เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ผีเเตงโม’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 29 ก.ค.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเจน ‘ผีเเตงโม’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 29 ก.ค.2568 ]

09 ส.ค. 2025

          ‘คุณเจน The ghost’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวสุดหลอนเกี่ยวกับการไปตั้งแคมป์ในป่า แล้วเจอลุงปริศนาคนหนึ่ง ลุงคนนี้ได้ยื่นปลามาให้กิน และยังหาแตงโมที่เป็นของหวานมาให้ปิดท้ายมื้ออาหารอีกด้วย แต่เรื่องราวกลับเปลี่ยนไปตาลปัตร เพราะนั่นไม่ใช่ปลาและแตงโมธรรมดา!

          เรื่องราวทั้งหมดจะน่าขนลุกขนาดไหน สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (29 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีแตงโม’

          ‘คุณเจน The ghost’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้มาจาก ‘คุณเป้’ ซึ่งเจ้าของเรื่องคือคนที่คุณเป้รู้จักชื่อว่า ‘คุณชิว’ โดยครอบครัวของคุณชิวนั้นทำอาชีพเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องจักรทางการเกษตร ฉะนั้นคุณชิวก็จะมีการไปลงพื้นที่ เช่น เอาเครื่องสูบน้ำไปเสนอขายให้กับชาวบ้าน

          ไลฟ์สไตล์ของคุณชิวเป็นคนสบาย ๆ สายธรรมชาติ ชอบออกไปกางเต๊นท์-ตั้งแคมป์คนเดียว  วันหนึ่ง คุณชิวต้องนำเครื่องสูบน้ำไปเสนอขายให้ชาวบ้านที่ต่างจังหวัด ขณะนั้นเองก็ได้มองไปรอบ ๆ บริเวณและเกิดความรู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศดี อยู่ใกล้กับฝาย ทำให้อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การตั้งแคมป์กางเต็นท์มาก หลังจากเสนอขายสินค้าจนจบ คุณชิวก็ได้ไปพบผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขออนุญาตตั้งเต็นท์ริมฝาย และนอนเฝ้าเครื่องสูบน้ำก่อนจะนำกลับด้วย แต่ผู้ใหญ่กลับมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ และพูดว่า

          “เมื่อ 2-3 เดือนก่อน มันมีน้ำป่าไหลหลาก ฉะนั้นตลิ่งตรงนี้มันจะไม่แข็งแรง มันจะอันตราย แต่ถ้าเกิดว่าคุณชิวอยากจะมาตั้งเต็นท์ก็ได้ ไม่ว่า ให้พิจารณาเอา”

          คุณชิวได้ฟังแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะอันตราย จึงตอบไปว่า “โอเค” และยังบอกอีกว่า “มันสวย วิวดี” จากนั้นก็ตั้งแคมป์จนเสร็จ

          ขณะนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ตก คุณชิวก็สังเกตุเห็นผู้ชายในอยู่น้ำ เขากำลังดำผุดดำว่ายแต่ไม่เหมือนคนจมน้ำ คุณชิวจึงคิดว่าอาจจะเป็นชาวบ้านมาหาปลา ระหว่างนั้นคุณชิวก็เตรียมเครื่องดื่มและกับแกล้มพลางมองผู้ชายในน้ำเป็นระยะ

          ไม่นานหลังจากนั้นพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่ไปไหน คุณชิวจึงตัดสินใจดื่มแอลกอฮอลล์ที่เตรียมมา เสียงเปิดจุกดัง ป๊อก! ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ไม่นานคุณชิวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ ๆ หันมาอีกที ก็พบกับลุงที่เห็นในน้ำ เขาเข้ามาประชิดตัวและพูดกับคุณชิวว่า

          “เห้ยไอ้หนุ่ม จะกินไม่ชวนเลย ใจร้ายใจดำจัง”

          คุณชิวจึงตอบกลับไปว่า “อ๋อ ได้สิครับ มากินด้วยกัน”

          จากนั้นก็จัดแจงหาแก้วมาเทเครื่องดื่มให้ พร้อมทั้งปลากระป๋องสำหรับกินแกล้มคู่กัน ขณะที่กำลังจะเปิดปลากระป๋องอยู่นั้น ลุงก็ห้ามเอาไว้และบอกว่า

          “ไอ้หนุ่มจะกินทำไมปลาที่มันอยู่ในกระป๋องอ่ะ กินปลาสด ๆ ของลุงดีกว่า”

          จากนั้นลุงก็ได้เอื้อมมือไปด้านหลังแล้วดึงปลาออกมาออกมาจากข้อง คุณชิวจึงรับมาและนำไปปิ้งกิน แต่ความแปลกก็เกิดขึ้น เพราะกินเท่าไหร่ก็รู้สึกไม่อิ่มเสียที จนกระทั่งกินตัวที่ 10 ก็ยังไม่อิ่มท้อง และเริ่มรู้สึกเลี่ยน จึงบอกลุงไปว่า “ผมไม่กินแล้ว”

          ลุงก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไร งั้นไม่กินเนาะ เดี๋ยวลุงไปหาของหวานมาให้”

          จากนั้นลุงจึงได้ลุกแล้วหายไปในแถบป่ากล้วยใกล้ ๆ ฝายและกลับมาพร้อมกับแตงโมลูกหนึ่ง ซึ่งแตงโมลูกนี้ยังไม่ค่อยสุกดี ยังลูกเล็กอยู่ แต่คุณชิวก็รับนำไปผ่ากินและได้ยื่นอีกซีกให้ลุงด้วย แต่ลุงดันตอบกลับมาว่า “ไม่ ลุงไม่กิน กินได้เลย”

          คุณชิวจึงกินแตงโมคนเดียว รสชาติแตงโมก็ปกติดี ระหว่างที่กินก็พยายามชวนลุงให้กินด้วยกัน แต่ลุงกลับทำหน้าขยะแขยงและบอกว่า “แหยะ ๆ อี๋ ๆ ไม่กินอ่ะ กินเข้าไปได้ยังไง”

          ซึ่งตัวคุณชิวเขาก็งงเพราะลุงเป็นคนหามาให้กินเอง จึงคิดในใจว่า ‘เอ๊ะ หรือลุงเขามองเหมือนทุเรียน คนไม่ชอบอาจจะไม่ชอบจริง ๆ’

          เมื่อคุณชิวกินแตงโมเสร็จ คุณลุงจึงถามมาอีกรอบว่า “กินปลาต่อไหม” แล้วลุงก็เอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อที่จะหยิบมาให้อีก คุณชิวจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ ๆ ไม่กินแล้วครับ โหลุง ลุงจับปลาได้เยอะใช่ไหมเนี่ย หยิบออกมาไม่หมดสักที”

          ลุงจึงตอบกลับมาว่า “อ๋อใช่ ลุงจับปลาได้เยอะมากเลย”

          คุณชิวจึงพูดไปอีกว่า “งั้นผมขอดูข้องหน่อยได้ไหม เหลืออีกเยอะหรือเปล่า” พลางทำท่าทางเหมือนกำลังจะลุกไปหา ลุงเห็นเช่นนั้นก็บอกไปว่า

          “เห้ย ไม่ต้อง ๆ อย่าดูเลยเดี๋ยวเสียเรื่อง”

          คุณชิวไม่ได้เอะใจอะไร จากนั้นก็แยกย้าย ลุงลุกขึ้นและหันมาบอกกับคุณชิวอีกรอบว่า

          “อย่าลืมนะเรื่องแตงโม”

          ซึ่งคุณชิวเข้าใจในหัวว่า ‘ถ้าแตงโมเหลือ พวกสัตว์ป่าจะมากิน ให้ขุดหลุมฝัง’ แต่แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาจึงเข้านอน

          เช้าวันรุ่งขึ้น คุณชิวตื่นขึ้นมาเก็บเต็นท์และอุปกรณ์ต่าง ๆ จนเสร็จ จากนั้นก็เดินไปทางป่ากล้วยที่ลุงหยิบแตงโมออกมา เพราะคุณชิวคิดว่าแตงโมเป็นผลไม้ที่ต้องมีคนปลูก ไม่น่าจะมีแตงโมป่าแบบที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งพอเดินไปก็พบว่ามีแตงโมป่าจริง หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินลงไปทางหมู่บ้าน เพื่อไปพบผู้ใหญ่บ้าน เมื่อมาถึง กลับพบชาวบ้านมามุงดูอะไรบางอย่างกันเต็มไปหมด จากนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เป็นไงบ้างเมื่อคืน อยู่คนเดียวสนุกไหม”

          ตัวคุณชิวจึงตอบกลับไปว่า “โอโห สนุกมากเลยครับ”

          ผู้ใหญ่บ้านแสดงท่าทีมึนงง พลางถามว่า “อยู่คนเดียวจะสนุกได้ไง ชาวบ้านเขามารอฟังอยู่ว่าจะเจออะไร”

          คุณชิวก็ตอบกลับไปว่า “สนุกครับเพราะผมไม่ได้อยู่คนเดียว”

          จากนั้นทุกคนจึงเริ่มฮือฮา ชาวบ้านเริ่มซุบซิบกัน จากนั้นคุณชิวยังบอกอีกว่า

          “ผมไม่ได้อยู่คนเดียว มีลุงคนนึงมาแบ่งแตงโมให้ผมกินและอยู่คุยด้วย”

          พอทุกคนได้ยินแบบนี้มา เสียงก็เริ่มดังฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงได้ตะโกนขึ้นมาว่า “พ่อ!” แล้วก็วิ่งเข้าบ้านไปหยิบรูปภาพออกมาให้คุณชิวดู แต่เมื่อคุณชิวดู เขากลับบอกกลับมาว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่คนนี้”

          ชาวบ้านส่งเสียงซุบซิบกันอีกว่า “ว่าแล้ว ๆ / นั่นไงลุงอร / ลุงอรจริง ๆ ด้วย”

          คุณชิวทำหน้างง เพราะไม่รู้ว่าใครคือลุงอร แต่ยังไม่ทันจะถามอะไรไป ผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มน้ำตาซึมและขอให้คุณชิวพาไปจุดที่เจอแตงโม แต่คุณชิวได้ตอบกลับไปว่า “กว่าผมจะเดินมาถึงตรงนี้ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเลย ไม่อยากเดินกลับไปแล้ว”

          ทางผู้ใหญ่บ้านจึงได้บอกกับคุณชิวไปว่า “ไม่เป็นไร ถ้าคุณเหนื่อย คุณไม่อยากเดิน เดี๋ยวผมแบกคุณขึ้นหลังไปก็ได้ ขอแค่พาผมไป”

          เมื่อคุณชิวได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่านี่คงเป็นเรื่องสำคัญ จึงตอบตกลงพาผู้ใหญ่บ้านไป

          และแล้วก็ถึงจุดที่พบแตงโม ผู้ใหญ่บ้านรีบวิ่งเข้าไปกอดลูกแตงโมและพูดว่า

          “พ่อ ๆๆ”

          จากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ได้เอื้อมมือไปหยิบรากแตงโมแล้วดึงขึ้นมา ปรากฏว่ามีกระดูกสันหลังของคนติดขึ้นมาด้วย! ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เมื่อสงบสติได้ก็เล่าให้คุณชิวฟังว่า วันหนึ่ง เขาได้ผ่าแตงโมให้พ่อกิน แต่ลุงอรมาชวนพ่อไปหาปลาที่ฝายด้วยกัน วันนั้นมีน้ำป่าไหลหลากรุนแรง ทั้งลุงอรและพ่อหายไปกับน้ำทันที

          เวลาผ่านไป ชาวบ้านพบศพลุงอรในลักษณะที่ด้านหลังมีร่องรอยการกระแทกกับขอนไม้จนเป็นรูใหญ่ และยังพบว่าที่ข้างตัวของลุงมีฝูงปลาเข้าไปกินอวัยวะภายในอีกด้วย แต่ศพของพ่อผู้ใหญ่บ้านยังหาไม่พบ

          กระทั่งได้มาพบว่าแตงโมงอกขึ้นมาในป่าเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็เชื่อว่าน่าจะเป็นพ่อของตน เพราะพ่อมักกินแตงโมแต่ไม่คายเม็ด ร่างของพ่อที่กลายเป็นปุ๋ยจึงช่วยให้แตงโมเติบโตขึ้นมาได้ ส่งผลให้รากแตงโมติดกระดูกขึ้นมาด้วย แม้ว่าจะมีแค่ท่อนบน เพราะหาท่องล่างไม่เจอก็ตาม

          ส่วนในเรื่องที่คุณชิวกินปลาแต่กินยังไงก็ไม่อิ่ม คุณเจนคิดว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้กินก็ได้ อาจจะมโนไปเองว่ากิน และที่ชาวบ้านมารุมพูดตอนที่คุณชิวออกมา คุณเจนก็เดาว่าพวกชาวบ้านคงจะรู้กันอยู่แล้วว่าน่าจะมีโอกาสเจอลุงอรและเดาว่าชาวบ้านคงรู้ว่าลุงอรตายตรงนี้ วิญญาณยังอยู่ อาจจะมีบางคนเห็นแต่ไม่กล้านอน จึงมารอฟังแทน..

เขียน: กชกร สมโภชน์

เรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติ

ภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ ' ผีสาว Translate ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

16 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ ' ผีสาว Translate ' I อังคารคลุมโปง X INDIGO [ 12 พ.ย. 2567 ]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 พฤศจิกายน 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าเรื่องหลอนของ ‘คุณหนองน้ำ’ ที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องที่ทั้งแปลกทั้งหลอนของผีญี่ปุ่น จน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม ขนลุกซู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันเลย! คุณหนองน้ำบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตนได้ไปเที่ยวกับครอบครัวที่เมืองแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ได้พักอยู่ย่านที่คนเอเชียมักจะเลือกพักอาศัยอยู่กัน ทั้งหมด 7 วัน และได้เจอเรื่องแปลก ๆ ตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ที่นั่น คุณหนองน้ำไปถึงที่พักประมาณ 4 โมงเย็น เขาก็ได้ทำการเช็คอินเข้าที่พักตามปกติ แต่พอเข้าที่พักไปกลับรู้สึกถึงความแปลก ๆ ของที่พักแห่งนี้ ห้องพักนั้นอยู่ชั้น 2 บรรยากาศภายในตึกเงียบสงบมาก คุณหนองน้ำมองไปที่ตู้จดหมายที่เป็นล็อกเกอร์ของแต่ละห้องก็พบว่ามีจดหมายล้นทะลักเหมือนกับไม่เคยถูกเปิดมาก่อน จึงเอะใจขึ้นมาว่า ‘มันเงียบเหรอวะ หรือว่ามันไม่มีคนอยู่’ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ จากนั้นก็เดินเข้าห้องพักตามปกติ ในตอนที่คุณหนองน้ำเปิดประตูเข้าห้องพักไปก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันทั้งเศร้า ทั้งหดหู่ และอึดอัด มันทำให้รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ จนรู้สึกว่าเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ ๆ พอปิดประตูห้องก็เจอกับฮวงจุ้ยผี เช่น ประตูห้อง เตียงนอน ทุกอย่างตรงกับประตูทางออก คุณหนองน้ำอยู่ในห้องได้สักพัก จู่ ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องก็มีปัญหา ตัดสินใจแจ้งกับเจ้าของตึก แต่พยายามติดต่อเท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้ คิดว่าเป็นที่ระบบ จึงแจ้งกับทางระบบไปว่า “ถ้าเราอยากจะย้ายที่พัก พอเป็นไปได้ไหมที่จะหาที่พักในเวลานี้” ทางระบบก็บอกว่า “โอเค เดี๋ยวทางเราจะไปเช็คให้” แต่ระหว่างที่นั่งรอ คุณหนองน้ำได้พูดเล่น ๆ กับแฟนว่า “ที่นี่มีผี แต่ผีที่นี่น่าจะพูดไทยไม่ได้ เราก็ฟังญี่ปุ่นไม่ออก” หลังจากที่ติดต่อเจ้าของตึกได้ก็มีเจ้าหน้าที่มาที่ห้องเพื่อแก้ไขปัญหาให้ สุดท้ายคุณหนองน้ำก็ต้องอยู่ที่พักนี้ต่อตลอด 7 วันคืนที่หนึ่ง ในคืนแรกยังไม่เจออะไร แต่จะมีเสียงมาจากชั้นบน (อาคารนี้เป็นอาคาร 3 ชั้น ห้องพักจะถูกแบ่งให้เหมือนเป็นอพาร์ทเม้นท์) ในทุกคืนที่ชั้น 3 จะมีเสียงดัง ตึงตัง! ตลอด แต่คุณหนองน้ำก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะลมพัดประตู เนื่องจากช่วงมีนาคมที่ญี่ปุ่นอากาศค่อนข้างเย็นและมีลมแรง จึงตัดสินใจที่จะออกไปดู แต่แฟนก็บอกว่า “ใจเย็นอย่าพึ่งออกไปดู ตึกคงมีปัญหา เดี๋ยวพรุ่งนี้กลางวันค่อยออกไปดู” คุณหนองน้ำเป็นคนที่เซนซิทีฟเรื่องเสียง จึงใส่ตัวอุปกรณ์กันเสียงแล้วหลับไปคืนที่สอง หลังจากไปเที่ยวกันมาทั้งวัน ก็กลับมานอนช่วงดึก คุณหนองน้ำเลือกที่จะนอนเตียงที่ปลายเท้าชนประตูและชนกับประตูทางออก ขณะที่กำลังเคลิ้มกลับก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นเงาดำอยู่ที่ปลายเท้า ตอนนั้นตนคิดว่าตาอาจจะไม่ได้โฟกัส แต่เงาก็เริ่มชัดขึ้น เป็นเงาดำที่อยู่ในความมืด ลักษณะเหมือนคนแต่มาในรูปแบบที่จับต้องไม่ได้ ลักษณะเป็นเหมือนคนยืน ผมสยาย เสื้อผ้าสยาย ไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะไม่เห็นหน้า แต่คุณหนองน้ำเห็นว่าเขาขยับลอยเข้ามาใกล้ ๆ จากประสบการณ์คุณหนองน้ำจึงตัดสินใจพลิกตัวนอนตะแคงข้างหันตัวเข้ากำแพงแล้วก็ได้หลับไปวันที่สาม รุ่งเช้า คุณหนองน้ำเปิดประตูออกจากห้อง ก็เจอกับทีมงานกองถ่ายยืนอยู่เต็มหน้าห้องที่กำลังถ่ายอะไรบางอย่างอยู่ ตนรู้สึกเกรงใจและไม่อยากให้กล้องถ่ายติดตัวเอง จึงรีบเดินออกจากตรงนั้น เมื่อเดินลงมาข้างล่างก็ต้องตกใจ เพราะเจอผีที่กำลังถ่ายหนังอยู่! (คนแต่งตัวเป็นผีเพื่อถ่ายหนัง) แต่คุณหนองน้ำรู้สึกว่าสายตาของทีมงานมองที่ตนมันแปลกมาก และก็ยังสงสัยอยู่ในใจว่า ‘เหมือนที่ตึกแห่งนี้ไม่มีคนอยู่ และตลอด 3 วันที่อยู่มา ก็ไม่มีคนเดินเข้าออก’ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และออกไปเที่ยวตามแผนที่วางไว้ เมื่อกลับมาจากออกไปเที่ยว ในคืนนั้นเอง คุณหนองน้ำเริ่มรู้สึกไม่สบายใจที่จะนอนตอนกลางคืนแต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏว่าคืนนั้นช่วงเวลาประมาณ ตี 3 คุณหนองน้ำตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ก็เห็นว่าประตูห้องปิดไม่สนิท แต่สิ่งที่ตาโฟกัสเมื่อตื่นขึ้นมาคือ มีเงาสีดำเหมือนคนยืนหันหลังอยู่ที่ประตู คุณหนองน้ำคิดในใจว่าเป็นเพื่อนของแฟนที่ยังไม่นอน พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ เงาดำกลับหายวับไปกับตา! คุณหนองน้ำจึงรีบเดินไปเข้าห้องน้ำทันที แล้วคิดในใจว่า ‘เราเจอเขาคนนี้อีกแล้วนะ’ หลังจากนั้นคืนที่ 4 และคืนที่ 5 ไม่เจออะไร จนมาถึงคืนที่ 6 คุณหนองน้ำกำลังนั่งเก็บกระเป๋าเพื่อกลับวันที่ 7 แต่อยู่ ๆ คุณหนองน้ำก็ได้กลิ่นไหม้จึงพยายามหาแต่ก็ไม่รู้ว่ากลิ่นมาจากไหน สักพักกลิ่นที่เหม็นเหมือนของย่างของไหม้ก็หายไป จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันสุดท้ายที่จะกลับ คุณหนองน้ำและครอบครัวกำลังนั่งรถไฟเพื่อไปที่สนามบิน ด้วยความที่คุณหนองน้ำกับแฟนนั่งแยกกัน คุณหนองน้ำจึงทักไปหาแฟนว่า “ที่นี่มีผีนะ” แฟนก็ตอบกลับมาว่า “ใช่! ที่นี่มันมีผี” พอถึงสนามบิน คุณหนองน้ำกับแฟนได้นั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่น่าแปลกคือ แฟนของคุณหนองน้ำเจอตั้งแต่คืนที่สองถึงคืนสุดท้ายก่อนกลับ แต่เลือกที่จะไม่บอกใคร เนื่องจากว่ายังต้องพักอยู่ห้องนี้อีกหลายวัน แฟนคุณหนองน้ำบอกว่าคิดว่าเรื่องที่เจอเป็นแค่ความฝัน เนื่องจากแฟนคุณหนองน้ำเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องลี้ลับ และเล่าเหตุการณ์ว่า ตนนั้นฝันทุกคืน ตั้งแต่คืนที่สอง ฝันว่าในห้องพักมีผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะคล้ายผีจูออน ชุดขาว ผมยาวไม่เห็นใบหน้า มานั่งอยู่ปลายเตียงพูดว่า “มาอยู่ที่นี่ทำไม ที่นี่มันมีผี” พอพูดเสร็จ ผู้หญิงคนนี้ก็ยืดตัวยาวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็หายไปในความฝัน แฟนคุณหนองน้ำคิดว่ามันก็เป็นแค่ความฝันจึงไม่คิดอะไรมาก จนมาถึงวันที่สาม ครั้งนี้แฟนคุณหนองน้ำเจอตอนกลางวันช่วงประมาณบ่ายสาม ในตอนนั้นกำลังนั่งอยู่ตรงเตียงที่คุณหนองน้ำนอนแล้วก็เผลองีบหลับไป จากนั้นก็รู้สึกว่ามีผีผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับถูกผีอำ เพราะขยับตัวไม่ได้ นอกจากนี้ ผีผู้หญิงคนนั้นก็พูดอีกว่า “มาอยู่ที่นี่ทำไม ไปกันได้แล้ว ที่นี่มันมีผี” ทุกครั้งที่พูดมักจะย้ำคำเดิมตลอดว่า “ที่นี่มันมีผี” พูดเสร็จผีสาวก็หายไป เป็นแบบเดิมตลอดในทุกวัน จนสุดท้ายคุณหนองน้ำอยากรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นมาอย่างไร จึงเข้าเว็บไซต์หนึ่งของญี่ปุ่นที่สามารถเช็คได้ว่าที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์อะไร ซึ่งจะมีการอัพเดตไว้ตลอดภายในเว็บไซต์ พอพิมพ์ตำแหน่งเข้าไปใน Google ปรากฏว่าที่พักที่เขาพักมีลูกไฟขึ้น! (แปลว่าอาจมีผี) และด้วยความเว็บไซต์เป็นภาษาญี่ปุ่น คุณหนองน้ำจึงส่งให้เพื่อนช่วยแปลให้ จากนั้นเพื่อนก็ตอบกลับมาว่า ที่นี่เมื่อปี 2007 เคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้มีผู้หญิงถูกไฟคลอกเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ คุณหนองน้ำบอกว่าวันก่อนจะกลับเขาได้ไปเดินรอบอาคาร ลักษณะของตึกเป็นอพาร์ทเมนต์แต่เหมือนตึกนี้เคยเป็นโรงงานมาก่อน เนื่องจากห้องพักประตูเป็นเหล็ก มีประตูซี่ลวดลูกกรงอยู่ข้างใน คุณหนองน้ำจึงคิดว่า อาจจะเป็นไปได้ที่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตอยู่ที่นี่ คุณหนองน้ำตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางเว็บไซต์จองที่พักแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับอะไรมาอีก..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

13 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก 'ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม' "เด็กที่ชวนไปเล่นซ่อนแอบ" I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

เรื่องหลอนจากแดนอาทิตย์อุทัยกลับมาพร้อมกับ ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ‘เด็กชวนไปเล่นซอนแอบ’ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ฟัง จัดหนักจัดเต็มหลอนสุดกำลังจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกซู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปอ่านกันเลย! ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แต่ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมากกว่าจึงไม่คุ้นเคยกับระบบการจัดงานศพในไทยสักเท่าไหร่ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้น หากมีคนเสียชีวิต ก็จะมีบริษัทหรืออาชีพที่คอยให้คำปรึกษาและช่วยวางแผนงานศพให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เช่น ควรใช้ขนาดรูปถ่ายเท่าไหร่ ต้องการจักงานศพแบบศาสนาใด เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ ส่วนเรื่องหลอนที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องของ ‘เรียวตะ’ (นามสมมติ) เขาทำอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานศพในตำแหน่งผู้ช่วย แต่ยังอ่อนประสบการณ์ หัวหน้าจึงพาเรียวตะไปทำงานด้วยที่บ้านลูกค้าหลังหนึ่ง บ้านลูกค้าหลังนี้ เป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีสวนหิน ตกแต่งด้วยต้นบอนไซตามสไตล์ญี่ปุ่น เรียวตะมองดูและคิดในใจว่า ‘เจ้าของบ้านหลังนี้ต้องรวยมากแน่ ๆ’ ไม่นานก็ได้พบเจ้าของบ้าน ขอเรียกแทนว่า ‘คุณป้า’ เมื่อทักทายกันเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าก็ขอไปไหว้ผู้เสียชีวิตเป็นอันดับแรกตามธรรมเนียม คุณป้าไม่ได้ว่าอะไร และกล่าวเชื้อเชิญไปตามทางเดิน เมื่อถึงที่เคารพศพผู้เสียชีวิต ก็พบว่าคุณป้าได้จัดเตรียมหิ้งและรูปไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ยังไม่ได้จัดการกับศพที่จะเป็นแท่นตั้งเอาไว้ เรียวตะเดินเข้าไปปักธูปเพื่อเคารพศพ จากนั้นหัวหน้าก็บอกว่า “ดูแลพวกน้ำ พวกของต่าง ๆ ที่ใช้เตรียมไหว้ตรงนี้นะ ส่วนผมจะไปคุยรายละเอียดกับคุณป้าก่อน” เรียวตะคิดทึกทักเอาเองว่า ศพตรงหน้านี้น่าจะเป็นคุณลุงที่อาจจะเป็นสามีของคุณป้า หลังจากคุณลุงเสียชีวิต คุณป้าจึงเข้ามาดูแลบ้านหลังนี้แทน หลังจากที่หัวหน้าบอก เรียวตะก็จัดเตรียมเปลี่ยนน้ำ และหยิบผลไม้มาวางจัดให้ผู้เสียชีวิตจนเสร็จ เมื่อลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อที่จะไปตามหาหัวหน้าที่กำลังคุยกับคุณป้าอยู่นั้น พอเดินออกจากห้อง เรียวตะก็มองซ้ายมองขวา อยู่ ๆ ก็เอะใจขึ้นมาว่า ‘บ้านหลังใหญ่จัง ห้องไหนนะ อ่า..หลงทางเสียแล้ว’ เรียวตะพยายามเดินตามหาเสียงพูดคุยตามห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียง กุกกักๆๆ ในห้องหนึ่ง เรียวตะคิดว่าอาจจะเป็นห้องนี้ จึงเลื่อนเปิดประตูปรากฏว่า เป็นห้องสี่เหลี่ยมมีของเล่นเด็กวางไว้อยู่ทั่วห้อง เป็นของเล่นเด็กที่เก่ามาก มีฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด สภาพห้องเหมือนกับไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ส่วนเสียงที่ดัง กุกกักๆๆ ก็มาจากตู้ในห้องนี้ เรียวตะคิดว่าตนเข้าห้องผิด พอหันหลังกลับไป ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายพูดขึ้นมาว่า “คุณเป็นใครครับ” เรียวตะหันหลังกลับทันทีที่ได้ยิน ก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุราวประมาณ 3 ขวบ ยืนอยู่กลางห้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็นใครสักคน! เรียวตะ : ขอโทษทีนะหนู พี่มาคุยธุระเรื่องจัดการเรื่องงานศพ หนูพาพี่ไปหรือพอจะบอกทางพี่ไปห้องรับรองได้ไหม เด็กชาย : เรื่องงานศพอะไร มีคนเสียชีวิตเหรอครับ ผมไม่รู้เรื่องผู้ใหญ่ ถ้าพี่ว่าง พี่มาเล่นกับผมได้ไหม เล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยผมเหงา เรียวตะ : พี่ก็อยากเล่นด้วยนะ หนูเล่นอะไร เด็กชาย : เล่นซ่อนแอบครับพี่ มาเล่นกับผมไหม เรียวตะ : ตอนนี้ยังไม่ได้ เดี๋ยวพี่ต้องไปประชุมต่อ หัวหน้าจะบ่น งั้นถ้าบอกพี่ว่าห้องอยู่ตรงไหน เดี๋ยวเสร็จธุระ พี่จะมาเล่นด้วยนะ เด็กชาย : โอเคได้ งั้นสัญญามาเล่นกับผมนะ จากนั้นเรียวตะก็เดินไปตามทางที่เด็กผู้ชายคนนั้นบอก จนไปเจอหัวหน้าและได้นั่งคุยธุระวางแผนกันจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ทั้งคู่เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะกลับ คุณป้าก็พูดคุยด้วยความยิ้มแย้มว่า “ขอบคุณมากนะคะ ที่มาดูแลจัดการให้” เรียวตะตอบกลับไปว่า “ครับ ขอบคุณมากนะครับ อีกเรื่องนึงน่ะครับ ผมฝากบอกขอบคุณเด็กผู้ชายคนหนึ่งด้วยครับ คือผมเดินหลงทางในบ้าน มีน้องผู้ชายพามาที่ห้องนี้” หลังจากนั้น คุณป้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่กลับหุบยิ้มแล้วพูดเสียงแข็งว่า “เด็กผู้ชายหรอ?! บ้านนี้ไม่มีเด็ก เธอพูดอะไรเลอะเทอะ กลับบ้านไปได้แล้ว!” เมื่อหัวหน้าเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของคุณป้าจึงพูดไปว่า “เด็กใหม่ครับ มันพูดไปเรื่อย ผมขอโทษด้วยนะครับ” แล้วทั้งคู่ก็รีบออกจากบ้านไปทันที เช้าวันต่อมา เรียวตะและหัวหน้าต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก หัวหน้าจึงบอกให้เขาขอโทษคุณป้าอีกครั้ง พอถึงบ้านคุณป้า เรียวตะก็รีบไปขอโทษคุณป้าอย่างจริงใจ แต่คุณป้ากลับตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรหรอก มันก็อาจจะมีจริงก็ได้นะ เด็กที่เธอพูดถึง แต่แค่ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง ช่างมันเถอะ เชิญขึ้นบ้าน” พอเข้าไปในบ้านก็คุยธุระกันไป จนกระทั่งถึงเรื่องสำคัญ หัวหน้าบอกให้เรียวตะออกไปรอข้างนอกก่อน เนื่องจากเขายังอยู่ในช่วงฝึกงาน เรียวตะจึงเดินออกไปนอกห้องแล้วก็คิดในใจถามกลับตัวเองว่า ‘เมื่อวานที่เจอเด็กผู้ชายคนนั้นมันชัดมาก เด็กมีตัวจริงใช่ไหม’ เรียวตะเดินเพลินแล้วก็หยุดนั่งบริเวณสวนในบ้าน ในหัวยังคงเหม่อคิดถึงเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ จากนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาว่า “พี่มาทำอะไรเนี่ย” เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้ชายคนนั้นจากข้างหลัง เรียวตะเคลิ้มเผลอพูดตอบกลับไปว่า เรียวตะ : พี่เหรอ อืม.. พี่ก็มา.. เอ้า! แล้วหนูอยู่ไหน?! เด็กชาย : อ๋อ พี่หาผมไม่เจอหรอก ผมเล่นซ่อนแอบอยู่ พี่.. วันนี้พี่จะมาหาใช่ไหม พี่จะมาเล่นกับผมใช่ไหม? เรียวตะ : อืม แต่พี่จะหาหนูเจอได้ไง แล้วงานก็ต้องทำ อีกอย่างนะ คุณป้าบอกว่าที่นี่ไม่มีเด็ก.. เรียวตะนึกถึงอาการของคุณป้าที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่เขาก็อยากรู้อยากเห็นจึงถามไปว่า เรียวตะ : แล้วตอนนี้หนูแอบอยู่ไหนเหรอ? เด็กชาย : ไม่ได้ ถ้าผมบอกพี่ มันก็ไม่ได้เป็นการเล่นสิ แต่ผมก็ต้องเล่นซ่อนแอบอยู่อย่างงี้ตลอด เพราะว่าคุณป้าบอกว่าให้ผมเล่นซ่อนแอบ แล้วก็เป็นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์ (การเล่นซ่อนแอบที่ไม่มียักษ์ เป็นการเล่นซ่อนแอบที่ให้เด็กแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วขังเด็กไว้ ยักษ์ที่หมายถึงคือคนหา เท่ากับว่าคุณป้าบอกให้เด็กคนนั้นแอบแต่คุณป้าไม่มาหา เรียวตะจึงตีความได้ว่าคุณป้าน่าจะขังเด็กคนหนึ่งเอาไว้ในบ้านหลังนี้) เด็กชาย : ผมไปไหนไม่ได้เพราะว่ายังไม่มีใครหาผมเจอ ยังไม่มียักษ์มาหา เรียวตะ : งั้นเดี๋ยวพี่เป็นยักษ์ให้ บอกมาว่าหนูอยู่ไหน? เด็กชาย : หนูอยู่ข้างหลังพี่!!! พอเรียวตะหันหลังกลับไปก็พบว่าข้างหลังเป็นแค่ห้องโล่งห้องหนึ่ง จากนั้นเขาคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองได้ยินเสียงเด็กผู้ชายเต็มสองหู และแล้วก็มาถึงวันจัดงานศพ หน้าที่ของเรียวตะคือดูแลแขกที่มาร่วมงาน เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยและแขกกลับจนหมด เรียวตะจึงไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำรวม เพราะสถานที่จัดงานไม่ได้แบ่งโซนชายหญิง ขณะที่กำลังล้างมืออยู่นั้น เรียวตะก็หวนนึกถึงคำพูดของตนที่บอกเด็กผู้ชายว่า ตนจะเป็นยักษ์ให้ เมื่อไหร่จะได้หา แล้วจะได้กลับไปบ้านหลังนั้นอีกหรือเปล่าตนก็ไม่แน่ใจ หรือ เด็กคนนั้นจะเป็นผี ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วตนจะทำอย่างไรดี เมื่อล้างมือจนสะอาดเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นมา เรียวตะเห็นว่า ตรงกระจกมีเด็กผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ แต่ไม่มีลูกตา ปากขยับเหมือนกำลังตะโกนบอกบางอย่างอยู่! ตอนแรกเขาก็ตกใจแต่ไม่ได้กลัว แค่รู้สึกเหมือนเด็กกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง พอตั้งใจดูปาก ก็พอจะอ่านปากได้ว่า “พี่ ข้างหลัง หลังไงพี่ ข้างหลัง ๆๆ” หลังจากนั้น เรียวตะก็เห็นคุณป้ายืนอยู่ข้างหลัง กำลังเอาเชือกรัดคอตัวเขาอยู่! และคุณป้ายังพูดอีกว่า “มึงรู้เรื่องกูเยอะเกินไปแล้ว” เรียวตะพยายามสู้ เสียงโวยวายของเขาดังมาก จนมีคนเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณทำอะไรเนี่ย ใจเย็น ๆ คุณพยายามจะฆ่าพนักงานเรานะ” เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรียวตะมั่นใจว่ามีเรื่องราวบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเขานำเรื่องทั้งหมดมาปะติดปะต่อกันก็คิดได้ว่า เป็นไปได้ที่คุณป้าจะต้องทำร้ายเด็กคนนั้นแน่นอน สุดท้ายก็ได้มีการแจ้งตำรวจ และทำการไกล่เกลี่ยกัน คุณป้าและเรียวตะถูกสั่งห้ามเจอกัน ทำให้เรียวตะไม่มีโอกาสกลับไปบ้านหลังนั้นเพื่อตามหาเด็กผู้ชายคนนั้นอีก เขาจึงตัดสินใจพยายามบอกเรื่องนี้กับทางตำรวจ แต่ตำรวจก็ไม่เชื่อ หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมา 5 ปี โชคชะตาก็พาเรียวตะกลับมาไปบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เหตุผลคือ เรียวตะได้กลับมาจัดงานศพของคุณป้าคนนั้น เรียวตะได้จัดงานศพตามความประสงค์ของคุณป้าที่เขียนไว้ก่อนตาย คุณป้าไม่มีลูกหลาน เรียวตะจึงต้องจัดแจงมรดกและดูรายละเอียดในใบนั้นให้ดี เขาเห็นว่ามีรายชื่อที่ถูกลบไป แต่หากเพ่งดูให้ชัดก็จะเห็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ทากิลุคุง’ เรียวตะอนุมานในใจว่า ‘หรือนี่คือชื่อของเด็กผู้ชายคนนั้น?’ แต่เนื่องจากชื่อนั้นถูกลบออกไปแล้ว ทำให้ไม่มีใครได้รับมรดก มรดกนี้จึงตกไปอยู่ที่ธนาคาร ในวันนั้นเอง เรียวตะตัดสินใจเดินไปรอบบ้าน เพื่อตามหาความจริง จนกระทั่งไปถึงตู้ในห้องที่เคยเจอเด็กคนนั้นครั้งแรก เรียวตะพยายามงัดเปิดตู้จนเจอเข้าอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ พองัดอีกทีก็เห็นศพของทากิลุคุงที่ถูกหมกอยู่ตรงนั้น! สภาพน้องเหมือนผ่านมานานหลายปี หลังจากนั้น เรียวตะก็แจ้งตำรวจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตำรวจก็ไม่สามารถสืบสวนอะไรได้ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าใครคือฆาตกรที่ฆ่าหมกศพเด็กน้อย ‘ทากิลุคุง’ และคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดอย่างคุณป้าที่เป็นเจ้าของบ้านก็เสียชีวิตไปแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

10 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'แอพหลอนสื่อวิญญาณ' I อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [ 5 พ.ย. 2567 ]

หากคุณเป็นทาสแมว อาจจะต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องของ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ ที่ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่อง ‘แอปหลอนสื่อวิญญาณ’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 พฤศจิกายน 2567) ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ มีทั้งรอยยิ้มและความหลอน จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของรุ่นน้องที่ชื่อว่า ‘คุณลูกนัท’ มีอาชีพเป็นหมอ จะขอเรียกว่า ‘หมอนัท’ ตอนนั้นหมอนัทได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้ทำการเช่าบ้านพักอาศัยอยู่กับแฟนคนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘คุณเกนจิ’ โดยหมอนัทเลือกเช่าบ้านบริเวณใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่าของ ‘คุณยายริกะ’ ซึ่งคุณยายริกะปลูกบ้าน 2 หลังไว้ติดกันเพื่อปล่อยเช่า หมอนัทสนิทกับคุณยายริกะมาก เนื่องจากหมอนัทกับคุณเกนจิเป็นทาสแมว และคุณยายริกะเองก็เลี้ยงแมวเยอะมาก แต่จะมีอยู่หนึ่งตัวเป็นตัวแสบประจำบ้าน ชื่อว่า ‘ชิโร่’ เป็นแมวเปอร์เซียอ้วนปุกปุย หน้ามึน ขนสีขาว ชิโร่มักจะชอบปีนข้ามมาที่บ้านหมอนัทเป็นประจำ ทำให้ทุก ๆ วัน คุณยายริกะต้องมาตามชิโร่กลับบ้าน วันหนึ่ง หลังจากที่หมอนัทเรียนเสร็จ หมอนัทได้รับข่าวร้ายว่า แมวที่บ้านของคุณยายริกะเสียชีวิตทั้งหมดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือแต่ชิโร่แมวตัวแสบเพียงตัวเดียว เนื่องจากชิโร่ชอบแอบไปอยู่ที่บ้านของหมอนัท คุณยายริกะนั้นไม่มีญาติทำให้ผูกพันกับแมวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณยายริกะรู้สึกเสียใจมาก ทั้งยังมีอายุค่อนข้างมากแล้ว จึงทำให้คุณยายริกะเริ่มมีอาการป่วย จากนั้นไม่นาน คุณยายริกะก็เสียชีวิตลง.. หลังคุณยายเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์ เจ้าเหมียวชิโร่ก็ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู ตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นแล้ว เหล่าแมวจรจัดจะต้องถูกการุณยฆาต คุณเกนจิจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเจ้าชิโร่ต่อ ส่วนเรื่องบ้านเช่านั้น ทางบริษัทที่คุณยายริกะทำประกันไว้ ก็ได้ทำการยึดบ้านหลังนั้นคืน ทำให้ทั้งคู่ต้องไปหาที่พักใหม่ ด้วยความโชคดีที่ทั้งคู่ได้ที่พักใหม่ใกล้ ๆ กับย่านเดิม จึงไม่ต้องปรับตัวมากและก็ได้นำเจ้าชิโร่ไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วย หลังจากวันแรกที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ เจ้าชิโร่ได้หายออกจากบ้านไป ทั้งคู่พยายามเดินออกตามหา จนสุดท้ายมาเจอเจ้าชิโร่นอนอยู่หน้าบ้านของคุณยายริกะ ซึ่งบ้านของคุณยายริกะกำลังถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร เมื่อทั้งคู่เห็นเจ้าชิโร่ยิ่งทำให้สงสารมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าชิโร่เสียคุณยายริกะไปและกลัวว่าเจ้าชิโร่จะเกิดอันตรายหากเดินไปเดินมาอย่างอิสระ จึงตัดสินใจขังเจ้าชิโร่ให้อยู่ในบ้าน เป็นการเลี้ยงระบบปิด กลายเป็นว่าเจ้าชิโร่ไม่ยอมกินข้าว หมอนัทกลัวว่าน้องจะป่วย จึงพาชิโร่ไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ช่วยตรวจให้ พอตรวจดูจึงรู้ว่าชิโร่มีอาการซึมเศร้า สัตวแพทย์จึงแนะนำให้หมอนัทพาเจ้าชิโร่นั่งรถเข็นออกไปเที่ยวเล่นเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย อาการของชิโร่จึงจะดีขึ้น แต่หมอนัทกลับรู้สึกว่าเหมือนยังติดอะไรบางอย่างอยู่ จึงลองปรึกษากับเพื่อนว่า “จะทำยังไงดี ที่จะได้สื่อสารกับชิโร่ ให้ชิโร่กลับมาแอคทีฟได้เหมือนเดิม” เพื่อนก็แนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยแปลภาษาแมวมาให้ หลังจากกลับมา หมอนัทก็เลยลองใช้ ทำให้รู้ว่ามันสามารถบอกหมอนัทได้เลยว่า ‘ชิโร่หิวข้าว’ / ‘ชิโร่อยากเข้าห้องน้ำ’ ซึ่งมันทำให้หมอนัทสนิทกับเจ้าชิโร่มากขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นหมอจึงมีความคิดว่าข้อความที่เกิดขึ้นคือการรวบรวมข้อมูลเสียงแปลออกมาเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะแปลได้ตรงกับความต้องการของชิโร่จริง ๆ ได้ เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากมหาวิทยาลัย หมอนัทเห็นเจ้าชิโร่นั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่างตลอดเวลา เรียกก็ไม่หันมา จึงเปิดแอปแล้วถามชิโร่ว่า “ชิโร่ เป็นอะไร” ชิโร่ก็ร้อง “เหมียว เหมียว” แอปพลิเคชันแปลภาษาก็แปลออกมาว่า “อยากออกไปนั่งรถเล่น” หมอนัทตัดสินใจอุ้มเจ้าชิโร่ใส่รถเข็นออกไปเที่ยวเล่น บริเวณสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน พอชิโร่ได้ออกไปนอกบ้านทำให้ชิโร่อาการดีขึ้น สดใสขึ้น พออยู่ไปสักพักหมอนัทก็บอกกับชิโร่ว่า “วันนี้กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นแล้ว” พอกำลังจะกลับ ชิโร่ก็ชะเง้อคอร้องขึ้นเหมือนกับต้องการทำอะไรบางอย่างอย่าง หมอนัทเปิดแอปพลิเคชันแปลภาษา ก็แปลออกมาว่า “ไม่อยากกลับ” หมอนัทเริ่มรู้สึกประหลาดใจกับข้อความเสียงที่ตอบกลับมา หมอนัทจึงตอบกลับชิโร่ไปว่า “เย็นแล้ว กลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พามาใหม่ก็ได้น้า” ชิโร่ก็ร้องออกมา และแสดงท่าทางที่ดูจะไม่พอใจ แอปก็แปลออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่!!!” สิ่งที่เกิดขึ้นคือหมอนัทเริ่มรู้สึกขนลุกกับความแปลกจากข้อความเสียงที่เกิดขึ้น จึงอยากลองพิสูจน์ดู หมอนัทจึงถามไปว่า “แล้วอยากไปไหน พาหมอไปเลย” ชิโร่ก็ร้องออกมาอีก แอปก็แปลออกมา เป็นการบอกเส้นทางว่า ให้ตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หมอนัทเดินตามไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็รู้สึกสนุก แต่พอหมอนัทเดินไปเรื่อย ๆ ระยะทางเริ่มไกลจากบ้านและเป็นทางที่ไม่คุ้นชิน หมอนัทกำลังจะวนกลับ แต่เจ้าชิโร่ก็วิ่งพล่านในรถเข็นแล้วร้องออกมา แอปก็แปลว่า “อย่า ใกล้ถึงแล้ว” หมอนัทพาชิโร่เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเสียงร้องสุดท้ายแอปก็แปลว่า “ถึงแล้ว” กลายเป็นว่าสถานที่ที่ชิโร่พามานั้น ทำให้หมอนัทขนลุกทั้งตัว เพราะมันพามาหยุดเดินตรงหน้าสุสาน หมอนัทพยายามตั้งสติอยู่สักพัก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ หมอนัทจอดรถเข็นของชิโร่และบอกกับชิโร่ว่า “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปซื้อน้ำ” หมอนัทเดินไปซื้อน้ำที่ตู้กดน้ำใกล้ ๆ ระหว่างที่กดน้ำก็ได้ยินเสียงร้องเหมือนชิโร่กำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ท่าทางของชิโร่มองเข้าไปในสุสาน พอกดน้ำเสร็จก็เดินกลับไป จนถึงระยะที่แอปพลิเคชันเริ่มกลับมาทำงาน แอปก็แปลขึ้นมาว่า “คิดถึงนะยาย.. กลับด้วยกันเถอะ ไม่อยากอยู่บ้านนี้คนเดียวอีกแล้ว” หมอนัทขนลุกรีบตาลีตาเหลือกปิดแอปพลิเคชันทันที และรีบเข็นรถพาชิโร่กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ชิโร่ก็กระโดดลงจากรถเข็น จากนั้นก็เดินเข้าไปนอน น้องเงียบ ไม่ร้อง ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ หมอนัทเริ่มสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอคุณเกนจิกลับมา จนคุณเกนจิกลับมาถึงบ้าน หมอนัทก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้ฟัง คุณเกนจิทำหน้าเครียดและถามถึงลักษณะสุสานที่ชิโร่พาไป เมื่อทราบลักษณะสุสาน คุณเกนจิก็พูดด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “สุสานที่ชิโร่พาไป รู้ไหมว่ามันคือสุสานที่ฝังคุณยายริกะ” หมอนัทไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากหมอนัทไม่ได้ไปงานศพของคุณยายริกะ สักพักก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าชิโร่ เหมือนกำลังร้องขู่อะไรบางอย่างก่อนที่จะวิ่งเข้ามาตะกุยขาของทั้งคู่ จากนั้นก็วิ่งไปตะกุยประตูบ้าน เดินร้องทั่วบ้าน เกนจิถามชิโร่ไปว่า “ชิโร่จะเอาอะไร ชิโร่เป็นอะไรลูก” อยู่ ๆ แอปพลิเคชันแปลภาษาในโทรศัพท์ของหมอนัทที่วางอยู่บนโต๊ะกลับเปิดขึ้นเอง แล้วก็แปลเสียงออกมาว่า “เปิดประตู ยายมาแล้ว!!!” หมอนัทได้ยินก็รีบปิดแอปพลิเคชันและลบทิ้งทันที คุณเกนจิก็พยายามจะจับชิโร่แต่ก็จับไม่ได้ วินาทีนั้นหมอนัทยกมือไว้ท่วมหัว คิดในใจบอกยายริกะว่า “ไม่ต้องห่วงน้องนะ พวกเราสองคนจะดูแลชิโร่เท่าที่จะทำได้ จนถึงวาระสุดท้ายของน้องไม่ต้องห่วง” พอสิ้นความคิดของหมอนัท เจ้าชิโร่ก็เลิกดิ้นแล้วก็ค่อย ๆ เดินกลับห้องไป.. เช้าวันถัดมา หมอนัทได้เตรียมอาหารให้ชิโร่ แต่กลับพบว่า เจ้าชิโร่ตัวแสบได้กลับดาวแมวไปแล้ว คุณเกนจิจึงนำร่างของเจ้าชิโร่ไปฝังไว้ข้าง ๆ กับหลุมศพของคุณยายริกะ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1