พายุฝนโหมกระหน่ำ จะขับรถต่อไปก็กลัวอันตราย จึงเลี้ยวเข้าไปพักในโรงแรมหนึ่ง ได้เจอกับผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตท่าทางแปลกพิลึก! แล้วหลังจากนั้นก็เจอเรื่องหลอนจนนอนไม่ได้! รุ่งสางรีบขับรถออกมาก็พบว่า โรงแรมที่เข้าพักไปมันเป็นโรงแรมร้าง!

อังคารคลุมโปง RECAP

พายุฝนโหมกระหน่ำ จะขับรถต่อไปก็กลัวอันตราย จึงเลี้ยวเข้าไปพักในโรงแรมหนึ่ง ได้เจอกับผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตท่าทางแปลกพิลึก! แล้วหลังจากนั้นก็เจอเรื่องหลอนจนนอนไม่ได้! รุ่งสางรีบขับรถออกมาก็พบว่า โรงแรมที่เข้าพักไปมันเป็นโรงแรมร้าง!

02 มิ.ย. 2023

       กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ในรายการ  ‘อังคารคลุมโปงX’ ที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2566) กับเรื่องหลอน 100/100 ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังตลอดการเล่า! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย!

       พี่แจ็คเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ‘คุณแอมแปร์’ เมื่อ 4 ปีก่อน ครอบครัวคุณแอมแปร์ประกอบไปด้วย ตัวคุณแอมแปร์เอง แฟน คุณแม่ และน้องสาว ทั้งหมด 4 คน ซึ่งต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ตอนแรกทุกคนก็ตั้งใจว่าจะออกเดินทางซัก ตี 3 – 4 จะได้ไปถึงจุดหมายเวลาเที่ยงพอดี แต่คืนนั้นทุกคนกลับนอนไม่หลับ จึงตกลงกันว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว เราออกเดินทางกันเลยแล้วกัน ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน และฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย..

       หลังจากขับรถไปได้ 2 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาตี 2 แล้ว พายุฝนยิ่งโหมซัดกระหน่ำเข้าไปใหญ่ คุณแอมแปร์เล่าว่าตอนนั้นขับรถไม่ไหวจริง ๆ จึงคุยกับทุกคนว่าต้องหาที่จอดพัก ระหว่างหาที่จอดพักอยู่นั้น คุณแอมแปร์ก็นึกขึ้นมาในใจเล่น ๆ ว่า “ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ขอให้ลูกได้เจอโรงแรมในการพักหลบฝนหน่อยเถอะ” หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปสักพักใหญ่ แฟนคุณแอมแปร์ก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ไง ๆ ข้างหน้านี่ไง!” ข้างหน้าเป็นป้ายไฟที่เขียนว่า ‘โรงแรม’ ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะเข้าไปพักที่นี่ ดีกว่าฝืนขับไป เพราะพายุฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย

       พอเลี้ยวซ้ายเข้าไป คุณแอมแปร์บอกว่ามันเข้าไปลึกมากเกือบ 400 เมตร จนในที่สุดก็เจอ สถานที่ตรงนั้นเป็นเหมือนกับสำนักงาน เข้าในมีไฟเปิดทิ้งไว้อยู่ คุณแอมแปร์จึงเปิดไฟรถให้สัญญาณและบีบแตรให้คนข้างในได้ยิน แต่ก็ไม่มีพนักงานคนไหนสนใจออกมาดูเลย เวลาผ่านไปสักพัก ทุกคนในรถก็ต้องตกใจ! เพราะเสียงเคาะดัง “ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก!” อยู่ที่กระจกด้านขวาของรถ! เจ้าของเสียงคือร่างของผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตยืนกางร่มแล้วเอาหน้าแนบกระจกอยู่! อีกมือหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็ทำสัญญาณบอกให้หมุนกระจกรถลง คุณแม่คิดว่าคงจะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงบอกให้คุณแอมแปร์ลดกระจกลง แล้วถามไปว่า “พอดีมาหาห้องพักอ่ะค่ะ” ผู้ชายคนนั้นชี้มือไปทางด้านขวาแล้วพูดว่า “เข้าไปในซอยนั้น แล้วตรงเข้าไปอีก 300 เมตร อยู่ซ้ายมือ ขับรถเข้าไปจอดได้เลย” คุณแอมแปร์ก็คิดในใจว่ามันเข้าไปอีกลึกมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากขับต่อไป

       หลังจากขับเข้าไปได้ประมาณ 300 เมตร ก็เห็นแสงไฟจากตึกแถวเรียงกัน คล้าย ๆ กับโรงแรมม่านรูด ที่สามารถเอารถเข้าไปจอดหน้าห้องแล้วเข้าพักได้เลย คุณแอมแปร์เลือกห้องที่ 3 ขณะที่กำลังจอดรถอยู่นั้น ผู้ชายเสื้อลายสก็อตที่เจอเมื่อกี้ ก็ปรากฏตัวขึ้น! คุณแอมแปร์มั่นใจว่าเขาไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมาแน่นอน ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ประตูห้องหนึ่ง แต่ไม่ยอมเดินเข้ามาหา ทางครอบครัวคุณแอมแปร์ที่กำลังขนของเข้าห้องพักก็ตะโกนถามไปว่า “พี่! ค่าห้องเท่าไหร่ หนูต้องจ่ายเลยมั้ย” ผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า “จ่ายเลย” คุณแอมแปร์รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็หยิบเงิน 500 บาทเอาไปให้ ระหว่างที่เดินเอาไปให้ก็รู้สึกกลัว ๆ สั่น ๆ เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จึงอยากจะคลายความกลัวด้วยการชวนผู้ชายเสื้อลายสก็อตคุย “ฝนตกหนักเลยเนอะพี่ ดีนะมาเจอโรงแรมนี้ ไม่งั้นพวกหนูแย่แน่เลย” แล้วผู้ชายเสื้อลายสก็อตก็หัวเราะในลำคอ “หึ! ก็มีแต่พวกไปไม่รอดเท่านั้นแหล่ะ ที่เข้ามาพักตรงนี้” คุณแอมแปร์ก็ถามกลับไปว่า “เอ่อ.. แล้วค่าห้องเท่าไหร่คะ?” เขาก็ตอบมาว่า “500” เป็นจำนวนเงินพอดิบพอดีที่คุณแอมแปร์หยิบมา เมื่อจ่ายค่าห้องเสร็จ คุณแอมแปร์ก็รีบเดินกลับไปที่หน้าห้อง และเล่าให้ทุกคนฟัง คุณแม่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เรามากันตั้ง 4 คน คงไม่เป็นไร” หลังจากนั้นก็เตรียมจะเปิดประตูห้องเข้าไป แต่คุณแม่ก็หยุดเดินไปเสียดื้อ ๆ ! “แม่ แม่ แม่! แม่เป็นไร?” คุณแอมแปร์ถาม แต่คุณแม่ก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วพาทุกคนเข้าห้องไป..

       ขณะที่กำลังจัดเตรียมข้าวของ เสียงของแฟนคุณแอมแปร์ก็ดังขึ้นว่า “อาย! ก่อนจะขึ้นไปนอนอ่ะ ไปล้างเท้าก่อนเลย!” เป็นการบอกให้ ‘อาย’ น้องสาวไปล้างเท้าก่อนนอนนั่นเอง แต่คุณแอมแปร์กับแม่ก็ต้องหันมามองหน้ากัน และคิดในใจว่า ก็น้องอายกำลังล้างเท้าอยู่ในห้องน้ำ แล้วแฟนพูดกับใคร? แต่ทุกคนก็ไม่พูดอะไร รวมถึงแฟนคุณแอมแปร์ที่หลังจากพูดแบบนั้นออกมา เขาก็หยุดกึ้ก! ไม่พูดอะไรอีก

       เนื่องจากอากาศเย็นเพราะฝน ทุกคนจึงไม่อาบน้ำ แค่ล้างมือล้างเท้าแล้วเข้านอน จนกระทั่งตี 3 ลำดับการนอนคือ น้องอายนอนติดกำแพง ถัดมาเป็นคุณแม่ คุณแอมแปร์ และแฟนคุณแอมแปร์ นอนเรียงกัน 4 คน ระหว่างที่นอนอยู่ คุณแอมแปร์ก็ได้ยินเสียงหายใจฮึดฮัด เหมือนคนกำลังดิ้นอยู่ ปรากฏว่าเป็นคุณแม่ จึงพยายามปลุกคุณแม่ พอตื่น คุณแม่ก็บอกว่า “แอม! เอาสร้อยครุฑมาให้แม่หน่อยสิ” แล้วก็เอาสร้อยครุฑมาใส่ แม้คุณแอมแปร์จะพยายามถามว่าเป็นอะไร แต่แม่ก็บอกว่า “ไม่มีอะไร” สิ้นเสียงแม่ เสียงชักโครกในห้องน้ำก็ดังขึ้น! ทุกคนก็ตื่นขึ้นมา แฟนคุณแอมแปร์จึงพยายามปลอบใจทุกคนว่าคงเป็นเสียงห้องข้าง ๆ แต่คุณแอมแปร์ก็รีบบอกไปว่า “ฝักบัวในห้องน้ำมันเปิด! เหมือนกับมีคนกำลังอาบน้ำอยู่เลย!” แล้วทุกคนก็เกาะกลุ่มกัน เพื่อที่จะเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ พอแฟนเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่น เหมือนมีคนพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ มีไอน้ำอยู่ที่กำแพงจริง พอดูที่เครื่องทำน้ำอุ่น ก็เห็นว่ามันเปิดอยู่! พอเจอแบบนี้ คุณแอมแปร์ก็ชวนทุกคนออกจากห้อง แต่คุณแม่ก็บอกว่า “มันออกไปไหนไม่ได้ ฝนมันตกหนัก ออกไปก็อันตราย” จึงคิดกันว่าจะสวดมนต์และพยายามหลับ เพราะต้องเดินทางต่อ

       หลังจากสวดมนต์เสร็จ ทุกคนก็ดูจะสงบมากขึ้น จึงเตรียมจะนอนอีกรอบ คุณแอมแปร์ในตอนนั้นกลัวคนมากกว่าผี จึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหลับ และฝันว่า มีเสียงเคาะประตู พอเปิดประตูก็เห็นผู้ชายเสื้อลายสก็อตไว้ผมรากไทร แล้วเขาก็บอกว่า “กูไม่ใช่คนดี กูจะมาปล้น” คุณแอมแปร์ก็ตอบไปว่า “อย่ามาปล้นพวกหนูเลย พวกหนูไม่มีของมีค่าอะไร มีแค่ร่มคันหนึ่งกับเงิน 500 ที่ให้พี่ไป” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า “ถ้าไม่มีกูฆ่า!” แล้วเขาก็เดินออกไปเปิดรถคุณแอมแปร์เพื่อคุ้ยข้าวของ แล้วก็หอบเอาข้าวของพยายามจะเดินหนี! คุณแอมแปร์ก็เรียกแฟนให้ช่วยกันวิ่งตาม ผู้ชายคนนั้นก็วิ่งหนีพลางหันมามองไปด้วย พอวิ่งไปถึงถนนใหญ่ ก็มีรถบรรทุกวิ่งมาชนจนร่างของผู้ชายคนนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี! ร่างขาดออกเป็นส่วน ๆ จนส่วนหัวของผู้ชายคนนั้นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหว่างขา แถมยังจ้องตาแข็งอีก! คุณแอมแปร์เห็นดังนั้นก็ร้องกรี๊ด พอกรี๊ดเสร็จ เหตุการณ์ทุกอย่างก็วนลูปกลับไปที่เดิม คือมีเสียงเคาะประตู เปิดไปเป็นผู้ชายคนนั้น เขาบอกจะปล้น แล้วก็หอบของวิ่งหนี จากนั้นก็ถูกรถบรรทุกชน วนไปวนมา จนคุณแอมแปร์ทนไม่ไหว ตะโกนออกมาว่า “ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเห็นแบบนี้แล้ว!” สิ้นเสียงนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้น เพราะคุณแม่มาปลุกและผูกข้อมืออยู่ พอตื่นขึ้นก็หันไปมองหน้าน้องสาว แล้วน้องก็พูดขึ้นว่า “ผู้ชายที่ใส่เสื้อลายสก็อตเขาเป็นโจร เขาจะมาปล้น เขาจะมาฆ่าเรา!” กลายเป็นว่าทั้งสองคนฝันเรื่องเดียวกัน!

       ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ออกไปไหนก็ไม่ได้ จึงคิดว่าจะไม่นอน และนั่งรวมตัวกันอยู่อย่างนั้นจนถึงตี 5 ฝนก็เริ่มซา ทุกคนเก็บของแล้วเตรียมจะถอยรถออกไป ก็เห็นว่าตึกที่เหมือนจะมีคนอยู่ มันกลายเป็นตึกร้าง! ไม่มีไฟ ไม่มีลูกค้า ไม่มีใคร เป็นเหมือนพื้นที่รกร้าง! คุณแอมแปร์พยายามจะสังเกตว่าที่นี่มันคืออะไรกันแน่ แต่คุณแม่ก็เร่งเร้าบอกให้รีบขับรถออกไป พอขับออกไปก็เห็นว่าสำนักงานเมื่อคืนนี้ มันกลายเป็นศาลารอรถเก่า ๆ โทรม ๆ ขับออกมาอีกก็เห็นป้ายที่เมื่อคืนเห็นเป็นป้ายไฟ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นป้ายไม้เก่า ๆ เขียนด้วยถ่านสีดำว่า ‘โรงแรมXXX’ หลังจากนั้นก็ขับออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เห็นร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง ทุกคนจึงเข้าไปนั่งคุยกันในร้าน..

       คุณแอมแปร์ถามว่า “ทำไมตอนจะเข้าห้อง แม่ถึงหยุดเดิน” แม่ก็ตอบว่า “เห็นผู้หญิงเดินแว๊บเข้าไปห้องน้ำ” แต่ตอนนั้นแม่คิดว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่า แล้วคุณแอมแปร์ก็ถามแฟนต่อว่า “ทำไมตอนที่พี่บอกให้อายไปล้างเท้า แล้วพี่หยุดอ่ะ พี่หยุดทำไม” แฟนก็บอกว่า “เห็นผู้หญิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ก็เลยคิดว่าเป็นน้อง ก็เลยบอกให้น้องไปล้างเท้า แต่พอดูอีกทีก็เห็นว่าน้องอยู่ในห้องน้ำแล้ว หันกลับมาที่เตียงอีกที ก็ไม่มีผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็เลยเงียบไป”

       ระหว่างที่คุยกัน พนักงานในร้านที่ยืนรอหาจังหวะเข้ามารับออเดอร์ก็เดินเข้ามาถามว่าจะสั่งอะไร คุณแอมแปร์ก็ถามไปเลยว่า “พี่รู้จักโรงแรมที่อยู่ตรงนี้มั้ย?” พนักงานก็ตอบว่ารู้จัก และบอกว่า “เข้าไปพักได้ยังไง โรงแรมนั้นมันร้างมาตั้งนานแล้ว!” ด้วยความสงสัย คุณแอมแปร์จึงถามต่อไปว่า “แล้วนอกจากร้าง มันมีอะไรอีกมั้ย?” หลังจากนั้นก็เริ่มเล่าสิ่งที่เจอเมื่อคืนให้พนักงานฟัง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อ๋อ.. มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ก่อนโรงแรมนี้มันคล้าย ๆ กับม่านรูด แล้วก็มีคนสวนคอยดูแล แล้วมันก็มีเหตุฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนนึง แต่ไม่รู้นะว่าเป็นห้องไหน คนที่ทำก็เป็นคนสวน ไอ้คนที่ทำเนี่ย ผมรู้จักดี เขามากินข้าวบ่อย แล้วก็หลังจากที่ทำเสร็จปุ๊บ เขาก็โดนรถชนตาย! ผู้ชายคนนี้ชอบใส่เสื้อลายสก็อตสีแดง ไว้ผมทรงรากไทรด้วย!” ปรากฏว่าทุกอย่างมันตรงกับที่เจอพอดี!

       หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง และทำบุญไปให้ นอกจากนี้พี่แจ็คก็ยังเสริมอีกว่า ตอนที่คุณแอมแปร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าในห้องมีแอร์เก่า ๆ ตู้เย็นไม่ได้เสียบปลัก ฝุ่นหนา แต่ก็มองว่าโรงแรมมันคงสกปรกแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงิน 500 บาท คุณแอมแปร์บอกว่าจ่ายไปจริง ๆ และคุณแม่ก็บอกว่าคิดซะว่าทำบุญให้เขา ก่อนปิดรายการพี่แจ็คทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ระบุไปด้วยว่า “ขอให้เจอที่ที่ไม่มีผี นอนรอดปลอดภัย”

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ย้ายมาหอใหม่ ไม่เสียค่าห้อง จ่ายค่ามัดจำก็อยู่ได้เลย แต่ต้องแลกกับการถูกผีหลอก! อยู่ได้ 3 คืน จึงย้ายออก แถมเงินมัดจำก็ขอคืนไม่ได้ เล่าเรื่องผีให้เจ้าของหอทราบ ก็ตอบมาเพียง “ครับ” มารู้ทีหลังว่าหอนี้เคยมีคนตาย! แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้!

23 พ.ค. 2023

ย้ายมาหอใหม่ ไม่เสียค่าห้อง จ่ายค่ามัดจำก็อยู่ได้เลย แต่ต้องแลกกับการถูกผีหลอก! อยู่ได้ 3 คืน จึงย้ายออก แถมเงินมัดจำก็ขอคืนไม่ได้ เล่าเรื่องผีให้เจ้าของหอทราบ ก็ตอบมาเพียง “ครับ” มารู้ทีหลังว่าหอนี้เคยมีคนตาย! แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) มีเรื่องเล่าเรื่องหลอนของ ‘คุณหยิว’ ที่โทรเข้ามาพูดคุยกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังว่าสัมผัสได้ถึงวิญญาณที่สิงอยู่ในห้องที่พึ่งย้ายเข้ามา โดยมีเรื่องราวดังนี้ คุณหยิวเล่าว่าเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ตนเองได้หาหอพักใหม่ และได้ไปเจอกับหอที่ว่านี้ ซึ่งค่อนข้างใกล้ที่ทำงานและสงบสวยงาม แม่บ้านก็พูดจาไพเราะ ถูกใจคุณหยิวมาก ๆ นอกจากนี้ แม่บ้านยังบอกอีกว่าไม่ต้องเสียค่าห้อง เสียแค่ค่ามัดจำล่วงหน้า 5000 บาทก็พอ คุณหยิวก็คิดในใจว่าทำไมดีจัง ไม่เคยเจอแบบนี้เลย จึงตัดสินใจเช่าห้องที่นั่นเลย ห้องคุณหยิวอยู่ที่ชั้น 4 โดยฝั่งที่คุณหยิวอยู่ มีผู้เช่าอาศัยเพียงสองห้องเท่านั้น ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นเต็มทุกห้อง คุณหยิวไม่ได้เอะใจอะไร ในคืนแรกช่วงประมาณ 3 ทุ่ม ขณะที่คุณหยิวกำลังเก็บข้าวของในห้องอยู่นั้น จู่ ๆ ไฟก็ดับลง ด้วยความตกใจจึงรีบโทรหาแม่บ้านทันที แม่บ้านก็พูดประมาณว่า “ไม่เป็นไรนะ เนี่ยมันดับทั้งซอยเลย เดี๋ยวสวดมนต์ไหว้พระแล้วเข้านอนได้เลย” คุณหยิวเองก็เอะใจว่าทำไมเขาพูดแบบนี้ แต่ก็ทำตามจนคืนแรกผ่านพ้นไป.. ต่อมาคืนที่สอง เวลาประมาณเที่ยงคืน คุณหยิวเริ่มง่วง ๆ เพลีย ๆ กำลังจะผล็อยหลับไป แต่ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเหมือนมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง! รูปร่างลักษณะเหมือนผู้ชาย ตัดผมเกรียน อายุประมาณ 30 นิด ๆ คุณหยิวสะบัดตัวออกทันที คุณหยิวเล่าว่าเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์เป็นเหมือนฝันซ้อนฝัน และกำลังโดนผีอำอยู่ เพราะเห็นเป็นผู้ชายคนเดิมนั่งหันหลังทับผ้าห่มอยู่ทางด้านขวาของเตียง คุณหยิวพยายามดึงผ้าห่มคืน และเมื่อดึงหลุด คุณหยิวตั้งใจว่าเดี๋ยวจะเดินไปเปิดไฟเพราะคิดในใจว่าอยากตื่นแล้ว ขณะที่กำลังลุกไป ได้สังเกตเห็นว่าขอบเตียงตรงใกล้กับประตูมีผ้าห่มผืนที่พึ่งดึงไปกำลังคลุมอะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนคนไว้อยู่! คุณหยิวกล้า ๆ กลัว ๆ จึงก้าวขาแบบไม่ให้เหยียบโดนสิ่งนั้น แล้วเดินไปเปิดสวิตช์ไฟซึ่งพอเปิดสวิตช์ คุณหยิวก็เห็นว่า “อ้าวมันไม่มีไฟนี่ แสดงว่าเรายังไม่ได้ตื่นจริง ๆ เลย” คุณหยิวจึงรีบสวดมนต์และนึกถึงพ่อกับแม่ทันที แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น จากนั้นก็รีบลุกไปเปิดไฟทุกดวง ขณะที่กำลังจะลุกเดินไปเปิดไฟทางห้องน้ำ ก็ต้องเดินผ่านหัวมุมเตียงที่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งทับผ้าห่มอยู่ คุณหยิวถึงกับมีอาการขนลุกตั้งแต่เท้ายันหัว จึงกลับมานอนที่เตียง ซึ่งปกติแล้วคุณหยิวจะวิดีโอคอลกับแฟนคาสายทิ้งไว้ตลอด แต่เหมือนกับที่ผ่านมาสายมันจะตัดไปเอง ในคืนนี้ก็เช่นกัน แฟนคุณหยิวจึงโทรกลับมาอีกครั้ง คุณหยิวก็เล่าทุกอย่างให้ฟังและได้ขอให้แฟนคาสายทิ้งไว้จนกว่าตนเองจะหลับไปก่อน ผ่านไปจนมาถึงคืนที่สาม คุณหยิวก็ได้วิดีโอคอลกับแฟนเหมือนเดิม เมื่อใกล้จะนอนจึงได้บอกแฟนไปว่า “เดี๋ยวจะเข้านอนแล้วและรอดูก่อนว่าคืนนี้จะเป็นยังไง ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็คงจะต้องได้ย้ายออก” พอกำลังจะเคลิ้มหลับก็รู้สึกได้ว่า “มันกำลังมาอีกแล้ว” จึงตัดสินใจว่า “งั้นฉันจะไม่นอน” ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตีสองเกือบตีสาม คุณหลิวจึงไปเปิดไฟทุกดวงในห้อง เมื่อเดินผ่านตรงหัวมุมขอบเตียงตรงนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความที่คุณหยิวอยากรู้ว่ามันจะสุดที่ตรงไหน เลยตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นมันซะเลย ทำให้ขนที่ลุกอยู่แล้วลุกหนักกว่าเดิม คุณหยิวจึงคิดในใจว่าตรงนี้น่าจะมีวิญญาณอยู่แน่ ๆ เช้าวันถัดมา คุณหยิวตัดสินใจไปแจ้งย้ายออกทันที ทำให้ป้าแม่บ้านที่เคยพูดคุยอย่างไพเราะมาตลอดก็มองคุณหยิวด้วยท่าทางที่ไม่พอใจประมาณว่าทำไมเธอถึงออก และพูดจาไม่ดีใส่ คุณหยิวจึงถามป้าแม่บ้านไปว่า “ในห้องนี้มีวิญญาณไหมคะ?” ป้าคนนั้นตอบกลับมาว่า “เค้าไม่ได้ตามเธอมาหรอ” เหมือนกับจะโทษว่าคุณหยิวเป็นคนนำผีเข้ามา คุณหยิวก็ตอบไปว่า “ไม่มีนะคะ เพราะว่าหอเดิมที่เพิ่งย้ายออกมาก็ไม่มีอะไร” ป้าแม่บ้านจึงได้ให้จ่ายค่าน้ำค่าไฟก่อนที่จะย้ายออก แล้วคุณหยิวก็ได้พูดต่อว่า “เงิน 5000 ที่จ่ายไปขอคืนสัก 1000 ได้ไหมคะ?” แต่ป้าแม่บ้านก็ไม่ยอมคืน จึงได้นำเรื่องทั้งหมดนี้ไปแจ้งกับเจ้าของหอ และแจ้งว่ามันมีวิญญาณในห้องนี้ ให้ไปทำบุญให้เขาด้วย แต่แทนที่เจ้าของหอจะโวยวายหรือพยามปฏิเสธ เขากลับพูดมาเพียงว่า “ครับ”แถมไม่ยอมคืนเงินค่ามัดจำมาสักบาทเดียว ทำให้คุณหยิวเสียดายเงินมาก ๆ 5000 แลกกับ 4 วัน 3 คืนที่โดนผีหลอก ต่อมาในวันนั้นเอง คุณหยิวก็ได้กลับไปที่หอเดิม ทำให้เจ้าของหอเดิมสงสัยว่าทำไมถึงกลับมา เนื่องจากทั้งสองหอนี้อยู่ไม่ไกลกันมาก และที่ย้ายออกเพราะหอเดิมนี้มีห้องที่ทำเสียงดังประจำ คุณหยิวได้ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าของหอเดิมฟัง เจ้าของหอเดิมจึงบอกว่า “จริง ๆ แล้ว เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน ที่หอใหม่ของคุณหยิวนี้มีคนตาย แต่เจ้าของหอปิดข่าวไว้เพราะบริเวณนั้นเป็นเขตชุมชน และไม่ได้ทำบุญอะไรเลยหลังจากเกิดเหตุ” เรื่องนี้รู้จากแม่บ้านของหอใหม่คนก่อนที่มาเล่าให้กับเจ้าของหอเดิมฟัง คุณหยิวได้รู้ดังนั้นจึงคิดว่า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของหอใหม่จะตอบมาแค่คำว่า “ครับ” แค่นั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนี่เอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ 'ลบผง' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568 ]

12 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ 'ลบผง' I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล [7 ม.ค. 2568 ]

‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - อ๊อฟ อัครพล’ ได้นำเรื่องเล่าที่มาจากประสบการณ์จริง มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 มกราคม 2568) โดยมี ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ร่วมรายการ ทั้ง 2 ดีเจก็ได้คิดเห็นตรงกันว่า เรื่องที่หมอบีเล่าสามารถเป็นข้อคิดให้กับแฟน ๆ ของรายการได้อย่างแน่นอน หมอบีได้เล่าว่าเหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยเนื้อหาหรือสถานที่ของเหตุการณ์ได้มากนัก โดยเริ่มแรก มีลูกศิษย์ของพระรูปหนึ่ง (พระรูปนี้เสียชีวิตไปนานแล้ว) ได้มาบอกหมอบีว่า พระอาจารย์ท่านนี้เก่งในเรื่องเกี่ยวกับการ ‘สักยันต์ วิชาอาคม ไสยศาสตร์’ แต่ส่วนตัวของหมอบีนั้นไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้ แต่เหตุผลที่ตกลงไปเพราะได้รับการชวนหลายครั้ง และอีกใจหนึ่งก็อยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาด้วย เมื่อไปถึงสถานที่แห่งนั้น ก็พบว่าเป็นสถานที่รกร้างแต่กว้างใหญ่ แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนมีผู้คนจำนวนมากที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ หลังจากได้เห็นสถานที่ หมอก็เริ่มรับรู้ได้ว่าพระรูปนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะได้เจอกับรูปปั้นของพระรูปนั้น และได้ทราบภายหลังว่าพระรูปนี้มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ ในประวัติท่านได้บอกว่าท่านได้เก็บพระไว้ในโถหรือไห ที่บริเวณรอบ ๆ ของต้นโพธิ์ที่อยู่ใกล้กับรูปปั้นของท่านและยังมีของที่ตัวท่านทำเอง เก็บไว้ที่ฐานของรูปปั้น (ในตอนแรก หมอบีก็ยังไม่ทราบว่าคืออะไร) แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานาน ทำให้มีหลายคนได้เข้ามาขโมยพระเหล่านั้นไป หมอบีจึงตัดสินใจที่จะลองดูที่ใต้ฐานของพระพุทธรูป จนได้เจอกับแผ่นจานทองเหลืองที่มีอักขระเขียนไว้ พอได้เปิดเข้าไปข้างใน หมอบีก็ได้เจอกับร่างของพระรูปนั้น ซึ่งร่างของท่าน ไม่มีการเน่าเปื่อยแต่อย่างใด กลับมีลักษณะเป็นเหมือน ‘ไม้’ มากกว่า และอักขระที่เป็นยันต์ตามตัวก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม หลังจากนั้น ลูกศิษย์ของพระท่านนั้นก็ได้ลองให้หมอบีเขียนอักขระยันต์ พอหมอบีเขียนเสร็จ ลูกศิษย์คนนั้นได้นำไปให้คุณป้าท่านหนึ่งดู ป้าท่านนั้นตกใจเป็นอย่างมาก เพราะลายมือของหมอบี มีความเหมือนกับของพระอาจารย์เป็นอย่างมาก ต่อมา หมอบีได้เจอกับกุฏิของพระรูปนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านใช้ชีวิตอยู่และทำพิธีต่าง ๆ จึงไม่สามารถให้คนอื่นเข้าได้ แต่คุณป้าที่เป็นผู้ดูแลกลับอนุญาตให้หมอบีเข้าไป คุณป้าได้ให้หมอบีนั่งตรงจุดที่พระอาจารย์ได้ทำการ ‘ลบผง’ และคุณป้าก็ได้หยิบกระดานชนวนและชอล์กมาให้หมอบี ซึ่งกระดานชนวนที่หมอบีรับมาก็คือกระดานชนวนที่หลวงพ่อเคยใช้ หมอบีได้แต่สงสัยว่าต้องทำอะไร แต่พอเวลาได้ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้หมอบีทำการเขียนอักขระลงไป ซึ่ง ณ ตอนนั้น ในใจของหมอบีได้แต่คิดในใจว่าหลวงพ่อท่านแกล้ง เพราะรู้ว่าหมอบีไม่ค่อยได้สนใจในศาสตร์ด้านนี้ พอเขียนเสร็จ หมอบีก็ลบอักขระเหล่านั้นออกจากกระดาน สิ่งนี้เองที่เรียกว่าการ ‘ลบผง’ หลังจากหมอบีได้ทำไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จึงได้รับรู้ว่า การทำแบบนี้เป็นเหมือนกับการฝึกสมาธิและสติ ทำให้หมอบีได้รับรู้ถึงความหมายอักขระแต่ละตัว “เปรียบเสมือนกับทุกสิ่ง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป” หลังจากนั้น หมอบีได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านนี้เคยได้ทำการสักยันต์ให้กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งหมอบีกับผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านนี้ได้ทำการติดต่อหมอบีและส่งรถยนต์มารับ พร้อมกับได้บอกกับหมอบีว่า “หลวงพ่อท่านได้ทำการเข้ามาในความฝันและบอกให้เรียกหมอบีมา” หลังจากนั้น หมอบีก็ได้ตระเวนไปตามเคสต่าง ๆ จนได้ไปเจอกับหลวงปู่สุข และได้รับคำสอนในเรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิอีกครั้ง หลังจากครั้งนั้น ทำให้หมอบีต้องกลับมายังกุฏิของหลวงพ่อท่านนั้นอีก ในครั้งนี้เหมือนหมอบีได้รับรู้ว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า “เห็นไหม เรียนกับเราแต่แรกก็จบแล้ว” หลังจากวันนั้น หมอบีก็เข้าใจและไม่ได้ต่อต้านเรื่องเหล่านี้อีก ทั้งสองดีเจได้เห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งที่หมอบีได้รับเป็นเสมือนคำสอน อีกทั้งยังเหมือนได้รับเครื่องเตือนใจหรือสติสอนใจ หมอบีได้เล่าต่อว่าสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ที่ดินของพื้นที่นี้ได้มีการถูกแย่งพื้นที่ไปมา และหลวงพ่อท่านยังเคยมาบอกหมอบีด้วยว่า “จะมีคนมาแย่งร่างของท่านกัน อยากให้หมอบีมาช่วยแย่งร่างท่านไปด้วย”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากสาวแอน The Ghost 'คุณค่าเเห่งความตาย' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

06 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากสาวแอน The Ghost 'คุณค่าเเห่งความตาย' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

เรื่องเล่าที่ทำให้บางคนถึงกับเสียน้ำตา เมื่อภรรยาแอบไปคบชู้นอกใจกับลูกพี่ลูกน้องของสามี จนในที่สุดก็หย่าร้างกัน ภรรยาสานสัมพันธ์กับชู้ต่อแต่ก็ไม่ราบรื่น จนเกิดเรื่องราวบานปลายกลายเป็นภรรยาตั้งท้องกับสามีที่หย่ากันไป รัก 3 เศร้า และ 1 ชีวิตของเด็กที่บริสุทธิ์จะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คุณค่าของความตาย’ จาก ‘คุณไอซ์’ โดยมี ‘สาวแอน The Ghost’ เป็นผู้ถ่ายทอด ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost’ (26 สิงหาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ‘ไอซ์’ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ ‘วัฒน์’ ในวันนั้นเขาได้โทรมาร้องไห้ ตัดพ้อว่า “กูไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ กูอะทนไอมิ้นไม่ไหว” ซึ่ง ‘มิ้น’ เป็นภรรยาเก่าของวัฒน์ที่เลิกกันไปตั้งแต่ 7 เดือนก่อน และวัฒน์ก็มีแฟนใหม่มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ทำให้ไอซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมวัฒน์ต้องร้องไห้เสียใจเรื่องมิ้น ในเมื่อก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจเพื่อนด้วยประโยคที่ว่า “มึงอยู่ก่อน มึงอย่าพึ่งเป็นอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปหามึงที่บ้าน” หลังจากที่ได้วางสายโทรศัพท์ไป ไอซ์ก็ได้เข้านอน แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นยาเส้นพร้อมกับเสียงผู้ชายที่พูดให้ตื่น เธอรีบลุกขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลนเพื่อที่จะขับรถ แต่ในระหว่างเดินทางก็มีสายโทรเข้ามาจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า ‘บิ๊ก’ “ไอซ์มึงทำใจดี ๆ ไว้นะ ไอวัฒน์ตายแล้ว” ไอซ์ได้ยินดังนั้นก็ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ทั้ง ๆ ที่เธอก็ได้บอกให้วัฒน์รอก่อน แต่เพื่อนสนิทก็รอไม่ไหว จากนั้นก็ทราบว่าข่าวว่าวัฒน์ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการผูกคอตายกับกิ่งไม้ที่ยื่นเข้าไปตรงหน้าต่างบ้านของมิ้นกับ ‘ทอม’ ซึ่งทอมคือลูกพี่ลูกน้องของวัฒน์ และเป็น LGBTQ+ แต่เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว วัฒน์ก็ได้รู้ความจริงว่า คนที่เชื่อใจทั้งสองคนแอบเป็นชู้กัน ทางด้านไอซ์เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว บิ๊กก็ได้พาไปที่จุดเกิดเหตุแทนที่จะไปวัด เพราะที่นี่ เพื่อน ๆ กำลังตั้งศาลเตี้ย หาคนผิดโดยไม่พึ่งกฏหมาย แต่ทั้งมิ้นและทอมก็ได้หนีไปแล้ว จากนั้นไม่นาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับกลิ่นยาเส้นแล้วพูดว่า “มึงก็บอกมันสิ” และอยู่ดี ๆ น้องที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านก็กลิ้งตกรถลงมาด้วยอาการตกใจ สีหน้าเหมือนคนกลัวอะไรสักอย่างจนไม่มีสติต้องรีบวิ่งหนีหายไป เพื่อนที่อยู่ตรงนั้นเมื่อมองไปที่ต้นไม้ที่วัฒน์ผูกคอตายก็วิ่งหายออกไปจากบ้านไม่ต่างกัน และบิ๊กก็วิ่งออกไปด้วย ไอซ์มีแต่ความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงรีบโทรหาบิ๊กให้มารับ และก็ได้ไปถึงวัดในที่สุด ในคืนนั้นทั้งญาติสนิทและผองเพื่อนก็ได้นอนเฝ้าศพที่วัด แต่แล้วน้องที่ชื่อ ‘โรจน์’ ก็ตะโกนโวยวายขึ้นมาดังลั่นก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในโรงครัวของวัด ทุกคนพยายามจับมาถามและคุยให้ใจเย็นลงว่า โรจน์ที่ยังสั่นกลัวอยู่ได้แต่พูดว่า “ผมเห็นพี่วัฒน์ยืนอยู่บนตัวของพี่บิ๊ก แล้วพี่วัฒน์ค่อย ๆ นั่งลงยอง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอาตัวเอนไปข้างหลัง จากนั้นก็ฟาดหัวตัวเองมาข้างหน้า เขาทำย้ำ ๆ จนหัวของพี่วัฒน์หลุดออกมากระแทกหน้าพี่บิ๊ก หัวนั้นได้กลิ้งลงมาหยุดอยู่ที่ผม ผมเลยวิ่งหนี” บิ๊กที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าอีกคืนเขาคงไม่อยู่แล้ว ในช่วงเย็นวันต่อมา ไอซ์ก็ได้มาอยู่เป็นเพื่อนบิ๊ก ขณะที่บิ๊กอาบน้ำอยู่นั้น ไอซ์ก็นั่งรอข้างนอก แต่กลับได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องน้ำว่า “กลัวแล้ว กลัวแล้ว” พร้อมกับเสียงถีบประตูห้องน้ำที่ดังปัง! จนประตูหลุดออกมา บิ๊กที่เปลือยเปล่าทั้งตัว ก็วิ่งออกไปที่ป่ากล้วย กว่าบิ๊กจะสงบสติได้ก็ใช้เวลานาน บิ๊กเล่าให้ไอซ์ฟังว่า ตอนนั้นกำลังใช้สบู่ฟอกหน้าอยู่ ขณะที่หลับตา กำลังใช้มือควานหาขันก็ใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะเจอ เขาก็คว้าและตักน้ำราดลงมาที่ใบหน้า แต่จังหวะที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขาจับกลับไม่ใช่ขัน แต่เป็นปากของวัฒน์! เรียกได้ว่าขันใบนั้นคือหัวของวัฒน์นั่นเอง ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระยะประชิด เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากขว้างหัวทิ้ง บิ๊กคิดว่ามันจะจบแค่นั้น เขารีบดึงผ้าขนหนูมาคลุมตัว แต่สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมากลายเป็นร่างของวัฒน์ที่กำลังโอบเขาอยู่จากด้านหลัง! สติบิ๊กได้หายไปแล้วมีแต่ความกลัวที่คลืบคลานเข้ามา ในเวลานั้นคิดแค่ว่ายังไงก็ต้องเอาตัวเองออกจากห้องน้ำให้ได้ บิ๊กจึงพยายามดิ้นถีบประตูออกมา หลังจากฟังเรื่องราวจบ ทุกคนก็ได้แต่คุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนที่ตายไปถึงต้องเล่นงานหนักขนาดนี้ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ เวลาล่วงเลยจนมาถึงวันทำบุญร้อยวัน ในตอนเย็นเพื่อนก็มานั่งสังสรรค์กัน อยู่ ๆ บิ๊กก็พูดขึ้นมาว่า “กูรู้สึกผิดว่ะ กูเป็นเหตุผลที่ทำให้วัฒน์ตายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะว่าวันที่เกิดเหตุ กูไปบ้านของทอม ไปส่งมันนี่แหละ กูอยากกินเหล้ากับเพื่อน เลยทิ้งมันไว้ตรงนั้น สายแรกวัฒน์โทรมา ให้กูไปรับมัน สายที่สองโทรมาตัดพ้อว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่แล้ว กูก็ปากพล่อยตอบมันไปว่า มึงตายก็ดี มึงจะได้เป็นผีรุ่นพี่ กูจะได้ขอหวยด้วย และที่สำคัญนะ ถ้ามึงตาย มึงมาหลอกกูคนแรกเลย เพราะว่ากูคือเพื่อนรักของมึง” ไอซ์เข้าใจกระจ่างว่าทำไมบิ๊กถึงได้โดนหลอก หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 2 ปี ได้มีสายจากมิ้นโทรมาหาไอซ์ เธอได้ถามไปว่า “มึงหายไปไหนมา มึงทำให้เพื่อนกูตาย” มิ้นจึงได้เล่าทุกอย่างให้ฟังว่า.. ในช่วงที่คบกับทอมก็มีทะเลาะกันบ้าง พอมีปากเสียงกัน มิ้นก็เลือกที่จะไปดื่มกับวัฒน์ และมีอะไรกันจนท้อง เมื่อท้องได้ 2 เดือน ทอมก็จับได้ ทั้งสามคนตัดสินใจมาเคลียร์กันที่บ้านของทอมว่าควรจะจัดการยังไงต่อ ทอมยื่นคำขาดกับมิ้นว่า “ถ้าเลือกวัฒน์ ก็ออกจากบ้านกูไป แต่ถ้ามึงเลือกกู ก็ต้องเอาเด็กคนนี้ออก” พอวัฒน์ได้ยิน ก็รู้สึกเศร้ามาก จนทำลายข้าวของ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ก้มลงกราบมิ้นและทอม พรางอ้อนวอนว่า “เอาลูกกูไว้เถอะ ถ้ามึงไม่อยากเลี้ยงกูเลี้ยงเอง” แม้วัฒน์จะยอมทิ้งศักดิ์ศรีก้มลงกราบแทบเท้า แต่ทอมก็ไม่คิดจะเอาเด็กคนนี้ไว้ ทั้งยังสะใจที่ได้เป็นผู้ชนะ และพามิ้นกลับเข้าไปในบ้าน วัฒน์จึงตะโกนไล่หลังไปว่า “ถ้ามึงจะกำจัดลูกกู กูจะไปรอมันที่อีกโลกหนึ่ง!” นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่วัฒน์ได้พูดกับมิ้นและทอม เช้าวันต่อมา เมื่อได้เปิดหน้าต่างบ้านเพื่อรับลม ทั้งคู่ก็ได้เห็นว่าวัฒน์ผูกคอตายอยู่ตรงหน้าต่างบ้าน และที่ข้อเท้ายังเขียนชื่อเป็นชื่อจริงของมิ้นกับทอมไว้อีกด้วย ทั้งสองทำอะไรไม่ถูกจึงรีบหนีไปใต้ และมิ้นก็ยังคงเก็บเด็กคนนั้นไว้ เวลาผ่านไปจนมิ้นคลอด และตั้งชื่อว่า ‘น้องโปรแกรม’ ไอซ์ไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง มิ้นจึงได้พาน้องโปรแกรมมาพบกับไอซ์ เมื่อไอซ์ได้เห็นเด็กผู้ชายวัย 2 ขวบ ก็เชื่ออย่างสนิทใจว่านี่คือลูกของวัฒน์อย่างแน่นอน ไอซ์โผกอดน้องโปรแกรม ราวกับนี่คือวัฒน์เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จากนั้นมิ้นก็เล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากที่หนีไปใต้ วัฒน์ไม่เคยไปไหนไกล บางทีก็เดินถือหัวไปมา เวลาที่มิ้นสระผม ก็มาช่วยเธอสระผมบ้าง สถานที่ที่จะทำให้นอนได้ ไม่วัดก็เป็นบ้านหมอผี วันหนึ่ง ทอมและมิ้นเจอพระอาจารย์รูปหนึ่ง ทั้งสองได้เรียนวิปัสสนา กรรมฐาน รู้จักบาปบุญ และวันที่เปลี่ยนชีวิตทอมก็มาถึง มิ้นท้องแก่ใกล้คลอด ทอมก็ขับรถไปแต่ระหว่างทางก็มีควายสีดำวิ่งมาตัดหน้ารถ ทอมเลือกที่จะหักพวงมาลัยจนไปชนต้นไม้ ทั้งคู่สลบคาที่ แต่เสียงที่เรียกให้ทอมตื่นขึ้นมาคือเสียงของผู้ชาย บอกให้เขาไปช่วยมิ้น เพราะไฟกำลังโหมรถ ทอมได้สติก็รีบดึงมิ้นออกมา รถพยาบาลขับผ่านมาพอดี และน้องโปรแกรมก็ได้คลอดบนรถคันนั้น ทอมพูดกับอากาศหวังว่ามันจะส่งไปถึงวัฒน์ว่า ‘ขอบคุณนะพี่ที่มาช่วย ถ้าตอนนั้นหนูมีศีลมีธรรมหนูก็คงไม่ทำร้ายเด็กคนนี้ และคงไม่เป็นชู้กับมิ้น ตอนนี้หนูรู้สึกผิดแล้ว หนูยอมตายแทนเด็กคนนี้ด้วย’ หลังจากคลอดน้องโปรแกรมออกมา พระอาจารย์ก็บอกกับมิ้นว่า “ให้เอาหลานไปคืนปู่กับย่า เพราะวัฒน์มาขอไว้ ไม่งั้นปู่กับย่าจะไม่รอด” มิ้นจึงถ่ายรูปน้องโปรแกรมส่งไปให้พ่อแม่ของวัฒน์ และเมื่อพ่อแม่วัฒน์ได้เจอน้องโปรแกรมก็ได้แต่ร้องไห้กอดหลาน เพราะว่านี่คือวัฒน์น้อยของแม่ เด็กคนนี้จะมาทดแทนความโหยหาที่ขาดหายไป จากนั้น พ่อวัฒน์ก็พูดขึ้นมาว่า “แม่มึง ไอที่เราคุยกันไว้ว่า 60 ปี เราอะอยู่ได้ยันร้อยปีเลยนะ” ทั้งมิ้นและทอมก็นำขันธ์ห้ามาไหว้พ่อกับแม่ ทั้งสองคนไม่ได้ด่าทอหรือทุบตี แต่กลับกอดกันแทน นี่ทำให้ไอซ์ตกผลึกได้ว่า การที่เรามีบุญ หรือรักษาศีล มันทำให้เราให้อภัยคนได้ ไอซ์เดินออกมานอกบ้าน พูดเบา ๆ กับเพื่อนสนิทของตนว่า ‘วัฒน์ มึงคิดเหมือนกูมั้ย ว่ามึงไม่ได้ตายฟรี มึงทำให้ไอชั่วสองคนนี้ กลับกลายเป็นคนดี และทำให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ถึงตัวมึงจะตาย แต่คุณค่าของมึงก็ยังคงอยู่ คงถึงเวลาที่มึงจะไปสบายได้แล้ว’ ไม่นานก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินคีบบุหรี่ออกมาจากป่า และพูดกับเธอว่า “มันยังต้องชดใช้กรรมอีก” และเขาก็หายไป พร้อมกับรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งผ่านมา วัฒน์นั่งอยู่บนรถคันนั้นนั้น เขายิ้ม ดูมีความสุข และพยักหน้าให้เหมือนจะขอบคุณ และก็หายไป ไอซ์สะดุ้งเพราะน้องโปรแกรมเข้ามากอดจากข้างหลัง บอกให้ไปกินข้าวได้แล้ว..เขียน: อภิธิดา ดุรงค์พันธุ์เรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

07 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม” ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1