ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทักคนอื่นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเขาจนเสร็จสรรพ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจ จะมาเอาเป็นตัวตายตัวแทน!

12 ก.ค. 2023

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ในครั้งนี้ (27 มิถุนายน 2566) ต้อนรับแขกรับเชิญอย่าง ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังที่มาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจม’ ฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!

       เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะนั้นคุณฝนกำลังไฟแรงเดินหน้าปฏิบัติธรรม ด้วยความที่ร้อนวิชาจึงเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อคุณฝนสามารถตอบชื่อแฟนของผู้ชายคนนี้ รวมถึงสีที่แฟนของเขาชอบ ไปจนถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เขาเกือบโดนรถชนได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ถึงกับต้องผละตัวออกมาจากงานที่เขากำลังทำแล้วมานั่งฟังที่คุณฝนพูด

       คุณฝนเห็นภาพว่าผู้ชายคนนี้ได้เสียขาไป จึงเตือนผู้ชายคนนั้นว่า ให้ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดี และยังบอกอีกว่า เขาเคยสัญญาว่าจะไปบวชตอนรอดจากเหตุการณ์รถชนครั้งนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปบวช เขาจึงตอบกลับมาว่า จะไปบวชภายในเดือนนี้ คุณฝนจึงกำชับว่าให้รีบบวชโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้โดนรถชนครั้งนั้น อาจจะตามมาเอาชีวิตไปก็ได้ ผู้ชายคนนี้ขอบคุณคุณฝนเป็นอย่างมากที่ช่วยแนะนำวิธีการแก้เคราะห์ให้เสร็จสรรพโดยไม่ได้เก็บค่าครูแม้แต่บาทเดียว ในตอนนั้นเอง.. คุณฝนไม่รู้เลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป!

       เมื่อคุณฝนกลับมาถึงที่บ้าน ก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มที่ตัว เริ่มอ่อนเพลียและหนักที่หัวจนอยากเข้านอน พอตื่นมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนทรมานไปหมด คุณฝนรู้สึกเหมือนหัวถูกกดเอาไว้แล้วมีใครบางคนทุบมาที่หัวตลอดเวลา! คุณฝนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการคุณฝนตอนนั้นเหมือนกับคนที่กำลังจะเป็นไข้ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเหตุการณ์ที่ได้ไปช่วยผู้ชายคนนั้น และแล้วในความฝันกลางดึก คุณฝนก็พบกับร่างของชายคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ ที่ผิวของร่างชายคนนี้ไหม้เกรียมแถมมีไฟฟอนสีแดงแตกออกมา คุณฝนมองเห็นร่างนี้ได้แบบพร่ามัวและเลือนลาง แต่ก็ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา สิ่งนั้นเองที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูดวงของคุณฝนตลอดไป

       “มึงอ่ะ อยากยุ่งเรื่องของกูมากใช่ไหม มึงตายแทนมันไปเลยนะ!”

       แม้จะตื่นอยู่แต่คุณฝนกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย ที่ดวงตาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา คุณฝนนอนปวดหัวแสบร้อน ขณะที่คนในบ้านคอยเช็ดตัวให้ คุณฝนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่ามีคำพูดนั้นกระแทกเข้าหาตลอดเวลา ตอนนี้คุณฝนรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกทึ้งไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแฟนและแม่แฟนต้องพาไปส่งที่โรงพยาบาล

       เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลสารพัดวิธีแล้ว หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณฝนเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายหมอจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องเจาะไขสันหลังมาตรวจดูและผ่าเปิดกะโหลกไปเลย เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับน้ำในสมอง เมื่อคุณฝนซึ่งตอนนั้นไม่สามารถขยับร่างกายได้ยินเข้า จึงอธิษฐานให้บุญกุศลที่เคยทำไว้และการไปฏิบัติธรรมตลอดมาช่วยให้รอด คุณฝนบอกกับเสียงที่เข้ามาว่านับจากนี้ทุกเดือนจะไปปฏิบัติธรรมและไม่ทักใครหรือเข้าไปช่วยใครอีกเลย หากเขามิได้มีเจตนาจะร้องขอตั้งแต่แรก คุณฝนสะอื้นให้กับตัวเองแล้วรำพันว่าตนไม่ควรไปอวดอุตริไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมนี้แต่แรกเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวร

       เสียงนั้นก็ตอบกลับว่าคุณฝนไม่มีทางรอดไปได้ เพราะคุณฝนได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรเข้าไปยุ่ง ขณะที่ได้ยินแพทย์เจ้าของไข้ถามแฟนว่าให้เจาะไขสันหลังเลยไหม ผ่าตัดเลยไหม เพราะต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณฝนพยายามส่ายหัวให้คนเห็นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการ คุณฝนผู้ซึ่งเป็นคนที่นับถือ “พระแม่” เป็นอย่างยิ่ง จึงบอกกับพระแม่ว่าตนขออุทิศชีวิตตัวเองให้กับการทำดี แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเลย..

       เช้าวันต่อมา หมอคนที่จะผ่าตัดให้ก็มีเคสพิเศษเข้ามากะทันหัน จึงต้องให้หมอคนใหม่มาดูแลแทน แล้วคำวินิจฉัยก็เปลี่ยนไป หมอคนใหม่บอกว่าคุณฝนไม่ได้เป็นอะไรสามารถกลับบ้านได้ทันที สาเหตุที่ไม่สามารถขยับตัวได้คงเป็นเพราะไมเกรนทำพิษ ซึ่งอาจเกิดความเครียดตอนทำงาน สุดท้ายอาการต่าง ๆ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระยะ

       หลังจากนั้น คุณฝนก็ไปปฏิบัติธรรมทุกเดือนตามสัญญา คุณฝนเรียนรู้ว่าบางครั้งแม้เราจะมีดวงตาเห็นนิมิตอะไรบางอย่างในตัวคนคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกเขาอยู่ดี เพราะผลที่ตามมามันอาจรุนแรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่มีครู..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

           

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

08 ธ.ค. 2023

เจรจาก็แล้ว ขอขมาก็แล้ว สุดท้ายต้องมีคนตาย! งานนี้ยายออกโรงปกป้องหลาน แก้แค้นผีนางรำสุดโหด ลั่น! “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี”

เมื่อยายต้องแก้แค้นผีที่ทำให้หลานตัวเองเจ็บและทำให้เพื่อนของหลานต้องตาย ยายจะใช้วิธีไหน ติดตามในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธ.ค. 2566) กับเรื่องหลอนจาก ‘พี่แจ๊ค The Ghost Radio’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องทึ่ง! เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณวิทย์ เซลล์แมน’ ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พี่แจ๊คได้ฟัง เริ่มเรื่องโดยคุณวิทย์เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฮูก’ ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน คุณฮูกมีครอบครัวที่คุณยายเปิดตำหนักเป็นร่างทรง ดูดวง ปัดเป่าทุกข์โศก รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการรมควันให้ชาวบ้านระแวกนั้น และตัวของคุณฮูกก็มีกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าคุณฮูกเป็นหลานของคุณยายท่านนี้ วันหนึ่ง ขณะที่คุณฮูกกำลังนอนอยู่ที่ตำหนักของคุณยาย จู่ ๆ พ่อของเพื่อนคุณฮูกที่ชื่อ ‘คุณโอ๊ต’ ก็มาที่ตำหนักและบอกว่า “ช่วยไปดูโอ๊ตหน่อย โอ๊ตโดนผีเข้า” ได้ยินดังนั้น ยายของคุณฮูกก็รีบไปทันที ตัวคุณฮูกที่ได้ยินก็ตกใจและรีบตามไป พอไปถึงก็เจอคุณโอ๊ตในลักษณะที่โดนผีผู้หญิงเข้า และพูดอยู่เพียงประโยคเดียวว่า “ไอ้พวกนี้มันลบหลู่กู กูจะเอาชีวิตมัน! พวงมึงต้องตาย!” คุณยายที่ได้เห็นแบบนั้นก็เข้าเจรจาพูดคุยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” แต่ผีตนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไร พูดแค่ว่า “กูจะเอาชีวิตมัน มันลบหลู่กู พวงมึงต้องตาย” จากนั้น คุณยายก็หันหลับไปถามคุณฮูกว่า “ไหนเล่าให้ฟังซิ มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนเอ็งหนิ” คุณฮูกจึงเริ่มเล่าให้คุณยายฟังว่า “เมื่อวานนี้ กลุ่มเพื่อนได้ไปเล่นน้ำกัน ในระหว่างนั้นก็หาอะไรมาเล่น และเพื่อน ๆ ก็ได้ดำน้ำลงไปเอาก้อนดินมาปาใส่กัน ปรากฏว่า ‘โอ๊ต’ ได้ดำลงไปเอาก้อนดินใหญ่มากขึ้นมาปา แต่พลาดไปโดนศาลที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ศาลพัง ของในศาลตุ๊กตานางรำอะไรแตกกระจายไปหมด ทุกคนที่เห็นท่าไม่ดีก็ขอขมา และแยกย้ายกันกลับบ้าน” ยายที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เจรจากับผีตนนั้นว่า “ออกก่อนได้ไหม เรื่องแบบนี้เดี๋ยวให้เด็กไปขอขมาพรุ่งดีได้ไหม ตอนนี้มันมืดแล้ว” ผีตนนั้นก็ตอบสวนกลับมาว่า “ไม่ได้! ต้องไปขอขมาวันนี้ ไม่งั้นกูจะเอามันไป” คุณยายที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามทำให้ผีออกจากร่างด้วยวิธีการของยาย จนผีตนนี้ออกจากร่างไป ยายก็เอาด้ายแดงมาพันแขนของโอ๊ตไว้ แล้วก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ ให้เด็กทุกคนรวมตัวกันแล้วไปขอขมาตอนเช้า” เช้ารุ่งขึ้น เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันและไปขอขมาที่ศาลแห่งนั้น เรื่องนี้ก็ควรที่จะจบที่ตรงนี้ ที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป คุณฮูกได้รถมอเตอร์ไซค์มาใหม่ และอยากจะลองรถ จึงได้ชวนโอ๊ตไปด้วยกัน ในระหว่างที่ขี่ไปนั้นเ คุณโอ๊ตก็ได้ขอคุณฮูกว่า “ขอลองมั่งดิ อยากขี่บ้าง” คุณฮูกก็ให้คุณโอ๊ตลองขี่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านศาลนั้น ปรากฏว่าจังหวะที่ผ่านศาลนั้น ตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็ได้เห็นผู้หญิงแต่งตัวคล้าย ๆ นางรำมาโผล่ตามที่ต่าง ๆ จนตัวของคุณฮูกรู้สึกว่ากำลังโดนสิ่งนี้รังควาน คุณโอ๊ตที่ตกใจก็รีบขับหลบและหนีด้วยความเร็ว แต่ก็ยังโดนผู้หญิงคนนี้ตามไปทุกที่ จนกระทั่งกำลังจะขี่ข้ามสะพาน ปรากฏว่ารถได้ไปชนกับฟุตบาททำให้รถเสียหลักคว่ำ คุณฮูกถามคุณโอ๊ตว่า “เฮ้ย เพื่อนเป็นยังไงบ้าง” คุณโอ๊ตก็ตอบกลับมาว่า “เจ็บหน้าอกว่ะเพื่อน” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สลบไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลกันแล้ว คุณฮูกรู้สึกเพียงแค่เจ็บขา และก็คิดห่วงว่าเพื่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง จนกระทั่ง 7 โมงเช้า คุณโอ๊ตที่ใส่ชุดคนไข้ก็เดินเข้ามาถามว่า “เฮ้ย ฮูกเป็นไงบ้างวะ ขอโทษนะเว้ยที่ขี่รถแล้วเกิดอุบัติเหตุ” คุณฮูกที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร เราก็เห็นหนิ ว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่” หลังจากนั้นตัวของคุณฮูกและคุณโอ๊ตก็นั่งคุยกันอยู่อีกสักพักหนึ่ง คุณโอ๊ตก็บอกว่า “เฮ้ยฮูก ไปก่อนนะ เดี๋ยวกลับไปที่ห้องก่อน ค่อยเจอกันตอนออกจากโรงพยาบาล” จากนั้น คุณโอ๊ตก็เดินออกไป ตัวคุณฮูกจึงกลับไปนอน และหลับไปจนถึงช่วงเย็น คุณยายได้มาเยี่ยมคุณฮูกและถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณฮูกตอบไปว่าแค่เจ็บขา คุณยายก็ถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วรู้ข่าวไอ้โอ๊ตยัง” ด้วยความสงสัยคุณฮูกก็ถามไปว่า “ทำไมอะยาย” แต่สิ่งที่ยายตอบกลับมาทำให้คุณฮูกตกใจเป็นอย่างมากคือ “ไอ้โอ๊ตเสียแล้วนะ ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน หัวมันกระแทกแล้วมันจุกหน้าอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร” คุณฮูกที่ตกใจและเสียใจมากก็รีบสวนไปว่า “เฮ้ย ยายจะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อเช้าโอ๊ตยังมานั่งคุยกับผมอยู่ข้างเตียงตรงนี้” หลังจากนั้น ผ่านไป 3 วัน คุณยายก็มาบอกกับคุณฮูกว่า “พ่อของโอ๊ตเขาอยากให้ฮูกบวชให้หน่อยได้ไหม” คุณฮูกก็ตกลงทันที หลังจากที่บวชเสร็จ คุณยายก็มาถามฮูกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” คุณฮูกก็ตอบกลับไปว่า “ผมรู้สึกเจ็บใจที่นอนเจ็บตัวไป 3 วัน” ยายก็ถามกลับมาว่า “แล้วจะเอายังไง” คุณฮูกก็ตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่รู้ยาย แต่ผมเจ็บอะ” หลังจากนั้นคุณฮูกก็เล่าเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องให้คุณยายฟังว่าเจออะไรบ้างในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับโอ๊ต คุณยายก็พูดมาว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน เดี๋ยวกูจะทรมานมึง 3 ปี” ด้วยคำพูดนี้ ตกเย็นวันนั้น คุณยายก็ไปเผาศาลนั้นเพียงคนเดียว เหตุการณ์นี้ก็ผ่านไป ชาวบ้านต่างก็รู้ว่าคุณยายเป็นคนเผาศาลนี้เพราะว่าข่าวมันกระจายไปทั่วว่า ผีนางรำมาทำให้หลานเขาเจ็บ! หลังจากนั้นคุณฮูกก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตัดภาพกลับมาที่ตำหนักของคุณยายในตอนนี้ มีหม้อหุงข้าวอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งคุณยายจะเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวใบนี้ไว้ตลอดเวลา ตัวของคุณฮูกจะรับหน้าที่เป็นคนเติมน้ำเข้าไปในช่องที่มีไอน้ำออกมา ซึ่งคุณฮูกก็ถามคุณยายตลอดว่าหม้อใบนี้เอาไว้ทำอะไร คุณยายก็ตอบกลับมาเพียงว่า “มันเป็นหม้อเอาไว้นึ่งสมุนไพร เอาไว้รมควันรักษาคน” คุณฮูกก็เข้าใจแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งคุณฮูกไปเรียนปวส. 3 ปีผ่านไป ตำหนักแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม จนวันหนึ่งที่คุณฮูกเดินทางกลับมาที่ตำหนักนี้ คุณยายก็เรียกคุณฮูกไปและบอกว่า “เอาหม้อหุงข้าวนี้ไปทิ้ง ยามันน่าจะหมดแล้ว สมุนไพรมันน่าจะนิ่มหมดแล้ว” คุณฮูกที่ได้รับคำสั่งแบบนั้นก็รีบไปจัดการ แต่ขณะที่ไปดึงปลั๊ก ก็แทบจะดึงไม่ออก เพราะปลั๊กนี้ไม่ได้ถอดมา 3 ปีก็ทำให้ถอดออกยาก พอดึงออกมาได้และเปิดฝาออก ก็ทำให้คุณฮูกต้องผงะตกใจ เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่สมุนไพร! แต่มันคือตุ๊กตานางรำ! คุณยายนั้นเอาตุ๊กตานางรำมาต้มอยู่ 3 ปี!! จากการที่แค้นผีนางรำมาทำให้หลานตัวเองเจ็บ ทำให้เพื่อนของหลานตัวเองตาย คุณยายก็ได้ทำตามที่ตัวเองลั่นวาจาไว้ว่า “มึงทำหลานกูเจ็บ 3 วัน กูจะทรมานมึง 3 ปี”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

11 ม.ค. 2024

ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีจนไม่กล้านอน เช้ามาเพื่อนบอกว่าผีเอาเลขหวยมาบอก สุดท้ายไม่เชื่อ ชวดเงินล้าน!

เจอดีที่ห้องน้ำกลางดึก พอกลับมานอนพักช่วงเบรก ผีที่เจอฝากเพื่อนที่นอนข้าง ๆ มาบอกเลขเด็ดแต่ไม่ซื้อ ปรากฏว่าออกตามที่ผีบอกจริง ๆ ! เรื่องราวจาก ‘คุณยาย’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณยาย’ โดยคุณยายได้เริ่มเกริ่นว่า ช่วงชีวิตของคุณยายจะมี 2 พาร์ท เป็นพาร์ทโรงงานและพาร์ทตอนขับรถ ซึ่งก่อนที่คุณยายจะมาขับรถเหมือนในปัจจุบัน ได้ทำงานในโรงงานที่ผลิตเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่บางปู เป็นโรงงานที่มีตึกถล่มจนกลายเป็นข่าวดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลังจากที่โรงงานนี้ถล่มไปปีกว่า คุณยายได้ไปสมัครงานที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้จะมีอยู่หลายโรงงาน แต่โรงงานที่ถล่มเป็นข่าวดังคือโรงงานที่ 5 คุณยายไปสมัครโดยที่จะไม่รู้ว่าตนจะได้ไปทำที่โรงงานใด ทำได้เพียงแต่ภาวนาขออย่าให้เป็นโรงงานที่ 5 ก็พอ แต่ผลออกมาสรุปว่าได้ไปทำโรงงานที่ 5 พอดี ภายในโรงงานนี้จะเป็นไลน์ผลิตที่วิ่งไปเรื่อย ๆ 2 แถว งานที่คุณยายทำจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น รัด cable tie, หยอดกาว และเช็คตะกั่ว เป็นต้น ไลน์ผลิตที่โรงงานนี้ค่อนข้างแข็งแรง เพราะเป็นสแตนเลสทั้งหมด อีกทั้งคุณยายยังบอกว่าทางโรงงานจะแจ้งพนักงานไว้ว่า ถ้ากลางคืนจะนอนพักให้นอนใต้ไลน์ผลิต เพราะถ้ามีเหตุการณ์ตึกถล่มเหมือนที่เคยเกิด ไลน์ผลิตจะสามารถช่วยรองรับได้ ซึ่งในเวลางานจะมีแบ่งให้พักเบรก ไม่ว่าเป็น แบ่งเบรกย่อย 10 นาที, แบ่งเบรกเข้าห้องน้ำ และเบรกตอนตี 5 มีเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งส่วนมากในเบรกนี้คนที่โรงงานจะนอนพักกัน ต้องอธิบายก่อนว่าไลน์ผลิตจะวิ่งตลอดเวลาไม่มีการหยุดพัก จึงต้องคอยมีคนซัพพอร์ตเปลี่ยนกะเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งคุณยายก็พยายามที่จะไม่เข้าห้องน้ำบ่อย เพราะตอนไปสามารถไปได้แค่คนเดียว ไม่สามารถพาเพื่อนไปด้วยถ้าไม่ใช่เวลาพักจริง ๆ แต่แล้ววันนึง คุณยายอยากเข้าห้องน้ำ ในเวลาที่คนซัพพอร์ตมาเปลี่ยน ในใจคุณยายก็รู้สึกกลัวที่จะต้องไปคนเดียว คุณยายเกริ่นก่อนว่า “คนที่จะเจอเรื่องลี้ลับเนี่ย นอกจากเวลาจังหวะที่พอดีแล้ว มันจะมีเรื่องนึงที่เราจะเจอคือความสาระแนของเรานี่แหละ มันจะทำให้เราเจอผี” และเล่าถึงลักษณะห้องน้ำว่า ห้องน้ำที่โรงงานจะเหมือนห้องน้ำปั๊ม แต่สมัยก่อนห้องน้ำจะเป็นการก่ออิฐ ไม่มีชักโครก เวลาเข้าก็จะต้องนั่งยอง ๆ ภายในห้องน้ำก็จะมีอิฐก่อไว้ใส่น้ำ และมีขันไว้ราดในนั้น ก่อนที่คุณยายจะเข้าห้องก็เอานิ้วดันประตูเพื่อเช็คความสะอาดของแต่ละห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดันไปถึงประตูห้องหนึ่ง ปรากฏว่าเจอผู้หญิงคนนึง สภาพผมโกยลงมาปิดบังใบหน้า นั่งยอง ๆ อยู่ในห้องน้ำ คุณยายบอกว่าไม่มีเสียงกรีดร้อง หรือตกใจจากผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนที่คุณยายดันไปเจอ คุณยายก็ตกใจจึงพูดไปว่า “ขอโทษค่ะ ๆ” พร้อมกับปิดประตูให้ผู้หญิงคนนั้น แต่ก็รู้สึกแปลก เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปโดนเปิดประตูก็คงจะโวยวาย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความอยากรู้ คุณยายจึงไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ และทำธุระเบา เพื่อที่จะฟังความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น ปรากฏว่าคุณยายไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขัน หรือเสียงราดน้ำ จนกระทั่งคุณยายทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกจากห้อง ก็หันไปชะเง้อมองห้องข้าง ๆ เห็นว่าประตูเปิดแง้มไว้อยู่ จึงผลักเข้าไป ปรากฏว่า..ไม่ใครอยู่ในนั้น! พอคุณยายเห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในไลน์ผลิต ฝ่ายซัพพอร์ตเห็นคุณยายมีท่าทีแปลก ๆ จึงหันมามองหน้าคุณยายแล้วถามว่า “ยายเจออะไร?” คุณยายจึงตอบไปว่า “ไม่เจอ..” แต่หน้าคุณยายคงจะฟ้องว่าเจออะไรมา ซัพพอร์ตจึงบอกคุณยายอีกว่า “เดี๋ยวคุยกันนะตอนเบรก” แต่คุณยายก็ตอบกลับไปว่า “ไม่คุย” จนกระทั่งเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ซ้ายขวาหันมาถามคุณยายว่า “มึงเจออะไร” คุณยายตอบไปว่า “ไม่แน่ใจ” แต่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อถึงเวลาเบรกใหญ่ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะทำโอทีในช่วงตี 5 พนักงานในโรงงานก็นอนใต้ไลน์ผลิตกันตามปกติ โดยในช่วงเวลานั้นโรงงานจะปิดไฟมืดทั้งหมด คุณยายได้นอนใกล้เพื่อนที่ชื่อว่า “แหวว (นามสมมติ)” ซึ่งคุณยายก็นอนไม่หลับ เพราะในหัวมีแต่เรื่องที่เจอจึงนอนคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาเปิดไฟ ไลน์ผลิตกลับมาทำงานปกติ เพื่อนชื่อแหววที่นอนข้าง ๆ หันมาบอกคุณยายว่า “หวยออก 500 นะ” คุณยายก็ไม่เชื่อเพราะหวยอะไรจะออกเลข 500 เพื่อนที่ชื่อแหววยังบอกคุณยายอีกว่า “มึงเชื่อกู..กูฝันเมื่อกี้ได้หวย” แต่คุณยายก็ไม่เชื่อจึงไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่าเมื่อถึงวันหวยออก กลับเป็นเลขตรงตามที่เพื่อนคุณยายบอกจริง ๆ เพื่อนที่ชื่อแหววถูกหวยถึงขั้นซื้อรถกระบะป้ายแดงได้ 1 คัน! และเล่าให้คุณยายฟังว่าวันนั้น ตอนนอนเห็นผู้หญิงเดินมาทางห้องน้ำแล้วมานานอนข้าง ๆ เขา พร้อมบอกว่า “หวยออก 500 นะ บอกเพื่อนมึงด้วย” คุณยายบอกว่า เพื่อนของคุณยายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงเดินตามคุณยายมาจากห้องน้ำเพื่อมาบอก แต่คุณยายไม่ได้หลับ จึงสื่อสารกันไม่ได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

27 พ.ค. 2024

ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ‘คุณชาติ’ ฝากครูตรีมาเล่า ตอนนั้นคุณชาติมีแฟนมีคนหนึ่งชื่อ ‘คุณมิว’ (นามสมมุติ) คบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เรียนคณะเดียวกัน ตัวติดกันตลอด พอทั้งคู่เรียนจบก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ทั้งคู่ต้องห่างกัน ซึ่งคุณชาติกับคุณมิวต้องแยกกันอยู่ เพราะสถานที่ทำงานไม่สามารถทำให้อยู่ด้วยกันได้เหมือนตอนเรียนมหาลัย คุณชาติย้ายมาอยู่กับแม่ ซึ่งที่ทำงานของคุณชาติอยู่ห่างจากบ้านค่อนข้างไกล ส่วนคุณมิวนั้นมีที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน ดังนั้นเวลากลับบ้าน คุณมิวก็จะถึงบ้านก่อน แต่คุณชาติกว่าจะเดินทางมาถึงบ้านต้องใช้เวลา เฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยความที่อยู่ไกลกัน แล้วสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือค่าบริการแพงมาก จะมีก็แต่โทรศัพท์บ้านอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งบ้านของคุณชาติอยู่นอกเหนือพื้นที่ให้บริการโทรศัพท์บ้าน ด้วยความที่ทั้งคู่ทำงานไกลกัน คุณชาติจึงต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อจะได้ติดต่อกับคุณมิว คุณมิวจึงตั้งกฎเหล็กสำคัญไว้ใช้สำหรับทั้งคู่คือ ทุกครั้งที่กลับบ้านต้องโทรหากัน ทั้งคู่จะตกลงกันก่อนว่าจะคุยกัน 5 บาท หรือ 10 บาท (ในสมัยนั้น 1 บาท คุยได้ 3 นาที) หากคุยไม่ครบเวลาที่กำหนดกันไว้ คุณมิวก็จะงอนและทะเลาะกัน ดังนั้นถ้าตกลงกันแล้วต้องคุยให้ครบเวลาตามที่ตกลงกันไว้ จากนั้นคุณชาติก็เล่าต่อว่า ปกติเวลาเลิกงานคุณชาติจะนั่งรถสาธารณะกลับบ้านทุกวัน ซึ่งลักษณะซอยบ้านนั้น ถ้าลงรถสาธารณะแล้ว กว่าจะเดินเข้าถึงตัวบ้าน จะมีระยะทางประมาณ 600 เมตร และถ้าลงจากรถสาธารณะแล้วเดินเท้าเข้าไปในซอย ไม่นานจะเจอบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งแสงสว่างแหล่งแรกของซอยนี้ จากนั้นเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณถึงกลางซอย ก็จะพบเสาไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเป็นไฟทาง ซึ่งไฟสมัยนั้นจะเป็นไฟสลัว และถัดจากเสาไฟฟ้าไปอีกประมาณ 15 ก้าว ก็จะเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่หนึ่งตู้ คุณชาติจะใช้โทรศัพท์สาธารณะตู้นี้มาโดยตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่กลับจากที่ทำงาน ก็จะนัดกับคุณมิวโทรคุยกัน เช่น วันนี้จะคุย 5 บาท ก็หยอดเหรียญ 5 บาท แล้วก็คุยกันไปเรื่อย ๆ พอคุยใกล้จะเสร็จเวลาตัวเลขก็ถอยหลัง 5 4 3 2 จนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็จะบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า “เออเธอ มันจะหมดเงินแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับบ้านก่อน” จากนั้นคุณชาติก็วางโทรศัพท์แล้วก็เดินออกจากตู้ นี่คือสิ่งคุณชาติทำเป็นกิจวัตรประจำวัน มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นคุณชาตินั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอลงจากรถเสร็จ ก็เดินเข้าซอยบ้านไปเรื่อย ๆ ก็จะพบเสาไฟฟ้าต้นเดิม ทุกอย่างบริเวณนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินจนมาถึงตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้ประจำ แล้วก็เดินเข้าไปข้างในตู้ จากนั้น ก็หยอดเหรียญ 5 บาท เพราะวันนี้นัดกันว่าจะคุยกัน 5 บาท ระหว่างที่คุณชาติโทรอยู่ ตัวเลขเงินก็จะลดลง 5 4 3 2 พอเลข 2 ขึ้น คุณชาติก็มองออกไปข้างนอกตู้โทรศัพท์ กลับพบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าต้นนั้น แล้วเอียงคอชะโงกมองมาที่คุณชาติ! คุณชาติคิดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมารอคุยโทรศัพท์ต่อเป็นแน่ แต่ผู้ชายคนนั้นเขามารยาทดีมาก ไม่มายืนกดดันคุณชาติที่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะเลย แล้วตอนนี้เหลือเงินแค่ 2 บาท นั่นก็คือเหลือเวลาอีก 6 นาที ทั้งคู่ก็คุยกันจนหมดเวลา จากนั้นคุณชาติก็บอกกับแฟนว่า “เออเธอแค่นี้นะ เงินที่หยอดไปมันหมดแล้ว” คุณชาติก็วางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งคุณชาติก็บอกว่า ตัวเขาก็หันกลับมามอง ผู้ชายคนนั้นก็ยังยืนอยู่เสาไฟฟ้าที่เดิมแล้วเอียงคอชะโงกหน้ามองคุณชาติเหมือนเดิม คุณชาติคิดว่าเขาคงรอให้เราไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาก็จะคงเดินมาเข้าไปใช้โทรศัพท์สาธารณะเอง ไม่น่าจะมีอะไรคุณชาติก็เดินกลับบ้านไป เช้าวันต่อมาคุณชาติก็ไปทำงานเหมือนเดิมตามปกติ แต่วันนี้มีการประชุมหลายอย่าง ที่บริษัทก็มีปัญหาด้วย จากเดิมที่เคยกลับบ้านเฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ทำให้วันนี้นั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งดึกกว่าเดิม เมื่อนั่งรถสาธารณะมาลงหน้าปากซอยบ้าน ก็เดินผ่านบ้านหลังนั้นที่เป็นแหล่งแสงสว่างแสงแรก พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็ผ่านเสาไฟฟ้าไปจนถึงตู้โทรศัพท์ แต่วันนี้เป็นวันที่คุณชาติ ตกลงกับแฟนไปเมื่อวานว่าวันนี้เราจะคุยกัน 10 บาท คือครึ่งชั่วโมง คุณชาติก็หยอดเงินไป 10 บาท จากนั้นก็เริ่มโทรคุยกับแฟน ซึ่งระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ตาก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย คุณชาติก็ไม่เจอใคร แต่สักพักหนึ่งขณะที่คุณชาติหันหลังให้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อคุยกับแฟนเพลิน ๆ จนตัวเลขหน้าตู้โทรศัพท์มันก็ลดลงจนเหลือ 4 บาท คุณชาติก็หันกลับมา คุณชาติก็ได้พบกับผู้ชายคนเดิมยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าอีกแล้วในลักษณะชะโงกหน้ามองมาที่คุณชาติเหมือนเดิม แต่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเร่งหรือเดินเข้ามาหาคุณชาติ ตอนนั้นอารมณ์ของคุณชาติไม่ได้คิดเรื่องกลัวผีหรืออะไรเลย คุณชาติกำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นโจรหรือเปล่า หรือจะมาปล้นจี้มั้ย จากเดิมที่คุยกับแฟนสบาย ๆ ก็เริ่มเกิดความรู้สึกหวาดระแวง คุยโทรศัพท์ไปก็แอบเหลือบตามองไป ประมาณว่า ถ้ามองตรง ๆ เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว ถ้าเกิดเขาทำอะไรตอนนี้คงจะหนีไม่ทันเพราะ ยังอยู่ในตู้โทรศัพท์แบบนี้ คุณชาติก็แอบเหลือบตามองไป แกล้งหมุนตัวไป แต่ตั้งแต่ 4 บาท 3 บาท 2 บาท จนเหลือบาทสุดท้าย ผู้ชายคนนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยลักษณะท่าทางเดิม ไม่ขยับไปไหน คุณชาติเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มหลอน เพราะการที่มีคนหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยลักษณะแบบนั้นมันน่ากลัว พอถึงบาทสุดท้ายคุณชาติบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า “เธอแค่นี้ก่อนนะเราหมดเงินแล้ว” พอวางสายเสร็จคุณชาติก็รีบเดินออกไป ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้ออกมาจากเสาหรือยัง วันรุ่งขึ้นเป็นอีกวันที่คุณชาตินัดกับแฟนว่าจะคุยกัน 10 บาท และวันนี้เหมือนเดิมคืองานที่บริษัทมีปัญหาเคลียร์ไม่ลงตัว พอนั่งรถสาธารณะมาถึงหน้าปากซอยบ้านก็เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม จากนั้นก็เดินเรื่อย ๆ ผ่านบ้านหลังนั้นเหมือนเดิม เดินมาจนถึงเสาไฟฟ้า คราวนี้เพื่อความชัวร์ คุณชาติกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะมายืนรออีกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าคิดในแง่ดีเขาอาจจะมายืนรอคิวต่อโทรศัพท์ ถ้าคิดให้แง่ร้ายอาจจะมารอดูท่าทีว่าจะมาปล้นเราหรือเปล่า คุณชาติจึงยืนรอตรงเสาไฟฟ้า ประมาณว่าถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นจะเข้ามาร้าย อย่างน้อยจะได้ตะโกนดัง ๆ บ้านหลังแรกต้นซอยก็จะได้ยิน เพราะถ้าอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอันตรายกว่ามาก คุณชาติยืนรอตรงนั้นเกือบประมาณ 5 นาทีก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้น จึงคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นคุณชาติก็เข้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็หยอดเหรียญ ตัวเลขมันก็เริ่มถอยหลังจาก 10 ก็เป็น 9 เป็น 8 คุยไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นตาก็มองรอบๆ มองไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอใครที่เสาไฟฟ้านั้น คุณชาติก็เลยเกิดความสบายใจขึ้นเพราะไม่เจอผู้ชายคนนั้น และตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ คุณชาติก็คุยไปหัวเราะไป แต่มันจะมีจังหวะที่เขาหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วหัวเราะ พอหันกลับมา ก็เจอผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกมองอยู่หลังเสาไฟฟ้า ซึ่งมันเป็นช่วงจังหวะไม่กี่วินาที! ซึ่งไม่กี่วินาทีนั้นเขาจะวิ่งมาจากไหนเราต้องเห็น แต่อยู่ ๆ มายืนลักษณะเดิม คุณชาติก็เริ่มมองตัวเลขในโทรศัพท์ เหลือ 4 บาท ตอนนั้นก็ต้องตัดสินใจว่าจะวางแล้วหนีหรือยังไงดี แต่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะขยับหรืออะไรเลย ระหว่างที่คุณชาติคิดอย่างหวาดระแวงแฟนก็พูดไปเรื่อย ๆ ดูเวลาในโทรศัพท์ตอนนั้นก็เหลือ 3 บาท ลดลงมาเหลือ 2 เท่ากับเหลือเวลาอีก 6 นาที ถ้าวางตอนนี้แล้วขอตัวจากแฟนเลยเพื่อความปลอดภัยของตัวเองมันก็ได้ แต่มีสิทธิ์ที่จะทะเลาะกับแฟนสูงมาก คุณชาติจึงคิดว่า ระหว่างที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีจะมาทำร้ายคุณชาติ และแฟนที่ถ้าคุณชาติวางสายตอนนี้อาจจะมีปัญหากัน คุณชาติก็เลยตัดสินใจได้ว่า คุยกับแฟนต่อ พอคุยจนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็บอกแฟนว่า “เธอเงินหมดแล้วแค่นี้นะ” คุณชาติก็รีบเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ พอจังหวะที่เดินออกมาก็ยังเห็นผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกหน้าอยู่หลังเสาไฟฟ้า วันนี้คุณชาติโทรศัพท์คุยกับแฟนนานเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเขามายืนรอเป็น 10 นาทีเลย คุณชาติเริ่มรู้สึกระแวง เลยรีบเดินออกไป แต่ก็มีหันเหลือบตาไปมองทางขวาว่าผู้ชายคนนั้นวิ่งตามหรือเดินตามมามั้ย ปรากฎว่าผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่เสาไฟฟ้าแล้ว คุณชาติก็พูดออกมาว่าเลย “เห้ย! แล้วหายไปไหน” ด้วยความระแวงจึงรีบเดินจ้ำออกจากตรงนั้น ปรากฎว่าได้ยินเสียงปิดประตูดัง ปั้งงงงง!!!! มาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้นั้นที่คุณชาติพึ่งใช้บริการไปเมื่อกี้ พอคุณชาติได้ยินเสียงที่ดังมากจาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ก็สะดุ้งแล้วหันกลับมามองที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เขาเห็นคือ ผู้ชายคนนั้นนอนอยู่ในตู้โทรศัพท์ ในลักษณะเหมือนกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วขาก็ยันไว้กับตู้โทรศัพท์ ส่วนคอเอียงไปด้านหนึ่งแล้วก็มีเลือดไหลออกมา มือก็ห้อยไปด้านข้าง ส่วนหูโทรศัพท์สาธารณะก็ห้อยมาด้านข้างเหมือนกัน คุณชาติเห็นแบบนั้นก็ร้องลั่นวิ่งกลับบ้าน แล้วก็รีบวิ่งมาบอกคุณแม่ว่า “ผมเจอผี ผมเจอผี!” แล้วก็เล่าทุกอย่าง แม่ก็บอกว่า “ใจเย็น ตาฟาดหรือเปล่า” คุณชาติก็ตอบกลับคุณแม่ว่า “ไม่ฟาดแม่ลักษณะแบบนี้เลย” แม่ก็บอก “เราก็อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เคยเจอเลยนะ” สุดท้ายพอได้เห็นเหตุการณ์นั้นคุณชาติก็ไข้ขึ้นสูง วันรุ่งขึ้นคุณชาติไม่ได้ไปทำงาน ตอนเย็นแม่ก็เอาข้าวต้มมาให้ แม่ก็บอกว่ากับคุณชาติว่า “แม่รู้แล้วนะ แม่ไปเล่าให้ป้าข้างบ้านฟัง ว่าชาติอ่ะโดนผีหลอกมา” ป้าข้างบ้านก็บอกกับแม่คุณชาติว่า “อ้าวว…ไม่รู้เรื่องหรอ?” แม่ถามว่าเรื่องอะไร จากนั้นคุณป้าข้างบ้านก็เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นตรงกับที่คุณชาติกับแม่ไปต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์ ทั้งคู่จึงไม่รู้เหตุการณ์นี้ เหตุการณ์นี้คือ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปแล้วเอามีดจี้เพื่อจะปล้นเอาเงิน ผู้ชายในตู้โทรศัพท์ก็ยื่นเอาเงินให้วัยรุ่นคนนั้นแต่โดยดีโดยที่ไม่มีการขัดขืน โจรวัยรุ่นคนนั้นรับเงินมาแล้วแล้วก็วิ่งหนี แต่อยู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมา เปิดประตูวิ่งไล่โจรเพื่อจะไปเอาเงินคืน พอวิ่งมาถึงเสาไฟฟ้าต้นนั้น และเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา จนสุดท้ายโจรวัยรุ่นก็เอามีดมาปาดที่คอผู้ชายคนนั้น แล้วโจรก็วิ่งหนีหายไป ส่วนผู้ชายคนนั้นก็กระเสือกกระสนมาที่ตู้โทรศัพท์เพื่อจะโทรขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตคาตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยสภาพศพตรงกับสิ่งที่คุณชาติเห็นทุกอย่าง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

17 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้นหลังจากได้หุ่นกระบอกเก่า ๆ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเพียงของสะสม กลับพาเขาไปพบกับความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งเสียงแปลก ๆ และสัมผัสที่เย็นราวกับมือคนจริง ๆ แล้วหุ่นกระบอกนี้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่? ฟังเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณอาจจะไม่มองหุ่นกระบอกแบบเดิมอีกเลย! ‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าว่าโดยพื้นเพของตัวเองนั้นเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งสถานที่นี้ ในอดีต มีคณะหุ่นกระบอกอยู่หลายคณะที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง โดยส่วนตัวคุณต๊ะเป็นคนที่ชอบของเก่าหรือของโบราณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีความคิดว่าอยากได้หุ่นกระบอกมาเก็บไว้สักหนึ่งชิ้น เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูก-รุ่นหลานไว้ดูว่าหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นอย่างไร คุณต๊ะจึงเริ่มค้นหาข้อมูลและตามหาผู้ที่ยังเก็บรักษาหุ่นกระบอกไว้ จนกระทั่งได้พบกับเพจหนึ่งซึ่งมีคุณลุงท่านหนึ่งเป็นเจ้าของ คุณต๊ะจึงส่งข้อความไปติดต่อ แต่ไม่ว่าจะพยายามติดต่อไปกี่ครั้ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากคุณลุงคนนั้น สุดท้าย คุณต๊ะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา หลังจากที่คุยกันคุณลุงก็บอกว่า ‘ยังมีหุ่นอยู่นะ ตามที่ลงไว้ เพราะเขาเป็นคนที่เก็บอย่างเดียว ไม่ได้มีความคิดที่จะขาย’ ด้วยความที่คุณต๊ะ ถูกชะตากับหุ่นกระบอกที่คุณลุงมีอยู่ จึงบอกคุณลุงไปว่า “คุณลุงครับ ขอร้องได้ไหมคือผมอยากจะเอากลับมาไว้ที่อัมพวาจริง ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าถูกชะตาและอยากเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์สักหนึ่งตัว” หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก คุณลุงก็เริ่มใจอ่อนยอมให้ แต่มีข้อแม้ว่า “จะต้องมารับด้วยตัวเองนะ จะไม่ส่งไปรษณีย์เด็ดขาด ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น” ตัวเหตุบังเอิญ บ้านของคุณลุงกับที่ทำงานของคุณต๊ะ อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งบ้านของคุณลุงนั้นอยู่ในสวนทางฝั่งนนทบุรี หลังจากที่คุณต๊ะไปถึงบ้านของคุณลุง ซึ่งโครงสร้างบ้านของคุณลุงเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ห้องแรกที่คุณต๊ะก้าวเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะการตกแต่งเป็นแบบสมัยรัชกาลที่ 5 พอคุณต๊ะมองเข้าไปจนสุดกำแพง จะเห็นเป็นตู้บานหนึ่งที่วางอยู่ พร้อมกับหุ่นที่คุณลุงได้โพสต์ไว้ในเพจตั้งอยู่สามตัว แวบแรกที่คุณต๊ะเห็น ‘หุ่นตัวกลางยิ้มให้’ ตั้งแต่คุณต๊ะเดินเข้ามา และคุณลุงก็ได้พูดขึ้นมาว่า “หนุ่มนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้” หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นั่งรอคุณลุงอยู่ โดยหันด้านข้างให้กับหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ระหว่างนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นขณะรอคุณลุงกลับมา สักพักหนึ่ง คุณต๊ะรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจ้องอยู่ จึงหันหน้าไปมอง สิ่งที่คุณต๊ะเห็นก็คือ ‘หุ่นตัวกลางหันหัว มามองหน้าตัวเองพอดี’ ในตอนแรกที่คุณต๊ะเดินเข้ามาในบ้าน ใบหน้าของหุ่นหันตรงออกมาทางหน้าประตูบ้าน แต่ในตอนนี้หุ่นตัวนั้นกำลังจ้องหน้าคุณต๊ะที่นั่งทางด้านข้างของหุ่นอยู่! พอคุณลุงเดินกลับมาพร้อมน้ำที่เตรียมมาให้ และพูดว่า “เลือกเอาเลยสามตัวนี้ ชอบตัวไหน เอาตัวนั้น” ซึ่งตัวคุณต๊ะเองก็ได้เล็งเอาไว้แล้วว่าจะเอาตัวที่ยิ้มให้กับตัวเอง หลังจากที่เดินไปดู คุณลุงก็พูดขึ้นมาว่า “ลองยกลองจับดูก็ได้ อันไหนที่ชอบก็เอาไปนะ” คุณต๊ะก็ได้ลองยก ลองจับดู ปรากฏว่าหุ่นตัวแรกที่อยู่ริมสุด คุณต๊ะสามารถยกขึ้นมาดูได้แบบสบาย ๆ ส่วนหุ่นอีกฝั่งก็ยกได้ง่ายเช่นกัน แต่พอคุณต๊ะยกหุ่นตัวที่อยู่ตรงกลาง คุณต๊ะรู้สึกเหมือน พยายามยกคนจริง ๆ คือน้ำหนักของหุ่นมันหน่วงมือจนไม่สามารถที่จะยกขึ้นได้ คุณต๊ะเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงยกไม่ขึ้น จึงก้มตัวลงไปดูเผื่อมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร คุณต๊ะจึงอธิษฐานในใจว่า ‘ถ้าอยากจะไปอยู่กับเราที่อัมพวา เราขออนุญาตยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง’ จากนั้นคุณต๊ะก็ลองยกหุ่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำหนักของหุ่นเบาเหมือนกับทั้งสองตัวก่อนหน้านี้ นั่นคือครั้งแรกที่คุณต๊ะรู้สึกว่าหุ่นตัวนี้ไม่ใช่หุ่นธรรมดา.. คุณต๊ะจึงบอกกับคุณลุงไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมเอาตัวนี้แล้วกันครับคุณลุง” คุณลุงตอบกลับทันทีว่า “ลุงคิดอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะอยากไปอยู่กับคุณ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณต๊ะก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที ‘จะเอาดีไหม?’ เขาคิดในใจว่าหุ่นกระบอกตัวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วย หลังจากตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วยแล้ว คุณลุงก็เดินมาส่งคุณต๊ะที่หน้าบ้าน ก่อนจะยื่นหุ่นให้เขา ทันทีที่มือของหุ่นสัมผัสตัวคุณต๊ะ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นราวกับเป็นมือของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสของหุ่นไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนไม้ธรรมดา หากแต่นุ่มคล้ายมือของมนุษย์จริง ๆ หลังจากคุณต๊ะนำหุ่นกระบอกขึ้นรถโดยวางหุ่นไว้ที่เบาะด้านหลัง เขาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับอัมพวา โดยใช้เส้นทางถนนพระราม 2 ระหว่างทาง คุณต๊ะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง พนักงานก็สอบถามตามปกติ ซึ่งคุณต๊ะก็ตอบกลับไป พนักงานพยักหน้าและยิ้มให้เขา แต่สิ่งที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลกคือ พนักงานคนนั้นหันไปมองที่เบาะหลังของรถ ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง ราวกับกำลังยิ้มให้กับบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว บริเวณนั้นมีเพียงหุ่นกระบอกเท่านั้น หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ คุณต๊ะจ่ายเงินตามปกติ ขณะที่พนักงานรับเงินก็กล่าวขอบคุณตามมารยาท ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลก พนักงานไม่ได้ขอบคุณแค่เขาเพียงคนเดียว แต่กลับชะโงกหน้าไปทางเบาะหลัง ราวกับกำลังกล่าวขอบคุณใครอีกคนที่อยู่ตรงนั้น คุณต๊ะไม่ได้คิดอะไรและขับรถต่อไปตามปกติ เมื่อถึงถนนแม่กลอง เขาต้องขับเข้ามายังสวนที่บ้าน ซึ่งต้องผ่านวงเวียนและสะพานสูง ก่อนที่จะเข้าสวนจริง ๆ ถนนจะเป็นทางสองเลนสวนกันและค่อนข้างมืด ระหว่างทางจู่ ๆ รถที่ตามหลังและรถที่สวนทางมาก็เริ่มกระพริบไฟและบีบแตรใส่เขาตลอดทาง โดยที่คุณต๊ะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของรถตัวเองเอง รู้สึกแค่เพียงว่าเวลาที่เหยียบคันเร่ง รถกลับไม่ค่อยไปเหมือนมันหนักกว่าหนึ่งคนนั่ง ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน คุณต๊ะต้องผ่านฝูงหมาที่มักจะวิ่งไล่รถของเขาเป็นประจำ แต่ในวันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ปกติ ฝูงหมาไม่เพียงแค่วิ่งไล่รถเขาเท่านั้น แต่ยังเห่าไล่ตามหลังมาด้วย การเห่านั้นเหมือนกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง เมื่อถึงบ้าน คุณต๊ะรู้สึกลังเลที่จะนำหุ่นกระบอกขึ้นไปบนบ้าน เพราะกลัวว่าคนในบ้านอาจจะตกใจหรือกลัว เนื่องจากหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นนางรำ ซึ่งอาจทำให้ดูน่ากลัว จึงตัดสินใจว่าจะรอจนถึงตอนเช้ามืด แล้วค่อยใส่หุ่นลงในกล่องก่อนที่จะนำขึ้นไปบนบ้านจากนั้น เขาก็เข้าไปในบ้านและเข้านอนตามปกติ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต๊ะรีบนำกล่องลงมาเพื่อใส่หุ่นกระบอก แต่ยังไม่ทันได้เปิดรถ จู่ ๆ คุณป้าข้างบ้านที่กำลังรอใส่บาตรก็พูดถามขึ้นมาว่า “ที่โรงเรียนลูก มีงานโรงเรียนเหรอ เห็นซ้อมรำตั้งแต่เช้ามืดแล้ว” ณ ตอนนั้น คุณต๊ะไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับกลับไป จากนั้นจึงรีบนำกล่องมาเตรียมเก็บหุ่นกระบอก ขณะที่เปิดรถ กลับได้กลิ่นน้ำอบและน้ำหอมฟุ้งกระจายอบอวลไปทั่วทั้งรถ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังไม่มีกลิ่นอะไรเลย คุณต๊ะพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่คุณลุงใช้ไหว้ ซึ่งอาจติดมากับหุ่นกระบอก แต่ทันทีที่ยกหุ่นออกจากรถ กลิ่นเหล่านั้นกลับจางหายไป หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นำหุ่นกระบอกไปวางที่ห้อง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่แฟนของคุณต๊ะนั่งทำงานอยู่ด้านนอก แต่จู่ ๆ เขาก็เรียกขึ้นมา “ออกมานี่สิ มานี่ ๆ” ตุณต๊ะตกใจและคิดในใจว่าหรือว่าเขารู้ว่าเราเอาของแปลก ๆ เข้าบ้านแต่พอมาถึงแฟนคุณต๊ะก็พูดต่อว่า “เมื่อกี้นี้ประตูห้องเก็บของมันเปิดออก แล้วมีชายผ้าไทย แวบเข้าไปในห้อง เข้าไปดูหน่อย” คุณต๊ะเปิดห้องเก็บของแล้วก้าวเข้าไปดู ปรากฏว่าหุ่นกระบอกยังคงอยู่ในกล่องตามเดิม ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เขาจึงคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ก่อนจะปิดห้อง เขาก็ยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้ามีอะไรหรืออยากจะบอกอะไร ให้มาบอกกับเราโดยตรง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าทำให้คนในบ้านกลัว จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หลังจากนั้นหนึ่งวัน คุณต๊ะฝันแปลกไปจากปกติ ในความฝัน เขาเห็นนางรำคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะชี้มาทางเขาแล้วพูดว่า “ข้าชื่อม่านแก้ว” จากนั้น นางรำก็จูงมือเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านทรงไทย ข้างหน้ามีคณะละครกำลังแสดงอยู่ เสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอไปกับการแสดง นางรำพาเขาไปนั่งชมละคร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขากลับรู้สึกเหมือนตกจากม้านั่ง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที ด้วยความสงสัยว่าชื่อ ‘ม่านแก้ว’ ที่ได้ยินในฝัน อาจเป็นชื่อของคณะละครหรือไม่ คุณต๊ะจึงลองค้นหาข้อมูล ปรากฏว่าเขาพบเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ลาวม่านแก้ว’ ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองเปิดฟัง และทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้น คุณต๊ะก็ต้องตกตะลึง เพราะทำนองของเพลงนั้นกลับเหมือนกับเสียงดนตรีที่เขาได้ยินในฝันทุกอย่าง เมื่อรู้แล้วว่านางรำในฝันชื่อม่านแก้ว คุณต๊ะก็ยังคงสงสัยว่าเธอมีความเป็นมาอย่างไร เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคุณลุง เพื่อขอให้ช่วยเล่าประวัติของหุ่นกระบอกตัวนี้ให้ฟัง คุณลุงกลับตอบมาว่า ‘หุ่นกระบอกนี้มีคุณป้าท่านหนึ่งเอามาขาย ซึ่งก็คือหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่อยู่บ้านของคุณลุง ตัวคุณป้าท่านนี้เป็นคนในคณะละครหุ่นกระบอกเก่าทางอัมพวา’ คุณต๊ะจึงถามต่อว่า “มันมีอะไรหรือเปล่าครับ ในหุ่นกระบอก” คุณลุงก็ตอบกลับมาว่า “เสื้อผ้าของหุ่น ทำจากเสื้อผ้าของนางรำที่เสียชีวิตแล้ว” ในอดีต การสร้างหุ่นกระบอกมีความเชื่อว่า หากหุ่นมีชีวิตหรือมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน จะทำให้การแสดงสมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำชุดของนางรำที่เสียชีวิตแล้วมาใช้กับหุ่นกระบอก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณลุง คุณต๊ะคิดว่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงตัดสินใจสอบถามครูอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านหุ่นกระบอกเกี่ยวกับกระบวนการสร้างหุ่นกระบอกดังกล่าว ครูท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน นอกจากจะใช้ผ้าของนางรำจริง ๆ มาทำชุดให้หุ่นกระบอกแล้ว ยังมีวัตถุบางอย่างที่เป็นของนางรำที่เสียชีวิตแล้วถูกบรรจุไว้ภายในหุ่น ลองเปิดดูสิว่ามีหรือไม่” คุณต๊ะจึงทำตามคำแนะนำของครูท่านนั้น เขาลองตรวจดูหุ่นกระบอกอย่างละเอียด จนสังเกตเห็นว่าบริเวณศีรษะของหุ่นมีรูซึ่งใช้สำหรับปักเข้ากับไม้แกนของหุ่น เมื่อลองเปิดดูภายใน เขาก็ว่ามีเส้นผมและชิ้นส่วนกระดูกบางอย่าง ถูกห่อด้วยผ้าขาวอัดแน่นอยู่ข้างใน หลังจากนั้น คุณต๊ะจึงนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทำพิธีตามความตั้งใจที่ว่า อยากปลดปล่อยจิตวิญญาณของนางรำ เขาทำบุญให้และกล่าวกับหุ่นกระบอกว่า ‘ถ้าถึงเวลาแล้ว ก็ขอให้เขาไปแต่ถ้ายังไม่ไปก็อยู่กับเรา เเต่ว่าอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อย่าแสดงตัวให้ใครเห็น’ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่มันรุนแรงมาก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เล็ก ๆ อย่าง เสียงหรือเงาที่แวบไปมาอยู่บ้าง จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณต๊ะได้นำหุ่นกระบอกนี้ไปถ่ายรายหนึ่ง มีน้องท่านหนึ่งที่คุณต๊ะไม่รู้จัก น้องท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา นั่งดูรายการตามปกติ แต่ก็หันไปพูดกับแฟนเขาว่า “เนี่ยไม่จริงหรอก เหมือนเอาหุ่นมาโม้ เพราะความจริงมันไม่มีผีหรอก” ในคืนนั้น น้องคนนั้นฝันว่า เขากำลังนั่งอยู่บนรถกับคุณต๊ะ โดยนั่งที่เบาะหน้า ขณะที่ด้านหลังเบาะมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนางรำสีขาวนั่งอยู่ เธอหันมามองและพูดขึ้นว่า “ทีนี้เชื่อหรือยัง” วันรุ่งขึ้น น้องคนนั้นขับรถจากอยุธยา มาถึงบ้านของคุณต๊ะและนำโรตีสายไหมมาให้ถึงหนึ่งร้อยชุด พร้อมกับพูดกับคุณต๊ะว่า “ให้นำโรตีสายไหมนี้ ห่อแล้วก็ให้พี่เขาด้วย” เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือขอขมาอย่างไร น้องคนนั้นจึงเพียงบอกว่า “เดี๋ยวผมซื้อขนมไปให้” หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา โรตีสายไหมก็ถูกส่งมาให้คุณต๊ะทุกสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยชุดจากนั้นพี่ม่านแก้วก็กลายเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์ที่คอยให้พรมาเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1