บนไว้แต่ไม่ยอมไปแก้ สุดท้ายถูกหญิงห่มสไบตามติดถึงห้อง เกือบเอาชีวิตไม่รอด เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า อย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับใคร...โดยเฉพาะกับศาลพระภูมิ!

อังคารคลุมโปง RECAP

บนไว้แต่ไม่ยอมไปแก้ สุดท้ายถูกหญิงห่มสไบตามติดถึงห้อง เกือบเอาชีวิตไม่รอด เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า อย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับใคร...โดยเฉพาะกับศาลพระภูมิ!

11 ก.ค. 2023

       ‘คุณสายฝน พรหมญาณ’ หมอดูชื่อดังมาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ครั้งนี้ (27 มิ.ย. 66) พร้อมเรื่องเล่าสุดหลอนสอนใจสายมูทุกคนว่า อย่าลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับใคร ถ้าพร้อมที่จะไปรับประสบการณ์เดียวกันกับ ‘ดีเจแนน’ และ ’ดีเจเจ็ม’ แล้วก็ไปอ่านกันเลย!

       เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว คุณฝนยังประกอบอาชีพเป็นพิธีกรตามงานอีเว้นท์ต่าง ๆ อยู่ ตอนนั้นมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วงานที่เคยเข้ามาก็เริ่มลดลงจนเหลือน้อยเต็มที คุณฝนเริ่มชั่งใจกับตัวเองแล้วว่าจะทำอย่างไรดีให้งานกลับมาเยอะเหมือนเดิม ในตอนนั้นที่ห้องเช่าของคุณฝนแถวบางกะปิจะมีศาลพระภูมิตั้งอยู่เยื้องกับห้องพอดี โดยมีแนวกำแพงกั้นเอาไว้ แม้ศาลพระภูมิจะตั้งอยู่ในโพรงหญ้าจนทำให้ดูรกร้างพอสมควร แต่ก็ยังมีคนไปกราบไหว้บูชาอยู่เป็นกิจจะลักษณะ 

       คุณฝนคิดว่าจะลองไปบนกับเจ้าที่แห่งนี้ดู โดยหวังว่าจะได้กลับมามีงานเยอะเหมือนเดิม พอถึงวันที่จะไปไหว้ คุณฝนรอนัดเจอกับแฟนก่อน แล้วจึงจะไปไหว้ด้วยกัน แฟนของคุณฝนมาถึงเวลาที่บรรยากาศภายนอกเริ่มโผล้เพล้ ทั้งคู่พากันเดินไปที่ศาลพระภูมิ ผ่านถนนดินแดง ที่ศาลพระภูมิถูกจัดวางด้วยของสดที่คนนำมาไหว้กัน บนศาลเป็นรูปปั้นผู้ชาย ล้อมรอบด้วยนางรำ 4 องค์ เมื่อคุณฝนเห็นดังนั้นก็คิดว่าคงต้องศักดิ์สิทธิ์มากแน่ เพราะเวลาแบบนี้ ยังมีคนเอาของมาไว้กันอยู่เลย คุณฝนเริ่มจุดธูปไหว้ขอพร จังหวะนั้นหมาที่อยู่รอบ ๆ ก็พร้อมใจส่งเสียงหอนโหยหวนออกมา มีลมพัดกระโชกผ่านคุณฝนไปส่งกลิ่นสาบตีเข้าหน้าอย่างแรง แต่คุณฝนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าคงเป็นกลิ่นจากเครื่องเซ่นไหว้ ในวันนั้นคุณฝนขอว่าให้มีงานทำตลอดทั้งเดือน

       3 วันต่อมา คุณฝนได้รับการติดต่อให้ไปทำงานอีเว้นท์ Roadshow ที่ต่างจังหวัด คุณฝนจึงอธิษฐานกับเจ้าที่ศาลพระภูมิว่า ขอไปทำงานให้เสร็จก่อนแล้วจะกลับมาแก้บน แต่แล้วเมื่อกลับมาจากงาน คุณฝนก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

       วันหนึ่ง คุณฝนกลับจากทำงาน พอเข้าห้องมาแล้วก็ได้กลิ่นเหม็นคาวอย่างรุนแรง คิดว่าอาจมีสัตว์ไม่พึงประสงค์มาตายภายในห้องหรือไม่ก็ลืมล้างอะไรบางอย่างไป กลิ่นนี้ตีออกมาแรงมาก จนคุณฝนต้องหาที่มาของกลิ่นนั้น สุดท้ายก็หาไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก กลางดึกคืนนั้น ระหว่างที่กำลังตากผ้าอยู่ คุณฝนก็บังเอิญเหลือบไปมองที่ศาลพระภูมิหลังหอ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณฝนหลอนไปเองรึไม่ แต่ดูเหมือนว่ามีคนกำลังมองดูเธออยู่!  คุณฝนเริ่มหวั่นใจแล้วว่าตัวเองได้ไปทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้นึกถึงว่าตัวเองลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับศาลพระภูมิหลังนั้น

       เนื่องจากทะเลาะกับแฟน คืนนั้นคุณฝนจึงนอนที่พื้นและให้แฟนนอนบนเตียง ระหว่างที่หลับไป ก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนมาจ้องเธออยู่และกลิ่นสาบเจ้าปัญหาก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม การจ้องของใครบางคนที่คุณฝนสัมผัสได้นั้นนานผิดปกติมาก สัญชาตญาณสั่งให้คุณฝนลืมตาขึ้นมา และพบกับภาพที่เธอจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต!

       มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสไบสีเขียวผมยาวสยายยืนจ้องตาเขม็งมาที่คุณฝนด้วยสายอันเคียดแค้น คุณฝนช็อคจนทำอะไรไม่ถูก พอได้สติขึ้นมาเล็กน้อยก็พยายามปลุกแฟน แต่แฟนของคุณฝนยังคงนอนนิ่งดูไม่ได้รับรู้ถึงอะไรรอบตัว คุณฝนสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้พูดว่า “มึงลืมอะไรไปรึเปล่า?”

       คุณฝนพยายามสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ แต่ปากก็ดูเหมือนจะไม่มีแรงเลย ผู้หญิงชุดสไบเขียวขยับตัวเข้าหาคุณฝนมากขึ้นเรื่อย ๆ กดจนเริ่มหายใจไม่ออก สุดท้ายคุณฝนก็ตะเบ็งเสียงตะโกนออกไป “แม่! ช่วยลูกด้วย” ซึ่งแม่ในที่นี้หมายถึงองค์พระแม่ที่คุณฝนเคารพบูชาและอยู่ด้านหลังของผู้หญิงคนนี้ แล้วทันใดนั้นผีตนนี้ก็หายไป จากนั้นแฟนของคุณฝนก็ตื่นขึ้นมา

       เมื่อลองถามแฟนว่าได้ยินเสียงเรียกของคุณฝนหรือไม่ แฟนก็บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย แต่ว่ารู้สึกเหมือนกับมีผู้หญิงใส่สไบสีเขียวกระโดดออกไปนอกระเบียง แฟนถามว่าคุณฝนไปทำอะไรมาจนทำให้ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ตอนนั้นคุณฝนยังช็อกจนไม่สามารถพูดอะไรได้เลย คุณฝนนอนไม่หลับจนถึงเช้า เมื่อเริ่มได้สติ คุณฝนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แฟนฟัง จุดที่ทำให้คุณฝนจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าที่ได้ก็คือรูปปั้นนางรำที่อยู่ตรงศาลพระภูมินั้น มีองค์หนึ่งที่ห่มสไบสีเขียวและมันดันไปตรงกับลักษณะของผีตนที่มาเมื่อคืนพอดี

       คุณฝนกับแฟนรีบซื้อของเพื่อไปแก้บน พร้อมทั้งขอขมาเจ้าที่เรื่องที่ลืมคำสัญญาทันที คุณฝนบอกกับศาลพระภูมิแห่งนี้ว่าเธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรที่ไม่ยอมกลับมาแก้บน เพียงแต่ลืมจริง ๆ เรื่องนี้คุณฝนฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้ชาวอังคารคลุมโปงทุกคนว่า “อย่าลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

18 ธ.ค. 2023

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

อยากให้ร้านข้าวมันไก่ขายดีจนต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นของดำ! เรื่องราวจาก ‘คุณเบ้น’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณแม่บัว’ (นามสมมติ แม่ของคุณเบ้น) ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณเบ้นได้ฟัง โดยต้องย้อนกลับไปในสมัยที่คุณเบ้นอายุ 17 ปี ช่วงนั้นแม่บัวได้รู้มาว่า ‘ป้าเอ’ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านคนสนิทมาเปิดร้านข้าวมันไก่ในละแวกบ้านเช่าที่ตนอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะไปช่วยอุดหนุน พอถามไถ่กันจึงได้รู้ว่าป้าเอเปิดร้านข้าวมันไก่มาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อไปถึง ป้าเอก็พูดกับแม่บัวด้วยความกังวลว่า “เจ้ หนูปรึกษาอะไรหน่อยสิ คือช่วงนี้ร้านหนูขายไม่ค่อยดีเลย หนูอยากขายได้เยอะ ๆ แต่ช่วงนี้ขายไก่ได้ประมาณ 5-6 ตัวเอง เจ้พอมีวิธีจะสื่อถึงอากง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ไหม” ที่ป้าเอถามเช่นนี้ ก็เพราะรู้ว่าแม่บัวสามารถสื่อถึงพลังงานบางอย่างได้ แต่เรื่องนี้จะมีแค่คนสนิทที่รู้เท่านั้น “ได้สิ เดี๋ยวสื่อให้” แม่บัวตอบกลับทันที ไม่นานหลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็เดินไปยังตี่จู้เอี๊ยะบริเวณหลังร้าน เพื่อสื่อกับอากงว่าต้องการอะไรหรือไม่ หรือต้องทำอย่างไรจึงจะขายดีขึ้น และได้รู้คำตอบว่าจะต้องถวายน้ำทุกวัน รวมถึงในทุกวันพระจะต้องมีการถวายพวงมาลัย และผลไม้หนึ่งชนิดจึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ป้าเอเชื่ออย่างนั้นจึงปฏิบัติตามที่แม่บัวบอก พอเวลาผ่านไปไม่นาน แม่บัวได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปทานข้าวในร้านป้าเออีกครั้ง และไม่ลืมที่จะถามว่าค้าขายเป็นอย่างไร ป้าเอยิ้มด้วยความดีใจและตอบกลับกลับทันทีว่า “เจ้! ขายดีมากเลย ตอนนี้ขายไก่ได้วันละ 10-12 ตัวเลย” แม่บัวดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น หลังจากพูดคุยและทานข้าวเสร็จก็กลับบ้านตามปกติ เวลาล่วงเลยมาประมาณเดือนกว่า แม่บัวได้แวะเข้าไปที่ร้านป้าเออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถึงกลับต้องตกใจและขนลุกไปทั้งตัว เพราะไปรู้มาว่าป้าเอได้ไปเช่าบูชากุมารมาไว้ที่ร้าน เพราะคิดว่าจะได้ขายดีขึ้น แต่แม่บัวกับสัมผัสได้ถึงพลังงานดำมืด บรรยากาศที่เธอเห็นตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามันมืดมัวไปหมด “เอ ! เธอไปเอามาจากไหน” แม่บัวถามด้วยสีหน้ากังวล ป้าเอก็ตอบกลับมาว่า “ฉันก็ไปเช่ามาแถวบ้านเจ้นั่นแหละ คนข้างบ้านเขาเปิดรับคนบูชามันมีแค่ 500 องค์เอง เช่ามาประมาณ 1,999 บาท เขาบอกกับฉันว่าถ้าบูชามาแล้วจะขายดีขึ้น” ได้ยินอย่างนั้นแม่บัวก็เงียบไปพร้อมกับขนลุกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่ป้าเอเชื่อแบบนั้นก็บูชากุมารองค์นี้มาตลอด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ขายดีตามปกติ แต่ด้วยความเป็นห่วงแม่บัวจึงเตือนว่าอากงบอกมาว่าเป็นสิ่งไม่ดี ให้เอากลับไปส่งจากที่เช่ามา ได้ยินอย่างนั้นก็ลองทำตามคำแนะนำของแม่บัวดู แต่ปรากฏว่าร้านของป้าเอกลับเงียบไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนเหมือนเมื่อก่อน จึงตัดสินใจโทรไปหาแม่บัวและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บัวรีบมาที่ร้านและพยายามสื่อกับกุมาร แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ จึงคิดว่าจะไปให้หลวงพ่อช่วยสื่ออีกแรง หลังจากเสร็จภารกิจก็กลับบ้านตามปกติ แต่ในคืนนั้นแม่บัวรู้สึกว่ามีอาการเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล พ่อคุณเบ้นรู้ข่าวก็รีบโทรมาหาคุณเบ้น หลังจากวางสายก็ตรงมาที่โรงพยาบาลทันที คืนนั้นประมาณ 3-4 ทุ่ม พ่อเล่าให้ฟังว่าแม่บัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร ซึ่งผิดปกติจากนิสัยที่เป็นคนร่าเริง “เป็นใคร มึงเป็นใคร ?” พ่อถามด้วยความสงสัยเพราะตอนนั้นคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่ “มึงก็ลองถามเมียมึงสิ ! ว่ามันไปทำอะไรไว้ มันยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม อย่ามายุ่งเรื่องของกู และก็อย่ามาที่ร้านนี้อีก !” หลังจากที่แม่พูดจบ ก็หมดสติไปทันที เมื่อแม่บัวฟื้นขึ้นมาก็มีอาการปวดท้อง และพะอืดพะอมจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา ปรากฎว่าหลังจากที่อ้วกออกมา มันคล้ายกับน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่มีสีดำคล้ำ ตอนนั้นแม่บัวรู้สึกกลัวมาก ไม่คิดว่ากุมารองค์นั้นจะเล่นเธอกลับมาแรงขนาดนี้ และด้วยความกลัวนี้ แม่บัวจึงไม่คิดจะกลับไปที่ร้านข้าวมันไก่นั้นอีก ต่อมาไม่นาน คุณเบ้นก็ได้มีโอกาสแวะเข้าไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าเอมาฝากแม่ แต่ก็ไม่เจอกุมารองค์นั้นแล้ว ป้าเอบอกว่าหลังจากที่แม่บัวได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อวันนั้น หลวงพ่อก็บอกว่ากุมารองค์นี้เป็นสายดำ เป็นผี! จึงจะทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ แต่ในระหว่างที่ทำพิธีอยู่ก็ได้ไปเห็นเหมือนผงกระดูกบริเวณใต้ฐานกุมาร! และหลวงพ่อเชื่อว่าเศษกระดูกพวกนี้คือกระดูกเด็กที่มาจากข่าวดัง ‘ศพเด็ก 2,002 ศพ’ หลวงพ่อจึงรีบทำพิธีให้เสร็จ เพราะคิดว่าดวงวิญญาณเหล่านี้ทรมานมานานมากแล้ว หลังจากที่ป้าเอได้ไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณก็ปิดทำการร้านข้าวมันไก่ไป และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเจอมาก็หายไปตามกาลเวลา รวมถึงแม่บัวก็ไม่ได้สื่อสารกับดวงวิญญาณของกุมารเหล่านั้นอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

21 ส.ค. 2023

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

‘ตั้ม The Shock’ กลับมาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 สิงหาคม 2566) ได้ฟังอีกครั้ง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้อง 329’ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคดีจริงเมื่อปี 2550 เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วไปอ่านเลย! เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากคดีฆาตกรรมเมื่อปี 2550 ที่จ.นครราชสีมา มีแม่บ้านจากโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 3 หมายเลขห้อง 329 เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องผงะ เพราะกลิ่นเหม็นสาบคาวเลือดพุ่งกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง แถมยังลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้น 3 อีกด้วย แม่บ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรม และติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งหน่วยกู้ภัย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ตรวจสอบพบว่า มีคราบเลือด คราบน้ำเหลืองอยู่บนเพดานห้อง กู้ภัยจึงเปิดฝ้าเพดานและได้เจอกับศพผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งร่างมีคราบน้ำเหลืองและเลือดไหลปะปนกัน ยิ่งเข้าไปใกล้ ๆ ก็ยิ่งส่งกลิ่นให้แรงทวีคูณ เจ้าหน้าที่จึงทำการเคลื่อนย้ายร่างผู้ตายเพื่อส่งไปชันสูตรหาตัวตนและสาเหตุการตายต่อไป ตัดภาพมาที่ ‘คุณโก้’ เจ้าของเรื่องหลอนในครั้งนี้ คุณโก้เป็นคนเชียงใหม่ มีธุรกิจอยู่ที่โคราช ทำให้ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง 2 จังหวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 คุณโก้ก็ไม่ได้เดินทางมาที่โคราชเป็นเวลากว่า 3 ปี หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย คุณโก้จึงเดินทางไปที่โคราชอีกครั้ง ในครั้งนี้มีครอบครัวที่ประกอบไปด้วย คุณแจง (นามสมมุติ) ผู้เป็นภรรยาและ น้องจอย (นามสมมุติ) ลูกไปด้วย เมื่อถึงวันเดินทาง คุณโก้ก็ได้มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ เป็นห้องชั้น 3 หมายเลข 329 ซึ่งปกติแล้วคุณโก้ก็เคยมาพักที่นี่ แต่ก็ได้ห้องชั้นอื่นตลอด คุณโก้เช็คอินเข้าห้องพัก กระเป๋าและสัมภาระก็ถูกขนขึ้นไปไว้บนห้อง ระหว่างนั้นครอบครัวคุณโก้ก็ออกไปรับประทานอาหารร้านประจำซึ่งมีพนักงานเสิร์ฟสาวที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอกล่าวทักทายคุณโก้ “สวัสดีค่ะคุณโก้ มาเที่ยวเหมือนเดิมเหรอคะ? แล้วพักที่ไหนคะ?” คุณโก้บอกชื่อโรงแรมไป แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า “แล้ว.. ห้องไหนคะ?” คุณโก้ก็ตอบไปตามปกติว่า “เมื่อก่อนได้ห้องชั้น 1 บ้าง ชั้น 2 บ้าง แต่รอบนี้ได้ห้อง 329 เหมือนจะเลขสวยด้วยน้า” เด็กเสิร์ฟที่กำลังตักข่าวอยู่ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เดินหนีออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย! คุณโก้ได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอจึงเดินหนีออกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวของคุณโก้ก็กลับมาที่โรงแรม เมื่อถึงโรงแรม คุณแจงและน้องจอยโก้ก็ขึ้นไปบนห้อง ส่วนคุณโก้นั้นลงมาซื้อขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเผื่อหิวกลางดึก ในระหว่างนั้น น้องจอยก็เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ สักพักก็เดินออกมาแล้วบอกว่า “แม่ มีผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำ” คุณแจงบอกกับลูกว่า “ไม่มีหรอกลูก ผู้หญิงที่ไหน เราอยู่กันสองคน” น้องจอยก็ยืนยันว่ามีจริง คุณแจงคิดว่าน้องจอยไม่ได้โกหกแต่อาจจะเป็นจินตนาการของน้องจอยที่คิดไปเอง “งั้นพาแม่ไปดูหน่อยสิ้” น้องจอยก็พาคุณแจงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่คุณแจงก็ไม่เจออะไร จึงถามน้องจอยว่าเจอผู้หญิงตรงไหน น้องจอยก็ชี้ไปที่อ่างน้ำ แต่ในเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ คุณแจงจึงพาน้องจอยออกมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณโก้กลับมาเข้าที่ห้องพอดี คุณโก้และคุณแจงนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ส่วนน้องจอยจะนอนอยู่บนเตียงเด็กที่เตรียมมาเองในตำแหน่งปลายเตียงของพ่อแม่ คุณโก้บอกให้คุณแจงและน้องจอยรีบนอน เพราะพรุ่งนี้หลังจากทำธุรเสร็จแล้ว จะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน ทุกคนดูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยว คุณโก้จึงปิดไฟเหลือไว้เพียงแสงจากโทรทัศน์ หลังจากนอนไปได้สักพัก คุณแจงที่มักจะนอนหงายอยู่ฝั่งขวา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก รู้สึกอบอ้าวและร้อนไปหมดทั้งตัว แถมยังรู้สึกระคายเคืองที่คอ และยังได้ยินเสียงเหมือนคนสำลักออกมาด้วย คุณแจงตื่นขึ้นมาแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงชำเลืองหางตาไปทางขวามือที่คุณโก้นอนอยู่ ก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าในมุมมืดข้างเตียง ลิ้นจุกอยู่ที่ปากส่งเสียงสำลักในคอมาเป็นระยะ! คุณแจงที่ยังขยับตัวไม่ได้ก็สังเกตเห็นอีกว่ามือของผู้หญิงคนนั้นเอือมมาบีบคอตัวเองอยู่! คุณแจงพยายามดิ้นและนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สักพักก็หลุดพ้น คุณแจงลุกขึ้นมานั่งแล้วสะกิดคุณโก้เสียงเบาเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น คุณแจงบอกว่าตนนั้นโดนผีหลอก คุณโก้ปลอบใจและพยายามบอกว่าอาจจะเหนื่อยมากไปเพื่อให้คุณแจงใจเย็นลง หลังจากใช้เวลาสักพัก คุณแจงก็ยอมนอนต่อแต่โดยดี เมื่อคุณแจงหลับไป คุณโก้ที่ปกติแล้วชอบนอนตะแคงก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนมากอดจากข้างหลัง จึงคิดว่าอาจจะเป็นคุณแจง แต่มันแปลกตรงที่การกอดมันแน่นรุนแรงขึ้น และยังรู้สึกอีกว่าแขนที่มากอดมันหนักเกินกว่าจะเป็นแขนของภรรยาได้! จากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ และรู้สึกว่าแขนนั้นมันเปียกชื้นแฉะ คุณโก้จึงหันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาว ลิ้นจุกปาก น้ำเหลืองและน้ำเลือดไหลออกจากตา สำลักในลำคอของเธอก็ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับสายตาน่ากลัวที่มองคุณโก้! คุณโก้ตกใจดิ้นหลุดจนตกลงมาซอกเตียง หลังจากควบคุมสติได้ก็มองขึ้นบนเตียงอีกที ทุกอย่างก็หายไป! คุณโก้ใช้มือยันพื้นหลังติดผนังแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกุกกักจากข้างบนฝ้าตามมาด้วยเสียงสำลักในลำคอดังขึ้นมาอีก! คุณโก้รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างบนนั้นมันกำลังจะร่วงลงมา จากนั้นฝ้าก็เผยอเปิดออก! คุณโก้รีบไปดึงตัวคุณแจงและน้องจอยออกจากห้องโดยที่ไม่พูดอะไรและทิ้งของทุกอย่างไว้ที่ห้องนั้น แล้วขับรถออกจากโรงแรมทันที! เมื่อมาถึงอีกโรงแรม คุณโก้ก็บอกน้องจอยแค่ว่า “พ่อนัดเพื่อนไว้ ลูกขึ้นไปนอนก่อนนะ” คุณแจงและน้องจอยก็ขึ้นไปบนห้อง คุณโก้นั่งอยู่ที่ฟร้อนโรงแรมเพื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เห็นป้อมยามของโรงแรม จึงไปเดินถามเพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องผีจริง คนที่จะรู้มากที่สุดก็คงจะเป็นคนในพื้นที่ ก็เจอลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ในป้อมยาม คุณโก้เล่าให้คุณลุงฟังว่าเจออะไรมาบ้าง พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่เจอ คุณลุงถามกลับมาทันทีว่า “329 ใช่มั้ย?” คุณโก้พยักหน้าตอบ คุณลุงจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นทำให้คุณโก้ตัดสินใจว่าหลังจากนี้ จะไม่มาพักที่โรงแรมต้นเรื่องอีก ต้นตอของคดีฆาตกรรมห้อง 329 คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีสามีอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอาชีพเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ และมีงานพิเศษเป็นสาวอาบอบนวด ทำให้มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาพัวพันด้วย ผู้ชายคนนี้ทำอาชีพเป็นช่างแอร์ เมื่อคบกันไปได้สักพัก ผู้ชายก็จับได้ว่าเธอมีสามีอยู่แล้ว ทั้งคู่นักมาเคลียร์ใจกันที่โรงแรมนี้ในห้อง 329 เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายเกิดบันดาลโทสะบีบคอฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ด้วยความที่เขาเป็นช่างแอร์ จึงนำศพของผู้หญิงอำพรางไว้ในช่องข้างฝ้าเพดานข้างบน จากนั้นก็ลงไปซื้อเครื่องดื่มขึ้นบนดื่มบนห้องอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน เขาก็เช็คเอาท์ออก หลังจากนั้น 3 วัน แม่บ้านก็เข้ามาทำความสะอาดในห้อง จากนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่และพบศพอยู่ข้างบนฝ้าในห้อง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

2 เรื่องหลอนตอนไปทัวร์คอนเสิร์ต ของ ต้า & สอง PARADOX

01 ก.ย. 2023

2 เรื่องหลอนตอนไปทัวร์คอนเสิร์ต ของ ต้า & สอง PARADOX

‘ต้า-สอง Paradox’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 สิงหาคม 2566) พร้อมเรื่องเล่าสุดหลอนจากการได้ไปนอนโรงแรมต่างๆ ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนหัวลุกตามกันเลยกับชื่อเรื่อง เตียงคู่‘ประสบการณ์หลอนพี่สอง Paradox’เกิดขึ้นครั้งที่ไปทัวร์คอนเสิร์ต ได้เข้าพัก ณ ที่พักแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ลักษณะห้องพักคือมีเตียงเล็ก 2 เตียงตั้งคู่กัน โดยมีรูมเมทคือ ‘พี่บิ๊ก Paradox’ ในวันนั้น พี่บิ๊กตัดสินใจกลับก่อนในตอนเช้ามืด ส่วนพี่สองยังคงนอนพักอยู่ในห้องเพราะจะบินกลับตามไปในช่วงบ่ายพี่สองเล่าว่า ที่จริงแล้วจะมีกฎ หากห้องพักมี 2 เตียง แล้วเราเหลือคนเดียว เคยมีคนพูดไว้ว่า “ ให้เอาของไปวางบนเตียงที่ว่าง จะได้ไม่ต้องมีอะไรมาอยู่บนเตียง” ตามปกติก็จำได้ว่าต้องทำ แต่ในวันนั้นดันหลับอยู่ พี่บิ๊กกลับไปแล้ว เตียงเลยว่างโดยที่ไม่มีของวางไว้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอช่วงเวลารุ่งสาง เริ่มรู้สึกตัว ฟ้าเริ่มสลัวๆ ก็ลุกขึ้นหยิบของ เข้าห้องน้ำปกติ คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะนอนต่ออีกหน่อย แต่จังหวะที่จะหยิบของจากตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพมาเลยในกระจก สิ่งที่เห็นคือ กระจกสะท้อนไปที่เตียงพี่บิ๊ก เป็นร่างผู้หญิงนอนอยู่พี่สองบอกว่า “เสียงก๊อกน้ำ เสียงคนแก่ มันเป็นไปได้ที่เห็นแว๊บ ๆ หรือมุมไกล ๆ ลิฟต์เปิดเอง ทีวีเปลี่ยนช่องเอง เป็นเหตุการณ์ที่เจอมาหมด แต่ยังคิดต่อได้ว่าเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่ภาพที่เห็นคนนอนอยู่ในกระจกอีกที คือตกใจมาก แบบเห็นชัดเลย แบบครั้งแรกที่ได้เห็นเต็ม ๆ พอหลังจากนั้นก็เก็บของแล้วไปห้องน้องๆทีมงานคนอื่นแทน”‘ยืนยันความหลอนจากประสบการณ์ของพี่ต้า Paradox’ในวันเดียวกัน สถานที่เดียวกัน แต่คนละห้อง พี่ต้านอนอยู่ในห้อง โดยมีพี่วัตเป็นรูมเมทก็นอนในท่านั่ง เอาหัวแนบไปกับโต๊ะ แล้วก็พูดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับใจความได้ ในตอนแรกพี่ต้าเข้าใจว่ากำลังนอนคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่ได้สนใจอะไรจากนั้นก็นอนหลับไปปกติ คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นพอฟ้าสว่างก็ได้ยินเสียงพี่วัตลุกขึ้น อาละวาด โวยวาย “เอาดิว่ะ มาดิว่ะ ” แล้วก็เตะของ เปิดบทสวดมนต์ดังลั่น มาจากความโมโหที่โดนผีอำเมื่อคืน แล้วขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มองพี่ต้านอนหลับ พี่วัตบอกว่าเขาพยายามตะโกน ขอให้ช่วย แต่พี่ต้าเข้าใจว่าพี่วัตกำลังนอนโทรคุยกับเพื่อน ไม่อยากเข้าไปกวน ขณะที่พี่วัตโดนผีอำ สายตาของเขามองผ่านกระจกไปเห็นภาพที่สะท้อน ตรงเตียงของพี่ต้า มีผีผู้หญิงหน้าตาดีสองคนกำลังสัมผัสลูบที่ศรีษะ ปรนนิบัติพี่ต้าอยู่แบบนั้นจนฟ้าสว่าง แล้วพวกเขาก็หายไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

22 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากใหม่ รอเรน ’ร้องขอชีวิต‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

‘คุณใหม่ รอเรน’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ร้องขอชีวิต’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณใหม่เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้อง ‘เลิ่กลั่ก’ ดาว TikTok ที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเห็นคลิปของน้องมาไม่มากก็น้อย คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าน้องมีเอเนอร์จี้เหลือล้น ตลก และสนุก แต่เรื่องราวที่น้องเจอมานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นเรื่องราวในวัยเด็กที่โหดร้ายมากเสียจนแทบจะเป็นหนังฆาตกรรมได้ แต่เลิกลั่กก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ร่าเริงได้ขนาดนี้ คุณใหม่ถึงกับเอ่ยปากชมไม่หยุด เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ชายของน้องเลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนั้น เลิ่กลั่กเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ภาคใต้ ซึ่งจะเป็นครอบครัวที่เป็นหมอคุณไสย์ มนตร์ดำ มีอยู่วันหนึ่ง คุณไสย์บอกว่าให้ลงไปงมในบ่อที่เป็นบ่อน้ำเหมือนทะเลสาบ บอกว่าใต้น้ำนั้นมีไม้ตะเคียนใหญ่ 2 ต้น และสั่งให้พ่อเอาขึ้นมา เพื่อเอามาทำเป็นเสาบ้าน คุณพ่อจึงลองงมตามที่บอกและปรากฎว่าเจอจริง ๆ จากนั้นก็นำกลับมาไว้ที่บ้าน ซึ่งน้องเลิ่กลั่กก็จะตกใจทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วเจอไม้ใหญ่ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น อันดับแรก วันแรกที่เอาไม้ตะเคียนมาพ่อก็หนีออกจากบ้าน แล้วไปนอนบนภูเขา ตอนเช้าค่อยกลับมาบ้าน รอบแรกไปแค่วันเดียว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มเพิ่มเป็น 2 วัน บางทีเป็นอาทิตย์ ตอนที่ลงจากเขาก็ถามว่า “ไปไหนมา” พ่อก็บอก “ไปนอนบนภูเขา” ซึ่งมันแปลกมาก ทุกคนในบ้านก็งง และพ่อเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป จู่ ๆ ก็หยิบปืนลูกซองขึ้นมาเล็งคนในบ้าน และพูดว่า “กูจะเอาชีวิตทุกคนในครอบครัว” ตอนนั้น เลิกลั่กพึ่งจะอายุ 12 ยังเด็กมาก ต้องไปหลบใต้ต้นพลูกับพี่ชายเพื่อหลบปืนจากพ่อ มีบางวัน พ่อก็ลุกขึ้นมาต่อยกระจกบ้านรอบบ้านจนแตก และมือก็เป็นแผลเลือดออกเต็มไปหมด หลังจากนั้นพ่อก็เอามือที่เต็มไปด้วยเลือดป้ายตามบ้านเต็มไปหมด ซึ่งทุกวันนี้รอยเลือดนั้นก็ยังอยู่ ในตอนกลางคืนที่น้องนอนก็มักจะได้ยินเสียงพ่อใช้เคียวกรีดยางขูดกับอะไรบางอย่างเหมือนในหนังฆาตกรรม เลิกลั่กจึงบอกกับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว และในทุก ๆ วันแม่ก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปกรีดยาง ทุกครั้งที่ไปกรีดยางจะเห็นพ่อยืนอยู่ไกล ๆ เหมือนแอบส่องมาจากไกล ๆ แม่เดินไปทางไหนพ่อก็จะมองตาม พ่อเริ่มอาการหนักมาก จึงไปปรึกษาพระแถวบ้าน พระท่านบอกให้เอาต้นตะเคียนออกจากบ้านไป และนำมาไว้ที่วัดแล้วพรมน้ำมนต์ หลังจากทำตามที่พระบอก พ่อก็หายตัวไปเป็นระยะเวลา 10 ปี เลิกลั่กพึ่งจะมาได้ข่าวพ่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากแม่ว่าเจอพ่อแล้ว แต่พ่อไม่มีสติแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1