เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากอ๊อฟ อัครพล 'จุดเเสดงฤทธิ์' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568]

11 ม.ค. 2025

       เมื่อไม้ที่ถูกโยนเข้าไปในถ้ำที่คนไม่สามารถเข้าไปได้กลับถูกโยนออกมา! พร้อมทั้งได้เห็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้! ติดตามเรื่องราวลึกลับและศาสตร์ความเชื่อจาก ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล’ ได้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะพาคุณขนลุกไปกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมมืด!

       ‘คุณอ๊อฟ’ ได้เกริ่นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องอาสาคนหนึ่งที่ได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่ ‘วัดถ้ำผาปู่’ ในจังหวัดเลย ซึ่งมีหมอบีร่วมเดินทางไปด้วย แต่ตัวคุณอ๊อฟเองไม่ได้ไป จึงรับชมผ่านไลฟ์สดแทน ซึ่งการรับชมอาจจะดูได้แบบติด ๆ ขัด ๆ เนื่องจากสถานที่ที่ไปอยู่นั้นเป็นถ้ำบนภูเขา ทำให้สัญญาณใช้ได้ไม่ดีมากนัก

       นอกจากนี้ คุณอ๊อฟยังเคยได้ศึกษาประวัติและคำสอนขอครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดแห่งนี้มาก่อน

       เมื่อไลฟ์สดเดินทางไปถึงถ้ำแห่งนั้น และได้เดินลงไปข้างล่าง เจ้าหน้าที่ก็ได้บอกว่า

       “ที่ตรงนี้เมื่อก่อนน้ำท่วมเต็มถ้ำเลย แต่ตอนนี้จะมีจุดหนึ่ง เขาเรียกกันว่า Holy water หรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำที่หยดมาจากธรรมชาติ เป็นหนึ่งในที่ที่นำน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ”

       ระหว่างที่ลงไปในถ้ำ ทุกคนที่ชมไลฟ์สดอยู่นั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงจากไลฟ์เพราะสัญญาณเข้าไปไม่ถึง เห็นเป็นเพียงภาพไกล ๆ ว่าในนั้นทำอะไรบ้าง แต่คนที่อยู่ใกล้ ๆ หมอบีบอกว่า

       “มีบาตรคว่ำ”

       ทุกคนก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น? มีบาตรคว่ำจริงหรือไม่? ต่างคนต่างเดินหากัน จนไปเจอบาตรพระที่คว่ำอยู่ 3 บาตร ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ‘คว่ำบาตร’ กัน หมอบีจึงคิดว่าอาจจะมาจากคำนี้ และรู้สึกว่าอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างของคนที่เจตนาไม่ดี

       หลังจากที่ออกมา ก็ได้ขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นกุฏิและถ้ำต่าง ๆ ซึ่งระหว่างทางนั้น จำเป็นต้องปีนขึ้นไปเพราะทางค่อนข้างชัน ปรากฏว่าไปเจอกุฏิของ ‘หลวงปู่คำดี’ ตั้งอยู่ด้านบนเป็นกุฏิไม้

       เมื่อหมอบีมาถึง ก็ได้เข้าไปกราบไหว้ก่อน และยังไม่ได้เข้าไปในตอนแรก แต่รู้อยู่แล้วว่าสถานที่ตรงนี้หลวงปู่เคยมาพํานักอยู่เพราะเจ้าหน้าที่ได้บอกเอาไว้

       หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ขึ้นไปในส่วนบนสุด ซึ่งตอนก่อนที่จะขึ้นไปหมอบีได้ขออนุญาตเข้าไปในกุฏิด้านบน เมื่อเข้าไปก็ได้บอกเหตุผลว่าที่เข้ามาก็เห็นมินิตว่า ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ ‘หลวงปู่คำดี’ กับ ‘หลวงตามหาบัว’ มาเจอกัน

       ในมินิตนั้น หมอบีเห็นว่า หลวงปู่คำดีจุดธูปอธิฐานแล้วกล่าวว่า ‘มีข้อสงสัยอยากจะถาม อยากให้หลวงตามหาบัวมาตอบ’ จากนั้นวันรุ่งขึ้น หลวงตามหาบัวก็เดินทางจาก จ.อุดรธานี มาที่ จ.เลย เพื่อมาตอบคำถามที่กุฏินี้

       และนี่คือสิ่งที่หมอบีเห็น..

       หลังจากที่หมอบีได้ทราบเรื่องราวแล้ว ก็ได้เดินทางขึ้นไปด้านบนกุฏิ เมื่อขึ้นไปก็จะเห็นเป็นถ้ำสองฝั่ง ฝั่งที่เป็นจุดแสดงฤทธิ์มีชื่อว่า ‘ถ้ำนาคะ’ เป็นสถานที่ห้ามเข้าเพราะมีผนังปิดกั้นไว้ทั้งหมด แต่จะมีเพียงช่องว่างอยู่ช่องหนึ่ง

       หมอบีบอกว่าในตำนานสมัยก่อน หลวงปู่ท่านแสดงฤทธิ์ให้ดู โดยที่ท่านยืนอยู่ข้างล่าง จากนั้นก็โยนไม้ขึ้นไป ไม้นั้นก็ขึ้นไปค้ำอยู่ด้านบนสุดของถ้ำ อยู่ในที่ ๆ คนไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ซึ่งทุกวันนี้ไม้นั้นก็ยังคงอยู่

       หมอบีจึงหาไม้ตรงหน้าถ้ำ หักเป็นท่อนเล็ก ๆ จากนั้นก็โยนเข้าไปแล้วเกิดเป็นเสียง ‘กึก กึก กึก กึก’

       สักพักหนึ่ง มีเสียงไม้โยนกลับมา ทุกคนจึงเกิดความสงสัยว่า ใครเป็นคนโยนขึ้นมาเพราะถ้ำเป็นมีเพียงช่องแคบ ๆ เท่านั้น ซึ่งคนไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงพากันเดินอ้อมไปข้างหลังเพื่อดู ซึ่งในระหว่างนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีสัตว์บินอยู่ ‘ฟึบ!’ เป็นเสียงที่คล้ายเครื่องบินเจ็ท

       ในตอนที่ทุกคนกำลังมองหาต้นตอของเสียง มีบางคนได้เหลือบไปเห็นบางอย่าง

       ‘สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นสีขาว อยู่ไกล ๆ ตัวค่อนข้างใหญ่ บินด้วยความเร็ว โดยไม่กางปีก’

       โดยมีการเฉลยตอนหลังว่าเป็นสีของ ‘ครุฑ’ ซึ่งในตำนานเล่าว่าหลวงปู่มีความเชื่อมโยงกับครุฑ ถ้ำนั้นเป็นสถานที่ที่ครุฑมาอาศัยอยู่ เพื่อมาคอยปกปักรักษาและไม้ที่ถูกโยนกลับมาเป็นเหมือนการแสดงฤทธิ์ของท่าน..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

19 ต.ค. 2024

'ตรงทางหนีไฟ' เรื่องเล่าสั้น ๆ จาก 'พี่เเรก' I อังคารคลุมโปง X แรก หลอนสออนผี [ 15 ต.ค. 2567]

ขนหัวลุกไปกับ ‘เเรก หลอนสออนผี‘ ได้นำเรื่อง ‘ตรงทางหนีไฟ’ มาเล่าในรายการอังคารคลุมโปง X (15 ตุลาคม 2567) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจอขณะไปเล่นดนตรีที่ต่างจังหวัด เเล้วได้เจอกับน้องคนหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วมารู้ความจริงว่าน้องคนนั้นตายไปแล้ว! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเเรก หลอนสออนผีได้เล่าว่า ตอนนั้นตนได้ไปเล่นดนตรีที่จังหวัดหนึ่ง ทางค่ายต้นสังกัดได้เช่าอะพาร์ตเมนต์ให้วงเข้าพักประมาณ 5 ห้อง เมื่อเสร็จจากเล่นดนตรี เพื่อนในวงก็มักจะปาร์ตี้สังสรรค์กัน แต่ตนไม่รู้จะทำอะไร จึงเล่นเกมเพลย์ เเต่เเล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินออกไปเปิดประตูทางเดินหนีไฟ ซึ่งทางเดินหนีไฟเชื่อมต่อกันทุกชั้น คุณแรกอยู่ชั้น 7 ตามประสาคนต่างจังหวัดที่ห่างจากบ้านก็รู้สึกเหงา จึงยืนเล่นรับลมอยู่ตรงนั้น สักพักก็มีเสียงเปิดประตูที่มีระยะห่างกัน 1 ชั้น เป็นผู้หญิงกำลังยืนสูบบุหรี่ วันเเรกที่เจอคุณแรกก็คิดว่า ‘เขาสวยจัง หุ่นดี น่ารักดี’ หลังจากนั้นคุณแรกก็ออกมายืนเล่นตรงทางหนีไฟทุกวัน แล้วก็มักจะเจอผู้หญิงคนนี้สูบบุหรี่อยู่ที่เดิมทุกวัน จนมาถึงในวันที่ 4 ผู้หญิงคนนั้นคงรู้สึกว่ามีใครมองอยู่ข้างบน จึงแหงนหน้ามองขึ้นมายิ้มให้เเล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ” หลังจากได้คุยกัน ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ แล้วก็เริ่มคุยกันจนรู้จักกัน ทั้งคู่ต่อบทสนทนาอย่างลื่นไหล คุยสนุก หายเหงา เมื่อคุณแรกเลิกงานก็รีบกลับมาห้องเเล้วลากเก้าอี้มานั่งรอคุยกับน้องผู้หญิงตรงทางหนีไฟนี้เป็นเวลา 5 วัน จนกระทั่งคุณแรกเริ่มสังเกตว่ามันมีสิ่งผิดปกติก็คือ ช่วงหลัง ๆ ที่คุยกันอยู่ น้องผู้หญิก็ขอตัวกลับห้องเร็วขึ้น เเละทุกครั้งที่น้องเขาดูร้อนรน ก็จะมีรถจิ๊บทหารเลี้ยวเข้ามาจอด ตนก็ได้เเต่คิดในใจว่าคงกลัวแฟนเห็นหรือตนอาจจะแค่เข้าใจผิดไปเอง วันหนึ่งตนได้ไปกินข้าวระแวกอะพาร์ตเมนต์ เมื่อเดินผ่านป้อมยามก็ถามว่า คุณแรก : ลุง จะเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก ผมจะซื้อข้าวมาฝากน้องห้องข้างล่างด้วย ลุงยาม : ห๊ะ! อะไรนะ ห้องไหน? คุณแรก : ห้องข้างล่างผมอะ ห้องตรงกันเลย ลุงยาม : เฮ้ย ไปกินข้าวก่อน ค่อยว่ากัน หลังจากนั้นตนก็ได้ไปกินข้าว เเล้วก็ซื้อกลับมาฝากลุงยามกับน้องห้องข้างล่าง เมื่อมาถึงที่พักลุงยามก็ได้บอกกับตนว่า ลุงยาม : ไม่ต้องขึ้นไปหรอก คุณแรก : ทำไมครับลุง ลุงยาม : ไม่มีใครอยู่หรอกชั้นนั้นน่ะ เหลือไม่กี่ห้อง ตนก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทั้ง ๆ คุยกับน้องคนนั้นทุกวัน ได้เเต่คิดว่าลุงกั๊กผู้หญิงคนนี้ไว้หรือเปล่า ตนไม่เชื่อคำที่ลุงพูดจึงขึ้นไปหาห้องน้อง เมื่อขึ้นไปแล้วก็เห็นว่าทั้งชั้นนั้นมีคนพักอยู่เเค่ 2 ห้อง ห้องที่เหลือแปะป้ายว่างไว้ทั้งหมด คุณแรกเดินไล่หาห้องของน้องคนนั้นปรากฏว่าก็มีแปะป้ายว่างอยู่ที่ประตูจริง ๆ ! คุณแรกได้แต่อึ้งเเล้วก็ได้เคาะประตูเเล้วพูดว่า “พี่ซื้อของมาฝากนะ” จากนั้นก็ห้อยของที่ซื้อมาที่ประตู แล้วก็ได้เดินลงมาหาลุงยามอีกครั้ง แล้วก็ถามลุงว่า คุณแรก : ลุง มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ลุงยาม : อยากรู้ใช่มั้ย เเล้วลุงก็ได้ยื่นหนังสือพิมพ์ให้คุณแรกอ่านจนทราบความจริงว่า เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ก่อนที่คุณแรกจะเข้ามาพักที่นี่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งน้องผู้หญิงที่ตนคุยด้วยทุกวันนั้นเป็นเมียน้อยทหาร เปิดห้องเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ไว้ เเล้วเกิดอาการหึงหวงจึงทำให้เกิดการทะเลาะกัน ถึงขนาดที่เอาหมอนกดหัวเเล้วเอาปืนจ่อแล้วยิงที่หัว! เสียงดังสะนั่นจนคนทั้งชั้นออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เเล้วคนในชั้นก็เห็นทหารคนนี้แบกร่างผู้หญิง เลือดหยดลงตามทางเดิน ไปเปิดประตูทางหนีไฟ แบกศพขึ้นรถจิ๊บเเล้วก็ขับรถออกไป สุดท้ายทหารคนนั้นเลือกจะจบที่ชีวิตตามผู้หญิงด้วยการยิงตัวเองตายข้างทาง และนี่ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

21 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบิ๊ก สุโขทัย ‘คุณภานุมาศ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 17 มิ.ย.2568 ]

เรื่องราวนี้ ‘คุณบิ๊ก สุโขทัย’ ได้นำเรื่องราวสุดลึกลับ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 มิถุนายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณภานุมาศ’ เรื่องราวจะลึกลับ น่าตื่นเต้นอย่างไรนั้น ไปติดตามได้เลย! ‘คุณบิ๊ก’ ได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วย่านใจกลางรัชดา คุณบิ๊กจะทำหน้าที่เป็นคนที่คอยดูแลเจ้าหน้าที่ อย่าง ลุง ๆ และพี่ ๆ รปภ. วันนั้นคุณบิ๊กได้ไปนั่งคุยกับพี่รปภ.ที่ชั้น 18 คุยไปคุยมาพี่รปภ.ก็ได้ขออนุญาตลงไปซื้อข้าว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 – 4 ทุ่ม คุณบิ๊กจึงจำเป็นต้องนั่งประจำจุดนั้นให้แทนก่อน แต่แล้ว ก็ดันมีสัญญาณเตือนดังมาจากหน้าลิฟต์ชั้น 19 ดังลงมาถึงชั้น 18 คุณบิ๊กจึงได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนวัยรุ่น พึ่งจบใหม่ ใส่กางเกงยีนส์ขาด เสื้อเอวลอย หันมายิ้มให้และพูดคุยด้วยปกติว่า “พี่มาทำใหม่หรอคะ” คุณบิ๊กจึงได้ตอบกลับไปว่า “ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” จากนั้นน้องผู้หญิงก็ยิ้มให้ และกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสอง ตัวคุณบิ๊กเองเล่าต่ออีกว่า เขารู้สึกแปลกตรงที่น้องอยู่ชั้น 19 จะกดมาที่ชั้น 18 ทำไม ทำไมถึงไม่กดจากชั้น 19 ไปที่ชั้น 2 ทีเดียวตั้งแต่แรก ทำไมถึงมาแวะก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้เอะใจหรือสงสัยอะไร หลังจากนั้นทุกวัน ช่วงเวลาประมาณ 4 – 5 โมง คุณบิ๊กก็ได้เจอกับน้องเขาทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่งคุณบิ๊กเล่าว่า ก่อนจะเกิดเหตุขึ้น น้องเขาได้ยื่นน้ำเปล่ามาให้หนึ่งขวด และพูดกับคุณบิ๊กว่า “เอาไปทานค่ะ’’ คุณบิ๊กจึงตอบขอบคุณไป กระทั่งคืนวันศุกร์ ปกติเลิกงานคุณบิ๊กจะออกกะทุกตี 1 ซึ่งโดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะใช้ยานพาหนะคือ รถจักรยานยนต์ วันนั้นคุณบิ๊กได้ขับรถบนถนนเส้นรัชดา-ลาดพร้าวตามปกติ แต่จู่ ๆ ดันมีลุงคนหนึ่งขับรถมาบีบแตร์ใส่ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนไปขับรถปาดหน้าหรืออะไรใส่เขา คุณบิ๊กจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘อะไรวะ ลุงเป็นอะไร เมาหรือเปล่า’ แต่คุณบิ๊กไม่อยากจอดรถ เพราะวันนั้นฝนดันตก น้ำท่วมหนักมาก ถ้าหากเอาขาลงพื้นจะทำให้เท้าเปียกได้ จึงไม่อยากเอาขาโดนน้ำ แต่แล้วด้วยความที่ตัวของคุณบิ๊กเองเป็นคนคนใจร้อน รอไม่ได้ จึงได้ทำการดับเครื่องรถจักรยานยนต์ของตน และจอดรอ ลุงคนนั้นจึงลดกระจกลงและได้พูดออกมาอย่างโมโหว่า “ไอ่หนุ่ม เอ็งเล่นอะไรกันเนี่ย ให้แฟนไปยืนที่ท้ายเบาะรถ แล้วกระโดดมาเนี่ย เกือบเฉี่ยวหน้ารถลุง” หลังจากลุงพูดจบ คุณบิ๊กกลับไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเพราะน้ำท่วมด้วยจึงไม่ได้รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน จากนั้นลุงเขาก็พูดออกมาอีกว่า “มาชี้หน้ากูแล้วหัวเราะอีก มึงเล่นอะไรกันหรือทะเลาะกันหรือยังไง?” คุณบิ๊กกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ลุงกลับปิดกระจกใส่และขับรถออกไปอย่างโมโห ลุงเหยียบคันเร่งจนทำให้ล้อรถของลุงปาดน้ำบนถนนมาทางที่คุณบิ๊กอยู่ จนทำให้คุณบิ๊กโกรธจนเลือดแทบจะขึ้นหน้า และได้แต่สงสัยในเรื่องที่ลุงคนนั้นพูดมา ซึ่งปกติแล้ว คุณบิ๊กมักจะไปจอดรถที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเป็นประจำ และจะได้เจอกับพี่คนหนึ่ง อายุประมาณ 40 กว่า เขาทำอาชีพขายลูกชิ้นทอด เป็นร้านที่คุณบิ๊กมักจะไปจอดแวะซื้อตลอด วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้คุณบิ๊กพูดคุยกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะคุย “พี่ พี่เคยเจอผีบ้างไหม?” พี่เขาจึงตอบกลับคุณบิ๊กมาว่า “โอโห ช่างถามได้เหมาะเจาะจริง ๆ เลย” และได้พูดต่ออีกว่า “น้องลองหันไปด้านหลังสิ” คุณบิ๊กจึงได้หันไปตามที่พี่เขาบอกและถามออกไปอีกว่า“ทำไมหรอพี่” พี่เขาจึงตอบกลับมาว่า “นั่นแหละ เห็นเสาไฟฟ้านั่นไหม มีน้องพนักงานออฟฟิศประสบอุบัติเหตุ” คุณบิ๊กเล่าว่าตนเองได้ไปสืบข่าวเพิ่มเติมมาว่าน้องเขาโดนพวกโรคจิตขับรถตาม ขณะที่เขากำลังจะขับรถหนี แต่ดันคุมสติตัวเองไม่ได้ จึงทำให้รถเสียหลักล้ม หัวฟาดกับฝาท่อที่เป็นเหล็กกลม ๆ น้องเขาจึงเสียชีวิตที่นั่น แต่ตัวคุณบิ๊กเองยังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับน้องผู้หญิงที่เจอบนตึก แต่พึ่งเริ่มมาปักใจตอนพี่เขามาทักต่อจากเมื่อกี้ว่า “พี่ว่าพี่เคยเห็นน้องคนที่เสียชีวิตไปคนนี้ซ้อนท้ายน้องเมื่อวานนะ แต่พี่ไม่กล้าทัก พี่คิดว่าพี่ตาฝาด แต่พี่จำลักษณะน้องเขาได้” หลังจากนั้นทั้งคุณบิ๊กและพี่เขาจึงได้ช่วยกันนึกถึงลักษณะของน้องผู้หญิงคนนั้น จนมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันกับคนที่เจอบนตึก ด้วยความที่คุณบิ๊กอยากรู้เรื่องราวของน้องเขาว่าเป็นอย่างไร จึงได้ไปสืบกับแม่บ้านที่ตึก และเขาก็ได้บอกว่า “อ๋อ น้องคนนี้ชื่อนุ๊ก ชื่อจริงชื่อ ‘ภานุมาศ’ น้องเขาเป็นเด็กจบใหม่ น่าจะมีเชื่อสายมอญ และเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี” และได้บอกต่ออีกว่า “แต่ที่บ้านน้องเขามาเรียนเชิญดวงวิญญาณให้กลับบ้านไปแล้วนะ น้องเขายังอยู่อีกหรอ” หลังจากได้ยินข้อมูลทั้งหมด คุณบิ๊กก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกลับไป กระทั่งมาถึงวันเสาร์ โดยปกติแล้วคุณบิ๊กจะทำอาชีพเสริม คือการขายพระเครื่อง ซึ่งตลอดเวลาที่ขายมา ตั้งแต่คุณบิ๊กเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ วัน ๆ หนึ่ง ขายได้ไม่เกิน 500 บาทต่อวัน แต่วันนั้นกลับขายดีมาก เกือบ 1,500 บาท ขายดีถึงขั้นที่ว่าลูกค้าหยิบและซื้อไปแบบไม่มีคำถามเลย ทำให้คุณบิ๊กรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และกลับมาจนจะถึงที่พัก ทว่าระหว่างทางก่อนจะถึงที่พักอีกเพียงนิดเดียว ดันมีกลุ่มวัยรุ่นขับรถเล่นหยอกล้อกันไปมา และคืนนั้นฝนตกทำให้ถนนลื่นมาก ตัวคุณบิ๊กเองที่ขับรถอยู่ท้ายรถของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้น เขาดันเบรกซ้ายกะทันหัน ทำให้รถเสียหลัก ทำให้ตัวและหัวฝั่งซ้ายของคุณบิ๊กล้มไปอยู่ใต้รถเมล์ ทำให้คุณบิ๊กได้แผลตรงที่ปลายนิ้ว และตาตุ่มด้านซ้ายยังได้แผลถลอกจนเห็นถึงเนื้อกระดูกอีกด้วย เหตุการณ์นี้รถของคุณบิ๊กทั้งดับและล้อไม่หมุน แต่คุณบิ๊กเล่าว่าจู่ ๆ กลับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกเครื่องรถแล้วสตาร์ทขึ้นมา และได้ลากตัวของคุณบิ๊กจากเลนขวาไปที่เลนซ้าย ดึงตัวเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง หากไม่ได้ถูกลากเข้าไปข้างทางคงถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน และด้วยความที่คุณบิ๊กถูกรถทับไปข้างนึง จึงทำให้ไม่รู้สึก ไม่มีความชาไปเลย จากนั้นก็มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แล้วแฟนน้องหล่ะ?” ตอนนั้นตัวคุณบิ๊กจึงรู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว จึงค่อย ๆ ขับคลำทางมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่พัก หลังจากนั้นก็ไปล้างหน้า เอาน้ำลูบตัว เพราะเหนื่อยมาก ไม่อยากอาบน้ำ และได้เข้านอน แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา จับแขน มีลมคล้ายกับลมหายใจมารดใบหน้ารดต้นคอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่คนเดียว คุณบิ๊กได้เล่าทิ้งท้ายต่ออีกว่า ตนเองปักใจเชื่อว่าน้องผู้หญิงคนนั้นเป็นคนมาช่วยให้รอดชีวิต และเชื่อว่าตั้งแต่เจอน้องชีวิตของตนเองก็ดีขึ้นมาก ๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม” แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า.. เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน” โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500 ใช่ไหม” ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน” คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน” เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่ พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้! พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า “Don’t smoke” ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

25 พ.ค. 2023

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

‘คุณอาร์ท’ สายจากทางบ้าน ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ว่าได้เจอเรื่องหลอนขณะที่กำลังจะบวช ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวของคุณอาร์ทจะเป็นอย่างไร.. ไปติดตามอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นกำลังจะเตรียมตัวบวชพระ สถานที่คือวัดเดิมที่เคยมาบวชเณรมาก่อน โดยต่างจังหวัดนั้นมีธรรมเนียมว่า ใครจะบวชต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกไปไหนเพราะเป็นบุญใหญ่ คุณอาร์ทจึงต้องไปเป็นฆราวาสที่วัด 7 วัน 2 วันก่อนที่จะถึงวันบวช คุณอาร์ทก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติในช่วงกลางวัน พอ 5 โมงเย็น คุณอาร์ทก็เห็นว่าหน้าเมรุมันเลอะเทอะ เพราะไม่มีใครไปทำความสะอาดเลย คุณอาร์ทจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะไปกวาดทำความสะอาดสักหน่อย และด้วยความที่คุณอาร์ทเวลาจะทำอะไรชอบฟังเพลงไปด้วย ขณะที่กวาดเลยนำหูฟังขึ้นมาฟังเพลงในยูทูป เมื่อวิดีโอจบลงมันก็จะหยุดอัตโนมัติเอง คุณอาร์ทก็เห็นว่าใกล้จะกวาดเสร็จแล้ว จึงเสียบหูฟังคาหูอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้กดเล่นเพลง.. สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่พูดคุยเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ คุณอาร์ทจึงถอดหูฟังออก พอมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นใคร จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่บ้านอยู่ติดกับวัดแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน คุณอาร์ทกดเล่นเพลงอีกครั้งหนึ่งจนมันหยุดอัตโนมัติอีกครั้ง เป็นเวลาที่กวาดเสร็จพอดีจึงถอดหูฟังออก จังหวะที่ถอดหูฟังนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูชัดเจนว่า “เค้ามาบวชใหม่หรอ” คุณอาร์ทนึกในใจว่า “ใครมาพูดวะ” และมองไปที่กุฎิหลวงตา ก็คิดว่าหลวงตาน่าจะคุยกับคนที่มาเยี่ยม แล้วก็น่าจะถามว่ามีเด็กมาบวชใหม่หรอ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ามาในวัดสักเท่าไหร่ คุณอาร์ทก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่พอสังเกตดี ๆ ก็พบว่าในตอนนั้นมีแค่คุณอาร์ทและหลวงตาเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณวัด คุณอาจก็พยายามคิดในแง่ดีตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าน่าจะเป็นเสียงแว่วที่ลอยมาจากที่อื่น เพราะบริเวณวัดตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณอาร์ทจึงไปนั่งคุยกับหลวงตาที่นอนอยู่ในกุฎิ และถามว่าพรุ่งนี้มีบิณฑบาตหรือไม่ หลวงตาก็บอกว่า “มี ให้ตื่นมาตอนตีสี่นะ” คุณอาร์ทรับทราบดังนั้นแล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง คุณอาร์ทก็อธิบายเพิ่มว่า กุฎิข้างล่างมีลักษณะเป็นปูน ส่วนข้างบนยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่กำลังนอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบกุฎิ จึงคิดว่าเป็นสุนัขเพราะสุนัขที่วัดชอบขึ้นมานอนข้างบน พอจะนอนต่อ คุณอาร์ทก็นอนไม่หลับ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี 2 จึงลุกมากินน้ำและคิดว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว งั้นไม่นอนเลยก็แล้วกัน เพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เมื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าอากาศดีมากเพราะช่วงค่ำมีฝนตก จึงเดินออกไปนั่งสูดอากาศอยู่ที่กลางวัด โดยไปนั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงกดโทรวิดีโอคอลหาเพื่อน ๆ เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งเพื่อนก็ทักขึ้นมาว่า “อาร์ท มึงเอาใครมานอนที่วัดด้วยรึเปล่าวะ” คุณอาร์ทจึงตอบไปว่า “เฮ้ย กูมานอนคนเดียว ที่วัดเค้าไม่ให้เอาใครเข้ามาด้วย” เพื่อนก็เลยถามต่อว่า “มึงอย่ามาหลอกกู แล้วใครยืนอยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” คุณอาร์ทก็บอกไปว่า “มึงอย่ามาตลก กูไม่เล่นนะนี่ในวัดในวา” เพื่อนก็พูดอีกว่า “เอ้า อาร์ทคนเดิมหายไปไหนละวะ คนที่ชอบท้าทายอ่ะ แหมจะบวชซะหน่อยทำเป็นคนดีหรอ” และเพื่อนก็ยังพูดไม่หยุดว่า “น่ะมาอีกคนแล้วน่ะ เอาเพื่อนแถวบ้านเข้ามานอนในวัดด้วยหรอ” จากนั้นก็กดตัดสายไปเลย คุณอาร์ทนึกว่าเพื่อนแกล้ง จึงโทรไปอีกหลาย ๆ รอบ แต่เพื่อนคนนี้ก็กดตัดสายตลอด และส่งเป็นข้อความว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เข้าไปที่บ้านมึงเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” คุณอาร์ทจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทักเหมือนเพื่อนคนแรกเลยว่า “มึงเอาใครมานอนด้วยเนี่ย มึงไปให้เค้ายืนอยู่ข้างหลังทำไมน่ะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดตายหรอก” คนอาร์ทจึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มึงอย่ามาพูดบ้า ๆ อย่างนี้นะ ในวัดในวากลางค่ำกลางคืน กูกลัวจริง ๆ นะ” จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็กดวางสายไป ด้วยความที่เริ่มกลัว คุณอาร์ทจึงโทรหาเพื่อนอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนที่สามก็พูดทำนองเดียวกันเหมือนกับเพื่อนสองคนแรก คุณอาร์ทได้ยินอย่างนั้น ก็กดตัดสายไป เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใคร แต่จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวว่า “กูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่หว่า” จากนั้นก็เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วฉายขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ปรากฏว่าสิ่งที่คุณอาร์ทเห็นคือ คนนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อยู่ประมาณสี่ห้าคนแกว่งขาเล่นไปมา! มองลงมายังคุณอาร์ทตาแข็งแทบไม่กระพริบ และมีเสียงคนแก่พูดว่า “มาบวชใหม่หรอ ขอบุญมั่งดิ” คุณอาร์ทถึงกับช็อคไปชั่วครู่ แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ได้มาทำอะไร” สิ้นเสียงนั้นคุณอาร์ทถึงกับต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังกุฏิหลวงตา ตะโกนเรียกหลวงตาว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!” อยู่อย่างนั้น แต่หลวงตาก็ไม่ยอมตื่น ทำให้คุณอาร์ทต้องนั่งหน้ากุฏิหลวงตาจนเช้า และเมื่อได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับหลวงตาฟัง หลวงตาก็บอกว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่พระใหม่จะมีคนมาขอส่วนบุญ แล้ววันวันบวชก็มาถึง เมื่อใกล้เสร็จพิธี คุณอาร์ทกำลังจะก้มลงกราบที่หน้าพระพุทธรูป ซึ่งหน้าต่างของอุโบสถก็ตรงกับกิ่งของต้นฉำฉาพอดี คุณอาร์ทจึงหันไปมองแล้วก็เห็นเป็นวิญญาณกลุ่มเดิมมาในรูปร่างที่ดูเป็นคนปกติ ใส่ชุดทำบุญ แต่ไม่ใส่รองเท้า และนั่งพนมมืออยู่บนกิ่งต้นไม้นั้น พร้อมกับหันมาทางคุณอาร์ทด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ จังหวะนั้นคุณอาร์ทถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่เป็นพระเต็มตัวแล้วคุณอาร์ทจึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ และได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับวิญญาณเหล่านั้น เมื่อก้มกราบจนครบ 3 ครั้งแล้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้นแล้ว! ต่อมาคุณอาร์ทก็ได้ออกไปหาเพื่อน ๆ ที่นอกวัดและสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มึงเจอกับอะไร ให้เล่ามาตรง ๆ ได้เลย” เพื่อนคนแรกก็เล่าว่า “เห็นคนมาจับไหล่มึง และชะโงกหน้ามายิ้มข้าง ๆ แก้มมึงแล้วก็เดินออกไป และคนที่สองก็เดินเข้ามายิ้มให้กล้อง แล้วก็เดินออกไปอีก” เพื่อนคนที่สองก็เล่าเสริมว่าเขาเห็นเป็นเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีผ้าขาวม้าพาดเอวเดินเข้ามามองที่กล้อง แล้วก็ลุกออกไป และสุดท้ายเพื่อนคนที่สามก็เล่าว่าเห็นเป็นผู้ชายสองคน เดินกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินผ่านกล้องไปสักพัก ก็เดินย้อนกลับมาและชะโงกหน้าเข้ามาในกล้องจนหน้าแทบจะติดกับคุณอาร์ท! และพอถึงวันสึก คุณอาร์ทยังฝันอีกด้วยว่าตัวเองนั้นได้ไปกวาดใบไม้ตรงเมรุ แล้วมีคนเดินมาพูดด้วยว่า “จะสึกแล้วหรอ ทำไมรีบสึกไวจัง น่าจะอยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ เนี่ยตัวจะจับสีผ้าเหลืองอยู่แล้วน่ะ” (ความหมายคือถ้าบวชนาน สีตัวก็จะเข้ากับผ้าเหลืองอยู่แล้ว ทำไมถึงรีบสึก) ซึ่งในฝันคุณอาร์ทก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ก็ทำให้คุณอาร์ทที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เกเร ชอบท้าทาย ก็กลายเป็นคนที่เรียบร้อย อยู่ในร่องในรอยมากยิ่งขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1