ไม่มีผีสักตัว แต่โคตรหลอน! เพื่อนที่ห่างหายไปนานติดต่อมาอยากให้ไปหา พอไปเจอก็ต้องตกใจ เพราะเพื่อนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! สุดท้ายก็ได้รู้ความจริงเมื่อเพื่อนสารภาพความลับก่อนตาย!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไม่มีผีสักตัว แต่โคตรหลอน! เพื่อนที่ห่างหายไปนานติดต่อมาอยากให้ไปหา พอไปเจอก็ต้องตกใจ เพราะเพื่อนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! สุดท้ายก็ได้รู้ความจริงเมื่อเพื่อนสารภาพความลับก่อนตาย!

03 ก.พ. 2024

          เพื่อนสมัยวัยรุ่นที่ห่างหายกันไปนาน อยู่ ๆ ติดต่อมาอยากให้ไปหาและมีเรื่องสำคัญอยากบอกก่อนที่จะสายไป เมื่อเจอเพื่อนก็ถึงกับตกใจเพราะโดนกินไปครึ่งตัว! ระหว่างที่อยู่ด้วยกันมีแต่ความหวาดระแวง และสุดท้ายความจริงก็ปรากฏเมื่อได้ฟังคำสารภาพของเพื่อนทำเอาพูดไม่ออก! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘11.11’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

          เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฟ้าลั่น’ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พี่แจ็คได้ฟัง ซึ่งก่อนหน้านี้คุณฟ้าลั่นเคยโทรมาเล่า ‘เรื่องผีพรายตายโหง’ ใน The Ghost Radio มาก่อน และเรื่องที่กำลังจะเล่านี้มีความเกี่ยวโยงกัน โดยคุณฟ้าลั่นเล่าว่า คุณฟ้าลั่นใช้ชีวิตตามปกติ ในครอบครัว มีภรรยา, ลูก, คุณแม่ของภรรยา, และคุณแม่ของตน คุณฟ้าลั่นเป็นคนที่มีอาจารย์ดี เป็นคนที่อยู่ในศีลธรรม และมีรอยสักติดตัวบ้าง

          คุณฟ้าลั่นจะมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งสมัยเป็นวัยรุ่น แต่เมื่อโตมามีครอบครัวก็ไม่ได้เจอกันอีก จนกระทั่งได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ชื่อว่า ‘คุณบี’ (นามสมมุติ) ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานาน ตั้งแต่งานศพของคุณเคที่อยู่ในเรื่อง ผีพรายตายโหงครั้งที่แล้ว อยู่ ๆ คุณบีก็โทรมาว่า “เฮ้ยเพื่อน จำเราได้ป่ะ เราบีเอง” คุณฟ้าลั่นก็ตอบไปว่า “อ๋อ จำได้” แต่ก็คิดในใจว่าโทรมาทำไม คุณบีก็บอกว่า “พอดีเราคิดถึงและเราอยากเจอ ถ้านายว่าง นายช่วยมาหาเราหน่อยได้ไหม?” คุณฟ้าลั่นก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องไป จึงพยายามพูดบ่ายเบี่ยง ปลายสายก็บอกว่า “ถ้าครั้งนี้มันเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายจะมามั้ย เราอยากให้นายมา และเรามีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกนาย และที่สำคัญคือเราอยากจะขอโทษนาย” เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณฟ้าลั่นก็คิดในใจว่าจะขอโทษเรื่องอะไร ในเมื่อไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน ก็คุยกันต่อจนทางปลายสายโน้มน้าวให้คุณฟ้าลั่นไปหาเขาให้ได้ แต่เขาบอกว่า “อยากให้คุณฟ้าลั่นไปวันที่ 11 พฤศจิกายน” (ในปี 2566) คุณฟ้าลั่นจึงตอบกลับไปว่า “งั้นเดี๋ยวลองไปปรึกษาภรรยากับลูกก่อนละกัน เพราะเวลาจะไปไหนจะพาพวกเขาไปด้วย” ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่า “มาคนเดียวได้มั้ย? อยากให้มาคนเดียวอะ” หลังจากนั้นเขาก็ตัดพ้อว่า “กำลังชดใช้กรรมอยู่ กำลังแย่” คุณฟ้าลั่นก็ถามว่า “เป็นอะไร ทำไมถึงพูดอะไรอย่างนั้น” ทางนั้นก็บอกว่า “ต้องมา เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน อยากจะขอโทษและก็คิดว่าตัวเองไม่น่าจะอยู่พ้นปีนี้” เมื่อได้ยินคำนี้คุณฟ้าลั่นก็คิดว่าเพื่อนคงแย่จริง ๆ จึงตอบกลับไปว่า “งั้นเดี๋ยวขอปรึกษาทางครอบครัวก่อน” แล้ววางสายไปปรึกษาภรรยา ภรรยาก็ไม่ติดอะไร และคุณฟ้าลั่นก็ไปถามคุณแม่ของตน ปรากฏว่าคุณแม่พูดมาว่า “ไปสิลูก เผื่อจะได้บุญกลับมา” หลังจากนั้น คุณฟ้าลั่นก็ไม่คิดอะไร ปล่อยให้เวลาผ่านไปรอเพื่อนติดต่อกลับมา บางครั้งโทรไปเพื่อนก็ไม่รับสาย แชทก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง

          จนกระทั่งมีแชทจากคุณบีบอกว่า “ตกลงจะมามั้ย? ” คุณฟ้าลั่นจึงตอบว่า “เออ ๆ มา ๆ” หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อไป จนเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ คุณบีก็ทักมาถามอีกว่า “ตกลงจะมาใช่ไหม?” คุณฟ้าลั่นนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้นัดเวลาและสถานที่ จึงโทรกลับไปถามและเพื่อเช็คว่าใช่เพื่อนของตัวเองหรือเปล่า เมื่อได้คุยกันก็ใช่เพื่อนของตนจริง ๆ แต่เสียงของคุณบีนั้นเสียงเหมือนคนหอบ เหมือนคนหายใจไม่ออก คุณฟ้าลั่นก็ถามว่า “ทำไมเวลาคุยต้องกระซิบวะ” คุณบีก็ตอบว่า “ตอนนี้อาการไม่ค่อยดี” และพูดย้ำคำเดิมว่า “อาจจะอยู่ได้ไม่นาน” คุณฟ้าลั่นจึงตอบตกลงไป ทางคุณบีก็วางสายทันที คุณฟ้าลั่นก็งง เพราะจะให้ไปเจอแต่กลับไม่บอกอะไรเลย จึงพยายามติดต่อกลับไป แต่คุณบีไม่รับสาย คุณฟ้าลั่นก็รอและคิดว่าถ้าถึงวันที่ 8-9 ยังไม่ติดต่อกลับมาก็จะไม่ไป

         จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน คุณบีโทรมาบอกว่า “เอาโลเคชันไป เดี๋ยวให้มาที่นี่นะ อยู่ที่จังหวัดนี้ แต่ถ้าจะมาขอให้มาถึงซักช่วงเย็น ๆ หน่อย ออกเช้า ๆ หน่อยไม่อยากให้มาถึงมืด มาถึงก่อน 2 ทุ่มได้ไหม” หลังจากที่คุยเสร็จก็ได้โลเคชัน เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน เพื่อนก็โทรมาย้ำอีกครั้ง “พรุ่งนี้มาใช่ไหม แต่ออกมาเช้าหน่อยนะ” คุณฟ้าลั่นก็รับปาก  

         จนกระทั่งเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 คุณฟ้าลั่นก็ได้ออกเดินทางไปคนเดียว ขับรถจากจังหวัดที่อาศัยอยู่มุ่งหน้าไปยังจังหวัดที่นัดหมาย และไปถึงที่หมายประมาณ 5-6 โมงเย็น คุณฟ้าลั่นบอกว่าเหมือนทางคุณบีจะรู้ว่าตนมาถึงแล้ว จึงโทรมาบอกว่า “เดี๋ยวพอจะเข้าบ้านอะ ทางเข้าบ้านมันเปลี่ยวหน่อยนะ มันเป็นทุ่งนา แต่ไม่เป็นไรขับเข้ามาไม่มีหลง มึงเชื่อกู ขับเข้าไปจะเจอบ้านกูอยู่กลางทุ่งนา เดี๋ยวแม่กูเปิดประตูให้” คุณฟ้าลั่นจึงขับรถไปตามโลเคชัน ปรากฏว่าเจอทางเปลี่ยว พอเข้าไปก็เจอบ้านหลังหนึ่งอยู่กลางทุ่งนาอย่างที่บอกจริง เมื่อขับเข้าไปก็เห็นคุณแม่ยืนรออยู่หน้าประตู ขณะนั้นคุณฟ้าลั่นก็คิดว่ามันต้องเป็นเหมือนเรื่องเล่า ต้องเจอเพื่อนตัวเองตาย เจอรูปชาตะมรณะแน่นอนเหมือนเรื่องเล่าทั่วไป แต่กลับกลายเป็นว่า ลงรถเสร็จเจอคุณแม่ทักทาย คุณฟ้าลั่นก็ถามว่า “แล้วบีล่ะ” คุณแม่ตอบว่า “บีอยู่ในบ้านลูก เปิดประตูเดินเข้าไปเลย แต่เดินเข้าไปถ้าเห็นบีอย่าตกใจนะลูก” คุณฟ้าลั่นลงจากรถ เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ตอนแรกที่เข้าไป คุณฟ้าลั่นตกใจ เพราะจากคนที่เคยหล่อ เท่ หุ่นดี กลับนั่งอยู่บนวีลแชร์ ตัวผอมแห้งติดกระดูก และใช้วิธีการประคองตัวเองโดยการเอาแขนสองข้างเท้าวีลแชร์ แล้วก็ดีใจที่เห็นเพื่อนมาหา ซึ่งโต๊ะมีอาหารและเครื่องดื่มรออยู่ คุณฟ้าลั่นเห็นแบบนั้นจึงเข้าไปนั่งคุย และสิ่งแรกที่คุณฟ้าลั่นทำคือชงเครื่องดื่มก่อน เมื่อเห็นเพื่อนมีสภาพแบบนั้นก็นั่งคุยกันถามถึงความเป็นมา คุณฟ้าลั่นก็ถามว่า “เฮ้ย บีเป็นอะไร” คุณพ่อของคุณบีก็บอกว่า “ไปรักษามาหลายโรงพยาบาลละ รักษาไม่ได้ รักษาไม่หาย พอไปหลายโรงพยาบาลหมอบอกว่าหาอาการไม่เจอ อยู่ ๆ ร่างกายมันก็เป็นอย่างนี้ หมดแรง ผอมแห้ง ตัวดำ ไม่มีแรง แล้วก็หนังติดกระดูก พอรักษาทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ไปรักษาทางหมอผี ปรากฏว่าเช็คไปเช็คมา คุณบีโดนกินไปครึ่งตัว”

         เมื่อครอบครัวคุณบีพูดแบบนั้น คุณฟ้าลั่นก็งงว่าตกลงมันคืออะไร คุณบีก็ถามว่า “เฮ้ย กูได้ฟังเรื่องที่ไปเล่าในเดอะโกสต์นะเรื่องผีพรายตายโหงอะ ที่ไปโดนของกันมาหลังจากไปงานศพ ตั้งแต่จังหวัดนี้จนไปถึงจังหวัดนี้ ถามหน่อยดิ ทำไมไม่เล่าให้กูเป็นตัวนำวะ” คุณฟ้าลั่นก็บอก “เฮ้ย มันไปเกี่ยวอะไร เราก็แค่ไปงานศพกับเพื่อนที่เสียไป แล้วมึงจะเป็นตัวนำได้ยังไง” เขาก็นั่งคุยกันไป คุณบีก็บอกว่า “เล่าดีนะ แต่มีเรื่องอื่นป่ะ อยากฟังเรื่องอื่นก่อน พอฟังเรื่องอื่นเสร็จปุ๊บอะ เดี๋ยวกูมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” ด้วยความที่งงคุณฟ้าลั่นจึงบอกว่า “มีเรื่องหนึ่งที่เตรียมจะมาเล่า แต่ยังไม่ได้เรียบเรียง” จากนั้นคุณฟ้าลั่นก็นั่งเล่าให้คุณบีฟัง เมื่อฟังจบคุณบีบอกว่า “เออ เรื่องมันก็น่ากลัวดีหนิ เล่าอย่างงี้เลยไม่ต้องไปเรียบเรียงอะไรใหม่” คุณฟ้าลั่นก็ถามว่า “แล้วเรื่องมึงอะ?” คุณบีก็บอกว่า “สิ่งที่กูจะพูดกับมึงต่อไปนี้ มึงอย่าโกรธกูนะ กูอยากจะขอโทษ กูอยากจะเล่าเรื่องของกูให้มึงฟัง” คุณบีก็ได้เล่าย้อนกลับไปว่า “บ้านกูทั้งบ้านเป็นบ้านคนเล่นของ ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดส่งต่อกันมาเรื่อย ๆ มีพ่อกูคนเดียวที่ไม่เอา มันก็เลยตกมาถึงกู กูเอาหมดเพราะชอบ เลยไปเรียนกับตา ไปเรียนกับปู่ เลยได้วิชาทุกอย่างจากตาจากปู่ส่งมาที่ตัวกูทั้งหมด หลังจากนั้นก็หยิ่งผยองในตัวเอง กูอยากได้อะไรกูต้องได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์กูต้องเอาด้วยมนต์ จนกระทั่งกูมาเจอแก๊งพวกมึงในยุควัยเรียน รู้สึกว่าแก๊งพวกมึงสนุกดี เป็นกลุ่มเดียวที่จะพากูออกไปจากที่ตรงนั้นได้ คิดว่าไม่อยากไปยุ่งกับมันละ มึงจำได้ไหมตอนที่เราไปนั่งดื่มกันอะ ทุกคนจีบสาวได้หมดเลยยกเว้นกู ไปนั่งอยู่ร้านหนึ่งพอทุกคนได้สาวก็ทิ้งกูไปหมด จนกูรู้สึกว่ากูมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ วันนั้นกูเลยคิดว่ากลุ่มนี้มันไม่ใช่ที่ของกูละ กูจะกลับไปอยู่ในที่ของกูดีกว่า” คุณบีก็กลับไปสู่วังวนเดิมในการเล่นของ แล้วคุณบีก็ถามว่า “มึงจำไอ้พีได้ไหม ไอ้พีบ้า” (พีคือเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) คุณฟ้าลั่นจึงตอบว่า “เออจำได้มันเป็นบ้า” คุณบีจึงบอกว่า “ใช่มันเป็นบ้า กูทำของใส่มัน” คุณฟ้าลั่นก็ตอบว่า “เฮ้ย ขนาดนี้เลยหรอ?” คุณบีตอบ “เออมึงไม่ต้องกลัวกูนะ ฟังกูต่อ มึงจำไอ้เคได้ป่ะ ที่อยู่ในเรื่องผีพรายตายโหงที่ไปงานศพมา ก่อนหน้านั้นตอนเรียนมึงจำได้ไหมที่อยู่ ๆ เคมันขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วจะกระโดดตึกลงมา แล้วทุกคนไปช่วยกันห้ามไว้ แล้วก็มีคนบอกว่าเคเหมือนมันจะติดยา แต่ไปตรวจก็ไม่เจอ กูทำของใส่มันเอง เรื่องเดียวคือเรื่องผู้หญิง แล้วมึงจำได้ไหม วันที่มึงไปงานศพแล้วมึงรู้สึกเหมือนมึงโดนของ ใช่กูทำของใส่มึงเอง เพราะตอนนั้นกูมีแฟน แล้วแฟนกูเวลาอยู่กับกูเขาชอบพูดถึงมึง กูก็เลยคิดไปเองว่ามึงเป็นกิ๊กกับแฟนกู กูก็เลยถือโอกาสวันที่ไปดื่มกันกูเอาน้ำมันหยดใส่แก้วมึง และให้มึงกินเข้าไป แล้วมึงก็เห็นเด็กกูก็คือผีพรายตายโหง หลังจากนั้น 1 เดือนแฟนก็เลิกกับกูไป แล้วมันไปอยู่กับคนอื่น กูก็เลยรู้ว่ามึงไม่ใช่กิ๊กของแฟนกู หลังจากรู้ว่ามึงไม่ใช่อย่างที่คิดก็หยุดทำ กูเอามึงไม่ลงเพราะมึงมีอาจารย์ดี” และคุณบีก็เล่าต่อว่าหลังจากที่แฟนทิ้งไป ตัวเขาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เคยเลี้ยงก็ไม่เลี้ยง อะไรที่เคยให้กินสิ่งที่เขาเลี้ยงเอาไว้ก็ไม่ให้ สิ่งเหล่านั้นก็เลยย้อนกลับมาหาตัวเขา จนเขาค่อย ๆ ป่วย ค่อย ๆ ผอม และก็เป็นอย่างที่เห็น นั่นคือบทสนทนาที่อยู่ตรงโต๊ะอาหาร

          หลังจากที่คุณฟ้าลั่นฟังจบก็บอกว่า “งั้นเดี๋ยวกูขอไปนอนในเมืองดีกว่าว่ะ กูไม่สะดวกนอนที่นี่” คุณบีบอกว่า “ไม่ต้องกลัวกูหรอก มึงดูสภาพกูดิเพื่อน กูไม่ทำอะไรมึงหรอก คืนนี้มึงนอนกับกูนะ เพราะว่ากูยังมีอะไรบางอย่างให้มึงดูที่อยู่ในห้องนอนกู” เมื่อพูดเสร็จคุณบีก็บอกอีกว่า “แม่พาฟ้าลั่นไปเตรียมตัวอาบน้ำ ส่วนพ่อพาผมเข้าห้องครับ” เหมือนเป็นการบังคับไปในตัว ณ ตอนนั้นคุณฟ้าลั่นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ด้วยความไว้ใจจึงอยู่ต่อ คุณฟ้าลั่นก็พยายามดื่มให้เมาแต่ทำอย่างไรก็ไม่เมา ก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำ ตอนนั้นคุณบีเข้าไปในห้องกับคุณพ่อ อยู่ ๆ คุณแม่ของคุณบีเดินมาข้างหลังพูดกรอกหูว่า “คืนนี้นอนเป็นเพื่อนมันนะ บีมันไม่ค่อยมีใครมาหาหรอก” หลังจากนั้นคุณฟ้าลั่นก็เข้าไปอาบน้ำและไม่กล้าสระผม ไม่กล้าล้างหน้า หรือแม้แต่จะหลับตาก็ไม่กล้าเพราะกลัว เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ได้มาเจอกับคุณแม่และบอกกับคุณฟ้าลั่นว่าห้องของคุณบีอยู่ทางนั้น คุณฟ้าลั่นรู้สึกหวั่น ๆ เพราะดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่เมาจึงพยายามทำใจดีสู้เสือ เดินไปหน้าประตูและเปิดเข้าไป คุณฟ้าลั่นใจตกไปอยู่ตาตุ่ม! เพราะในห้องของคุณบีนั้นมีแต่รูปคนตายแขวนอยู่เต็มไปหมด ชาตะมรณะประมาณ 10 กว่ารูป คุณบีก็บอกว่า “เนี่ยคือรูปของคนที่กูไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขา” และสิ่งที่คุณฟ้าลั่นเห็นจนตกใจมากกว่านั่นก็คือ ตรงที่คุณฟ้าลั่นต้องนอนมีรูปของตนตั้งอยู่ แต่ไม่ใช่รูปชาตะมรณะ คุณฟ้าลั่นจึงถามว่า “มึงจะเอากูให้ถึงตายเลยหรอเนี่ย” คุณบีบอกว่า “ใช่ กูเคยจะเอามึงถึงตาย แต่อาจารย์มึงดี กูเลยไม่ได้ทำ” เมื่อเห็นแบบนั้นคุณฟ้าลั่นก็ใจฟ่อจะกลับตัวก็ไม่ได้จึงตัดสินใจนอนที่นั่น คุณบีก็เล่าให้ฟังเพิ่มอีกว่า “คนที่เอามาแขวนคือคนที่เคยทำของใส่ แล้วแต่ละคนก็มีอันเป็นไป เนี่ย กูกำลังรับกรรมในสิ่งที่กูทำเอาไว้” นั่งคุยไปได้สักพักก็พากันนอน โดยที่คุณฟ้าลั่นนอนหันหลังให้กับคุณบี และไม่กล้าจะหันไปมอง ด้วยความระแวงจึงหันไปเหลือบดู ก็เห็นคุณบีนอนตะแคงข้างแล้วมองมาพร้อมกับยิ้มให้คุณฟ้าลั่น คุณฟ้าลั่นตกใจ หันตัวพลิกกลับมาแล้วก็นอนไปได้สักพักก็คิดว่าคุณบีคงไม่มองตนแล้ว จึงหันไปดูใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าคุณบีก็ยังนอนอยู่ท่าเดิม และคุณฟ้าลั่นก็เผลอหลับไป คืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          จนกระทั่งเช้า คุณฟ้าลั่นก็เจอคุณแม่ออกมาจากห้อง คุณแม่ก็ถามว่า “กินข้าวเช้าก่อนนะลูก นอนที่นี่อีกสักคืนไหม?” คุณฟ้าลั่นจึงตอบว่า “ที่ทำงานโทรมาเรียกตัว ผมคงต้องกลับ” หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้าเสร็จเตรียมตัวกลับ โดยที่มีคุณพ่อเข็นวีลแชร์คุณบี และคุณแม่ออกมาส่งลาคุณฟ้าลั่น คุณบีก็พูดขึ้นว่า “ขอบใจมากเพื่อนที่รับคำขอโทษ ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ถึงขนาดไหน แต่ขอบคุณมากที่มึงมา” จากนั้นคุณฟ้าลั่นก็ขับรถกลับ จนเวลาผ่านไปวันที่ 25 ธันวาคม ทางบ้านของคุณบีก็ส่งข่าวมาบอกว่า คุณบีเสียชีวิตแล้ว และสุดท้ายคุณบีก็อยู่ไม่พ้นปีนั้นจริง ๆ

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

16 ก.พ. 2024

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

เรื่องนี้ ‘แปลน รัฐวิทย์’ และ ‘ไมค์ ภณธฤต’ นักแสดงและผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (13 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมกับความหลอน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘แปลน รัฐวิทย์’ นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องพี่นาค 4 คุณแปลนเล่าว่า วันนั้นเป็นวันที่ต้องถ่ายภาพยนตร์คนเดียว ซึ่งถ่ายทำที่วัดบางลี่ จังหวัดลพบุรี สถานที่แห่งนี้มีโบสถ์เก่าแก่อายุร้อยกว่าปี คุณแปลนถ่ายทำตั้งแต่เช้าและทุกอย่างก็ราบรื่นปกติ จนถึงซีนหนึ่ง เวลาประมาณตี 2.22 น. เป็นซีนที่ต้องใช้สลิง หลังจากถ่ายเสร็จสิ้น พี่ไมค์ (ผู้กำกับ) ก็อยากจะถ่ายอีกเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเพิ่ม จากนั้นคุณแปลนก็ไปรอบนนั่งร้าน หลังจากนั้นเมื่อนับ 3 2 1 แอคชัน! คุณแปลนก็วูบหมดสติไปและจำอะไรไม่ได้ นาทีนั้นคุณแปลนยังอยู่บนสลิงแต่ไม่มีใครรู้ว่าคุณแปลนวูบอยู่ ด้วยความที่ทรงตัวไม่ได้ก็ทำให้รัดแน่นจนหายใจไม่ออกและเกิดอาการชัก จากนั้นผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมงานก็เข้ามาช่วยเหลือ เมื่อคุณแปลนรู้สึกตัวสิ่งแรกที่พูดคือ “พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมเผลอหลับหรอ?” เพราะคุณแปลนรู้สึกว่าตัวเองฝันเห็นอะไรเต็มไปหมดและฝันนานมาก แต่เมื่อพอมาดูฟุตเทจปรากฎว่าที่วูบไปนั้นเป็นเวลาเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นทีมงานก็ให้ดื่มน้ำแดง และดมยาดมเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งหลังจากจบวันนั้นไปคุณแปลนก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เมื่อกลับมาจากสถานที่ถ่ายทำ คุณแปลนก็เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ภายในห้องจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง ซึ่งคุณแปลนพักคนเดียว จึงนำของไปวางให้เต็มแล้วจึงซื้อที่โดยการนำเงินไปวาง แล้วคุณแปลนก็พูดว่า “ผมขอซื้อนะตรงนี้” ซึ่งเตียงที่คุณแปลนซื้อนั้นปลายเตียงจะมีกระจกเงา จึงนอนอีกเตียง คืนนั้นคุณแปลนนอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่หน้าห้องตลอด แต่คุณแปลนก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามีคนหรือไม่ เพราะคิดว่าตราบใดที่เสียงยังอยู่หน้าห้อง คุณแปลนจะไม่ไปยุ่ง จากนั้นคุณแปลนก็นอนคลุมโปง พยายามสวดมนต์แล้วเผลอหลับไป เช้าวันต่อมา คิวถ่ายวันนี้ยังคงเป็นโบสถ์เดิม และมีอุปสรรคในการถ่ายทำคือฝนตกทั้งวันจนถ่ายทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปถึงวันสุดท้ายที่จะต้องถ่ายทำ คืนนั้นคุณแปลนเดินออกมาจากโบสถ์คนเดียว ด้วยความน่ากลัวจึงดู TikTok เพลิน ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบว่า “มึงอยากตายหรอ?” หลังจากนั้นก็วูบไปอีกรอบ แล้วทีมงานก็มาบอกว่า “แปลนไปขอทีมงานถอดเสื้อ ไปนั่งเหม่อแล้วก็ร้องไห้ มองโบสถ์ฝั่งตรงข้าม” ซึ่งตอนนั้นคุณแปลนไม่รู้ตัว พี่ทีมงานก็ถามว่า “แปลนไหวไหม แปลนเป็นลมไหม” คุณแปลนก็ยังไม่กล้าเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เจอ จนหลังจากนั้นก็ตัดสินใจเล่าให้พี่ทีมงานฟัง พี่ทีมงานบอกว่า “แปลนคิดในแง่ดี เขาอาจจะมาเตือนว่าการที่เราไปถ่ายทำคราวที่แล้ว อยากตายหรอ อย่าไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์” หลังถ่ายทำเสร็จคุณแปลนบอกกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พูดออกไป มันเป็นเรื่องตัวบทไม่ใช่ตัวผม เป็นตัวละคร แปลน รัฐวิทย์ ไม่เกี่ยวข้อง” หลังจากนั้นคุณไมค์ก็ได้เล่าเรื่องลี้ลับในกองถ่าย โดยคุณไมค์เล่าว่า สถานที่ถ่ายทำที่ยากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องพี่นาค ภาค 4 คือ ‘โบสถ์’ เพราะต้องหาโบสถ์ที่มีการตายเกิดขึ้น มีการเผาโบสถ์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโบสถ์ แต่ไม่รู้ว่าจะหาโบสถ์จากที่ไหนที่จะให้ทำได้ขนาดนี้ จึงใช้เวลาหาประมาณ 3-4 เดือนในการหาโบสถ์ที่จะอนุญาตให้ถ่ายทำ เพราะทุกที่มีโจทย์ว่า ถ้าไปขอแล้ว อย่าให้มีผลกระทบกลับมา จนกระทั่งมาเจอโบสถ์ที่วัดนางลี่ วันที่เดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น ก็เห็นว่าสถานที่ตรงตามที่ต้องการ มีป่าล้อมรอบ เดินเข้าไปเป็นโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นโบสถ์ร้างที่นำพระประธานออกไปแล้ว คุณไมค์รู้สึกว่าตรงนี้ต้องแรงแน่ ๆ แต่คิดว่าต้องถ่ายที่นี่ เมื่อเดินเข้าไปจะเจอเจดีย์ใส่กระดูกของเจ้าอาวาสรูปเก่า ถัดเข้าไปจะเป็นโกฏิกระดูก 2 โกฏิ ซึ่งเป็นของคนที่บริจาคเงิน แล้วจึงจะถึงตัวโบสถ์ คุณไมค์เชื่อว่าหนังของตนสอนคนดูและคิดว่าตนคิดดีแล้ว แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บจากที่นี่จริง ๆ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเลือกโลเคชันที่แรงชนิดที่ไม่เคยเจอขนาดนี้มาก่อน นักแสดงในกองอย่าง ‘คุณเจมส์ ภูรพรรธน์’ เข้าฉากพายุลมฝน ทำให้ขาพลิกจนต้องส่งโรงพยาบาล ‘คุณเอม วิทวัส’ เดิน ๆ อยู่โดนบุ้งต่อยแพ้ทั้งตัว ส่วน ‘คุณแปลน รัฐวิทย์’ สลบไปกลางอากาศ และ ‘คุณมีน พีรวิชญ์’ แมงป่องไต่ขึ้นขาแต่โชคดีที่มีทีมงานเห็นจึงไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าโรงพยาบาลอีกคน นี่คือเหตุผลที่ต้องต่อธูปตลอด ซึ่งจะมีฝ่ายสวัสดิการมาดูธูปไว้ ถ้าไม่ต่อธูปฝนจะตก จนกระทั่งคุณเจมส์ไปเจอพระรูปหนึ่ง และพระก็ทักว่า “ไปถ่ายหนังอะไรมา ไปสถานที่ที่แรงใช่ไหม รู้ไหมเขาไม่โอเคต้องไปขอขมา” ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระท่านพูดเป็นฉาก ๆ มีโบสถ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็น คุณเจมส์จึงบอกว่า “พี่ไมค์ เราต้องไปขอขมา” หลังจากนั้นอันดับแรกคุณไมค์ก็รดน้ำมนต์ นำนักแสดงทุกคนไปรดน้ำมนต์ด้วย และถือพานบายศรีขอขมา สุดท้ายคุณไมค์พูดว่า “ต่อให้เราจุดธูปให้เราทำอะไรก็ตามแต่ ตราบใดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีเขาไม่รู้หรอกว่าเรามาทำงานหรือเรามาทำอะไร แต่บางครั้งถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันเกินขอบเขตในความรู้สึกเขา มันก็อาจจะมีการลงโทษกันบ้าง ก็เลยไปขอขมาเป็นวันที่เราขอโทษจากใจจริง บางทีเราอาจจะต้องเตรียมเครื่องขอขมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ไป เพราะถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ดีต้องไปขอเลย ไม่ใช่ไปทำแล้วค่อยไปขอ อันนี้ก็เป็นการสอนให้เรารู้จากการที่เราถ่ายที่จริงมาเยอะมาก แต่ที่นี่ภาคนี้กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โดนหนักสุดแล้ว”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

11 เม.ย. 2023

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

ไปทำงานต่างจังหวัดจึงเลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีเสียงเปิด-ปิดประตูตลอดเวลา! แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก! จะออกไปทำบุญก็เจออุปสรรค พอทำบุญให้ก็ยังไม่หายไปไหน! ..ต้องทนนอนด้วยความหวาดผวาถึง 8 คืน! หลายคนคงไม่เชื่อว่าประสบการณ์ขนหัวลุกจะเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังนอนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวได้ เรื่องราวสุดหลอนนี้มาจากสาย ‘คุณแดน’ ที่ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 เมษายน 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เป็นเรื่องที่ทั้งสตูต้องร้อง “ห๊า!” ไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันได้เลย! คุณแดนเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ไปทำงานที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 9 วัน 8 คืน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน จึงวางแผนว่าจะนอนพักที่โรงแรม 5 ดาว เพื่อความปลอดภัย แต่จังหวัดนั้นมีโรงแรม 5 ดาวอยู่เพียง 2 แห่ง จึงเลือกโรงแรมที่เป็นแบรนด์ที่เคยใช้บริการ ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ คุณแดน พี่สาว บัดดี้ของพี่สาว และทีมงานอีก 2 คน ทั้งหมดได้จองห้องพักไว้ 3 ห้อง โดยคุณแดนนอนคนเดียว ส่วนพี่สาวนอนกับบัดดี้ ทั้ง 2 ห้องนี้จะอยู่ติดกัน ส่วนอีกห้องเป็นของทีมงานที่เหลือ ตำแหน่งของห้องอยู่ตรงข้ามห้องของพี่สาว เมื่อมาถึงโรงแรม ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามที่คาดหวังสมมาตรฐานระดับ 5 ดาว บรรยากาศในโรงแรมดูคึกคักเพราะช่วงนั้นมีการจัดสัมมนาด้วย ส่วนห้องพักเองก็ดูใหม่ มีผนังห้องน้ำเป็นกระจกและมีผ้าม่านช่วยเพิ่มความหรูหรา และยังมี Daybed (เตียงนอนเล่น) ให้นั่งพักผ่อนอย่างสะดวกสบาย ส่วนด้านนอกมีระเบียงหลอก ๆ ที่ทำขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่ไม่สามารถออกไปยืนข้างนอกได้ แม้ในห้องจะดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัว แต่ในคืนแรก เวลาประมาณ ตี 1 – 2 คุณแดนก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเปิด-ปิดประตูเสียงดังอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่าอาจเป็นเพราะมีสัมมนาจึงทำให้คนเยอะกว่าปกติ และเดินเข้าออกบ่อย จากนั้นคุณแดนก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูดังมาจากห้องของพี่สาว จึงคิดว่าพี่สาวและบัดดี้คงออกไปเที่ยวกันแน่ ๆ จากนั้นก็หลับต่อจนถึงเช้า เมื่อเจอพี่สาวตอนเช้าก็ได้ถามไปว่า “เมื่อคืนออกไปไหนกันมาหรอ เห็นเปิด-ปิดประตูเสียงดัง” แต่เธอก็ปฏิเสธ จากนั้นก็ถามคุณแดนกลับ เพราะเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องคุณแดนเหมือนกัน คุณแดนตอบปฏิเสธไป เพราะไม่ได้ออกไปไหนจริง ๆ ส่วนห้องของทีมงานอีก 2 คนที่เหลือ เขากลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คุณแดนและพี่สาวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก คืนที่สอง ก็ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเหมือนเดิมคือมีเสียงเปิด-ปิดประตูอยู่แทบจะตลอดเวลา ก่อนหน้านี้คุณแดนก็ได้ไปเช็คกิจกรรมภายในโรงแรม ซึ่งก็มีตารางค่อนข้างเยอะ จึงพอจะเข้าใจได้และทำใจนอน แต่ยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับ คุณแดนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมดังขึ้นมาจากห้องพี่สาว แล้วเสียงนั้นก็ดังมาที่ห้องคุณแดนแทน เป็นเสียงที่เหมือนมีใครพยายามเข้ามาในห้องแต่เปิดประตูไม่ได้ เนื่องจากประตูมีโซ่ล็อคอยู่อีกชั้นหนึ่งจากประตูดิจิทัล สักพักอีกประมาณ 10 นาที ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินลากเท้าเข้ามาในห้อง และมาหยุดที่ปลายเตียงของคุณแดน คุณแดนขนลุกกลัวไปหมดจนไม่กล้าลืมตา และก็รู้สึกว่าเขายืนแบบนั้นอยู่ ประมาณ 5 นาที คุณแดนจึงพูดในใจว่า “ผมกลัวนะ อย่าทำอะไรผม” แล้วเขาก็หายไป..! เช้าของวันถัดมา พี่สาวคุณแดนก็มาสะกิดถามว่า “เมื่อคืนเธอเจออะไรมั้ย” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟัง และเธอก็บอกว่าเจอเหมือนกัน โดยเขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่แสงไฟเล็ดลอดออกมา (พี่สาวเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก่อนนอน) เธอจึงเหลือบตามอง และพบว่าเป็นผู้ชายยืนมองเธออยู่! เพื่อให้แน่ใจจึงรวบรวมความกล้าเปิดไฟหรี่ที่หัวเตียงขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน! เพราะมองไม่เห็นส่วนของใบหน้า เป็นเพียงเงาลาง ๆ ดำ ๆ และยังยืนมองมาอยู่ประมาณ 5 นาที เหมือนกับเวลาที่เขายืนมองคุณแดนด้วยเช่นกัน! คุณแดนกับพี่สาวจึงตัดสินใจว่าจะปลีกตัวออกไปทำบุญ ซึ่งมีบัดดี้ติดรถมาด้วย เมื่อซื้อสังฆทานเสร็จ ก็กำลังจะนำไปทำบุญตามที่ตั้งใจ คุณแดนก็เดินจ้ำไปที่รถ จู่ ๆ ก็มีรถอีกคันมาจอดแนบตรงประตูฝั่งคนขับ ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถได้ คุณลุงเจ้าของรถลงมาเห็นพอดี จึงกล่าวขอโทษและย้ายรถออกให้ จากนั้นคุณแดนก็รีบนำสังฆทานไปยังวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที แต่พอไปถึงปรากฏว่าวัดเงียบมาก คุณแดนวนรถหากุฏิเจ้าอาวาสก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจหาวัดใกล้ ๆ อีกแห่ง พอมาถึง พระที่นั่นกลับไม่รับถวายสังฆทาน โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้เขาจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมไปสอบ” คุณแดนก็คิดในใจว่า “ทำไมอุปสรรคเยอะจัง” สุดท้ายก็ไปอีกวัด และคิดว่าถ้าไม่ได้ถวายสังฆทานในวัดนี้ คืนนี้ก็คงต้องกล้ำกลืนอดทนกันไป แต่ในที่สุดก็สามารถถวายสังฆทานได้เป็นที่เรียบร้อย คืนที่สามนี้ คุณแดนและพี่สาวพยายามดื่มกันหนักมาก เพื่อที่จะได้หลับแบบไม่รู้สึกตัว ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จึงคิดว่าเขาน่าจะได้รับส่วนบุญกุศลที่พึ่งทำไปให้ไปแล้ว แต่พอตกคืนที่สี่คุณแดนและทีมงานทั้งหมดออกไปเที่ยวกลางคืน และกลับมานอนตามปกติ ซึ่งงานสัมมนาและงานประชุมใด ๆ ที่โรงแรมจัดได้หมดไปแล้ว ทำให้บรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างเงียบ และเหตุการณ์เดิม ๆ ก็วนมาอีกครั้ง หนึ่งในผู้ร่วมชะตาหลอนคนใหม่ คือบัดดี้ของพี่สาวนั่นเอง.. ต่อมาในคืนที่ห้า คุณแดนและทีมงานยังคงอยู่ระหว่างการคุยงานเนื่องจากลูกค้าอยากนัดทานข้าวไปด้วย ซึ่งทางลูกค้าก็ถามว่า “นอนพักที่ไหนกัน” พอคุณแดนตอบไป เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า “คนที่นี่เขาไม่นอนที่โรงแรมนั้นกันหรอกนะ” เนื่องจากตึกของโรงแรมมันเคยร้างมา 10 กว่าปี จนได้เจ้าของใหม่มารีโนเวทและเปิดกิจการโรงแรม ซึ่งก็ถูกเทคโอเวอร์ไปเป็นแบรนด์ปัจจุบันนี้ และเล่าต่ออีกว่า เพื่อนของลูกค้าเคยมาพักที่นี่ เป็นห้องและชั้นเดียวกันกับที่คุณแดนพัก แถมยังเจอเหตุการณ์เดียวกันแบบเป๊ะ ๆ อีกด้วย คุณแดนได้ยินก็ตกใจและกลัวมาก จึงดื่มแอลกอฮอล์เพื่อมอมตัวเอง ทำให้กลับมาถึงห้องพักเกือบตี 2 พอออกจากลิฟต์ หางตาก็มองไปสุดทางเดิน ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาคนยืนอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เจอตลอดเกือบทุกคืน ทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายพากันเข้าห้องทันที ระหว่างนั้นสุนัขก็พากันหอนเสียงดังมาจากหลังโรงแรม แต่ความหลอนมันก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะกลางดึกคืนนั้น คุณแดนสะดุ้งตื่นเนื่องจากพี่สาวโทรมาขอให้เปิดประตูห้อง เมื่อไปเปิดก็เห็นพี่สาวและบัดดี้เดินหน้าซีดเข้ามาในห้องพร้อมกับหมอนผ้าห่ม ทั้งสองเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบเดิมเลย แต่บัดดี้ดันเห็นว่าเงานั้นเดินชนเก้าอี้ ทำให้มีเสียงดัง บัดดี้จึงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และพากันหนีมานอนที่ห้องคุณแดนแทน! พอเช้าวันถัดมา คุณแดนได้มอบผ้ายันต์พระเวสสุวรรณให้กับบัดดี้เพื่อนำไปติดในห้อง และขอให้แผนกต้อนรับของโรงแรมแจ้งกับแม่บ้านว่าอย่าขยับเขยื้อนผ้ายันต์เด็ดขาด ซึ่งพอวันใกล้จะกลับกรุงเทพฯ ก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกซ้ำ ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงเคาะมาจากกระจกฝั่งระเบียงห้องคุณแดน 3 ครั้ง! ซึ่งตอนนั้นมีผ้าม่านกั้นไว้อยู่ คุณแดนแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมเปิดผ้าม่าน จนผ่านไปสักพัก เสียงเคาะนั้นก็ดังและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จากก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็น ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ คุณแดนกลัวมาก จึงตัดสินใจเปิดไฟนอน สักพักพี่สาวก็ไลน์มาถามว่า “เค้ามาเคาะกระจกห้องเธอหรือเปล่า” คุณแดนเลยตอบกลับไปว่า “ใช่” จนมาถึงวันสุดท้ายที่กำลังจะกลับ พี่สาวเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ปรากฏว่ามีน้ำอัดลมที่ถูกดื่มไปแล้วประมาณ 1/4 ของขวดถูกแช่อยู่ในตู้เย็น ซึ่งพอสอบถามกันไปมา ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของน้ำอัดลมที่ว่าเลยสักคน จึงสันนิษฐานกันว่า หรือแม่บ้านอาจจะรู้ ว่าในห้องนี้มีอะไรจึงนำน้ำอัดลมมาให้สิ่งนั้น.. และขณะที่กำลังเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก คุณแดนได้ถามพนักงานต้อนรับว่าที่ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า เขาก็ไม่ยอมบอก และถามกลับว่าเจออะไร คุณแดนจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่พนักงานต้อนรับกลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ถามต่อว่า “ทำไมไม่แจ้งตั้งแต่แรก จะได้ย้ายห้องให้” คุณแดนจึงบอกไปว่า “ตอนแรกผมคิดว่าทำบุญให้จะไม่เจออีก แต่ใครจะไปคิดว่าจะเจอเกือบทุกวัน” เมื่อออกจากโรงแรมมาแล้ว คุณแดนและพี่สาวจึงตัดสินใจกลับไปเจอลูกค้าอีกครั้งเพื่อสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้ จนรู้คำตอบว่าตอนที่ตึกมันร้าง วิญญาณตนนั้นอาจจะมาเสียชีวิตตรงเตียงห้องของพี่สาว นั่นเลยทำให้เขากลับมายังที่ตรงนั้นตลอดวนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ซึ่งคุณแดนเองก็คิดว่าที่เขามาบ่อยก็เพราะเขาตายมานานแล้วไม่มีใครทำบุญให้ ทางลูกค้าก็ได้เล่าต่ออีกว่า อย่างน้อยโรงแรมแห่งนี้ยังดีกว่า 5 ดาวอีกแห่งหนึ่ง ตรงนั้นเจอหนักกว่านี้เยอะ เพราะเพื่อนลูกค้าที่เคยไปพัก ถึงขั้นต้องอุ้มลูกวิ่งหนีออกมาจากห้องพักเลย เพราะมีเงาผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินออกมาจากผนังห้อง คุณแดนยังทิ้งท้ายอีกว่า “การที่โรงแรมดาวเยอะ ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เจอเรื่องอะไรแบบนี้เสมอไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

16 มี.ค. 2023

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “หุ่นพยนต์” อย่าง “พี่ไมค์ ภณธฤต” และนักแสดงคู่ใจ “อัพ ภูมิพัฒน์” ได้นำเรื่องหลอนมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (14 มีนาคม 2566) ได้ฟัง ทำเอา “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” แทบจะร้องกรี๊ดลั่นสตูดิโอ! หนึ่งในเรื่องหลอนที่ต้องขนหัวลุกไปตาม ๆ กันคือเรื่องที่มีชื่อว่า “ตายายไม่ไปถ่ายหนัง” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่ไมค์เล่าว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ไมค์ยังทำงานเป็นฝ่ายอาร์ตให้กับกองถ่าย ซึ่งจะมีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ประกอบฉาก และเซ็ตแต่ละฉากให้ดูสมจริงเพื่อใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ ในตอนนั้นพี่ไมค์ได้รับโปรเจคให้ทำภาพยนตร์เรื่อง “ศพเด็ก 2002” ซึ่งมีเค้าโครงมาจากข่าวที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศสะเทือนขวัญกับการพบศพทารกจำนวนมากถึง 2,002 ศพ สถานที่คือวัดไผ่เงินโชตนาราม เมื่อทราบว่าจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อใช้ในการถ่ายทำ หนึ่งในนั้นคือโกดังวัดไผ่เงินและศาลที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งพี่ไมค์กับทีมงานต้องสร้างขึ้นมาเอง จึงเดินทางไปสถานที่จริง เพื่อวัดสัดส่วน ความกว้าง ความสูง และรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มีความสมจริงมากที่สุด จากนั้นก็วางแผนว่าจะสร้างในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นเวลาจวนพลบค่ำ ปรากกฎว่าพี่ไมค์ดันลืมองค์ประกอบสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เช่น พวงมาลัยแห้ง เหล่าบริวาร และของเซ่นไหว้ เพื่อความสมจริง ของเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องดูเก่า พี่ไมค์คิดว่าถ้าจะไปหาซื้อใหม่ตอนนั้นก็คงไม่ทัน จึงต่อสายหาสัปเหร่อ (ตอนนั้นยังไม่ถูกจับไป) เพื่อขออนุญาตขอ “ของจริง” มาใช้ และจะซื้อของใหม่เข้าไปถวายแทน ทางสัปเหร่อของวัดก็ไม่ได้ว่าอะไร และบอกว่า “ถ้าจะเอาก็มาขอเขาก่อน” สิ้นสุดการสนทนา พี่ไมค์และทีมงานก็เดินทางไปที่วัดเพื่อนำบริวารของจริงทุกอย่างที่มี ไปประกอบฉากอย่างที่ตั้งใจ และนำของใหม่ที่พึ่งซื้อหน้าวัดเข้าไปสับเปลี่ยน พร้อมทั้งบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นของจริงก็ถูกนำมาใช้ระกอบฉาก เรียกได้ว่าออกมา “สมบูรณ์แบบ” พอเสร็จงาน พี่ไมค์ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นพึ่งจะเช่าบ้านใหม่และมีหลานอยู่ด้วย ตกดึกหลานก็บอกว่าได้ยินเสียง “กุกกัก กุกกัก” เป็นเหมือนเสียงคนเดินอยู่ในบ้าน พี่ไมค์บอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีศาลแต่มีตี่จู่เอี๊ยะ (ศาลเจ้าตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน) จึงคิดในใจว่าหลานเราไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า หรือเป็นเพราะพี่ไมค์ที่ย้ายบ้านเข้ามาใหม่แต่ไม่ได้ไหว้ตี่จู่เอี๊ยะเลย พี่ไมค์เล่าว่าได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่บ้านแบบนั้นอยู่ 3 วัน ตามระยะเวลาที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ จนกระทั่งวันสุดท้าย พี่ไมค์เล่าเรื่องที่เจอให้กับพี่คนขับรถฟัง พี่คนขับรถได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม พี่ไมค์จึงปรึกษาว่า “เอายังไงดี เพราะบ้านหลังนี้ก็พึ่งเช่า ผมยังไม่พร้อมจะย้าย” พี่คนขับรถก็บอกว่า “ไมค์ น้ามีเรื่องอยากจะบอกนะ ของที่ไมค์ไปเอาเขามา ไมค์ได้ไหว้ที่โรงเรียนนั้นมั้ย?” พี่ไมค์ตอบกลับไปว่าไม่ได้ไหว้ เพราะตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งรัด พี่คนขับรถจึงบอกว่า “ไมค์อ่ะทำพลาดแล้ว ไมค์ไปเอาของเขามา แต่ไม่ได้ไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ที่โรงเรียน เขาก็เลยไปไหนไม่ได้ เขาก็เลยมาหาไมค์ เลยมาหาที่บ้าน” พอถึงวันถ่ายทำวันสุดท้าย จากเดิมที่คิดว่าจะทิ้งเพราะมีของใหม่ไปเปลี่ยนแทนแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะนำของทุกอย่างที่ยืมมาไปคืนให้หมด แต่พอเก็บไปเก็บมา “คิน” หนึ่งในทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็ต้องตกใจ และบอกกับพี่ไมค์ว่า “เห้ยพี่ ของไม่ครบอ่ะ” พี่ไมค์ก็ตกใจว่าทำไมไม่ครบ เพราะฉากนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไร เป็นการตั้งไว้เฉย ๆ จึงไม่น่าทำให้ของหายได้ ส่วนของที่หายคือ “ตา-ยาย” ของสำคัญที่ไม่ควรจะหาย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ! ทุกคนในทีมมั่นใจเต็มร้อยว่าเอามาหมด ของสำคัญอย่างตายายเราจะลืมเอามาได้อย่างไร แถมศาลยังเล็ก ๆ เราซื้อของใหม่เข้าไปเปลี่ยนด้วย ยังไงก็ต้องเอามา พี่ไมค์ถึงกับขนลุกและพูดกับคินว่า “โหยคิน ถ้ากลับไปที่ศาลแล้วเขาอยู่ที่ศาล เราจะทำยังไงวะ” แม้จะดูเหมือนเป็นการคุยกันเล่น ๆ แต่ลึก ๆ ในใจ ทุกคนในทีมก็หวังว่าจะไม่เจอสิ่งที่พูดไป พอกลับไปถึงศาลที่วัด พี่ไมค์เล่าว่าภาพมันเหมือนกับฉากในภาพยนตร์ไม่มีผิด พี่ไมค์กับคินก็คิดในใจว่า “อย่าอยู่นะ อย่ามีนะ” พอเดินเข้าไปใกล้ศาลเรื่อย ๆ ก็แง้มดูข้างใน พี่ไมค์บอกว่า “นั่งเดี่ยว ๆ อยู่เลย” ซึ่งรวมอยู่กับของใหม่ที่เอามาเปลี่ยนแทน กลายเป็นมีตายายเก่าและตายายใหม่อยู่ด้วยกัน! นั่นทำให้พี่ไมค์คิดแล้วคิดอีก และหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “ตายาย” ถึงอยู่ที่ศาลเดิม เพราะนั่นคือสิ่งแรกที่พี่ไมค์จะนำมาด้วย และก็นำของใหม่เข้าไปสับเปลี่ยน สุดท้ายก็หาเหตุผลไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ไมค์ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ที่วัดฟัง ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องคิดไรมากโยม ก็แสดงว่าเขาไม่ไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

01 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

หน้าที่ยาม ที่ดูแลผีมากกว่าคน!! ‘คุณเอก ตายแน่’ ได้นำเรื่อง ‘เรื่องของลุงยาม‘ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(28 มกราคม 2568) เรื่องเล่าสุดหลอนของตึก 13 ชั้น จากลุงยามเฝ้าตึก ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ’ดีเจเจ็ม’ ต้องขนลุกไปพร้อม ๆ กับการหลอกของเหล่าผี!! เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณเอกได้ทำงานทีี่บริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีหลายครั้งที่แวะเข้าไปในออฟฟิศ และภายในออฟฟิศมักจะเจอคุณลุงอายุ 65 ปี ด้วยประสบการณ์การทำงานและความเคารพจากบริษัท จึงได้ให้คุณลุงทำงานด้านเอกสาร คุณเอกที่เป็นพนักงานใหม่และชื่นชอบการคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า ก็ได้เขาไปพูดคุยกับคุณลุง คุณเอกที่ชื่นชอบเรื่องเล่าผีได้เข้าไปถามคุณลุงว่า “ลุงครับ ไม่ทราบว่าลุงเคยเจอเรื่องน่ากลัวๆ เรื่องผีบ้างไหมครับ” คุณลุงจึงตอบว่า “จริงๆ ก็เจอมาตลอดในการทำงาน เพราะชอบเลือกอยู่กะกลางคืน” คุณเอกได้ถามต่อว่า “แล้วมีเหตุการณ์ไหมที่เจอจังๆ ไหม เจอพี่เจอเป็นตัวเลยหรอ” คุณลุงก็บอกว่า “เจอแบบชักปลั๊กเลย สลบไปเลย” คุณลุงเล่าต่อว่าเป็นครั้งแรกที่กลัวผีจนสลบไปและเลิกเป็นยามเฝ้าตึก เรื่องมีอยู่ว่า.. ย้อนไป 10 ปีที่แล้ว คุณลุงอายุ 55 ปี ทำอาชีพเป็นยามเฝ้าตึกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ย่านใกล้เคียงกับสถานบันเทิงและโรงแรม ตึกที่คุณลุงทำงานอยู่นั้นเป็นตึกค่อนข้างเก่า มีทั้งหมด 13 ชั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชั้นที่ 13 จึงสร้างเป็นตึกเสริมแทน และบริเวณป้อมยามที่คุณลุงอยู่จะมีโต๊ะไม้หินอ่อนอยู่ข้าง ๆ กิจวัตรประจำวันทุกครั้งหลังจากตรวจตึกเสร็จ คุณลุงจะกลับมาที่ป้อมยามในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม เพื่อนอนหลับ จนมีอยู่หนึ่งคืน ที่คุณลุงกำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงเคาะกระจกป้อมยาม เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เจอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาสะสวย สวมใส่ชุดเดรสสีแดง คุณลุงจึงทักทาย “สวัสดีครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครัับ” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า “เรียกหนูว่าแยมเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พอดีหนูอยู่ชั้นที่ 8 หนูกลัวผีค่ะ ช่วยพาหนูขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ” คุณลุงก็ตกใจ และนึกได้ว่าช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ ตึกนี้เคยมีเรื่องเล่าว่า มีคนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต ร่วมถึงคนป่วยเป็นมะเร็งปอดแล้วเสียชีวิตภายในห้องพักส่วนตัว คุณลุงก็ไม่ทราบว่าชั้นไหน แต่เมื่อลูกบ้านกลัวและเป็นหน้าที่ของรปภ. คุณลุงจึงอาสาไปส่ง จากนั้นคุณลุงก็ได้หยิบกระบอกไฟฉายมาเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกง แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็เกิดขึ้น เนื่องจากปกติแล้วคนกลัวผีมักจะเดินตามหลังแต่ผู้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้าคุณลุงไปและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ คุณลุงที่อายุมากแล้วและขาไม่ค่อยดีจึงค่อย ๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป เมื่ออยู่ในลิฟต์ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวตรง ขาชิด หันหน้าไปทางประตูลิฟต์ และนิ้วของเขาก็กดไปที่เลข 8 ย้ำ ย้ำ ย้ำ เหมือนให้ลิฟต์รีบขึ้นไป พอลิฟต์ปิดลง พื้นที่เริ่มน้อย ทำให้คุณลุงได้กลิ่นชัดขึ้น ซึ่งเป็นกลิ่นของน้ำอบดาวเรือง คุณลุงก็คิดในใจว่า ผู้หญิงวัยรุ่นที่เที่ยวกลางคืน มันควรจะเป็นน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งหรือเปล่า และในตอนนั้นคุณลุงก็รู้สึกว่าระหว่างชั้น 1 ถึงชั้น 8 นั้นนานกว่าปกติ ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดไม่จากับคุณลุง คุณลุงจึงได้แต่ก้มหน้า แต่หางตาก็มองไปที่เลขลิฟต์ว่าเมื่อไร่จะถึงชั้น 8 เมื่อถึงชั้นที่ 8 ผู้หญิงคนนั้นก็ทำเหมือนเดิม โดยใช้มือกดย้ำ ย้ำ ย้ำ ไปที่ปุ่มเปิดลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดผู้หญิงคนนี้ก็พุ่งตัวออกจากลิฟต์ทันที และกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งอยู่เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ คุณลุงจึงบอกว่า “ใจเย็น ๆ คุณหนู ผมขาไม่ค่อยดี” แต่ผู้หญิงคนนั้นยังเดินต่อไป ไม่ได้หันมามอง จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูไม่ได้เข้าห้องไปทันที และผู้หญิงก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวหนูเข้าไปเองค่ะ” พอได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะหลาย ๆ อย่างมันดูแปลก คุณลุงจึงบอกไปว่า “งั้นผมส่งตรงนี้นะครับ” และหันหลังกลับไป แต่เมื่อกำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอหันกลับไปดูว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องแล้วหรือยัง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ ด้วยความตกใจคุณลุงจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ เพราะมันไวกว่ารอลิฟต์ พอลงมาถึงข้างล่าง ด้วยความที่วิ่งลงมาคุณลุงเหนื่อยมากและเผลอหลับไป หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะอีกครั้งจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณลุงได้มองออกไปข้างนอก ก็พบกับผู้หญิงคนเดิมใส่ชุดเดรสสีแดง ยืนตัวตรง แล้วบอกกับคุณลุงว่า “คุณลุงคะ คุณลุงพาหนูขึ้นไปอีกรอบได้ไหม หนูกลัวผี” คุณลุงก็รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออกผู้หญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “คุณลุงลืมของไว้ บางอย่างที่สำคัญมากเลยนะคะ ขึ้นไปเอากับหนูหน่อย” คุณลุงคิดว่านี่ไม่ใช่คนแล้ว จึงเปิดประตูออกแล้วรีบวิ่งออกไป ข้าง ๆ ตึกมีร้านสะดวกซื้ออยู่ คุณลุงก็ได้ไปนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจนถึงเช้า และรายงานกับหัวหน้าว่าเมื่อคืนตนได้เจอกับเรื่องแปลก ๆ หลังจากนั้น คุณลุงก็เดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพื่อขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดเพราะยังข้องใจกับเรื่องเมื่อคืน ภาพที่ปรากฎขึ้นบนจอคือภาพที่คุณลุงยืนคุยกับอากาศ แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหตุขึ้นก็ปรากฎแค่คุณลุงคนเดียว ไม่มีผู้หญิงคนนั้นในภาพ และเมื่อภาพมาถึงช่วงที่ประตูห้องเปิดออกในจังหวะที่คุณลุงหันหลังกลับแล้ววิ่งไป กระบอกไฟฉายที่พกไปด้วยนั้นก็หล่นลงมาและกลิ้งเข้าไปในห้องนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นคุณลุงก็ได้แต่ขนลุกพลางว่าถ้าเกิดขึ้นไป ตนนั้นก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมาอีกเลย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณลุงจึงเริ่มปรับตัวกับการอยู่เฝ้ายาม เช่น นำพระมาห้อยจนเต็มคอ เริ่มตรวจตึกตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้วรีบกลับมาที่ป้อมยาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทนได้ จึงขอลาออก คุณลุงได้บอกกับเจ้าของตึกว่า “ผมขอออกนะครับ แต่ผมจะอยู่จนกว่าจะหาคนได้” เจ้าของตึกจึงบอกว่า“เดี๋ยวจะเอาหัวหน้ารปภ. จากสาขาอื่นมาเปลี่ยน เดี๋ยวเขาจะมาดูงานและมาเปลี่ยนคืนนี้แหละ อยู่ให้อีกสักคืนนะลุง” คุณลุงก็รับปากจะอยู่ให้ จากนั้นคุณลุงก็ทำตามกิจวัตรปกติตามเดิม พอกลับมาพักที่ป้อมยาม ผ่านไปสักพักคุณลุงก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะเหมือนคนเอากำปั้นทุบกระจก คุณลุงจึงรีบเปิดประตูออกมา และสิ่งที่คุณลุงได้เห็นคือมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดรปภ. อายุประมาณ 40 ปีกว่า ๆ ร่างอวบนิด ๆ และผู้หญิงคนนั้นยังจองมาที่คุณลุงตาเขม็งพร้อมบอกว่า “เป็นรปภ. ที่นี่ยังไง นอนหลับไม่ดูป้อมไม่ตรวจตาเลยเหรอ แล้วดูซิเนี่ย! แต่งตัวทำไมไม่เอาเสื้อเข้ากางเกง ก็สมควรแหละที่ได้ออก ทำตัวไม่ได้มีความเป็นรปภ.เลย ฉันจะมาเปลี่ยนนะ แล้วจะมาดูความเรียบร้อยด้วย มาดูความประพฤติกรรมด้วยว่าเป็นยังไง” ได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็ตกใจ นอกจากนี้ ผู้หญิงรปภ. คนนี้ก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนข้างป้อมยาม คุณลุงจึงกลับไปนั่งในป้อม แต่ก็ได้แต่นั่งเกร็งเพราะมีคนจ้องอยู่ด้านนอก คุณลุงไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบยาดมขึ้นมาดม แต่ก็มีเสียงตะโกนมาว่า “อย่าดม! อย่าดม! เหม็น! ทำไมต้องดมยาดม เป็นคนเสพติดของพวกนั้นหรอ” คุณลุงก็คิดในใจว่าแค่ดมยาดมก็ไม่ได้หรอ แต่คุณลุงก็เก็บยาดมไป นั่งไปได้สักพักคุณลุงก็เผลอหลับไป แต่ก็ยังสะดุ้งตื่นและลุกมาดูแถวโต๊ะไม้หินอ่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่มีใคร มีแค่โต๊ะโล่ง ๆ คุณลุงก็สงสัยว่าหัวหน้ารปภ. ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน คุณลุงจึงเดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ซึ่งเวลานั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว พอไปถึง คุณลุงก็มองหารปภ.ผู้หญิง แต่ก็หาไม่พบ คุณลุงก็คิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว คุณลุงจึงเดินออกมาข้างหน้าตึกพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แต่งตัวสบาย ๆ เอาเสื้อออกนอกกางเกงเหมือนอย่างที่เคยทำ สักพักก็ได้ยินเสียงแว่วมา ในเวลานั้นเองได้มีร่างของคนร่วงลงมาจากข้างบนตึกแล้วตกลงที่ตรงหน้าของคุณลุงพอดี!สภาพของร่างนั้นเป็นกองเนื้อที่กระจายเต็มหน้าคุณลุง แขน ขาบิดผิดรูป คุณลุงจึงได้แต่อึ้งค้างอยู่แบบนั้นและในกองเนื้อนั้นก็มีหัวคนที่อยู่เป็นยอดเหมือนเชอร์รี่ที่อยู่บนก้อนเค้ก ซึ่งหัวคนนั้นก็คือหน้าของรปภ.ผู้หญิงคนนั้น แล้วถลึงตาหันมามองคุณลุง และบอกกับคุณลุงว่า “กูบอกให้เอาเสื้อใส่ในกางเกง!” หลังจากนั้นคุณลุงก็สลบไปทันที รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล ในตอนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นิติ และเจ้าของตึกมาเยี่ยมคุณลุง คุณลุงจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ทั้ง 2 คนฟัง หลังจากเล่าเสร็จคุณลุงจึงถามว่านั้นคือผีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่นิติจึงตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นผีนะคะ ที่นี่ไม่เคยมีรปภ. ผู้หญิง” คุณลุงจึงถามต่อว่า “แล้วบอกจะมีหัวหน้ามาดูงานกลางคืนไม่ใช่หรอครับ” เจ้าหน้าที่นิติก็ได้บอกว่า “ไม่ใช่ ที่จะมา เขามาพรุ่งนี้ แล้วเขาเป็นผู้ชาย เขาติดงาน มาไม่ได้” ได้ยินดังนั้นเจ้าของตึกจึงได้เอามือมาผลักเจ้าหน้าที่นิติออกและพูดเบาๆ ว่า “เธอไม่รู้ เธอพึ่งมา จริง ๆ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ฉันได้จ้างรปภ. ผู้หญิงมา” เจ้าของตึกจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ได้สร้างตึกนี้เสร็จเมื่อ 30 ปีก่อน เจ้าของตึกได้คัดเลือกรปภ.ที่จะเข้ามาทำงานเฝ้าตึกด้านบนด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กำลังสร้างชั้นที่ 13 พอดี ซึ่งคนที่ต้องตรวจตราข้างบนก็คือ รปภ. ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนที่เข้มงวด ปากจัดมาก เนี๊ยบ ใครที่ไม่ถูกใจเธอก็มักจะด่าทันที จึงไม่ค่อยมีใครชอบเธอสักเท่าไหร่ วันหนึ่งตอนประมาณ 6 โมงเย็น รปภ.ผู้หญิงคนนี้ก็ตกลงมาจากชั้นที่ 13 จนร่างกายแตกกระจายอยู่หน้าตึก และคนอื่น ๆ ก็ได้ตีความกันว่าเป็นคนงานที่มาสร้างชั้น 13 ทนกับคำด่าของรปภ.คนนี้ไม่ไหวจึงผลักเธอตกลงมา แต่ก็มีการปิดข่าวทำให้ข่าวเรื่องนี้เงียบไป คุณลุงที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจึงใช้โอกาสนี้ในการลาออกทันที หลังจากนั้นคุณลุงก็นั่งโต๊ะทำงานเอกสารเป็นต้นมา(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1