รอบนี้พี่กอล์ฟมองไม่เห็นตัวคุณยายแล้ว ในขณะนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า ‘วิ่งต่อได้ แต่ใจกับความคิดตอนนั้นคือเหม่อไม่รู้ตัวแล้วว่าวิ่งไปทางไหน’ สติอย่างเดียวของพี่กอล์ฟคือพยายามตามหาริบบิ้นที่ผูกไว้ตามต้นไม้ ที่ผูกไว้เพื่อบอกว่าจุดในไหนที่เป็นจุดพักต่อไป และสุดท้ายจากระยะทาง 93 กิโลเมตร พี่กอล์ฟวิ่งไปได้เพียง 63 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะพี่กอล์ฟตัดสินใจขอ DNF (Did not finish) หรือก็คือเมื่อลงแข่งขันแล้วแต่วิ่งไม่จบ เช่น เหนื่อยไม่วิ่งต่อแล้วหรือหลงทางจนไม่สามารถไปถึงเส้นชัยได้ เพราะคิดว่าถ้าวิ่งต่อไปอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จึงตัดสินใจขอ DNF เมื่อกลับลงมาแล้ว อีกวันหนึ่งหลังจากที่พูดคุยกับนักวิ่งท่านอื่น ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครเห็นศาลนั้นเลย..เหตุการณ์ที่ 2 เป็นเรื่องของคุณหนองน้ำเอง เป็นตอนที่คุณหนองน้ำปั่นจักรยานอยู่ ณ ที่หนึ่งในช่วงวันปีใหม่ ซึ่งแถวนั้นแทบไม่มีคนเลย ในขณะที่คุณหนองน้ำกำลังปั่นจักรยานผ่านจุดแลนด์มาร์คศาลจุดหนึ่ง จู่ ๆ คุณหนองน้ำก็ได้ยินเสียงผู้หญิงจากทางด้านขวาพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นพี่ที่รู้จักกัน มาปั่นอยู่ข้าง ๆ แต่พอหันไปดูกับไม่เห็นใครอยู่เลย..เหตุการณ์ที่ 3 อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นพี่ที่รู้จักกัน พี่คนนั้นได้วิ่งผ่านวัด และได้เจอกับแม่ชีคนหนึ่งยืนอยู่หน้าวัด ยิ้มให้ และพูดว่า “เข้ามาทานข้าวต้มก่อนไหม เข้ามากินข้าวก่อนไหมหนู”แต่พี่คนนั้นตอบกลับไปว่า “อ๋อไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” เพราะตอนนั้นพี่เขากำลังวิ่งอยู่ หลังจากวิ่งเสร็จกลับมาที่งาน ก็มีการคุยกันกับนักวิ่งคนอื่น ๆ ในเรื่องต่าง ๆ จนมาถึงเรื่องของพี่คนนี้เล่าว่า ‘เมื่อเช้าวิ่งผ่านวัด ๆ หนึ่งแล้วเจอแม่ชีมาเรียก ให้ไปกินข้าวที่วัด’ คนในพื้นที่จึงถามขึ้นมาว่า “วัดไหนนะคะ” หลังจากที่บอกชื่อวัดไป คนในพื้นที่คนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “วัดนี้เป็นวัดร้างนะ แต่ในอดีตเคยมีแม่ชีอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่หลังจากที่แม่ชีคนนี้เสีย วัดนี้ก็ไม่ได้มีใครเข้ามาบูรณะต่อ”เหตุการณ์ที่ 4 เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของพี่อีกท่านหนึ่ง ในขณะที่พี่คนนี้วิ่งงานเทรลอยู่ ระหว่างวิ่งนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนวิ่งนำหน้า พี่คนนี้จึงวิ่งตามไปเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งหลุดกลุ่ม ปรากฏว่าที่วิ่งไปไม่มีใครอยู่เลย จนเจ้าหน้าที่มาตามกลับ และบอกว่า “ตรงนี้มันไม่ใช่เส้นทางที่ให้นักวิ่งผ่านนะ มันผิดเส้นทาง”เหตุการณ์ที่ 5 เป็นเรื่องของแฟนคุณหนองน้ำ แฟนคุณหนองน้ำได้ไปซ้อมวิ่งในช่วงเช้า สถานที่ใกล้กรุงเทพฯ หลังจากที่วิ่งขึ้นเขาลูกหนึ่งไป ซึ่งเป็นปกติที่เวลาขึ้นเขานักวิ่งจะใส่ Headlamp แต่แสงไฟดันไปส่องเห็น ‘คนที่นอนอยู่บนถนน เป็นผู้ชายหัวโล้น นอนในลักษณะเอาหัวพาดไปที่ถนน นอนหันหลัง’ แฟนคุณหนองน้ำคิดว่าจะไม่ข้ามคน ๆ นี้จึงวิ่งเบี่ยงตัวออกไป ในขณะที่กำลังจะวิ่งผ่าน เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวผู้ชายที่นอนอยู่ก็หายไป หลังจากนั้นแฟนคุณหนองน้ำจึงไปทำบุญที่วัด ซึ่งวัดนี้เป็นเหมือนจุดรวมของปรักหักพังจากการบูชาและศาลที่ไม่ได้บูชาแล้ว แฟนคุณหนองน้ำก็ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าอาวาสของวัดนี้ และได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอในตอนเช้า เจ้าอาวาสก็ได้ตอบกลับมาว่า “เป็นธรรมดาแหละโยม เพราะตรงนี้เป็นจุดที่หลายคนเอาโกศมาทิ้ง แต่ไม่ได้ทำพิธี เลยอาจจะทำให้เจอได้บ้าง” จึงทำให้หลาย ๆ คนที่ใช้เส้นทางเจอกับผู้ชายคนนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

21 ก.ย. 2023

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘Retrospect’ วงร็อกแนวหน้าของเมืองไทย เจอเรื่องหลอนที่ทำให้ทั้งวงนอนกันไม่ได้! ทั้งเสียงเคาะและเสียงกรี๊ดมากันให้ครบ เรื่องนี้ทำเอาแฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 กันยายน 2566) รวมทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงขั้นอ้าปากค้าง! จะอึ้งตามกันขนาดไหน ตามไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับวง Retrospect โดยตรง ในวันนั้นทุกคนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม โดยปกติแล้ว โรงแรมธรรมดาที่ไม่ได้ใหญ่โตมากในสมัยนั้น ควรจะเป็นทางบันไดเดินขึ้นลงธรรมดาไม่ได้เอื้อต่อคนที่ต้องใช้รถเข็น แต่ที่โรงแรมแห่งนี้ มีทางเดินสำหรับคนใช้รถเข็นแทบทุกจุด ราวกับว่าก่อนจะเป็นโรงแรม ที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่มีคนป่วยใช้รถเข็นอยู่มาก่อน วง Retrospect คิดได้เพียงเท่านั้น แต่ก็เข้าพักตามปกติ เมื่อเดินเข้าไปยังล็อบบี้ ทุกคนก็มองเห็นว่า มีเส้นทางเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน แต่มีไม้อัดปิดกั้นไว้เต็มไปหมด และมีศาลตี่จู้เอี๊ยะตั้งอยู่ด้านหน้า ทุกคนยังไม่ได้คิดอะไรเช่นเดิม ต่างคนต่างแยกย้ายเก็บของ ไปทานข้าว เตรียมซาวด์เช็ค และเล่นคอนเสิร์ตตามปกติ เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนหลังเล่นคอนเสิร์ตจบ ทุกคนก็กลับมายังโรงแรม และแยกย้ายอาบน้ำเตรียมตัวนอน โดยพี่บอมนอนพักร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ชื่อว่า ‘เดวิด’ ลักษณะของห้องมีห้องน้ำ ถัดมาเป็นเตียง 2 เตียง ถัดไปเป็นระเบียง พี่บอมคิดว่าการแบ่งสัดส่วนเช่นนี้ดูคล้ายกับห้องในโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะนอน พี่บอมปิดไฟห้องจนมืดมีเพียงแสงจากโทรทัศน์เท่านั้น สายตาหันไปมองด้านข้างก็พบว่าเดวิดหลับไปแล้ว ตัวพี่บอมเองก็เริ่มง่วงกำลังจะหลับตาลง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ดังขึ้นรัว ๆ แต่ในตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องผีแม้แต่น้อย คิดว่าเพื่อนมาเคาะเรียก เพื่อชวนไปสังสรรค์ เพราะตามปกติของวงจะมีห้องที่รวมตัวกันเรียกว่า ‘ห้องงาน’ พี่บอมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เห็นมีแต่ความว่างเปล่า! พอชะโงกหน้ามองซ้ายขวาปรากฏว่าไม่มีคน ทุกอย่างตรงนั้นเงียบสนิท จึงตัดสินใจปิดประตูหันหลังเข้าห้อง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่นาน เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้เสียงไม่ได้ดังมาจากประตูหน้าห้อง แต่ดังมาจากห้องน้ำภายในห้อง! พี่บอมเริ่มรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปกติแล้ว ระหว่างนั้นก็พยายามจ้องไปบริเวณที่มีเสียง เสียงก็ดังขึ้นอีก และค่อย ๆ ย้ายมาจากห้องน้ำ เป็นดังมาจากตู้เสื้อผ้า เคาะไล่มาเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตั้งโทรทัศน์! ตอนนั้นพี่บอมเริ่มมีความรู้สึกกลัว แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร สายตาก็หันไปมองที่เดวิดอีกครั้ง ทำให้ยังมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้นเพราะมีเพื่อนอยู่ด้านข้าง พี่บอมพยายามจะจ้องไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ แต่จังหวะนั้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากใต้เตียง! ในตอนนั้นพี่บอมก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกของเตียง จึงตัดสินใจลุกวิ่งหนีทันที แล้วทิ้งเดวิดให้นอนอยู่ในห้อง! เมื่อวิ่งออกมาถึงห้องงานก็รีบเปิดประตูเข้าไป แต่ดันเจอเซอร์ไพรส์กว่า เพราะภาพที่เห็นคือทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว ซึ่งปกติทั้งวงจะไม่ค่อยมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ พี่บอมเดินเข้าไปขอเครื่องดื่ม แล้วนั่งลงโดยที่ยังไม่เล่าอะไร แต่แล้วสมาชิกในวงก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เจอแล้วใช่ไหม” เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ทั้ง 11 คนเจอเหมือนกันทุกคน แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง เมื่อเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าและความเงียบเช่นเดิม เพียงเท่านั้นทุกคนมองหน้ากันแล้วคิดตรงกันว่า ‘ใช่แน่นอน’ จากนั้นก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะออกไปข้างนอก แต่พี่บอมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเดวิดนอนอยู่ในห้อง แล้วตำแหน่งห้องงานและห้องที่เดวิดนอน อยู่ห่างกันคนละฝั่ง (โรงแรมมีลิฟต์ตรงกลาง ห้องงานอยู่ฝั่งซ้ายสุด ส่วนห้องที่เดวิดนอนอยู่ฝั่งขวาสุด) พี่บอมจึงชวนทุกคนออกไปด้วยกัน กลายเป็นทั้งหมดเดินเกาะแขนกันไปเพื่อที่จะไปเรียกเดวิดออกมา ระหว่างทางทุกคนค่อย ๆ เดินช้า ๆ ขณะที่กำลังเดิน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซ้ำอีก แต่รอบนี้ดังจากในห้อง เป็นจังหวะแบบที่เมื่อห้องด้านซ้ายดัง ห้องด้านขวาจะดังต่อ สลับกันอย่างต่อเนื่อง! ยังไม่ทันจะถึงห้องของเดวิด เสียงเคาะก็ดังขึ้นก็ไล่มาจนถึงห้องด้านขวาของทุกคน เมื่อทุกสายตามองไปทางประตูด้านขวา เสียงเคาะนั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิงกรี๊ดดังขึ้นจากห้องด้านซ้ายแทน! จังหวะนั้นทุกคนส่งเสียงพร้อมกัน “ไป มึงไปปปป!” แล้วก็ตัดสินใจไปนั่งที่ร้านข้าวต้มแถวนั้นจนถึงเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็กลับเข้าไปยังที่โรงแรมนั้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือ เดวิดยังคงนอนอยู่ท่าเดิมตื่นมาด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และยังยืนยันว่านอนหลับสบายปกติ ทุกคนในวงจึงตัดสินใจเข้าไปถามพนักงานที่ทำงานในโรงแรม คำตอบที่ได้มาคือ ตามปกติแล้วจะเจอที่ชั้น 5 และทั้งชั้นจะไม่มีคนเลย (แต่ที่ Retrospect เจอคือชั้น 4) แต่ทุกเวลาหกโมงเย็น ประตูจะเปิดเองทุกห้อง พร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เป็นเสียงเพลงชาติเปิดดังขึ้นเอง เมื่อเพลงจบลงโทรทัศน์จะดับเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนประตูทุกห้องก็จะปิดกลับตามเดิมแบบไร้สาเหตุเช่นกัน! เรื่องหลอนยังไม่จบเพียงเท่านี้ พี่บอมเล่าว่าเมื่อย้อนกลับไปวันที่เข้าพัก ก่อนที่จะไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนได้มีโอกาสไปทานข้าวร่วมกับเจ้าของโรงแรม โดยเจ้าของเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด และหลังจากคืนที่เกิดเหตุการณ์เสียงเคาะนั้นจบลงไปได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า เจ้าของได้เสียชีวิตลงจากเหตุฆาตกรรม!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1